Categories
ECONOMY

เกมรุกโลจิสติกส์! ไทย-จีนเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่ง ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออก

เชียงราย–กรุงเทพฯชี้ชัด “เปิดด่านผลไม้ใหม่ไทย–จีน 5 แห่ง 1 ก.ย. 2568” เกมรุกโลจิสติกส์ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออกแตะ 1.8 แสนล้านบาท

เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 – เส้นทางการค้าผลไม้ไทยกับจีนกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อไทยและจีนตกลง “เพิ่มจุดนำเข้า–ส่งออกผลไม้” อีก 5 แห่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือขนส่งผ่านประเทศที่สาม กำหนดเริ่มใช้ “1 กันยายน 2568” เป้าหมายชัดเจน คือ ลดต้นทุนและคลายความแออัดของด่านเดิมในฤดูกาลผลไม้ พร้อมขยายทางเลือกสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ข่าวนี้ถูกจับตาในฐานะ “เครื่องมือเชิงโครงสร้าง” ที่อาจยกระดับโซ่อุปทานผลไม้ไทยทั้งระบบ หากสามารถปิดความเสี่ยงเรื่องความพร้อมของด่านฝั่งไทยและการพึ่งพาตัวกลางได้อย่างเป็นรูปธรรม

จุดเปลี่ยนเริ่มที่ด่าน เปิดทางใหม่ 5 แห่ง เชื่อมไทย–ยูนนานโดยตรง

ข้อตกลงครั้งนี้เพิ่มด่านฝั่งไทย 3 แห่ง และฝั่งจีน 2 แห่ง ดังนี้

  • ฝั่งไทย: ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน, ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา, ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์
  • ฝั่งจีน: เมิ่งคัง (Mengkang) และ ต๋าลั่ว (Daluo) มณฑลยูนนาน

การเปิดใช้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 มีนัยต่อการระบายผลไม้ฤดูกาลปลายปี และฤดูกาลต้นปีถัดไปโดยตรง โดยด่านยูนนานช่วยย่นเวลาสู่ “ตลาดภายในจีน” ได้มากขึ้น ไม่ต้องกระจุกที่ชายแดนกว่างซีเพียงไม่กี่จุดเหมือนที่ผ่านมา

ทำไมต้องเร่งเปิดด่านใหม่ในปีนี้

หนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเผชิญ “คอขวดชายแดน” ซ้ำๆ โดยเฉพาะ ด่านโหย่วอี้กวาน ในกว่างซีที่มีรถบรรทุกหนาแน่นทุกฤดูกาลทุเรียน แม้ทางการจีนและเวียดนามทยอยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในช่วงผลไม้ทะลักเข้าด่าน ปัญหาแออัดยังเกิดซ้ำ โยงสู่ความเสี่ยงคุณภาพและต้นทุนที่พุ่งขึ้น. การเพิ่มด่านใหม่จึงถูกวางเป็น “วาล์วระบาย” เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์ทั้งเครือข่าย

ปลายไตรมาสสองปีนี้ จีนยัง “ขยายเวลาเปิดทำการบางด่าน” และเพิ่มห้องปฏิบัติการตรวจสารต้องห้ามสำหรับทุเรียนไทย เพื่อลดคิวและเร่งรัดการตรวจปล่อย สะท้อนแรงจูงใจของจีนที่ต้องการสินค้าผลไม้คุณภาพจากไทยอย่างต่อเนื่อง

มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาท ตัวเลขที่ “ต้องรักษาและต่อยอด”

ข้อมูลภาครัฐระบุว่า จีนยังเป็นตลาดหลักของผลไม้ไทย มูลค่าส่งออกปีล่าสุด “เกิน 1.8 แสนล้านบาท” ตัวเลขนี้ไม่ได้หมายถึงรายได้ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นทันทีในปีเดียว แต่สะท้อน “ฐานตลาด” ที่นโยบายเปิดด่านใหม่มุ่งรักษาและผลักดันให้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยการลดต้นทุนโลจิสติกส์และลดการสูญเสียจากความล่าช้าที่ด่าน

ในทางปฏิบัติ “การคลายคอขวด” มีผลโดยตรงต่อราคาและคุณภาพ โดยเฉพาะทุเรียนและลำไยที่อ่อนไหวต่อเวลา การกระจายไปยูนนานผ่านเมิ่งคัง–ต๋าลั่ว ช่วยเปิดทางสู่ตลาดตะวันตกและภาคกลางของจีนเร็วขึ้น ซึ่งต่างจากเส้นทางชายฝั่งเดิมที่ต้องแย่งคิวท่าเรือหรือสนามบิน

ความพร้อมฝั่งไทย คือจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่

แม้มีกรอบวันเริ่มใช้ชัดเจน แต่ “ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน” ฝั่งไทยยังเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งปิดงานให้ทันกำหนด

  • ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์: โครงการก่อสร้างด่านและอาคารประกอบเพิ่งอยู่ในขั้น “ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)” กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สะท้อนว่าการก่อสร้างยังเดินหน้าไล่กับกรอบเวลา ต้องเร่งมือทั้งงานอาคารและระบบกำกับมาตรฐานสินค้าเกษตร
  • ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน / ด่านพรมแดนห้วยโก๋น: ผู้บริหารกรมศุลกากรลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป้าหมายคือเตรียมความพร้อมอาคาร สายพานตรวจปล่อย และประสานงานชายแดน เพื่อให้รองรับรถบรรทุกผลไม้ได้ทันฤดูกาล
  • ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา: จังหวัดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อ “ยกระดับจุดผ่านแดนถาวร” เร่งคลี่คลายงานเชื่อมต่อด่านสากลฝั่งลาวที่ปางมอน เพื่อให้ลำเลียงผลไม้เข้าสายเหนือได้คล่องตัวกว่าเดิม

ภาพรวมสะท้อน “เส้นตายที่ชัด แต่เส้นทางยังต้องเร่ง” การประสานระหว่างจังหวัด ชายแดน และศุลกากรจึงเป็นคอขวดใหม่ที่ต้องบริหารจัดการให้ทันฤดูกาล.

ภูมิทัศน์โลจิสติกส์ใหม่จากกว่างซี สู่ยูนนาน และรางจีน–ลาว

สองปีที่ผ่านมา จีนและภูมิภาคเร่งต่อจิ๊กซอว์โลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดด่านใหม่ในกว่างซี เช่น หลงปัง (Longbang) ที่เริ่มรับทุเรียนไทย และ “โมหาน” ในยูนนานที่เติบโตเร็วจาก รถไฟจีน–ลาว ทำให้ผลไม้ไทยเข้าลึกสู่มณฑลตอนในได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล. การมี “เมิ่งคัง–ต๋าลั่ว” เพิ่มในยูนนาน จะช่วยเฉลี่ยภาระงานระหว่างด่านทางเหนือ ลดการกระจุกที่โหย่วอี้กวาน และช่วยให้ผู้ประกอบการออกแบบเส้นทางผสมผสาน “ถนน–ราง” ได้คุ้มค่าขึ้น

วิเคราะห์ความเสี่ยง เปิดด่านใหม่ยังไม่พอ ถ้า “โครงสร้างตลาด” เดิมไม่เปลี่ยน

หนึ่ง ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ คือ “ความพร้อมหน้างาน” ในวันเปิดใช้จริง หากอาคาร ระบบตรวจสอบ เอกสารดิจิทัล และการประสานงานข้ามหน่วยยังไม่เสถียร อาจสร้าง “คอขวดก้อนใหม่” แทนที่จะคลายคอขวดเดิม นี่คือเหตุผลที่ต้องตั้ง War room ระดับจังหวัด–ชายแดน เพื่อเคลียร์ปัญหาแบบรายวันใน 4–6 สัปดาห์แรก. ข้อมูล e-bidding ของด่านภูดู่บอกชัดว่า งานก่อสร้างยังเดินอยู่ ต้องเร่งกำลังคนและเครื่องจักรให้เข้าใกล้เส้นตายมากที่สุด

สอง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง คือ “การพึ่งพาตัวกลาง” หรือที่อุตสาหกรรมเรียกติดปากว่า ล้งจีน แม้ด่านจะเพิ่ม แต่หากผู้ส่งออกไทยยังต้องพึ่งผู้รับซื้อรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย อำนาจต่อรองราคาและเงื่อนไขการชำระเงินก็ยัง “เปราะบาง” ทางรอดคือ เพิ่มสัดส่วนการส่งออกโดยตรง และใช้แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในจีนควบคู่ เพื่อเข้าถึงผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือเชิงนโยบายด้านกฎระเบียบและข้อมูลตลาด.

สาม ความเสี่ยงภายนอก คือภูมิรัฐศาสตร์การค้า หากข้อพิพาทการค้าระหว่างมหาอำนาจยกระดับ ไทยอาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนทางอ้อม จึงควรกระจายความเสี่ยงตลาด และรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารให้เข้ม เพื่อผ่านด่านตรวจของจีนได้ราบรื่นในทุกสถานการณ์. แนวโน้มจีน “คุมเข้มคุณภาพ” เช่น การเพิ่มห้องแล็บตรวจสารต้องห้ามและการยืดเวลาเปิดด่าน สะท้อนมาตรฐานที่สูงขึ้นและการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัยผู้บริโภค

ตัวเลขที่ต้องเฝ้าดู “เวลา–คิว–สูญเสีย”

เมื่อด่านแออัด สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพ สินค้าบางชนิดมี อายุการขาย สั้น การจอดคารอแดด 24–48 ชั่วโมง สามารถทำให้ ชั้นคุณภาพตกสเปค และราคาต่อหน่วยลดลงทันที การเพิ่มด่านยูนนานสองจุดเท่ากับเพิ่มท่อระบายใหม่ ให้ผู้ส่งออกเลือก “จราจรเบาบางกว่า” เพื่อรักษาคุณภาพและราคาขายปลายทาง โดยเฉพาะช่วงพีกของทุเรียนและลำไยที่ออกพร้อมกันในบางสัปดาห์. ข้อมูลภาคสนามชี้ว่า ในวันเร่งด่วน โหย่วอี้กวาน รองรับตู้ผลไม้ได้มากที่สุดในทุกด่าน แต่ก็ยอมรับว่าความแออัดยังเกิดซ้ำในฤดูกาล จึงต้องพึ่งด่านทางเลือกมากขึ้น

ภาพใหญ่ของ “1.8 แสนล้าน”โตได้อีก หากแก้โจทย์ “คุณภาพ–มาตรฐาน–รางเย็น”

ตลาดจีนยังโตต่อ โดยเฉพาะกลุ่มเมืองชั้นรองในยูนนาน เสฉวน ฉงชิ่ง การรักษามูลค่า 1.8 แสนล้านบาทให้ “โตแบบยั่งยืน” ต้องทำสามเรื่องพร้อมกัน

  1. มาตรฐานคุณภาพ: GAP, GMP และ Traceability ต้องเข้ม ระบบตรวจย้อนกลับช่วยลดความเสี่ยงการปฏิเสธสินค้าเมื่อเกิดปัญหา ปัจจุบันจีนเน้นความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  2. โครงสร้างเย็น (Cold Chain): การลงทุน “รางเย็น” เชื่อมไทย–ลาว–จีน จะยกระดับคุณภาพถึงมือผู้บริโภค เพิ่มราคาต่อหน่วยและสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยในตลาดบน
  3. ข้อมูลและการตลาดดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มค้าปลีกในจีนเชื่อมผู้ซื้อปลายทาง เพิ่มยอดขายตรง ลดการพึ่งพาตัวกลางในบางสินค้า.

ทำวันนี้ให้ทัน 1 กันยา และทำพรุ่งนี้ให้ยั่งยืน

สำหรับภาครัฐ

  • ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการด่าน ชั่วคราว 60 วันแรก หลัง 1 กันยายน เพื่อแก้ปัญหาทันที ทั้งคิวตรวจ รถเข้า–ออก เอกสาร และระบบ IT หน้างาน
  • เร่ง “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ติดงานก่อสร้าง โดยเฉพาะด่านภูดู่ พร้อมวางแผนสำรองจุดพักรถ แดดร่มกันฝน และระบบคิวอัจฉริยะ ลดความร้อนของสินค้าในระหว่างรอ
  • จัดทำ ไกด์ไลน์ส่งออกตรง ให้ผู้ประกอบการไทยที่พร้อม สามารถขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าฝั่งจีนได้ง่ายขึ้น ร่วมกับการอบรมข้อกำหนด GACC และมาตรฐานจีนสมัยใหม่
  • ทำ MoU ด้าน ข้อมูลคิวด่านแบบเรียลไทม์ แลกเปลี่ยนกับฝั่งจีน ให้ผู้ประกอบการเลือกเส้นทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการ–เกษตรกร

  • วางแผนเส้นทางใหม่ “ผ่านยูนนาน” เข้าสู่ตลาดตอนใน ลดการพึ่งด่านกว่างซีเพียงเส้นทางเดียว
  • ลงทุนในบรรจุภัณฑ์และ พรีคูล เพื่อคุมอุณหภูมิ ตั้งแต่สวนถึงด่าน ลดการตกชั้นคุณภาพ
  • สำรวจช่องทาง อีคอมเมิร์ซจีน ร่วมกับคู่ค้า เพื่อขายตรงในเมืองเป้าหมาย

สำหรับโลจิสติกส์

  • เตรียม Fleet Management รองรับหลายด่าน กระจายรถและคนขับ ลด Dead time หน้าด่าน
  • ลงทุน Cold Chain Mobile และระบบติดตามอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ ส่งข้อมูลให้ผู้ซื้อปลายทาง สร้างความเชื่อมั่น

 “เปิดด่านใหม่คือการต่อยอดพิธีสารเดิม”

สาระสำคัญของข้อตกลงคือ “การปรับปรุงภาคผนวกของพิธีสารขนส่งผลไม้ผ่านประเทศที่สาม” ซึ่งไทย–จีนเคยลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้า การเพิ่มด่านครั้งนี้จึงเป็นการ “ต่อยอดกรอบเดิม” ให้ความร่วมมือเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ภาครัฐไทยสื่อสารชัดว่า การเปิดใช้ 1 กันยายน จะ “ลดต้นทุน เพิ่มทางเลือก” และหนุนให้การค้าผลไม้ไทยในจีนเติบโตมากขึ้น

ในทางปฏิบัติ ฝั่งไทยยังเดินหน้าตรวจเยี่ยมด่านและประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ทุ่งช้าง–ห้วยโก๋น ไปจนถึงบ้านฮวก ขณะที่ฝั่งอุตรดิตถ์เร่งเครื่องก่อสร้างภูดู่ เพื่อไล่ให้ทันกำหนดการเปิดด่านพร้อมกันทั้งแพ็ก ความต่อเนื่องเช่นนี้คือสัญญาณบวก ว่าจิ๊กซอว์ฝั่งไทยกำลังถูกวางลงกระดานอย่างจริงจัง

จับตา 4 ตัวชี้วัด หลัง 1 กันยายน 2568

  1. เวลารอคิวหน้าด่าน เฉลี่ยลดลงกี่ชั่วโมง เมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน
  2. สัดส่วนสินค้าผ่านยูนนาน เทียบกว่างซี เพิ่มขึ้นแค่ไหนใน 60 วันแรก
  3. อัตราการปฏิเสธสินค้า จากปัญหามาตรฐาน ลดลงหรือไม่ หลังจีนเพิ่มห้องปฏิบัติการและขยายเวลาเปิดด่าน
  4. ราคาหน้าสวน ของทุเรียน–ลำไยในจุดผลิตหลัก ดีขึ้นตามต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลงหรือไม่

ด่านใหม่คือ “จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่ “ปลายทาง”

การเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่งในวันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นก้าวครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานผลไม้ไทย–จีน เป้าหมายคือคลายคอขวด ลดต้นทุน และกระจายเส้นทางสู่ตลาดตอนในของจีน แต่ความสำเร็จระยะยาวจะเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราจัดการ “งานในบ้าน” ให้เรียบร้อย เร่งโครงสร้างพื้นฐานให้ทันเส้นตาย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเชิงรุก และลดการพึ่งพาตัวกลางด้วยช่องทางการตลาดใหม่ๆ หากทำครบถ้วน ด่านใหม่จะไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่จะเป็น “สะพานแห่งความสามารถแข่งขัน” ที่ช่วยให้มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาทเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคงในปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (PRD)
  • กรมศุลกากร
  • ด่านศุลกากรทุ่งช้าง / ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง: หลักฐานสถานะ e-bidding โครงการก่อสร้าง ด่านภูดู่ กลางเดือนกรกฎาคม 2568.
  • จังหวัดพะเยา (สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัด): รายงานประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับ จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก 6 ส.ค. 2568.
  • Global Times: รายงานการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลไม้ไทยผ่าน โมหาน–รถไฟจีน–ลาว ยืนยันบทบาทเส้นทางรางในระบบโลจิสติกส์ใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โลจิสติกส์บูม! คลังสินค้าไทยผงาดเป็นศูนย์กลางโลก พร้อมปลดล็อกเชียงแสน

ไทยผงาดเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าโลก รับแรงส่งการลงทุนต่างชาติ EEC-โลจิสติกส์บูม ขณะเชียงแสนเร่งปลดล็อกศักยภาพประตูการค้าจีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยกำลังย่างก้าวขึ้นสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญในฐานะ “ศูนย์กลางคลังสินค้าโลก” โดยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสการย้ายฐานการผลิตและการจัดจำหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่มองหาจุดยุทธศาสตร์ที่มั่นคงสำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้า

การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของ 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของประเทศ ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมาตรฐานคลังสินค้าที่เทียบเท่าระดับสากล ซึ่งสะท้อนผ่านการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าของภาคเอกชนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประตูสู่ท่าเรือและเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ภาคเอกชนเร่งขยายลงทุน รับดีมานด์พุ่งทะยาน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าไทยปรากฏชัดเจนจากผลการดำเนินงานของผู้เล่นรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ

SCX Corporation บริษัทลูกในเครือ SC Asset ที่มุ่งเน้นธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ได้ประกาศแผนการลงทุน 20,000 ล้านบาทระหว่างปี 2568-2572 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้สูงถึง 110,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 260% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทะลุ 150,000 ตารางเมตร

ความสำเร็จของ SCX ปรากฏชัดจากโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ซึ่งพื้นที่อาคารทั้งหมดถูกเช่าเต็ม 100% ทันทีที่เปิดตัว จุดแข็งของ SCX อยู่ที่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งสัญชาติ (ญี่ปุ่น 25%, จีน 23%) และประเภทธุรกิจ (โลจิสติกส์ 45%, การผลิต 25%, ดาต้าเซ็นเตอร์ 16%) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัวคลังสินค้า “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 คลังสินค้าแห่งใหม่นี้มีพื้นที่กว่า 34,200 ตร.ม. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยได้รับการออกแบบตามมาตรฐานสากลและมุ่งสู่การเป็น “Green Warehouse” เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยยึดหลัก ESG พร้อมแผนก่อสร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เร่งขยายพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอีกเกือบ 6,000 ตารางเมตร นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า-ส่งออกที่ต้องการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เมื่อรวมพื้นที่เดิม คลังสินค้าปลอดอากรของ SINO จะเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ตารางเมตร จากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร และมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ภายในปี 2569

ข้อมูลจากตลาดโลจิสติกส์ไทยชี้ว่า ในปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่ 150,686 ตร.ม. เข้าสู่ตลาด โดย EEC จะคิดเป็น 72% ของอุปทานในอนาคต ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว

เชียงแสน-เชียงของ ประตูการค้าเหนือที่กำลังปลดล็อกศักยภาพ

ขณะที่ภาคกลางและตะวันออกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภาคเหนือก็กำลังเขียนบทใหม่ด้วยการยกระดับท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าและโลจิสติกส์สำคัญ การพัฒนาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา แต่คือการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่ารวม 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกผ่านท่าเรือมีมูลค่า 5,650 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 312 ล้านบาท

ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของการขนส่งสินค้าทางน้ำกับจีน ด้วยขีดความสามารถที่สูงถึง 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่าตัว แต่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันมহาศาลนี้ยังคงไม่เต็มที่ สาเหตุหลักมาจาก “ความท้าทายในการเดินเรือ” ในแม่น้ำโขง ทั้งในเรื่องกระแสน้ำเชี่ยวในฤดูน้ำหลากและระดับน้ำที่ตื้นเขินในฤดูแล้ง

อย่างไรก็ตาม ความหวังใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากการประกาศของสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ที่อนุมัติให้ “ท่าเรือกวนเหล่ย” ในมณฑลยูนนานของจีน มีสถานะเป็น “ด่านเฉพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” อย่างเป็นทางการ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของภาคการส่งออกไทย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป “ผลไม้ไทย” จะสามารถเดินทางจากท่าเรือเชียงแสนตรงไปยังจีนทางแม่น้ำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีการหลายขั้นตอนเหมือนในอดีต

การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาคอขวดที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญ และคาดการณ์ว่าปริมาณการนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะพุ่งสูงถึง 150,000 ตัน ในปี 2568 และแตะ 300,000 ตัน ภายในปี 2573 โดยผลไม้สด เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปยังจีนผ่านเส้นทาง R3A

ควบคู่ไปกับการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน อำเภอเชียงของ กำลังถูกวางตำแหน่งให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบ” (Multimodal Logistics Hub) และ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” (SEZ) ที่สำคัญ โดยมีจุดเด่นจากการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งทางถนน (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4), ทางน้ำ และในอนาคตอันใกล้นี้คือทางรถไฟ

การแข่งขันจากรถไฟจีน-ลาว บทท้าทายที่เป็นโอกาส

การเปิดให้บริการ “รถไฟจีน-ลาว” เมื่อปลายปี 2564 ได้สร้างคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ในแวดวงโลจิสติกส์ภาคเหนือ เส้นทางใหม่นี้ไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่คือ “ตัวเร่ง” ให้ท่าเรือเชียงแสนและเชียงของต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรถไฟจีน-ลาวมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในหลายด้าน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนน R3A และ 42% เมื่อเทียบกับเส้นทางแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังลดเวลาการขนส่งผลไม้สดจากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ ให้เหลือเพียง 55 ชั่วโมง เร็วกว่าการขนส่งแบบเดิมถึง 1 วัน

ข้อมูลปี 2566 แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรไทย โดยดูดซับผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยมากกว่า 40% นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าการเกิดขึ้นของรถไฟจีน-ลาว คือการเปลี่ยนเกมครั้งสำคัญที่จะผลักดันให้การค้าและการลงทุนมุ่งไปสู่ระบบรางมากขึ้น และจะทำให้เส้นทางการค้าทางน้ำต้องหันมาเน้นการขนส่งสินค้าเฉพาะทางหรือสินค้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นหลัก

ประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทย

การขยายตัวครั้งใหญ่ในธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในหลายมิติ

การลงทุนขนาดใหญ่ในคลังสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ สร้างความต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในส่วนของการก่อสร้าง การบริหารจัดการคลังสินค้า และบริการสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง การที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้น ไม่เฉพาะในธุรกิจคลังสินค้า แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิต การค้า และอีคอมเมิร์ซ

ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าหรือผลิตในประเทศลดลง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ในราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น การมุ่งเน้นการสร้าง “Green Warehouse” การใช้พลังงานสะอาด และรถขุดไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เพื่อปลดล็อกศักยภาพของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าสำคัญของประเทศอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ที่ท่าเรือกวนเหล่ย รวมถึงประสานงานกับลาวเพื่อปรับปรุงเวลาทำการของด่านให้สอดคล้องกัน

การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ และโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อบูรณาการระบบขนส่งให้ครบทุกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญ

การแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำอย่างรอบด้าน รวมถึงการใช้โอกาสจากการที่ท่าเรือกวนเหล่ยเปิดเป็นด่านผลไม้ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลไม้ไทยให้สูงสุด และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน cold chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงแต่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ครบวงจรและยั่งยืน สร้างประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนทุกคนในทุกมิติ การปรับตัวและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ของประเทศไทย จะช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสทองจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกได้อย่างเต็มที่ และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • SC Asset Corporation (SCX Corporation) – รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปี 2568
  • Bangkok Post – รายงานการค้าชายแดน 10 เดือนแรก 2567
  • Knight Frank Thailand – รายงานตลาดโลจิสติกส์ไทย ครึ่งปีหลัง 2567
  • China Briefing – ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน 2568
  • บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด – ข่าวประชาสัมพันธ์การเปิดคลังสินค้าแหลมฉบัง
  • บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น – แผนขยายคลังสินค้าปลอดอากร
  • สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) – ประกาศอนุมัติท่าเรือกวนเหล่ย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เชียงรายเปิดประตูยาง นำร่องส่งตรงจีน ภาษีเหลือศูนย์ ดันคุณภาพชีวิตเกษตรกร

เชียงรายเตรียมเป็นประตูการค้าผ่านโขง เจรจาจีนซื้อตรงยางพารา 300 ตัน ลดภาษีเหลือ 0% สร้างจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยางพาราไทย

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์การส่งออกยางพาราของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจุดสำคัญ หลังเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศเปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาโรงงานจีน เตรียมนำร่องซื้อยางพาราจากเกษตรกรไทยโดยตรง 300 ตัน พร้อมสิทธิประโยชน์ภาษี 0% ผ่านลุ่มแม่น้ำโขงเข้าสู่มณฑลยูนนาน จีน เสริมบทบาทเชียงรายในฐานะ “จุดยุทธศาสตร์การค้าภาคเหนือ” สะท้อนนัยยะเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจทั้งจังหวัดและประเทศ

จุดเริ่มเปลี่ยนสมดุลการค้าชายแดนเหนือ

จุดเด่น ของโครงการนี้คือการส่งออกยางโดยตรงผ่าน “ด่านเชียงของ” จังหวัดเชียงราย ลดต้นทุนภาษีจาก 20% เหลือ 0% สอดคล้องกับกลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบโลจิสติกส์ที่เคยเน้นภาคใต้ ซึ่งแต่เดิมพ่อค้าจีนรับยางผ่าน 6 ด่านหลักในภาคใต้ของไทย ต้องแบกภาษีนำเข้าราว 7,500 บาท/ตัน รวมถึงภาษีแวตและค่าขนส่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ยางจากเชียงรายและภาคเหนือกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ได้เปรียบเชิงภาษีและโลจิสติกส์

ปัจจุบัน เครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศมีสมาชิกกระจายทั่วประเทศ โดย ภาคเหนือและอีสาน เป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อรวมศักยภาพการรวมกลุ่ม เกษตรกรไทยจะมีโอกาสขายยางในราคาดีขึ้น ลดการถูกกดราคาจากโรงงาน หรือหักค่าหัวคิวจากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการผลักดันโดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และกระทรวงเกษตรฯ

บทบาทใหม่ “เชียงรายฮับยางไทย” ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายในฐานะ “ประตูการค้าภาคเหนือ” กำลังขยายบทบาทจากเดิมที่เป็นจุดผ่านแดนสำคัญ สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปยางในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมทั้งเครือข่ายเกษตรกร ระบบขนส่งทางน้ำผ่านโขง และความร่วมมือระดับนโยบายกับจีนโดยตรง

ประเด็นสำคัญ ที่ตามมาคือ หากโครงการนี้นำร่องสำเร็จ ราคายางในพื้นที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสูง ลดแรงกดดันจากภาวะราคาตกต่ำ ส่วนผู้ประกอบการในภาคใต้ที่เคยได้เปรียบด้านโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของเส้นทางและรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ

อีกด้านหนึ่ง โรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ในจีนและลาวที่เคยลงทุนเพื่อรองรับยางจากภูมิภาคนี้อาจมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเข้ามาลงทุนร่วมกับท้องถิ่น ส่งเสริมการขยายกำลังผลิตและสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ในภาคเหนือ

วิเคราะห์ผลกระทบและอนาคตอุตสาหกรรมยางพารา

การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการส่งออกยางผ่านเชียงราย นอกจากจะลดภาษีให้เกษตรกร ยังเปิดโอกาสการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองในการกำหนดราคายางกับต่างประเทศ ลดการผูกขาดโดยนายหน้า การดำเนินโครงการนี้ยังมีส่วนช่วยให้การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานยางพาราไทยโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับคุณภาพยางพาราไทยมากกว่ายางจากประเทศอื่นในอาเซียน

ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเดินหน้าแก้ไขอุปสรรคเชิงระบบ เช่น การสนับสนุนค่าขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ในภาคเหนือ และการดูแลมาตรฐานการผลิตและแปรรูปยางให้สอดคล้องกับตลาดจีน เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงคุณภาพ

ความท้าทาย คือภาคเอกชนและชุมชนจะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ขยายเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากเชียงราย ขยายโอกาสการส่งออกไปยังตลาดจีนและประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ความคืบหน้าการส่งออกยางผ่านเชียงราย ไม่เพียงเปลี่ยนสมดุลทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมยางไทย แต่ยังตอกย้ำบทบาทของเชียงรายในฐานะ “ศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของภาคเหนือ” เปิดประตูใหม่สู่ตลาดจีนโดยตรง เสริมรายได้เกษตรกร กระตุ้นการจ้างงาน และสร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประชาชาติธุรกิจ
  • สำนักงานการยางแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • China Daily
  • World Bank Thailand Economic Monitor
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีน เวียดนาม และไทย ครองสัดส่วนการนำเข้าของกัมพูชามากกว่า 73%

จีน เวียดนาม และไทย ครองสัดส่วนการนำเข้าของกัมพูชามากกว่า 73%

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 สำนักข่าว Phnom Penh Post รายงานว่า จีน เวียดนาม และไทย มีสัดส่วนการนำเข้ารวมกันมากกว่า 73% ของการนำเข้าทั้งหมดของกัมพูชา จากข้อมูลของกรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (GDCE) ระบุว่า ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2567 กัมพูชานำเข้าสินค้าจากต่างประเทศรวมมูลค่าทั้งสิ้น 18.90 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดย 3 ประเทศหลัก ได้แก่ จีน เวียดนาม และไทย มีมูลค่าการนำเข้ารวม 13.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 73.59 % ของยอดการนำเข้าทั้งหมด เพื่อสนองความต้องการภายในประเทศและเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตและแปรรูปสินค้าเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

สัดส่วนการนำเข้าของกัมพูชาจาก 3 ประเทศหลัก
  1. จีน: กัมพูชานำเข้าสินค้าจากจีนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24.8 % จากปีก่อน หรือคิดเป็น 47.2% ของการนำเข้าทั้งหมด เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานและสถานประกอบการภายในประเทศ
  2. เวียดนาม: มูลค่าการนำเข้าจากเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 2.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13% หรือคิดเป็น 14.6% ของการนำเข้าทั้งหมด สินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้ามักเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเกษตร
  3. ไทย: กัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.3% หรือคิดเป็น 11.7% ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปและสินค้าสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ กัมพูชายังนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย จีนไทเป มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี สหรัฐอเมริกา ลาว อินเดีย เยอรมนี ออสเตรเลีย และเดนมาร์ก แต่สัดส่วนรวมกันน้อยกว่า 27% ของการนำเข้าทั้งหมด

การค้าระหว่างกัมพูชากับจีน เวียดนาม และไทย

จากข้อมูลของ GDCE ยังระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 จีน เวียดนาม และไทย ได้มีการนำเข้าสินค้าจากกัมพูชารวมมูลค่าประมาณ 4.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 23.8% ของการส่งออกทั้งหมดของกัมพูชาที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 17.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
  1. ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัมพูชาและ 3 ประเทศหลัก
    ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลของจีน เวียดนาม และไทย อยู่ในระดับที่ดีมาก และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แม้จีนจะไม่มีพรมแดนติดกับกัมพูชา แต่เป็นศูนย์กลางหลักในการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain) ส่วนเวียดนามและไทยซึ่งมีพรมแดนติดกับกัมพูชา ทำให้การซื้อขายสินค้าระหว่างกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค

  2. ความสำคัญของการค้าภายในภูมิภาค
    ความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกทำให้การค้าภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทวีความสำคัญมากขึ้น การดำเนินข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ส่งผลให้การค้าระหว่างกัมพูชากับจีน เวียดนาม และไทยเติบโตต่อเนื่อง กัมพูชาได้นำเข้าสินค้าจากทั้ง 3 ประเทศเพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีการส่งออกสินค้าจำนวนมากไปยังประเทศเหล่านี้เช่นกัน

โอกาสและความท้าทายของกัมพูชา

แม้การค้าและการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และพยายามใช้โอกาสจากความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

บทวิเคราะห์: ความร่วมมือและการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบจากจีน เวียดนาม และไทย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเสริมสร้างศักยภาพการผลิตและการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : phnompenhpost / cambodianess

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

นายกฯ ดันส่งออกต้นไม้ ไปยังซาอุดีอาระเบีย

 

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตาม ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างไทย – ซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุดีฯ ขยายพื้นที่สีเขียว และสร้างรายได้เพิ่มให้คนไทยจากการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ หลังส่งออกแล้วกว่า 2 แสนต้น 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย นายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกหน่วยงานพิจารณาแนวทางที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยคณะภาครัฐและภาคเอกชน ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6 – 10 มิถุนายน 2566 เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคี และส่งเสริมการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของไทยและซาอุดีฯ โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยซึ่งเดินทางร่วมคณะด้วยครั้งนี้พบว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุดีฯ ตามข้อริเริ่มซาอุดีอาระเบียสีเขียว (Saudi Green Initiative) และข้อริเริ่มตะวันออกกลางสีเขียว (Middle East Green Initiative) ซึ่งซาอุดีฯ มีแผนจะนำเข้าต้นไม้ไปปลูกทั่วประเทศ จำนวน 1 หมื่นล้านต้น เพื่อฟื้นฟูให้เกิดพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติ รวมถึงจะร่วมมือกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ และประเทศหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการปลูกต้นไม้ในภูมิภาคเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านต้น โดยปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งต้นไม้ไปยังซาอุดีฯ แล้วกว่า 2 แสนต้น และสามารถขยายการส่งออกได้อีกมากในอนาคต

ด้านกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 146,860 ต้น มูลค่ารวม 138,048,597.02 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2566) ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผลักดันการรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการนำไม้ยืนต้นที่มีค่ามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) รวมทั้งได้มอบวงเงินสินเชื่อให้เกษตรกรจากการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และมอบประกาศเกียรติคุณแก่ธนาคารต้นไม้ของชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ 

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันพิจารณาเพิ่มโอกาสการค้า การส่งออกให้กับคนไทย ยินดีที่ความสำเร็จจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์เพิ่มโอกาสค้าขาย ส่งออก เพิ่มอาชีพให้คนไทย และเกษตรกรไทย ประกอบกับ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และความยั่งยืนของระบบนิเวศ ทั้งนี้ ด้วยความสอดคล้องกันของนโยบายของซาอุดีฯ ในการส่งเสริมการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวในประเทศ และภูมิภาค จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยควรร่วมสนับสนุน เพื่อร่วมกันดำรงชีวิตในโลกอย่างยั่งยืน สมดุล ส่งต่อโลกที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว

โดยลิสต์ 38 ต้นไม้ไทย โอกาสส่งออกตลาดซาอุฯ ตามเป้าหมาย “Saudi Vision 2030” ของซาอุดีอาระเบีย มีแผนที่จะนำเข้าต้นไม้จากทั่วโลกเพื่อให้บรรลุตามนโยบายซาอุดีอาระเบียสีเขียว (The Saudi Green Initiative) เพื่อเปลี่ยนพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีชีวิตชีวา โดยการปลูกต้นไม้ 10,000 ล้านต้น และร่วมสนับสนุนผลักดันโครงการปลูกต้นไม้ 50,000 ล้านต้น ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ปัจจุบันประเทศไทยได้ส่งต้นไม้ไปยังซาอุฯ แล้วกว่า 200,000 ต้น และถือว่ายังมีโอกาสให้ไทยส่งออกต้นไม้ไปยังซาอุฯ ได้อีกมาก ซึ่งซาอุฯ จะร่วมมือกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ หรือกลุ่มประเทศ GCC (Gulf Cooperation Council) และประเทศหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการปลูกต้นไม้ในเอเชียตะวันตกเพิ่มอีก 4 หมื่นล้านต้น

1. ชมพูพันธุ์ทิพย์ (Tabebuia rosea)
2. นนทรี (Peltophorum pterocarpum, Yellow poinciana)
3. พุทราจีน (Ziziphus jujuba)
4. ศรีตรัง (Jacaranda mimosifolia)
5. หูกวาง (Terminalia catappa)
6. อรชุน (Terminalia arjuna, Arjuna Tree)
7. ไทรย้อยใบแหลม (Ficus benjamina, Weeping fig)
8. พฤกษ์ (Albizia lebbeck)
9. ยี่เข่ง (Lagerstroemia indica)
10. งิ้ว (Bombax cebia, Red kapok tree)
11. หางนกยูงฝรั่ง (Delonix regia)
12. มัลเบอร์รี (Morus nigra, Blackberry)
13. มะรุม (Moringa oleifera)
14. เลี่ยน (Melia azedarach)
15. มะเดื่อ (Ficus carica, Fig)
16. เลมอน (Citrus limon)
17. ส้มซ่า (Citrus aurantium)
18. คารอบ (Ceratonia siliqua, Carob Tree)
19. ส้มแมนดาริน (Citrus reticulata, Mandarin orange)
20. มะตูมซาอุ (Schinus terebinthifolius)
21. กระถินเทพา (Acacia mangium)
22. หยีน้ำ (Millettia pinnata)
23. นิโครธ (Ficus benghalensis)
24. ชัยพฤกษ์ (Cassia javanica)
25. ก้ามปู (Albizia saman)
26. ปีบ (Millingtonia hortensis, Tree jasmine)
27. เสี้ยวดอกขาว (Bauhinia variegate)
28. ชงโค (Bauhinia purpurea)
29. ราชพฤกษ์ (Cassia fistula)
30. มะขามเทศ (Pithecellobium dulce)
31. มะกอกโอลีฟ (Olea europaea, Olive)
32. โพ (Ficus religiosa, Sacred fig)
33. สะเดา (Azadirachta indica)
34. มะขาม (Tamarindus indica)
35. โพทะเล (Thespesia populnea)
36. กร่าง (Ficus altissima)
37. ปอทะเล (Hibiscus tiliaceus, Seacoast mallow)
38. ทามาริสก์ (Tamarix aphylla, Athel pine)

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News