“คนไทย ต้องมีงานทำ @เชียงราย” จากตัวเลขว่างงานต่ำ สู่โจทย์ใหญ่การยกระดับทักษะแรงงานและคุณภาพชีวิตคนเชียงราย
เชียงราย, 8 ธันวาคม 2568 – ยามเช้าบริเวณหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อประชาชนหลากหลายวัย – ตั้งแต่นักศึกษาจบใหม่ แรงงานที่กำลังมองหางานใหม่ ไปจนถึงผู้ที่อยากเริ่มต้นอาชีพอิสระ – ทยอยเดินเข้ามาที่งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” ภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงแรงงานและจังหวัดเชียงราย เป้าหมายไม่ใช่เพียง “หางานให้ได้” แต่คือการ “สร้างโอกาสในการมีชีวิตที่มั่นคงขึ้น” ให้กับแรงงานในพื้นที่ภาคเหนือชายแดนสำคัญของประเทศ
เบื้องหลังงานนี้ คือความพยายามเชื่อมโยง นโยบายระดับประเทศ เข้ากับ สถานการณ์จริงในจังหวัด ผ่านการเปิดรับสมัครงานกว่า 1,300 อัตรา จับคู่แรงงาน–นายจ้างอย่างเป็นระบบ และเสริมด้วยกิจกรรมอัปสกิล–รีสกิล ที่เตรียมแรงงานเชียงรายให้พร้อมรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานในอนาคต
แรงงานเชียงราย ว่างงานต่ำ แต่โครงสร้าง “เปราะบาง” จากแรงงานนอกระบบกว่า 5 แสนคน
แม้ตัวเลข “อัตราว่างงาน” จะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า “ต่ำมาก” หากเทียบกับหลายจังหวัด แต่โครงสร้างแรงงานเชียงรายสะท้อนความท้าทายเชิงลึกที่ซับซ้อนกว่านั้น
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 960,013 คน ในจำนวนนี้เป็น กำลังแรงงาน 612,173 คน หรือคิดเป็น 63.77% ของประชากรทั้งหมด มีผู้มีงานทำ 606,590 คน และผู้ว่างงานเพียง 2,591 คน ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของจังหวัดสามารถดูดซับแรงงานได้ค่อนข้างดีในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ จำนวนแรงงานนอกระบบกว่า 507,372 คน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับกำลังแรงงานทั้งหมด โดยกว่า 70% อยู่ในภาคเกษตรกรรมและประมง สะท้อนภาพจังหวัดที่ยังพึ่งพาเศรษฐกิจดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง และยังมีช่องว่างด้านสวัสดิการ–หลักประกันทางสังคมที่แรงงานกลุ่มนี้อาจเข้าไม่ถึง
อีกด้านหนึ่ง จังหวัดเชียงรายมีผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 รวมกว่า 166,177 คน ตัวเลขนี้แสดงว่า มีแรงงานจำนวนไม่น้อยที่เริ่มเข้าสู่ระบบประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย แต่เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานนอกระบบทั้งหมด ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาการคุ้มครองทางสังคมอีกมาก
ในภาพรวม เชียงรายจึงเป็นจังหวัดที่ “คนส่วนใหญ่มีงานทำ” แต่คุณภาพงาน ความมั่นคง ความสอดคล้องของทักษะกับตำแหน่งงาน และการปกป้องสิทธิแรงงาน ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องการเครื่องมือเชิงนโยบายและโครงการในพื้นที่เข้ามาช่วยเสริม
เวทีจับคู่แรงงาน–นายจ้าง 54 สถานประกอบการ 1,317 อัตรา เชื่อมคนหางานเข้ากับโอกาสจริง
งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยกระทรวงแรงงานร่วมกับจังหวัดเชียงรายและภาคีเครือข่าย ภายในงานมี สถานประกอบการเข้าร่วม 54 แห่ง เปิดรับสมัครงานรวม 410 ตำแหน่ง จำนวน 1,317 อัตรา ครอบคลุมทั้งงานประจำ งานพาร์ตไทม์ และตำแหน่งงานสำหรับคนพิการ
ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นสถานประกอบการที่มารับสมัครโดยตรงในพื้นที่ 40 แห่ง และอีก 14 แห่ง ฝากรับสมัครผ่านเจ้าหน้าที่จัดหางาน ขณะเดียวกันยังมีการเตรียม ตำแหน่งงานในจังหวัดใกล้เคียงกว่า 3,000 อัตรา ทั้งเชียงใหม่ พะเยา แพร่ และน่าน เพื่อขยายทางเลือกให้ผู้หางานที่พร้อมย้ายถิ่นทำงานในภูมิภาคเหนือ
ตำแหน่งงานที่ตลาดต้องการสูงในครั้งนี้ ได้แก่
- พนักงานขาย
- ช่างซ่อมบำรุง
- ผู้จัดการแผนก
- เจ้าหน้าที่คลังสินค้า
- งานด้านการเงิน–บัญชี
พร้อมด้วยตำแหน่งเฉพาะทางที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น
- ล่ามภาษาจีน สำหรับรองรับภาคการค้าและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
- วิศวกรซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.วิชาชีพ) รองรับภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น
- งานด้านโลจิสติกส์ ที่เติบโตตามการขนส่งชายแดนและอีคอมเมิร์ซ
- งานสายครีเอทีฟและการสร้างคอนเทนต์ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์
ภายในงาน ผู้หางานสามารถ สมัครและสัมภาษณ์งานได้ทันที ซึ่งช่วยลดช่องว่างระหว่าง “ใบสมัครบนกระดาษ” กับ “โอกาสได้งานจริง” ให้กลายเป็นประสบการณ์ตรงของแรงงานในจังหวัด
“คนไทย ต้องมีงานทำ” จากนโยบายส่วนกลาง สู่สนามจริงที่เชียงราย
เวลา 09.45 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2568 นายสันติ นันตสุวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้ตรวจราชการ หน่วยงานในสังกัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ประกอบการ แรงงานอิสระ อาสาสมัครแรงงาน บัณฑิตแรงงาน และนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมอย่างคับคั่ง
นายสันติระบุในภาพรวมว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบาย “คนไทย ต้องมีงานทำ” ภายใต้การกำกับของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายประยุทธ์ เทียนทอง (นุช เทียนทอง) ในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งกำหนด นโยบายสำคัญ 5 ด้าน เพื่อรองรับทั้งสถานการณ์เร่งด่วนและผลกระทบระยะยาวของตลาดแรงงานไทย ได้แก่
- การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน – โดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา ที่สะเทือนต่อหลายภาคอุตสาหกรรม
- การยกระดับทักษะแรงงาน (Up Skill / Re Skill) – ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมในอนาคต
- การส่งเสริมสวัสดิการแรงงานและความมั่นคงในชีวิต – รวมถึงการผลักดันกฎหมายแรงงานที่จำเป็น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดปัญหาสังคม
- การสร้างโอกาสให้แรงงานไทยทำงานต่างประเทศ – เพื่อเสริมรายได้ครอบครัวและหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
- การใช้เทคโนโลยียกระดับบริการภาครัฐด้านแรงงาน – เช่น การให้บริการด้านประกันสังคมและการจัดหางานที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย
นายสันติเน้นว่า นโยบายทั้ง 5 ด้านนี้ไม่ได้อยู่แค่ในเอกสาร แต่ต้อง “ลงถึงพื้นที่จริง” ผ่านกิจกรรมเชิงรูปธรรมอย่างการจัดงานนัดพบแรงงานในจังหวัดต่าง ๆ และงานที่เชียงรายถือเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญ เพราะจังหวัดมีทั้งศักยภาพทางเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ที่ต้องการแรงงานคุณภาพควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะของคนในพื้นที่
ติดอาวุธดิจิทัล–อาชีพอิสระ ทางเลือกใหม่ในวันที่งานประจำไม่พอสำหรับทุกคน
หนึ่งในประเด็นที่รองปลัดกระทรวงแรงงานหยิบยกขึ้นมาคือ ปัญหาที่ไม่ได้อยู่แค่ “จำนวนตำแหน่งงานว่าง” แต่คือ “ความไม่ตรงกัน” ระหว่างคุณสมบัติผู้หางานกับความต้องการของนายจ้าง โดยเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาในสาขาที่ตลาดงานไม่ได้ต้องการสูง หรือมีทักษะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
เพื่อตอบโจทย์นี้ ภายในงานจึงไม่ได้มีเพียงบูธรับสมัครงาน แต่ยังมี กิจกรรมเสริมสร้างทักษะและอาชีพหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
- การบรรยายพิเศษด้าน ทักษะดิจิทัลและ AI สำหรับแรงงานยุคใหม่
- การให้คำปรึกษาเรื่องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- การจำลองโลกอาชีพเสมือนจริงผ่าน แว่น VR เพื่อให้ผู้สนใจได้ลอง “เห็น–สัมผัส–ทดลอง” งานในสายต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจ
- กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จ
ควบคู่ไปกับนั้น ยังมี “โซนอาชีพอิสระ” ที่เปิดให้ประชาชนทดลองฝึกปฏิบัติจริง ทั้งการทำอาหารและเครื่องดื่มยุคใหม่ การทำขนมเพื่อสุขภาพ การสร้างคอนเทนต์ออนไลน์ งานหัตถกรรม และทักษะบริการต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นอาชีพที่ เริ่มต้นได้ง่าย ใช้ต้นทุนน้อย แต่สามารถต่อยอดเป็นรายได้จริง
แนวคิดทั้งหมดนี้สอดคล้องกับโครงการ “3 ม. – มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม” ที่กระทรวงแรงงานใช้เป็นกรอบในการผลักดัน “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้แรงงานไทยสามารถกลับมาอัปสกิล–รีสกิลได้ตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในวัยเรียน วัยทำงาน หรือวัยใกล้เกษียณ
5 หน่วยงานหลักของกระทรวงแรงงาน กลไกเบื้องหลังที่ทำให้นโยบายเดินได้จริง
เบื้องหลังงานขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ได้มีเพียงกรมการจัดหางาน แต่เป็นการบูรณาการร่วมกันของ 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่
- สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน – ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายในภาพรวม ภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและปลัดกระทรวง
- กรมการจัดหางาน – รับผิดชอบด้านข้อมูลตำแหน่งงานว่าง การประสานนายจ้าง–ผู้หางาน และจัดงานนัดพบแรงงานเช่นครั้งนี้
- กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน – เป็นกำลังหลักในการจัดการอบรม Up Skill / Re Skill เพื่อให้คุณสมบัติของผู้สมัครใกล้เคียงกับที่นายจ้างต้องการมากที่สุด
- สำนักงานประกันสังคม (สปส.) – ดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เมื่อแรงงานจากสถานะ “ผู้ว่างงาน” ก้าวเข้าสู่สถานประกอบการ ทั้งกรณีเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และสิทธิอื่น ๆ ตามกฎหมายประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน
- กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน – กำกับดูแลเรื่องอัตราค่าจ้าง ค่าแรง และสภาพการทำงาน เพื่อให้แรงงานที่เข้าสู่ระบบได้รับค่าตอบแทนตามที่กฎหมายกำหนด และมีความปลอดภัยในการทำงาน
การรวมพลังของทั้ง 5 หน่วยงาน ทำให้งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” ไม่ได้เป็นเพียงเวทีหางานชั่วคราว แต่เป็น “จุดเชื่อม” ระหว่าง นโยบาย–ตลาดแรงงาน–คุณภาพชีวิต ที่ทำให้แรงงานในจังหวัดเห็นเส้นทางการพัฒนาตนเองอย่างเป็นระบบ
จากเวทีรับสมัครงานหนึ่งครั้ง สู่คำถามใหญ่ของอนาคตแรงงานเชียงราย
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขทั้งหมด ภาพที่ปรากฏคือ
- เชียงรายมี อัตราว่างงานต่ำ – ผู้ไม่มีงานทำมีเพียง 2,591 คน จากกำลังแรงงานกว่า 6 แสนคน
- แต่มี แรงงานนอกระบบกว่า 5 แสนคน ส่วนใหญ่ในภาคเกษตรกรรมและประมง ที่ยังเผชิญความไม่แน่นอนในรายได้และไม่มีหลักประกันทางสังคมเท่าที่ควร
- ตลาดแรงงานเริ่มต้องการ ทักษะใหม่ – ทั้งด้านดิจิทัล AI โลจิสติกส์ ภาษาต่างประเทศ และงานครีเอทีฟ ที่แตกต่างจากโครงสร้างเศรษฐกิจดั้งเดิมของจังหวัด
ในบริบทเช่นนี้ งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” จึงทำหน้าที่มากกว่าการเติม “ตำแหน่งงานว่าง” ให้เต็ม หากแต่เป็นพื้นที่ทดลองของแนวคิดใหม่ ได้แก่
- การนำ นโยบายส่วนกลาง ลงสู่พื้นที่ ผ่านกลไกเชิงรูปธรรมที่ประชาชนจับต้องได้
- การพยายามเชื่อม แรงงานดั้งเดิม–แรงงานรุ่นใหม่–แรงงานนอกระบบ เข้ากับทักษะใหม่ในโลกดิจิทัล
- การส่งสัญญาณว่า “งานประจำ” อาจไม่ใช่คำตอบเดียว แต่ “อาชีพอิสระที่มีทักษะรองรับ” ก็สามารถเป็นเส้นทางสู่ความมั่นคงได้เช่นกัน หากมีโครงสร้างสนับสนุนที่เหมาะสม
สุดท้าย การที่ภาครัฐ–สถานศึกษา–นายจ้าง–แรงงาน–ชุมชน เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันในสองวันนี้ ทำให้คำว่า “คนไทย ต้องมีงานทำ” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนบนเวที หากแต่เริ่มกลายเป็น กระบวนการร่วมกัน ที่ต้องเดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อให้คนเชียงรายไม่เพียงแค่ “มีงานทำ” แต่ยัง “มีชีวิตการทำงานที่มีศักดิ์ศรีและมั่นคงมากขึ้น”
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กระทรวงแรงงาน
- กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
- สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย
- กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน
- สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
- กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
- มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย



































