Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โปร่งใสกว่าเดิม อำเภอแม่สายเปิดให้ยื่นขอสัญชาติโดยตรงหลังมีข่าวร้องเรียนเรื่องเรียกรับเงิน

ที่ว่าการอำเภอแม่สายปฏิรูประบบ “ยื่นขอสัญชาติไทย” เปิดทางประชาชนเข้าถึงบริการตรง ลดทุจริต-เพิ่มความโปร่งใส

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การขอสัญชาติไทยในพื้นที่ชายแดนไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง และมีประชาชนจำนวนมากยังขาดสถานะทางทะเบียนหรือสถานะทางสัญชาติ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการของรัฐ

ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยว่า ต้องผ่านตัวกลางอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บางรายที่อาจเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของคนที่ต้องการเพียงแค่ “การรับรองว่าเขาคือคนไทย”

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศฉบับสำคัญที่อาจถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของระบบราชการชายแดน” โดยระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยจะต้อง “เดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองเท่านั้น” ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และขอรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้นำชุมชนอีกต่อไป เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเสียงร้องเรียน สู่การปรับระบบ

การประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีที่มาจากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งในโซเชียลมีเดียและการยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่ามีการเรียกรับเงินในการดำเนินเรื่องสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้สถานะซึ่งอยู่ในสถานะเปราะบางและเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในระดับอำเภอ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยนายวรายุทธ  ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ที่ได้เร่งสั่งการเปิด “ห้องสถานะบุคคลและสัญชาติ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และจัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ OSS (One Stop Service) เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ โดยไม่ต้องผ่านระบบเดิมที่เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใส

ระบบใหม่ชัดเจน โปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อำเภอแม่สายได้วางแนวทางดำเนินการไว้ 3 ประการหลัก ได้แก่:

  1. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง: ผู้มีความประสงค์ต้องเดินทางมาด้วยตนเองและรับบัตรคิวที่อำเภอ โดยไม่มีการลงชื่อจองคิวล่วงหน้า
  2. จำกัดจำนวนผู้ยื่นคำร้อง: เปิดรับเพียง 50 รายต่อวัน โดยเริ่มแจกคิวเวลา 08.00 น. เพื่อควบคุมปริมาณและรักษาคุณภาพของการบริการ
  3. ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ: มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบเอกสาร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้กระจายจุดบริการ OSS ไปยังตำบลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและกระจายภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • ห้องทะเบียนราษฎร: สำหรับตำบลแม่สายและเกาะช้าง
  • อาคาร OSS กลาง: สำหรับตำบลเวียงพางคำและโป่งงาม
  • สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยไคร้: สำหรับตำบลห้วยไคร้และบ้านแซว

วิเคราะห์มิติของการเปลี่ยนแปลงก้าวใหม่ของระบบราชการไทย

  1. การต่อสู้กับทุจริตระดับรากหญ้า

การที่อำเภอแม่สายตัดระบบ “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการรับคำร้อง คือการหักวงจรแห่งการเรียกรับผลประโยชน์อย่างจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติจริงจังตามนโยบายของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับท้องถิ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ “กลไกจากข้างล่าง” มาสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ

  1. ยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การได้สถานะทางทะเบียนและสัญชาติไทย หมายถึงสิทธิในการได้รับการรักษาในระบบสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา และการเข้าถึงสวัสดิการอื่น ๆ จากรัฐ สำหรับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศมานานโดยไม่ได้รับสถานะ สิ่งนี้คือการ “เปลี่ยนชีวิต” อย่างแท้จริง

  1. นวัตกรรมการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ

การนำระบบ OSS มาใช้ เป็นสัญญาณว่า ราชการในระดับอำเภอกำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และมีแนวโน้มขยายแนวทางนี้ไปยังอำเภออื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มศักยภาพของกลไกรัฐ

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากความหวัง สู่ความเป็นจริง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มเป้าหมาย 37,987 ราย ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน บางรายเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนหรือทะเบียนบ้าน การได้สัญชาติไทยอย่างถูกต้องคือการได้ตัวตนทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ เช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และนักพัฒนาสังคม ก็จะสามารถทำงานช่วยเหลือผู้ไม่มีสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้

