Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กองร้อยน้ำส้ม” เชียงของ สตรีอาสาผนึกกำลังสู่ชุมชนเข้มแข็งและสันติสุข

อบจ.เชียงราย–มทบ.37 ผนึกกำลัง “กองร้อยน้ำส้ม อ.เชียงของ” ปลุกพลังผู้นำสตรีจากฐานราก สร้างชุมชนเข้มแข็ง–สันติสุข–ยั่งยืน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568เวลา 09.00 น. ค่ายเม็งรายมหาราช บริเวณหน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) อำเภอเมืองเชียงราย เสียงต้อนรับและรอยยิ้มของสตรีกว่า 100 คนจากอำเภอเชียงของดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพิธีเปิด “โครงการพัฒนาศักยภาพบทบาทสตรีและครอบครัวจังหวัดเชียงราย: กิจกรรมส่งเสริมพลังสตรีจิตอาสา ก่อเกิดชุมชนที่เข้มแข็ง สร้างสันติสุขสู่สังคม” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งได้มอบหมายภารกิจและกำชับเป้าหมายของโครงการไว้อย่างชัดเจน

ตลอดสองวันของการอบรมระหว่าง 6–7 กันยายน 2568 ผู้เข้าร่วม—ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแกนนำสตรี ชมรมสตรีแม่บ้าน และตัวแทนชุมชนจากตำบลต่าง ๆ ของอำเภอชายแดน—จะได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และสร้างเครือข่ายทำงานเชิงอาสาสมัคร โดยมีทีมบุคลากรจากกองสวัสดิการสังคม อบจ.เชียงราย นำโดย นางสาวนิโลบล ชาติเงิน ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ร่วมกับภาคีจาก มทบ.37 และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ออกแบบกิจกรรมให้เหมาะกับบริบทพื้นที่และโจทย์จริงที่สตรีเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเทียบที่เปลี่ยนเป็นพลังจริง

จากความสดชื่น–มีชีวิตชีวา สู่ระเบียบวินัย–ความเข้มแข็งของการทำงานเป็นทีม

ผู้จัดเรียกกลุ่มสตรีเชียงของชุดนี้ด้วยนามเรียกที่น่ารักและจำง่าย—กองร้อยน้ำส้ม” คำเปรียบเปรยที่มีสองมิติในตัวเอง หนึ่งคือ “พลังความสดชื่น” ของสตรีที่เติมความหวังให้ครอบครัวและชุมชนเสมอ สองคือ “ระเบียบวินัยและความเข้มแข็ง” แบบกองร้อยที่สอดประสานกันเพื่อพิชิตเป้าหมายร่วม เมื่อความหมายทั้งสองมาบรรจบ โครงการจึงไม่ได้เกิดมาเพื่อ “ให้ความรู้แล้วจบ” แต่ตั้งใจ “สร้างแกนกลางผู้นำสตรี” ที่มีทั้งหัวใจอาสาและวินัยของการทำงานสาธารณะ

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมสมาชิกสภา อบจ. ได้เดินทางไปยังพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อ มอบเกียรติบัตร ให้ผู้เข้าร่วม และกล่าวให้กำลังใจด้วยสารสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้างของการพัฒนาสตรีในจังหวัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ว่า

การเสริมสร้างศักยภาพของสตรี มิใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีเท่านั้น หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมโดยรวม เพราะสตรีมีบทบาทเชื่อมโยงทั้งในฐานะผู้ดูแลครอบครัว ผู้ประกอบอาชีพ และผู้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนและท้องถิ่น… เมื่อสตรีมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เหล่านั้นจะย้อนกลับไปสร้างครอบครัวเข้มแข็ง ชุมชนก้าวหน้า และสังคมที่ยั่งยืน”

สารดังกล่าวคือ “นัทกราฟ” (แก่นเรื่อง) ของโครงการนี้—การยืนยันว่าการลงทุนกับสตรีคือการลงทุนกับสังคมทั้งระบบ

ทำไมต้องเริ่มที่ชายแดน โจทย์จริง–พื้นที่จริง–ผู้เล่นจริง

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชุมชนชายแดนที่ต้องรับมือกับโจทย์หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจฐานรากที่ผูกกับเกษตร–บริการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของครอบครัวขยายสู่ครอบครัวเดี่ยว การย้ายถิ่นเพื่อทำงาน รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงบริการภาครัฐในบางโซนชนบทห่างไกล เมื่อมองผ่านเลนส์ “เพศภาวะ” ปัญหาเหล่านี้สะเทือนต่อ สตรีและเด็ก ก่อนเสมอ—ทั้งในฐานะแกนกลางครัวเรือน ผู้ดูแล ผู้หารายได้เสริม และผู้เป็นเสาหลักยามเกิดวิกฤต

การฝึกอบรมและรวมเครือข่ายที่เชียงของ จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ “จุดกำเนิด” ไม่ใช่ “ปลายเหตุ” เป้าหมายของโครงการชี้ชัดว่าจะ สร้างเวทีให้สตรีได้พัฒนาความรู้–ทักษะ–เครือข่าย แล้วส่งต่อเป็นพลังจิตอาสาที่ขยายไปถึงงานชุมชน เช่น การดูแลผู้เปราะบาง กิจกรรมเยาวชน การจัดการสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารสาธารณะในระดับหมู่บ้าน–ตำบล

บทบาท “สองขา” ท้องถิ่น–ทหาร โมเดลบูรณาการเพื่อคนตัวเล็ก

จุดแข็งของโครงการนี้คือการทำงานแบบ “สองขา” ระหว่าง อบจ.เชียงราย (ท้องถิ่น–สังคม) และ มทบ.37 (ความมั่นคง–ระเบียบวินัย–ทรัพยากรสถานที่) การได้ใช้พื้นที่ฝึกของหน่วยทหารที่มีระบบระเบียบ เครื่องมือพร้อม และบุคลากรด้านการฝึกวินัย นำมาปรับใช้กับ หลักสูตรพลังสตรีจิตอาสา ทำให้รูปแบบกิจกรรมมีทั้งความกระชับ จริงจัง และเป็นมิตรกับผู้เรียน

  • ขาแรก—อบจ.เชียงราย: กำหนดนโยบายและเป้าหมาย ออกแบบกิจกรรมที่จับต้องโจทย์ชุมชน ดูแลเนื้อหาด้านสังคมและสวัสดิการ เชื่อมเครือข่ายระดับตำบล–อำเภอ
  • ขาที่สอง—มทบ.37: หนุนทรัพยากรสถานที่และกำลังพล สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปลอดภัย มีวินัย และต่อเนื่อง เสริมภาพ “ทหารเพื่อประชาชน” ในมิติการพัฒนาสังคม

ผลลัพธ์คือ “สนามฝึกเชิงสังคม” ที่คนตัวเล็กเข้าถึงได้จริง ไม่ใช่แค่เวทีรับฟัง แต่เป็นพื้นที่ ลงมือทำและต่อยอด หลังอบรม

โครงเรื่องการอบรมจากการตื่นรู้สู่การจัดตั้งทีมภาคสนาม

ตลอดสองวันของกิจกรรม (ตามกำหนดการที่ผู้ใช้จัดเตรียม) โครงการย้ำ “สามเสาหลัก” ที่ต่อกันเป็นเรื่องเดียว

  1. ตระหนักรู้บทบาทสตรี – ทำความเข้าใจศักยภาพและอุปสรรคเชิงโครงสร้างของสตรีในครอบครัว–ชุมชน
  2. เสริมสมรรถนะผู้นำจิตอาสา – ฝึกการสื่อสารสาธารณะ การทำงานเป็นทีม การประสานภาคี การจัดกิจกรรมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับเด็ก–ผู้สูงอายุ
  3. ตั้งทีมปฏิบัติการชุมชน – แตกกลุ่มตั้ง “ทีมงานย่อย” และ “ภารกิจนำร่อง” ที่จะกลับไปทดลองในหมู่บ้าน/เขตเมืองของตนเอง (เช่น ทีมดูแลผู้เปราะบาง ทีมสิ่งแวดล้อม ทีมเยาวชน)

เนื้อหาทั้งหมดถูกยึดโยงกับบริบทเชียงของโดยตรง และมี พิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อยืนยันการเริ่มต้นบทบาทผู้นำสตรีอย่างเป็นทางการ

วาทะที่ชูประเด็น—และเดินหน้าไปข้างหน้า

คำกล่าวของนายก อบจ.เชียงราย ในช่วงบ่าย เป็นเหมือน “รหัสผ่าน” ที่เปิดประตูบทใหม่ของบทบาทสตรีในจังหวัด “สตรีไม่ใช่ผู้รับนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ ‘ผู้สร้าง’ นโยบายระดับฐานราก” เมื่อถ้อยคำนี้ถูกประกาศต่อหน้าแกนนำสตรีและภาคีภาครัฐ–ทหาร ความหมายจึงไปไกลกว่าคำให้กำลังใจ แต่คือ การอนุมัติทางสังคม ให้สตรีออกมายืนแถวหน้าของการเปลี่ยนแปลง

ในมุมปฏิบัติการ โครงการยังส่งสัญญาณชัดว่าการขับเคลื่อนต่อจากนี้ต้องอาศัย ผู้นำหลายชั้น—ตั้งแต่ผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน ผู้นำศาสนา ผู้นำวัยรุ่น ไปจนถึงครูและ อสม. เพื่อเชื่อม “กองร้อยน้ำส้ม” ให้เป็น เครือข่ายสตรีจิตอาสาเชียงของ ที่ทำงานได้ต่อเนื่องทั้งปี

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • วัน–เวลา–สถานที่: เปิดโครงการ 6 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย
  • กรอบเวลาโครงการ: 6–7 กันยายน 2568 (สองวันเต็ม)
  • ผู้เข้าร่วม: กลุ่มสตรีในเขตอำเภอเชียงของ กว่า 100 คน
  • ผู้ร่วมพิธีเปิดและภาคีหลัก: รองนายก อบจ.เชียงราย / ผอ.กองสวัสดิการสังคม อบจ. / พันเอกสิงหนาท โลสุยา เสนาธิการ มทบ.37 / หัวหน้าส่วนราชการ มทบ.37
  • ภารกิจช่วงบ่าย: นายก อบจ.เชียงราย และสมาชิกสภา อบจ. เดินทางพบปะกลุ่มสตรีเชียงของ มอบเกียรติบัตร และกล่าวนโยบาย–วิสัยทัศน์

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าการพัฒนาสตรีได้ก้าวพ้นรูปแบบ “เวทีเชิญวิทยากร–เวทีกล่าวเปิด” ไปสู่ โครงสร้างร่วมรับผิดชอบ ระหว่างท้องถิ่น–ทหาร–ประชาชน ที่ลงมือทำจริง

ทำอย่างไรให้ “กองร้อยน้ำส้ม” เติบโตได้ตลอดปี

เพื่อให้พลังที่จุดติดแล้วเดินหน้าอย่างยั่งยืน ทีมข่าวสรุปข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนกิจกรรมและข้อเท็จจริงหน้างาน ดังนี้

  1. ตั้งศูนย์ประสานงานสตรีจิตอาสา (ระดับอำเภอ) – ทำหน้าที่เป็น “แม่ข่าย” ออกแบบปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส รับปัญหาจริงจากหมู่บ้าน จับคู่ภารกิจกับหน่วยงาน
  2. คลังความรู้ท้องถิ่นออนไลน์ – รวมคู่มือกิจกรรมชุมชน ป้ายความปลอดภัยสำหรับงานสาธารณะ แบบฟอร์มประสานงานราชการ ให้สตรีเข้าถึงง่าย
  3. งบสนับสนุนจุดเล็ก–เร็ว–เห็นผล – มอบทุนย่อย (micro-grant) สำหรับทีมย่อย 3–5 คนที่พร้อมทำภารกิจนำร่อง เช่น พื้นที่ปลอดภัยเด็ก น้ำดื่มงานชุมชน การคัดแยกขยะคืนรายได้
  4. พี่เลี้ยงข้ามภาคส่วน – จับคู่ “พี่เลี้ยง” จาก อบจ./ มทบ.37/ สภาเด็กและเยาวชน/ สาธารณสุข ให้คำปรึกษารายทีมต่อเนื่อง 3–6 เดือน
  5. ตัวชี้วัดที่คนชุมชนกำหนด – ให้ชุมชนร่วมออกแบบตัวชี้วัด เช่น จำนวนกิจกรรมที่เกิดจริง จำนวนเครือข่ายที่ร่วมมือ หรือจำนวนครัวเรือนที่ได้ประโยชน์ โดยไม่เพิ่มภาระเอกสารเกินจำเป็น

ข้อเสนอนี้มุ่งให้ ภารกิจเล็ก” กลายเป็น “อิฐก้อนเล็ก” ที่ร่วมกันก่อกำแพงความเข้มแข็งของชุมชนได้ทั้งปี

เมื่อสตรีลุกขึ้นนำ—ชุมชนก็ไปต่อ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาชนบทและพื้นที่ชายแดนมักสะดุดเพราะ “ระยะห่าง” ระหว่างนโยบายกับชีวิตจริง โครงการในครั้งนี้เลือกวิธี ลดระยะห่าง ด้วยการดึง ผู้หญิงที่เป็นหัวใจของครอบครัวและชุมชน เข้ามาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” บนเวทีสาธารณะ สนามฝึกที่ตั้งอยู่ในค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่ ปลอดภัย–เป็นระบบ–มีวินัย ให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเมื่อ อบจ.เชียงราย แสดงเจตจำนงชัดว่าจะ “เปิดทาง–เปิดเวที–เปิดโอกาส” อย่างต่อเนื่อง พลังสตรีก็มี “รางวิ่ง” ที่ไปได้ไกลกว่าครั้งใด

ในทางข่าว ความเคลื่อนไหววันนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพของพิธีเปิดหรือภาพมอบเกียรติบัตร หากคือ การเปิดฉากบทใหม่ของการพัฒนาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม ที่ให้สตรีเป็นแกนกลาง ขับเคลื่อนด้วยวินัยแบบกองร้อยและความสดชื่นแบบน้ำส้ม—รวมเป็น “กองร้อยน้ำส้ม” ที่พร้อมทำงานยาวทั้งปีให้เห็นผลในครัวเรือน–หมู่บ้าน–อำเภอ และในท้ายที่สุด สร้าง สันติสุข ที่จับต้องได้บนแผ่นดินเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming” จุดประกายเยาวชน ปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย”

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จุดประกายเยาวชนแดนโขง พร้อมปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย” ยกระดับเมืองสร้างสรรค์

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – เช้าวันเสาร์ริมโขงที่อำเภอเชียงของมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ลานกิจกรรมของโรงเรียนอนุบาลเชียงของคึกคักด้วยสีสันและเสียงดนตรี เด็กๆ ซ้อมท่าเต้น ขณะทีมครัวพื้นถิ่นขยับครกตำเครื่องลาบอย่างพร้อมเพรียง “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงงานสนุกสุดสัปดาห์ หากเป็นเวทีทดสอบพลังความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนชายแดน และเป็น “สะพานนโยบาย” ไปสู่การจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบรูปแบบใหม่ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังจ่อคิวเกิดขึ้นจริงในจังหวัดนี้ตามกรอบการขยายเครือข่ายของ CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์) ซึ่งประกาศคัดเลือก 10 จังหวัดตั้งแต่ปี 2567–2568 รวมถึงเชียงรายด้วยโดยตรง

ทำไม “งานเยาวชน 1 วัน” จึงสำคัญต่อภูมิทัศน์สร้างสรรค์ทั้งจังหวัด

หนึ่ง งานนี้ย้าย “เวที” ออกนอกเมืองไปยัง เชียงของ เมืองชายแดนที่ไกลศูนย์กลาง แต่ล้อมด้วยทุนทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ นั่นทำให้เด็กนอกตัวเมืองเข้าถึงพื้นที่ปล่อยของได้จริง สอง กิจกรรมออกแบบให้ “บันเทิง + เรียนรู้” ไปพร้อมกัน เช่น Cover Dance และ ลาบหมูลีลา ที่แทรกศาสตร์พื้นถิ่นกับศิลปะร่วมสมัย เด็กจึงฝึกทำงานเป็นทีม ฝึกนำเสนอ และฝึกสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อผู้ชม สาม งานนี้เชื่อมตรง “เวทีชั่วคราว” กับ “โครงสร้างถาวร” คือ NEW TCDC ที่ CEA ขับเคลื่อนในระดับประเทศ—หากโครงสร้างนี้ตั้งในเชียงรายจริง ชุดประสบการณ์จากงานเยาวชนจะไหลต่อไปเป็นผู้ใช้พื้นที่ประจำในอนาคต ไม่ใช่เพียงความทรงจำหนึ่งวัน

เปิดฉากเชียงของ เวทีกลางแจ้งที่เยาวชนได้เป็น “ตัวจริง”

พิธีเปิด จัดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลเชียงของ โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน กล่าวต้อนรับและให้กำลังใจเยาวชนจากพื้นที่โซนชายแดนโขง พร้อมตัวแทนท้องถิ่นและครูอาจารย์เข้าร่วมอย่างคับคั่ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยพลังบวก เด็กๆ จากหลายอำเภอมารวมตัวกันเพื่อ “ปล่อยของ” บนเวทีเดียวกันและแลกเปลี่ยนกันแบบข้ามโรงเรียน ข้ามชุมชน กิจกรรมไฮไลต์ของงานมีทั้งเวที แข่งขัน Cover Dance ที่จัดระบบประกวดจริงจัง และกิจกรรม ลาบหมูลีลา ที่ผสานการครัวพื้นบ้านกับโชว์สเตจอย่างเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจน บูธเวิร์กช็อป และ นิทรรศการผลงานเยาวชน ที่เล่าความภูมิใจในท้องถิ่นด้วยภาษาของคนรุ่นใหม่ ข้อมูลกำหนดการและคำเชิญชวนถูกสื่อสารโดยเพจศูนย์เยาวชน อบจ. มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม จนถึงถ่ายทอดสดหน้างานในวันจริง

สิ่งที่เห็นชัด คือ การจัดระบบ “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เด็กได้ลอง-พลาด-เรียนรู้บนเวทีจริง มีทีมครู โค้ช และเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลทั้งหลังบ้านและหน้าเวที จุดรับสมัครและเอกสารประจำทีมถูกทำเป็นระบบตั้งแต่ก่อนวันงาน ซึ่งสะท้อนวิธีคิดแบบ “ศูนย์เยาวชนมืออาชีพ” ที่เพจของศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย สื่อสารมาต่อเนื่องในหลายโซนก่อนถึงคิวเชียงของ

จากลานโรงเรียนสู่ “สถาปัตยกรรมความคิด” ทางด่วนเชื่อมสู่ NEW TCDC เชียงราย

เบื้องหลังงานเยาวชนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมโดดๆ หากเชื่อมกับ “ภาพใหญ่” ของนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับประเทศอย่างแนบแน่น CEA ประกาศเดินหน้าโครงการ NEW TCDC เพื่อกระจายศูนย์เรียนรู้-ทดลอง-สร้างเครือข่ายสู่ 10 จังหวัด โดยสื่อกระแสหลักยืนยันรายชื่อที่คัดเลือก รวมเชียงราย หรือ “เมืองศิลปะบนสายน้ำโขง” ไว้ชัดเจน ขณะที่ Bangkok Post และ Nation Thailand รายงานไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่กลางปี 2567 ว่า NEW TCDC จะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่านการอัปสกิล–รีสกิลคนท้องถิ่นและย่านสร้างสรรค์ในภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ทางการของโครงการ NEW TCDC ยังแสดง “การเตรียมตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเชียงราย” โดยระบุชัดถึงหน่วยงานพาร์ตเนอร์ในจังหวัด (อบจ.เชียงราย) ควบคู่กับจังหวัดเพื่อนบ้านในภาคเหนือ ซึ่งสะท้อนสถาปัตยกรรมความร่วมมือแบบ เครือข่ายจังหวัด ไม่ใช่เกาะเดี่ยวของเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียว

ออกแบบเพื่อทุกคน” คอนเซ็ปต์ TCDC เชียงรายตามแบบ CEA

ข้อมูลเชิงแนวคิดจาก CEA เปิดเผยภาพฝันของ “TCDC เชียงราย” ไว้อย่างน่าสนใจ พื้นที่จะตั้งอยู่บริเวณ หน้าศาลากลางหลังเก่า (ใจกลางเมืองที่คนคุ้น) ทีมสถาปนิกเสนอให้ศูนย์เป็น “Creative Space for All” โดยตั้งใจเชื่อมพื้นที่อาคารกับ ลานกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อดึงคนหลากวัยเข้าใช้จริง ไม่ใช่พื้นที่จัดแสดงเฉพาะกิจ คอนเซ็ปต์ดังกล่าวสอดรับวิธีจัดงานเยาวชนที่เชียงของในวันนี้ ซึ่งใช้สนามโล่งเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ให้เด็กได้ทดลองโชว์และสร้างงานร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้นทาง

มหกรรม 1 วัน…ที่วางรางวิ่งให้ “ระบบนิเวศสร้างสรรค์” ทั้งจังหวัด

เชื่อมชุมชน–โรงเรียน–ท้องถิ่น: งานนี้ผลักดันการทำงานเป็นเครือข่าย ทุกฝ่าย “มีบท” ทั้งหน่วยงานท้องถิ่น โรงเรียน กลุ่มผู้ปกครอง และเอกชนในพื้นที่ เด็กเห็นภาพโครงสร้างสนับสนุนครบวงจร ไม่ใช่เวทีที่มาแล้วก็จบ

เชื่อม “ออฟไลน์” เข้ากับ “ออนไลน์” การสื่อสารและรับสมัครผ่านเพจศูนย์เยาวชน ทำให้เด็กต่างอำเภอรับรู้ได้ไว มีการปล่อยคลิปและไลฟ์เพื่อกระตุ้นชุมชนให้เข้ามีส่วนร่วมต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนงานจนถึงวันจริง ซึ่งคือทักษะสื่อสารร่วมสมัยที่เด็กยุคนี้ต้องใช้ในการพัฒนางานสร้างสรรค์ของตนเอง

เชื่อม “กิจกรรม” กับ “โครงสร้างถาวร”: จุดหมายปลายทางคือให้เด็กวันนี้เติบโตเป็น ผู้ใช้พื้นที่ TCDC วันพรุ่งนี้ เมื่อศูนย์ฯ เปิดใช้งาน พวกเขาจะกลับมาในฐานะผู้จัดนิทรรศการ นักออกแบบ นักทำคอนเทนต์ หรือผู้ประกอบการตัวเล็กที่ใช้ศูนย์เป็นห้องทดลองทางธุรกิจ สิ่งนี้ทำให้การลงทุนด้านโครงสร้างมี “เจ้าของร่วม” ตั้งแต่วัยเรียน

ตัวเลข–ไทม์ไลน์ที่ต้องรู้ จากนโยบายส่วนกลางสู่การขับเคลื่อน ณ พรมแดนโขง

  • 10 จังหวัด ที่ CEA คัดเลือกให้เป็น NEW TCDC เพื่อจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ กระจายจุดเรียนรู้และเครือข่ายในภูมิภาค มี เชียงราย อยู่ในรายชื่อร่วมกับนครราชสีมา แพร่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ปัตตานี และภูเก็ต สื่อหลักรายงานสอดคล้องกันในกลางปี 2567
  • สถานะเชียงราย: เว็บไซต์โครงการ NEW TCDC แสดงสถานะ “จังหวัดคู่พัฒนา” และระบุพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ชี้แนวโน้มความคืบหน้าจริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษ
  • ดีไซน์คอนเซ็ปต์เชียงราย: CEA เผยแนวคิดสถาปัตยกรรมที่ยึดหัวใจ “Creative Space for All” บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า เน้นเชื่อมพื้นที่ใน–นอกอาคารให้เป็น ลานสร้างสรรค์ของทุกคน
  • ฐานกิจกรรมเยาวชนในพื้นที่: เพจศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย โพสต์กำหนดการ–เปิดรับสมัคร–ไลฟ์สด และภาพบรรยากาศงาน Homecoming โซน 4 วันที่ 16 ส.ค. 2568 ที่ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพื้นที่กิจกรรมเยาวชนกำลังถูกสร้าง “อย่างสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง

ความท้าทายที่ต้องมองตรง จาก “เวทีเดียว” สู่ “ระบบนิเวศที่ยั่งยืน”

หนึ่ง งบประมาณ–บุคลากร: ศูนย์ถาวรต้องการทีมคิวเรเตอร์ ครูเวิร์กช็อป และผู้จัดการพื้นที่ที่เข้าใจทั้งเด็กและธุรกิจสร้างสรรค์ การปลูกคนควบคู่กับปลูกอาคารจึงจำเป็น เพื่อไม่ให้พื้นที่กลายเป็น “ห้องว่างสวยๆ” ที่เปิดเพียงบางเทศกาล

สอง การเข้าถึงของเด็กชายแดน: เชียงของ–เวียงแก่น–เวียงแก้ว มีต้นทุนระยะทางและรายได้ครัวเรือน การทำให้ศูนย์อยู่ “ใกล้มือ” แม้อยู่ในเมือง ต้องใช้โมเดลบริการนอกศูนย์ เช่น คลินิกออกแบบเคลื่อนที่, ห้องสมุดวัสดุเดินทาง, หรือ บัตรสมาชิกเยาวชน ที่ลดต้นทุนการเข้าร่วมกิจกรรม

สาม เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น: โอกาสของเชียงรายอยู่ที่ “วัฒนธรรมชาติพันธุ์–หัตถกรรม–เกษตรสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวชุมชน” ศูนย์ต้องแปลทุนวัฒนธรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย สอดรับกับแผนการขยาย TCDC ที่มุ่งยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ภูมิภาคอยู่แล้ว

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “เด็ก ได้เวที—ผู้ใหญ่ ได้เห็น”

คำบอกเล่าของครูและผู้ปกครองที่หน้างานสรุปภาพเดียวกันว่า เมื่อมีเวทีที่จับต้องได้ เด็กกล้าแสดงออกมากขึ้น และเรียนรู้การทำงานกับคนต่างโรงเรียนต่างอำเภอ งานแบบนี้ไม่ใช่การแข่งชิงถ้วยเพียงอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่เป็น “ห้องทดลองทักษะชีวิต” ตั้งแต่การซ้อม การบริหารเวลา ไปจนถึงการรับคำวิจารณ์บนเวที ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นของคนทำงานสร้างสรรค์ในโลกจริง—ทักษะที่ TCDC จะต้องรองรับต่อยอดในชั้นเรียนและเวิร์กช็อปที่เป็นระบบในอนาคต (บนฐานแนวคิด “Creative Space for All”)

ทางเดินต่อ ใช้ “เทศกาลเยาวชน” เป็นรางพาเข้าสู่ศูนย์ถาวร

  1. ปักปฏิทินรายปี – จัด Homecoming ให้ครบทุกโซน เชื่อมกับปฏิทินนิทรรศการ–คลาสสั้นในเมือง เพื่อดึงเด็กจากชายแดนเข้าศูนย์ในรอบปี
  2. สร้างพาสปอร์ตทักษะ – ให้ผู้เข้าร่วมเก็บสะสมคลาส–ชั่วโมงอาสา แลกสิทธิใช้สตูดิโอ/วัสดุ/ที่ปรึกษาในศูนย์
  3. แมตช์เมกกิ้งกับภาคธุรกิจ – จับคู่ทีมเยาวชนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้ทำงานจริงขนาดเล็ก ตั้งแต่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ร้านชุมชนถึงคอนเทนต์โปรโมตเส้นทางท่องเที่ยว
  4. เผยแพร่โอเพ่นดาต้า – เก็บและเปิดข้อมูลผลลัพธ์งานเยาวชนและเวิร์กช็อป เช่น จำนวนผู้เข้าร่วม ผลงานต่อยอด เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายประเมินความคุ้มค่าการลงทุนได้โปร่งใส

จาก “พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” สู่ “บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์”

ภาพของเด็กๆ เต้นด้วยความมั่นใจข้างครกเครื่องลาบ คือสัญลักษณ์ของเชียงรายที่ก้าวไปพร้อมกัน ทั้งความเป็นพื้นถิ่นและความร่วมสมัย “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จึงไม่ได้ปิดฉากที่การประกาศผลรางวัล แต่เปิดฉากให้เห็น ทางเดินจริง จากลานโรงเรียนสู่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ทุกคน เมื่อเวทีชั่วคราวกับโครงสร้างถาวรเชื่อมกันครบวงจร เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีทุนมนุษย์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียง “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว” แต่เป็น บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์ บนลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย: โพสต์เปิดรับสมัคร–กำหนดการ–ถ่ายทอดสดงาน “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” วันเสาร์ที่ 16 ส.ค. 2568 ณ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมแต่ละโซนก่อนถึงวันงาน
  • อบจ.เชียงราย: โพสต์ภาพและคำบรรยายระบุวัน เวลา สถานที่ และบทบาทประธานพิธีเปิดโดยนายก อบจ.เชียงราย ในงานโซน 4 ที่เชียงของ
  • เว็บไซต์ทางการ NEW TCDC (CEA): หน้ารวมจังหวัดและพาร์ตเนอร์ ระบุ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เชียงราย โดย อบจ.เชียงราย พร้อมคู่จังหวัดภาคเหนืออื่นในเครือข่าย
  • บทความ CEA: “เปิดแนวคิด 10 ทีมนักออกแบบ NEW TCDC” ระบุคอนเซ็ปต์ TCDC เชียงราย “Creative Space for All” และตำแหน่งที่ตั้งบริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า
  • เพจ TCDC Chiang Rai (ข้อมูลสื่อสารสาธารณะของเครือข่าย TCDC จังหวัด): บทบาทและความร่วมมือกับ อบจ.เชียงราย ในการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เรือชาวประมงล่มอีกแล้ว! แม่น้ำโขงเชียงของ รอด 3 สูญหาย 2 คน

 

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ได้รับแจ้งจากกำนัน ต.เวียง ว่ามีชาวบ้านจำนวน 5 คน ออกเรือหาปลาในแม่น้ำโขง ในเวลา 05.00 น. จากพื้นที่บ้านดอนมหาวัน ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จากนั้นเรือได้ล่มบริเวณกลางแม่น้ำโขง บริเวณท่าดูดทรายฝั่ง สปป.ลาว ตรงข้ามกับศาลพญานาค พื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง บ้านปากอิง ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ กับบ้านแจ่มป๋อง ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย

โดยพบว่ามีผู้รอดชีวิตจำนวน 3 ราย คือนายธนวัตร อายุ 29 ปี นาสบุญรัตน์ อายุ 36 ปี โดย นายสัมฤทธิ์ อายุ 42 ปี ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลเชียงของ เพื่อตรวจร่ายกาย ทั้ง 3 คนเป็นชาวต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย
ทั้งนี้ยังมีผู้สูญหาย 2 คน คือ นายนัฐวัฒน์ อายุ 29 ปี ชาว ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย และ นายอัสนัย 42 ปี ชาว ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย
 
หลังจากเกิดเหตุ นายอำเภอเชียงของ ได้ประสานงานกับทางหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) เชียงของ พร้อมกับหน่วยกู้ภัย ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ เพื่อค้นหาผู้สูญหาย โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่มีน้ำเชี่ยวและน้ำวน หลายแห่ง รวมไปถึงมีความลึกมาก ซึ่งยากแก่การค้นหา
 
นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวว่า หลังลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงเช้าที่ผ่านมา ในเบื้องต้นได้รายงานให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทราบแล้ว พร้อมทั้งประสานไปยัง หน่วยเรือรักษาความสงบตามลำน้ำโขง หรือ นรข. และตำรวจน้ำ ที่ประจำการในพื้นที่ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อค้นหาผู้สูญหาย และประสานไปยังมูลนิธิสยามร่วมใจ เพื่อขอสนับสนุนชุดกู้ภัยทางน้ำ เพื่อนำเรือจากอำเภอเมืองเชียงราย มาสแตนบายในพื้นที่ เพื่อค้นหาผู้สูญหายหลังจากนี้จะได้สอบปากคำผู้ที่รอดชีวิตอีกครั้ง ถึงสาเหตุของเหตุการณ์เรือล่มดังกล่าว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตรวจตลิ่งริมแม่น้ำอิง จ.เชียงรายเตรียมสร้างเขื่อนป้องกันบรรเทาความเดือดร้อน

 

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 เวลา 10:08 น.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมด้วย นางสาวพรพิมล ธรรมสาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมเกียรติ กิจเจริญ คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเอกภพ เพียรพิเศษ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมในการดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำอิง หมู่ที่ 4 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายอรัญ กิติเรืองแสง ผู้ตรวจราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง นายบัลลังก์ ไวท์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ พร้อมร่วมพูดคุยกับผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาและร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะ ณ บริเวณตลิ่งริมแม่น้ำอิงชุมชนห้วยขี้เหล็ก บ้านหลวง หมู่ที่ 4 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 

นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่า ตลิ่งริมแม่น้ำอิง มีลักษณะเป็นทางโค้ง ทำให้กระแสน้ำกัดเซาะดินริมตลิ่งได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องซึ่งจุดที่เสียหายอยู่ใกล้กับถนนสายบ้านหลวงเชื่อมบ้านหลวงใหม่พัฒนา หากไม่ได้รับการป้องกันจะสร้างผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรที่อยู่ติดริมตลิ่งแม่น้ำอิงในเขตเทศบาลตำบลครึ่งได้ จึงได้มีข้อสั่งการให้เทศบาลตำบลครึ่ง และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาเรื่องตลิ่งริมแม่น้ำถูกกัดเซาะ ประสานกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ในการขอรับสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งกำชับให้กรมโยธาธิการและผังเมือง พิจารณาจัดทำแผนงานขอรับสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

 

นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลครึ่ง มีหนังสือถึงสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย เพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำอิง หมู่ที่ 4 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ความยาว 400 เมตร พร้อมทั้งได้ดำเนินการตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดินทุกแปลงของพื้นที่ที่จะดำเนินโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว พบว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ และไม่มีส่วนราชการอื่นดำเนินการในพื้นที่ กรมโยธาธิการและผังเมือง ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจสำคัญในด้านการพัฒนาเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ได้ขานรับข้อสั่งการนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการพิจารณาจัดทำแผนงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

 

ทั้งนี้ หากโครงการฯ ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ จะมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวกว่า 50 ครัวเรือน และเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรักษาพื้นที่เกษตรกรรม สภาพแวดล้อม และใช้ประโยชน์พื้นที่สาธารณะได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มหกรรม อบจ.สัญจรอ.เชียงของรับฟังความคิดเห็นประชาชน

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายกฤศ โพธสุธน รองนายก อบจ.เชียงรายนายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย สิบเอกวิมล รู้ทำนอง ผอ.กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ นายอนันต์ นัยติ๊บ ผอ.ส่วนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักช่าง นายวสุพล จตุรคเชทร์เดชา สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 1 อ.เชียงของ นายวราวุฒิ ไชยวงศ์ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 2 อ.เชียงของ ลงพื้นที่อำเภอเชียงของ เพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน ณ หอประชุมโรงเรียนอนุบาลเชียงของ

 

ทั้งนี้ได้รับเมตตาจากพระครูวิมกิตติยาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอเชียงของ และได้รับเกียรติจากนายฤทธิเดช จันยาพงษ์ ปลัดอาวุโส อำเภอเชียงของ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ อ.เชียงของ ร่วมในการเสนอความต้องการและเสนอปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ครั้งนี้ด้วย
 
 
การจัดโครงการมหกรรม อบจ.สัญจร ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชนเพื่อการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และสร้างสัมพันธไมตรีและทัศนคติที่ดีระหว่างประชาชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ของ อบจ.เชียงราย โดยการประชาสัมพันธ์ข่าวสาร กิจกรรม ผลงาน และบทบาทอำนาจหน้าที่ของ อบจ.เชียงราย และที่สำคัญเป็นการนำบริการสาธารณะของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาให้บริการกับประชาชนร่วมกับ อบจ.เชียงราย เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นให้เป็นท้องถิ่นมีเครือข่ายที่เข้มแข็งและเกิดความสมานฉันท์ อำเภอเชียงของ ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เครือซีพีเสริมทัพภาคีเครือข่ายเชียงราย จัดงาน “อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก”

 

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผนึกกำลังกับเทศบาลตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ชุมชนบ้านหลวงใหม่พัฒนา โรงเรียนบ้านหลวง โรงเรียนวัดครึ่งใต้วิทยา วัดหลวง และหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดงาน “อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก” เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและเยาวชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ป้องกันการเกิดไฟป่าในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขและลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ในภาคเหนือ

 

โดยมี นายฤหธิเดช จรรยาพงษ์ ปลัดอำเภอเชียงของ ประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นางศิริลักษณ์ บ่อสร้าง รองผู้จัดการฝ่าย ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ แอนโหนี-ปิยชนม์ ภุมวิภาชน์ ยุวทูต SEAMEO องค์กรรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เยาวชนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม นายดำรงศักดิ์ ไชยสาร นายกเทศมนตรีตำบลครึ่ง นายชาญวิทย์ รอดเกิด ผู้แทนเกษตรอำเภอเชียงของ ร้อยเอก อภิภู เมืองซ้ำาย หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.4 (หาดไคร้) ว่าที่ ร้อยโท ทัศน์ไชยไชยทน ปลัดเทศบาลตำบลครึ่ง นายภัทรพล หิริรักษ์วัฒนกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กิจการผลิตและขายสุกรภาคเหนือบน เขต 3 บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน ณ วัดพระธาตุพระเจ้าเข้ากาดหมู่ที่ 3 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 

 

นายฤทธิเดช จรรยาพงษ์ ปลัดอำเภอเชียงของ กล่าวว่า “การจัดโครงการอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก มุ่งหวังในการรณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ และป่าไม้ โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมการอนุรักษ์ รักษา และปกป้องหรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงผลักดันการดำเนินงานเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกซึ่งเป็นกำลังสำคัญ โดยมีจิตอาสาในการช่วยเหลืองานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นแกนนำ เพื่อร่วมมือป้องกันปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ซึ่งกลายเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน”

 

 

 
 กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การให้ความรู้เรื่องประโยชน์และคุณค่าของฝายชะลอน้ำและแนวกันไฟป่าโดยกำนันตำบลครึ่ง จากนั้นข้าสู่พิธีบวชป่า สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ป่าให้กับชุมชน ต่อด้วยกิจกรรมทำฝ่ายชะลอน้ำจากวัสดุธรรมชาติ เพื่ออนุรักษ์แหล่งน้ำ สร้างความสมดุลในระบบนิเวศป่าไม้ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมให้กับชาวบ้านและเยาวชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และปิดท้ายที่กิจกรรมสร้างแนวกันไฟป่า ด้วยการกำจัดเชื้อเพลิงที่ติดไฟง่าย เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่า มุ่งสู่การแก้ไขและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ ทั้งนี้ เครือซีพี ได้เล็งเห็นความสำคัญและมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงาน เพื่อแก้ไขและลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เครือเจริญโภคภัณฑ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เปิดมหกรรมสร้างสุขภาพ กีฬาและนันทนาการประชาชน อ.เชียงของ

 

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 08.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการกีฬาและนันทนาการประชาชนจังหวัดเชียงราย “กิจกรรมที่ 9 การแข่งขันกีฬาและนันทนาการอำเภอเชียงของ ประจำปี 2567” พร้อมด้วย นายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงของ เขต 1 นายชัยสิทธ์ ชัยเนตร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นผู้กล่าวต้อนรับ ณ ลานอเนกประสงค์บ้านแฟน ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 

สำหรับ การกีฬาและนันทนาการประชาชนจังหวัดเชียงราย “ภายใต้กิจกรรมงานมหกรรมสร้างสุขภาพ อำเภอเชียงของ ประจำปี 2567 มีวัตถุประสงค์ เพื่อรวมพลังเสริมสร้างและสนับสนุนการเผยแพร่ กิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพ กิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดงานด้านการส่งเสริมสุขภาพ และเพื่อมีสุขภาพจิตใจที่ดีอีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News