Categories
NEWS UPDATE

ทอท. ผงาดเวที ICAO “ดร.สมชนก” นำคณะทำงานยกระดับมาตรฐานสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก

ทอท.ผงาดเวทีบินสากล—“นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์” ขับเคลื่อนคณะทำงาน ICAO ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยกระดับมาตรฐานสนามบินไทยสู่ระดับโลก

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าที่หมอกบางโอบล้อมแนวเทือกเขาเหนือสุดของสยาม เสียงเดินเครื่องของรถบริการภาคพื้นบนรันเวย์ “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย” ดังเป็นจังหวะ งานทุกชิ้นที่สนามบินต้อง “เป๊ะ” ในระดับเซนติเมตร ตั้งแต่ตำแหน่งหลุมจอดไปจนถึงความกว้างเส้นสีเหลืองบนพื้นคอนกรีต เพราะมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ “ทำตามคู่มือ” แต่กำลังยกระดับสู่ “ออกแบบมาตรฐานร่วมกัน” ในเวทีนานาชาติ—และคนไทยกำลังอยู่หน้าห้องประชุมคุมทิศ

บนเวทีนั้นคือ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ผู้ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF) ภายใต้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมวาระล่าสุดของคณะทำงานชุดนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญว่าด้วย “มาตรฐาน” และ “ข้อแนะนำพึงปฏิบัติ (SARPs)” สำหรับการ วางแผน-ออกแบบ-ปฏิบัติการท่าอากาศยาน ให้เท่าทันความเสี่ยงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกการบินที่เปลี่ยนเร็ว (เช่น ระบบไฟส่องสว่าง, เส้นเครื่องหมาย, ระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง, มาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยปลายรันเวย์ RESA ฯลฯ) โดยยึดกรอบแกนกลางจาก ICAO Annex 14 Volume I: Aerodrome Design and Operations ซึ่งเป็น “คัมภีร์สนามบิน” ของโลกการบินพลเรือนยุคใหม่

จากเจ้าภาพ “เวทีเทคนิค” สู่ผู้นำความคิดของภูมิภาค

บทบาทของไทยไม่ได้เกิดจาก “คำประกาศ” แต่สะสมจาก “การทำจริง” หลายปีติดต่อกัน—เชียงราย ในฐานะสนามบินภูมิภาค ได้รับความเชื่อมั่นให้เป็นเจ้าภาพประชุม AP-ADO/TF ติดต่อกัน และถูกใช้เป็น “สนามเรียนรู้จริง” ให้ผู้แทนจากนานาชาติลงพื้นที่ดูการปฏิบัติการ airside ก่อนถอดบทเรียนเชิงมาตรฐานในห้องประชุม กว่า 13 ประเทศเข้าร่วมเมื่อครั้งประชุมปี 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นสถานที่หลัก โดยมี นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก ทำหน้าที่ประธานคุมวาระอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความไว้วางใจของภาคี ICAO ในระดับภูมิภาคที่มีต่อประเทศไทยและทอท. ในเชิงเนื้อหาและการประสานความร่วมมือข้ามประเทศ

น้ำหนักของเวทีนี้ไม่ใช่ “พิธีการ” แต่คือการไล่แก้โจทย์ยาก ๆ ที่สนามบินทั่วโลกกำลังเผชิญ เช่น ค่าความคลาดเคลื่อน (tolerance) ของขนาด-ระยะ-ตำแหน่ง เส้นเครื่องหมายบนพื้นผิว และ การติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งหากมาตรฐานใน Annex 14 กำหนดไม่ชัดหรือไม่สอดคล้องกันระหว่างหัวข้อ อาจทำให้สนามบินตีความต่างกันและเกิดความเสี่ยงได้ เอกสารทำงานล่าสุดจากการประชุม AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) นำเสนอการเปรียบเทียบมาตรฐาน Annex 14 กับแนวปฏิบัติของ FAA สหรัฐฯ และ CAA สหราชอาณาจักร เพื่อตกผลึกค่าคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ในทางปฏิบัติ (เช่น ±5%) เพื่อให้เกิด “ภาษาเดียวกัน” ทั้งภูมิภาค—นี่คือชิ้นงานเชิงเทคนิคที่ไทยอยู่แถวหน้าในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะทำงานภูมิภาค

ทำไม “เก้าอี้ประธานคณะทำงานเชิงเทคนิค” จึงสำคัญต่อไทย

  1. จากผู้รับมาตรฐาน สู่ผู้ร่วมกำหนดมาตรฐาน – การมี ประธานคณะทำงาน อยู่ในมือ ทำให้เสียงของไทย “ได้ยิน” ตั้งแต่ยกร่างจนถึงเสนอแก้ไขข้อความใน Annex 14 เมื่อเจอปัญหาจริงในสนามบินไทย เราสามารถยกกรณีศึกษาเข้าสู่วาระภูมิภาคได้โดยตรง ส่งผ่าน “บทเรียนจากภาคปฏิบัติ” สู่ถ้อยคำมาตรฐานสากลที่ทุกประเทศต้องอ้างอิง
  2. ลดต้นทุนความไม่แน่นอน – มาตรฐานที่ชัดเท่ากันทั้งภูมิภาค ช่วยให้การออกแบบ-ก่อสร้าง-บำรุงรักษาโครงสร้างสนามบินเป็นไปในแนวเดียวกัน ลดความเสี่ยงในการตีความต่าง ช่วย “ลดต้นทุนรวม” ของระบบการบินและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว (ทั้งฝั่งสนามบินและสายการบิน) เพราะทุกฝ่ายวางแผนบนฐานกติกาเดียวกัน
  3. เสริมสถานะฮับการบินของประเทศ – ไทยกำลังลงทุนขยายโครงสร้างพื้นฐานสนามบินหลักและภูมิภาค วาระนี้ต้องอาศัย “ความน่าเชื่อถือด้านมาตรฐานความปลอดภัย” เป็นใบอนุญาตทางสังคม (social licence) และเป็นคำตอบแก่นักลงทุน-สายการบิน การที่ผู้บริหารทอท. ขึ้นนำเวทีเทคนิคของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก จึงช่วยยืนยันว่า “ไทยไม่ได้แค่ตามมาตรฐาน แต่ช่วยกันเขียนมาตรฐาน”

“งานช่างละเอียด” ที่เปลี่ยนอนาคตสนามบิน

หากเปิดเอกสารทำงาน AP-ADO/TF/6 จะเห็นว่าการประชุมไม่ได้คุย “กว้าง ๆ” แต่ไล่ถึงระดับมิลลิเมตรของเส้นสีบนรันเวย์ และ “ระยะดวงไฟ” ที่ต้องคงที่เพื่อช่วยนักบินในสภาวะทัศนวิสัยต่ำ ประเด็นที่หยิบมาถก ได้แก่

  • ค่าความคลาดเคลื่อนของเครื่องหมายพื้นผิว (runway/taxiway markings): ข้อเสนอให้กำหนด tolerance ที่ชัดเจน (เช่น ความกว้างเส้นกึ่งกลางทางขับ 0.15 เมตร อนุโลมคลาดเคลื่อนเล็กน้อย) เพื่อความสม่ำเสมอระหว่างสนามบิน ลดความเสี่ยงจากการตีความ Annex 14 ต่างกันในแต่ละรัฐ
  • ไฟส่องสว่างภาคพื้น (airfield ground lighting): เสนอการทบทวนระยะห่างไฟขอบทางวิ่ง-ทางขับที่ยอมรับได้ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟ “พาเครื่องบิน” ได้อย่างเที่ยงตรงแม้หมอกหนา ฝนหนัก หรือเที่ยวบินกลางคืน—หัวใจของความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางปฏิบัติการ
  • ความสอดคล้องของถ้อยคำใน Annex 14: ชี้ “จุดไม่สอดคล้อง” บางข้อที่อาจสร้างความสับสน เช่น การตีเส้นกึ่งกลางทางขับ-เครื่องหมายจุดสิ้นสุดรันเวย์-ระบบไฟนำร่อน และเสนอให้ ICAO ปรับปรุงถ้อยคำให้เป็นเอกภาพมากขึ้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนฐานกติกาเดียวกัน (one interpretation)

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนรายละเอียดเชิง “ช่าง” แต่ผลลัพธ์คือ ความปลอดภัยเชิงระบบ ที่สัมผัสได้: ลดความคลาดเคลื่อนในการมองเห็น-การนำร่อน เพิ่มความมั่นใจของสายการบิน และเปิดพื้นที่ให้สนามบินภูมิภาค—อย่างเชียงราย—ก้าวสู่บทบาทเครื่องยนต์เศรษฐกิจของเมืองและกลุ่มจังหวัดเหนือบนได้อย่างมีมาตรฐานรองรับ

น้ำหนักทางยุทธศาสตร์ ไทยในบทบาท “พี่เลี้ยง” ของภูมิภาค

การขับเคลื่อนของ AP-ADO/TF ยังสอดรับกับเจตนารมณ์ ICAO “No Country Left Behind” ที่ต้องการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ทั่วถึงทั้งภูมิภาค ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้-ฝึกอบรม-พัฒนาเอกสารคำแนะนำ—บทบาท “ประธานคณะทำงาน” จึงไม่ใช่แค่คุมประชุม แต่คือการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือทางเทคนิคกับรัฐสมาชิก เพื่อให้ทุกสนามบินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ลด “ช่องว่างมาตรฐาน” ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงข้ามพรมแดนในระบบการบินที่เชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาค

“เชียงราย” ห้องทดลองมาตรฐานจริง

ความต่อเนื่องที่เชียงรายได้เป็นเจ้าภาพและเวทีเรียนรู้เชิงปฏิบัติ ช่วยให้ผู้แทนจากต่างประเทศ “เห็นของจริง” ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิบัติ airside ไปจนถึงการจัดการผู้โดยสาร-สัมภาระ-ระบบความปลอดภัย—ก่อนกลับเข้าห้องประชุมเพื่อกลั่นมาตรการที่ทำได้จริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำสวยงามในเอกสาร การที่ ผู้อำนวยการสนามบิน คนเดียวกันรับบท “ประธานคณะทำงาน” ต่อเนื่องหลายวาระ ช่วยเชื่อมโลกของ “มาตรฐานบนกระดาษ” เข้ากับ “โลกจริงบนรันเวย์” อย่างไร้รอยต่อ นี่คือเหตุผลที่เครือข่าย ICAO ในภูมิภาคมองไทยเป็นแหล่ง “องค์ความรู้จากภาคปฏิบัติ” ที่แบ่งปันได้

สิ่งที่ไทยควรทำ “ต่อจากนี้”

  1. ตั้งระบบถ่ายทอดองค์ความรู้เข้าข้างใน – ทุกบทเรียนและข้อเสนอเชิงเทคนิคจาก AP-ADO/TF ควรถูก “ดึงเข้าองค์กร” อย่างเป็นระบบ สู่คู่มือ-มาตรฐานปฏิบัติของทอท. ครอบคลุมสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อลด “ช่องว่างความรู้” ระหว่างสนามบินใหญ่กับสนามบินภูมิภาค
  2. เป็นผู้เสนอนวัตกรรมมาตรฐานใหม่ – สนับสนุนทีมผู้เชี่ยวชาญไทยจัดทำ เอกสารทำงาน (Working Paper) ยกประเด็นใหม่ ๆ เข้าสู่เวทีภูมิภาค เช่น แสงสะท้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ใกล้เขตการบิน, ผลกระทบของโดรนต่อการออกแบบเขตปลอดสิ่งกีดขวาง, หรือการใช้ข้อมูลสภาพผิวรันเวย์แบบเรียลไทม์กับการจัดการความเสี่ยง—จากนั้นผลักต่อสู่การปรับภาษา Annex 14 ในขั้นถัดไป
  3. รักษาความต่อเนื่องการเป็นเจ้าภาพ – การเสนอตัวจัดประชุม/เวิร์กช็อป ICAO/APAC อย่างต่อเนื่อง จะตอกย้ำบทบาทไทยในฐานะ “ศูนย์กลางความเชี่ยวชาญสนามบิน” ของภูมิภาค และเปิดโอกาสให้บุคลากรไทยได้ฝึกมือกับโจทย์ระดับเอเชีย-แปซิฟิกอย่างสม่ำเสมอ

มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจ

มาตรฐาน Annex 14 ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคที่ไกลตัวผู้โดยสาร—มันคือ “ความปลอดภัยที่จับต้องได้” ตั้งแต่เส้นสีที่เห็นยันขอบรันเวย์ไปจนถึงไฟทางขับที่พาเครื่องไปถึงหลุมจอดอย่างแม่นยำ ยิ่งมาตรฐานชัด-ตีความตรงกันทั้งภูมิภาค ยิ่งลด “จุดเสี่ยง” ที่อาจนำไปสู่อุบัติการณ์ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นแก่สายการบินในการเปิด/เพิ่มความถี่เส้นทาง ทั้งหมดนี้แปลตรงไปสู่ ต้นทุนประสิทธิภาพ ที่ดีขึ้นของสนามบิน และ โอกาสทางเศรษฐกิจ ของเมืองและประเทศ—โดยเฉพาะสนามบินภูมิภาคอย่างเชียงรายที่กำลังถูกวางบทบาทเป็น “ประตูเศรษฐกิจภาคเหนือบน”

ในแง่นี้ เก้าอี้ประธานคณะทำงานของ นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก จึงมีนัยมากกว่าตำแหน่งส่วนบุคคล แต่คือ หลักหมุด ที่ตอกย้ำว่า “ไทยพร้อมและสามารถ” เป็นผู้นำความคิดในเวทีมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันก็รับฟัง-ดึงองค์ความรู้กลับมาขับเคลื่อนการยกระดับสนามบินในประเทศอย่างเป็นระบบ

เมื่อสนามบินไทย “ออกแบบอนาคต” ร่วมกับโลก

โลกการบินหลังโควิดฯ กำลังโตกลับอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนกติกา เช่น เทคโนโลยีการนำร่อน, ระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ, เครื่องบินประหยัดพลังงานรุ่นใหม่, โดรน, และข้อมูลสภาพรันเวย์แบบเรียลไทม์ มาตรฐาน Annex 14 จึงต้องถูก “รีเฟรช” ต่อเนื่องให้ทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงใหม่ ๆ เวที AP-ADO/TF ทำหน้าที่เป็น ห้องทดลองนโยบายเทคนิค ระดับภูมิภาค ก่อนป้อนข้อเสนอไปสู่การแก้ไขภาคผนวก (amendment) ในระดับสภา ICAO สิ่งที่ไทยได้—นอกจากชื่อชั้น—คือ โอกาสเรียนรู้ก่อน ปรับใช้ได้เร็วกว่า และ “ออกแบบสนามบิน” บนข้อมูลจริงที่ช่วยให้การลงทุนคุ้มค่า-ปลอดภัย-เป็นสากล

“บทบาทของเราบนเวทีสากลไม่ได้จบที่การประชุม แต่จะเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เรานำมาตรฐานกลับมาปรับใช้ในสนามบินไทย—จากเส้นสีบนพื้นรันเวย์ ไปจนถึงไฟดวงสุดท้ายปลายทางขับ ทุกจุดมีเหตุผลทางความปลอดภัยรองรับเสมอ”
— มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญท่าอากาศยาน (สรุปสาระจากเอกสารและถ้อยคำในวงประชุม AP-ADO/TF/6)

เมื่อเรื่องมาตรฐานไม่ใช่ภารกิจของ “กฎระเบียบ” อย่างเดียว แต่คือ “สัญญาประชาคม” ว่าผู้โดยสารทุกคนจะขึ้น-ลงได้อย่างปลอดภัยในทุกเที่ยวบิน การที่ไทยมี “มือ” อยู่บนพวงมาลัยเวทีนี้ จึงเท่ากับได้อยู่ “หัวขบวน” ของการออกแบบอนาคตสนามบินเอเชีย-แปซิฟิก และนั่นหมายถึงการแปลงมาตรฐานให้เป็นความพร้อมของเมืองและโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจฐานรากในที่สุด

สรุปสาระสำคัญ

  • นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ จากทอท. ทำหน้าที่ ประธานคณะทำงาน AP-ADO/TF ของ ICAO/เอเชีย-แปซิฟิก ต่อเนื่องในช่วงการประชุมล่าสุด (การประชุมครั้งที่ 5-6) ตอกย้ำความไว้วางใจต่อไทยในเวทีมาตรฐานสากลด้านท่าอากาศยาน
  • เวที AP-ADO/TF/6 (ก.พ. 2568, ลังกาวี) เดินหน้า “ปิดจุดเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องเชิงมาตรฐาน” โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อนของเส้นเครื่องหมายและระบบไฟส่องสว่างภาคพื้น เพื่อให้ทุกสนามบินทำงานบนกติกาเดียวกันทั้งภูมิภาค
  • ฐานความรู้หลักยึด ICAO Annex 14 Volume I ที่เพิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่องในระดับสภา ICAO เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีและความเสี่ยงยุคใหม่—มาตรฐานที่ดี = ความปลอดภัยที่จับต้องได้ = ความเชื่อมั่นที่แปรเป็นโอกาสเศรษฐกิจของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ICAO Asia/Pacific – AP-ADO/TF/6 Working Paper
  • ICAO Asia/Pacific – AOP SG/9, WP/08
  • International Civil Aviation Organization (ICAO)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

AOT ผุดแผนเมืองใหม่ รอบสนามบิน ‘เชียงราย’

AOT จัดโชว์เคสพื้นที่เชียงราย 762 ไร่ ปั้นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่รอบสนามบิน

เชียงราย, 3 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดโอกาสครั้งสำคัญ จัดงาน “AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity” เพื่อดึงดูดภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนาพื้นที่ศักยภาพสูงรอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ขนาด 762 ไร่ รวมทั้ง 6 ท่าอากาศยานทั่วประเทศ มูลค่ารวมกว่า 28,800 ล้านบาท สร้างแรงขับเคลื่อนสู่การเป็น Aviation Hub แห่งภูมิภาคเอเชีย

เปิดฉากครั้งสำคัญของพื้นที่เศรษฐกิจเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง ขนาดพื้นที่รวม 762 ไร่ ซึ่ง AOT เตรียมพัฒนาภายใต้รูปแบบการเช่าที่ดินระยะยาว (Leasehold) สูงสุดถึง 30 ปี บริเวณพื้นที่นี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งทำเลทอง ติดถนนสายหลักเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย เดินทางสู่สนามบินได้สะดวกภายใน 5 นาที พร้อมรองรับการลงทุนที่หลากหลายทั้งโรงแรมระดับพรีเมียม ศูนย์การค้า ศูนย์โลจิสติกส์ และโครงการที่พักอาศัยแบบครบวงจร

ภายในงานดังกล่าว ได้รับเกียรติจากนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง AOT นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล กรรมการ AOT และ นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ร่วมเป็นประธานพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ณ โรงแรม Mövenpick BDMS Wellness Resort กรุงเทพฯ

จุดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ ณ สนามบินเชียงราย

พื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพื้นที่สำคัญอันดับต้นๆ จาก 6 เสาหลักของโอกาสการลงทุน (The Six Pillars of Opportunity) เนื่องจากมีจุดแข็งสำคัญคือทำเลที่ตั้งในเขตเมืองหลักของภาคเหนือ และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะศักยภาพการเป็นประตูเชื่อมต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ลาว และจีนตอนใต้

นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่สนามบินเชียงราย จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่เมืองเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Hub) และเมืองการบินที่ครบวงจร โดยการลงทุนจากภาคเอกชนจะสร้างการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชนในพื้นที่ และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ศักยภาพรอบด้าน ดึงดูดการลงทุนระดับนานาชาติ

จุดเด่นสำคัญของพื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย คือการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว เชื่อมต่อถนนสายหลัก เข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดร่องขุ่น สิงห์ปาร์ค และแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติอีกมากมาย

นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวเพิ่มเติมว่า เชียงรายมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่โดดเด่น การลงทุนด้านที่พักและศูนย์การค้ารอบสนามบินจะช่วยรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวคุณภาพจากต่างประเทศ รวมทั้งยังสามารถพัฒนาเป็น Premium Outlet หรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอีกด้วย

แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครบวงจร

AOT ได้วางแผนการลงทุนในพื้นที่สนามบินเชียงรายให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ประเทศ ทั้งในด้านโลจิสติกส์ การค้า การบริการ และการท่องเที่ยว รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service ให้มุมมองว่า การพัฒนาพื้นที่สนามบินเชียงรายจะช่วยสร้างศูนย์กลางการลงทุนใหม่ในภูมิภาคเหนือ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองรองได้อีกด้วย

สถิติสำคัญที่สนับสนุนการลงทุน

ข้อมูลจากกรมท่าอากาศยานและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 2.8 ล้านคนต่อปี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7-9 ต่อปี และมีเที่ยวบินรวมกว่า 18,000 เที่ยวบินต่อปี ทำให้เชียงรายติดอันดับ 4 ของท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีจำนวนผู้โดยสารสูงสุดในประเทศไทย (รองจากภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่) ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่มีความชัดเจนและมั่นคงในระยะยาว

(ที่มา: กรมท่าอากาศยาน, สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

วิเคราะห์และโอกาสในอนาคต

จากศักยภาพทำเล และแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของเชียงรายที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดันพื้นที่รอบสนามบินให้กลายเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ ถือเป็นโอกาสทองที่นักลงทุนไม่ควรพลาด เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน และประชาชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

สำหรับนักลงทุนที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในพื้นที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และสนามบินอีก 5 แห่งทั่วประเทศ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายบริหารทรัพย์สิน AOT โทร. 0 2132 2031, 0 2132 2190

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • กรมท่าอากาศยาน
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ปี 2567)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

สงกรานต์คึกคัก ‘เชียงใหม่’ เที่ยวได้ ฟรีจอดรถ 4 สนามบิน

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือสงกรานต์ 2568 เพิ่มเที่ยวบิน-เปิดจอดรถฟรี ท่าอากาศยานเชียงรายพร้อมเต็มที่รับนักเดินทาง

ประเทศไทย, 9 เมษายน 2568 – รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมเต็มรูปแบบในการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างหนาแน่น โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านการคมนาคมในท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ รวมถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประตูการเดินทางสำคัญของภาคเหนือที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าว

มาตรการรับมือผู้โดยสารช่วงสงกรานต์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนรองรับการเดินทางของประชาชน โดยเน้นการลดความแออัดในอาคารผู้โดยสาร การเพิ่มเจ้าหน้าที่บริการ และอำนวยความสะดวกในด้านการตรวจเอกสาร การเช็กอิน และการจัดระเบียบการเดินทางในพื้นที่ท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)
  4. ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
  5. ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)
  6. ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมต้อนรับนักเดินทาง

ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ได้เตรียมการรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดเชียงรายถือเป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม ทั้งในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมสงกรานต์พื้นเมือง

ในช่วงสงกรานต์นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และต่างประเทศ เช่น จีนและลาว ผ่านเที่ยวบินตรงมายังสนามบินเชียงราย ซึ่ง ทอท. ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์เช็กอิน การดูแลผู้โดยสาร และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นและปลอดภัย

ข้อมูลเที่ยวบิน-ผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นชัดเจน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ประมาณการเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2568 พบว่า

  • เที่ยวบินระหว่างประเทศมีจำนวน 267,603 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.1%
  • เที่ยวบินภายในประเทศมีจำนวน 213,792 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 22.7%
  • รวมผู้โดยสารทั้งหมด 79,191,431 คน เพิ่มขึ้น 18.3%
    • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48,243,845 คน เพิ่มขึ้น 14.1%
    • ผู้โดยสารภายในประเทศ 30,947,586 คน เพิ่มขึ้น 25.5%

การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินและผู้โดยสารสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักเดินทางในการเดินทางภายในประเทศ

จอดรถฟรี 4 สนามบินทั่วประเทศ

เพื่อส่งมอบความสะดวกแก่ผู้โดยสาร รัฐบาลได้เปิดพื้นที่ “จอดรถฟรี” ณ ท่าอากาศยาน 4 แห่ง ระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2568 ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ลานจอดรถระยะยาว โซน C
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง – ลานจอดหน้าตึกจอดรถ 5 ชั้น
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ – บริเวณลานช้าง ข้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
  4. ท่าอากาศยานภูเก็ต – หน้าอาคารสำนักงาน ทภก.

การอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยี

นอกจากการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่แล้ว ท่าอากาศยานทุกแห่ง รวมถึงเชียงราย ได้เตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น

  • เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS)
  • เครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD)
  • ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric)

ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใช้บริการได้ที่เครื่อง CUSS หรือผ่านเจ้าหน้าที่สายการบินในขั้นตอนเช็กอิน เพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดความแออัด

เชียงใหม่มั่นใจ พร้อมรับนักท่องเที่ยวแม้เจอแผ่นดินไหว

นอกจากนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้เกิดเหตุแผ่นดินไหวเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่ผลกระทบมีเพียงบางส่วน เช่น อาคารดวงกมลคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบด้านโครงสร้าง และอีก 2 อาคารที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากผิวฉาบแตก

ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมกลับสู่ภาวะปกติ บรรยากาศการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญอย่างถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนคนเดิน และรอบคูเมือง พร้อมทั้งมีกิจกรรมสงกรานต์ “ปี๋ใหม่เมือง” ที่จัดเต็มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสของการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

การที่รัฐบาลเพิ่มเที่ยวบินและอำนวยความสะดวกผ่านนโยบายจอดรถฟรี เป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงราย ซึ่งในช่วงนี้มีเทศกาลประเพณีพื้นถิ่น เช่น สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว และขบวนแห่สืบสานวัฒนธรรมล้านนา ที่สร้างสีสันและความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมจำหน่ายสินค้า OTOP การท่องเที่ยวชุมชน และการสร้างงานให้คนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ทอท. คาดการณ์เที่ยวบินระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2568
    • เที่ยวบินระหว่างประเทศ: 267,603 เที่ยวบิน (+9.1%)
    • เที่ยวบินในประเทศ: 213,792 เที่ยวบิน (+22.7%)
  • ผู้โดยสารทั้งหมด: 79,191,431 คน (+18.3%)
    • ระหว่างประเทศ: 48,243,845 คน (+14.1%)
    • ในประเทศ: 30,947,586 คน (+25.5%)
  • จังหวัดเชียงราย:
    • มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ช่วงเทศกาล (ข้อมูลจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง, 2567)
    • คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์: ไม่น้อยกว่า 180,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • พื้นที่จอดรถฟรีในสนามบินเชียงใหม่: รองรับได้มากกว่า 1,500 คัน ตลอดช่วงเวลาให้บริการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เคาะสร้าง 7 ปี “สนามบินล้านนา” สนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 ทุ่ม 7 หมื่นล้าน

 

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2567 นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทอท.มีแผนเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานภูมิภาค ให้สามารถรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารได้มากขึ้น

โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ (ทชม.) ระยะที่ 1 วงเงินงบประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างระหว่างประเทศหลังใหม่ มีพื้นที่กว่า 95,000 ตารางเมตร

 

รวมทั้งจะมีการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ทำให้มีพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 66,600 ตารางเมตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ทชม. ในการรองรับผู้โดยสารได้เป็น 20 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปี 2569

 

สำหรับโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานล้านนา (ทชม.แห่งที่ 2) บนพื้นที่ 8,050 ไร่ งบประมาณลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารเพื่อรองรับผู้โดยสาร 24 ล้านคนต่อปี ทางวิ่ง 2 เส้น สามารถรองรับเที่ยวบินได้ 41 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และหลุมจอดอากาศยาน 38 หลุมจอด รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศได้ 41 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และหลุมจอดอากาศยาน 38 หลุมจอด รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศได้ 32,000 ตัน

 

โดยคาดว่าจะตั้งอยู่ในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ซึ่งห่างจาก ทชม. 22 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 32 นาที โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ตลอดจนกระบวนการจัดตั้งท่าอากาศยาน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 7 ปี

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

‘สุริยะ’ ขานรับนโยบายเตรียมทำแผน รองรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้

 

เมื่อ10 มิ.ย. 2567  นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปจัดทำแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ปลายปี 2567 หรือไตรมาส 4 ที่จะถึงนี้ สอดรับกับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ที่คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

 

ทั้งนี้ ได้สั่งการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ไปดำเนินการจัดเตรียมการรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในส่วนของแผนเพิ่มจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอต่อผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ ครอบคลุมผู้โดยสารระหว่างประเทศและในประเทศที่เดินทางผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

 

“จากการรายงานของ ทอท. พบว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวนผู้โดยสารเข้า-ออก 6 ท่าอากาศยานรวม 9,503,475 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.08% และมีจำนวนเที่ยวบิน 61,435 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.90% ขณะเดียวกัน ทอท. ยังได้คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในช่วงเดือนมิถุนายน – พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมจำนวน 60.3 ล้านคน และมีจำนวนเที่ยวบิน 380,000 เที่ยวบิน ดังนั้น เชื่อว่า ในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นด้านการท่องเที่ยว จึงมีแนวโน้มสูงว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”นายสุริยะกล่าว

 

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ ทอท. จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการบริหารจัดการการให้บริการในท่าอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคน ได้สัมผัสกับการบริการที่สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว สร้างความความประทับใจ และเกิดภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการการให้บริการผู้โดยสารในขั้นตอนต่างๆ ทั้งในส่วนของผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ให้เกิดความคล่องตัว ไม่ให้เกิดภาพความหนาแน่นในแต่ละจุดบริการ โดยเฉพาะในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง และบริเวณสายพานรับกระเป๋า รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วย

 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สั่งการให้จัดเตรียมเพิ่มขบวนรถไฟ ทั้งเส้นปกติและขบวนพิเศษ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดเตรียมแผนฯ โดยในเบื้องต้น จะเพิ่มขบวนนำเที่ยวเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย จากก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการในหลายเส้นทาง ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในรูปแบบไปเช้า-เย็นกลับ (วันเดย์ทริป) เช่น ขบวนรถไฟนำเที่ยวน้ำตกไทรโยค, ขบวนรถไฟนำเที่ยวสวนสนประดิพัทธ์, ขบวนรถไฟนำเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นต้น

 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมขบวนรถไฟฟ้าและสถานีของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร ทั้ง 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู และสายสีเหลือง เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ในช่วงไฮซีซั่นไตรมาส 4/2567 เบื้องต้นได้เตรียมขบวนรถเสริมให้บริการในกรณีมีผู้โดยสารหนาแน่น พร้อมทั้ง จัดเตรียมช่องทางพิเศษสำหรับจำหน่ายเหรียญโดยสาร เตรียมไว้ในสถานีที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก

 

ขณะเดียวกัน จะทำการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลแก่ผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง โดยการประกาศทางเสียง ป้ายประชาสัมพันธ์ และจอแสดงผล ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้ง ยังมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยโดยจัดให้มีพนักงานสถานีเพิ่มเติม เพื่อให้มีเพียงพอและพร้อมปฏิบัติงานในสถานีที่คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการหนาแน่น รวมถึง มีระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดภายในสถานี และภายในขบวนรถไฟฟ้า ครอบคลุมทุกพื้นที่การให้บริการ และยังจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลความปลอดภัยบนสถานี และตรวจสัมภาระผู้โดยสาร ดังนั้น รฟม. มั่นใจว่าประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวก ปลอดภัย ตลอดเส้นทาง

 

“ยืนยันว่า กระทรวงคมนาคม และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้การกำกับดูแล พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในทุก ๆ ด้าน และทุกการคมนาคมต้องมีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยหากทุกหน่วยงานฯ มีความคืบหน้าของแผนรองรับการท่องเที่ยวสำหรับมาตรการลดภาษีท่องเที่ยว สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จะดำเนินการรายงานต่อประชาชนให้ ทราบโดนทันที“ นายสุริยะ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News