Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ค้าปลีกเชียงรายเผชิญศึกหนัก! ภาษี E-commerce ใหม่ ปิดช่อง “ของถูกลอยตัว” จากต่างประเทศ

สินค้าออนไลน์ต่ำกว่า 1,500 บาท “จะไม่ถูกอีกต่อไป” เชียงรายนับถอยหลัง ภาษีอีคอมเมิร์ซใหม่ 1 ม.ค. 2569—เขย่าพฤติกรรมผู้บริโภค ดันต้นทุนค้าปลีกชายแดน และทดสอบความพร้อมรัฐ-แพลตฟอร์ม

เชียงราย,5 พฤศจิกายน 2568 – กล่องพัสดุที่ไม่ “เบา” เหมือนเดิม ยามสายของวันทำการกลางสัปดาห์ ถนนพหลโยธินช่วงเข้าเมืองเชียงรายแน่นขนัดไปด้วยรถกระบะขนส่งพัสดุที่แล่นสวนทางผู้คนในตลาดสด ใครหลายคนคุ้นเคยกับการกดสั่ง “ของเล็กชิ้นน้อย” จากต่างประเทศ—เคสโทรศัพท์ 79 บาท ไฟประดับ 129 บาท สายชาร์จ 99 บาท—แล้วรอรับหน้าบ้านในไม่กี่วัน แต่ นับจาก 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป แทบทุกพัสดุที่ “บินข้ามพรมแดน” เข้ามา ไม่ว่าจะเล็กเพียงใด หากมีมูลค่าเกิน 1 บาท ก็จะเข้าสู่โหมดใหม่ของการจัดเก็บภาษีนำเข้าเต็มรูปแบบ (อากรเฉลี่ยราว 10%) พร้อม ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% บนฐานภาษีนำเข้า ตามกรอบที่กรมศุลกากรประกาศ “Quick Big Win” เร่งผลลัพธ์ภายใน 4 เดือน และเผยแผนปรับกติกา De minimis ให้เหลือ “1 บาท” เพื่อปิดช่องโหว่เดิมของการยกเว้นพัสดุราคาต่ำและทำให้การแข่งขันการค้าเป็นธรรมขึ้น (อธิบดีกรมศุลกากร ระบุทิศทางและกรอบรายได้เข้ารัฐราว 3,000 ล้านบาท/ปี)

มาตรการใหม่นี้ ไม่ได้เกิดจากสุญญากาศ ก่อนหน้า ประเทศไทยได้ทยอย “ปรับฐาน” มาแล้วเป็นขั้น ๆ เช่น การประกาศให้ พัสดุระหว่างประเทศมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทต้องเสีย VAT ที่มีผลช่วงกลางปี 2567 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา (กรอบเวลาชั่วคราวปี 2567) เป็นจุดเริ่มที่ทำให้ “ของถูกมาก” บนแพลตฟอร์มไม่ถูกเหมือนเดิม และเป็นสัญญาณว่าระบบภาษีสำหรับสินค้านำเข้าดิจิทัลจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อไล่ทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคอีคอมเมิร์ซและการแข่งขันข้ามแดนที่เปลี่ยนหน้าอย่างรวดเร็ว

ทำไม “หนึ่งบาท” ถึงสำคัญ

De minimis value คือเพดานมูลค่าพัสดุที่รัฐ “ยอมผ่อนภาระ” ไม่จัดเก็บภาษีเพื่อลดต้นทุนการบริหาร หากเพดานนี้ต่ำลงจนเหลือ “1 บาท” ความหมายเชิงปฏิบัติการคือ ของทุกชิ้นที่ข้ามแดนจะถูกประเมินภาษี ไล่ตั้งแต่เคสโทรศัพท์ราคา 79 บาท ไปจนถึงไฟประดับ 129 บาท—ทั้งหมดจะถูกคิด อากรขาเข้า (เฉลี่ย 10%) และ VAT 7% ซึ่งตามหลักการจัดเก็บของไทย VAT จะคำนวณบน ฐานราคา C.I.F. + อากร (กรณีไม่มีภาษีสรรพสามิตหรือภาษีอื่นเกี่ยวข้อง) ดังนั้น ภาระรวม โดยประมาณ ใกล้เคียง ~17% ของมูลค่านำเข้า และอาจสูงกว่าเมื่อบวกค่าธรรมเนียม-โลจิสติกส์ปลายทางของผู้ให้บริการขนส่ง (ตัวอย่างการคำนวณภาษีนำเข้าทั่วไป อากร 10% จากราคา C.I.F. และ VAT 7% บนยอดรวมหลังอากร)

ตัวอย่างจำลองผลกระทบราคาขายปลีก (เฉพาะภาระภาษีนำเข้า- VAT แบบง่าย)

  • เคสโทรศัพท์ 100 บาท → อากร 10 บาท + VAT 7.7 บาท ≈ เพิ่ม 17.7 บาท (~17.7%)
  • ไฟประดับ 200 บาท → อากร 20 บาท + VAT 15.4 บาท ≈ เพิ่ม 35.4 บาท
  • เสื้อยืด 250 บาท → อากร 25 บาท + VAT 17.5 บาท ≈ เพิ่ม 42.5 บาท
    (ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการปลายทาง/ค่าพิธีการของผู้ให้บริการขนส่ง)

ประเด็นสำคัญ คือ แม้ภาษีจะเพิ่มต้นทุน แต่ก็ช่วย “เลเวลเพลย์อิงฟิลด์” ให้ผู้ค้าปลีกไทยที่นำเข้าถูกกฎหมายและเสียภาษีครบถ้วนไม่เสียเปรียบสินค้าต่างชาติที่เคยได้อานิสงส์จาก De minimis เดิม นโยบายนี้จึงถูกวางในกรอบ “Trade Enabler + ปกป้องสังคม + เพิ่มรายได้รัฐ” ภายใต้โครงการ “Customs Quick Big Win” ที่กรมศุลกากรสื่อสารอย่างเป็นทางการ และมีการนัดหารือแพลตฟอร์มหลักอย่าง Shopee / Lazada เพื่อขอความร่วมมือด้านข้อมูลสินค้าและคัดกรองสินค้าผิดกฎหมายก่อนจำหน่ายบนแพลตฟอร์มไทย

เมื่อ “ชายแดน” คือห้องเครื่องของเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่ โครงสร้างเศรษฐกิจผูกพันกับการค้าและโลจิสติกส์ข้ามแดน ผ่านด่านสำคัญอย่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) และ เชียงแสน–สามเหลี่ยมทองคำ (สปป.ลาว) การเปลี่ยนกฎภาษีอีคอมเมิร์ซย่อม กระทบทิศทางราคาและแรงจูงใจ ของผู้บริโภค-ผู้ค้าในพื้นที่ชายแดนโดยตรง

ภาพกว้างด้านมูลค่าการค้าชายแดนไทยในช่วงหลังโควิด กลับมาฟื้นตัวชัดเจน กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการค้าชายแดนและผ่านแดนปี 2566–2567 อยู่ในระดับหลายล้านล้านบาท และมีสัญญาณฟื้นต่อเนื่องในปี 2567 (ข้อมูลรายไตรมาส) ขณะที่ฝั่งลาว-เมียนมามีบทบาทเป็นคู่ค้าหลักของการค้าชายแดนไทยต่อเนื่อง (เอกสารสถิติกระทรวงพาณิชย์) แนวโน้มนี้สะท้อนว่า ทุก “แรงสะเทือนราคา” จากการจัดเก็บภาษีนำเข้าพัสดุออนไลน์ สามารถกระเพื่อมต่อโครงสร้างราคาขายปลีกท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะสินค้าจำพวก ของใช้ไอที อะไหล่ย่อย เครื่องตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่น ที่ผู้ค้ารายย่อยชายแดนเคยพึ่ง “ล็อตเล็ก” นำเข้าผ่านเส้นทางโลจิสติกส์หลากหลายรูปแบบ เพื่อกระจายขายหน้าร้านและขายออนไลน์ต่อในประเทศ

คำถามใหญ่ของเชียงราย “ความอยู่รอดของค้าปลีกชายแดน” กับการแข่งขันของแพลตฟอร์ม

ในทางหนึ่ง มาตรการใหม่ แก้ปัญหาเดิม คือปิดโอกาส “ของราคาต่ำลอยตัว” เข้ามาโดยไม่เสียภาษี ทำให้ผู้ค้าถูกกฎหมายในประเทศไม่เสียเปรียบ แต่ในอีกทางหนึ่ง การแข่งขันไม่จบแค่ภาษี เพราะแพลตฟอร์มต่างชาติยังได้เปรียบด้วย ขนาด เครือข่ายซัพพลายเออร์จีน และต้นทุนโลจิสติกส์ ที่ยังต่ำกว่าผู้ค้านำเข้าแบบดั้งเดิมในบางประเภทสินค้า ผลลัพธ์คือ ผู้บริโภคอาจยอมจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อย เพื่อแลกกับทางเลือกสินค้าหลากหลายและการส่งถึงบ้าน ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายของค้าปลีกชายแดนเชียงราย

