Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ปภ. จับมือ กสทช. ยกระดับแจ้งเตือนภัยผ่าน SMS แบบเจาะจงพื้นที่

 

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ จึงได้กำชับให้เร่งยกระดับการแจ้งเตือนประชาชนรับมือภัยพิบัติ เพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ตนจึงได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับแจ้งเตือนภัยประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระดับตำบล/หมู่บ้าน ให้ครบทุกมิติ ทั้งวัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง รวมถึงแนะนำการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้จัดทำข้อมูล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) สนับสนุน และจัดส่งให้ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ประสานไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง AIS True และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) วางแนวทางการส่งข้อความการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าผ่านโทรศัพท์มือถือ (SMS)

โดยนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า ทันทีที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและส่งข้อความแจ้งเตือนภัยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อทำการส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยมีการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบข้อความสั้น (SMS) 2 รูปแบบ ทั้งการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า 12- 24 ชั่วโมง และการแจ้งเตือนภัยแบบฉุกเฉิน 6 -12 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่จะใช้ระดับการแจ้งเตือนภัยตามที่แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติกำหนด (5 ระดับ) ภายหลังการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นที่และสถานการณ์ความเสี่ยงภัยแล้วจะทำการส่งข้อความตามเกณฑ์ตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ดังนี้ 

1. ระดับ 3 (สีเหลือง) ให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบาง 
2. ระดับ 4 (สีส้ม) ให้อพยพและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ให้อพยพกลุ่มเปราะบางออกจากพื้นที่น้ำท่วม และขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง 
และ 3. ระดับ 5 (สีแดง) ต้องอพยพและปฏิบัติตามข้อสั่งการทันที ซึ่งการแจ้งเตือนภัยผ่านข้อความ SMS ขณะนี้พร้อมดำเนินการได้ทันที

ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หากมีประกาศแจ้งเตือนภัยหรือได้รับข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยจาก ปภ. ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสำนักนายกรัฐมนตรี 1111 สายด่วนมหาดไทย 1784 และ 1567 สายด่วนนิรภัย 1784 และทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จากกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT และออนไลน์ทางเพจ NBT Connext

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
FEATURED NEWS

PDPC สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ระดับนานาชาติ “ป้องกัน-ระวัง-เข้าใจ”

 

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ขานรับนโยบาย DE เดินหน้าทำงานในเชิงรุก ยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสู่ระดับสากล พร้อมสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ด้วยการเปิดเวทีระดับนานาชาติ  จัดเสวนาสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระดับนานาชาติ “PDPA International Conference 2024 : Key Global Trends in Data Privacy”  เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนชาวไทยและต่างชาติร่วมกัน “ป้องกัน-ระวัง-เข้าใจ” การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ภายใต้แคมเปญ Take Control of your Data #ตะโกนให้โลกรู้ข้อมูลส่วนตัวสำคัญที่สุด โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย PDPA จากหลายประเทศทั่วโลกเข้าร่วมเสวนาถกประเด็นข้อสงสัย พร้อมให้ข้อมูลความรู้แบบจัดเต็ม นอกจากนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในงานแถลงข่าวและร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Key Global Trends in Data Privacy”

                             

            นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DE ตระหนักถึงความสำคัญของการละเมิดข้อมูลส่วนตัวเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ทำงานในเชิงรุก เพื่อกระตุ้นให้ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลส่วนตัวที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่า ดังนั้นที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงได้วางนโยบายการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ยุคที่ธุรกิจและการตลาดขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หรือการนำ Big Data และ AI มาใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก พร้อมกับการถ่ายโอน หรือแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างประเทศ นำไปสู่การเข้าถึง และการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในมิติต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเปิดเผยหรือการใช้งานข้อมูลในทางที่ผิดทำให้เกิดการตื่นตัว และความตระหนักรู้ทั่วโลกเกี่ยวกับสิทธิในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และการบังคับใช้กฎหมายโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                             

กฎหมาย PDPA ถอดแบบมาจากกฎหมายต้นแบบอย่างกฎหมาย GDPR (General Data Protection Regulation) ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป วัตถุประสงค์ของการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่ประสงค์ดีทำการแฮ็กข้อมูลหรือละเมิดความเป็นส่วนตัว เพื่อข่มขู่หวังผลประโยชน์จากทั้งจากตัวเจ้าของข้อมูลเองหรือจากบุคคลที่ดูแลข้อมูล โดยกฎหมายนี้ได้เริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2565 เป็นกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ รูปถ่าย บัญชีธนาคาร อีเมล ไอดีไลน์ บัญชีผู้ใช้ของเว็บไซต์ ลายนิ้วมือ ประวัติสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถระบุถึงตัวเจ้าของข้อมูลนั้นได้ อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลในรูปแบบเอกสาร กระดาษ หนังสือ หรือจัดเก็บในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

 

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า เรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เราได้กำหนดแนวทางและมาตรการยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPC ดำเนินการแบบเชิงรุก ให้ความรู้ “ป้องกัน-ระวัง-เข้าใจ” การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลแก่ประชาชนทั่วไป หน่วยงานราชการ-ภาคธุรกิจที่จัดเก็บดูแลข้อมูล พร้อมกับการให้บริการสอบถาม ขอคำปรึกษา ร้องทุกข์ต่าง ๆ ในทุก ๆ ช่องทาง โดยมี Formwork ต่าง ๆ ถอดแบบมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับระดับสากล  

                             

การจัดเสวนาสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระดับนานาชาติ “PDPA International Conference 2024 : Key Global Trends in Data Privacy” ในครั้งนี้ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้ควบคุมข้อมูล ผู้ประมวลผลข้อมูล และประชาชนทั่วไป พร้อมทั้งมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทยให้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล

                             

            ทางด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวเสริมว่า การจัดเสวนาสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระดับนานาชาติ “PDPA International Conference 2024 : Key Global Trends in Data Privacy”  เป็นการเปิดเวทีนานาชาติครั้งแรก เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะในหมู่ผู้ควบคุมข้อมูล ผู้ประมวลผลข้อมูล รวมถึงประชาชนทั่วไป เพื่อยกระดับความเข้าใจในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

                             

สำหรับหัวข้อสำคัญในการสนทนาครั้งนี้ คือเรื่อง “Unlocking the Power of ASEAN Model Contractual Clauses (MCCs)” เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจเงื่อนไข และข้อกำหนดในสัญญาที่สนับสนุนการโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างราบรื่นและปลอดภัย ผู้เข้าร่วมยังจะได้รับความรู้ที่มีคุณค่าจากผู้เชี่ยวชาญในกฎหมาย เทคโนโลยี และรัฐบาลเกี่ยวกับการใช้ ASEAN MCCs อย่างมีประสิทธิภาพ และการต่อสู้กับข้อจำกัดที่ท้าทาย ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านจะรวมตัวกัน เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การบริหารความสมดุลระหว่างนวัตกรรม AI และการคุ้มครองสิทธิของบุคคล ประเมินความเสี่ยงและหาวิธีการใช้งาน AI อย่างเหมาะสม เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย PDPA

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

มาตรการใหม่ ดีอี-ปปง. 27 พ.ค. 67 ชื่อบัญชีโมบายแบงกิ้งไม่ตรงเบอร์ยุติทันที

 

 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ประชุมหารือเรื่องการกวาดล้างบัญชีม้าและเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้กระทรวง ดีอี ร่วมกับ ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เป็นระยะที่ 2 ต่อเนื่องจากระยะแรก 30 วัน (1-30 เมษายน 2567)

 

            โดยผลการประชุมที่สำคัญมีดังนี้
1. การเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า
  ปปง. ธปท. สมาคมธนาคาร กสทช. สมาคมโทรคมนาคมฯ และ ดีอี ร่วมดำเนินการ
            – ขยายผลกวาดล้างบัญชีม้า จากการใช้ข้อมูลรายชื่อเจ้าของบัญชีม้า และรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทำการปิดบัญชีธนาคารทุกธนาคาร จากชื่อบุคคลดังกล่าว โดยตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน
           – กำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิดโดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชี โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว 
          – การกวาดล้างบัญชีม้า และซิมม้าในระบบ mobile banking ที่ประชุมมอบหมายให้ กสทช.เร่งรัดตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ผูกกับระบบ mobile banking จำนวนประมาณ 106 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 120 วัน

สำหรับผลการกวาดล้างบัญชีม้าถึง 30 เมย 2567 มีดังนี้
            – ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 700,000 บัญชี แบ่งเป็น ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี AOC ระงับ 101,375 บัญชี ปปง.ปิด 325,586 บัญชี
            – ตร. ดำเนินการการจับกุมคดี บัญชีม้า-ซิมม้า เม.ย. 67 มีจำนวน 361 คน เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 187 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม – มีนาคม 2567

2. การแก้กฎหมายพิเศษเป็นการเร่งด่วน
    เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตลอดจนช่วยเหลือคืนเงินให้ผู้เสียหาย ได้มีการหารือเรื่องการแก้กฎหมายในประเด็นดังนี้
             – การเร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยที่ผ่านมาการคืนเงินให้ผู้เสียหายจากคดีออนไลน์ ต้องใช้เวลานาน หลายๆ กรณี ใช้เวลาหลายปี กว่าจะสามารถคืนเงินให้ผู้เสียหายได้
ประกอบกับ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ทาง AOC 1441 โดย ดีอี ตร. สมาคมธนาคาร ได้ร่วมมือ เร่งการระงับ/อายัด บัญชีม้าได้รวดเร็วเฉลี่ยภายใน 10 นาที และมีเงินที่ถูกอายัดได้จำนวนมาก ซึ่งในวันนี้จึงได้ประชุมพิจารณาถึงการหาวิธีคืนเงินให้รวดเร็วขึ้น โดยพิจารณาการออกกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งการคืนเงิน
             – การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล โดยถือว่าการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมในวงกว้าง จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องและคนร้ายในอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี


            นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย


            รมว.ประเสริฐฯ กล่าวเพิ่มว่า “วันนี้ เราประชุมเพื่อหามาตรการเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า และ หาวิธีคืนเงินให้ผู้เสียหายรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมได้หารือถึงการออกพระราชกำหนด เป็นกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายและเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูล ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งการปราบปรามจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้า ซิมม้า ปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงต่อเนื่อง แก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ และช่วยลดความเดือนร้อนของประชาชน”

 
 นายประเสริฐกล่าวว่า ในที่ประชุมมีความคืบหน้ามาตรการควบคุมการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการใช้เป็นช่องทางในการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งเพิ่มการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (ซีดีดี) โดยมีกระบวนการประเมินและบริหารความเสี่ยงก่อนอนุมัติเปิดบัญชีลูกค้า รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวทางการเงินจากการทําธุรกรรมของลูกค้าใหม่ จากเดิมที่มีการทำการพิสูจน์ตัวตนในการทําความรู้จักลูกค้า (เควายซี) ในการเปิดบัญชีใหม่เท่านั้น โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว
 
“ความคืบหน้าเพิ่มเติมในการกำหนดให้ลูกค้าใหม่ที่ต้องการเปิดบัญชีธนาคาร โดยกำหนดให้เจ้าของบัญชีธนาคารและหมายเลขโทรศัพท์ (ซิมการ์ด) ต้องมีชื่อระบุตรงกัน จากเดิมเมื่อเปิดบัญชีธนาคารจะใช้ซิมการ์ดไม่ตรงกันก็สามารถเปิดบัญชีใหม่ได้ เบื้องต้นได้ให้ กสทช.ดำเนินการประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และธนาคาร รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องทั้ง ปปง. ธปท. และสมาคมธนาคารไทย” นายประเสริฐกล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เทคโนโลยีเรือนเห็ดอัจฉริยะ จ.เชียงราย วิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกา

 

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) พร้อมด้วย นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีดีอี นายวัลลภ รุจิรากร เลขานุการรัฐมนตรีดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี นางสาวกรรวี สิทธิชีวภาค อธิบดีกรมอุตุอนิยมวิทยา ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ นายพรชัย หอมชื่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมผลการดําเนินโครงการระบบควบคุมความชื้นในโรงเรือนเห็ดอัจฉริยะ ของวิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกา โดยการนำเทคโนโลยี IoT: Smart Farm มาประยุกต์ใช้ควบคุมความชื้น ให้ความชื้นด้วยระบบการให้น้ำแบบพ่นหมอก และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ชุมชน

 

สำหรับวิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกา ผลิตดอกเห็ดในถุงพลาสติกหลายชนิด เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็นโคนญี่ปุ่น ฯลฯ เดิมใช้แรงงานคนรดน้ำด้วยวิธีการเปิดปั๊มน้ำและพ่นละอองออกด้วยมินิสปริงเกอร์ โดยได้ทดลองใช้ตัวตั้งเวลา (Timer) แต่ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์ในแต่ละวันไม่เท่ากัน อีกทั้งกระบวนการและละอองน้ำที่ได้จากมินิสปริงเกอร์ไม่มีความสม่ำเสมอ ทําให้เห็ดที่โดนน้ำมากฉ่ำน้ำ ขณะที่เห็ดที่โดนน้ำน้อยกรอบแห้ง ผลผลิตจึงไม่สม่ำเสมอทั้งฟาร์ม ซึ่งวิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกาได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT: Smart Farm จาก ดีป้า โดยนำมาใช้กับโรงเรือนเพาะเห็ดทั้ง 7 โรงเรือน ผ่านการควบคุมโดยระบบชุดควบคุมอัจฉริยะสําหรับระบบพ่นหมอกในโรงเรือนเห็ด

 

ทำให้เกิดผลสําเร็จของโครงการ ดังนี้
1. ลดต้นทุนค่าแรงงานลงไม่น้อยกว่า 30% คิดเป็นจํานวนเงิน 46,537.50 บาทต่อปี (โดยประมาณ)

2. ลดการสูญเสียของก้อนเห็ด ประมาณ 5-7% ของจํานวนก้อนเห็นในโรงเรือน คิดเป็น 250 – 350 ก้อน (โดยประมาณ)

3. มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 20% คิดเป็นเงิน 302,400 บาท (โดยประมาณ)

4. มีระบบ Smart Farm เห็ด 1 ระบบ บริหารจัดการ 7 โรงเรือน

 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดย ดีป้า มุ่งส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตร ทดแทนการทํางานรูปแบบเดิม การใช้เทคโนโลยีข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อจัดการด้านเพาะปลูก โดยดําเนินการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้ออกมาเป็นแนวทาง หรือวิธีการต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดการสูญเสียของผลิตผล บูรณาการการปฏิบัติงานกับกรมอุตุนิยมวิทยาในการส่งเสริมเกษตรกรให้สามารถทราบผลการพยาการณ์อากาศล่วงหน้า ช่วยเตือนภัยธรรมชาติและรับทราบข้อมูลสภาพอากาศ รวมถึง ปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าในพื้นที่ได้อย่างแม่นยํา เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการทรัพยากร ตลอดจนวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อีกทั้งต่อยอดกระบวนการและผลิตผลของชุมชนด้วยเอกลักษณ์ไทย กลายเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของประเทศได้

 

“จากการร่วมลงพื้นที่ในวันนี้ นอกจากจะได้เห็นถึงความสำเร็จของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้วยังได้เห็นโอกาสของการต่อยอดสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ อุตสาหกรรมอาหารด้วยมาตรฐานของผลิตผล รวมถึงกระบวนการการผลิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะสามารถนำมาเป็นจุดขายของชุมชน เปิดเมือง เปิดให้ทั้งชาวไทยเองและชาวต่างชาติได้เข้ามาเยี่ยมชม ท่องเที่ยว สร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านไลฟ์สไตล์แบบไทย ๆ และกลายเป็นแรงดึงดูด กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้” รมว.ดีอี กล่าวเสริม

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“ดีอี” ร่วมลงนาม ‘อาเซียน-จีน’ ยกระดับความร่วมมือด้านดิจิทัล

 

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล (Memorandum of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations and the People’s Republic of China on Co – operation in Communications and Digital Technology) ในช่วงระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลและสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะมีระยะเวลา 5 ปี มีเนื้อหาและขอบเขตความร่วมมือ อาทิ
 
1) การแลกเปลี่ยนนโยบายและกฎระเบียบด้านดิจิทัลและ ICT (Policies and Regulations) เพื่อยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
 
2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) เพื่อที่จะร่วมกันสนับสนุนการพัฒนาทางตรงและทางอ้อม
 
3) ด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technologies) ซึ่งประกอบด้วย 5G Use Cases, Artificial Intelligence, Cloud Computing, Big Data, Digital Governance, Smart Cities, และ Future Networks
 
4) ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล (Digital Security) เพื่อยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูล
 
5) ด้านทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy)
 
6) ด้านคลื่นความถี่และการบริหารจัดการคลื่นความถี่ (Radio Frequency Spectrum and Management) เพื่อยกระดับความร่วมมือในการประชุมการสื่อสารโทรคมนาคมวิทยุระดับโลกภายใต้กรอบการทำงานของสหภาพโทรคมนาคม หรือ International Telecommunication Union (ITU)
 
7) ด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลและข้อมูล (Other Fields)
 
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งอินโดนีเซีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Memorandum of Understanding between the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Communications and Informatics of Indonesia on Information and Communication Technology and Digitalization Cooperation) โดยมีนายประเสริฐ รัฐมนตรีดีอี เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน สำหรับความร่วมมือสำคัญ ประกอบด้วย บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital platform services) การกำกับดูแลบริการดิจิทัล (Digital service governance) การป้องกันปัญหาการหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ (Anti-online scamming) การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital transformation) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลส่งเสริมโอกาสและศักยภาพของประชาชนอย่างครอบคลุม (Digital inclusion) กำลังคนทางดิจิทัล (Digital manpower) และเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital economy)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ดีอี และ สตช. เตรียมจัดการซิมม้า และปราบโจรออนไลน์เด็ดขาด

 

วัน24 พฤศจิกายน 2566 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีข้อสั่งการมาที่ กระทรวง ดีอี และ สตช. ให้จัดการเรื่องซิมม้า และปราบโจรออนไลน์เด็ดขาด

และ บ่ายวันนี้ ได้มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มี รมว.ดีอี เป็นประธาน ได้มีการหารือ 4 เรื่องสำคัญดังนี้

1. การออกประกาศ เพื่อให้ผู้ครอบครองหมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือซิมการ์ด ตั้งแต่ 5 เลขหมายขึ้นไป ต้องมาลงทะเบียนแจ้งการครอบครองกับผู้ให้บริการ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการนำซิมการ์ดไปใช้ก่ออาชญากรรมออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งการออกประกาศอยู่ระหว่างการดำเนินการของ คณะกรรมการ กสทช. โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า ควรดำเนินการเรื่องนี้โดยด่วน และให้มีผลให้ต้องลงทะเบียบ ไม่เกิน 30 วันนับแต่การออกประกาศ

โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีผู้ครอบครองเลขหมายโทรศัพท์มือถือหรือซิมการ์ดตั้งแต่ 6-100 เลขหมาย จำนวนมากถึง 286,148 ราย และมีผู้ครอบครองเลขหมายโทรศัพท์มือถือหรือซิมการ์ดตั้งแต่ 101 เลขหมายขึ้นไปถึง 7,664 ราย

2. ผลการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) หรือ ศูนย์ AOC 1441 (สายด่วน 24 ชม.) วันที่ 1 – 23  พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประชาชนโทรเข้ามา 62,306 สาย สามารถระงับบัญชีธนาคารได้ถึง 5329 บัญชี มีการจับกุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 389 ราย และมีคดีใหญ่ แก๊ง call center ที่มีเงินหมุนเวียน 7,000 ลบ. ด้วย

ซึ่งผลดำเนินงานที่ผ่านมาโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ AOC สามารถช่วยเหลือประชาชนได้เป็นจำนวนมาก และสามารถอายัดบัญชี ได้เฉลี่ยเวลา 15 นาที

ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีความร่วมมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาโดยตลอด ในการเร่งดำเนินการขยายผลการจับกุม และทลายเครือข่ายบัญชีม้า/ซิมม้า โดยสืบสวนสอบสวนในเชิงลึกถึงบัญชีในขั้นตอนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด   เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนและสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯขอเตือนประชาชนในเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรมออนไลน์และขอความร่วมมือกับภาคธนาคารให้ดำเนินการอายัดรายชื่อบัญชีม้าทั้งหมดพร้อมทั้งเพิ่มกระบวนการในการตรวจสอบการเปิดบัญชีใหม่ของแก็งคอลเซ็นเตอร์ต่อไปด้วย

3. ด้านสถิติการปิดกั้นเว็บไซต์ หรือ เพจ ผิดกฎหมายโดยรวม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม  – 22 พฤศจิกายน 2566 สูงถึง 16,359 เว็บไซต์ เฉลี่ย 309 เว็บต่อวัน เพิ่มขึ้น 6 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ปิดได้เฉลี่ย 55 เว็บต่อวัน

สำหรับ การปิดกั้นเว็บพนันออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม  – 22 พฤศจิกายน 2566 ปิดได้ สูงถึง 3,120 เว็บไซต์ เฉลี่ย 66 เว็บต่อวัน เพิ่มขึ้น 12 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ปิดได้เฉลี่ย 5 เว็บต่อวัน

นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ยังได้พิจารณาเห็นชอบแผนบูรณาการประชาสัมพันธ์ภัยอาชญากรรมออนไลน์ มี 3 เป้าหมาย ประกอบด้วย

1. ประชาชนทุกคนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ และลดพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงรู้วิธีการป้องกัน และการแก้ไขปัญหา

2. ประชาชนมีเครื่องมือตรวจสอบข้อเท็จจริงในการป้องกันภัยออนไลน์

3. หน่วยงานมีความร่วมมือ และแบ่งปันทรัพยากรในการป้องกันภัยออนไลน์

“ดีอี มีความมุ่งมั่นที่จะลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ เรามีความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนในการป้องกันและปราบปรามอย่างเต็มที่ รวมถึงมีการรณรงค์ สร้างการตระหนักรู้เท่าทันภัยทางออนไลน์  รวมทั้งการสร้างเครื่องมือให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง (National Fact Checking) ” นายประเสริฐ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

ไล่ไทม์ไลน์ ศึกชิงประธานสภา เพื่อไทย-ก้าวไกล ใครคู่ควร

ไล่ไทม์ไลน์ ศึกชิงประธานสภา เพื่อไทย-ก้าวไกล ใครคู่ควร

Facebook
Twitter
Email
Print

ยังไม่ทันได้ตั้งรัฐบาลก็เริ่มเข้มข้น กับรัฐบาลเสียงข้างมาก 8 พรรค 313 เสียง ส่งครามโซเชียลก่อตัว สลับกันติดเทรนด์อันดับ 1 ระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ในการแสดงความเห็นของตัวแทนในแต่ละพรรคคุมเกมในฝ่ายนิติบัญญัติกับตำแหน่ง “ประธานสภาผู้แทนราษฎร”

ก่อนจะมาไล่เรียงถึงศึกแยกเก้าอี้ 2 พรรค นครเชียงรายนิวส์จะพามาดูว่า “ประธานรัฐสภา” สำคัญยังไง ซึ่งประธานรัฐสภาจะมีอำนาจการบรรจุญัตติเข้าสภา

ประธานรัฐสภา มีหน้าที่อะไรบ้าง
  1. เป็นประธานของที่ประชุมรัฐสภา
  2. กำหนดการประชุมรัฐสภา
  3. ควบคุมและดำเนินกิจการของรัฐสภา
  4. รักษาความสงบเรียบร้อยในที่ประชุมรัฐสภาตลอดถึงบริเวณของรัฐสถา
  5. เป็นผู้แทนรัฐสภาในกิจการภายนอก
  6. แต่งตั้งกรรมการเพื่อดำเนินกิจการใดๆ
  7. อำนาจและหน้าที่อื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ หรือตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
  8. เป็นผู้นำชื่อนายกรัฐมนตรี ขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อให้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ หลังสภาฯ มีมติเลือก
  9. เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ

ทำให้ทั้งสองพรรคมองว่าการพลักดันนโยบายสำคัญที่ได้หายเสียงเอาไว้ อย่างแรกต้องขับเคลื่อนด้วยประธานรัฐสภา จึงทำให้แต่ละพรรคออกมาแสดงว่าเห็นในครั้งนี้ เราจะไม่ไล่ไทม์ไลน์ ศึกชิงประธานสภา เพื่อไทย-ก้าวไกล ใครคู่ควร

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566

ปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ตำแหน่งที่พรรคก้าวไกลเสียไปไม่ได้เป็นอันขาดการเมือง คือ ศิลปะของการทำสิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

แต่เมื่อดุลกำลังอำนาจยังไม่เพียงพอ การประนีประนอมกันเพื่อรักษาสถานะความเป็นไปได้ของการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องจำเป็นพรรคก้าวไกลมี ส.ส. 152 คน ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว จำเป็นต้องตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคเพื่อไทยซึ่งมี ส.ส.141 คน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยปรากฏในแวดวงการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศเท่าไรนักหากพรรคก้าวไกลต้องการเป็นรัฐบาล ก็ต้องมีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วยสถานเดียว

หากไม่มีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วย ก็ไม่มีทางที่พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลสองสามวันมานี้ มีข่าวปรากฏออกมาตามสื่อมวลชนว่า พรรคเพื่อไทยขอให้พรรคก้าวไกลปล่อยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย

 

ผมเห็นว่าพรรคก้าวไกลปล่อยตำแหน่งนี้ให้กับพรรคใดๆไม่ได้การเจรจาต่อรองเพื่อกำหนดเนื้อหาใน MOU ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพรรคก้าวไกลได้ถอยในหลายประเด็น จนเหลือแต่ประเด็นที่ทุกพรรคยอมรับได้ และยอมเพิ่มอีกหลายข้อความเพื่อให้ทุกพรรคคลายความกังวลและสบายใจมากขึ้นแล้ว

 

เมื่อถึงคราวจัดสรรกระทรวงให้แต่ละพรรค พรรคก้าวไกลก็คงต้องยินยอม “เฉือน” อีกหลายกระทรวงให้กับพรรคอื่นๆ เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ โดยเฉพาะกระทรวงที่สังคมจัดให้เป็นเกรด A โดยพิจารณาจากงบประมาณและโครงการ “เป็นเนื้อเป็นหนัง”

 

เมื่อถึงช่วงเขียนนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อสภา พรรคก้าวไกลก็ต้องประสานเอาความต้องการของทุกพรรคเข้ามาไว้ด้วยกัน

 

สภาพการประนีประนอม การเจรจาต่อรอง ระหว่างพรรคการเมือง และการยอมถอยให้พรรคการเมืองอื่น จะดำเนินเช่นนี้เรื่อยไปตลอดระยะเวลาของรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาดในทางการเมือง และเป็นเรื่องปกติในรัฐบาลผสม

 

ปัญหามีอยู่ว่า พรรคก้าวไกลจะต้องถอยจนถึงเมื่อไร ต้องยินยอมถึงขนาดไหน เพื่อให้ทุกพรรคพอใจและตั้งรัฐบาลได้? และไปต่อได้? ผมเห็นว่า การประนีประนอม การเจรจาต่อรองของพรรคก้าวไกล จะต้องไม่ไปถึงขนาดที่ยกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับ ส.ส.พรรคอื่น

 

โดยทั่วไป ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็มาจาก ส.ส.ของพรรคอันดับที่หนึ่งอยู่แล้วกรณีสมัยที่แล้ว เป็นข้อยกเว้นอย่างยิ่ง เพราะ จำนวน ส.ส.ซีกรัฐบาลมีมากกว่าอีกฝ่ายไม่กี่เสียง ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องยอมเสียตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแลกกับการสนับสนุนประยุทธ์

 

ในเมื่อครั้งนี้ ใครๆต่างก็บอกว่า ประสงค์จะให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ดังนั้น กฎเกณฑ์ในการเมืองไทยที่ใช้กันในสภาวะปกติ ก็ต้องถูกนำมาปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลเสียงข้างมาก รัฐบาลรวมเสียงได้กว่า 300 ก็ถือว่ามากพอแล้ว รวมไปถึง ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฏร ต้องมาจาก ส.ส.ของพรรคอันดับหนึ่ง

 

นอกจากนี้ นโยบายของพรรคก้าวไกลที่ใช้รณรงค์หาเสียงจนได้คะแนนมากกว่า 14 ล้านเสียง หลายเรื่องต้องผลักดันผ่านสภา ต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ จึงจำเป็นต้องมี ส.ส.ของพรรคตนเองทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคุมวาระและญัตติ

 

กล่าวจำเพาะกรณีการนิรโทษกรรมในคดีความผิดเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมือง และการแก้ไข ป อาญา มาตรา 112 (ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ไม่อยู่ใน MOU และไม่อยู่ในวาระร่วมหรือนโยบายของรัฐบาลแน่ๆ) พรรคก้าวไกลก็ต้องใช้กลไกสภาในการผลักดัน หากไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรมา ก็อาจประสบปัญหาอุปสรรคได้

 

มิพักต้องกล่าวถึง พรรคก้าวไกลต้องมีคนของตนเองทำหน้าที่ประธารสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคุมเกม ใช้และตีความข้อบังคับการประชุม และกำหนดทิศทางในการประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยการประนีประนอมและการเจรจาทางการเมือง เป็นเรื่องเข้าใจได้ในการตั้งรัฐบาลผสมแต่การถอยถึงขนาดยอมยกตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พรรคอื่น เป็นเรื่องเข้าใจไม่ได้หวังว่าพรรคก้าวไกลจะพิจารณาประเด็นนี้ให้ถ้วนถี่

 

 

วันที่ 24 พฤษภาคม 2566

นายอดิศร เพียงเกษ ว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวต้องดูบุคลากรของทั้งสองพรรค ซึ่งผมคิดว่าพรรคเพื่อไทย น่าจะมีความเหมาะสมในตำแหน่งประธานสภาฯมากกว่า มาจากกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์เฟซบุ๊กส่งสัญญาณว่าตำแหน่งประธานสภาควรเป็นของพรรคก้าวไกล

โดยให้รายละเอียด ยืนยันว่าไม่ใช่การเก่งแย่ง เพราะทั้งสองพรรคเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ดังนั้นเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ตำแหน่งประธานสภาฯ ควรไปโหวตกันในสภาฯว่าพรรคไหนจะได้ เราเคารพกฎเกณฑ์ เคารพกติกา ควรมีคนที่เหมาะสมไปนั่งตำแหน่งประธานสภาฯ ให้เป็นหน้าเป็นตาไม่แพ้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารเราได้คนหนุ่มแล้ว แต่ประธานสภาฯพรรคก้าวไกลก็ไม่ควรกินรวบ เล่นสลากกินแบ่งกันหรือเปล่า ถ้าพรรคก้าวไกลยังดื้อดัน สมมุติว่าพรรคเพื่อไทยไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลก็เดินไปไม่ได้อยู่ดี ตนไม่อยากให้เกิดภาพนี้ขึ้น

พรรคเพื่อไทยยินดีสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ใช่ว่าได้ฝ่ายบริหารแล้ว จะไม่ให้พรรคอื่นไปดำรงตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งต้องดูความเหมาะสมแต่ละช่วงเวลา เช่นสมัยที่ผ่านมานายชวน หลีกภัย ได้เสียงไม่มาก ก็ยังได้ตำแหน่งประธานสภาฯ และในอดีตนายอุทัย พิมพ์ใจชน มีเพียง 3 เสียง ก็ได้เป็นประธานสภาฯ และด้วยความเคารพนายปิยบุตรถือเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล จะกินรวบทุกตำแหน่ง โดยเข้าใจว่าตัวเองเป็นเสียงข้างมาก ความเป็นจริง 152 เสียง ยังไม่เกินครึ่ง ถ้าอยากได้ทุกตำแหน่ง ต้องทำให้ได้แบบพรรคไทยรักไทย 377 เสียง ที่จะชี้เป็นชี้ตายเอาตำแหน่งไหนก็ได้

 

ในเวลาต่อมา “ก้าวไกล” ได้โพสต์ ประเด็น 3 วาระที่พรรคต้องการผลักดันในฐานะ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ผ่านเฟซบุ๊กเพจ พรรคก้าวไกล – Move Forward Party ระบุว่า พรรคก้าวไกลเดินทางบนเส้นทางการเมืองไม่ใช่เพื่อตำแหน่งหรืออำนาจ แต่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง มี 3 วาระที่สำคัญมาก ของพรรคก้าวไกลที่เราจำเป็นต้องใช้สถานะ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ในการผลักดัน มีรายละเอียดว่า

วาระแรก: เพื่อผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้า

ตลอด 4 ปี ของสภาผู้แทนราษฎรภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ 2 มีกฎหมายถูกเสนอเข้าสู่สภามากกว่า 478 ฉบับ แต่มีกฎหมายที่ผ่านสภาไปเพียงแค่ 78 ฉบับ เท่านั้น เฉลี่ยกฎหมาย 1 ฉบับใช้เวลาในการพิจารณากว่า 310 วัน และในจำนวนกฎหมาย 78 ฉบับที่ผ่าน เกือบทั้งหมดเป็นกฎหมายของ ครม. มีกฎหมายของ ส.ส. ซีกรัฐบาลผ่านเพียง 4 ฉบับเท่านั้น และไม่มีกฎหมายของภาคประชาชนที่ผ่านสภาเลย ทำให้เกิดสภาวะที่กฎหมายที่บังคับใช้อยู่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคม ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน และไม่รองรับความท้าทายใหม่ๆ ได้ดีเท่าที่ควร

กฎหมายส่วนใหญ่จาก 400 ฉบับที่ตกไป ไม่ใช่เพราะผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบ แต่กลับตกไปด้วยสาเหตุอื่น ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายที่รอบรรจุระเบียบวาระแต่ไม่ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณา 180 ฉบับกฎหมายที่ถูกประธานสภาวินิจฉัยว่าเป็นร่างกฎหมายการเงิน และนายกรัฐมนตรีปัดตกไม่นำเสนอเข้าสู่สภา 85 ฉบับ

มีกฎหมายที่สภาพิจารณาและถูกปัดตกไปจริงๆ เพียง 45 ฉบับเท่านั้น เท่ากับว่าร่างกฎหมายที่ถูกนำเสนออีก 355 ฉบับ ถูกปัดตกไปด้วยกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพ และให้อำนาจดุลพินิจแก่ประธานสภาและนายกรัฐมนตรีเพียงแค่คนใดคนหนึ่ง กลับมีอำนาจมากกว่าเจตจำนงของผู้แทนประชาชนที่เหลือ

ในสัญญาประชาคมที่พรรคก้าวไกลให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีกฎหมายอย่างน้อย 45 ฉบับของพรรคก้าวไกลที่ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร เป็นกฎหมายการเมือง 11 ฉบับ กฎหมายสิทธิเสรีภาพ 8 ฉบับ กฎหมายปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ กฎหมายปฏิรูประบบบริหารราชการ 8 ฉบับ กฎหมายบริการสาธารณะ 4 ฉบับ กฎหมายเศรษฐกิจ 4 ฉบับ กฎหมายสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ กฎหมายแรงงาน 2 ฉบับ กระบวนการนิติบัญญัติที่ก้าวหน้าจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้กฎหมายเหล่านี้ได้รับการพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพ

 

วาระที่สอง: เพื่อผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยเดินหน้าอย่างราบรื่น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นวาระสำคัญ และถูกระบุไว้ใน MOU ของพรรคร่วมรัฐบาล การทำภารกิจนี้ให้ลุล่วง จะต้องผ่านการประชุมสภาหลายครั้ง และจะมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในเนื้อหาที่มีความแหลมคม จำเป็นอย่างยิ่งที่ประธานสภาต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในการอำนวยการประชุมให้เดินหน้าไปอย่างราบรื่น เป็นที่ยอมรับของสมาชิกสภาทุกฝ่าย และนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้

 

วาระที่สาม: ก้าวไกลจะผลักดันหลักการ “รัฐสภาโปร่งใส” และ “ประชาชนมีส่วนร่วม” ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

“รัฐสภาโปร่งใส” หรือ Open Parliament จะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ อยู่ที่ประธานรัฐสภา พรรคก้าวไกลประกาศเจตจำนงแน่วแน่ว่าจะทำให้รัฐสภาไทยโปร่งใสมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนในการมีส่วนร่วมและตรวจสอบกระบวนการนิติบัญญัติ โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด

3.1 ถ่ายทอดสดการประชุมกรรมาธิการทุกคณะ ให้พี่น้องประชาชนติดตามได้ หรือหากไปไกลกว่านั้น ก็เป็นการรายงานบันทึกการออกเสียงลงมติต่างๆ ของผู้แทนราษฎรทุกคน โดยนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ เข้าถึงง่าย และรวดเร็ว เพื่อให้พี่น้องประชาชนติดตามการทำงานของผู้แทนของตนได้อย่างสะดวก ว่าในแต่ละประเด็น ผู้แทนของตนเองได้ลงมติออกเสียงไปอย่างไรบ้าง

3.2 ส่งเสริมการทำงานของสำนักงบประมาณรัฐสภา (Parliamentary Budget Office หรือ PBO) ในการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้งบประมาณแผ่นดินของหน่วยงานองค์กรต่างๆ เพื่อให้งบประมาณทุกบาททุกสตางค์นั้นจะถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชน

3.3 ตั้งสภาเยาวชน หรือ Youth Parliament (ซึ่งอาจต่อยอดจากสภาเด็กและเยาวชนที่มีอยู่) ที่ขึ้นตรงกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยกำหนดให้สมาชิกสภาเยาวชนทุกคนมาจากการเลือกตั้งของเยาวชนทั่วประเทศ และกำหนดให้ข้อเสนอใดที่สภาเยาวชนลงมติเห็นชอบ ถูกบรรจุเป็นวาระที่รัฐสภาต้องรับไปพิจารณาต่อโดยอัตโนมัติ ด้วยสถานะเทียบเท่ากับร่างกฎหมายที่ประชาชน 10,000 คน สามารถร่วมกันลงชื่อเสนอสู่สภาได้ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน

พรรคก้าวไกลต้องการให้ผู้แทนราษฎรของเราดำรงตำแหน่งประธานสภา ไม่ใช่เพื่อตำแหน่ง แต่เราต้องการอำนาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงรัฐสภาไทยให้สามารถออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ สามารถแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้จริง และเป็นรัฐสภาที่เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็ง

 

ในช่วงค่ำทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รีทวีตพร้อมกับโพสต์ข้อความสั้นๆว่า “Sound Familiar krub” (คุ้นๆนะครับ) ของนายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิก และแกนนำกลุ่มแคร์ คิด เคลื่อน ไทย โดยใช้ชื่อ twitter ว่า Duangrit Bunnag ว่า ต้องทนให้คนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อน เอาตีนถีบหน้าอยู่ทุกวันจริงหรือครับ เพื่อนที่โกหก คอยแทงข้างหลังตลอด แต่ต้องช่วยมันเพราะลำพังตัวเองมันไปเองก็ไม่รอด ไม่ช่วยมันกูก็ผิด ช่วยมันกูก็เจ็บ #ความอดทนบางทีแม่งก็มีขีดจำกัด

 

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566

หลังเกิดกระแสค่อนข้างเดือดในโซเชียลมีเดีย ทำให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทวีตข้อความ ผ่านทวิตเตอร์ @chaturon

“เรื่องระหองระแหงกับเพื่อนเป็นเรื่องน่าเห็นใจ แต่เพื่อนกับเพื่อนๆ กำลังร่วมกันทำงานใหญ่ คือการตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยตามที่ประชาชนมอบหมายมา ถ้าตั้งไม่สำเร็จก็จะเป็นประโยชน์กับการสืบทอดอำนาจเผด็จการ เพื่อนทำให้ไม่พอใจบ้างก็ต้องอดทน ถ้าความอดทนมีขีดจำกัด ก็ต้องขยายขีดความจำกัดให้ได้”

 

ศึกชิงเก้าอี้เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อศิริกัญญา ตันสกุล ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวที่พรรคก้าวไกล เรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันพรรคก้าวไกลจำเป็นต้องมีตำแหน่งประธานสถา นอกเหนือจากอำนาจบริหารก็มีความจำเป็นต้องเป็น ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติด้วย เพราะมี 3 วาระที่ต้องผลักดันตามที่โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของพรรค ซึ่ง 4 ปีที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าตำแหน่งนี้สำคัญต่อการผลักดันกฎหมายแค่ไหน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การร่างฉบับใหม่ ถ้าจะทำให้ลุล่วงต้องมีการประชุมสภาอีกหลายครั้ง ต้องมีประธานที่มีเจตนารมณ์แน่วแน่ในการแก้ (กดดูคลิปเต็มที่ภาพ)

นอกจากนี้ยังต้องผลักดันให้มีสภาที่โปร่งใส มีส่วนร่วมของประชาชน เช่นที่เราเคยผลักดันให้ถ่ายทอดสดในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในวาระที่จะทำให้โปร่งใส่ตรวจสอบได้ รวมไปถึงสภาเยาวชน ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อฟังเสียงเยาวชนที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งจะขึ้นตรงกับสำนักเลขาสภาผู้แทนราษฎร

 

เวลา 13.40 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึงวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา 8 พรรคการเมืองได้ลงนามเอ็มโอยู พรรคเพื่อไทยได้แจ้งความประสงค์ไปยังแกนนำพรรคก้าวไกลถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคก้าวไกลบอกว่าขอเวลาอีก 2-3 วัน เพื่อจะเอาคำตอบมาให้ และขณะนี้ก็รอพรรคก้าวไกลอยู่ ายประเสริฐ กล่าวว่า ตนว่ากองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่งก็ประสงค์ที่จะให้ส.ส.และแกนนำของแต่ละพรรคเป็น และหากมองอดีตที่ผ่านมาปี 62 ประธานสภาก็เป็นนายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคลำดับที่ 4 และตนมองว่าด้วยความที่เสียงใกล้กันมาก โดยเฉพาะส.ส.แบบแบ่งเขตที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้ 112 เท่ากัน เพราะฉะนั้นอยากให้มีการพูดคุยกันเพื่อหาทางออก และเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเคยประสานงานไปแล้ว จึงอยากให้บรรยากาศการทำงานเป็นไปได้ด้วยดี เพราะได้ลงนามเอ็มโอยูไปแล้ว ไม่อยากให้บางเรื่องมาเป็นอุปสรรค และกล่าวถึงน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาแถลงยืนยันว่า ตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกลจะต้องคุยกับพรรคก้าวไกลใหม่หรือไม่เพราะพรรคเพื่อไทยเคยเสนอเรื่องนี้ไปแล้ว นายประเสริฐ กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝั่งต่างออกมาพูดว่าตำแหน่งต้องเป็นของฝั่งไหน ซึ่งตำแหน่งประธานสภาเป็นตำแหน่งสำคัญ อยากให้คำนึงถึงความเหมาะสม แต่ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ยอมพรรคเพื่อไทยก็คงต้องกลับมาหารือกันอีกครั้งว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร หรือกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยจะว่าอย่างไร

พรรคเพื่อไทย (พท.) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์พรรคพท. ถึงกรณีเก้าอี้ประธานสภาฯ ระบุว่า “ประธานสภาฯมีหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาฯ และเปิดทางผลักดันทุกนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลให้สำเร็จ ไม่ใช่ผลักดันวาระของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น ปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลผสมมีภารกิจสำคัญในเอ็มโอยูร่วมกัน ไม่ว่าประธานสภาฯจะเป็นใคร มาจากพรรคใด ก็ต้องทำภารกิจร่วมกันให้บรรลุเป้าหมายยังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวงการเจรจาพรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การจัดสรรตำแหน่งจะคำนึงถึงความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก หากจะยกกรณีที่พรรค พท. ชนะการเลือกตั้ง ชนะโหวตทั้งนายกรัฐมนตรี และประธานสภาฯมาโดยตลอดไม่มีพรรคอันดับสองได้ นั่นเป็นเพราะ พรรค พท. ชนะเลือกตั้งเด็ดขาด ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฏร จึงชนะโหวตด้วยเสียงของ ส.ส.และผู้สนับสนุน 

 

ในกรณีนี้ เราชนะมาด้วยกันก็ควรทำงานร่วมกันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะพรรรคร่วมรัฐบาล หลีกเลี่ยงที่จะใช้มวลชนกดดัน แต่ควรหาทางทำภารกิจเพื่อประชาชนร่วมกันให้สำเร็จประเทศจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด”

อย่างไรก็ตาม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 และ 119 ระบุว่าประธานสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง โดยเป็นประธานของ ส.ส.ทั้งสภา ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลด้วย

 

หลังจากนี้ต้องมาติดตามว่าเก้าอี้ประธานสภาจะเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกล

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE