Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เริ่มแล้ว ‘โฮงยาใกล้บ้านพลัส’ อบรมทันตบุคลากร เชียงราย

อบจ.เชียงราย ขับเคลื่อนโครงการ “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” เสริมศักยภาพทันตบุคลากร รพ.สต.

พัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ ภายใต้แนวคิด อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) เพื่อเพิ่มศักยภาพทันตบุคลากรของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ โดยมี นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เข้าร่วมอบรมให้การต้อนรับ

เพิ่มประสิทธิภาพงานทันตสาธารณสุขระดับตำบล

นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ ฟื้นฟูและพัฒนาองค์ความรู้ด้านทันตสาธารณสุข สำหรับบุคลากรของ รพ.สต. ที่อยู่ในสังกัด อบจ.เชียงราย ให้สามารถให้บริการที่ได้มาตรฐานมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางทันตกรรมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

โครงการนี้ยังช่วยให้ทันตบุคลากรได้รับข้อมูลและเทคนิคใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนได้จริง เพื่อให้การดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพมากขึ้น

ขับเคลื่อนนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่าการดำเนินงานด้านทันตสาธารณสุขของ รพ.สต. เป็น หัวใจสำคัญของระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ซึ่งมีบทบาทในการให้บริการตรวจรักษาและส่งเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัย

อบจ.เชียงรายให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโครงการ อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเดินทางไกล โดยการอบรมครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทันตบุคลากร ให้เป็นบุคลากรต้นแบบและเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบและประโยชน์ต่อประชาชน

การพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลเชิงบวกในหลายด้าน ได้แก่:

  • เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการทางทันตกรรมของประชาชน
  • ลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
  • พัฒนาศักยภาพของทันตบุคลากรให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนได้ดีขึ้น
  • ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราผู้ป่วยโรคฟันผุในเด็กก่อนวัยเรียนในเชียงราย: 57%
  • ประชากรในพื้นที่ชนบทที่ขาดการเข้าถึงบริการทันตกรรม: ประมาณ 30%
  • จำนวน รพ.สต. ในสังกัด อบจ.เชียงรายที่ให้บริการทันตกรรม: กว่า 50 แห่ง
  • เป้าหมายลดอัตราการเกิดโรคฟันผุในเด็กอายุ 6 ปีให้ต่ำกว่า: 30% ภายในปี 2570

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย ช่วยเก็บข้าวโพด ลดรายจ่ายให้ประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรมช่วยประชาชนเก็บข้าวโพด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้

ทหารจิตอาสาเข้าช่วยเหลือเกษตรกรเชียงแสน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” ด้วยการช่วยประชาชนเก็บข้าวโพดเพื่อใช้ทำอาหารสัตว์และเพื่อจำหน่าย ณ บ้านไร่ หมู่ 7 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งนำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ ลดต้นทุนแรงงาน

หนึ่งในผู้ได้รับการช่วยเหลือคือ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง อายุ 73 ปี เจ้าของไร่ข้าวโพดพื้นที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งทหารเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน และช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน กิจกรรมนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนในพื้นที่

มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน ซึ่งต่างร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อสนับสนุนชุมชน

รณรงค์ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

นอกจากการช่วยเก็บข้าวโพดแล้ว หน่วยทหารยังได้ ประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ให้กับประชาชน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ซึ่งกำหนดห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่

แนวทางการลดปัญหาหมอกควันที่เผยแพร่ให้ประชาชน ได้แก่:

  • การไม่เผาขยะ ตอซังข้าว ข้าวโพด หญ้าแห้ง วัชพืช กิ่งไม้
  • การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง
  • การทำแนวกันไฟในพื้นที่เพื่อลดการเกิดไฟป่า

ชุมชนซาบซึ้งในความช่วยเหลือของทหาร

ครอบครัวของ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง และชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวขอบคุณทหารที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นที่พึ่งพาในทุกโอกาส การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดในตำบลแม่เงิน: กว่า 5,000 ไร่
  • อัตราการเผาทำลายวัชพืชในเชียงรายก่อนมีมาตรการควบคุม: มากกว่า 70%
  • ค่า PM 2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคม 2567: สูงถึง 150 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • ค่า PM 2.5 หลังเริ่มมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” ในปี 2567: ลดลงกว่า 35%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เปิดเชียงราย Fam Trip ดึงสายการบินต่างชาติ

เชียงรายเปิดเส้นทางบินใหม่ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

AOT ผนึกกำลัง ททท. เปิดตัวโครงการ FAM Trip เชียงราย

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดตัวโครงการสร้างการรับรู้และพัฒนาเส้นทางการบิน (Familiarization Trip : FAM Trip) ภายใต้ชื่อ “Discover Amazing Thailand Through The Skies FAM Trip” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงราย ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายโดยใช้ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยมีผู้แทนสายการบินและตัวแทนการท่องเที่ยวชั้นนำจากประเทศอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เข้าร่วมงาน เพื่อพัฒนาเส้นทางบินและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังเชียงรายมากขึ้น

เชียงรายพร้อมเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

ในพิธีเปิดโครงการ FAM Trip ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่โดดเด่น อีกทั้งยังมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน

AOT ได้จัดทำโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing Fund) เพื่อจูงใจให้สายการบินต่างชาติเพิ่มเที่ยวบินมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางบินใหม่กับเมืองสำคัญทั่วโลก เพื่อยกระดับให้ ทชร. เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค (Regional Hub)

โครงการ FAM Trip เปิดประสบการณ์ใหม่ให้นักลงทุนและสายการบิน

ในช่วงงานเลี้ยงต้อนรับ (Welcome Reception) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้แก่ผู้แทนสายการบินและบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และหอการค้าจังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้บรรยายสรุปข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของ ทชร. รวมถึงแผนพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยผู้เข้าร่วมโครงการยังได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย อาทิ วัดร่องขุ่น ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

เป้าหมายเชียงราย: สู่ Aviation Hub ของภูมิภาค

รัฐบาลไทยมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ซึ่งนอกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว การพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง ทชร. ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายเครือข่ายการบินระหว่างประเทศ

AOT วางแผนพัฒนา ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO – Maintenance, Repair, and Overhaul) ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสายการบินทั่วโลก ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนี้คือสิงคโปร์ ซึ่งมีศูนย์ซ่อมอากาศยานชั้นนำระดับโลกและสถาบันฝึกอบรมด้านการบินอย่าง Singapore Aviation Academy (SAA)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสถิติที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงรายคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนกว่า 1.2 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปี 2569 หากมีการขยายเส้นทางบินใหม่เพิ่มเติม

นอกจากนี้ สถิติจาก AOT ชี้ให้เห็นว่าปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกว่า 15% จากปี 2566 โดยมีจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ของภูมิภาค

สรุป

โครงการ FAM Trip เชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดสายการบินและนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนจาก AOT และ ททท. เชียงรายกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่สามารถแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำในเอเชียได้อย่างเต็มตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายไหว้ดอยตุง ตามรอยครูบาฯ สรงน้ำพระธาตุ

ดอยตุง 2007 ปี! ศรัทธาครูบาฯ เดินจาริกแสวงบุญ

เชียงราย, 13 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินจาริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง”

พิธีบวงสรวงและการเตรียมความพร้อม

เช้าวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ในพิธีดังกล่าว พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ จากนั้นได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุง

ความสำคัญของพระธาตุดอยตุง

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระมหากัสสปเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 561 ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุนหรือปีช้างตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าการเดินทางขึ้นมากราบไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุงจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สำหรับปีนี้ ประเพณีดังกล่าวตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์และภาครัฐจัดให้มีกิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง เพื่อรำลึกถึงครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง เมื่อปีพุทธศักราช 2470

พิธีตักน้ำทิพย์และสรงน้ำพระธาตุดอยตุง

วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อใช้ในการสรงน้ำพระธาตุดอยตุง โดยมีขบวนน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าประดิษฐานในวิหารวัดน้อยดอยตุง

สำหรับบ่อน้ำทิพย์ของวัดพระธาตุดอยตุง ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกเพียง 2 เมตรจากพื้นดิน แต่มีน้ำใสสะอาดตลอดทั้งปี ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุงมาตั้งแต่โบราณกาล

ขบวนแห่ศรัทธาและพิธีบวงสรวง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่พระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีวางเครื่องสักการะและกล่าวขอสูมา ตามประเพณีล้านนา โดยมีการแสดง แสง สี เสียง ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งศรัทธา

ขบวนแห่ศรัทธาเริ่มต้นจากลานจอดรถหน้าทางเข้าพระธาตุดอยตุง มุ่งสู่ลานพระธาตุ ประกอบไปด้วยขบวนเสลี่ยงพุทธศาสนิกชนจากหลายพื้นที่ ขบวนน้ำทิพย์ ขบวนตุงพันวา และขบวนสักการะของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าวและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 มีประชาชนเข้าร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงมากกว่า 50,000 คน และคาดว่าปี 2568 จะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง

พระธาตุดอยตุงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดศาสนสถานของจังหวัดเชียงราย ตามสถิติจาก Google Maps พบว่ามีการรีวิวมากกว่า 20,000 รีวิว โดยผู้เข้าชมส่วนใหญ่ชื่นชมในบรรยากาศที่สงบ วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้พระธาตุดอยตุงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย / ข้อมูลจาก Google Maps (ณ มีนาคม 2568) / กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

4 โรคร้ายคุกคาม ผู้ป่วยมากขึ้น เร่งควบคุมโรคกระจายวัคซีน

คณะกรรมการโรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญ เตรียมจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม

ประเทศไทย, 13 มีนาคม 2568 – กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินหน้ามาตรการควบคุมโรคติดต่อสำคัญ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้ ขยายแนวทางการจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มหลัก พร้อมกระจายวัคซีนให้กับ 6 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดสูง ได้แก่ พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร โดยแต่ละจังหวัดจะได้รับจัดสรร 10,000 โดส ขณะที่ค่ายทหารและเรือนจำได้รับเพิ่มเติม 30,000 โดส

แนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ณ กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค โดยที่ประชุมมีมติ เห็นชอบแนวทางป้องกันและควบคุม 4 โรคสำคัญ ได้แก่:

  1. โรคไข้หวัดใหญ่
  • ปี 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย
  • พบการแพร่ระบาดสูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี และเด็กเล็กอายุ 0 – 4 ปี
  • กระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติมใน 6 จังหวัด และค่ายทหาร-เรือนจำ
  1. โรคไข้เลือดออก
  • แม้แนวโน้มผู้ป่วยลดลง แต่ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและประชากรวัยทำงานอายุ 40 – 59 ปี
  • เตรียมเดินหน้าศึกษาวัคซีนไข้เลือดออกเพิ่มเติม โดยเริ่มทดลองฉีดในอาสาสมัคร 4 เมษายน 2568 ที่จังหวัดนครพนม
  1. โรคฝีดาษวานร (Mpox)
  • พบผู้ป่วยสะสม 873 ราย และเสียชีวิต 13 ราย โดย 12 ราย เป็นเพศชายที่ตรวจพบเชื้อ HIV
  • กระทรวงฯ ได้รับวัคซีนฝีดาษจำนวน 2,220 โดส จากสมาพันธ์อาเซียน เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรทางการแพทย์
  1. โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี
  • พบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 290,396 ราย แต่ได้รับการรักษาเพียง 13.33%
  • เร่งพัฒนาระบบ Hepatitis-BC-DDC เพื่อเฝ้าระวังและติดตามการรักษาอย่างครบวงจร

เชียงราย: จุดยุทธศาสตร์สำคัญในการกระจายวัคซีน

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่พบอัตราการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สูง จากข้อมูลของ กรมควบคุมโรค พบว่า อัตราป่วยในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมกับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปีนี้จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 โดส ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง”

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อมาตรการควบคุมโรค

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิชาการด้านสาธารณสุขมองว่า การจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมและการเฝ้าระวังการแพร่ระบาด เป็นมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก และการขยายการฉีดวัคซีน HPV ยังเป็นการยกระดับมาตรการป้องกันโรคให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น

ฝ่ายกังวลเรื่องงบประมาณ

ขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามถึง งบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อวัคซีนและความคุ้มค่าในการกระจายวัคซีนในบางพื้นที่ รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก ที่ยังอยู่ในช่วงทดลอง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการประเมินประสิทธิภาพก่อนนำมาใช้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 165,333 ราย ทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค)
  • จังหวัดเชียงรายพบอัตราป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2567 (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ได้รับการรักษาเพียง 13.33% (ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข)
  • โครงการฉีดวัคซีน HPV มีการฉีดสะสม 700,860 โดส จากเป้าหมาย 1 ล้านโดส (ที่มา: กรมควบคุมโรค)

สรุป

การขยายมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม สะท้อนถึงความพยายามในการลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับงบประมาณและประสิทธิภาพของวัคซีนบางชนิด ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามผลในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวเชียงรายสัมผัสธรรมชาติ 6 เส้นทางวิถีชุมชน คนกับป่า

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้สู่ชุมชน

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ 6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว “วิถีชุมชนคนกับป่า” ณ โรงเรียนปางมะกาดวิทยาคม ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า, นางสาวทัศนาภรณ์ จันทร์ดง พัฒนาการอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม

พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ

อำเภอเวียงป่าเป้าถือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีหลายหมู่บ้านที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บ้านขุนลาว บ้านห้วยคุณพระ บ้านปางมะกาด บ้านห้วยน้ำกืน บ้านห้วยมะเกลี้ยง และบ้านแม่หาง เส้นทางเหล่านี้มีจุดเด่นด้านการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติ เที่ยวป่าต้นน้ำ ชมน้ำตก ชิมชา กาแฟอินทรีย์ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

การเปิดเส้นทาง “วิถีชุมชนคนกับป่า” เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน

6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

1. หมู่บ้านปางมะกาด (หมู่ 8 ต.แม่เจดีย์)

  • สักการะพระธาตุปางมะกาด

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เที่ยวน้ำตกเลาลี

  • ชมสวนดอกซิมมีเดียมและดอกนางลาว

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

2. บ้านห้วยน้ำกืน (หมู่ 13 ต.แม่เจดีย์)

  • ไหว้พระเจ้าพ่อคูณสาม

  • ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดอยป่า ดอยมด

  • ชมดอกซากุระและดอกกุหลาบพันปี

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

3. บ้านขุนลาว (หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • เที่ยวน้ำตกขุนลาว

  • ชมสวนชาและกาแฟพันธุ์พิเศษ

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ สบู่กาแฟ น้ำพริกตาแดง

4. บ้านห้วยคุณพระ (หมู่ 12 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • นมัสการพระที่อาราม

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เช็คอินที่ “แผ่นดินหวิด”

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

5. บ้านแม่หาง (หมู่ 7 ต.ป่างิ้ว)

  • เยี่ยมชมไร่ชาในชุมชน

  • เที่ยวน้ำตกห้วยต้นซ้อ

  • ไหว้พระขอพรที่วัดแม่หาง

  • ท่องเที่ยวดอยแปคมดาบ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

6. บ้านห้วยมะเกลี้ยง (หมู่ 8 ต.ป่างิ้ว)

  • ชมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอ

  • นมัสการพระธาตุดุสิตาผาโง้ม

  • ไหว้พระเจ้าทันใจ

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเชียงราย เพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 30% ภายในปีแรก และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่า 2 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขยะและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น นักอนุรักษ์เสนอให้มีมาตรการควบคุมและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / รายงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567 / ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารสร้างฝายชะลอน้ำ เชียงรายยั่งยืน ตามรอยพ่อหลวง

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลสร้างฝายชะลอน้ำ เสริมความยั่งยืนให้ชุมชน

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลลงพื้นที่สร้างฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ณ สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ

ปฏิบัติการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานร่วมกับหัวหน้าสถานีพัฒนาการเกษตร เจ้าหน้าที่ และคนงานในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย โดยการสร้างฝายดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้

ลักษณะของฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร

ฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวรที่จัดสร้างในครั้งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวัสดุตามธรรมชาติและวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีความคงทน แข็งแรง และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย เหมาะสมกับพื้นที่ต้นน้ำที่มีลักษณะคดเคี้ยวและลาดชันสูง โดยฝายจะช่วยชะลอการไหลของน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนตลอดทั้งปี

ประโยชน์ของฝายชะลอน้ำ

  • ชะลอความเร็วของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลากในฤดูฝน
  • แก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
  • ดักตะกอนหน้าดิน ลดการชะล้างดินจากต้นน้ำ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ ให้กับเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ

ปฏิบัติการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การดำเนินโครงการนี้ยังเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แสดงถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและฝายชะลอน้ำ

  • จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำ พบว่าประเทศไทยมีการสร้างฝายชะลอน้ำไปแล้วกว่า 100,000 ฝาย ทั่วประเทศ
  • ฝายชะลอน้ำสามารถช่วยกักเก็บน้ำได้เฉลี่ย 50-100 ลูกบาศก์เมตร ต่อฝาย ขึ้นอยู่กับขนาดและพื้นที่
  • การสร้างฝายในพื้นที่ป่าต้นน้ำช่วยลดความเร็วของน้ำไหลลงได้ถึง 30-50% เมื่อเทียบกับพื้นที่ไม่มีฝาย
  • ชุมชนที่มีฝายชะลอน้ำสามารถลดปัญหาภัยแล้งได้มากถึง 40% จากสถิติของกรมชลประทาน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำของมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยบริหารจัดการน้ำ เพิ่มความมั่นคงทางน้ำ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แก้รถติด ‘สนามบินเชียงราย’ สร้างทางลอด 849 ล้าน เสร็จปี 70

กรมทางหลวงชนบทเร่งแก้รถติดหน้าสนามบินเชียงราย เสริมศักยภาพการเดินทาง

โครงการก่อสร้างทางลอดช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณทางแยกศูนย์ราชการ ถนนสาย ชร.1023 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะบริเวณหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นจุดคอขวดที่ส่งผลต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570

เสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการเดินทาง

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงถนนและเตรียมก่อสร้างทางลอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหารถติด แต่ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบนอีกด้วย

รายละเอียดโครงการก่อสร้างทางลอด

โครงการนี้ประกอบไปด้วย:

  • ก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ความยาว 425.50 เมตร
  • ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีความกว้างของช่องจราจรมากขึ้น ตลอดระยะทาง 410 เมตร
  • ปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภคอื่น ๆ
  • ระยะทางดำเนินการทั้งหมด 1.635 กิโลเมตร
  • งบประมาณก่อสร้าง 849.800 ล้านบาท

ผลกระทบและมาตรการรองรับการก่อสร้าง

ในช่วงที่ดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้ติดตั้งมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ป้ายเตือนลดความเร็ว และสัญญาณไฟกระพริบ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ ทช. ได้ขออภัยในความไม่สะดวกและจะรายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ

การพัฒนาโครงข่ายถนนรองรับอนาคต

หลังจากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่แออัดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรองรับการขยายตัวของชุมชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมหลักให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจราจรในเชียงราย

  • จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่า ปริมาณจราจรบริเวณหน้าสนามบินเชียงรายเพิ่มขึ้น กว่า 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 2.5 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • ถนนสาย ชร.1023 เป็นเส้นทางหลักที่ใช้เชื่อมต่อสนามบินกับตัวเมืองเชียงราย โดยมีปริมาณรถยนต์ผ่านเข้า-ออกกว่า 30,000 คันต่อวัน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณหน้าสนามบินเชียงราย เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร เพิ่มศักยภาพการเดินทาง และเสริมสร้างเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวของพื้นที่ให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สาวๆ เที่ยวชิลล์ที่ “เชียงราย” ปลอดภัยสุดเป็น อันดับ 2 ของโลก

เชียงรายติดอันดับ 2 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

Time Out จัดอันดับ “เชียงราย” เมืองปลอดภัยอันดับสองของโลกสำหรับผู้หญิงนักเดินทางสายดิจิทัล

เชียงราย – วันที่ 10 มีนาคม 2568 Time Out และ Holidu เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับ นักเดินทางหญิงสายดิจิทัล (Female Digital Nomads) โดยผลการจัดอันดับระบุว่า เชียงราย ได้รับการจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 2 ของโลก รองจาก ไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง

การสำรวจดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลของ Nomads.com และใช้เกณฑ์การวิเคราะห์หลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินทางคนเดียว ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง และกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ทำงาน ผลการสำรวจชี้ว่า เชียงรายเป็นเมืองที่ มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ทำงานทางไกลและเดินทางคนเดียว

หญิงดิจิทัลโนแมด” เทรนด์ใหม่มาแรง! อิสระ ทำงานได้ทั่วโลก

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น “หญิงดิจิทัลโนแมด” หรือ “Female Digital Nomads” กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

“หญิงดิจิทัลโนแมด” หมายถึง ผู้หญิงที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานประจำ พวกเธอมีความยืดหยุ่นในการทำงานและสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ

ลักษณะสำคัญของหญิงดิจิทัลโนแมด

  • ทำงานทางไกล (Remote Work): ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, และแอปพลิเคชันต่างๆ ในการทำงาน
  • อิสระในการเดินทาง: สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเธอสามารถเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ
  • ความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาและสถานที่ทำงาน ทำให้พวกเธอสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้
  • ทักษะดิจิทัล: มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน เช่น การตลาดออนไลน์, การเขียน, การออกแบบกราฟิก, หรือการพัฒนาเว็บไซต์

ข้อดีของการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมด

  • อิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน
  • โอกาสในการเดินทางและสัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย
  • ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • โอกาสในการสร้างรายได้จากทั่วโลก

ข้อเสียที่ต้องพิจารณา

  • ความไม่แน่นอนของรายได้
  • ความท้าทายในการจัดการเวลาและการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
  • ความเหงาและความโดดเดี่ยว
  • ความท้าทายในการจัดการเรื่องภาษีและกฎหมายในต่างประเทศ

ถึงแม้ว่าการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมดจะมีข้อเสียที่ต้องพิจารณา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

เหตุผลที่เชียงรายได้รับเลือกเป็นเมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทางหญิง

  1. ความปลอดภัยในการเดินทางและการใช้ชีวิต

จากรายงาน Holidu ระบุว่า เชียงรายได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับสามของโลกในหัวข้อ ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินคนเดียว” โดยมีคะแนนสูงถึง 93.18 เทียบกับกรุงเทพฯ ที่ได้เพียง 79.44 คะแนน นอกจากนี้ อัตราอาชญากรรมในเชียงรายยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในเอเชีย

  1. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติและผู้หญิง

เชียงรายเป็นเมืองที่มีอัตราส่วนของนักเดินทางหญิงสายดิจิทัลต่อผู้ชายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ทำงานทางไกลมีแนวโน้มจะพบเจอและสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมอาชีพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสูงในด้าน ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ” โดยผู้คนในท้องถิ่นมีความต้อนรับและเปิดกว้างต่อผู้มาเยือน

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการทำงานทางไกล
  • ค่าครองชีพต่ำกว่าหลายเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต
  • อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีให้บริการทั่วเมือง
  • คาเฟ่และพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working Spaces) มีให้เลือกมากมาย

นักเดินทางที่ทำงานทางไกลสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงเกินไป

อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในเอเชียสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

  1. ไทเป,ไต้หวัน (อันดับ 1 ของโลก)
  2. เชียงราย,ประเทศไทย (อันดับ2 ของโลก)
  3. ปีนัง,มาเลเซีย (อันดับ5 ของโลก)
  4. เกาสง,ไต้หวัน (อันดับ7 ของโลก)
  5. อูบุด,อินโดนีเซีย (อันดับ10 ของโลก)
  6. หนานจิง,จีน (อันดับ 17 ของโลก)
  7. โซล,เกาหลีใต้ (อันดับ 22 ของโลก)
  8. เชียงใหม่,ประเทศไทย ( อันดับ 26 ของโลก)
  9. กรุงเทพฯ,ประเทศไทย (อันดับ 31 ของโลก)
  10. แทจ็อน,เกาหลีใต้ (อันดับ 44 ของโลก)

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเชียงราย

ด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

  • ดึงดูดนักเดินทางสายดิจิทัลจากทั่วโลก
  • เพิ่มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานร่วม
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติของเชียงราย

ด้านสังคมและความปลอดภัย

  • ช่วยกระตุ้นการพัฒนานโยบายด้านความปลอดภัยในเมือง
  • ทำให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบของเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิง
  • เพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในที่ทำงาน

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับผลการจัดอันดับ

ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่า:

  • เชียงรายเป็นเมืองที่เงียบสงบ ปลอดภัย และมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์
  • ความปลอดภัยสูงกว่ากรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย
  • เป็นโอกาสดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางของ Digital Nomads

ฝ่ายที่กังวลมองว่า:

  • แม้จะเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่อาจต้องพัฒนาสาธารณูปโภคเพิ่มเติม
  • ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่
  • อาจทำให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น และกระทบต่อคนท้องถิ่น

บทสรุป: เชียงราย เมืองแห่งโอกาสสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล

การจัดอันดับครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยเฉพาะผู้หญิง เมืองนี้มีความปลอดภัยสูง ค่าครองชีพที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับผู้มาเยือน หากสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการเพิ่มเติม เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของ Digital Nomads ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

สัมผัสวิถีชีวิตช้างอย่างใกล้ชิดที่ Elephant Family Chiang Rai!

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมของ Elephant Family Chiang Rai สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081 022 6807 โดยทางสถานที่มีโปรแกรมให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่:

  • โปรแกรมเต็มวัน (1 Day Trip): ราคา 2,500 บาท
  • โปรแกรมครึ่งวัน (Half Day Trip): ราคา 1,800 บาท

ทั้งสองโปรแกรมรวมบริการรถรับส่ง อาหารกลางวัน และไกด์คอยดูแลตลอดกิจกรรม ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเรียนรู้เกี่ยวกับช้างอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : timeout / Elephant Family Chiang Rai / The Northern Report

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดอาชีพผู้ต้องขัง ‘ราชทัณฑ์’ ปันสุขฯ คืนคนดีสู่สังคม

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ฯ ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุข สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม

ติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาและฝึกอาชีพผู้ต้องขัง

เชียงราย,วันที่ 7 มีนาคม 2568 – พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 กรรมการมูลนิธิราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย

ในโอกาสนี้ ได้เป็นประธานเปิด อาคารแสดงผลิตภัณฑ์ฝีมือผู้ต้องราชทัณฑ์ ภายใต้แนวคิด “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างอาชีพ คืนคนดีสู่สังคม” โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางจิรภา สินธุนาวา รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

เยี่ยมชมกิจกรรมฝึกอาชีพผู้ต้องขังเพื่อคืนสู่สังคม

ภายในงาน พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้เยี่ยมชมฐานฝึกอาชีพต่าง ๆ อาทิ การนวดแผนไทย การเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกสมุนไพร การผลิตปุ๋ยจากมูลไส้เดือน รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์จากโครงการกำลังใจ และกิจกรรมราชทัณฑ์ปันโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ร้านกาแฟและร้านอาหารที่ดำเนินการโดยผู้ต้องขัง

โครงการกำลังใจฯ ตามแนวพระราชดำริ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ต้องขัง

เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง ดำเนินการภายใต้โครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งได้น้อมนำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อพ้นโทษ ทั้งนี้การฝึกอาชีพ เช่น งานช่างไม้ งานเกษตร และงานฝีมือ ช่วยเพิ่มโอกาสการประกอบอาชีพและลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ

นโยบาย 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม

ปัจจุบันเรือนจำกลางเชียงราย ดำเนินโครงการ “รวมพลังขับเคลื่อน 8 มิติ ยกกำลัง 2 สร้างคนดีคืนสังคม” อย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นให้ ผู้ต้องขังมีทักษะอาชีพที่สามารถนำไปใช้หลังพ้นโทษ เช่น การฝึกช่างไม้ ที่มีการผลิตเครื่องเรือนจำหน่าย ทั้ง โต๊ะรับแขก โต๊ะอาหาร โต๊ะกาแฟ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์

ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ในช่วงบ่าย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง ได้เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อติดตามความร่วมมือระหว่างเรือนจำและมหาวิทยาลัยฯ ในการสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาอาชีพผู้ต้องขัง จากนั้นได้เดินทางต่อไปยัง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เพื่อติดตามความก้าวหน้าของ นายสุรพล ดอนเลย ผู้ต้องขังที่พ้นโทษแล้วสามารถประกอบอาชีพทำสวนพริกส่งออกต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ

สถิติโครงการราชทัณฑ์ปันสุข และผลกระทบทางสังคม

จากข้อมูลของ กรมราชทัณฑ์ (2567) พบว่า

  • อัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ที่ผ่านโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ลดลง กว่า 45%
  • ผู้ต้องขังที่ผ่านการฝึกอาชีพมีโอกาสได้งานทำหลังพ้นโทษมากขึ้น 70%
  • มีผู้ต้องขังเข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพในเรือนจำกลางเชียงราย มากกว่า 1,500 คนต่อปี
  • รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขังมีมูลค่ากว่า 5 ล้านบาทต่อปี

บทสรุป: ก้าวต่อไปของโครงการราชทัณฑ์ปันสุข

โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน การฝึกอาชีพและการสร้างโอกาสทำงานเป็นปัจจัยที่ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมและการกระทำผิดซ้ำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการในระยะยาวต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปแล้วสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและไม่หวนกลับไปกระทำผิดอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News