ข้อคิดและแนวทางในอนาคต

แม้การปฏิรูประบบในครั้งนี้จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีในการนำระบบราชการให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น การตัดวงจรการทุจริตด้วยนโยบายเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐได้โดยตรง คือแนวทางที่ควรได้รับการยกย่องและขยายผลในระดับนโยบาย

หากหน่วยงานอื่นในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการในระดับรากฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

จับตา อบจ.-เทศบาล ACT ชี้ ‘งานผู้ใหญ่’ ช่องทางโกง ทำรัฐเสียหาย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เตือนจับตา “อบจ.-เทศบาล” ทั่วประเทศ หวั่นซ้ำรอยโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ เผยช่องทางคอร์รัปชันดูดงบฯ สาธารณะ หลังเงินเลือกตั้งสะพัด 2-4 หมื่นล้าน

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศทั้งอบจ.และเทศบาล กว่า 2,500 แห่ง กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคผู้บริหารท้องถิ่นชุดใหม่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนและสังคมร่วมกันจับตาการใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หลังจากมีผลวิจัยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ว่า จะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 20,000–40,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินมหาศาลนี้มักจะกลายเป็นต้นทุนทางการเมืองที่กลุ่มอิทธิพลพยายามถอนทุนคืนผ่านกลไกของโครงการสาธารณะหลากหลายประเภท

จุดเสี่ยงโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ–เงินภาษีสูญเปล่า

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาโครงการรัฐที่ “ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” เป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมคอร์รัปชันและความไร้ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณในประเทศ ที่พบเห็นได้ตั้งแต่ศูนย์โอทอป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงน้ำดื่มประชารัฐ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงสนามกีฬา ฯลฯ เหล่านี้ต่างใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นทุนสร้าง หากแต่ท้ายที่สุดกลับต้องกลายเป็นอนุสรณ์ของความล้มเหลวหรือช่องทางทุจริตซ้ำซาก

ขณะที่ผลวิจัยชี้ว่า งบประมาณที่สูญเปล่าจากโครงการเหล่านี้รวมกันอาจสูงนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ภาครัฐก็ยังไม่สามารถระบุจำนวนโครงการที่ถูกทิ้งร้างได้อย่างชัดเจน เพราะขาดระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญอีกประการ คือ การเมืองท้องถิ่นที่ถูกอิทธิพลของกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ครอบงำ ทั้งจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้า และผู้รับเหมาที่ร่วมวางแผนจัดซื้อจัดจ้าง และจ่ายเงินทอนอย่างเป็นระบบ

รูปแบบทุจริต“โครงการเพื่อใคร–ใครได้ประโยชน์”

การสร้างโครงการรัฐในท้องถิ่นส่วนใหญ่ มักใช้วิธีการ copy-paste หรือ “ก๊อบโครงการ” จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีการศึกษาความต้องการที่แท้จริง เช่น ระบบประปา เตาเผาขยะ โรงไฟฟ้า สนามกีฬา หรือแม้แต่ศูนย์เรียนรู้ ฯลฯ หลายกรณีเป็นผลจากแรงกดดันจากส่วนกลาง หรือการวางแผนของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำหนดผู้รับเหมาและขบวนการเงินทอนเรียบร้อยตั้งแต่ต้นทาง ทำให้มักเกิดการลดสเปก ตัดเนื้องานหรือหากขบวนการผิดพลาด ผู้รับเหมาขาดทุนจนต้องทิ้งงานไว้กลางทาง

อีกส่วนหนึ่งของโครงการที่เป็น “งานของผู้ใหญ่” หรือโครงการขนาดใหญ่ในระดับจังหวัด มักถูกล็อกสเปกหรือเขียน TOR ให้เฉพาะเจาะจง เช่น กรณีอควาเรียมหอยสังข์ที่สงขลา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในป่าสงวน โครงการสนามฟุตซอล 37 แห่ง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ใช้งบประมาณมหาศาลและเมื่อเกิดปัญหาก็ยากจะหาผู้รับผิดชอบ