3 ฉากทัศน์ที่ธุรกิจท้องถิ่นต้องคิด

  1. แข่งขันด้วย “ความถูก” อย่างเดียวไม่ได้อีก
    เมื่อราคานำเข้าถูก “อัปเลเวล” ด้วยอากร+VAT แทบทุกชิ้น ผู้ค้าท้องถิ่นที่ขายสินค้านำเข้าทั่วไปจะเสีย จุดเด่นด้านราคา ในทันที ทางรอดจึงต้องหันไปเน้น ความเร็ว (Same/Next-day), การรับประกันหน้าร้าน, บริการเปลี่ยนคืนง่าย, และ แพ็กเกจจิ้ง/คอนเทนต์ท้องถิ่น ที่แพลตฟอร์มทำเลียนแบบยาก—เพื่อให้ผู้บริโภคยอมจ่าย “พรีเมียมบริการ” แทน “ส่วนต่างราคา”
  2. ชู “ของแท้มีมาตรฐาน–รับผิดชอบได้”
    มาตรการรัฐจะเข้มในการคัดกรอง สินค้าปลอม-ผิดมาตรฐาน-สินค้าควบคุม มากขึ้น ผู้ค้าท้องถิ่นจึงควรวางตำแหน่งเป็น ร้านที่ตรวจสอบได้” มี ใบเสร็จภาษี/ใบรับประกัน/มาตรฐาน มอก. และ บริการหลังการขาย เพื่อชิงความเชื่อมั่นเหนือสินค้าส่งตรงจากต่างประเทศที่แม้ราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ เคลมยาก–รับผิดชอบยาก
  3. ใช้พรมแดนให้เป็น “ข้อได้เปรียบ”
    เชียงรายมีโลจิสติกส์ชายแดนแข็งแรง—ด่านแม่สาย/เชียงแสน/เชียงของ—หากผู้ค้าสามารถ รวมล็อต-ใช้ศุลกากรระบบใหญ่ถูกกฎหมาย ต่อรองค่าขนส่ง และทำ สัญญากับผู้ผลิตในลาว-เมียนมา-จีนตอนใต้ เพื่อนำเข้าถูกต้องตามภาษี ก้าวต่อไปคือการสร้าง แบรนด์ท้องถิ่น สินค้าชุด (bundle) และ B2B ย่อย ป้อนร้านค้าปลีกในจังหวัดข้างเคียง ซึ่งช่วยเฉลี่ยต้นทุนและทำ มาร์จิ้น ได้ดีกว่าการขายชิ้นต่อชิ้น

มุมมองจากนโยบายรัฐ

ฝั่งกรมศุลกากรเน้นย้ำ “ดุลยภาพ” ระหว่างการอำนวยความสะดวกกับการปกป้องสังคม—เร่งคืนภาษี/เงินประกัน เพิ่มความถี่พิจารณาอุทธรณ์ ปรับระบบตรวจปล่อยสู่มาตรฐานสากล และยกระดับการบริหารความเสี่ยงจาก “รายธุรกรรม” เป็น “ฐานผู้ประกอบการ (Entity base)” เพื่อให้ผู้ประกอบการสุจริตไม่ถูกภาระเกินจำเป็น นี่คือการบ้านภาครัฐที่จะทำให้ “กติกาใหม่” ส่งผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจโดยรวมและผู้บริโภค

ของถูกจะไม่ถูกอีกต่อไป?”—คำนวณผลกระทบสินค้ายอดฮิต

เพื่อให้เห็นภาพเชิงปฏิบัติ เราจำลองตะกร้าสินค้าที่ชาวเชียงรายนิยมสั่งจากแพลตฟอร์ม (ตัวเลขภาษีเป็นการประมาณตามหลักอากรเฉลี่ย 10% และ VAT 7% บนฐาน C.I.F.+อากร ไม่รวมค่าดำเนินการอื่น)

  • เคสโทรศัพท์/ฟิล์มกันรอย (100–150 บาท): ราคาสุทธิอาจเพิ่ม ~18–27 บาท/ชิ้น หากรวมค่าธรรมเนียมปลายทาง/ค่าดำเนินการ ผู้ขายอาจตั้งราคาใหม่ใกล้ 129–199 บาท เพื่อคงมาร์จิ้น
  • ไฟประดับ/หลอดไฟ USB (150–250 บาท): เพิ่มภาษี ~26–44 บาท มีโอกาส “ขยับชั้นราคา” ไปแตะ 199–299 บาท ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนหัน “ซื้อรวมชุด” เพื่อเฉลี่ยค่าภาษี-ค่าขนส่ง
  • เสื้อผ้าแฟชั่นเบสิก (200–300 บาท): ภาษี ~35–53 บาท หากแบรนด์ไม่มีจุดเด่นด้านคุณภาพหรือทรง อาจถูกผู้บริโภคเปรียบเทียบกับแบรนด์ไทยที่มีบริการคืน/เปลี่ยน และได้สินค้าทันทีหน้าร้าน

นัยต่อพฤติกรรมผู้บริโภค

  1. ซื้อน้อยครั้งขึ้น แต่ต่อครั้งใหญ่ขึ้น: ผู้บริโภคจะพยายาม “รวมตะกร้า” ให้คุ้มค่าค่าดำเนินการปลายทาง
  2. ขยับสู่ร้านในประเทศมากขึ้นในบางหมวด: โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการเคลม/วัดไซซ์/ทดลอง
  3. ยอมจ่ายเพื่อความสะดวก: บริการส่งเร็ว/เปลี่ยนคืนง่าย/ของแท้ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในสมการตัดสินใจ

จากกฎภาษีสู่โครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น

หากมองไกลกว่าราคาหน้าร้าน นโยบายนี้คือ การปรับสมดุลระบบนิเวศการค้า—ผู้ค้าที่ยึดกติกามี “สนามแข่งขันที่ยุติธรรมขึ้น” รัฐมีรายได้ที่ถูกต้อง และผู้บริโภคได้สินค้ามาตรฐานมากขึ้น (ลดสินค้าปลอม/ไม่ได้มาตรฐาน) ในระยะกลาง–ยาว ผลเชิงบวกอาจสะสมผ่าน

  • การย้ายฐานซัพพลาย มาสู่ไทย/CLMV ที่ตรวจสอบได้
  • การเกิดพันธมิตรโลจิสติกส์ชายแดน ระหว่างผู้ค้าท้องถิ่น–ศุลกากร–ขนส่ง–แพลตฟอร์ม
  • การยกระดับทักษะดิจิทัลของ SME ให้แข่งด้วยคอนเทนต์ ความเร็ว และบริการ ที่ไม่ใช่ “ราคาอย่างเดียว”

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเชิงนโยบาย ยังมี 3 ประการ

  1. ความพร้อมเชิงระบบข้อมูล: การเก็บภาษีจากพัสดุปริมาณมากต้องอาศัย ข้อมูลล่วงหน้า (pre-arrival data) ที่แม่นยำจากแพลตฟอร์ม/ขนส่ง เพื่อลดคอขวดด่านศุลกากร—ซึ่งกรมศุลกากรกำลังหารือแพลตฟอร์มหลักเพื่อร่วมมือคัดกรองและส่งข้อมูลที่จำเป็น (สินค้าต้องห้าม สินค้ามาตรฐาน)
  2. ความสม่ำเสมอของการบังคับใช้: หากมี “ช่องทางเลี่ยง” เช่น การสำแดงราคาไม่ครบ/แยกพัสดุเพื่อให้ดูมูลค่าต่ำ จะทำให้ผู้ค้าสุจริตเสียเปรียบ—ภาครัฐจึงต้องเร่ง Risk Management แบบฐานผู้ประกอบการ (Entity base) และเชื่อมระบบกับหน่วยงานกำกับอื่น (เช่น มอก.) ให้แนบแน่น
  3. การสื่อสารสาธารณะ: ผู้บริโภคต้องรู้กติกาใหม่ล่วงหน้า—หากไม่เข้าใจที่มาที่ไป จะเกิดแรงต่อต้านว่า “ของแพงขึ้นเพราะรัฐ” ทั้งที่หัวใจคือ ความเป็นธรรมและความปลอดภัย ของระบบการค้าในระยะยาว

 “เก็บครบ–อำนวยความสะดวก–ปกป้องสังคม”

กรอบ “Quick Big Win” ที่ประกาศเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2568 ระบุ 3 เสาหลักชัดเจน—อำนวยความสะดวก (เร่งคืนภาษี ปรับพิธีการ ตรวจปล่อยมาตรฐานสากล สนับสนุนราง–เรือ–ICD), ปกป้องสังคม (ปราบสินค้าทุ่มตลาด/ปลอมแปลงถิ่นกำเนิด/ไม่ได้มาตรฐาน) และ เพิ่มรายได้รัฐ โดยเฉพาะในส่วน อีคอมเมิร์ซข้ามแดน ที่คาดว่าช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติมประมาณ 3,000 ล้านบาท/ปี เมื่อเพดาน De minimis ลดลงเหลือ 1 บาท พร้อมเดินหน้าหารือแพลตฟอร์มขนาดใหญ่เพื่อ ปิดช่องสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ต้นทาง

ในเชิงกรอบเวลา ปี 2567–2568 เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ—จาก การเริ่มจัดเก็บ VAT กับพัสดุต่ำกว่า 1,500 บาท (ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา) ไปสู่ การเลิกยกเว้นอากรนำเข้า สำหรับพัสดุ “แทบทุกชิ้น” ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไปตามที่ผู้บริหารศุลกากรสื่อสารต่อสาธารณะ โดยมีสาระสำคัญว่า สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท จะไม่ยกเว้นภาษีอีกต่อไป” และจะคำนวณภาษีตามกฎหมายปกติ เพื่อยุติการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและคัดกรองสินค้ามาตรฐานเข้าสู่ประเทศ

เชียงรายควร “รับมือ” อย่างไร ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ค้า

1) รีแพ็กเกจพอร์ตสินค้า

  • ลดสัดส่วนสินค้าที่ “ได้เปรียบเพราะราคาต่ำมาก” และย้ายไปสู่หมวดที่ผู้บริโภคให้ค่าน้ำหนักกับ บริการ (เช่น อุปกรณ์มือถือที่ต้องติดฟิล์ม/ตั้งค่า, อะไหล่พร้อมติดตั้ง, ของใช้บ้านที่ต้องสาธิต)
  • ใช้ Bundle/Set ต่อชิ้นต่อบิล เพื่อเฉลี่ยต้นทุนภาษีและค่าดำเนินการ

2) เร่งทำสัญญานำเข้าแบบมืออาชีพ

  • รวมล็อตกับผู้ค้ารายอื่นในเครือข่ายเชียงราย–เชียงใหม่–ลำปาง เพื่อใช้ พิธีการศุลกากรปกติ ที่โปร่งใสและต่อรองค่าขนส่งได้ดีขึ้น
  • จับมือ ตัวแทนศุลกากร (Customs broker) ที่มีระบบเอกสารพร้อม audit และสร้างความน่าเชื่อถือกับธนาคาร–คู่ค้า

3) สร้าง “คุณค่าท้องถิ่น” ให้แตกต่างจากแพลตฟอร์ม

  • เพิ่มบริการ Same/Next-day ในตัวเมืองเชียงราย, บริการเปลี่ยนคืนที่ร้าน, ประกันสินค้า, และบริการติดตั้ง/สอนใช้
  • ผลิต คอนเทนต์ภาษาถิ่น/วัฒนธรรมล้านนา เชื่อมกับเทศกาลท้องถิ่น (ลอยกระทง–ปีใหม่–เทศกาลกาแฟ/บอลลูน) เพื่อดึงอารมณ์ร่วม—สิ่งที่แพลตฟอร์มระดับโลกทำได้ยาก

4) ทำการตลาด “ภาษีชัด–ของแท้ชัวร์–ซัพพอร์ตเร็ว”

  • สื่อสารตรงไปตรงมาเรื่องภาษีใหม่—ราคาที่เห็นคือราคาจริงหลังภาษี ลดความลังเลใจผู้บริโภค
  • ชู ใบกำกับภาษี/ใบรับประกัน/มาตรฐาน มอก. และช่องทางเคลมในจังหวัด

5) ต่อยอด B2B ในภาคเหนือ

  • ใช้เชียงรายเป็นฐานกระจายสู่ พะเยา–แพร่–น่าน–เชียงใหม่ ผ่านเครือข่ายขนส่งภูมิภาค สร้างรายได้ ค้าส่ง ควบคู่ค้าปลีก

 “ภาษีใหม่” ไม่ใช่จุดจบของความคุ้มค่า—แต่คือบทเริ่มของการค้าที่เป็นธรรม

เมื่อนับถอยหลังสู่ 1 ม.ค. 2569 ระบบภาษีอีคอมเมิร์ซของไทยกำลังก้าวสู่ยุคที่ พัสดุแทบทุกชิ้นถูกกำกับด้วยกติกาเดียวกัน ลดแรงบิดเบี้ยวจาก De minimis เดิม เพิ่มความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการในประเทศ และเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคผ่านการคัดกรองสินค้ามาตรฐาน การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้อาจทำให้ “ของถูกมาก” ไม่ถูกอีกต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง “แพงไร้เหตุผล” หากรัฐ–แพลตฟอร์ม–ขนส่ง–ผู้ค้า–ผู้บริโภค ร่วมกันทำให้ข้อมูลโปร่งใสและต้นทุนพิธีการมีประสิทธิภาพ

สำหรับเชียงราย เมืองชายแดนที่คล่องแคล่วด้านโลจิสติกส์และการค้าข้ามแดน นี่คือโอกาส—หากผู้ค้าท้องถิ่นปรับตัวจาก ยุทธศาสตร์ “ถูกกว่า” ไปสู่ ดีกว่า–เร็วกว่า–เชื่อถือได้กว่า” การมีร้านอยู่ใกล้มือ บริการหลังการขายที่จับต้องได้ และคอนเทนต์ท้องถิ่นที่สร้างความผูกพัน จะทำให้ ส่วนต่างราคา 10–20% ไม่ใช่กำแพงที่ข้ามไม่ได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร
  • กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมศุลกากรสกัดจับน้ำมันดีเซลและเฮโรอีน ลักลอบนำเข้าและส่งออกนอกประเทศ

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 14.30 น. นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เป็นประธานในการแถลงข่าวกรณีกรมศุลกากรจับกุมน้ำมันดีเซลจำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท ลักลอบนำเข้ามาราชอาณาจักร และยึดเฮโรอีนเตรียมส่งออกนอกราชอาณาจักรซุกซ่อนอยู่ภายในซองแผ่นประคบร้อน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่า 10.5 ล้านบาท ณ บริเวณคลังของกลาง กรมศุลกากร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษีในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ จึงมอบหมายให้นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด จนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ได้ทำการตรวจค้นรถบรรทุกน้ำมันจำนวน 3 คัน ที่บริเวณริมถนนบางนา – ตราด ขาเข้า กม.37 ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีรถบรรทุกน้ำมัน โดยภายในรถมีน้ำมันที่มีเมืองกำเนิดต่างประเทศและไม่มีเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องจะขับผ่านมาบริเวณดังกล่าว

ผลการตรวจค้นพบน้ำมันดีเซล จำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท เบื้องต้นไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จึงยึดน้ำมันของกลางและยานพาหนะที่ใช้กระทำความผิด จำนวน 3 คัน ซึ่งยานพาหนะมีมูลค่าประมาณ 7,700,000 บาท รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาน 11,341,160 บาท นำส่งกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
              
กรณีดังกล่าวเป็นการนำของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่ามิได้ผ่านพิธีการศุลกากรอันเป็นกระทำความผิดตาม มาตรา 242  หรือ มาตรา 246 ประกอบ มาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

สำหรับสถิติในการจับกุมการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง (ดีเซล) เข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 – ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) มีจำนวน 642 รายปริมาณ 440,168 ลิตร มูลค่ากว่า 10,834,000 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะให้ความสำคัญกับการปราบปรามการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง(ดีเซล)เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อเป็นการปกป้องสังคมและสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้ให้ความสำคัญในภารกิจปกป้องสังคม ให้ปราศจากการลักลอบนำเข้าสิ่งผิดกฎหมายและยาเสพติด จึงให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการป้องกัน สกัดกั้นยาเสพติดให้โทษ และบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ กรมศุลกากรพบกล่องพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศ ต้นทางจากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ปลายทางเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 หีบห่อ มีความน่าสงสัยจึงให้เจ้าหน้าที่ภายใต้การกำกับดูแลของนายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม และนายจักกฤช อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับชุดปฏิบัติการ AITF (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE) ประกอบด้วย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยงในการลักลอบส่งของต้องห้ามต้องกำกัดออกนอกราชอาณาจักร และทำการตรวจสอบพัสดุดังกล่าว ซึ่งสำแดงชนิดสินค้าเป็น PILL PATCH , COUGH PILLS , SNACK น้ำหนักรวม 10.790 กิโลกรัม จากการตรวจสอบสินค้า PILL PATCH จำนวน 12 ถุง (แผ่นประคบร้อน) พบร่องรอยการถูกปิดผนึกใหม่ด้วยความร้อน โดยภายในแต่ละถุงบรรจุซองย่อยอีก จำนวน 4 ซอง รวมทั้งสิ้น 48 ซอง มีร่องรอยการปิดผนึกใหม่เช่นกันทุกซอง จึงได้เปิดซองออกตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (Heroine) ซุกซ่อนอยู่ภายใน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 10.5 ล้านบาท
        
โดยการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 242,244 ประกอบมาตรา 252 ซึ่งเป็นของอันพึงต้องริบ ตามมาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จึงส่งให้ผู้ที่เกี่ยวของดำเนินคดีต่อไป
        
สำหรับสถิติจับกุมยาเสพติดกรมศุลกากร ตั้งแต่ประจำปีงบประมาณ 2566  – ปัจจุบัน (ตุลาคม – กรกฎาคม 2566)  มีจำนวน 148 ราย มูลค่า 1,022,513,880 บาท

นอกจากประเด็นดังกล่าวข้างต้น โฆษกกรมศุลกากร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การนำเงินตราไทยและเงินตราต่างประเทศ ออกไปนอก และเข้ามาในราชอาณาจักร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กรมศุลกากรชี้แจง จับทุเรียนลักลอบนำเข้า 8,420 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

 

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการนำทุเรียนลักลอบนำเข้าจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จึงขอให้เจ้าหน้าที่ไปทำการตรวจค้นจับกุม โดยสายลับจะเป็นผู้นำชี้ให้ทำการตรวจค้นด้วยตนเอง จนกระทั่งเวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่ารถบรรทุกที่ขนทุเรียนลักลอบได้ออกจากพื้นที่แนวชายแดนแล้ว มุ่งหน้าไปทางถนนหมายเลข 317 เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่บริเวณที่สายลับแจ้ง จนกระทั่งเวลาประมาณ 09.45 น. ได้พบรถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน 68-2537 กทม. มีผ้าใบคลุมทับ ตามที่ได้รับแจ้งที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลวังสมบูรณ์ ต.วังสมบูรณ์ อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว เจ้าหน้าที่จึงให้สัญญาณหยุดรถเพื่อขอทำการตรวจค้น และได้พบคนขับรถ เจ้าหน้าที่ได้แสดงตนพร้อมแจ้งเหตุแห่งความสงสัยให้ทราบ

 

ผลการตรวจค้นพบทุเรียนสดบรรจุอยู่ภายในกระบะบรรทุก เจ้าหน้าที่ได้สอบถามคนขับรถถึงที่มาซึ่งของที่ตรวจพบ และได้รับคำชี้แจงว่าตนเป็นคนขับรถรับจ้าง โดยได้รับการว่าจ้างให้นำรถบรรทุกมารับทุเรียน น้ำหนัก 8,420 กิโลกรัม ที่บริเวณหลังวัดเขาน้อย ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อไปถึงสถานที่ดังกล่าวมีชาวกัมพูชาเป็นผู้ขนถ่ายทุเรียนขึ้นรถให้ ซึ่งผู้ว่าจ้างได้สั่งให้นำทุเรียนไปส่งที่ล้งใน จ.จันทบุรี โดยได้รับจ้าง 6,000 บาท โดยไม่มีเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ทั้งนี้ ตนจะติดต่อผู้ว่าจ้างให้มาพบเจ้าหน้าที่ต่อไป เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้คนขับรถทราบ และนำของกลางพร้อมคนขับรถ และรถบรรทุกคันดังกล่าวส่งด่านฯ อรัญประเทศ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

 

ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. ในวันเดียวกันเจ้าของสินค้าได้มาพบเจ้าหน้าที่ โดยแสดงตนเป็นเจ้าของทุเรียนที่ตรวจพบ และได้ให้การรับสารภาพว่าตนได้รับซื้อทุเรียนมาจากชาวกัมพูชาโดยทราบว่าเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 246 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 โดยเจ้าของสินค้าให้การรับสารภาพตลอด ข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวเจ้าของสินค้าส่งงานคดี ด่านศุลกากรอรัญประเทศเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

ส่วนประเด็นเรื่องทุเรียนรับซื้อมาจากจังหวัดศรีสะเกษ กรมศุลกากรได้ตรวจสอบเส้นทางของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว พบว่าในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2566 รถยนต์คันดังกล่าวมิได้มีการเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษแต่ได้มีการใช้รถอยู่ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและสระแก้วเท่านั้น

 

สำหรับในกรณีทำการจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมได้เข้าจับกุมโดยสุภาพ มิได้มีการขู่เข็ญบังคับแต่อย่างใด และเจ้าของสินค้าก็มาแสดงตนยอมรับด้วยตนเอง และได้มีการบันทึกคำให้การโดยสมัครใจตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ซึ่งภายหลังจากที่เป็นข่าว ผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าของทุเรียนได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภอ.คลองลึก โดยมิได้โต้แย้งการจับกุม หรือการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับของกลางเท่านั้น

 

กรมศุลกากรยังคงดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อผลผลิตภายในประเทศ และเป็นการป้องกันการสวมสิทธิผลไม้ไทยที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรไทยและผู้ประกอบการที่สุจริต ต่อไป

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
All

ศุลกากรนิวซีแลนด์ลงนามโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ

ศุลกากรนิวซีแลนด์ลงนาม โครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566  นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร และ Ms. Christine Stevenson ตำแหน่ง Comptroller and Chief Executive ของศุลกากรนิวซีแลนด์ ได้ลงนามความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement: MRA) สำหรับโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operators: AEO) ระหว่างกรมศุลกากรและศุลกากรนิวซีแลนด์ ในการประชุม WCO Asia Pacific Regional Head of Customs Administration Conference ครั้งที่ 24 ณ เมืองเพิร์ท เครือรัฐออสเตรเลีย

สำหรับผลจากการลงนามในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ส่งของออกระดับมาตรฐานเออีโอของประเทศไทยได้รับการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการศุลกากร เมื่อส่งของออกไปยังประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement: MRA) ฉบับนี้  จัดเป็นความตกลงฯ ในระดับทวิภาคี ลำดับที่ 6 ที่ประเทศไทยได้ลงนามโดยสมบูรณ์ ร่วมกับหน่วยงานศุลกากรของประเทศต่าง ๆ ต่อจาก เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศนิวซีแลนด์ มีความเข้มแข็งด้วยมูลค่าทางการค้ารวมทั้งสิ้น กว่า 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รอบปีบัญชี มิถุนายน 2565) ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยและความมีประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและการค้าระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศ กรมศุลกากรและศุลกากรนิวซีแลนด์จึงได้เริ่มการเจรจาการจัดทำความตกลงดังกล่าว ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม ปี 2564 และได้ดำเนินการตรวจสถานประกอบการร่วมกัน (Joint Site Validation) ในปี 2565
         
ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ดำเนินโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอตามกรอบมาตรฐานความปลอดภัย SAFE Framework of Standards to Secure and Facilitate Global Trade (SAFE Framework) ขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายขยายการจัดทำ MRA กับหน่วยงานศุลกากรของประเทศอื่น ๆ ต่อไป เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอของประเทศไทยต่อไป

AEO-MRA Signing Ceremony between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the New Zealand Customs Service

On 29 May 2023, Mr. Patchara Anuntasilpa, Director-General of the Thai Customs Department and Ms. Christine Stevenson, Comptroller and Chief Executive of the New Zealand Customs Service have officially signed the Mutual Recognition Arrangement (MRA) on Authorized Economic Operators (AEO) between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the New Zealand Customs Service at the 24th World Customs Organization regional heads meeting held in Perth, Australia. Upon the execution of this MRA, Thai AEOs would be able to enjoy the benefits of trade facilitation on customs procedures when exporting to New Zealand. This MRA will become the 6th fully executed MRA that Thailand has entered into, following the MRAs with other customs administrations; Hong Kong, South Korea, Singapore, Australia, and Japan.

Thailand and New Zealand has been having a well-established trading relationship, with two-way trade worth $4.4 billion for the year ended in June 2022. Accordingly, to enhance the cooperation between the customs administrations to strengthen the security and the efficiency of the supply chain, as well as the international trade, the Thai Customs Department and the New Zealand Customs started the negotiation on this MRA in May 2021, and both continued to conduct Joint-site Validation in 2022.

Thai Customs Department has been implementing the AEO program under the SAFE Framework of Standards to Secure and Facilitate Global Trade, governed by World Customs Organization, and will continue working toward establishing MRAs with other customs authorities to facilitate international trade for Thai AEOs.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เวลา 11.29 น. สมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีอัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีฯ ณ กรมศุลกากร คลองเตย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ พระองค์ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รวมการภาษีขาเข้า 100 ชัก 3 กับการภาษีขาออกเบ็ดเสร็จ เข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกรมศุลกากรเพื่อทำหน้าที่จัดเก็บภาษีขาเข้า – ขาออกเป็นรายได้ของแผ่นดิน กอปรกับตราสัญลักษณ์ของกรมศุลกากรได้ใช้รูปพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎ เป็นตราสัญลักษณ์มาโดยตลอด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้  ที่พระองค์ท่านทรงให้กำเนิดกรมศุลกากร ซึ่งนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน

กรมศุลกากร จึงก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากร เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชสักการะและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อระบบการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศไทยและกรมศุลกากร ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยสืบจนปัจจุบันและเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในวาระครบ 168 ปีหรือ 14 รอบในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สำหรับพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างในพระอิริยาบถประทับเก้าอี้สูง 1.99 เมตร มีแท่นรองรับเป็นศิลาหินอ่อนสามชั้น สูงจากพื้นรวมทั้งหมดประมาณ 5.25 เมตร และกรมศุลกากรได้ทำหนังสือขออนุญาตในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยกรมศุลกากรได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2565 โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากรและเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 มีพิธีเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE