Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ครู 10 ปีต้องบรรจุ! สหพันธ์ครูเชียงรายผนึกกำลัง ดันปฏิรูปสถานะบุคลากร ศธ.

บริบทเชียงราย จากตัวเลขเชิงโครงสร้างสู่เสียงสะท้อนหน้าชั้นเรียน

เชียงราย, 30 พฤศจิกายน 2568 – เบื้องหลังห้องเรียนจังหวัดเชียงรายในวันนี้ ไม่ได้มีเพียงภาพครูยืนสอนและนักเรียนนั่งเรียนอย่างเป็นระเบียบ แต่ยังซ่อน “โครงสร้างกำลังคน” ที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก ว่ามั่นคงเพียงพอหรือไม่ต่อการรองรับอนาคตการศึกษาไทยในระยะยาว

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์อัตรากำลังบุคลากรภาครัฐที่ไม่ใช่ข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จังหวัดเชียงราย ช่วงปี พ.ศ. 2566–2568 ระบุชัดว่า จังหวัดต้องพึ่งพาบุคลากร “ไม่บรรจุ” ในระดับสูง โดยเฉพาะในภาคอาชีวศึกษา ซึ่งมีสัดส่วนบุคลากรที่ไม่ใช่ข้าราชการสูงถึงประมาณ ร้อยละ 60 ของกำลังคนทั้งหมดในสถาบันหนึ่ง ก่อให้เกิดทั้ง “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” และ “ความไม่มั่นคงในอาชีพ” ของครูและบุคลากรจำนวนมาก

ในบริบทดังกล่าว วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 สหพันธ์ครูเชียงรายจึงออกแถลงการณ์ต่อสาธารณชน ย้ำจุดยืน “ครูต้องได้ความเป็นธรรม” พร้อมเรียกร้องให้รัฐเร่งปฏิรูประบบบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติของสถานะการจ้างงาน ความมั่นคงทางรายได้ และระบบวิทยฐานะครูที่สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน

ตัวเลข 60% ที่ซ่อนความเปราะบาง ภาพสะท้อนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย

หัวใจสำคัญของปัญหา เริ่มต้นจาก “ข้อมูลจริง” ในระดับสถานศึกษา กรณีศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565 ระบุว่า

  • บุคลากรทั้งหมดมี 165 คน
  • ในจำนวนนี้เป็น ข้าราชการ 66 คน (ผู้บริหาร 5 คน และข้าราชการครู 61 คน)
  • ส่วนที่เหลือคือ พนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราว รวม 96 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว ร้อยละ 58–60 ของกำลังคนทั้งหมด

เมื่อมองเฉพาะ “ครูผู้สอน” ภายในวิทยาลัย พบว่ามีครูที่ทำหน้าที่สอนรวม 110 คน ประกอบด้วย

  • ข้าราชการครู 61 คน
  • พนักงานราชการสอน 6 คน
  • ครูอัตราจ้าง/ลูกจ้างชั่วคราวที่ทำหน้าที่สอน 43 คน

ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ครูอัตราจ้างคิดเป็นประมาณร้อยละ 39.1 ของครูผู้สอนทั้งหมด หมายความว่า เกือบ 4 ใน 10 คนของครูผู้สอนอยู่ในสถานะสัญญาจ้าง ไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการถาวรที่มั่นคง

แต่สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เพียง “จำนวนคน” หากเป็น “ที่มาของงบประมาณในการจ้างงาน” ด้วย รายงานระบุว่า ในกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวและครูอัตราจ้าง 89 คน มีถึง 45 คน หรือร้อยละ 50.56 ที่ถูกจ้างด้วย “เงินรายได้ของสถานศึกษา (บกศ.)” แทนที่จะใช้งบประมาณบุคลากรจากส่วนกลางอย่างมั่นคง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ครูจำนวนไม่น้อยในเชียงรายกำลังสอนหนังสือเด็กด้วยสถานะสัญญาจ้างที่ขึ้นอยู่กับ “รายได้ของโรงเรียน” มากกว่าความมั่นคงจากระบบงบประมาณของรัฐ

ปัญหากระจายศูนย์ข้อมูล เมื่อ “ภาพรวมทั้งจังหวัด” มองไม่ชัด

แม้แต่ระดับ “ตัวเลขรวมทั้งจังหวัด” ก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน รายงานเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีฐานข้อมูลรวมศูนย์ ที่สามารถระบุจำนวนพนักงานราชการและครูอัตราจ้างในทุกส่วนงานของ ศธ. จังหวัดเชียงรายได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น

  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1–4 (สพป.)
  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย (สพม.)
  • สถาบันอาชีวศึกษาในจังหวัด

ข้อมูลอัตรากำลังส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บและรายงานแยกกันในแต่ละเขตพื้นที่ ระบบสารสนเทศอย่าง School MIS และรายงาน “สรุปความขาด–เกิน รายสาระวิชาเอก” ถูกใช้จริงในระดับเขตพื้นที่ แต่ยังไม่มีการรวบรวมให้เห็น “ภาพรวมจังหวัด” ในลักษณะสินค้าคงคลัง (Inventory Data) ของบุคลากรทั้งหมด

ผลลัพธ์คือ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย (ศธจ.เชียงราย) ขาดเครื่องมือสำคัญ ในการคำนวณภาระผูกพันทางการเงินรวมของบุคลากรชั่วคราว และไม่สามารถใช้ “ตัวเลขจริงทั้งจังหวัด” ไปเจรจาต่อรองกับส่วนกลาง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขอตำแหน่งพนักงานราชการหรือกรอบงบประมาณที่มั่นคงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

จุดบอดเชิงนโยบายนี้ ทำให้การแก้ปัญหาหลายมิติ ต้องอาศัย “การคาดการณ์” มากกว่าการตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ครบถ้วน

เสียงจากครูเชียงราย “ครูที่มีคุณภาพเกิดจากระบบที่เป็นธรรม”

บนฉากหลังของโครงสร้างที่เปราะบางนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 สหพันธ์ครูเชียงราย นำโดย ดร.อนวัช อุ่นกอง ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ย้ำจุดยืนว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หาก “คนต้นทางของระบบ” ยังอยู่ในสภาพอาชีพที่ไม่มั่นคง

ดร.อนวัช ระบุว่า ปัจจุบันบุคลากรทางการศึกษาจำนวนมากต้องเผชิญกับ

  • ความเหลื่อมล้ำด้านสถานะการจ้างงาน
  • ความไม่มั่นคงในอาชีพ
  • ระบบบริหารบุคคลที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อขวัญกำลังใจของครูและบุคลากร และสะท้อนต่อคุณภาพการศึกษาในภาพรวมของจังหวัดเชียงรายและของประเทศ

แถลงการณ์ได้เสนอข้อเรียกร้องหลักในสามมิติสำคัญ ได้แก่

  1. ยกระดับสถานะพนักงานราชการและครูอัตราจ้าง
    • ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทาง “บรรจุ” พนักงานราชการและครูอัตราจ้างที่มีประสบการณ์ 10 ปีขึ้นไป ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการครู ผ่านระบบประเมินผลงาน
    • เหตุผลสำคัญคือ ครูกลุ่มนี้ได้ทุ่มเทปฏิบัติงานต่อเนื่องยาวนาน มีความชำนาญ และควรได้รับความมั่นคงในอาชีพอย่างเป็นธรรม
  2. เพิ่มตำแหน่งพนักงานราชการในสายงานสนับสนุน
    • เสนอให้จัดสรรตำแหน่งพนักงานราชการในสายงานครูธุรการ และนักการโภชนาการอย่างเหมาะสม
    • เพราะบุคลากรกลุ่มนี้เป็น “ฟันเฟืองสำคัญ” ที่ทำให้ครูผู้สอนสามารถทุ่มเทเวลาให้การเรียนการสอนได้เต็มที่ หากสถานะของพวกเขายังไม่มั่นคง ระบบการทำงานโดยรวมย่อมสั่นคลอน
  3. ปฏิรูประบบวิทยฐานะครู
    • เรียกร้องให้ปรับเกณฑ์และช่องทางขอมี–เลื่อนวิทยฐานะให้หลากหลาย สอดคล้องกับความถนัดของครูแต่ละคน
    • เน้น “ผลลัพธ์ต่อผู้เรียน” เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ครูพัฒนานวัตกรรมการสอน และไม่ถูกจำกัดด้วยรูปแบบเอกสารหรือผลงานวิชาการเพียงมิติเดียว

ดร.อนวัช ย้ำอุดมการณ์ในแถลงการณ์ว่า

“ครูที่มีคุณภาพเกิดจากระบบที่เป็นธรรม”

พร้อมทิ้งท้ายว่า ข้อเรียกร้องครั้งนี้ “ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของครู” แต่เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่มั่นคง เข้มแข็ง และยั่งยืน เพื่อให้เด็กไทยทุกคนได้รับการศึกษาที่ดีจากครูที่มีความมั่นคงในอาชีพและมีแรงบันดาลใจในการทำงาน
พร้อมเน้นย้ำว่า

“ครูที่ได้รับความเป็นธรรม คือกำลังสำคัญในการสร้างอนาคตของชาติ”

ภาพรวมทั้งระบบ เมื่อครูไม่บรรจุกลายเป็น “แนวหน้าถาวร”

รายงานการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างชี้ว่า ปัญหาที่เชียงรายเผชิญไม่ได้จำกัดอยู่ในสถาบันอาชีวศึกษา หากสะท้อนรูปแบบการจัดการอัตรากำลังในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยรวม

ในระดับ สพฐ. กลไกการจัดสรรพนักงานราชการ (PCE) ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างอัตรากำลังข้าราชการ แต่ในทางปฏิบัติ จำนวนตำแหน่งพนักงานราชการที่จัดสรรให้พื้นที่หนึ่ง ๆ ไม่เพียงพอ ต่อภาระงานจริง จึงทำให้สถานศึกษาต้องพึ่งพา “ครูอัตราจ้าง” ที่จ้างด้วยเงินรายได้และเงินอุดหนุนเป็นหลัก

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อจำกัดเชิงนโยบายจากคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ยังทำให้การขยายระยะเวลาสัญญาจ้างครูอัตราจ้างจาก 1 ปี เป็น 3–5 ปี ต้องผ่านการอนุมัติในระดับคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สูงและใช้เวลา ส่งผลให้รูปแบบสัญญาจ้างระยะสั้นยังคงอยู่ และ “ความไม่แน่นอน” ฝังตัวอยู่ในชีวิตการทำงานของครูกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อความมั่นคงในอาชีพถูกแขวนอยู่กับการต่อสัญญาปีต่อปี ทั้งในสภาพที่รายได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของโรงเรียนในการหารายได้เอง ครูจำนวนไม่น้อยจึงต้องเผชิญกับคำถามในใจว่า “จะอยู่ในระบบต่อไปดีหรือไม่”

ความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน เมื่องบรายได้กลายเป็นตัวกำหนดครู

อีกหนึ่งประเด็นที่รายงานฉายภาพอย่างชัดเจน คือ ผลกระทบจากการใช้ “เงินรายได้สถานศึกษา” ในการจ้างครูอัตราจ้างและบุคลากรสนับสนุนสัดส่วนสูง

โรงเรียนหรือวิทยาลัยที่อยู่ในเขตเมือง มีผู้เรียนจำนวนมาก หรือสามารถสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการอื่น ๆ ได้มาก ย่อมมีศักยภาพในการจ้างครูอัตราจ้างที่มีคุณภาพ และรักษาบุคลากรให้อยู่กับโรงเรียนได้ยาวนานกว่า

ในทางกลับกัน โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล ที่มีนักเรียนน้อยและรายได้จำกัด จะเผชิญกับข้อจำกัดในการจ้างงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้เกิด

  • การหมุนเวียนครูอัตราจ้างบ่อยครั้ง
  • ความต่อเนื่องของการจัดการเรียนการสอนลดลง
  • โอกาสเข้าถึงครูเฉพาะทางและครูคุณภาพดีของนักเรียนในพื้นที่ชนบทลดลง

เมื่อโครงสร้างการจ้างงานผูกติดกับ “ฐานะการเงินของสถานศึกษา” มากกว่าหลักประกันจากภาครัฐ ความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนจึงมีแนวโน้มถูก “ตอกย้ำ” มากกว่าจะถูกลดทอน

ความท้าทายด้านครูเฉพาะทาง สะท้อนผ่านวิชาเอกฟิสิกส์และ STEM

นอกจากปัญหาความมั่นคงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังต้องเผชิญความท้าทายด้าน “การสรรหาครูเฉพาะทาง” โดยเฉพาะในกลุ่มวิชา STEM

ในปี 2568 เอกสารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงรายระบุว่า มีการประกาศตำแหน่งว่างเพื่อรับย้ายข้าราชการครู วิชาเอกฟิสิกส์ จำนวน 2 อัตรา ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ซึ่งเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำของภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นสถาบันที่มีความต้องการสูงและมีบทบาทสร้างเด็กเก่งด้านวิทยาศาสตร์ ระบบก็ยังไม่สามารถเติมเต็มอัตรากำลังครูเฉพาะทางได้ง่าย

ควบคู่กันนั้น ในระดับเขตพื้นที่ประถมศึกษาอย่าง สพป.เชียงราย เขต 2 มีการเตรียมการสอบแข่งขันครูผู้ช่วยในวิชาเอกหลัก เพื่อรองรับทั้งตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุและความต้องการอัตรากำลังเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การเปลี่ยนครูอัตราจ้างที่มีคุณภาพให้ได้มีโอกาสเข้าสู่ตำแหน่งบรรจุถาวร

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากภาคสนามยังสะท้อนว่า แม้มีกลไกสอบบรรจุและการย้าย (TRS) ถูกใช้ต่อเนื่อง แต่ “ช่องว่างเชิงโครงสร้าง” ระหว่างจำนวนครูบรรจุกับจำนวนครูที่จำเป็นต่อการจัดการเรียนการสอนตามอัตราส่วนครูต่อนักเรียน ยังคงทำให้ต้องพึ่งพาพนักงานราชการและครูอัตราจ้างจำนวนมากในหลายพื้นที่

ทางออกเชิงระบบ จาก HR Dashboard สู่การยกระดับความมั่นคงครู

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์อัตรากำลังครู พ.ศ. 2566–2568 เสนอแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับข้อเรียกร้องของสหพันธ์ครูเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ โดยแบ่งเป็นสามทิศทางหลัก

  1. บูรณาการข้อมูลและสร้าง HR Dashboard ระดับจังหวัด
    • ให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงรายเป็น “แม่ข่ายข้อมูล” บังคับใช้การรายงานตัวเลขข้าราชการครู พนักงานราชการ และครูอัตราจ้าง จากทุกเขตพื้นที่ (สพป.1–4, สพม., อาชีวศึกษา) อย่างสม่ำเสมอ
    • สร้าง “บัญชีสินค้าคงคลังบุคลากรครู” ที่ระบุทั้งตำแหน่งการสอน (รายวิชาเอก) แหล่งเงินทุนที่ใช้จ้าง และระดับความขาดแคลนในแต่ละพื้นที่
    • ข้อมูลชุดนี้จะเป็นฐานสำคัญในการยื่นเรื่องต่อ สพฐ. และ คปร. เพื่อขอกรอบอัตรากำลังและงบประมาณที่สอดคล้องกับสภาพจริงในเชียงราย
  2. จัดทำแผนความมั่นคงทางการจ้างงานระยะกลาง (3–5 ปี)
    • ผลักดันให้มีงบประมาณอุดหนุนเฉพาะกิจจากส่วนกลาง เพื่อทดแทนการใช้เงินรายได้สถานศึกษาในการจ้าง “ครูอัตราจ้างที่ทำหน้าที่สอนหลัก”
    • ลดความผันผวนของกำลังคน และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนที่มีรายได้ต่างกัน
    • ยื่นเรื่องต่อ คปร. เพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาสัญญาจ้างของบุคลากรกลุ่มนี้จาก 1 ปี ให้ยาวขึ้นในกรอบ 3–5 ปี เพื่อสร้างเสถียรภาพและขวัญกำลังใจ
  3. ทบทวนเกณฑ์จัดสรรตำแหน่งพนักงานราชการ (PCE) ให้สอดคล้องภาระงานจริง
    • พิจารณาโควตา PCE บนฐาน “ความขาดแคลนจริง” ระหว่างจำนวนข้าราชการครูที่มีอยู่ กับอัตราส่วนนักเรียนต่อครูที่ต้องการในแต่ละระดับ
    • ให้ความสำคัญกับสถานศึกษาที่ต้องจ้างครูจากเงินรายได้ในสัดส่วนสูง เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนภาระทางการเงินจากระดับโรงเรียนไปสู่โครงสร้างงบประมาณกลางของรัฐ

แนวทางเหล่านี้ หากดำเนินการควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบวิทยฐานะ และการสร้างแรงจูงใจในสาขาขาดแคลนอย่าง STEM จะทำให้การพึ่งพากำลังคน “ไม่บรรจุ” ในระดับวิกฤตสามารถคลี่คลายลงได้อย่างเป็นขั้นตอน

จุดตัดสำคัญของอนาคตครูและอนาคตเด็กเชียงราย

ภาพรวมในช่วงปี พ.ศ. 2566–2568 ชี้ชัดว่า จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บน “จุดตัดสำคัญ” ระหว่าง

  • ระบบการศึกษาที่ขับเคลื่อนด้วยครูในสถานะไม่มั่นคง จำนวนมากกว่าครูบรรจุในบางสถาบัน
    กับ
  • โอกาสในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ผ่านการบูรณาการข้อมูลและการปรับระบบงบประมาณและอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความเป็นจริง

แถลงการณ์ของสหพันธ์ครูเชียงรายในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 จึงไม่ใช่เพียง “เสียงสะท้อนความเดือดร้อนของครู” แต่ยังเป็น “สัญญาณเตือนเชิงระบบ” ว่า หากการกำหนดนโยบายยังไม่ขยับตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในตัวเลขและภาคสนาม เด็กเชียงรายจำนวนมากอาจต้องเติบโตขึ้นในระบบที่ครูผู้สอนของพวกเขายังไม่แน่ใจว่า “ปีหน้า จะยังมีงานอยู่ที่เดิมหรือไม่”

ท่ามกลางความคาดหวังของสังคมที่ต้องการเห็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย การทำให้ “คนต้นทางของการเรียนรู้” ได้รับความเป็นธรรมและความมั่นคงในอาชีพ จึงไม่ใช่เพียงประเด็นสวัสดิการของครู แต่คือคำถามใหญ่ของอนาคตจังหวัดเชียงราย และอนาคตของเด็กไทยทั้งประเทศ

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME