Categories
CULTURE

ชาติพันธุ์ล้านนา Soft Power ดันเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จุดประกาย Soft Power เชื่อมชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 16 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือได้นำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างรายได้และความยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน

ภายในงานมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ การสาธิตงานหัตถกรรม และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

Soft Power พื้นถิ่น สู่นโยบายระดับชาติ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของไทยที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ นอกจากสร้างรายได้ให้ชุมชน ยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จึงเป็นมากกว่างานแสดงวัฒนธรรม เพราะเป็นการต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มที่สนใจวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม และประสบการณ์เฉพาะถิ่น

ล้านนาแหล่งวัฒนธรรมที่ยังไม่สิ้นแสง

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม ทั้งจากมรดกทางประวัติศาสตร์ ประเพณี ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และอาหารท้องถิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year)

กิจกรรมในครั้งนี้ จึงเน้นการยกย่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในรูปแบบร่วมสมัย สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตจริงของชุมชน ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

สร้างเวทีให้ชุมชนมีบทบาทในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นายจักรพล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในรูปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวในอนาคต

ในโอกาสนี้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเชื่อมโยงชุมชน เครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างงดงามและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

วิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและลบ

ด้านบวก

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนสามารถนำสินค้าหัตถกรรมมาจำหน่าย เพิ่มรายได้
  • สร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ล้านนา สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
  • ยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยว

ด้านลบ (ข้อควรระวัง)

  • หากขาดการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
  • ความเสี่ยงในการทำลายอัตลักษณ์แท้ของชาติพันธุ์จากการดัดแปลงเพื่อตอบโจทย์ตลาด
  • ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนจริง ไม่เน้นเพียงภาพลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเพื่อการตลาดเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การตีความวัฒนธรรม และการสื่อสารภาพลักษณ์ให้น่าสนใจภายใต้บริบทความเป็นไทยอย่างแท้จริง

การสนับสนุนควรมุ่งสู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ในระยะยาว ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐ และส่งเสริมการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทยกว่า 12.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีเดียวกัน
  • จากรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างรายได้รวมกว่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2567
  • พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน มีจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า 320 ชุมชน ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลปี 2566 จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • งานวิจัยเรื่อง “Soft Power ไทยกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายยกระดับชุมชน พัฒนาสินค้า บริการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เดินหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพสุดยอดชุมชนคุณธรรมและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ประจำปี 2568

เชียงราย, 7 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายชุมชนยลวิถี เดินหน้าพัฒนาศักยภาพชุมชนและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand: CPOT) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมุ่งยกระดับชุมชนท้องถิ่นให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมผลักดันผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับเป็น Soft Power ของจังหวัด

กิจกรรมจัดขึ้น ณ ห้องประชุมวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยได้รับเกียรติจาก พระไพศาลประชาทร วิ. (ท่านเจ้าคุณพบโชค ติสสวังโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการและกล่าวสัมโมทนียกถา รวมทั้งมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการและวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ พร้อมต้อนรับเครือข่ายจากชุมชนยลวิถีหลากหลายพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

ยกระดับ CPOT สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่

วัตถุประสงค์สำคัญของโครงการในปีนี้ มุ่งเน้นการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยของชุมชน ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถเชื่อมโยงกับกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้ส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์ CPOT ให้สามารถตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเน้นการออกแบบ การเล่าเรื่อง การสื่อสารคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่กับมิติความงามและการใช้งานของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตปัจจุบัน

สุดยอดชุมชนคุณธรรม 4 ปีซ้อน ร่วมกิจกรรมเต็มรูปแบบ

ภายใต้โครงการครั้งนี้ มีชุมชนต้นแบบและเครือข่ายเข้าร่วมรวม 7 กลุ่ม ได้แก่

  1. ชุมชนยลวิถีบ้านศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2564)
  2. ชุมชนยลวิถีบ้านเมืองรวง อำเภอเมืองเชียงราย (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2565)
  3. ชุมชนยลวิถีวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2566)
  4. ชุมชนยลวิถีวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย (สุดยอดชุมชนฯ ปี 2567)
  5. ชุมชนยลวิถีบ้านสันทางหลวง อำเภอแม่จัน (สุดยอดชุมชนระดับจังหวัด ปี 2568)
  6. เครือข่ายผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT จังหวัดเชียงราย
  7. เครือข่ายนักเรียนนักเล่าเรื่อง โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม

รวมจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 60 คน ครอบคลุมทั้งผู้ผลิต นักพัฒนา นักการศึกษา และเยาวชนในพื้นที่

กิจกรรมพัฒนาศักยภาพและต่อยอดองค์ความรู้เชิงสร้างสรรค์

กิจกรรมสำคัญภายในโครงการประกอบด้วย

  • การบรรยายเรื่อง “การเป็นเจ้าบ้านที่ดี” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐรกานต์ คำใจวุฒิ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย เพื่อยกระดับมาตรฐานการต้อนรับนักท่องเที่ยวของชุมชนให้มีความพร้อมทั้งด้านทัศนคติและการให้บริการ
  • การบรรยายเรื่อง “การพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนา CPOT ให้เชื่อมโยงกับตลาดและสามารถสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจน

แนวโน้ม CPOT เชียงราย จากท้องถิ่นสู่สากล

จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพสูงในด้านผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม เช่น งานหัตถกรรมไม้สัก ผ้าทอพื้นเมือง สมุนไพร ภูมิปัญญาอาหาร รวมถึงผลิตภัณฑ์เชิงศิลปะที่มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาเข้าสู่ระบบ CPOT อย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงกับเทศกาลวัฒนธรรม การประกวด และงานแสดงสินค้าระดับประเทศ

การสนับสนุนของกระทรวงวัฒนธรรมและความร่วมมือของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ กำลังผลักดันให้เชียงรายเป็น “ต้นแบบการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงคุณภาพ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ตามนโยบาย Soft Power ระดับชาติ

วิเคราะห์และข้อเสนอเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากการดำเนินโครงการและผลการมีส่วนร่วมของชุมชน พบว่าความสำเร็จของ CPOT ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. คุณภาพของผลิตภัณฑ์ – ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานทั้งในด้านวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และความปลอดภัย
  2. เรื่องราวและอัตลักษณ์ – ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จคือผลิตภัณฑ์ที่สามารถสื่อสารเรื่องราวของชุมชนได้อย่างชัดเจน
  3. ช่องทางการตลาด – จำเป็นต้องมีการจัดจำหน่ายทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ พร้อมกลยุทธ์การสื่อสารที่ทันสมัย

ดังนั้น การสร้างระบบสนับสนุนครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบ การบรรจุภัณฑ์ การทำตลาด และการติดตามผลอย่างเป็นระบบ จึงเป็นแนวทางที่ต้องดำเนินควบคู่กันไป

สถิติและข้อมูลประกอบข่าว

  • จังหวัดเชียงรายมี ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT จำนวนกว่า 128 รายการ ที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงวัฒนธรรม (ข้อมูลปี 2567)
  • จำนวนชุมชนคุณธรรมในจังหวัดเชียงรายรวมทั้งสิ้น 182 ชุมชน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • การท่องเที่ยวในชุมชนยลวิถีในจังหวัดเชียงรายปี 2566 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 170,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 65 ล้านบาท
  • ผลิตภัณฑ์ CPOT ที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้น ร้อยละ 18 ในปี 2566 (ข้อมูลจากระบบติดตามของกระทรวงวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงวัฒนธรรม, ระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT Database)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ลาบเมืองเหนือใครสุด เชียงรายแข่งครั้งแรก ชวนกินสุกปลอดภัย

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568”

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ล้านเมืองไนท์มาร์เก็ต จังหวัดเชียงราย ตลาดล้านเมืองได้จัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568” โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไปตลาดล้านเมือง กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดทีมลาบ” เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์สล่าลาบคนแรกของตลาดล้านเมือง โดยรางวัลสูงสุดเป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศจากนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท รายชื่อทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย 1. ทีมลาบตาลตะวัน 2. ทีมลาบโสภี 3. ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย) 4. ทีมเสน่ห์ลาบ 5. ทีมแจ๊คคาราบาว 6. ทีมลาบลุงพันธ์ 7. ทีมดาขันข้าว 8. ทีมป้อหลวงตั้ม 9. ทีมลาบไว้ลาย และ 10. ทีมลาบป่าบงหลวง

คณะกรรมการและผลการแข่งขัน

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  2. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  3. คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  4. คุณณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  5. คุณไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไป (ตลาดล้านเมือง)
  6. ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  7. คุณกิตติ โชติชินสิริ ผู้จัดการร้านลาบลุงน้อย
  8. คุณพรศักดิ์ นันตะรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ (ตลาดล้านเมือง)
  9. คุณภัทราพร พวงมาลา หัวหน้าฝ่ายล้านเมืองไนท์วิลเลจและการตลาดประชาสัมพันธ์

ผลการแข่งขันมีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบตาลตะวัน
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมเสน่ห์ลาบ
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมแจ๊คคาราบาว
  • รางวัลลาบลีลา: ทีมดาขันข้าว
  • รางวัลชมเชย: ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย)
  • รางวัลประกาศนียบัตร: ทีมป้อหลวงตั้ม, ทีมลาบลุงพันธ์, ทีมลาบไว้ลาย, ทีมลาบป่าบงหลวง และทีมลาบโสภี

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของล้านนา โดยเฉพาะเมนูลาบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานนักวิชาการวัฒนธรรม ได้แก่ นายสุพจน์ ทนทาน, นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง ได้เข้าร่วมงานเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสุขภาพของชุมชน

วัฒนธรรมการกินดิบ ความนิยมที่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเมนูลาบดิบ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งมองว่าการกินดิบเป็นทั้งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของล้านนา ความเผ็ดร้อนและรสชาติที่เข้มข้นของลาบดิบ รวมถึงความรู้สึกถึงความดั้งเดิม ทำให้เมนูนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล ซึ่งพบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ดังนั้น การรักษาความสวยงามของวัฒนธรรมการทำลาบพื้นบ้านไว้ โดยปรับเปลี่ยนให้ปลายทางเป็นเมนูที่ปรุงสุก จึงเป็นทางเลือกที่สามารถคงเอกลักษณ์ของรสชาติและวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพในเวลาเดียวกัน

กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ภายในงานนี้ยังมีการรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชิญชวนให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากเมนูดิบสู่เมนูที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ แคมเปญนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามการกินดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ทุกคนลองลดการบริโภคอาหารดิบ และทดลองนำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเป็นลาบสุกโดยนำเนื้อไปย่างหรือต้มให้สุกก่อน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงความสวยงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือความอร่อยของเมนูพื้นบ้าน เมนูอย่างแหนมหมกไข่ หรือก้อยดิบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเมนูสุกได้ เช่น การนึ่งหรืออบ ซึ่งยังคงรสชาติที่เข้มข้นและถูกปากคนไทยไว้เช่นเดิม

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงความอร่อยแบบที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะช่วยจุดประกายให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจสุขภาพ โดยไม่ต้องละทิ้งวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา” ตัวแทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยสะสมกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป็นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ผสานทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมสุขภาพอย่างลงตัว เพื่อให้คนไทยทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้าน ได้รับประโยชน์ทั้งจากรสชาติที่คุ้นเคยและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE