Categories
EDITORIAL

‘วุฒิสาร’ ชี้ปัญหาใหญ่การเมืองไทย คือกติกาไม่แฟร์ ลั่นไม่เห็นด้วยยุบพรรค

 

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จัดงานครบรอบ 27 ปี โดยจัดเวทีปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์ประเทศไทย ความท้าทายรัฐบาล”  โดย ศ.วุฒิสาร ตันไชย อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ปาฐกถาเรื่อง “ทิศทางการเมืองไทย” ตอนหนึ่งว่า ที่มาพูดวันนี้ไม่ได้มาทำนายการเมืองไทย แต่คำถามใหญ่ต่อคนไทย ถ้าพูดถึงการเมืองไทย ย้อนไปปี 2540 ที่นับเป็นการเมืองสมัยใหม่ของสังคมไทย จะพบว่าปี 2540 การตื่นตัวของประชาชนเกี่ยวกับกลไกระบบการเมืองใหม่ มีเครื่องมือใหม่ ดึงสิ่งที่ดีทั่วโลกไว้ในการเมืองไทย มีองค์กรอิสระ แต่คำถามคือตั้งแต่ปี 2540 ถึงบัดนี้ เราพอใจการเมืองปัจจุบันหรือยัง มันดีขึ้น หรือแย่ลง หลายคนบอกดีขึ้น อะไรคือดีขึ้น ทุกวันนี้ทำให้คนเบื่อหน่ายการเมือง ปฏิเสธการเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง ก็คือการไม่ลงสมัคร คำถามคือชุดความคิดชุดนี้ เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือไม่

“เป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์เชิงประจักษ์ชัดเจนแล้ว ใช่หรือไม่ จึงคิดว่า Perception  (การรับรู้) ทางการเมืองเมือง สำคัญกว่าความจริง คนพร้อมจะเชื่อบนพื้นฐานของ Perception ว่าพูดไปแล้วใช่หรือไม่ใช่ ค่าใช่หรือไม่ใช่ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ขึ้นกับหลักคิดสำคัญคือชอบใคร และไม่ชอบใคร” ศ.วุฒิสาร กล่าว

 

 

ศ.วุฒิสาร กล่าวว่า ในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตย เป็นเรื่องของการมีฝักฝ่าย มีพวก มีขั้ว แต่คำถามสำคัญของการเมืองไทยถ้าเทียบกับหลายประเทศ ขั้วทางการเมืองในหลายประเทศ เป็นขั้วเชิงอุดมการณ์และความเชื่อ เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง ทฤษฎีทางการเมืองบางอย่าง เชื่อเรื่องเสรีนิยม อนุรักษ์นิยม สิ่งแวดล้อม เป็นต้น เป็นชุดความเชื่อที่เป็นอุดมการณ์ทางสังคม แต่ขั้วการเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์เสียทีเดียว แต่เป็นเรื่องความชอบหรือไม่ชอบ มันคือทัศนะต่อตัวคน มันคือทัศนะที่ทำให้รู้สึกดีหรือไม่ดี หลายเรื่องอาจจะไปถึงคำว่าอคติทางการเมือง

ศ.วุฒิสาร กล่าวอีกว่า คำถามต่อไปคือการเมืองไทยมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ ในทัศนะของตน เราอาจรู้สึกว่า ประเทศไทย ผ่านรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ ใช้เปลือง อายุขัยเฉลี่ย 7-8 ปี แต่ถามว่า ถ้ามองด้วยสายตาที่เป็นธรรมมากขึ้น เราอาจบอกว่า รัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 2550 2560 เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เติบโตมากขึ้นและเราอาจไม่รู้สึกคิดว่ามี 2-3 เรื่อง

 

1.สิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น สื่อมวลชนไม่เคยมีสิทธิเสรีภาพแบบนี้ ไม่เคยได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพประชาชนก้าวหน้าไปถึงขนาดสมรสเท่าเทียม นี่คือการพัฒนาทางการเมือง  2.กระจายอำนาจไปจากรัฐกลางไปสู่พื้นที่ดีขึ้น 3.การมีช่องทางหรือกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมดีขึ้น กว้างขวางขึ้น

“กลไกพวกนี้ทำให้ระบบความตื่นตัวของประชาชนในทางการเมืองเปลี่ยนแปลง นี่เป็นพัฒนาการอันหนึ่งที่เราอาจไม่ค่อยรู้สึก เราชอบหรือไม่ชอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ต้องยอมรับว่าปี 2540 ออกแบบหนึ่ง มีกลไกองค์กรอิสระ แต่ให้ สว.แก้ปัญหานี้ แต่ขณะเดียวกันบอกว่า สว.ต้องเป็นกลาง ห้ามหาเสียง ให้แนะนำ สุดท้ายเราก็พบว่า มีการครอบงำ เราก็มาแก้เรื่อง สว.” ศ.วุฒิสาร กล่าว

อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เชื่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพัฒนาทางการเมืองก้าวหน้าขึ้น โดยยกตัวอย่างในรัฐธรรมนูญ มีการให้สิทธิเสรีภาพสื่อมากขึ้น ล่าสุดคือกรณีการสมรสเท่าเทียม เป็นต้น และเมื่อสถาปนาในรัฐธรรมนูญแล้ว ยากที่จะถอยกลับ การมีหลักประกันกับประชาชนเรื่องสุขภาพ การศึกษา การเข้าถึงบริการของรัฐ คิดว่าก้าวหน้าขึ้น อาจไม่ได้ก้าวหน้าเรื่องหนึ่งคือปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ที่เรายังไม่เห็นความชัดเจน

ศ.วุฒิสาร อธิบายว่า คำถามต่อการเมืองไทย อย่าตัดสินบนพื้นฐานของด้านใดด้านหนึ่งบนความชอบหรือไม่ชอบ แต่ที่สำคัญมากที่พบคือ วงจรที่เราคุ้นเคยในทางการเมืองไทย คือการเลือกตั้ง แล้วมีภาพเล่นพรรคเล่นพวก มีความขัดแย้งในสังคม มีคอร์รัปชัน และเกิดการปฏิวัติ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ออกกติกา และปล่อยให้มีเลือกตั้ง

“คำถามคือวงจรนี้มันวนอยู่อย่างนี้ ผมเป็น กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 เชื่อว่าหลัง 2550 จะไม่มีปฏิวัติ แต่ 7 ปีต่อมามี วงจรนี้เป็นวงจรที่สังคมไม่ปฏิเสธ และยอมรับ อัศวินม้าขาว คิดว่านี่คือจุดอ่อนอันหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยไทย คือยอมรับในอำนาจที่ไม่ได้มาจากกลไกประชาธิปไตย และรับรองอำนาจนั้น ที่สำคัญมากคือเรามีความอดทนน้อยต่อความไม่สมบูรณ์ของระบบการเมือง” ศ.วุฒิสาร กล่าว

 

ศ.วุฒิสาร กล่าวอีกว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ล่าสุดเราเห็นคำหนึ่งที่เท่มากคือ เปราะบาง เราเห็นความเปราะบางทางการเมืองบ่อย ทำไมการเมืองไทยไม่ราบรื่น ไม่ต่อเนื่องเลย มีคนตั้งคำถามคดียุบพรรค นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตออกมาแล้วจะโดนอะไรหรือไม่ ตกลงจะแก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ต้องถามประชามติประชาชนก่อน เสีย 3 พันล้านบาท ไม่เสียได้หรือไม่ แต่ถ้าเขาร้องไปแล้วถ้าศาลว่าผิดก็ทำฟรี นิรโทษกรรมทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

 ล่าสุด การได้มาและการรับรอง สว.ใหม่ ตกลง สว.ใหม่จะได้หรือไม่ หลายคนที่ไม่ชอบ สว.ชุดเดิม บอกว่า อะไรก็ได้เอามาก่อน คนเก่าได้ไปสักที ชุดวิธีคิดแบบนี้คือความเปราะบางของการเมืองไทย รัฐบาลไม่สามารถเดินอะไรแบบราบรื่น มีหินให้สะดุดอยู่ตลอดเวลา นายกฯจะถูกออกหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร ถามว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เรื่องเหล่านี้ควรเกิดขึ้นหรือไม่

ศ.วุฒิสาร กล่าวด้วยว่า เมืองไทยต้องกลับมาพูดการเมืองที่มีทัศนะทางบวกบ้าง ต้องมองว่าการเมืองเป็นเรื่องปกติ ขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ ในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีทางเห็นตรงกัน สังคมสมานฉันท์ ไม่ได้หมายความว่าสังคมต้องเห็นพ้องต้องกัน แต่คนเห็นต่างกันแสดงความเห็นได้ และมีทางออก และไม่ใช้ความรุนแรง จุดแข็งของระบอบประชาธิปไตยมันแก้ไขตัวเองได้ มันฟื้นตัว ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ โดยยังคงหลักการของประชาธิปไตย คือรัฐธรรมนูญ

“คิดว่าสังคมยังขาด Core Value (ค่านิยม) ที่เป็นคุณค่าสำคัญของความเชื่อเรื่องประชาธิปไตย และเราตีความว่าการเลือกตั้งไม่ดี แล้วประชาธิปไตยจะดีได้อย่างไร แต่ประชาธิปไตยคือวิถีชีวิต ที่ยึดความหลากหลาย เคารพเสรีภาพคน ตรงนี้คิดว่าถ้าเราไม่ทำอะไร ก็จะบ่นแบบเดิม” ศ.วุฒิสาร กล่าว

อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวอีกว่า ข้อเสนอทางออกในอนาคตของการเมืองไทย เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน จุดสำคัญสุดอันแรกคือ เราต้องเชื่อก่อนว่าประชาชนมีความบริสุทธิ์ใจจะใช้อำนาจ การแบ่งอำนาจ ถ่วงดุล และตรวจสอบ โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่การเขียนกติกาบ้านเมือง การแบ่งอำนาจ การออกแบบองค์กรอิสระ รัฐสภา แล้วเราบอกว่าต้องมีถ่วงดุล แต่คิดว่าของเราอาจไม่ค่อยสมดุล เราอาจวางน้ำหนักไปในทางหนึ่งทางใดมากเกินไปหรือไม่ เหตุผลที่วางน้ำหนักแบบนั้นเพราะอะไร ย้อนไปคือมายาคติ และวิธีคิด ที่เรามองว่าทุกคนจะโกง เราจะเขียนกติกาที่ป้องกันเยอะ ถ้าคิดว่าทุกคนดี เราจะเขียนกติกาอีกแบบ คือให้เปิดเผย

ศ.วุฒิสาร ชี้ให้เห็นถึงทางออกของปัญหานี้ว่า ต้องเริ่มจากการออกแบบกติกาให้เป็นสากล โดยกติกาที่ใหญ่ที่สุดคือรัฐธรรมนูญ ดังนั้นอย่าไปบอกว่าใครคนใดคนหนึ่ง มันไม่ได้ โทษไม่ได้ว่า การเมืองสกปรก ก็กติกาเราออกแบบนี้ เมื่อกติกาออกให้มีช่อง เขาก็ทำตามช่อง เพราะวัตถุประสงค์คือทำให้เขาเข้าสู่อำนาจรัฐ ผ่านการชนะการเลือกตั้ง และคนสำคัญที่สุดคือกรรมการ ซึ่งต้องตัดสินตามกติกา เมื่อกติกาเป็นธรรม กรรมการคุมกติกาละเอียด แม่นยำขึ้น โดยไม่ต้องใช้ดุลพินิจ

“มีคนตั้งคำถามว่า ตกลงพรรคการเมืองไทยเป็นอย่างไร ถ้ากลับไปดูพัฒนาการกฎหมายพรรคการเมืองไทยคือ พรรคเกิดง่าย โตยาก ตายง่าย ยุบพรรคง่าย ตนเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคมาตั้งแต่ปี 2550 เพราะพรรคเป็นของประชาชน ถ้ากรรมการบริหารพรรคทำผิดควรลงโทษรายบุคคล” ศ.วุฒิสาร กล่าว

ศ.วุฒิสาร กล่าวว่า การออกแบบกติกาที่เป็นธรรม แฟร์ทุกเรื่อง คีย์เวิร์ดสำคัญคือ 1.เราต้องมีภาพกติกา เห็นภาพที่เป็นองค์รวม จะต้องถูกออกแบบว่ากลไกใดควรมีอำนาจแค่ไหน ใครถ่วงดุลใคร ทุกคนต้องถูกตรวจสอบได้ ที่ผ่านมาเราอาจบอกว่า เรื่องนี้เราไม่ได้สัดส่วน ไม่ได้สมดุล การเมืองถูกตรวจสอบเยอะ แต่องค์กรอิสระไม่ได้ถูกตรวจสอบ กติกาแบบนี้คือการมององค์รวม เราอยากเห็นการเมืองเป็นอย่างไร เจตจำนง ออกแบบกติกาอย่างไรให้ไม่ต้องแก้บ่อย ๆ ทุกอย่างต้องออกกติกาเป็นกลาง แล้วปล่อยให้เขาเล่นกัน ส่วนคนคุมกติกาก็กำกับดูแลให้ดีแล้วกัน  2.การเสริมสร้างสถาบันทางการเมืองให้เข้มแข็งจริง กลไกการพัฒนาระบบรัฐสภา กลไกให้พรรคการเมืองเติบโตต่อเนื่อง และกลายเป็นพรรคที่ประชาชนมีส่วน เป็นเรื่องสำคัญ ทำไมต้องออกแบบให้พรรคมีสาขา 4 ภาค สถาบันทางการเมืองต้องพัฒนาตัวเองด้วย แต่ต้องให้โอกาสเขาต่อเนื่อง3.การเมืองจะดีขึ้นเรื่อย ๆ บนพื้นฐานว่าคนทุกคนดี และทุกคนปรารถนาอยาเป็นนักการเมืองที่ดี คือการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Social Control หรือการสร้างการควบคุมทางสังคม ให้การเมืองเป็นระบบเปิด บทบาทสื่อสำคัญมาก การถ่ายทอดการอภิปรายในสภาฯทุกครั้งเป็นเรื่องดี เป็นการเปิดให้ประชาชนเฝ้าดู อยู่ในสายตาตลอด

“ยืนยันว่า ผมมองโลกในทางบวกว่า การเมืองไทยดีกว่าเก่า เรามีพรรคการเมืองใหม่ ๆ เข้ามาทำให้ระบบการเมืองเปลี่ยน ถ้าเราอดทนกับมันต่อไป ยอมให้มันผิดถูกบ้าง แล้วปรับปรุงแก้ไข โดยไม่ใช้อำนาจอื่น การเมืองไทยยังมีแสงสว่างในปลายทาง” ศ.วุฒิสาร กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สรงน้ำพระธาตุสันแก้วชุมพล วัดสันหลวงใหม่ อ.แม่จัน

 

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีในงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุสันแก้วชุมพล ณ วัดสันหลวงใหม่ ตำบลจันจว้าใต้ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน นายชินกร ก๊อใจ

 

สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่จัน เขต 2 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ และนายอนุรักษ์ ฟ้าคำตัน ในนามผู้รักษาการแทนวัฒนธรรมประจำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานฯ
 
.
การสรงน้ำพระธาตุเป็นประเพณีความเชื่อดั้งเดิมมาแต่โบราณที่ชาวล้านนาทางภาคเหนือนิยมกระทำเป็นประจำทุกปี การสรงน้ำพระธาตุก็เปรียบเสมือนการที่ได้สรงน้ำสิ่งที่ที่เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายที่เรียกว่าพระเจดีย์คือสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเพื่อเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาในการสรงน้ำพระธาตุในประเพณีนิยมที่ได้กระทำกันมาโดยพิธีสรงน้ำพระธาตุสันแก้วชุมพล วัดสันหลวงใหม่นั้น โดยความเห็นชอบของคณะศรัทธาวัดสันหลวงใหม่คือบ้านสันหลวง หมู่ที่ 10 ตำบลจันจว้าใต้ และบ้านสันหลวงกลาง หมู่ที่ 8 ตำบลจอมสวรรค์ ในทุกฝ่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสืบสานอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นคือการสรงน้ำพระธาตุประจำหมู่บ้านสันหลวง อันเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ ของพระพุทธศาสนาของพี่น้องชาวบ้านสันหลวงทั้งสองตำบลคือตำบลจันจว้าใต้และตำบลจอมสวรรค์ และเพื่อเป็นการประกาศประชาสัมพันธ์กิจกรรมทางวัฒนธรรมท้องถิ่นของทางหมู่บ้านสันหลวงทั้งสองตำบล อีกทั้งสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น ภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับแนวทางอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและแนวคิดสร้างสรรค์ในประเพณีวัฒนธรรมแบบใหม่
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

น่าน – เชียงราย ขอ 5 ปี มุ่งการค้าสากล เด่นวัฒนธรรมล้านนาสินค้าเกษตรปลอดภัย

 

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับนายเทวา ปัญญาบุญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ที่ลงพื้นจังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาดูงาน และรับฟังความคิดเห็นทิศทางการพัฒนาในอนาคตของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ฉบับทบทวน ประจำปี 2568 – 2570 ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน เพื่อทราบความต้องการของประชาชนในกลุ่มจังหวัดฯ รวมถึงทราบจุดแข็ง จุดอ่อน ของแต่ละจังหวัด ในการเตรียมรับมือกับปัญหาในทุกๆ มิติ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ภาคประชาคม หน่วยงานภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงราย เข้าร่วม

 

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้กำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาในระยะเวลา 5 ปี “เป็นประตูการค้าสากล โดดเด่นวัฒนธรรมล้านนาสินค้าเกษตรปลอดภัย ประชาชนร่วมใจอนุรักษ์ทรัพยากร” โดยมียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนใน 4 ประเด็นการพัฒนา ดังนี้ 
 
1.พัฒนาสภาพแวดล้อมในการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับต่างประเทศ เชื่อมโยงกับกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง AEC เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ 
2.สร้างความเข็มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยที่มีศักยภาพมุ่งสู่ตลาดโลก 
3.พัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ศิลปวัฒนธรรม สุขภาพ และ MICE เพื่อสร้างรายได้สู่ชุมชนและเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอย่างยั่งยืน 
และ 4.ดำรงฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่การเป็นกลุ่มจังหวัดสีเขียว
 
 
โดยกล่าวสรุปจากการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้ว่า มีศักยภาพเชิงพื้นที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการการค้าและธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ส่วนด้านภาคเกษตรยังคงต้องส่งเสริมให้ปรับเข้าสู่รูปแบบการเกษตรมูลค่าสูง สำหรับด้านสังคมการรับมือสังคมผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญ จึงจำเป็นต้องพัฒนาในทุกมิติ และด้านสิ่งแวดล้อมปัญหาหมอกควันไฟป่ายังคงเป็นปัญหาหลักที่ต้องเร่งมือแก้ไขต่อไป
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมจะได้ร่วมระดมความคิดเห็น ช่วยกันสำรวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพื่อที่จะได้ไม่ซ้ำซ้อนความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัด ทั้งด้านการท่องเที่ยว การการเกษตร ด้านการค้าการลงทุน ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และด้านอื่นๆที่สำคัญ เพื่อที่จะได้รวบรวม และจัดส่งให้ทีมบูรณาการกลางพิจารณาต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ ดันศิลปะดนตรีอัตลักษณ์ วัฒนธรรมท้องถิ่นเชียงราย

 

เมื่อวันศุกร์ที่  5 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.30 น. ณ หอประชุมกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย นายพิสันต์  จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกล่าวเปิดงานกิจกรรมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านศิลปะดนตรีอัตลักษณ์ท้องถิ่น โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์  คล้ายสุวรรณ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ดร. อดิเทพ  วงศ์ทอง ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, นางฐิติมา  เร่งประเสริฐ ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย, นางสลักจฤฎดิ์  ติยะไพรัช  ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, นายสุวิทย์  ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ, คณะอาจารย์ และศิลปินพื้นบ้านให้เกียรติมาร่วมพิธีเปิดกิจกรรมฯ

 

วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านศิลปะการดนตรีอัตลักษณ์ของล้านนา ศิลปวัฒนธรรมและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย และเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้เรียนรู้ สืบสานภูมิปัญญาด้านดนตรีพื้นบ้านล้านนาของจังหวัดเชียงราย

 

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย

การเสวนาวิชาการการสืบสานศิลปะดนตรีพื้นบ้านจังหวัดเชียงรายดำเนินรายการโดย ผศ.ดร. องอาจ  อินทนิเวศ อาจารย์ประจำสาขาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ และรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และคณะวิทยากรผู้ร่วมเสวนา

  • อาจารย์สุคำ แก้วศรี ข้าราชการครูบำนาญ, ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 4 ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
  • ผศ. รัตนะ ตาแปง ประธานหลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาศิลปะการแสดง และสาขาวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยพะเยา
  • ดร. พิพัฒน์พงศ์ มาศิริ อาจารย์ประจำ คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเชียงราย ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาศิลปะการแสดง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

 

การจัดนิทรรศการและฐานเรียนรู้ด้านดนตรีล้านนา จำนวน 3 ฐาน ได้แก่

1) ฐานดนตรีพื้นเมือง (สะล้อ ซอ ซึง) โดย ดร.ศันสนีย์  อินสาร ประธานศูนย์ดนตรี กวี ศิลป์ ล้านนา

2) ฐานวงดนตรีปี่พาทย์ล้านนา โดย ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ  ดอนลาว อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

3) กลองสะบัดชัย โดย ผศ. รัตนะ  ตาแปง อาจารย์ประจำสาขาวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยพะเยา

 

การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ดนตรีพื้นบ้านล้านนา โดยการบันทึกการแสดงสด เพื่อจัดทำคลิปวิดีทัศน์เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ พาครอบครัวหิ้วตะกร้าเข้าวัดทำบุญ

 

มื่อวันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2567 ณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นายธีทัต พิมพา รองอธิบดีกรมการศาสนา พร้อมด้วย นายบุญยเกียรติ เกียรติบรรจง ผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ กองศาสนูปถัมภ์ นายวัชรวิทย์ ศิริวัฒน์ นักวิชาการศาสนาชำนาญการ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อปรึกษาหารือแนวทางการจัดกิจกรรมเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวหิ้วตะกร้า ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” กิจกรรมการส่งเสริม Soft Power พร้อมทั้งลงพื้นที่สำรวจวัดถ้ำป่าอาชาทอง เพื่อขยายผลต่อยอดโครงการในส่วนภูมิภาค และเป็นต้นแบบในการจัดกิจกรรมฯ ก่อให้เกิดกระแสพาครอบครัวหิ้วตะกร้าเข้าวัดทำบุญ และอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรม ในมิติศาสนาวัฒนธรรม สร้างมูลค่าเพิ่มทางสังคมและมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการขยายโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญตักบาตร รักษาศีล และเจริญจิตภาวนา

 

ในโอกาสนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนายพร้อมพงษ์ ทาสิทธิ์ ข้าราชการและบุคลากรสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกับ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยมีกิจกรรมสำคัญ ดังนี้

  1. การทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนบุญกุศล และแผ่เมตตา
  2. การสำรวจพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวหิ้วตะกร้า ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” กิจกรรมการส่งเสริม Soft Power บริเวณวัดถ้ำป่าอาชาทอง
  3. กราบนมัสการ ครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาสวัดถ้ำป่าอาชาทอง เพื่อปรึกษาหารือแนวทางการจัดกิจกรรมเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวหิ้วตะกร้า ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” และกิจกรรมส่งเสริม Soft Power
  4. ประชุมวางแผนกำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะและมอบหมายภารกิจ ณ ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  5. กราบนมัสการ พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา
  6. กราบนมัสการ พระครูวิสาลบุญสถิต รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดหนองอ้อ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

เปิดตัวคาเฟ่ Department of Tea by Singha Park x MFU เรียนรู้ชา

 

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  ผศ.ดร.ภาณุพงษ์  ใจวุฒิ รองอธิการบดี นายชัยภัฏ จาตุรงคกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด นายชวาล คงทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด นายภุชคฤน ตั้งตรงเจตนา นายกสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกัน เปิดตัวคาเฟ่ “Department of Tea by Singha Park x MFU” ภายในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ต.ท่าสุด อ.เมือง จ.เชียงราย

 

โดยนายชัยภัฏ จาตุรงคกุล  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด กล่าวว่า ทางสิงห์ปาร์ค เชียงราย ได้เดินหน้ารีโนเวทร้านใหม่ เปิดตัวคาเฟ่สุดพิเศษ “Department of Tea by Singha Park x MFU” ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ไม่เพียงแต่เป็นคาเฟ่สำหรับนั่งชิลและเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มอันหลากหลาย แต่ยังเป็นศูนย์รวมแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับชา ที่จะเป็นแรงผลักดันให้คุณภาพชาไทยก้าวไกลสู่ระดับสากล

 

ซึ่งคาเฟ่แห่งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนการดื่มชาแบบ specialty tea โดยในร้านมีมุมสวยงามที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งมีโซน slow bar ที่ให้บริการชาพรีเมียมและมัทฉะที่ตอบโจทย์วัยรุ่น การตกแต่งภายในร้านเน้นความโมเดิร์นและอบอุ่น สร้างบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อน การชวนเพื่อนมาอ่านหนังสือและการเรียนรู้

 

สำหรับการร่วมมือระหว่างสิงห์ปาร์คและมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในครั้งนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถมีส่วนร่วมในการเข้ามาฝึกทดลองทำงานจริง หารายได้เสริมระหว่างเรียน อีกทั้งยังมี Zone ที่สามารถมาทำ Workshop เกี่ยวกับชาได้อีกด้วยทั้งนี้ เพื่อผลักดันวงการชาไทยไปสู่ความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

 

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเยี่ยมชมคาเฟ่ “Department of Tea by Singha Park x MFU” ได้แล้ววันนี้ที่ตึก M-Square มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น. ติดต่อได้ที่เบอร์ 065-924-0486 พบกับประสบการณ์ใหม่ของการดื่มชาและการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนใคร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MFU TODAY

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงราย จัดขบวนอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์ เตรียมทำพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2567 เทศบาลนครเชียงรายโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มอบหมายให้ นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย  ข้าราชการเทศบาลนครเชียงราย โดยมี นายพุฒิพงษ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน นำข้าราชการ จิตอาสา และพสกนิกรชาวเชียงราย ร่วมประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ บ่อน้ำทิพย์ของจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุดอยตุง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขึ้นราชรถบุษบก ศิลปะล้านนา เพื่อเชิญไปประกอบพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ วัดพระแก้ว พระอารามหลวง อ.เมือง จ.เชียงราย

 

การประกอบพิธีพลีกรรมตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ณ บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง (วัดน้อยดอยตุง) โดย ขบวนอัญเชิญเริ่มจากหน้าศูนย์เกษตรปลอดภัยนครเชียงราย ไปตามถนนบรรพปราการ ผ่านหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ โดยจุดนี้เทศบาลนครเชียงรายจัดการแสดงขบวนฟ้อนแบบล้านนา ของน้องๆนักเรียนโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงรายและมหาวิทยาลัยวัยที่สามนครเชียงราย จำนวนกว่า 1,000 คน จากนั้นขบวนเคลื่อนไปยังวัดพระแก้ว พระอารามหลวง

 

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2567  พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงราย

 

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม 2567 พิธีเวียนเทียนสมโภชน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว พระอารามหลวง อำเภอเมืองเมืองเชียงราย

 

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม 2567  คนเชิญคนโทน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เดินทางไปเก็บรักษาที่กระทรวงมหาดไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายติดอันดับ “โรคมือ เท้า ปาก” ในเด็กเล็กสูง แพทย์แนะสังเกตอาการ

 

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของเชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมือ เท้า ปาก ประกอบกับสถานศึกษาเปิดเรียนเป็นปกติ เด็กอาจมีการทำกิจกรรมรวมกลุ่ม ทำให้เสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งโรคดังกล่าวมีแนวโน้มพบอัตราป่วยมากที่สุดในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย น้ำในตุ่มพอง ตุ่มแผล หรือจากการสัมผัสของเล่น อุปกรณ์เครื่องใช้ หรือภาชนะที่ใช้ร่วมกัน ดังนั้น สถานศึกษาจึงควรมีมาตรการคัดกรองและสังเกตอาการของเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้า เพื่อเฝ้าระวังการป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก หากพบเด็กมีอาการเสี่ยงจะได้ป้องกันการแพร่ระบาดไปสู่เด็กคนอื่น

 

สถานการณ์โรคมือเท้าปาก ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 29 มิถุนายน 2567 พบรายงานผู้ป่วยสะสม จำนวน 23,143 ราย เสียชีวิต 1 ราย กลุ่มอายุที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุดสามอันดับแรก คือ กลุ่มเด็กแรกเกิด – 4 ปี โดยพบผู้ป่วย 16,732 ราย รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 5-9 ปี จำนวน 5,597 ราย และกลุ่มอายุ 10-14 ปี จำนวน 488 ราย ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด 5 อันดับแรกคือ

  • ภูเก็ต (110.63)
  • เชียงราย (97.60)
  • ชลบุรี (83.55)
  • พัทลุง (82.40)
  • สระบุรี (67.79) ตามลำดับ

 

สำหรับอาการของโรคมือ เท้า ปาก ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาจไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เจ็บคอ เจ็บปาก ในเด็กเล็กสังเกตได้จากการไม่ยอมรับประทานอาหารหรือมีน้ำลายไหล ร่วมกับมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสพองเล็กๆ ขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว ก้น มีตุ่มแผลบริเวณในช่องปาก เพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม ลิ้น ซึ่งภายหลังตุ่มแผลจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้นๆ ส่วนใหญ่อาการจะทุเลาและหายเองได้ภายใน 7-10 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีไข้สูง รับประทานอาหารและน้ำได้น้อยมาก ซึมลง ชักเกร็ง หายใจหอบเหนื่อย อาเจียนมาก ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพราะอาจติดเชื้อโรคมือ เท้า ปากชนิดรุนแรง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวย้ำให้ผู้ปกครองและสถานศึกษาสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ และสถานศึกษาหรือสถานรับเลี้ยงเด็กควรปฏิบัติตามคำแนะนำป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ดังนี้ 1.คัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้าอย่างเคร่งครัด  2.ให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ (แอลกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อนี้ได้) ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังเล่นของเล่น  3.หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น และพื้นที่ที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ  4.หากสถานศึกษาพบเด็กป่วยให้แยกออกจากเด็กปกติและแจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับบ้านเพื่อพาไปพบแพทย์ พร้อมทั้งให้เด็กหยุดเรียนจนกว่าจะหาย แยกของใช้ส่วนตัวของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ ทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป และนำไปตากแดดให้แห้ง หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับเด็กคนอื่น งดไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด  และหากพบการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก เป็นกลุ่มก้อน ควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่เพื่อดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรคต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

บอร์ดปลดล็อค “5 วันพระใหญ่” ‘ขายเหล้า’ ในสนามบินเชียงรายได้แล้ว

 

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่รัฐสภา  นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 3/2567 โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ พิจารณาประเด็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันห้ามขาย ณ ท่าอากาศยานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 คือ วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา  

 

รายงานข่าวจากที่ประชุมระบุว่า  เดิมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในท่าอากาศยานนานาชาติ สามารถจำหน่ายได้เฉพาะบริเวณ ร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารท่าอากาศยานนานาชาติ  แต่จากการประชุมครั้งนี้ มีการพิจารณาและเห็นชอบให้สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในอาคารท่าอากาศยาน โดยสามารถขายได้ใน 5 วันสำคัญทางศาสนา (วันพระใหญ่) ประกอบด้วย  วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา  

 

ทั้งนี้ นายสุริยะ กล่าวถึงการประชุม ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็น หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ พร้อมทั้งข้อความคำเตือนสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผลิตหรือนำเข้า พ.ศ. …. ซึ่งระยะเวลาในการออกประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 หลังจากนี้จะต้องนำไปแจ้งเวียนประเทศสมาชิก WTO อย่างน้อย 60 วัน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเนื้อหาในร่างประกาศมีผลบังคับใช้กับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการ จำเป็นต้องพิจารณาร่างประกาศด้วยความละเอียดรอบคอบ มีหลักฐานทางวิชาการและวิทยาศาสตร์สนับสนุนด้วย

 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันห้ามขาย ณ ท่าอากาศยานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ให้ปรับปรุงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2558 ซึ่งเดิม คือ วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ให้สามารถจำหน่ายได้ ในอาคารอากาศยานนานาชาติ เพื่อให้เกิดการใช้จ่าย สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และเป็นการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ 

 

ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขอพิจารณาแนวทางการขอยกเว้นสถานที่ หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบริเวณสถานีรถไฟ หรือในขบวนรถที่อยู่บนทางรถไฟ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้นได้ให้ คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่วมกับ รฟท.หารือแนวทางและมาตรการควบคุมป้องกันด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยว และร่างกฎหมายส่งให้ คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ พิจารณาถึงความเหมาะสมและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนต่อไป

 

นอกจากนี้ ที่ยังได้มีมติเห็นชอบ ร่าง คำสั่งคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการจัดหาหรือจัดตั้งกองทุนเพื่อการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้มีปัญหาการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ต้องการเข้ารับการบำบัดรักษาเพื่อการเลิกดื่ม สามารถเข้าสู่ระบบบำบัดรักษา และเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

 

นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันเข้าพรรษาของทุกปีเป็น “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ในปีนี้ กรมควบคุมโรค ได้จัดกิจกรรมรณรงค์วันงดดื่มสุราแห่งชาติ ประจำปี 2567 ขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณลานหน้าห้อง MCC Hall ชั้น 4 เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน จังหวัดนนทบุรี ภายใต้ธีมงาน “หยุดเหล้า หยุดอันตรายต่อผู้อื่น (Stop Alcohol Stop Harm to Other)” โดยมุ่งเน้นรณรงค์ในกลุ่มเด็กเยาวชน และผู้หญิง เพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่ ตระหนักถึงอันตรายของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกระตุ้นให้เกิดการลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมมีกิจกรรม “เชิญ ชวน เชียร์ ลด ละ เลิกเหล้า เข้าสู่ระบบบำบัดรักษา” ด้วยการลงนาม ผ่านระบบออนไลน์ ผ่าน QR Code หรือ เว็บไซต์www.noalcohol.ddc.moph.go.th เพื่อร่วมงดเหล้าในช่วงเข้าพรรษาตลอดระยะเวลา 3 เดือน นำสู่การเลิกเหล้าตลอดชีวิต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘วันชัย’ ดันกลไกชุมชนแก้ปัญหา”จากล่างขึ้นบน” คือ “ชุมชนสู่ระดับประเทศ”

 

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ที่อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ จัดเวที “สานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่สุขภาวะชุมชนที่ยั่งยืน ปี 2567” วาระ: ชุมชนท้องถิ่นร่วมแก้ปัญหาประเทศ” มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ร่วมแก้ไขปัญหาจากชุมชนสู่ระดับประเทศ โดยมี ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย  ดร.นุชากร มาศฉมาดล รองนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด นายประทุม ไทรแช่มจันทร์ ประธานชุมชนหน้าสมาคมธรรมศาสตร์ กทม. นายประภัสสร ผลวงษ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี และ นางเยาวลักษณ์ บุญตามชู นักวิชาการสาธารณสุขเทศบาลหาดใหญ่ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “อัตลักษณ์การเสริมสร้างความเข็มแข็งของชุมชนท้องถิ่นร่วมแก้ปัญหาประเทศ”

 

ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย  กล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีปัญหาน้ำเสีย ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆมากมาย การที่มาทำงานจากการสัมผัสด้วยตัวเอง มองว่าการจะแก้ปัญหาสู่การพัฒนาสิ่งสำคัญที่สุดคือเป็นการสร้างภาคีเครือข่ายสร้างมุมมองคนร่วมคิดร่วมทำ การที่เราจะสะท้อนปัญหาและแก้ไขที่ชัดเจนหรือภาคประชาชนสร้างมุมมองสู่ท้องถิ่น รวมถึงการจัดวางแผนงบประมาณ เชื่อมั่นว่ากระทรวง ทบวง กรม ต่างมีงบประมาณค่อนข้างมากและกระบวนการที่เราจะคิดและปัญหาที่เราจะแก้ไขได้ เราจะเชิญชวนดึงมาปรับแผนเข้าหากัน มองว่าอยากสร้างให้เป็นชุมชนท้องถิ่นที่ยั่งยืนชุมชนที่เป็นเมืองแห่งความสุขเป็นเมืองสุขภาพดี ดังนั้นการขับเคลื่อนรวมถึงการร่วมมือกับหน่วย อสม.จึงสำคัญ

 

นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาในเรื่องของอาหารปลอดภัย “เชื่อมั่นว่าถ้าเราปลอดภัยแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ทำให้ไม่มีค่าใช้จ่าย” ทำให้คนในครอบครัวไม่ต้องกังวลใจในภาระต่างๆ เชียงรายโชคดีเมื่อทำงานเรามีภาคีเครือข่ายที่เป็นท้องถิ่นต่างๆรวมถึงเทศบาลและโรงพยาบาลเชียงราย โรงพยาบาลภาคเอกชน รวมถึงกระทรวงสาธารณสุข การที่มีสุขภาพวะตามทิศทางของนโยบาย กลยุทธ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดสิ่งต่างๆสะท้อนออกมาเมื่อขับเคลื่อนไปจะทำให้เกิดภาคประชาชนแข็งแรง

 

ดร.นุชากร มาศฉมาดล รองนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การทำงานคือคิดจากข้างล่างไปข้างบน เพราะการทำงานจากข้างล่างไปข้างบนชุมชนมีส่วนร่วมความยั่งยืนเกิดขึ้นแน่นอน  ร้อยเอ็ดทำ 8 เรื่อง ทั้ง สิ่งแวดล้อม ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน เศรษฐกิจ เป็นต้น อย่างเรื่องปัญหาเด็กและเยาวชนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจุบันพบมีเด็กออกนอกระบบการศึกษาประมาณ 1,025,115 คน แต่ปี 66 ออกนอกระบบประมาณ 1,000,000 คน  โดยจังหวัดร้อยเอ็ดมีเด็กออกนอกระบบ 6,000 คน ซึ่งเรามีการพาเด็กกลุ่มนี้ไปเรียนฝึกอาชีพซึ่งผลปรากฎว่า เด็กกลุ่มนี้สามารถเปิดร้านเสริมสวยได้ เปิดร้านซ่อมรถได้ ฯลฯ ทุกวันนี้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนเพราะไม่รู้เรียนไปแล้วจะทำอาชีพอะไร ฉะนั้นชุมชนจึงสำคัญ  และต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้เด็กกับชุมชนอยู่ด้วยกันได้ 

 

นายประทุม ไทรแช่มจันทร์ ประธานชุมชนหน้าสมาคมธรรมศาสตร์ กทม. กล่าวว่า ตอนนี้ในประเทศไทย กลุ่มผู้สูงอายุมีเยอะมาก ในพื้นที่เรามีการประชาสัมพันธ์กับผู้สูงอายุว่า “การชราภาพเป็นเรื่องปกติ แต่เราจะชราภาพให้มีคุณภาพอย่างไร” ซึ่งเรามีการทำกิจกรรมออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์ ใช้แบบสังคมบำบัด นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยกัน 5-10 นาที และสำหรับกลุ่มเปราะบางกับผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้พิการจะออกกำลังกายในกลุ่มของเราไม่ได้ เราก็ต้องให้ผู้สูงอายุมาเยี่ยมพบปะพูดคุย

 

อีกเรื่องคือกลุ่มเยาวชน กลุ่มเยาวชนในชุมชนปทุมธานีเป็นพื้นที่สีแดงรองจากคลองเตย เป็นชุมชนที่ยาเสพติดค่อนข้างรุนแรงจนไม่มีใครเอาอยู่คณะกรรมการไม่มีใครเอาอยู่ จึงมีการเข้าห้ามปรามได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง เยาวชนเก่าหายไปหมดติดคุกบ้างไปเล่นยาบ้าง ตอนนี้มีการสร้างเยาวชนรุ่นใหม่เป็นเยาวชนของชุมชนและมีการประชุมการบอกโทษของยาเสพติดหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ยาบ้า กัญชา กระท่อม เฮโรอีน ยาไอซ์ เรามีการประชาสัมพันธ์เรียกกลุ่มเยาวชนมาประชุมเพื่อให้ห่างไกลยาเสพติด เพราะยาเสพติดอันตรายไม่ใช่อันตรายกับชุมชนไม่ใช่อันตรายกับครอบครัวแต่อันตรายต่อประเทศชาติ เราจึงจำเป็นต้องให้เขารับรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี  จึงเปิดพื้นที่เขาสร้างกิจกรรมเอง ไม่ว่าจะเป็น การทาสีกำแพงบ้าน เป็นต้น

 

นางเยาวลักษณ์ บุญตามชู นักวิชาการสาธารณสุขเทศบาลหาดใหญ่ กล่าวว่า มีชุมชนทั้งสิ้น 103 ชุมชน มีประชากร 150,000 คน รวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานเข้ามาเพื่อการศึกษาการท่องเที่ยวประมาณ 150,000 คน   ในพื้นที่หาดใหญ่เป็นพื้นที่หลายวัฒนธรรม ทั้งไทย จีน เมืองหาดใหญ่จะเจอปัญหาต่างๆที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เหมือนเมืองอื่นๆ ภายใต้การดำเนินนโยบายของเทศบาลนครหาดใหญ่และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือทุนทางสังคมในพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนสู่เมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ซึ่งมีในพื้นที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของหน่วยงานภาครัฐในหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่มีโรงพยาบาลเอกชน มีสถาบันการศึกษาต่างๆ

 

นางเยาวลักษณ์ กล่าวต่อว่า หาดใหญ่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุร้อยละ 19.19 ซึ่งถ้าไม่มองในเรื่องของดูแลผู้สูงอายุจะทำให้การพัฒนาด้านอื่นเป็นไปไม่ได้ด้วย ฉะนั้นเทศบาลหาดใหญ่มีนโยบายเรื่อง “แก่แต่เก๋า สูงวัยแต่ฉลาด” โดยมีกิจกรรมต่างๆเพื่อทำให้ผู้สูงอายุเป็นผู้สูงอายุที่ทรงพลังทางด้านสุขภาพและการมีความพร้อมช่วยเหลือตนเองได้ ไม่นั่งนึกถึงก่อนวัยอันควรหรือในเรื่องของการส่งเสริมการรวมกลุ่มของชมรมผู้สูงอายุเพื่อให้ดูแลการการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดตั้งมีผู้สูงอายุที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การจัดบริการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 

 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการสร้างเพิ่มขีดความสามารถอย่างน้อยใน 6 ประการ 1. การพัฒนาภาวะผู้นำของผู้นำและบุคลากรทุกฝ่ายของเทศบาลนครหาดใหญ่และหน่วยงานองค์กรทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง  2. การเพิ่มคุณภาพการจัดระบบข้อมูล  3. การพัฒนาศักยภาพระบบและกลไก 4. การสร้างการมีส่วนร่วมของเทศบาลนครหาดใหญ่   5. การนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในการพัฒนาและแอพพลิเคชั่นต่างๆ  6. การสร้างนวัตกรรมโดยบริหารจัดการให้เกิดรูปธรรมการพัฒนาสร้างสรรและความเชี่ยวชาญในการจัดการความรู้

 

สสส.เข้ามาสอนเราในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มและทำให้ค้นพบผู้นำรุ่นใหม่ที่จะต่อยอดการพัฒนาชุมชนซึ่งเราเน้นชุมชนเป็นฐาน นางเยาวลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News