Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ นำร่อง ประกันสุขภาพสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐ ดึงเงิน 1.6 หมื่นล้าน เข้า สธ.

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์นำร่องโมเดลใหม่ “ประกันสุขภาพสมัครใจในรพ.รัฐ” หลัง สธ.–สมาคมประกันชีวิตไทยเซ็น MOU ดันเม็ดเงิน 1.6 หมื่นล้านเข้าระบบสาธารณสุข

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสความกังวลเรื่องงบประมาณสาธารณสุขที่ตึงตัว และค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ขยับสูงขึ้นทุกปี การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 จึงถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” ของระบบสุขภาพไทย

ในดีลครั้งประวัติศาสตร์นี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กลายเป็นหนึ่งใน 28 โรงพยาบาลรัฐนำร่อง ที่จะรองรับ “ประกันสุขภาพภาคสมัครใจ” อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในส่วนของคลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ซึ่งในอดีตผู้เอาประกันจำนวนไม่น้อยไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มที่จากข้อจำกัดของกติกาและระบบเบิกจ่าย

การขยับครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนภาพจำของ “โรงพยาบาลรัฐที่ใช้ประกันไม่ได้” แต่ยังมีเป้าหมายดึงเม็ดเงินกว่า 16,000 ล้านบาทจากระบบประกันสุขภาพสมัครใจ เข้าสู่โรงพยาบาลของรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดภาระงบประมาณ และยกระดับมาตรฐานบริการสำหรับประชาชนในระยะยาว

MOU ใหญ่ สธ.–สมาคมประกันชีวิตไทย เชื่อม “เงินเอกชน” เข้าระบบ “บริการรัฐ”

พิธีลงนาม MOU จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้ร่วมลงนามและสักขีพยานจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

ฝั่งกระทรวงสาธารณสุข มี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนาม ขณะที่ฝั่งสมาคมประกันชีวิตไทย นำโดย นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการสำนักงานคปภ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่ง ร่วมเป็นสักขีพยานในห้องประชุมเดียวกัน

ใจกลางของ MOU ฉบับนี้คือการ “บูรณาการเครือข่ายบริการสาธารณสุขของรัฐ” เข้ากับ “ระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจของเอกชน” อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และได้มาตรฐาน เป้าหมายสำคัญมีสองมิติ

  1. มิติด้านบริการ – ยกระดับศักยภาพของโรงพยาบาลรัฐให้รองรับผู้เอาประกันสุขภาพได้อย่างสะดวก ทันสมัย ผ่านการพัฒนา Service Center คลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ลดเวลารอคอยและความแออัด ซึ่งเป็นปัญหาที่ประชาชนจำนวนมากคุ้นเคย
  2. มิติด้านการคลังและเศรษฐกิจ – ดึงเม็ดเงินจากประกันสุขภาพสมัครใจ ที่คาดว่าจะสามารถ “Top Up” สิทธิประโยชน์เดิมเข้าสู่โรงพยาบาลรัฐกว่า 16,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อเสริมรายได้ ลดภาระงบประมาณ และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของระบบสาธารณสุขในระยะยาว

ในแง่นี้ MOU จึงไม่ใช่เพียงเอกสารความร่วมมือเชิงพิธีการ แต่เป็น “กลไกเชื่อม” ระหว่าง เงินเอกชน – ระบบรัฐ – สิทธิประโยชน์ของประชาชน เข้าด้วยกันในครั้งเดียว

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ จากโรงพยาบาลศูนย์ สู่ต้นแบบ “รพ.รัฐที่ใช้ประกันได้เต็มสิทธิ์”

สำหรับจังหวัดเชียงราย ชื่อของ “โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์” เป็นเหมือนศูนย์กลางด้านสาธารณสุขที่ประชาชนในพื้นที่คุ้นเคยมานาน ในครั้งนี้ โรงพยาบาลถูกผลักดันให้ก้าวอีกขั้นสู่บทบาท “โรงพยาบาลรัฐนำร่อง” ภายใต้โมเดลใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข

วันเดียวกับการลงนาม MOU นพ.สมศักดิ์ อุทัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมด้วย นพ.เปรมชัย ติรางกูร รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ได้เข้าร่วมประชุมและพิธีลงนามเป็นสักขีพยาน พร้อมขึ้นเวทีเสวนาในหัวข้อ
“Model การบริหารจัดการในโรงพยาบาลรัฐ รองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ (Showcase)”

ในเวทีดังกล่าว โรงพยาบาลเชียงรายฯ ถูกนำเสนอในฐานะ “ต้นแบบการบริหารจัดการ” ที่พร้อมรองรับระบบประกันสุขภาพสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติ

  • การออกแบบเส้นทางบริการ (Patient Journey) สำหรับผู้เอาประกันสุขภาพ
  • การจัดคลินิกพิเศษและ Premium Clinics ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพและความรวดเร็ว
  • การบริหารห้องพิเศษที่สามารถรองรับผู้ป่วยประกันสุขภาพโดยไม่กระทบสิทธิ์ของผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

การขึ้นเวทีระดับชาติในฐานะ Showcase สะท้อนว่า รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ตาม” นโยบายจากส่วนกลาง แต่มีบทบาทเชิงรุกในการนำเสนอโมเดลบริหารจัดการ เพื่อให้เงินประกันสุขภาพสมัครใจไหลเข้าระบบโรงพยาบาลรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงมาตรฐานความเท่าเทียมด้านบริการขั้นพื้นฐานไว้ควบคู่กัน

ทำไมต้องดึง “เงินประกันสุขภาพ” เข้าสู่โรงพยาบาลรัฐ?

เบื้องหลัง MOU ครั้งนี้ เชื่อมโยงกับโจทย์ใหญ่ที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเคยสะท้อนไว้ในเวที “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” นั่นคือ ต้นทุนด้านสุขภาพของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐจำนวนมากต้องเผชิญภาวะขาดทุนและภาระงบประมาณที่หนักขึ้นทุกปี

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพเองก็เผชิญแรงกดดันจาก ค่าใช้จ่ายด้านการเคลมที่สูงขึ้น ทั้งจากค่ารักษาทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้ค่าเบี้ยประกันสุขภาพมีแนวโน้มต้องขยับสูงขึ้นตามต้นทุน

ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีในระดับหลายแสนล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 2–4% ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่าศักยภาพของเม็ดเงินจากระบบประกันยังมีอยู่มาก หากสามารถออกแบบให้ไหลเข้าสนับสนุนระบบบริการสาธารณสุขของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ

MOU ครั้งนี้ จึงถูกออกแบบให้ “จับมือกันกลางทาง”

  • ฝั่ง กระทรวงสาธารณสุข ต้องยกระดับคุณภาพและประสบการณ์บริการให้ประชาชนรู้สึกว่า โรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับผู้เอาประกันสุขภาพได้อย่างน่าเชื่อถือ สะดวกสบาย และไม่ต่างจากการไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในบางบริการ
  • ฝั่ง บริษัทประกันชีวิต จะได้เครือข่ายโรงพยาบาลรัฐที่มีต้นทุนบริการต่ำกว่าเอกชน ช่วยชะลอการขึ้นค่าเบี้ยในระยะยาว และออกผลิตภัณฑ์ที่ “จับต้องได้” มากขึ้นสำหรับคนไทยรายได้ปานกลาง

เมื่อเม็ดเงินจากประกันสุขภาพสมัครใจ กว่า 16,000 ล้านบาท สามารถถูกดึงเข้ามา “Top Up” ระบบเดิมได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขในงบประมาณ แต่คือการเสริมความยั่งยืนให้กับโรงพยาบาลรัฐทั้งระบบ

สามฝ่ายได้อะไรจากโมเดลใหม่ “ประกันสุขภาพภาคสมัครใจในรพ.รัฐ”

ถ้ามองในภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้สร้างผลประโยชน์อย่างน้อย 3 มิติสำคัญ

  1. ประชาชนและผู้เอาประกัน: ทางเลือกที่มากขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้

ผู้เอาประกันสุขภาพที่เคยลังเลว่า
“จะไปโรงพยาบาลรัฐที่แออัด หรือไปเอกชนที่ค่าใช้จ่ายสูงกว่า?”

อาจมีคำตอบใหม่เมื่อโรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับการเบิกจ่ายประกันสุขภาพสมัครใจในคลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ได้อย่างเป็นระบบ

ประชาชนจะได้รับ:

  • บริการที่รวดเร็วขึ้นในบางจุดบริการ
  • การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลรัฐ ที่ขึ้นชื่อว่ามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญไม่แพ้เอกชน
  • ค่าใช้จ่ายสุทธิที่ “สมเหตุสมผล” กว่าการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนเต็มรูปแบบ

นางนุสรา นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เคยระบุถึงทิศทางสำคัญว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีแนวโน้มจะนำไปสู่ กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เลือกใช้เฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ” ซึ่งคาดว่าจะมี “ราคาเบี้ยที่ย่อมเยาลง” ทำให้ประชาชนเข้าถึงการทำประกันสุขภาพได้ง่ายขึ้น และมีตัวเลือกมากกว่าที่เป็นอยู่

  1. โรงพยาบาลรัฐ: รายได้เพิ่มขึ้น – งบลงทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

สำหรับโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป การมีรายได้จากระบบประกันสุขภาพสมัครใจเข้ามาเพิ่มเติม นอกจากช่วยบรรเทาปัญหาขาดทุนสะสมแล้ว ยังหมายถึง “งบลงทุน” ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านบุคลากร เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน

ในกรณีของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรับผู้เอาประกันสุขภาพในคลินิกพิเศษและห้องพิเศษ จะกลายเป็นงบประมาณหมุนเวียนกลับไปสู่

  • การพัฒนาระบบบริการพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกสิทธิ์
  • การลงทุนในระบบ IT และ Service Center เพื่อให้การบริหารจัดการผู้ป่วยทุกกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การดูแลบุคลากรด่านหน้า ที่ต้องรองรับภาระงานหนักในแต่ละวัน
  1. ภาคธุรกิจประกัน: ต้นทุนการเคลมลดลง – เบี้ยประกันเติบโตอย่างยั่งยืน

ในมุมของบริษัทประกันชีวิต “ต้นทุนจากค่ารักษาพยาบาล” คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่กดดันการปรับขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพในแต่ละปี การมีเครือข่ายโรงพยาบาลรัฐที่สามารถให้บริการผู้เอาประกันได้จริง จะช่วยให้บริษัทประกันมีต้นทุนเรื่องค่ารักษาที่ต่ำลง เมื่อเทียบกับการพึ่งพาโรงพยาบาลเอกชนเพียงอย่างเดียว

รมว.สาธารณสุขสะท้อนมุมนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การดึงผู้เอาประกันให้เข้ามารักษาในโรงพยาบาลรัฐมากขึ้น จะเป็น “กลไกสำคัญ” ในการชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันสุขภาพในระยะยาว ขณะเดียวกัน ธุรกิจประกันชีวิตก็ยังสามารถเติบโตบนฐานเบี้ยประกันที่รับได้ต่อสังคม

รพ.เชียงรายฯ กับโจทย์ใหม่ ยกระดับบริการ โดยไม่ทิ้งความเท่าเทียม

แม้โมเดลใหม่จะถูกมองว่าเป็น “โอกาส” ครั้งใหญ่ แต่ก็มีคำถามสำคัญที่สังคมจับตาเช่นกัน นั่นคือ

เมื่อมีบริการพรีเมียมสำหรับผู้เอาประกันมากขึ้น
ระบบจะรักษาความเท่าเทียมสำหรับผู้ป่วยสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างไร?

โจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในฐานะโรงพยาบาลศูนย์ที่มีภาระรองรับผู้ป่วยจำนวนมากจากทั้งจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

การบริหารจัดการจึงต้องวางอยู่บนหลักสองประการคู่กันคือ

  1. ไม่ลดทอนคุณภาพและสิทธิของผู้ป่วยในระบบหลักประกันเดิม – บริการพื้นฐานต้องยังคงเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  2. ใช้รายได้จากผู้เอาประกันสมัครใจกลับไปเสริมความเข้มแข็งของระบบเดิม – ทั้งในมิติบุคลากร เวชภัณฑ์ และระบบสนับสนุนด้านหลังบ้าน

บทบาทของทีมผู้บริหาร นำโดย นพ.สมศักดิ์ และ นพ.เปรมชัย จึงไม่ใช่เพียงการ “ดีลกับบริษัทประกัน” หรือ “เพิ่มบริการพรีเมียม” เท่านั้น แต่ต้องวางสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพทางการเงิน” และ “ความเป็นธรรมทางสุขภาพ” ให้เดินไปด้วยกัน

ภาคเหนือและโรงพยาบาลนำร่อง เครือข่ายเชื่อมโยงมากกว่าหนึ่งจังหวัด

การนำร่องครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ในภาคเหนือ มีโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่หลายแห่งที่เข้าร่วม เช่น

  • โรงพยาบาลลำปาง
  • โรงพยาบาลนครพิงค์
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • โรงพยาบาลพุทธชินราช
  • โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์

การมีเครือข่ายโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ ทำให้อนาคตของ “กรมธรรม์ประกันสุขภาพเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ” มีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะผู้เอาประกันจะสามารถเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลรัฐชั้นนำในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลเอกชนในเมืองใหญ่

สำหรับเชียงรายเอง การที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดก้าวสู่การเป็นหนึ่งในต้นแบบระดับชาติ อาจส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดทั้งในด้าน การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) และ ความเชื่อมั่นด้านระบบสาธารณสุข ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและอยู่อาศัยของประชาชนในระยะยาว

ขยับจาก “นโยบายบนกระดาษ” สู่ “สิทธิที่ประชาชนใช้ได้จริง”

อย่างไรก็ดี การลงนาม MOU เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” เท่านั้น สิ่งที่จะตอบคำถามได้ชัดเจนที่สุดไม่ใช่ถ้อยคำบนเวที หรือภาพพิธีลงนาม แต่คือประสบการณ์จริงของประชาชนที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลนำร่องอื่น ๆ ในวันข้างหน้า

คำถามที่ต้องติดตามต่อไป ได้แก่

  • ระบบการลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิ์ประกันสุขภาพในโรงพยาบาลรัฐ จะรวดเร็วและไม่ซับซ้อนเพียงใด
  • การจัดโซนคลินิกพิเศษและ Premium Clinics จะสามารถช่วยลดความแออัดในระบบปกติ หรือกลับเพิ่มภาระให้บุคลากรด่านหน้า
  • รายได้จากประกันสุขภาพสมัครใจ จะถูกนำกลับไปใช้เสริมบริการพื้นฐานให้ผู้ป่วยสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างโปร่งใสเพียงใด

คำตอบเหล่านี้จะค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อระบบเริ่มเดินจริงในปีงบประมาณถัดไป และเมื่อกรมธรรม์ประกันสุขภาพรูปแบบใหม่ที่เลือกใช้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

สำหรับประชาชนเชียงราย ข่าวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “นโยบายส่วนกลาง” หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะสะท้อนอยู่ในห้องตรวจ ห้องพิเศษ และคลินิกพิเศษของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในอนาคตอันใกล้ หากโมเดลนี้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น และรักษาสมดุลระหว่าง สิทธิพื้นฐาน” และ “บริการพิเศษ” ได้อย่างแท้จริง

สำหรับสถานพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ 

ที่เข้าร่วมเป็นรพ.นำร่อง ก่อนจะขยายไปทั่วประเทศภายใต้ MOU ดังกล่าว และคาดหวังได้ว่า เมื่อประกันสุขภาพแบบใหม่คลอดออกมา จะสามารถใช้ได้กับรพ. เหล่านี้ ได้แก่

  1. โรงพยาบาลลำปาง
  2. โรงพยาบาลนครพิงค์
  3. โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  4. โรงพยาบาลพุทธชินราช
  5. โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
  6. โรงพยาบาลสระบุรี
  7. โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
  8. โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
  9. โรงพยาบาลสมุทรสาคร
  10. โรงพยาบาลราชบุรี
  11. โรงพยาบาลนครปฐม
  12. โรงพยาบาลระยอง
  13. โรงพยาบาลพระปกเกล้า
  14. โรงพยาบาลสมุทรปราการ
  15. โรงพยาบาลชลบุรี
  16. โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
  17. โรงพยาบาลขอนแก่น
  18. โรงพยาบาลสกลนคร
  19. โรงพยาบาลอุดรธานี
  20. โรงพยาบาลชัยภูมิ
  21. โรงพยาบาลสุรินทร์
  22. โรงพยาบาลบุรีรัมย์
  23. โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
  24. โรงพยาบาลศรีสะเกษ
  25. โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
  26. โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
  27. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
  28. โรงพยาบาลหาดใหญ่
สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

นายกฯ สั่ง ปภ.ติดตาม สถานการณ์แม่สาย

การลงพื้นที่ช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 25 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบหลายปี เมื่อฝนตกหนักในคืนวันที่ 23 ถึงเช้าวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้ชุมชนริมแม่น้ำสายหลายแห่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก น้ำไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือน ตลาด และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ท้าทายความสามารถของหน่วยงานภาครัฐในการจัดการภัยพิบัติ แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยในอนาคต

ค่ำคืนแห่งน้ำท่วม

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้ม ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องหลายชั่วโมงทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านอำเภอแม่สาย เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุมชนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เช่น ชุมชนสายลมจอย ถ้ำผาจม เกาะทราย ไม้ลุงขน และเหมืองแดง ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ถนน และร้านค้าในชั่วพริบตา ชาวบ้านหลายครอบครัวต้องรีบเก็บข้าวของขึ้นที่สูง บางครอบครัวที่ไม่ทันตั้งตัวต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและความมั่นคงในชีวิตประจำวัน

ความรุนแรงของน้ำท่วมในครั้งนี้เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติ ประกอบกับระบบระบายน้ำในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถรองรับมวลน้ำขนาดใหญ่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ชุมชนสายลมจอยและถ้ำผาจมกลายเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำและใกล้กับแม่น้ำสาย น้ำโคลนและตะกอนที่ไหลมากับน้ำท่วมยังทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ในบ้านเรือนและพื้นที่สาธารณะ ทำให้การฟื้นฟูหลังน้ำลดเป็นภารกิจที่ท้าทาย

การตอบสนองจากภาครัฐ ความห่วงใยจากผู้นำ

เมื่อข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายแพร่กระจายออกไป นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และสั่งการให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายภาสกร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ได้เดินทางไปยังด่านศุลกากรอำเภอแม่สาย เพื่อร่วมประชุมรับฟังรายงานจากหน่วยงานในพื้นที่ นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง และนางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การประเมินความเสียหาย การจัดการสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน และการวางแผนฟื้นฟูพื้นที่ในระยะยาว

นายภาสกร เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเกิดจากฝนตกหนักในช่วงวันที่ 23-24 พฤษภาคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนหลายแห่ง โดยเฉพาะชุมชนสายลมจอยและถ้ำผาจมที่ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่เหล่านี้ กรมการทหารช่างได้ดำเนินการก่อสร้างพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าสู่เขตเศรษฐกิจและชุมชน แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักชั่วคราวเนื่องจากน้ำท่วมครั้งนี้ คาดว่าหลังจากฝนทิ้งช่วงในต้นเดือนมิถุนายน 2568 การก่อสร้างจะสามารถดำเนินต่อได้ตามแผน

สายสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและประชาชน

หลังจากการประชุม นายภาสกรและคณะได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เชื่อมโยงการค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา สะพานแห่งนี้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้การสัญจรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบในชุมชนสายลมจอย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสียหายหนักจากการถูกน้ำโคลนท่วมขัง เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ได้ร่วมกันทำความสะอาดบ้านเรือนและถนน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ในวันเดียวกัน นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะกรรมการและสมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่สาย ได้ลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชน การลงพื้นที่ครั้งนี้เน้นการเยี่ยมเยียนชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนถ้ำผาจม สายลมจอย เกาะทราย ไม้ลุงขน และเหมืองแดง เพื่อประเมินความต้องการของประชาชนและมอบสิ่งของจำเป็น เช่น ชุดทำความสะอาดและเวชภัณฑ์

การจัดการด้านสาธารณสุข ความปลอดภัยของประชาชน

นอกเหนือจากการฟื้นฟูพื้นที่ น้ำท่วมครั้งนี้ยังก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำและสุขภาพของประชาชน ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ โรงพยาบาลแม่สาย และเทศบาลตำบลแม่สาย ตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินในแม่น้ำสายบริเวณจุดเสี่ยง 4 แห่ง ได้แก่ บ้านสันมะนะ บ้านป่าซางงาม บ้านป่าแดง และศูนย์พักพิงชั่วคราววัดพรหมวิหาร การตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อโรคในน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานในน้ำผิวดินบริเวณแม่น้ำกกในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และใน 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย เชียงแสน แม่จัน เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง และแม่สาย อย่างไรก็ตาม ไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในน้ำประปา พืชผัก ปลา หรือในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง และยังไม่มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการจากการได้รับสารหนู ผลการตรวจสอบนี้ช่วยลดความตื่นตระหนกของประชาชนและสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของน้ำในช่วงน้ำท่วม

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังได้จัดทีมแพทย์และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมกลุ่มเปราะบางจำนวน 94 ราย และช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง 7 ราย โดยอพยพไปยังบ้านญาติชั่วคราว ทีม MCATT (Mobile Community Assessment and Treatment Team) ได้ให้คำแนะนำด้านสุขอนามัยและสุขภาพจิต พร้อมมอบชุดปฐมพยาบาลและถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โรงพยาบาลในพื้นที่ได้จัดตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบาง รองรับได้ 8-24 เตียง พร้อมเปิดช่องทางประสานงานสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการยาหรือการรักษาในกรณีฉุกเฉิน

การฟื้นฟูและป้องกันในอนาคต

เพื่อจัดการกับสถานการณ์น้ำท่วมในระยะยาว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการหลายมาตรการเพื่อฟื้นฟูพื้นที่และป้องกันภัยในอนาคต กรมการทหารช่างได้เร่งก่อสร้างพนังกั้นน้ำและเสริมแนวป้องกันน้ำในจุดที่อ่อนแอ เช่น บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และชุมชนสายลมจอย นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม 6 เครื่อง เพื่อเตรียมรับมือกับมวลน้ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอแม่สายที่ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที

จังหวัดเชียงรายได้แบ่งพื้นที่ฟื้นฟูออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โซน A (ชุมชนสายลมจอย) โซน B (ชุมชนเกาะทราย) โซน C (ชุมชนไม้ลุงขน) และโซน D (ชุมชนเหมืองแดง) โดยมอบหมายให้ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ร่วมกันทำความสะอาดและฟื้นฟูบ้านเรือนของประชาชน การดำเนินการเหล่านี้ช่วยให้ชุมชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่

บทเรียนจากน้ำท่วม

เหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดนที่มีความซับซ้อนทั้งในด้านภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ไปจนถึงอาสาสมัครและชุมชนท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบการจัดการภัยพิบัติในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การที่น้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นที่เดียวกันชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น พนังกั้นน้ำและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ การตรวจพบสารหนูในน้ำผิวดินบางพื้นที่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในช่วงน้ำท่วม การที่หน่วยงานสาธารณสุขสามารถตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของน้ำประปาและอาหารได้อย่างรวดเร็วนั้นช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน แต่ในระยะยาว การพัฒนาระบบตรวจสอบและจัดการคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2568:

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ: 1,245 ครัวเรือนใน 5 ชุมชน (สายลมจอย เกาะทราย ไม้ลุงขน เหมืองแดง และถ้ำผาจม)
  • พื้นที่เกษตรที่เสียหาย: ประมาณ 320 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าวและพืชสวน
  • ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน: ถนน 12 สายในอำเภอแม่สายได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท
  • จำนวนผู้ป่วยติดเตียงที่ได้รับการอพยพ: 7 ราย
  • กลุ่มเปราะบางที่ได้รับการดูแล: 94 ราย
  • ปริมาณน้ำฝน: วัดได้ 180 มิลลิเมตรในช่วง 24 ชั่วโมง (23-24 พ.ค. 2568)
  • จุดตรวจคุณภาพน้ำ: 4 จุดในแม่น้ำสาย พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 2 จุด (บ้านสันมะนะและบ้านป่าซางงาม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘สมศักดิ์’ ชื่นชมรัฐบาล ปราบบุหรี่ไฟฟ้า หมอเตรียมแฉโทษ

รัฐบาลยืนยันนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดภายใน 30 วัน ด้านแพทย์เตรียมเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้

สมศักดิ์” หนุนแนวทางรัฐบาล “แพทองธาร” จัดการบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แสดงความพอใจต่อ นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยสั่งการให้ ดำเนินมาตรการกวาดล้างภายใน 30 วัน เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

ในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการบูรณาการของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะในด้านกฎหมายที่กระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจครอบคลุมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กระทรวงยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าให้เต็มที่ตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่

“บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษที่อันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะ กลีเซอรีนและโพรไพลีนไกลคอล ที่เกิดปฏิกิริยากลายเป็นฟอร์มาลีน หรือสารดองศพ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน” นายสมศักดิ์กล่าว

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีแนวทางที่ชัดเจน ย่อมทำให้การบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

นายกรัฐมนตรีสั่งเดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เข้มงวดห้ามขายใกล้สถานศึกษา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเน้นเป้าหมายไปที่เยาวชนและสถานศึกษา

นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบและกวาดล้างการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบริเวณใกล้สถานศึกษา พร้อมย้ำว่าหากพบเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องได้รับโทษทางวินัยและอาญา

“ดิฉันมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากร ปราบปรามการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน โดยเริ่มจากการสกัดกั้นการนำเข้าที่ด่านศุลกากร ปิดช่องทางการลักลอบนำเข้า และจับกุมผู้ค้าที่ลักลอบจำหน่าย” นายกรัฐมนตรีระบุ

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็น หน้าที่ของทุกภาคส่วนในการร่วมกันปกป้องเด็กและเยาวชน หากพบเห็นการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีต่อไป”

ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์ แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า

วันที่ 11 มีนาคม 2568 ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนา หมอไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า: ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรู้” ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี ภายในงานจะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสมองเด็ก, บุหรี่มือหนึ่ง มือสอง และมือสาม, สารเสพติดที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้า และความเสี่ยงที่นำไปสู่การเสพติดสารเสพติดชนิดอื่น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) รายงานว่าประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 2.6% เป็น 4.8% ของประชากรกลุ่มวัยรุ่นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
  • กรมควบคุมโรค (2567) เปิดเผยว่า 80% ของเยาวชนที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่การสูบบุหรี่แบบมวนในอนาคต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและปอด มากกว่าบุหรี่ทั่วไปถึง 30% หากใช้ในระยะยาว

สรุป

รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งการให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน โดยเน้นเป้าหมายไปที่ กลุ่มเยาวชนและพื้นที่สถานศึกษา ด้านกระทรวงสาธารณสุขยืนยันดำเนินมาตรการตามกรอบกฎหมายอย่างเข้มงวด ขณะที่ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์เตรียมเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามองว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องเพื่อปกป้องสุขภาพของเยาวชนและประชาชนทั่วไป ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านชี้ว่าการแบนอาจ ทำให้เกิดตลาดมืดและการลักลอบนำเข้า ซึ่งอาจเป็นอันตรายมากขึ้นจากการขาดมาตรฐานในการควบคุม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / กรมควบคุมโรค / กระทรวงสาธารณสุข / องค์การอนามัยโลก (WHO)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

บอร์ดแอลกอฮอล์ “ไฟเขียว” ‘ขายเหล้า-เบียร์’ วันพระใหญ่ได้บางที่

รัฐบาลไฟเขียวขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา เร่งออกกฎก่อนวันวิสาขบูชา

ประเทศไทย, 4 มีนาคม 2568 – ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ว่าที่ประชุมมีมติ ผ่อนคลายมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อรองรับภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงควบคุมให้เกิดความเหมาะสมและไม่กระทบต่อค่านิยมทางศาสนาและวัฒนธรรมของไทย

ผ่อนปรนการขายแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา

ที่ประชุมมีมติให้สามารถ จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน ได้แก่

  1. วันมาฆบูชา
  2. วันวิสาขบูชา
  3. วันอาสาฬหบูชา
  4. วันเข้าพรรษา
  5. วันออกพรรษา

แต่จำกัดเฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น โดยสถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย ได้แก่

  1. สนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ – สามารถจำหน่ายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและเลานจ์ภายในสนามบิน
  2. สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ – เช่น ผับ บาร์ ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิง
  3. สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ – เช่น ย่านทองหล่อ พัฒน์พงศ์ หรือถนนข้าวสาร ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด
  4. โรงแรมที่ให้บริการนักท่องเที่ยว – อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในโรงแรม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
  5. สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ – เช่น งานประชุมสัมมนา งานแสดงสินค้า หรือกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก

ทั้งนี้ พื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุข้างต้น ยังคงห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ตามกฎหมายเดิม

มาตรการควบคุมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสังคม

เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว รัฐบาลกำหนดให้สถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด ได้แก่

  • การคัดกรองผู้ซื้อ – ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
  • การรักษาความสงบเรียบร้อย – เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถานที่จำหน่าย
  • การจำกัดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน – ห้ามโฆษณาหรือส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้เกิดการดื่มเกินขนาด

รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า มาตรการนี้จะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน 15 วัน ก่อนนำเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณารับรอง และส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนวันวิสาขบูชาในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

มาตรการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์

รองนายกฯ ย้ำว่า มาตรการผ่อนปรนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนาโดยเฉพาะ ส่วนข้อเสนอให้ ขยายระยะเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กำหนด นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากหากจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ต้องมีการแก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายหลัก

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนมาตรการ

  • ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการร้านอาหาร มองว่ามาตรการนี้เป็นการปรับตัวที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาเดิมอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของสถานประกอบการ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก
  • ผู้บริหารโรงแรมและสนามบิน เห็นว่าการอนุญาตให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นหลัก จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง

กลุ่มที่คัดค้านมาตรการ

  • องค์กรทางศาสนาและกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แสดงความกังวลว่าการผ่อนคลายมาตรการนี้อาจเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาและอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย
  • กลุ่มรณรงค์ต่อต้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุว่าการผ่อนปรนมาตรการในวันสำคัญทางศาสนาอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย

  • ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย (ปี 2567) – เฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี
  • รายได้จากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย (ปี 2567) – ประมาณ 250,000 ล้านบาท
  • สัดส่วนอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567)22% ของอุบัติเหตุทั้งหมด
  • จำนวนร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย – มากกว่า 120,000 ร้านค้า
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567) – มากกว่า 6,500 ราย

บทสรุป

การผ่อนปรนมาตรการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ถือเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากกลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม

รัฐบาลจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่าง การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว กับ การรักษาคุณค่าและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้มาตรการนี้สามารถดำเนินไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“วัยรุ่นท้องพุ่ง” อายุ 10-14 ปี ขอคำปรึกษาเพิ่ม รัฐเร่งแก้ปัญหา

ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยพุ่งสูง รัฐเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน

อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานสากลของ UN

กรุงเทพฯ, 3 มีนาคม 2568 – นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยในปี 2567 โดยพบว่า อัตราการคลอดบุตรในช่วงอายุ 10 – 14 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ที่อยู่ที่ 0.77 ต่อพันคน และเกินกว่าเป้าหมายของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน

ยอดขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก DOH Dashboard ระบุว่า ในปี 2567 มีวัยรุ่นอายุ 10 – 14 ปี ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ผ่านช่องทางออนไลน์และสายด่วน รวม 46,893 ราย หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 44,574 ราย

สาเหตุหลักของการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น

จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสาเหตุหลักของปัญหานี้ประกอบด้วย:

  1. ขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา – วัยรุ่นจำนวนมากไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้
  2. การถูกล่วงละเมิดทางเพศ – เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนไม่น้อยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคนใกล้ชิด
  3. ขาดแหล่งให้คำปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย – แม้ว่าจะมีสายด่วน 1663 และช่องทางออนไลน์ แต่ยังมีเด็กหญิงจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือได้จากช่องทางเหล่านี้

มาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา

เพื่อลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาเชิงรุกในโรงเรียนและครอบครัว – สนับสนุนให้โรงเรียนสอนเพศศึกษาอย่างครอบคลุมและส่งเสริมให้พ่อแม่ให้ความรู้กับบุตรหลาน
  2. ขยายช่องทางให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่าย – เปิดช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้วัยรุ่นสามารถขอคำปรึกษาได้อย่างสะดวก
  3. ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด – กระจายถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  4. พัฒนาโครงการช่วยเหลือแม่วัยใส – สนับสนุนให้แม่วัยรุ่นสามารถศึกษาต่อและเข้าถึงโอกาสทางอาชีพ

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

  • ฝ่ายสนับสนุนมาตรการของรัฐ มองว่ามาตรการป้องกันและให้ความรู้เชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และสนับสนุนให้เด็กหญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
  • ฝ่ายที่กังวล ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาหลักยังคงอยู่ที่ โครงสร้างสังคมและการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งต้องการการแก้ไขในเชิงลึกมากกว่าการให้ความรู้และการแจกอุปกรณ์ป้องกันเพียงอย่างเดียว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และองค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่า:

  • อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยอายุ 10 – 14 ปี ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน เกินเป้าหมายของ UN ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน
  • จำนวนวัยรุ่นที่ขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้นเป็น 46,893 รายในปี 2567 หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน
  • เด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนมากเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
  • UN ระบุว่า ประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นต่ำที่สุดมักมีการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยและเปิดโอกาสให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ได้ง่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข / องค์การสหประชาชาติ (UN) / DOH Dashboard

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ให้คะแนนรัฐบาล ‘นิด้าโพล’ เผย 6 เดือน “แพทองธาร” ทำงาน

นิด้าโพลเผยผลสำรวจ 6 เดือนรัฐบาลแพทองธาร ประชาชนพอใจบางนโยบายแต่ยังมีข้อกังวล

ประชาชนให้คะแนนรัฐบาลครบรอบ 6 เดือน – การทำงานของแต่ละกระทรวงแตกต่างกัน

เชียงราย, 2 มีนาคม 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับผลงานของ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หลังดำรงตำแหน่งครบ 6 เดือน โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมจำนวน 1,310 คน

การสำรวจใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยมีค่าความเชื่อมั่นที่ ร้อยละ 97.0 ผลสำรวจสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาล รวมถึงการทำงานของกระทรวงต่าง ๆ ในช่วงครึ่งปีแรกของรัฐบาล

ความพึงพอใจต่อภาพรวมการทำงานของรัฐบาล

จากผลสำรวจ 34.58% ของประชาชนระบุว่าไม่ค่อยพอใจ กับการทำงานของรัฐบาล รองลงมา 32.60% ค่อนข้างพอใจ, 20.00% ไม่พอใจเลย และ 12.82% พอใจมาก สะท้อนให้เห็นว่าแม้ประชาชนบางส่วนจะเห็นว่านโยบายบางด้านมีความก้าวหน้า แต่ยังมีข้อกังวลในบางประเด็น

เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อ การทำงานของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรโดยตรง พบว่า 32.60% ของประชาชนไม่ค่อยพอใจ, 31.76% ค่อนข้างพอใจ, 22.28% ไม่พอใจเลย และ 13.36% พอใจมาก แสดงให้เห็นว่าความคิดเห็นของประชาชนต่อผลงานนายกรัฐมนตรีมีทั้งบวกและลบอย่างสมดุล

ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาประเทศ

  • 36.41% ของประชาชนระบุว่าไม่ค่อยเชื่อมั่น
  • 26.26% ไม่เชื่อมั่นเลย
  • 25.04% ค่อนข้างเชื่อมั่น
  • 12.29% เชื่อมั่นมาก

แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังมีความกังวลเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาประเทศของรัฐบาล แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ให้การสนับสนุน

การประเมินผลงานของแต่ละกระทรวง

เมื่อแยกผลสำรวจตาม กระทรวงหลัก ๆ พบว่าประชาชนมีความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยมีคะแนนพอใจและไม่พอใจที่แตกต่างกัน

กระทรวงที่ได้รับคะแนนค่อนข้างดี

  1. กระทรวงสาธารณสุข
    • ค่อนข้างพอใจ: 32.45%
    • พอใจมาก: 17.02%
    • ไม่ค่อยพอใจ: 29.16%
    • ไม่พอใจเลย: 19.08%
    • ไม่มีข้อมูล: 2.29%
  2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
    • ค่อนข้างพอใจ: 32.14%
    • พอใจมาก: 15.04%
    • ไม่ค่อยพอใจ: 27.25%
    • ไม่พอใจเลย: 17.02%
    • ไม่มีข้อมูล: 8.55%
  1. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    • ค่อนข้างพอใจ: 33.44%
    • พอใจมาก: 10.76%
    • ไม่ค่อยพอใจ: 31.00%
    • ไม่พอใจเลย: 19.69%
    • ไม่มีข้อมูล: 5.11%

กระทรวงที่ได้รับคะแนนต่ำ

  1. กระทรวงมหาดไทย
    • ไม่ค่อยพอใจ: 36.03%
    • ไม่พอใจเลย: 24.27%
    • ค่อนข้างพอใจ: 26.26%
    • พอใจมาก: 11.91%
    • ไม่มีข้อมูล: 1.53%
  2. กระทรวงกลาโหม
    • ไม่ค่อยพอใจ: 36.56%
    • ไม่พอใจเลย: 21.60%
    • ค่อนข้างพอใจ: 28.63%
    • พอใจมาก: 10.31%
    • ไม่มีข้อมูล: 2.90%
  3. กระทรวงพาณิชย์
    • ไม่ค่อยพอใจ: 35.95%
    • ไม่พอใจเลย: 26.49%
    • ค่อนข้างพอใจ: 25.80%
    • พอใจมาก: 9.39%
    • ไม่มีข้อมูล: 2.37%

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล: เห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร ได้ดำเนินนโยบายหลายด้านที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจส่งผลดีในระยะยาว
  • ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์: มีข้อกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนว่ารัฐบาลยังต้องเร่งแก้ไขปัญหาปากท้องและการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ นิด้าโพล และ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า:

  • ในช่วง 6 เดือนแรกของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร มีการออกนโยบายใหม่กว่า 50 ฉบับ
  • อัตราความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 37.3%
  • กระทรวงที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจสูงสุด ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงที่ได้รับคะแนนความพึงพอใจต่ำสุด ได้แก่ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นิด้าโพล / สำนักงานสถิติแห่งชาติ / สำนักวิจัยเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“สมศักดิ์หนุน” รพ.ใช้ยาสมุนไพรไทย รับงบ 60 ล้าน!

สปสช. หนุน รพ.ใช้สมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน พร้อมงบสนับสนุน 60 ล้านบาท

กระทรวงสาธารณสุขเร่งผลักดันยาสมุนไพรไทย

กรุงเทพฯ, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมาตรการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลนำยาสมุนไพรมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันใน 5 รายการหลัก เพื่อรับงบสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมกว่า 60 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2568 หากดำเนินการสำเร็จ โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับงบประมาณเฉลี่ยแห่งละ 200,000 บาท

10 สมุนไพรไทยรักษาโรคพบบ่อย

รมว.สาธารณสุขเผยว่า ปัจจุบันมีการใช้ยาสมุนไพร 10 รายการที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษา 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
  • ยาฟ้าทะลายโจร รักษาไข้หวัดและโควิด-19
  • ยาขมิ้นชัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ยาเพชรสังฆาต รักษาริดสีดวงทวาร
  • ยาขิง บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
  • ยามะระขี้นก แก้อาการเบื่ออาหาร
  • ยากล้วย บรรเทาอาการท้องเสีย
  • ยาหอมเทพจิตร ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ
  • ยาพริก บรรเทาอาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ยาว่านหางจระเข้ ใช้รักษาแผลและดูแลผิวหนัง

5 สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน

เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน สปสช. ได้ประกาศ 5 รายการสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบัน ได้แก่

  1. ครีมไพล แทนยาบาล์มแก้ปวด
  2. ยาประสะมะแว้ง แทนยาแก้ไอ
  3. ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย แทนยาขับลม
  4. เพชรสังฆาต แทนยาริดสีดวง
  5. มะขามแขก แทนยาระบาย

งบประมาณสนับสนุนและเป้าหมายอนาคต

กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายขยายงบประมาณสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรให้เพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยคาดหวังว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเข้าสู่ตลาดโลก

ขยายตลาดสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ

นอกจากการส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรภายในประเทศแล้ว รัฐบาลยังมีแผนขยายตลาดสมุนไพรไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำยาดมและยาหม่องไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในช่วงพิธีฮัจย์ ซึ่งมีนักแสวงบุญนับล้านคนเดินทางไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในแต่ละปี

สถิติการใช้ยาสมุนไพรและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 พบว่า

  • มูลค่าการใช้ยาในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 70,500 ล้านบาท
  • ในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาแผนปัจจุบัน 69,000 ล้านบาท
  • ขณะที่การใช้ยาสมุนไพรอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท
  • คาดการณ์ว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดสมุนไพรจาก 13,000 ล้านบาท เป็น 190,000 ล้านบาท ในอนาคต

บทสรุป

การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับและใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลของรัฐ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ลดการพึ่งพายานำเข้า และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หากมาตรการนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยที่มีศักยภาพในระดับโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“เชียงรายน้ำท่วมตลาดสายลมจอย กระทรวงสาธารณสุขเร่งช่วยเหลือด่วน ป้องกันดินถล่ม”

สถานการณ์น้ำท่วมเชียงราย: กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังและดำเนินการช่วยเหลือ

ในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการน้ำเอ่อท่วมตลาดสายลมจอย นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังน้ำป่าหลากและดินถล่มใน 9 จังหวัดภาคใต้ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น

การเฝ้าระวังน้ำป่าและดินถล่มในพื้นที่เสี่ยง

หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายโสภณ เอี่ยมศิริถาวร ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังน้ำป่าหลากและดินถล่มใน 9 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ซึ่งจังหวัดสงขลาได้เตือนภัยระดับเตรียมพร้อมใน 4 หมู่บ้าน ส่วนยะลาเตือนภัยระดับวิกฤตใน 2 หมู่บ้าน รวมถึงเชียงรายได้มีการเตือนภัยระดับเฝ้าระวังใน 2 หมู่บ้านด้วย

การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและกลุ่มเปราะบาง

จากการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม ถึง 14 ตุลาคม 2567 ทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้ดูแลผู้ประสบภัยรวม 239,415 ราย และกลุ่มเปราะบาง 33,830 ราย นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมปฐมพยาบาลสุขภาพจิตสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง ซึ่งจะติดตามและให้การรักษาต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดผลกระทบทางจิตใจจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

มาตรการด้านสุขภาพจิตหลังเกิดภัยพิบัติ

กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำมาตรการดูแลสุขภาพจิตใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะวิกฤตและฉุกเฉินตั้งแต่เกิดเหตุจนถึง 2 สัปดาห์ ระยะหลังประสบภาวะวิกฤตตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน และระยะฟื้นฟูหลังเกิดเหตุการณ์เกิน 3 เดือน โดยการประเมินและติดตามดูแลกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมและทันเวลา

การจัดเตรียมทีมช่วยเหลือในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขัง

พื้นที่น้ำท่วมขังที่เสี่ยงสูงสุดประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก อ.บางระกำ พระนครศรีอยุธยา อ.บางบาล สุราษฎร์ธานี อ.พระแสง สมุทรปราการ อ.พระประแดง อุดรธานี อ.เพ็ญ นครปฐม อ.บางเลน นครพนม อ.นาทม และขอนแก่น อ.หนองเรือ โดยหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้รับการเตรียมทีมบุคลากร ยา และเวชภัณฑ์เพื่อออกช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ประสบภัย และกลุ่มเปราะบางได้อย่างทันท่วงที

ผลกระทบจากน้ำท่วมและการดำเนินการช่วยเหลือ

จากข้อมูลล่าสุด น้ำท่วมในเชียงรายทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 75 ราย บาดเจ็บ 2,421 ราย และไม่มีผู้สูญหายเพิ่มเติม นอกจากนี้ หน่วยงานสาธารณสุขยังคงให้ความสำคัญกับการปิดบริการในสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ โดยสถานพยาบาลที่ต้องปิดบริการเพียง 1 แห่ง คือ รพ.สต.บ้านวังลูกช้าง จ.พิจิตร

ความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ในการรับมือภัยพิบัติ

การตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายและพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ เป็นผลมาจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานท้องถิ่น และองค์กรต่างๆ ในการจัดเตรียมและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้สามารถลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

บทสรุป: ความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการตอบสนองต่อภัยพิบัติ

สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายและพื้นที่อื่นๆ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพในการดูแลผู้ประสบภัยและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการดูแลสุขภาพจิต เป็นสิ่งที่ช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

13 โรงพยาบาล รับผลกระทบน้ำท่วม สธ. เปิดศูนย์ฉุกเฉิน “เชียงราย-พะเยา”

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567  นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศไทย ว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน และแพร่ แต่มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่ต้องเฝ้าระวัง 2 จังหวัด คือ เชียงรายและพะเยา 

ทั้งนี้ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบจำนวน 13 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม 7 แห่ง ได้แก่ รพ. 2 แห่ง สาธารณสุขอำเภอ 2 แห่ง และ รพ.สต. 9 แห่ง จำนวนนี้ยังเปิดให้บริการตามปกติ 5 แห่ง ปิดบริการ 8 แห่ง คือ แพร่ มี รพ.สต.บุญเกิด และ รพ.สต.สบบง , เชียงราย มี รพ.สต.ตับเต่า และ สสอ.เทิง , แแพร่ มี รพ.สต.น้ำโค้ง รพ.สต.วังธง ร.สต.สบสาย และ สสอ.เมือง

นพ.สุรโชคกล่าวว่า การดูแลสุขภาพประชาชนขณะนี้มีประมาณ 9 พันครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการจัดหน่วยแพทย์เข้าไปดูแลตามปกติ ส่วนกลางได้สนับสนุนยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 1 พันชุด ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยารักษาน้ำกัดเท้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากรายงานจนถึงขณะนี้พบผู้เสียชีวิตสะสมจากเหตุน้ำท่วม 8 ราย บาดเจ็บ 10 ราย รายละเอียดยังต้องรอสรุปอีกครั้ง 

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้เฝ้าระวังใกล้ชิดและคอยสนับสนุนยาไปให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเราก็ส่งไปแล้วประมาณ 1 พันชุด ส่วนใหญ่จะลงไปที่ รพ.สต.เป็นหลัก ส่วน รพ.ใหญ่ยังคงดูแลได้” นพ.สุรโชคกล่าวและว่า สำหรับการประเมินสถานการณ์ใน 6 จังหวัดที่ยังมีปัญหาน้ำท่วม คิดว่าปัญหาอยู่ในระดับเริ่มคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น 

เมื่อถามถึงการประเมินความเสี่ยงในจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเส้นทางของมวลน้ำที่จะไหลผ่าน จะมีมาตรการรองรับอย่างไร  นพ.สุรโชค กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีการจัดทำแผนรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดเดิมๆ ที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้ว ยกเว้นบางจังหวัดที่ไม่ค่อยได้ประสบปัญหา ส่วนจังหวัดที่อยู่ด้านล่างลงมาและเป็นเส้นทางน้ำผ่านก็มีแผนรับมือแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา แต่มาตรการที่วางไว้สามารถรองรับได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการพยากรณ์เอาไว้ว่ามวลน้ำจะเยอะกว่าปีที่ผ่านมา เราจึงมีการทบทวนและซ้อมแผนในพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News