ความมักง่าย+ผลประโยชน์ทับซ้อน

นอกจากทุจริตโดยตรงแล้ว ความมักง่ายและขาดการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญ หลายโครงการเกิดขึ้นโดยไม่ถามความต้องการของชุมชน ไม่ศึกษาความเป็นไปได้ หรือเลือกที่ดินที่ห่างไกลชุมชน พอสร้างเสร็จก็กลายเป็นภาระในการบริหารจัดการต่อ หรือต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมเพิ่มเติม จนกลายเป็น “ภาระงบฯ บานปลาย” ไปในที่สุด ขณะที่โครงการบางประเภท เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการถูกยุบ เช่น สิ่งปลูกสร้างรองรับสถานการณ์โควิด ก็กลายเป็นอาคารร้างใช้ประโยชน์เพียงครั้งเดียว

ศรัทธาประชาชนและทรัพยากรประเทศถูกทำลาย

แม้จะมีการร้องเรียนและตรวจสอบโดย สตง. หรือ ป.ป.ช. บ้าง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ หรือกระบวนการตรวจสอบที่ยาวนาน ขณะที่ผลวิจัยระบุว่าคนใน อปท. กว่า 21% ยอมรับว่าเคยพบเห็นการทุจริตในองค์กร แต่มีเพียง 4% ที่กล้าร้องเรียน ปัญหาเหล่านี้ตอกย้ำภาพว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนงบประมาณ แต่กลับสูญเสียโอกาสพัฒนาจากคอร์รัปชันและการบริหารจัดการที่ล้มเหลว

ทางออกร่วมตรวจสอบ–เพิ่มกลไกภาคประชาชน

ล่าสุด สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณและโครงการรัฐผ่าน Government Innovation Lab และกลไกคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสและกระตุ้นภาคประชาชนให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล ตั้งแต่การเริ่มโครงการจนสิ้นสุด

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็น “หูเป็นตา” ติดตาม ตรวจสอบ และรายงานข้อสงสัยในทุกขั้นตอนของโครงการท้องถิ่น เพื่อให้เงินภาษีของประชาชนถูกใช้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดการเกิด “โครงการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” ที่บั่นทอนศรัทธาและความมั่นคงของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

“งบกลาง” 1.2 แสนล้าน โปร่งใสไร้คอร์รัปชัน?

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เตือนรัฐ! “งบกลาง” เสี่ยงทุจริตสูง จี้ออกมาตรการสร้างโปร่งใสด่วน

ประเทศไทย, 4 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยมีการจัดสรร “งบกลาง” วงเงินมหาศาลกว่า 6.32 แสนล้านบาท องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกโรงเตือนภัยสังคมผ่านบทความและสื่อโซเชียล ถึงความเสี่ยง “สูงมาก” ต่อการทุจริต การใช้จ่ายไม่คุ้มค่า และความไม่โปร่งใส โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลควรเร่งปฏิรูปมาตรการกำกับดูแลงบกลางให้เกิดความโปร่งใส พร้อมเสนอแนะแนวทางที่ควรเร่งดำเนินการ ก่อนที่ปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณโดยไร้ประสิทธิภาพจะกลายเป็นวิกฤตซ้ำรอยอดีต

งบกลาง” กับกับดักคอร์รัปชัน จุดเปราะบางของงบประมาณแผ่นดิน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่บทความเตือนภัยสังคมผ่านเพจทางการ โดยเน้นย้ำถึงความอ่อนไหวของ “งบกลาง” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.23 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 และยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก

งบกลาง” กลายเป็นแหล่งงบประมาณที่ง่ายต่อการอนุมัติ ใช้จ่ายโดยไม่ต้องมีแผนล่วงหน้า โครงการส่วนใหญ่มักข้ามขั้นตอนตรวจสอบของรัฐสภา และให้อำนาจดุลพินิจกับฝ่ายบริหารโดยตรง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การใช้จ่ายที่ขาดความโปร่งใส มีโอกาสสูงที่จะเกิดการบิดเบือนและทุจริต” นายมานะระบุ

3 ปัจจัยเสี่ยง งบกลางไทยทำไม “โกงง่าย”

  1. ความยืดหยุ่นสูง ขาดแผนล่วงหน้า
    งบกลางไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดโครงการล่วงหน้า อนุมัติได้ง่ายและรวดเร็ว โครงการที่ผ่านมักไม่ได้เข้าสู่การกลั่นกรองหรือตรวจสอบโดยรัฐสภาเหมือนงบประมาณปกติ
  2. ดุลพินิจสูง อยู่ในมือผู้มีอำนาจ
    แม้กฎหมายจะกำหนดให้เสนอผ่าน ครม. แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองหลัก เปิดช่องให้เกิดการจัดสรรงบประมาณตามผลประโยชน์กลุ่มหรือพวกพ้อง
  3. ข้ออ้างฉุกเฉิน เปิดช่องจัดซื้อพิเศษ
    การอ้าง “ภาวะฉุกเฉิน” หรือ “เร่งด่วน” ทำให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้ง่ายขึ้น ลดระยะเวลาตรวจสอบ เพิ่มโอกาสหลบเลี่ยงมาตรฐานความโปร่งใส

ตัวอย่างเช่น งบกลางฉุกเฉินในอดีตเคยถูกนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบป้องกันไฟป่า ตลอดจนงบราชการลับหรือโครงการเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ติดตาม เช่น ขุดลอกคูคลอง หรือปลูกต้นไม้ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงในการถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์

บทเรียนอดีต งบกลางกับคดีทุจริต

ในอดีตเคยมีโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรมวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งอนุมัติจากงบกลางและกระจายไปให้มหาวิทยาลัย 4 แห่งในภาคอีสาน ปัจจุบันกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกำลังถูกดำเนินคดีโดยดีเอสไอ หลังพบพฤติกรรมทุจริตและใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

ไม่เพียงเท่านี้ การใช้งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ยังตกอยู่ภายใต้ข้อสังเกตว่าอาจถูกเร่งรัดโดยขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ หลายโครงการถูกนำเสนอเพราะถูกตัดทิ้งจากการพิจารณางบประมาณปกติหรือเป็น “โครงการแฟ้มเก่า” ที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ จึงมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นโครงการที่ฟุ่มเฟือย ไม่ตรงกับภารกิจหน่วยงาน หรือไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

ตัวอย่างที่ถูกตั้งคำถาม เช่น งบ 50 ล้านบาทในจังหวัดระยอง สำหรับสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว หรือการติดตั้งเสาไฟในถนนสายรองที่ขาดความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์

มาตรการกำกับดูแลที่ควรเร่งดำเนินการ

นายมานะ นิมิตรมงคล เสนอแนะแนวทางแก้ไขไว้ว่า

  • รัฐบาลต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน กำกับทุกโครงการที่ใช้งบกลางว่าเป็นไปตาม “ความจำเป็นจริง”
  • เปิดเผยทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ ให้สื่อและประชาชนเข้าตรวจสอบได้เสรีและทันที
  • ต้องมีระบบประเมินผลหลังการใช้จ่าย ให้ชัดเจนว่าตรงวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
  • หากเกิดทุจริตต้องมีการเอาผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสังคม

ความโปร่งใสคือคำตอบ

ปัญหางบกลางมิใช่เพียงเรื่องทุจริตเชิงระบบ หากแต่เกี่ยวพันกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล การใช้งบกลางที่ขาดโปร่งใสไม่เพียงทำลายระบบราชการ ยังบั่นทอนศรัทธาต่อรัฐไทยทั้งระบบ การปฏิรูประบบงบประมาณกลางให้โปร่งใส ตรวจสอบได้จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ACT: www.anticorruption.or.th
  • กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ทุจริตซ้ำซาก ครม. สั่งคุมเข้ม คนโกง ห้ามคืนสู่ระบบราชการ

ครม.ไฟเขียวมาตรการป้องกันทุจริต บล็อกข้าราชการทุจริตคืนสู่ระบบ

แนวทางใหม่เพื่อคัดกรองบุคลากรราชการ

ประเทศไทย,วันที่ 22 เมษายน 2568 – ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ศศิกานต์ วัฒนจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตในการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยถูกให้ออกจากราชการจากกรณีทุจริตกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

มอบสำนักงาน ก.พ. ขับเคลื่อนมาตรการร่วมหน่วยงานกลาง

นอกจากนี้ ครม. ยังได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) รับเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของรัฐ หน่วยงานกฎหมาย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อนำไปสู่ข้อยุติในการปฏิบัติร่วมกัน โดยต้องสรุปผลและส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน

แนวทางคัดกรองบุคลากรที่เคยทุจริต

ตามข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอที่ชัดเจนให้มีการใช้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นแนวทางหลักในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของรัฐ โดยเสนอให้ระบุชัดเจนว่า ข้าราชการที่เคยถูกให้ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตถือเป็น “ลักษณะต้องห้าม” ไม่สามารถกลับเข้ารับราชการหรือเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐได้อีก

บังคับใช้ทั่วทุกหน่วยงานรัฐ

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. กำหนดให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐทุกประเภท โดยให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีบทลงโทษต่อผู้บังคับบัญชาที่ฝ่าฝืน เช่น กรณีรับผู้ที่เคยกระทำทุจริตกลับเข้ารับราชการ

ขอความร่วมมือใช้แนวทางเดียวกันทั่วประเทศ

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมติ ก.พ. ลงวันที่ 23 กันยายน 2556 เรื่องการบรรจุบุคคลผู้เคยกระทำผิดวินัยฐานทุจริตกลับเข้ารับราชการ มาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้เกิดการแต่งตั้งบุคคลที่เคยกระทำผิดเข้าระบบราชการอีก

บังคับใช้ตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ การเสนอแนวทางเหล่านี้ เป็นไปตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจในการเสนอแนะมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ

ครม.ต้องตอบกลับภายในกรอบเวลา

เมื่อ ครม. ได้รับแจ้งข้อเสนอจาก ป.ป.ช. หากมีเหตุไม่สามารถดำเนินการได้ จำเป็นต้องแจ้งเหตุผลและอุปสรรคให้ ป.ป.ช. ทราบภายใน 90 วัน ซึ่งในกรณีนี้ครบกำหนดวันที่ 8 มิถุนายน 2568

จุดยืนของรัฐบาลต่อปัญหาทุจริต

มาตรการดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลปัจจุบันมีจุดยืนที่เข้มงวดต่อปัญหาการทุจริตในระบบราชการ โดยการป้องกันการกลับเข้ารับราชการของผู้กระทำผิดในอดีต ถือเป็นการเสริมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของระบบราชการไทย

ประเด็นถกเถียงและการวิเคราะห์

ในแง่มุมของนักวิชาการ บางฝ่ายตั้งคำถามถึงความสมดุลของมาตรการนี้ ระหว่างการป้องกันทุจริต กับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิในการกลับตัวหรือได้รับโอกาสครั้งที่สอง ในขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนมองว่าหากไม่กำหนดแนวทางชัดเจน ระบบราชการอาจกลายเป็นแหล่งรวมผู้มีประวัติไม่โปร่งใส และกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนในระยะยาว

ตัวอย่างนโยบายใกล้เคียงในต่างประเทศ

ประเทศอย่างสิงคโปร์และเกาหลีใต้ต่างมีแนวทางคล้ายกันในการจำกัดโอกาสของข้าราชการที่เคยกระทำผิดทางวินัยให้กลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง โดยถือเป็นหลักการพื้นฐานในการควบคุมคุณภาพบุคลากรภาครัฐ

แนวโน้มในอนาคตของระบบบริหารงานบุคคล

นักวิเคราะห์ชี้ว่า หากมาตรการนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการทั่วประเทศ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการคัดเลือกบุคลากรภาครัฐ และอาจนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายด้านระเบียบราชการให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากสำนักงาน ก.พ. ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2560 – 2567 มีข้าราชการที่ถูกให้ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตมากกว่า 2,100 ราย
  • รายงานจาก ป.ป.ช. ระบุว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว มีการร้องเรียนข้าราชการกระทำผิดวินัย รวม 527 กรณี
  • จากผลสำรวจโดยสำนักงาน ก.พ. ในปี 2566 ประชาชนกว่า 78.2% สนับสนุนนโยบายห้ามบรรจุข้าราชการที่เคยทุจริตกลับเข้าสู่ระบบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)
  • คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • ราชกิจจานุเบกษา
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  • ThaiPBS, Bangkok Post (รายงานข่าวย้อนหลังเกี่ยวกับการบรรจุข้าราชการทุจริต)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ตึกถล่ม ACT ชี้พิรุธ สตง. ยันโปร่งใส

อาคาร สตง. ถล่มจากแผ่นดินไหว ACT ชี้ข้อผิดสังเกตการก่อสร้าง สตง. ยันโปร่งใสตามข้อตกลงคุณธรรม

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13:20 น. ส่งผลกระทบรุนแรงถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท พังถล่มลงมาทั้งหมด สร้างความเสียหายอย่างหนัก และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพการก่อสร้างและการบริหารจัดการโครงการ โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเปิดเผยข้อสังเกตเกี่ยวกับความล่าช้าและปัญหาการก่อสร้าง ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสภายใต้ “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”

ความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสถานการณ์ล่าสุด

เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้อาคาร สตง. แห่งใหม่ ซึ่งมีความสูง 30 ชั้น และตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ 3 งาน ถล่มลงมาทั้งหมด โดยศูนย์นเรนทร สถานบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) รายงานเมื่อเวลา 15:07 น. วันที่ 29 มีนาคม 2568 ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 50 ราย ซึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียชีวิต 1 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ในซากอาคารจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ตามข้อมูลจากหัวหน้าคนงานในพื้นที่ ขณะนี้หน่วยกู้ภัยและทีมวิศวกรกำลังเร่งปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยแข่งกับเวลาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียเพิ่มเติม

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 พร้อมระบุว่า ยังคงตรวจพบสัญญาณชีพของผู้สูญหาย 15 ราย ในระดับความลึกประมาณ 3 เมตรใต้ซากอาคาร และได้สั่งระดมเครื่องจักรหนักเพื่อเร่งเคลื่อนย้ายเศษซาก คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง

ข้อสังเกตจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT)

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยว่า องค์กรได้ร่วมกับ สตง. ลงนามใน “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)” เพื่อส่งผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าร่วมตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมของ ACT เกิดขึ้นหลังจากที่ สตง. ได้คัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ควบคุมงาน และจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) รวมถึงแบบก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้ผู้สังเกตการณ์จาก ACT ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนด TOR หรือการคัดเลือกผู้รับเหมาในขั้นต้น

นายมานะระบุว่า ตลอดระยะเวลาการสังเกตการณ์ พบข้อผิดสังเกตหลายประการ เช่น การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ผู้รับเหมามีพฤติกรรมหยุดงานเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกของโครงการ และเมื่อกลับมาดำเนินการต่อก็มีความล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด คณะผู้สังเกตการณ์ได้ทักท้วงถึงปัญหาดังกล่าวต่อ สตง. อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราคม 2568 สตง. มีท่าทีเตรียมยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา เนื่องจากความล่าช้าที่กระทบต่อความคืบหน้าของโครงการ

“ผู้สังเกตการณ์จาก ACT มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารสัญญาก่อสร้างว่าสอดคล้องกับแบบและเงื่อนไขในสัญญาหรือไม่ หากมีการแก้ไขแบบหรือเปลี่ยนแปลงวัสดุ สตง. และผู้ควบคุมงานต้องแจ้งให้เราทราบ แต่การควบคุมคุณภาพทางวิศวกรรม เช่น การป้องกันการล่าช้า หรือการเปลี่ยนวัสดุที่อาจกระทบต่อโครงสร้าง เป็นความรับผิดชอบของ สตง. และบริษัทผู้ควบคุมงาน ไม่ใช่ ACT” นายมานะกล่าว

นายมานะยังชี้ว่า “โครงการข้อตกลงคุณธรรม” เป็นเครื่องมือสากลที่ ACT นำมาจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) และเริ่มใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยปัจจุบันมีผู้สังเกตการณ์อิสระ 252 คน ร่วมตรวจสอบ 178 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาท ช่วยประหยัดงบประมาณได้ 77,548 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โครงการที่รัฐเลือกเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดและความสำคัญลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสาม ซึ่งนายมานะมองว่าเป็นการสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างคุ้มค่า

การชี้แจงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศราว่า ขณะนี้ผู้บริหาร สตง. อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลความเสียหาย และจะมีการหารือรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมา สตง. ได้ตรวจรับงานก่อสร้างเป็นงวด ๆ ไปแล้วประมาณร้อยละ 20-25 เท่านั้น และการดำเนินโครงการนี้อยู่ภายใต้กรอบความโปร่งใสตาม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”

สตง. ชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2550 โดยได้รับอนุมัติงบประมาณเบื้องต้นจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวม 1,832,906,600 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 1,826,950,000 บาท และค่าควบคุมงาน 5,956,600 บาท ต่อมาในปี 2563 สตง. ขอปรับเปลี่ยนรายการและเพิ่มงบประมาณเป็น 2,636,800,000 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 2,560,000,000 บาท และค่าควบคุมงาน 76,800,000 บาท ซึ่งได้รับอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563

ผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง 386.15 ล้านบาท ส่วนผู้ควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด, บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จำกัด) ด้วยวงเงิน 84,560,600 บาท โดยมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างจากกำหนดเดิม 1,080 วัน (15 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2566) ออกไปอีก 148 วัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และการปรับแก้แบบก่อสร้าง

สตง. เน้นย้ำว่า โครงการนี้ได้ยึดหลักความโปร่งใสตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยมีการเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และดำเนินการจัดหาผู้รับเหมาอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

ความเป็นมาของโครงการและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง

โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. แห่งใหม่เริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปี 2550 โดยมีเป้าหมายเพื่อย้ายสำนักงานจากที่ตั้งเดิมไปยังอาคารทันสมัยที่มีพื้นที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตัวอาคารสูง 30 ชั้น ตั้งอยู่ใกล้สถานี MRT กำแพงเพชร และสถานีกลางบางซื่อ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน ด้วยงบประมาณเริ่มต้น 1,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเพิ่มเป็น 2,560 ล้านบาทในปี 2563 และมีการขอเพิ่มงบควบคุมงานอีก 9,718,716 บาท ในปี 2567

ระหว่างการก่อสร้าง โครงการเผชิญปัญหาหลายครั้ง เช่น การหยุดงานจากสถานการณ์โควิด-19 และเหตุเครนถล่มเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งทำให้คนงานชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ส่งผลให้มีการระงับการก่อสร้างชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย

โครงสร้างผู้รับเหมาและสถานะทางการเงิน

จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างชั้นนำของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท

บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (จีน) ถือหุ้น 49% ส่วนผู้ถือหุ้นไทย ได้แก่ นายโสภณ มีชัย (40.80%), นายประจวบ ศิริเขตร (10.20%) และนายมานัส ศรีอนันท์ (0.00%, 3 หุ้น) งบการเงินล่าสุดปี 2566 ระบุว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,804,535,819 บาท หนี้สิน 2,952,877,175 บาท และขาดทุนสุทธิ 199,669,872 บาท ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่น่าเป็นห่วง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีการถล่มของอาคาร สตง. ได้จุดกระแสข้อถกเถียงระหว่างสองมุมมองหลัก โดยฝ่าย ACT ชี้ถึงปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการบริหารจัดการที่ไม่รัดกุมหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามหลักการโปร่งใส และการถล่มอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกินขีดความสามารถของโครงสร้าง

จากมุมมองที่เป็นกลาง การวิพากษ์วิจารณ์ของ ACT มีน้ำหนักในแง่ของการชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าและการหยุดงาน ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารสัญญาหรือการควบคุมงานที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ ACT ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำ TOR และคัดเลือกผู้รับเหมา อาจทำให้ข้อมูลที่นำเสนอไม่ครอบคลุมทุกมิติ ในทางกลับกัน การชี้แจงของ สตง. ที่ระบุถึงความโปร่งใสและการประหยัดงบประมาณจากการประมูลที่ต่ำกว่าราคากลาง มีความสมเหตุสมผลในแง่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่คำถามเรื่องคุณภาพโครงสร้างยังคงต้องการการตรวจสอบเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อยืนยันว่าการถล่มเกิดจากแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว หรือมีปัจจัยอื่น เช่น การออกแบบหรือวัสดุที่ไม่เหมาะสมร่วมด้วย

ทั้งนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ควรเร่งตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการกล่าวโทษที่อาจขาดหลักฐานรองรับ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2550-2567 ประเทศไทยเผชิญแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศ 12 ครั้ง ส่วนใหญ่มีศูนย์กลางในเมียนมาและลาว โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 (ขนาด 6.3 ริกเตอร์) ในจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง และวัด 50 แห่ง (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, รายงานภัยพิบัติ 2567)
  2. งบประมาณเมกะโปรเจกต์ในไทย: สำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงปี 2558-2567 โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท มีทั้งสิ้น 245 โครงการ รวมมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยร้อยละ 15 เผชิญปัญหาความล่าช้า (ที่มา: สำนักงบประมาณ, รายงานงบประมาณแผ่นดิน 2567)
  3. การทุจริตในโครงการภาครัฐ: Transparency International รายงานดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยในปี 2566 อยู่ที่ 35 คะแนน จาก 100 คะแนน (อันดับ 101 จาก 180 ประเทศ) สะท้อนถึงความท้าทายในการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ (ที่มา: Transparency International, CPI 2023)

สรุป

เหตุการณ์ถล่มของอาคาร สตง. ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังจุดประเด็นถกเถียงถึงความโปร่งใสและคุณภาพการก่อสร้าง ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันค้นหาความจริง เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนและป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • สำนักงบประมาณ
  • Transparency International
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

ธปท. ยกระดับมาตรการป้องกันบัญชีม้าและภัยทุจริตทางการเงิน

ธปท. ยกระดับมาตรการจัดการบัญชีม้าและร่วมรับผิดชอบปัญหาภัยทุจริตทางการเงิน

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยการยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและการผลักดันแนวทางการร่วมรับผิดชอบจากทุกภาคส่วน เพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากภัยทุจริตที่เกิดขึ้น

การยกระดับมาตรการการจัดการบัญชีม้า

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ ธปท. ได้ดำเนินการคือการยกระดับการจัดการบัญชีม้าจากระดับบัญชีไปยังระดับบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การปิดบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการตรวจจับบัญชีม้าให้เข้มข้นขึ้น โดยพิจารณาพฤติกรรมการโอนของบัญชีม้าและมูลค่าของธุรกรรม เพื่อครอบคลุมการกระทำผิดที่มีลักษณะใหม่ๆ ที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน กล่าวว่า ธปท. ได้ปรับมาตรการเพื่อให้สามารถจัดการบัญชีม้าที่ยังไม่ได้รับการแจ้งจากผู้เสียหาย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดบัญชีม้าและลดความเสี่ยงของการเกิดภัยทุจริต

การจัดการบัญชีม้าระดับบุคคล

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การจัดการบัญชีม้าที่มีความเสี่ยงสูงโดยการขยายเงื่อนไขในการระงับการโอนเงินจากบัญชีม้าที่ต้องสงสัย และการปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการใช้บัญชีม้าสำหรับการหลอกลวงทางการเงิน

ธนาคารจะต้องดำเนินการขยายการระงับการโอนเงินและปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ไปยังกรณีของบัญชีที่มีความเสี่ยงสูง โดยไม่จำเป็นต้องรอการแจ้งจากผู้เสียหาย ทั้งนี้ ยังต้องแจ้งเตือนผู้ใช้บริการเกี่ยวกับความเสี่ยงในการโอนเงินไปยังบัญชีที่อาจเป็นบัญชีม้า เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

การขยายขอบเขตการจัดการบัญชีม้า

ธปท. ได้ขยายการจัดการบัญชีม้าในวงกว้างมากขึ้น โดยกำหนดให้ธนาคารต้องแลกเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยระหว่างกัน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการป้องกันการทุจริตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะครอบคลุมไปถึงรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเงิน ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตรวจสอบและดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

การพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้า

เพื่อให้ธนาคารสามารถตรวจจับบัญชีม้าที่มีพฤติกรรมผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้าและพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ระบบนี้จะช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล โดยทันทีที่มีการตรวจพบพฤติกรรมที่ผิดปกติ

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้เน้นให้ธนาคารร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อปิดช่องโหว่ในเส้นทางการเงินที่มิจฉาชีพอาจใช้ในการหลอกลวง

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ธปท. มองว่า การแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธนาคาร หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนผู้ใช้บริการ เพื่อรับผิดชอบตามมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน

ธปท. จะประกาศกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของธนาคารที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อใช้ในการพิจารณาความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการหลอกลวงทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินการ

บทสรุป

การยกระดับมาตรการในการจัดการบัญชีม้าและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและลดภัยทุจริตทางการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่ง ธปท. เชื่อว่าการทำงานร่วมกันและการพัฒนามาตรการอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดความเสียหายในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE