Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

5 แสนแรงงานนอกระบบ! โจทย์ใหญ่เชียงราย งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ” เชื่อม 1,300 อัตรา สู่ทักษะใหม่

คนไทย ต้องมีงานทำ @เชียงราย” จากตัวเลขว่างงานต่ำ สู่โจทย์ใหญ่การยกระดับทักษะแรงงานและคุณภาพชีวิตคนเชียงราย

เชียงราย, 8 ธันวาคม 2568 – ยามเช้าบริเวณหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อประชาชนหลากหลายวัย – ตั้งแต่นักศึกษาจบใหม่ แรงงานที่กำลังมองหางานใหม่ ไปจนถึงผู้ที่อยากเริ่มต้นอาชีพอิสระ – ทยอยเดินเข้ามาที่งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” ภายใต้การขับเคลื่อนของกระทรวงแรงงานและจังหวัดเชียงราย เป้าหมายไม่ใช่เพียง “หางานให้ได้” แต่คือการ “สร้างโอกาสในการมีชีวิตที่มั่นคงขึ้น” ให้กับแรงงานในพื้นที่ภาคเหนือชายแดนสำคัญของประเทศ

เบื้องหลังงานนี้ คือความพยายามเชื่อมโยง นโยบายระดับประเทศ เข้ากับ สถานการณ์จริงในจังหวัด ผ่านการเปิดรับสมัครงานกว่า 1,300 อัตรา จับคู่แรงงาน–นายจ้างอย่างเป็นระบบ และเสริมด้วยกิจกรรมอัปสกิล–รีสกิล ที่เตรียมแรงงานเชียงรายให้พร้อมรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานในอนาคต

แรงงานเชียงราย ว่างงานต่ำ แต่โครงสร้าง “เปราะบาง” จากแรงงานนอกระบบกว่า 5 แสนคน

แม้ตัวเลข “อัตราว่างงาน” จะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า “ต่ำมาก” หากเทียบกับหลายจังหวัด แต่โครงสร้างแรงงานเชียงรายสะท้อนความท้าทายเชิงลึกที่ซับซ้อนกว่านั้น

ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป 960,013 คน ในจำนวนนี้เป็น กำลังแรงงาน 612,173 คน หรือคิดเป็น 63.77% ของประชากรทั้งหมด มีผู้มีงานทำ 606,590 คน และผู้ว่างงานเพียง 2,591 คน ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของจังหวัดสามารถดูดซับแรงงานได้ค่อนข้างดีในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ จำนวนแรงงานนอกระบบกว่า 507,372 คน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับกำลังแรงงานทั้งหมด โดยกว่า 70% อยู่ในภาคเกษตรกรรมและประมง สะท้อนภาพจังหวัดที่ยังพึ่งพาเศรษฐกิจดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง และยังมีช่องว่างด้านสวัสดิการ–หลักประกันทางสังคมที่แรงงานกลุ่มนี้อาจเข้าไม่ถึง

อีกด้านหนึ่ง จังหวัดเชียงรายมีผู้ประกันตนตามมาตรา 33, 39 และ 40 รวมกว่า 166,177 คน ตัวเลขนี้แสดงว่า มีแรงงานจำนวนไม่น้อยที่เริ่มเข้าสู่ระบบประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย แต่เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานนอกระบบทั้งหมด ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาการคุ้มครองทางสังคมอีกมาก

ในภาพรวม เชียงรายจึงเป็นจังหวัดที่ “คนส่วนใหญ่มีงานทำ” แต่คุณภาพงาน ความมั่นคง ความสอดคล้องของทักษะกับตำแหน่งงาน และการปกป้องสิทธิแรงงาน ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องการเครื่องมือเชิงนโยบายและโครงการในพื้นที่เข้ามาช่วยเสริม

เวทีจับคู่แรงงาน–นายจ้าง 54 สถานประกอบการ 1,317 อัตรา เชื่อมคนหางานเข้ากับโอกาสจริง

งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยกระทรวงแรงงานร่วมกับจังหวัดเชียงรายและภาคีเครือข่าย ภายในงานมี สถานประกอบการเข้าร่วม 54 แห่ง เปิดรับสมัครงานรวม 410 ตำแหน่ง จำนวน 1,317 อัตรา ครอบคลุมทั้งงานประจำ งานพาร์ตไทม์ และตำแหน่งงานสำหรับคนพิการ

ในจำนวนนี้ แบ่งเป็นสถานประกอบการที่มารับสมัครโดยตรงในพื้นที่ 40 แห่ง และอีก 14 แห่ง ฝากรับสมัครผ่านเจ้าหน้าที่จัดหางาน ขณะเดียวกันยังมีการเตรียม ตำแหน่งงานในจังหวัดใกล้เคียงกว่า 3,000 อัตรา ทั้งเชียงใหม่ พะเยา แพร่ และน่าน เพื่อขยายทางเลือกให้ผู้หางานที่พร้อมย้ายถิ่นทำงานในภูมิภาคเหนือ

ตำแหน่งงานที่ตลาดต้องการสูงในครั้งนี้ ได้แก่

  • พนักงานขาย
  • ช่างซ่อมบำรุง
  • ผู้จัดการแผนก
  • เจ้าหน้าที่คลังสินค้า
  • งานด้านการเงิน–บัญชี

พร้อมด้วยตำแหน่งเฉพาะทางที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น

  • ล่ามภาษาจีน สำหรับรองรับภาคการค้าและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
  • วิศวกรซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.วิชาชีพ) รองรับภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น
  • งานด้านโลจิสติกส์ ที่เติบโตตามการขนส่งชายแดนและอีคอมเมิร์ซ
  • งานสายครีเอทีฟและการสร้างคอนเทนต์ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์

ภายในงาน ผู้หางานสามารถ สมัครและสัมภาษณ์งานได้ทันที ซึ่งช่วยลดช่องว่างระหว่าง “ใบสมัครบนกระดาษ” กับ “โอกาสได้งานจริง” ให้กลายเป็นประสบการณ์ตรงของแรงงานในจังหวัด

คนไทย ต้องมีงานทำ” จากนโยบายส่วนกลาง สู่สนามจริงที่เชียงราย

เวลา 09.45 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม 2568 นายสันติ นันตสุวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้ตรวจราชการ หน่วยงานในสังกัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ประกอบการ แรงงานอิสระ อาสาสมัครแรงงาน บัณฑิตแรงงาน และนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

นายสันติระบุในภาพรวมว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบาย “คนไทย ต้องมีงานทำ” ภายใต้การกำกับของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายประยุทธ์ เทียนทอง (นุช เทียนทอง) ในปีงบประมาณ 2569 ซึ่งกำหนด นโยบายสำคัญ 5 ด้าน เพื่อรองรับทั้งสถานการณ์เร่งด่วนและผลกระทบระยะยาวของตลาดแรงงานไทย ได้แก่

  1. การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน – โดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา ที่สะเทือนต่อหลายภาคอุตสาหกรรม
  2. การยกระดับทักษะแรงงาน (Up Skill / Re Skill) – ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมในอนาคต
  3. การส่งเสริมสวัสดิการแรงงานและความมั่นคงในชีวิต – รวมถึงการผลักดันกฎหมายแรงงานที่จำเป็น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดปัญหาสังคม
  4. การสร้างโอกาสให้แรงงานไทยทำงานต่างประเทศ – เพื่อเสริมรายได้ครอบครัวและหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
  5. การใช้เทคโนโลยียกระดับบริการภาครัฐด้านแรงงาน – เช่น การให้บริการด้านประกันสังคมและการจัดหางานที่สะดวก รวดเร็ว ทันสมัย

นายสันติเน้นว่า นโยบายทั้ง 5 ด้านนี้ไม่ได้อยู่แค่ในเอกสาร แต่ต้อง “ลงถึงพื้นที่จริง” ผ่านกิจกรรมเชิงรูปธรรมอย่างการจัดงานนัดพบแรงงานในจังหวัดต่าง ๆ และงานที่เชียงรายถือเป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญ เพราะจังหวัดมีทั้งศักยภาพทางเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ที่ต้องการแรงงานคุณภาพควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะของคนในพื้นที่

ติดอาวุธดิจิทัล–อาชีพอิสระ ทางเลือกใหม่ในวันที่งานประจำไม่พอสำหรับทุกคน

หนึ่งในประเด็นที่รองปลัดกระทรวงแรงงานหยิบยกขึ้นมาคือ ปัญหาที่ไม่ได้อยู่แค่ “จำนวนตำแหน่งงานว่าง” แต่คือ ความไม่ตรงกัน” ระหว่างคุณสมบัติผู้หางานกับความต้องการของนายจ้าง โดยเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาในสาขาที่ตลาดงานไม่ได้ต้องการสูง หรือมีทักษะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

เพื่อตอบโจทย์นี้ ภายในงานจึงไม่ได้มีเพียงบูธรับสมัครงาน แต่ยังมี กิจกรรมเสริมสร้างทักษะและอาชีพหลากหลายรูปแบบ ได้แก่

  • การบรรยายพิเศษด้าน ทักษะดิจิทัลและ AI สำหรับแรงงานยุคใหม่
  • การให้คำปรึกษาเรื่องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจำลองโลกอาชีพเสมือนจริงผ่าน แว่น VR เพื่อให้ผู้สนใจได้ลอง “เห็น–สัมผัส–ทดลอง” งานในสายต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจ
  • กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจจากผู้ประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จ

ควบคู่ไปกับนั้น ยังมี “โซนอาชีพอิสระ” ที่เปิดให้ประชาชนทดลองฝึกปฏิบัติจริง ทั้งการทำอาหารและเครื่องดื่มยุคใหม่ การทำขนมเพื่อสุขภาพ การสร้างคอนเทนต์ออนไลน์ งานหัตถกรรม และทักษะบริการต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นอาชีพที่ เริ่มต้นได้ง่าย ใช้ต้นทุนน้อย แต่สามารถต่อยอดเป็นรายได้จริง

แนวคิดทั้งหมดนี้สอดคล้องกับโครงการ “3 ม. – มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม” ที่กระทรวงแรงงานใช้เป็นกรอบในการผลักดัน “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้แรงงานไทยสามารถกลับมาอัปสกิล–รีสกิลได้ตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในวัยเรียน วัยทำงาน หรือวัยใกล้เกษียณ

5 หน่วยงานหลักของกระทรวงแรงงาน กลไกเบื้องหลังที่ทำให้นโยบายเดินได้จริง

เบื้องหลังงานขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ได้มีเพียงกรมการจัดหางาน แต่เป็นการบูรณาการร่วมกันของ 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่

  1. สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน – ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายในภาพรวม ภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและปลัดกระทรวง
  2. กรมการจัดหางาน – รับผิดชอบด้านข้อมูลตำแหน่งงานว่าง การประสานนายจ้าง–ผู้หางาน และจัดงานนัดพบแรงงานเช่นครั้งนี้
  3. กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน – เป็นกำลังหลักในการจัดการอบรม Up Skill / Re Skill เพื่อให้คุณสมบัติของผู้สมัครใกล้เคียงกับที่นายจ้างต้องการมากที่สุด
  4. สำนักงานประกันสังคม (สปส.) – ดูแลสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เมื่อแรงงานจากสถานะ “ผู้ว่างงาน” ก้าวเข้าสู่สถานประกอบการ ทั้งกรณีเจ็บป่วย อุบัติเหตุ และสิทธิอื่น ๆ ตามกฎหมายประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน
  5. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน – กำกับดูแลเรื่องอัตราค่าจ้าง ค่าแรง และสภาพการทำงาน เพื่อให้แรงงานที่เข้าสู่ระบบได้รับค่าตอบแทนตามที่กฎหมายกำหนด และมีความปลอดภัยในการทำงาน

การรวมพลังของทั้ง 5 หน่วยงาน ทำให้งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” ไม่ได้เป็นเพียงเวทีหางานชั่วคราว แต่เป็น “จุดเชื่อม” ระหว่าง นโยบาย–ตลาดแรงงาน–คุณภาพชีวิต ที่ทำให้แรงงานในจังหวัดเห็นเส้นทางการพัฒนาตนเองอย่างเป็นระบบ

จากเวทีรับสมัครงานหนึ่งครั้ง สู่คำถามใหญ่ของอนาคตแรงงานเชียงราย

เมื่อพิจารณาจากตัวเลขทั้งหมด ภาพที่ปรากฏคือ

  • เชียงรายมี อัตราว่างงานต่ำ – ผู้ไม่มีงานทำมีเพียง 2,591 คน จากกำลังแรงงานกว่า 6 แสนคน
  • แต่มี แรงงานนอกระบบกว่า 5 แสนคน ส่วนใหญ่ในภาคเกษตรกรรมและประมง ที่ยังเผชิญความไม่แน่นอนในรายได้และไม่มีหลักประกันทางสังคมเท่าที่ควร
  • ตลาดแรงงานเริ่มต้องการ ทักษะใหม่ – ทั้งด้านดิจิทัล AI โลจิสติกส์ ภาษาต่างประเทศ และงานครีเอทีฟ ที่แตกต่างจากโครงสร้างเศรษฐกิจดั้งเดิมของจังหวัด

ในบริบทเช่นนี้ งาน “คนไทย ต้องมีงานทำ @ เชียงราย” จึงทำหน้าที่มากกว่าการเติม “ตำแหน่งงานว่าง” ให้เต็ม หากแต่เป็นพื้นที่ทดลองของแนวคิดใหม่ ได้แก่

  • การนำ นโยบายส่วนกลาง ลงสู่พื้นที่ ผ่านกลไกเชิงรูปธรรมที่ประชาชนจับต้องได้
  • การพยายามเชื่อม แรงงานดั้งเดิม–แรงงานรุ่นใหม่–แรงงานนอกระบบ เข้ากับทักษะใหม่ในโลกดิจิทัล
  • การส่งสัญญาณว่า “งานประจำ” อาจไม่ใช่คำตอบเดียว แต่ “อาชีพอิสระที่มีทักษะรองรับ” ก็สามารถเป็นเส้นทางสู่ความมั่นคงได้เช่นกัน หากมีโครงสร้างสนับสนุนที่เหมาะสม

สุดท้าย การที่ภาครัฐ–สถานศึกษา–นายจ้าง–แรงงาน–ชุมชน เข้ามาอยู่ในพื้นที่เดียวกันในสองวันนี้ ทำให้คำว่า “คนไทย ต้องมีงานทำ” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนบนเวที หากแต่เริ่มกลายเป็น กระบวนการร่วมกัน ที่ต้องเดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อให้คนเชียงรายไม่เพียงแค่ “มีงานทำ” แต่ยัง “มีชีวิตการทำงานที่มีศักดิ์ศรีและมั่นคงมากขึ้น”

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงแรงงาน
  • กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย
  • กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน
  • สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
  • กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลิกเมืองโลจิสติกส์ แรงงานเชียงราย ต้อง Upskill รับ รถไฟเด่นชัย-เชียงของ ปี 2571

ภารกิจเร่งด่วน ‘คนไทยต้องมีงานทำ’ เมื่อเชียงรายเผชิญวิกฤตแรงงานคู่ขนาน ท่ามกลางเมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน พลิกเมืองสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เสียงย้ำของนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ที่ประกาศโดยกระทรวงแรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนสวยหรู หากแต่สะท้อน “ภารกิจระดับชาติ” ในการปกป้องความมั่นคงของประชาชน จากปัญหาการว่างงาน ความไม่มั่นคงทางรายได้ และความเสี่ยงจากรูปแบบอาชญากรรมใหม่ ๆ ที่กำลังกัดกินสังคมไทย

ในขณะที่รัฐบาลกลางเร่งเดินหน้าจัดหาตำแหน่งงาน 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน เชียงราย–ในฐานะประตูเศรษฐกิจชายแดนตอนบน–กำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของประวัติศาสตร์แรงงานจังหวัดหนึ่งด้านคือ “การเติบโตเชิงเร่ง” ของการจ้างงานและเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 8.5 หมื่นล้านบาท แต่อีกด้านคือ “โครงสร้างแรงงานที่เปราะบาง” แรงงานนอกระบบสูง ปรากฏการณ์แรงงานชายแดนช็อกแบบฉับพลัน และเงื่อนไข Skills Mismatch ที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคตอันใกล้

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “เชียงรายจะมีงานเพิ่มขึ้นเท่าไร” แต่คือ “คนเชียงราย พร้อมแค่ไหนที่จะได้งานที่มั่นคงและมีคุณภาพ” เมื่อรถไฟ รถบรรทุก และเครื่องบิน ขนสินค้าและผู้โดยสารหลั่งไหลเข้ามาเต็มศักยภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วิกฤตแรงงานระดับชาติ และคำประกาศ ‘คนไทยต้องมีงานทำ’

นโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมเป้าหมายจัดหาตำแหน่งงานมากกว่า 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและโครงข่ายศูนย์จัดหางานทั่วประเทศ

รัฐมนตรีแรงงานย้ำว่า ปัญหาการตกงานไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือรากเหง้าของวิกฤตทางสังคมหลายมิติ – ตั้งแต่ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหายาเสพติด ไปจนถึงการถูกล่อลวงโดยแก๊งสแกมเมอร์ที่โยกย้ายฐานปฏิบัติการตามช่องโหว่ของเศรษฐกิจชายแดน

“งานต้องการคน และคนก็ต้องการงาน หน้าที่ของรัฐคือทำให้สมการนี้ลงตัว โดยใช้ข้อมูลจริงจากตลาดแรงงาน เชื่อม นายจ้าง–ทักษะ–ความต้องการของประชาชน ให้เดินไปด้วยกัน”
– นางสาวตรีนุช เทียนทอง

ปฏิบัติการนี้ขับเคลื่อนผ่าน ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย” 87 แห่ง ทั้งส่วนกลางและสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีตำแหน่งงานว่างรองรับทันที 61,399 อัตรา ครอบคลุมภาคการผลิต การค้า โลจิสติกส์ ดิจิทัล ท่องเที่ยว และบริการ พร้อมตั้ง KPI ผลักดันการบรรจุงานเฉลี่ย วันละ 1,000 อัตรา

ในเชิงผลลัพธ์เชิงปริมาณ ตั้งแต่ตุลาคม 2568 ถึงปัจจุบัน กรมการจัดหางานบรรจุแรงงานในประเทศไปแล้ว 42,000 คน สร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 7,560 ล้านบาท และส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศกว่า 17,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละราว 12,240 ล้านบาท สะท้อนบทบาทเชิงรุกของรัฐในการดึงประชาชนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เบื้องหลังตัวเลขที่ขยับดีขึ้น ยังมี “โจทย์เชิงคุณภาพ” ที่ต้องแก้ – โดยเฉพาะในจังหวัดเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างเชียงราย

เชียงราย เมืองโตเร็วแต่ฐานแรงงานเปราะบาง

ข้อมูลการวิเคราะห์ภาวะการจ้างงานของ สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ตลาดแรงงานเชียงรายกำลัง “ฟื้นตัวและขยายตัวในอัตราเร่ง”

  • ปี 2566 คาดมีผู้มีงานทำรวม 609,306 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7,601 คน (เติบโต 1.3%)
  • ปี 2567 คาดผู้มีงานทำเพิ่มเป็น 622,534 คน เพิ่มขึ้น 13,228 คน – เกือบ สองเท่า ของการเพิ่มขึ้นในปี 2566

การเร่งตัวของการจ้างงานครั้งนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของผลผลิตภาคบริการที่ 9.1% และภาคอุตสาหกรรมที่ 9.5% ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำจังหวัดอยู่ที่ 340 บาท/วัน ช่วยให้เชียงรายยังรักษาความสามารถแข่งขันด้านต้นทุนแรงงาน เมื่อเทียบกับจังหวัดที่มีค่าแรงสูงกว่ามากในประเทศ

แต่เมื่อเจาะลึกลงไปใน “โครงสร้าง” จะพบอีกด้านของเหรียญที่น่ากังวลไม่แพ้กัน

  • การโตที่ “ผูกกับร้านเล็กรายย่อย”

โครงสร้างการจ้างงานของเชียงรายยังผูกติดอยู่กับ ภาคการค้าปลีกและบริการ อย่างเหนียวแน่น

  • ภาคการค้าปลีกมีคนทำงานรวม 55,206 คน ลูกจ้าง 21,707 คน
  • ภาคบริการมีคนทำงาน 54,690 คน ลูกจ้าง 24,347 คน

แต่ “หัวใจ” ของการจ้างงานกลับอยู่ที่ สถานประกอบการขนาดเล็กมาก (MICRO) ซึ่งมีคนทำงานและลูกจ้างรวมกันถึง 99,189 คน และสร้างมูลค่าตอบแทนแรงงานสูงสุดถึง 3,347.8 ล้านบาท

เมื่อลองรวมกับธุรกิจขนาดเล็ก (S) จะพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ในจังหวัดทำงานอยู่ในธุรกิจขนาดเล็กและนอกระบบ ซึ่งมักขาดหลักประกันทางสังคม รายได้ผันผวน และรับแรงกระแทกจากวิกฤตได้รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

 “Growth with Fragility” – โตพร้อมความเปราะบาง

ภาวะ “โตแต่เปราะบาง” (Growth with Fragility) ของตลาดแรงงานเชียงรายยิ่งชัดเจน เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อเท็จจริงว่า จังหวัดมีสัดส่วนแรงงานนอกระบบสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ แรงงานกลุ่มนี้เมื่อเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายความมั่นคงชายแดน จึงตกหล่นจากระบบคุ้มครองอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้ปูพื้นให้เห็นว่า แม้ “จำนวน” ผู้มีงานทำจะเพิ่มขึ้น แต่ “คุณภาพ” ของงานและเสถียรภาพชีวิตแรงงานยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง

แรงสั่นสะเทือนจากชายแดน และมลพิษข้ามพรมแดน เมื่อความมั่นคงกระแทกตลาดแรงงาน

นอกจากโครงสร้างที่เปราะบางจากภายใน เชียงรายยังรับแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกอย่างรุนแรง ทั้งจากมาตรการความมั่นคงชายแดน และวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

  • ‘Mae Sai Shock’: การช็อกด้านลบของแรงงานชายแดน

เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รัฐไทยดำเนินมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก เมียนมา เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และบ่อนพนันข้ามชาติ

ผลลัพธ์ในฝั่งแรงงานคือ บ่อนคาสิโนและธุรกิจสีเทาหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการทันที แรงงานจำนวนมากที่เคยเดินทางจากแม่สายไปทำงานในท่าขี้เหล็กต้อง “หยุดงานแบบฉับพลัน” มาตรการที่ได้ผลในเชิงความมั่นคง กลับสร้าง “Negative Supply Shock” ต่อแรงงานชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบและอยู่นอกสายตาระบบประกันสังคม

แรงงานกลุ่มนี้จำเป็นต้องถูก “ดึงกลับเข้าระบบเศรษฐกิจถูกกฎหมาย” ภายในจังหวัด – ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรม – หากไม่มีมาตรการเปลี่ยนถ่ายทักษะและรองรับอย่างเป็นระบบ การว่างงานเชิงโครงสร้างอาจลุกลามเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว

  • มลพิษแม่น้ำกก–สารหนู–โลหะหนัก: ซ้ำเติมวิถีชีวิตเกษตร

อีกฟากหนึ่งของจังหวัด แรงงานภาคเกษตรและชุมชนริมลุ่มน้ำกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมจาก การปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ซึ่งเกี่ยวโยงกับการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่หายากต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

แม้ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เชียงราย จะยืนยันว่า น้ำประปาหลังการบำบัดมีค่าการตรวจสารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัยที่กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนกว่า 120,000 คน ในเขตเทศบาลนครเชียงรายกลับถดถอยลงอย่างหนัก

ประชาชนจำนวนมากเลิกดื่มน้ำประปา หันไปพึ่งพาน้ำดื่มบรรจุขวด เพิ่มภาระค่าครองชีพ ส่วนชุมชนเกษตรกรกว่า 750 ครัวเรือน ในลุ่มน้ำกกกังวลทั้งราคาผลผลิตที่ตกต่ำ และความเสี่ยงจากการสะสมของสารพิษในดินและพืชผล

เสียงสะท้อนของเกษตรกรและผู้นำชุมชนจึงผลักดันให้ปัญหาน้ำกลายเป็น “โจทย์ความมั่นคงด้านแรงงาน” เพราะเมื่อแหล่งน้ำปนเปื้อน วิถีชีวิตที่พึ่งพาเกษตรกรรม การประมงพื้นบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ย่อมถูกกระทบพร้อมกัน

เมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน โอกาสทองหรือกับดักใหม่ของตลาดแรงงานเชียงราย

ท่ามกลางความเปราะบางดังกล่าว เชียงรายกำลังก้าวเข้าสู่ยุคการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ทั้งในกรอบ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ)

จัดบทบาทเมืองชายแดน: Trading City – Port City – Logistic City

จังหวัดกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ 3 อำเภอชายแดนไว้อย่างชัดเจน

  • แม่สาย – Trading City: ศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการชายแดนที่ถูกกฎหมาย
  • เชียงแสน – Port City: เมืองท่าแม่น้ำโขง เชื่อมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และหัตถกรรม
  • เชียงของ – Logistic City: ศูนย์โลจิสติกส์ บก–น้ำ–ราง และอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรเชิงนิเวศ

การจัดตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้ จะสร้างความต้องการแรงงานโลจิสติกส์ ท่องเที่ยว บริการ และอุตสาหกรรมแปรรูปในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ เส้นเลือดใหญ่สู่จีนตอนใต้

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ มูลค่า 85,345 ล้านบาท ซึ่งถูกวางให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมโครงข่ายรถไฟของไทยกับลาวและจีนตอนใต้ รองรับทั้งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า โครงการมีความคืบหน้ารวม 46.112% เร็วกว่าแผน และมีกำหนดเปิดเดินรถใน เดือนมกราคม 2571 โดยสถานีเชียงของจะถูกพัฒนาเป็น ย่านกองเก็บและบรรทุกตู้สินค้า บนพื้นที่ราว 150 ไร่ รองรับการค้าผ่านแดนมูลค่าสูงในอนาคต

เมื่อทางคู่เปิดใช้จริง ความต้องการแรงงานสายโลจิสติกส์–ขนส่ง–ซ่อมบำรุง จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง

สนามบินแม่ฟ้าหลวง – จากสนามบินภูมิภาคสู่ Aviation & MRO Hub

การขยายขีดความสามารถของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปสู่การรองรับผู้โดยสาร 6–8 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2575 ควบคู่กับแนวคิดการพัฒนา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และกิจกรรมเชิงพาณิชย์รอบสนามบิน จะสร้าง “ดีมานด์แรงงานทักษะสูง” ในตำแหน่งช่างเทคนิคการบิน ช่างซ่อมบำรุงโลจิสติกส์ และบริการผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง

หากรวมเมกะโปรเจกต์ด้านราง–ถนน–อากาศทั้งหมดเข้าด้วยกัน เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเชียงรายถูกประเมินว่าแตะระดับมากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมจะผลักดันเมืองจาก “ศูนย์กลางการค้าชายแดนแบบดั้งเดิม” ไปสู่ Logistic City & Aviation Hub ของลุ่มน้ำโขงตอนบน

แต่คำถามที่สำคัญกว่า คือ “แรงงานท้องถิ่น พร้อมแค่ไหนที่จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเหล่านี้”

วิกฤต Skills Mismatch เมื่อโครงสร้างอาชีพไม่ตรงกับอนาคต

แม้ตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น และโครงการลงทุนจะเร่งตัว แต่ข้อมูลจากการรับสมัครงานในพื้นที่สะท้อนชัดว่า เชียงรายกำลังเผชิญ ความไม่สมดุลของทักษะ (Skills Mismatch)

อาชีพมูลค่าสูงที่ยังขาดคน

ในภาคสาธารณสุข มีการเปิดรับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทั้งพนักงานกระทรวงสาธารณสุขอย่างน้อย 17 อัตรา ตำแหน่งเภสัชกร ผู้ช่วยทันตแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง สะท้อนความต้องการแรงงานทักษะสูงด้านสุขภาพที่ยังไม่เพียงพอ

ในภาคเอกชน มีการประกาศรับ ที่ปรึกษาการขาย ในธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และตำแหน่งในธุรกิจบริการเฉพาะทาง เช่น บาริสต้าในร้านกาแฟคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการขายและการบริการที่แตกต่างจากแรงงานบริการพื้นฐานทั่วไป

ตำแหน่งเหล่านี้เป็น “งานมูลค่าสูงและมั่นคงกว่า” แต่กลับพบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการ ขณะที่แรงงานจำนวนมากยังถูกดูดซับอยู่ในร้านค้าเล็ก ๆ ธุรกิจครัวเรือน และภาคบริการที่ไม่เป็นทางการ

เมื่อการเติบโตไม่แปลว่าทุกคนจะได้งานดีขึ้น

ในด้านหนึ่ง เชียงรายกำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตร–บริการพื้นฐาน ไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและทักษะมากขึ้น ผ่านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และโครงสร้างพื้นฐานระบบราง–การบิน

แต่อีกด้านหนึ่ง ฐานแรงงานเดิมจำนวนมากยังไม่มีโอกาสเข้าถึงการฝึกอบรม Upskill–Reskill อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ แรงงานชายแดนที่ได้รับผลกระทบจาก “Mae Sai Shock” และเกษตรกรในลุ่มน้ำกกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

หากไม่มี “สะพานเชื่อมทักษะ” ที่แข็งแรง เมกะโปรเจกต์และนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” อาจกลายเป็น “โอกาสที่คนในพื้นที่เข้าไม่ถึง” ขณะที่ตำแหน่งงานคุณภาพสูงอาจตกไปอยู่ในมือแรงงานจากจังหวัดอื่นหรือแรงงานต่างชาติที่มีทักษะพร้อมกว่า

ทางออกเชิงโครงสร้าง ลงทุนในคนควบคู่ลงทุนในทางรถไฟ

เพื่อลดความเปราะบางและเปลี่ยนวิกฤตแรงงานคู่ขนานให้เป็น “หน้าต่างโอกาส” เชียงรายจำเป็นต้องขับเคลื่อนมาตรการเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง

  • กลไกเปลี่ยนถ่ายทักษะ: จากชายแดนสู่โลจิสติกส์ และบริการคุณภาพสูง

ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และสถาบันอาชีวศึกษา ควรเร่งจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นที่มุ่งเป้าชัดเจนไปที่อุตสาหกรรมอนาคตของเชียงราย ได้แก่

  • โลจิสติกส์และซัพพลายเชน (พื้นที่เชียงของ–เชียงแสน–แม่สาย)
  • งานบริการและการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
  • ทักษะดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนและอีคอมเมิร์ซ
  • ทักษะด้านสุขภาพ สาธารณสุขชุมชน และการดูแลผู้สูงอายุ

แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาชายแดน และแรงงานนอกระบบควรถูกออกแบบให้เป็น “กลุ่มเป้าหมายหลัก” ของหลักสูตร Retraining เหล่านี้ เพื่อดึงเข้ามาสู่ภาคเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมายและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ยกระดับคุณภาพการจ้างงานในธุรกิจขนาดเล็ก

ในเมื่อธุรกิจขนาด MICRO เป็นหัวใจของการจ้างงานและมูลค่าตอบแทนแรงงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานเชียงรายจึงต้องเริ่มที่ “ฐาน” ไม่ใช่ปลายยอด

มาตรการเชิงนโยบายอาจรวมถึง

  • เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างเข้าสู่ระบบประกันสังคม
  • โปรแกรมให้คำปรึกษาทางธุรกิจ–บัญชี–ดิจิทัล สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดการพึ่งพาแรงงานไร้ทักษะจำนวนมาก
  • การสนับสนุนให้ธุรกิจบริการ–ค้าปลีกในชุมชนเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่มาจากโครงการโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว

ปรับนโยบายค่าแรงสู่ “ค่าแรงตามทักษะ”

ในระยะยาว การพัฒนาตลาดแรงงานเชียงรายอาจต้องขยับจากการถกเถียงเรื่อง “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” เพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างระบบ ค่าแรงตามทักษะ (Skill-based Wages) ที่เชื่อมโยงรายได้กับการพัฒนาฝีมือของแรงงาน

ค่าจ้างที่สะท้อนทักษะที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้แรงงานสนใจเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Upskill–Reskill ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับแรงงานที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด

ก่อนรถไฟจะมาถึง เมืองต้องลงทุนในคนให้ทัน

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของเปิดเดินรถเต็มรูปแบบ สนามบินแม่ฟ้าหลวงขยายความจุ และ NEC/SEZ เดินหน้าเต็มกำลัง เชียงรายจะกลายเป็น “ประตูโลจิสติกส์” สำคัญของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมกะโปรเจกต์เหล่านี้พร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่การจะเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุน 8.5 หมื่นล้านบาทให้กลายเป็น “ความมั่นคงในชีวิต” ของคนเชียงราย จำเป็นต้องมี “การลงทุนในมนุษย์” ที่เข้มข้นไม่แพ้กัน – ตั้งแต่การฝึกทักษะแรงงาน การปกป้องสิทธิแรงงานนอกระบบ การจัดการวิกฤตชายแดนและมลพิษข้ามพรมแดน ไปจนถึงการปรับโครงสร้างค่าจ้างให้สะท้อนทักษะและผลิตภาพที่แท้จริง

นโยบายระดับชาติ “คนไทยต้องมีงานทำ” จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนตำแหน่งงาน แต่คือบททดสอบว่า เชียงรายจะสามารถออกแบบ “ระบบรองรับ” ที่ทำให้คนตัวเล็ก ๆ ในร้านค้า ชายแดน และชุมชนลุ่มน้ำ ได้ก้าวขึ้นมาร่วมขบวนเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างเท่าเทียมเพียงใด

ก่อนรถไฟขบวนแรกจะแล่นเข้าสู่สถานีเชียงของในปี 2571 คำถามสำคัญที่เชียงรายต้องตอบให้ได้ คือ เราลงทุนในคนทันกับทางรถไฟหรือไม่” เพราะหากคำตอบคือ “ใช่” เมืองนี้จะไม่ได้เป็นเพียงจุดผ่านของสินค้าและผู้โดยสาร หากแต่จะกลายเป็น “เมืองที่คนมีงานทำอย่างมีศักดิ์ศรี” อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงแรงงาน และกรมการจัดหางาน
  • กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) – จังหวัดเชียงราย และเอกสารมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
WORLD PULSE

สหรัฐฯ เก็บภาษี 36% ทั่วหน้า! ผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยทุกระดับ

วิกฤตภาษี 36% จากสหรัฐฯ บทเรียนสำคัญและผลกระทบที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับเศรษฐกิจไทย

ประเทศไทย, 8 กรกฎาคม 2568 – มาตรการภาษี “ตอบโต้” สหรัฐฯ กับ 36% ที่เขย่าเศรษฐกิจไทย เช้าวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 โลกธุรกิจไทยตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวใหญ่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยทุกประเภทในอัตราสูงถึง 36% มีผล 1 สิงหาคม 2568 นี่คือการยกระดับมาตรการ “ภาษีตอบโต้” หรือ Reciprocal Tariff ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการปกป้องตลาดสหรัฐฯ ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

ถ้อยแถลงนี้มีผลกระทบทันทีในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมส่งออกของไทย ขณะเดียวกันก็กลายเป็นความกังวลของประชาชนทั่วไปที่อยู่ในสายปฏิบัติการหรือแม้แต่ภาคบริการ เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการนี้จะแผ่ขยายในวงกว้างและลึกถึงเศรษฐกิจฐานราก

ที่มาและบริบท “ภาษี 36%” – อะไรทำให้ไทยกลายเป็นเป้า?

โดยปกติ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยตามพิกัดศุลกากรปกติ (เฉลี่ย 0-5%) บางประเภทต่ำถึงศูนย์ บางประเภทในกลุ่มเปราะบางอาจสูงขึ้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกติกา WTO หรือข้อตกลงทวิภาคี

มาตรการ 36% รอบนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เป็นภาษีแบบ “เหมารวม” ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท สะท้อนท่าทีใหม่ที่ “แรง” กว่าทุกครั้งในอดีต จุดเริ่มต้นจากนโยบาย “America First” ที่ต้องการลดดุลการค้าขาดดุลกับต่างชาติ โดยอ้างว่าประเทศคู่ค้าเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ สูงเกินควร จึงต้องเรียกเก็บคืนแบบเท่าเทียม สัญญาณนี้หนักแน่นผ่านจดหมายถึงผู้นำ 14 ประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ถูกเก็บ 36% พร้อมกัมพูชา ในขณะที่ ลาวและเมียนมา ถูกเรียกเก็บ 40% ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย 25-30% สะท้อนเจตนาชัดว่าต้องการทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่หมด

จากห่วงโซ่โลกถึงร้านค้าปลีกในเชียงราย

ผลกระทบต่อการส่งออกไทย

  • สหรัฐฯ คือคู่ค้าสำคัญอันดับต้นของไทย คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกไทย (ปี 2567 มูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์)
  • สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบตรง: อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ฯลฯ
  • การเก็บภาษี 36% ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นทันที โอกาสแข่งขันกับเวียดนาม เม็กซิโก หรือแม้แต่สินค้าจีนที่อาจเจรจาผ่อนปรนสำเร็จ จะน้อยลง คำสั่งซื้อใหม่จะถูกย้ายฐานไปประเทศอื่น
  • ผลกระทบลูกโซ่: โรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อส่งออกอาจลดกำลังการผลิต เลิกจ้างแรงงาน หรือหยุดการขยายการลงทุนโดยตรง (FDI) ในไทย
  • ภาพรวม GDP ไทยปี 2568 อาจหดตัว 0.3-1.2% หากภาษีนี้คงอยู่ยาวเกิน 6 เดือน (ประมาณการโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ)

กระทบต่อแรงงานและครอบครัว

  • อุตสาหกรรมส่งออกจ้างงานโดยตรงกว่า 3.5 ล้านคน เฉพาะกลุ่มโรงงานใหญ่รอบ กทม.-ภาคตะวันออก
  • ถ้าเพียง 5% ของแรงงานกลุ่มนี้ว่างงาน จะมีผู้ว่างงานใหม่ 175,000 คน ภายในปีเดียว กดดันหนี้ครัวเรือน-ตลาดแรงงานและระบบเงินกู้ในภูมิภาค

ทบถึงภาคเกษตรและเชียงราย

  • เชียงราย แม้ไม่ใช่ฐานการผลิตหลักของสินค้าส่งออกอุตสาหกรรม แต่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ที่ส่งผลผลิตป้อนโรงงานในภาคกลางและตะวันออก หากโรงงานเหล่านั้นลดคำสั่งซื้อ ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรโดยตรง
  • หากคนงานที่กลับภูมิลำเนาเดิม (เช่นจากสมุทรปราการ ชลบุรี) มีรายได้ลดลง ย่อมทำให้กำลังซื้อภายในพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานราก

ผลต่อการท่องเที่ยวและบริการ

  • เมื่อรายได้ประชาชนโดยรวมลดลง การเดินทางท่องเที่ยว การใช้บริการในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่นย่อมซบเซาตาม ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่จะลดลง การขยายกิจการใหม่ในจังหวัดชะลอตัว

การค้าชายแดน

  • เชียงรายเป็นประตูโลจิสติกส์ไทย-ลาว-เมียนมา เมื่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว การค้าชายแดน, การขนส่ง, ธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งขาเข้า-ออกย่อมได้รับผลกระทบตามมา

ไทยควรรับมืออย่างไร?

รัฐบาลต้องเร่งเจรจาและแสวงหาข้อยุติใหม่

  • เร่งเดินหน้าเจรจากับ USTR, ใช้กลยุทธ์ “แลกเปลี่ยน” ลดภาษีสินค้าอเมริกันบางรายการ, เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน-ตะวันออกกลาง และเร่งหาพันธมิตรการค้าใหม่รองรับ
  • ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม พัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะภาคบริการ เกษตรแปรรูป และการท่องเที่ยว

ประชาชนควรบริหารการเงินอย่างรัดกุม

  • มีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือน ลดภาระหนี้ระยะสั้น สำรวจรายจ่ายอย่างมีวินัย
  • อาชีพเสริม/Reskill คือทางรอดใหม่ ต้องเปิดใจเรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการหรือสร้างรายได้เสริมผ่านออนไลน์

ธุรกิจท้องถิ่นและเกษตรกรควรขยายตลาดและพัฒนานวัตกรรม

  • ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในประเทศมากขึ้น และหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางหลัก
  • กลุ่มเกษตรกรอาจรวมกลุ่มผลิต-ขายตรงให้กับผู้บริโภคในเมือง ลดการพึ่งพาโรงงานขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

ภาครัฐส่วนภูมิภาค

  • เร่งอบรมอาชีพ-Reskill ให้กับแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
  • จัดกิจกรรมส่งเสริมท่องเที่ยว-ตลาดนัดสินค้าเกษตร เพิ่มโอกาสขายในจังหวัด สร้างแรงจูงใจให้คนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น

วิกฤตภาษี 36% – โจทย์ท้าทายที่คนไทยต้อง “ร่วมมือ” ฝ่าวิกฤต

แม้มาตรการภาษี 36% จากสหรัฐฯ คือความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ แต่มันคือบทเรียนสำคัญว่าประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและตลาดเดิมมากเกินไปมีจุดเปราะบางสูง โลกใหม่หลังปี 2568 จะยิ่งแข่งกันดุและเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งขึ้น รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการต่อรองเจรจา คิดตลาดใหม่ หาช่องทางเสริมรายได้ พร้อมกับวินัยการเงินและนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน

วิกฤตนี้หนักหนาแต่ไม่ใช่จุดจบ หากเราร่วมมือกัน สร้างภูมิคุ้มกันใหม่ให้ประเทศและเศรษฐกิจฐานราก สังคมไทยจะผ่านพ้นและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานนโยบาย “ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)” โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ CNBCTV
  • ข้อมูลเศรษฐกิจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC)
  • สถิติแรงงานจากกระทรวงแรงงาน
  • รายงานธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ข้อมูลภาคส่งออกและการคาดการณ์ GDP จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ (TDRI, EIC)
  • ข่าวการแถลงของนายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง (7 ก.ค. 68)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เริ่มปี 2568 กระตุ้นเศรษฐกิจ

รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อต้อนรับปีใหม่ให้กับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวม

เตรียมจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่

ในขั้นตอนการดำเนินการ กระทรวงแรงงานได้เร่งรัดการจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดไตรภาคีชุดใหม่ เพื่อทดแทนคณะกรรมการชุดเดิมที่กำลังหมดวาระ โดยจะมีการเสนอรายชื่อกรรมการฝ่ายรัฐที่ยังว่างอยู่ 2 คน ให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ รายชื่อที่เสนอจะรวมถึงอดีตผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นนายอัครุตม์ สนธยานนท์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และว่าที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานคนใหม่ เพื่อร่วมทำงานกับฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง

เป้าหมายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน

กระทรวงแรงงานมีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายนี้ โดยตั้งเป้าหมายให้เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศให้ทันวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนคาดหวังของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังเร่งรัดให้คณะกรรมการค่าจ้างชุดใหม่จัดประชุมในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสรุปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวัด

“ตอนนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว และจะเสนอที่ประชุม ครม.ได้ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเร่งประชุมคณะกรรมการไตรภาคี โดยคาดว่าจะสามารถสรุปข้อสรุปได้ภายในเดือนธันวาคม 2567” แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานกล่าว

ข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

แม้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่รัฐบาลก็ได้พิจารณาถึงความยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงอย่างรวดเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้มีการช่วยเหลือและให้เวลาธุรกิจกลุ่มนี้ในการปรับตัวก่อน 1 ปี เพื่อให้สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้

กระบวนการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี

หลังจากที่ ครม. เห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการที่กระทรวงแรงงานเสนอ คณะกรรมการค่าจ้างจะเริ่มนัดประชุมครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการประชุมอาจต้องมีหลายรอบเพื่อพิจารณารายละเอียดจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างระดับจังหวัด

การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้นับเป็นครั้งสำคัญที่รัฐบาลตั้งใจผลักดันเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานไทย แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า ยังต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุม ครม. ในวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและสามารถบังคับใช้ได้ทันเวลา

รัฐบาลเร่งเดินหน้าเพื่อให้ทันปีใหม่ 2568

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ เริ่ม 1 มกราคม 2568
  • จัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่ เสนอ ครม. พิจารณาวันที่ 19 พฤศจิกายน
  • ขึ้นค่าแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมยกเว้นธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้ปรับตัว

FAQs

  1. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเริ่มเมื่อไหร่?
    เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

  2. ทำไมรัฐบาลถึงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ?
    เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ

  3. ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
    ธุรกิจขนาดเล็กอาจได้รับการผ่อนผันในการปรับขึ้นค่าแรง เพื่อให้มีเวลาปรับตัว

  4. คณะกรรมการไตรภาคีมีหน้าที่อะไร?
    พิจารณาและกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

  5. มาตรการนี้มีผลทั่วประเทศหรือไม่?
    ใช่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจได้รับการผ่อนผัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘พิพัฒน์’ ลงพื้นที่เชียงราย ให้กำลังใจแรงงานโครงการคืนคนดีสู่สังคม

 
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมพบปะให้กำลังใจแรงงานที่ได้รับการฝึกอาชีพตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ และให้บริการล้างทำความสะอาดรถยนต์แก่ประชาชนที่มารับบริการ ณ ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ เมตตา พระไพศาลประชาทร วิ. วัดห้วยปลากั้ง อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
 
 
โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงราย กับวัดห้วยปลากั้ง ที่ได้ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ ได้นำความรู้จากการฝึก มาต่อยอดในการประกอบอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เชียงรายมาเยี่ยมพบปะกับแรงงานที่ได้รับการฝึกอาชีพตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ที่ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ เมตตา พระไพศาลประชาทร วิ. ซึ่งที่นี่ให้บริการล้างทำความสะอาดรถยนต์แก่ประชาชนที่มารับบริการคันละ 50 บาท ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับวัดห้วยปลากั้ง ที่จะเปิดโอกาสให้แรงงานชั้นดีที่พ้นโทษได้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ สามารถประกอบอาชีพหลังจากออกมาสู่สังคม โดยการล้างรถ ฝุ่น โคลน
 

ซึ่งในส่วนนี้ตนจะนำโมเดลดังกล่าวไปต่อยอดขยายผล  พร้อมหารือสถานีบริการน้ำมันเอกชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มการจ้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมสร้างคุณค่าคืนคนดีสู่สังคมต่อไป นายพิพัฒน์กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่เชียงรายในครั้งนี้ ยังพบว่าปัจจุบันเชียงรายยังพบปัญหาฝุ่นควันในปริมาณที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่สำคัญมีความห่วงใยต่อแรงงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะแรงงานที่ต้องทำงานอยู่ในกลางแจ้ง

จึงได้กำชับให้แรงงานจังหวัด ร่วมมือกับอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) จังหวัดเชียงราย 124 คน พบปะกับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อรณรงค์ให้ชาวบ้านช่วยกันหยุดเผาป่า ป้องกันฝุ่นควันลดปัญหามลพิษทางอากาศ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ เพื่อร่วมสร้างทัศนียภาพให้กลับมาสวยงามเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ภาครัฐจับมือผู้ประกอบการจัดมหกรรมใหญ่ “Job Expo Thailand 2023”

ภาครัฐจับมือผู้ประกอบการจัดมหกรรมใหญ่ “Job Expo Thailand 2023”

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ข้อมูลชี้วัดเกี่ยวกับภาคแรงงานได้ปรับตัวดีขึ้นโดยต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยว่าไตรมาส1/66 (ม.ค.-มี.ค.) ทั่วประเทศมีการจ้างงาน 39.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตร บริการ และอุตสาหกรรม
 
ส่วนผู้ว่างงานมีจำนวน 4.2 แสนคน หรือร้อยละ 1.05 ของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน ลดลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 1.53 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่อัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ย (อัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นหักด้วยเงินเฟ้อ) เพิ่มขั้นร้อยละ 1.3 เฉพาะค่าจ้างแท้จริงภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 2.8% สะท้อนกำลังการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่เน้นย้ำว่าต้องสร้างโอกาสการมีงานทำ มีรายได้เพิ่มตามศักยภาพและความสามารถของประชาชนโดยต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 8-10 มิ.ย. 66 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดมหกรรมการจัดหางานครั้งใหญ่ระดับประเทศ “Job Expo Thailand 2023” ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall EH 100 – 102 กรุงเทพฯ  โดยได้รวบรวมงานทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 500,000 อัตรา จากสถานประกอบการเกือบ 400 แห่ง ที่จะมีการเปิดรับพนักงานทุกช่วงวัย ทุกระดับวุฒิการศึกษาไว้ในงานเดียว
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้ที่กำลังมองหางานและโอกาสใหม่ๆ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ว่างงาน หรือทุกคนที่ต้องการมีงานทำมองหาโอกาสทางการชีพใหม่ๆ และภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน อาทิ การแนะแนวอาชีพ คำปรึกษาด้านอาชีพ การเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้มีสูงขึ้น
 
มีกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพแรงงานในกลุ่มเปราะบาง การให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตน ให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิผู้ประกันตนทุกมาตรา พร้อมเปิดรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การให้ความรู้เกี่ยวกับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานสำหรับแรงงานด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE