Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ชูชีพ-นายก นก นำทัพ! เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” 4 ตัน ถึงมือควนลัง ผ่านโลจิสติกส์ไม่เพิ่มภาระ

เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” ส่งกองหนุน 4 ตันช่วยอุทกภัยสงขลา เดินเกม “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” ผ่านโลจิสติกส์–เชื่อต่อท้องถิ่นผู้ประสบภัย

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – บรรยากาศโถงชั้นหนึ่ง อบจ.เชียงราย จุดเริ่มต้นของธารน้ำใจจากเหนือสุดแดนสยาม  สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในภารกิจสำคัญ “เหนือช่วยใต้” ภายใต้ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ควบคู่กับความร่วมมือ ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”

ข้างหน้าคือเวทีเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ด้านหลังคือกองสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะถูกขนขึ้นรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย น้ำหนักรวมกว่า 4 ตัน เพื่อเดินทางไกลจากดินแดนเหนือสุดของประเทศลงสู่ เทศบาลเมืองควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568

นี่ไม่ใช่เพียงภาพของ “การบริจาค” แต่คือภาพของ การออกแบบความช่วยเหลือ ที่คิดครบทั้ง “ต้นทาง–ปลายทาง” อย่างรอบด้าน

คำกล่าว “นายก นก” เปิดภารกิจเหนือช่วยใต้ 293 ชีวิตในศูนย์ฯ – 50,000 คนในเมืองขยายที่ต้องไม่ถูกลืม

นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดการส่งมอบสิ่งของว่า ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นมา อบจ.เชียงรายได้เปิดจุดรับบริจาค ณ โถงชั้นหนึ่งของสำนักงานฯ เพื่อระดมสิ่งของจากประชาชนและภาคีเครือข่ายในจังหวัด

“จากวันที่ 24 พฤศจิกายนเป็นต้นมา จังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้จับมือไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย และภาคีเครือข่ายในจังหวัด เดินหน้าภารกิจเหนือช่วยใต้ วันนี้เราพร้อมจัดส่ง ‘ธารน้ำใจล็อตแรก’ น้ำหนักรวม 4 ตัน ด้วยรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จากข้อมูลสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้ประสานงานกับสำนักข่าวสงขลาโฟกัส เครื่อข่ายท้องถิ่น จะนำไปยังเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นศูนย์อพยพให้ที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัยจำนวน 293 คน และเป็นจุดช่วยเหลือประชาชนเกือบ 50,000 คนในพื้นที่เมืองขยายที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติในทุกมิติ”

นายก อบจ.เชียงราย ยังอธิบายโครงสร้างและความท้าทายในพื้นที่ปลายทางอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติสำคัญที่กลายเป็น “เหตุผลหลัก” ว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับเทศบาลเมืองควนลังเป็นพิเศษ

มิติที่ 1 การดูแลผู้อพยพในศูนย์ฯ

ศูนย์อพยพ ณ อาคารเทศบาลเมืองควนลัง ชั้น 5 มีผู้อพยพรวม 293 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการดูแลภายใต้มาตรฐานด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางจำนวน 25 คน ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

นายก อบจ.เชียงรายกล่าวว่า

“ในศูนย์อพยพ กลุ่มเสี่ยงพิเศษ 25 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้ป่วย ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยทุกคน ศูนย์มีโรงครัวที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการอาหารร้อนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ให้อิ่ม แต่ให้เขารู้สึกว่ามีคนดูแลอยู่ใกล้ ๆ”

มิติที่ 2 ความท้าทายเชิงพื้นที่ของ ‘เมืองขยาย’

แม้ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ จะเป็นภาพที่จับต้องได้ แต่เมื่อมองทั้งพื้นที่ จะพบว่าประชากรในเขตเทศบาลเมืองควนลังมีเกือบ 50,000 คน และนี่คือ “ความจริงอีกด้าน” ที่ทำให้ภารกิจการจัดการภัยพิบัติใหญ่กว่าที่เห็น

“ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ เป็นเพียงส่วนน้อยของผู้เดือดร้อนจริง เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดเกือบ 50,000 คนในเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นเขตเมืองขยาย มีอัตราการเติบโตของประชากรสูงกว่า 20% ใน 10 ปี ความเสี่ยงและความเสียหายจากน้ำท่วมจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ภารกิจของเราจึงไม่ใช่แค่ดูแลคนในศูนย์ฯ แต่ต้องคิดถึงการเยียวยาและฟื้นฟูทั้งเมือง”

มิติที่ 3 การจัดการและการสื่อสารในฐานะศูนย์บัญชาการ

อาคารเทศบาลเมืองควนลังไม่ได้เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว แต่ทำหน้าที่เป็น ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ที่ประเมินความเสียหาย วางแผนเยียวยา และจัดการการสื่อสารกับประชาชน

“ศูนย์กลางที่เทศบาลไม่ใช่แค่สถานที่รองรับผู้อพยพ แต่เป็นจุดศูนย์กลางในการประเมินความเสียหายและเตรียมแผนการเยียวยาและฟื้นฟูสำหรับประชากรเกือบ 50,000 คน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์ฯ เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องโฟกัสไปที่ควนลังอย่างจริงจัง”

ในช่วงท้ายของคำกล่าว นายก อบจ.เชียงรายได้เชิญชวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายขึ้นรับมอบสิ่งของบริจาคและกล่าวขอบคุณภาคีเครือข่าย ถือเป็นการเชื่อมต่อ “ระดับนโยบายจังหวัด” เข้ากับ “การปฏิบัติการจริง” ในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ว่าฯ ชูชีพ จากบทเรียนเชียงรายสู่การยืนเคียงข้างภาคใต้

เมื่อถึงเวลาอันสมควร พิธีกรได้เรียนเชิญ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขึ้นกล่าวในนามตัวแทนชาวเชียงราย เพื่อมอบกำลังใจไปยังผู้ประสบภัยในภาคใต้

แม้จะเริ่มต้นด้วยการขอให้ผู้ร่วมงานขยับเข้าร่มเพื่อลดความร้อนจากแดดกลางลาน แต่บรรยากาศไม่เป็นทางการเล็กน้อยนี้กลับทำให้เห็น “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” ที่สะท้อนบุคลิกของผู้ว่าฯ ซึ่งต้องการให้ทุกคนที่มาร่วมงานรู้สึกสบายพอจะยืนร่วมกันจนจบพิธี

จากนั้น ผู้ว่าฯ ชูชีพได้กล่าวชื่นชมบทบาทของ อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” และ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” โดยเน้นย้ำว่า การโฟกัสไปยังเทศบาลเมืองควนลัง คือการทำงานแบบ “เจาะจุด” ที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

เขายังอ้างอิงข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่า ในรอบวิกฤตครั้งนี้ มีประชาชนใน 9 จังหวัดภาคใต้ ได้รับผลกระทบรวมกันเกือบ 3 ล้านคน หลายแสนครัวเรือนต้องเผชิญกับน้ำท่วมและการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลา อีกทั้งจุดสำคัญอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ต้องรับมือกับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 600 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่า “หนักที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี”

“เมื่อเช้า ผมได้ฟังสรุปจาก ปภ. เราเห็นชัดว่ามี 9 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ หลายแสนครัวเรือน เกือบ 3 ล้านคนที่ต้องเผชิญกับผลจากอุทกภัย โดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ที่เผชิญปริมาณน้ำฝนระดับที่เรียกได้ว่าหนักที่สุดในรอบหลายปี การที่เชียงรายเลือกโฟกัสไปยังควนลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองขยายที่ต้องดูแลทั้ง 293 คนในศูนย์ฯ และเกือบ 50,000 คนทั้งเมือง จึงถือเป็นการทำงานที่เข้าตรงเป้าหมาย”

ผู้ว่าฯ ยังเชื่อมโยงไปถึงประสบการณ์ของเชียงรายในฐานะจังหวัดที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง ทั้งเหตุแผ่นดินไหวและน้ำท่วม พร้อมย้ำว่า เมื่อครั้งเชียงรายลำบาก ก็มีคนไทยจากทั่วประเทศส่งแรงใจและสิ่งของมาช่วยเหลือ วันนี้จึงเป็น “เวลาของเชียงราย” ที่จะตอบแทนสังคม

“เราเคยได้รับน้ำใจจากคนทั้งประเทศ ตอนเชียงรายประสบภัย วันนี้เรากำลังคืนกลับไปในฐานะพี่น้องชาติเดียวกัน สิ่งที่ อบจ.เชียงราย ไปรษณีย์ไทย ภาคเอกชน สื่อมวลชน และสถาบันการศึกษาทำร่วมกัน ไม่ใช่แค่การส่งของ แต่เป็นการส่งต่อความผูกพัน ความเป็นมิตรภาพระหว่างเหนือสุดแดนสยามและปลายด้ามขวาน”

เขายังกล่าวถึงการระดมสรรพกำลังอื่น ๆ ของจังหวัด ทั้งกำลังคนจากอาสาสมัคร เครื่องจักรกลหนัก และการสนับสนุนผ่านช่องทางของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยเสริมภารกิจในพื้นที่ภาคใต้ควบคู่กันไป

ท้ายที่สุด ผู้ว่าฯ ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ซีพี ออลล์ เซ็นทรัลเชียงราย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ไปรษณีย์ไทย และสื่อมวลชน ที่ร่วมกันทำให้ “น้ำใจจากเชียงราย” เดินทางออกจากโถงชั้นหนึ่งของ อบจ. ไปสู่มือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ในภาคใต้

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัด

ฮัก หาดใหญ่–ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” พันธมิตร 6 หน่วย + 1 มหาวิทยาลัย ขับเคลื่อนภารกิจ

ภายใต้ภารกิจครั้งนี้ มีอย่างน้อย 6 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย และ 1 สถาบันการศึกษา ทำหน้าที่เป็นแกนกลางความร่วมมือ ได้แก่

  1. จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
    • แกนกลางด้านนโยบาย การประสานงาน และการรวบรวมสิ่งของบริจาค
    • นำโดย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร อบจ.
  2. ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็น “ขนส่งธารน้ำใจ” ด้วยระบบโลจิสติกส์ทางบก
    • มี นายวุฒิพงษ์ เดชมนต์ ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำด้านการขนส่ง
  3. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยพิสันต์ จันทร์ศิลป์
    • สนับสนุนการสื่อสารและเชื่อมโยงกับชุมชน วัด กลุ่มวัฒนธรรม และเครือข่ายภาคประชาชน
    • มีบุคลากรด้านวัฒนธรรมและชุมชนเป็นผู้ประสานงานหลัก
  4. สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
    • ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมข้อมูลระหว่าง “ผู้ให้” ในเชียงราย และ “ผู้รับ” ในสงขลา
    • สงขลาโฟกัสทำหน้าที่รับมอบและกระจายความช่วยเหลือร่วมกับเทศบาลเมืองควนลัง
  5. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • สนับสนุนพื้นที่และทรัพยากรในเครือข่ายธุรกิจค้าปลีก 7-Eleven ในการเป็นจุดประชาสัมพันธ์และส่งต่อข้อมูล
    • นำโดยทีมผู้บริหารในพื้นที่ เช่น คุณสงกรานต์ จำปาคำ และคณะ
  6. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ภายใต้การบริหารของ คุณสายัณห์ นักบุญ General Manager ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคสำคัญในเขตเมือง ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  7. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคหลักในเครือข่ายสถาบันการศึกษา
    • เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และบุคลากร ได้เข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจบรรเทาทุกข์ระดับชาติ

เมื่อพิจารณาภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “งานของรัฐ” แต่เป็น การบูรณาการภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา–สื่อ–ประชาชน ที่รวมกันเป็นพลังเดียวกันเพื่อช่วยเหลือภาคใต้

ฮัก” ที่มากกว่าความรัก อ้อมกอดจากภาคเหนือในวันที่ภาคใต้ลำบาก

ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ได้รับการออกแบบอย่างมีความหมาย คำว่า “ฮัก” ในภาษาเหนือหมายถึง “รัก” แต่ในเชิงสัญลักษณ์ยังเชื่อมโยงกับคำว่า “Hug” ในภาษาอังกฤษที่หมายถึง “การกอด”

ความช่วยเหลือที่ถูกส่งลงไปภาคใต้จึงไม่ใช่เพียง “สิ่งของ” แต่ถูกออกแบบให้เป็น “อ้อมกอดทางใจ” จากชาวเชียงรายที่ต้องการบอกพี่น้องหาดใหญ่และสงขลาว่า “คุณไม่ได้อยู่ลำพัง”

การใช้ภาษาถิ่นผสมกับความหมายสากลในชื่อโครงการ ช่วยสร้างมิติทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้รับรู้สึกว่า สิ่งของแต่ละชิ้นบรรจุด้วยความห่วงใย ไม่ใช่เพียงการทำตามหน้าที่เชิงพิธีการของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ยุทธศาสตร์ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” โลจิสติกส์มนุษยธรรมที่คิดจากปลายทาง

สิ่งที่ทำให้โครงการนี้โดดเด่น คือแนวคิดด้านการจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้น “คุณภาพของกระบวนการ” ไม่ใช่แค่ “ปริมาณของสิ่งของ”

ในภาวะวิกฤต หน่วยงานราชการในพื้นที่ประสบภัยต้องทำงานหนักในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนน ระบบสาธารณูปโภค และดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง หากยังต้องแบกรับภาระงานด้านการรับมอบ คัดแยก และจัดกระจายสิ่งของจากพื้นที่อื่นอีก ก็ยิ่งเพิ่ม “ต้นทุนทางธุรการ” จนอาจกระทบต่อภารกิจหลัก

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” จึงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” คือ

  • ใช้ไปรษณีย์ไทยเป็นกลไกหลักด้านขนส่ง ด้วยระบบที่ติดตามได้
  • ประสานงานให้สิ่งของไปถึง “มือของสื่อท้องถิ่นและเทศบาลในพื้นที่” อย่างสงขลาโฟกัสและเทศบาลเมืองควนลัง ที่มีเครือข่ายในชุมชน และสามารถประเมินได้ว่าพื้นที่ใดต้องการอะไร

แนวทางนี้ช่วยให้ความช่วยเหลือถูกนำไปใช้ได้เร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน ลดการคัดแยกซ้ำ และลดภาระงานเอกสารของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่กำลังทำงานแข่งกับเวลา

ในเชิงนโยบาย นี่คือรูปธรรมของ การลดภาระทางธุรการ (Administrative Burden Reduction)” ในบริบทของการจัดการภัยพิบัติสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและผลกระทบจริงต่อผู้รับ มากกว่าการเน้นพิธีการและภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียว

กองหนุน” ที่ส่งในเวลาที่ใช่ เมื่อการช่วยเหลือไม่จบแค่ตอนน้ำท่วมสูงสุด

จุดยืนสำคัญของโครงการนี้ คือการนิยามความช่วยเหลือจากเชียงรายว่าเป็น กองหนุน” ไม่ใช่ “กองหลัก”

ความหมายของคำว่า “กองหนุน” ในที่นี้ คือการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งของที่ส่งไปอาจไม่มากพอจะทำให้ผู้ประสบภัย “ตั้งตัวได้ทันที” แต่มีความสำคัญในฐานะ “แรงเสริม” ที่ถูกส่งไปใน ช่วงเวลาที่เหมาะสม

ในขณะที่ช่วงแรกของภัยพิบัติมักมีความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจจากสาธารณะเริ่มลดลง ขณะที่ผู้ประสบภัยยังคงต้องฟื้นฟูชีวิตและสภาพแวดล้อมต่อไปอีกยาวนาน การส่ง “กองหนุน” ในช่วงหลังจึงเป็นสัญญาณว่า “เรายังไม่ลืม”

คำพูดอย่างเรียบง่ายว่า เราเข้าใจความยากลำบาก เราเจอมาก่อน” จากตัวแทนผู้ประสานงานโครงการ และจากสื่อท้องถิ่นในสงขลา จึงไม่ได้เป็นแค่ถ้อยคำปลอบใจ แต่เป็นการยืนยันว่า ความช่วยเหลือนี้ตั้งอยู่บนฐานของ “ประสบการณ์จริง” ที่เชียงรายเคยเผชิญมาแล้ว

บทเรียนและข้อคิด จาก “ฮัก หาดใหญ่” สู่การออกแบบการช่วยเหลือในอนาคต

จากกรณีศึกษาของโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” สามารถสรุปบทเรียนสำคัญที่มีคุณค่าต่อการออกแบบระบบช่วยเหลือในภัยพิบัติได้หลายข้อ อาทิ

  1. คิดถึงต้นทุนทางธุรการของพื้นที่ปลายทาง
    • ความช่วยเหลือที่ดีต้องไม่ทำให้พื้นที่ที่กำลังลำบากต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากงานเอกสารหรือการจัดการสิ่งของที่ซับซ้อนเกินไป
  2. เลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่งกองหนุน
    • ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องรีบส่งทันทีในวันแรกของภัยพิบัติ บางครั้งการส่งในช่วง “ฟื้นฟู” อาจตอบโจทย์ความต้องการมากกว่า
  3. ใช้เครือข่ายท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์
    • สื่อท้องถิ่น เทศบาล องค์กรชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน มักรู้ดีที่สุดว่าชุมชนต้องการอะไร และควรส่งไปที่ไหนก่อน
  4. สร้างพันธมิตรข้ามภาคส่วนอย่างจริงจัง
    • การบูรณาการภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และสื่อ ทำให้ระบบช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ทนทาน และต่อเนื่องกว่าการทำงานแบบโดดเดี่ยว
  5. ให้ความสำคัญกับภาษาความรู้สึก ไม่ใช่แค่ภาษาทางการ
    • ชื่อโครงการ การสื่อสาร และถ้อยคำที่ใช้ ล้วนมีผลต่อการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้และผู้รับ

ในยุคที่ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมีแนวโน้มเกิดถี่และรุนแรงขึ้น การเรียนรู้จากกรณีความร่วมมือระหว่างเชียงรายและสงขลาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ข่าวหนึ่งวัน” หากแต่เป็นกรอบคิดที่สามารถนำไปต่อยอดสู่การจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่และระดับประเทศได้ในอนาคต

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” เป็นตัวอย่างของการช่วยเหลือในภัยพิบัติที่ออกแบบมาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงทั้งความต้องการของผู้รับและข้อจำกัดของผู้ให้ การใช้แนวทาง “กองหนุน” ที่ส่งไปในเวลาที่เหมาะสม การเลือกช่องทางการส่งมอบที่ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรข้ามภาคส่วน ล้วนสะท้อนถึงความเข้าใจในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ลึกซึ้ง

การที่จังหวัดเชียงรายซึ่งเคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง เลือกที่จะส่งต่อทั้งความช่วยเหลือและบทเรียนไปยังพี่น้องภาคใต้ที่กำลังเผชิญวิกฤต นั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็น “พี่น้อง” ที่แท้จริง ที่ไม่เพียงแต่ส่งของ แต่ส่ง “ใจ” และ “ความเข้าใจ” ไปด้วย

โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการช่วยเหลือในภัยพิบัติ แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร และพร้อมยืนเคียงข้างกันในยามที่ใครสักคนต้องเผชิญความลำบาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพโดย : กีรติ ชุติชัย
  • จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด – ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายร้าน 7-Eleven ในจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดติดตามด่วน หลังแม่สายท่วมซ้ำ นักวิชาการย้ำขาดแผนรับมือ “น้ำพิษ”

วิกฤตแม่สาย “แม่น้ำสาย” ทะลักซ้ำปี 67 แนวป้องกันชั่วคราวรับไม่ไหว ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดบัญชาการด่วน นักวิชาการเตือนขาดแผน “น้ำพิษ” ข้ามพรมแดน

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ซ้ำรอยวิกฤติเมื่อปลายปี 2567 สร้างความเสียหายและความวิตกกังวลให้แก่ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายทั้งฝั่งไทยและเมียนมา การระบายน้ำที่ล้นตลิ่งจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือของไทยและรัฐฉานตะวันออกของเมียนมา กลายเป็นบททดสอบสำคัญของทุกหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อแนวป้องกันชั่วคราวที่ตั้งขึ้นโดยกรมการทหารช่างไม่สามารถรับมือมวลน้ำได้ ทำให้หลายชุมชนใน อ.แม่สาย และ จ.ท่าขี้เหล็ก ต้องรับเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง

ผู้ว่าฯ เชียงราย บัญชาการเหตุการณ์ ย้ำเร่งอพยพ-จัดการอุปสรรคทางน้ำ

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ จุดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกับนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หลังมวลน้ำเหนือหลากทะลักเข้าท่วมหลายจุดของชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย ตลาดสายลมจอย ตลาดไม้ลุงขน ตลอดจนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ฝ่ายไทยและเมียนมาระดมกำลังเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายสิ่งของอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังจุดปลอดภัยตั้งแต่เช้ามืด

ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้บูรณาการระหว่างกรมการทหารช่าง เทศบาลแม่สาย และหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ออกปฏิบัติการนำเครื่องจักรกลหนัก เช่น รถแบ็คโฮ เข้าเคลียร์เศษขยะและท่อนซุงที่ไหลมาติดสะพาน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางทางน้ำให้ระบายไม่สะดวกจนเอ่อท่วมถนนและพื้นที่ชุมชน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้นายอำเภอแม่สายเร่งประสานเจ้าของอาคารริมน้ำที่ยังไม่ได้รื้อถอน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีช่องว่างใต้อาคารซึ่งกลายเป็นทางให้น้ำทะลุเข้าพื้นที่ชุมชน แม้จะวางแนวพนังบิ๊กแบ็คไว้แล้วก็ตาม พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เร่งอพยพประชาชนจากจุดเสี่ยงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และย้ำถึงความจำเป็นในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ฝนเหนือ-น้ำเมียนมา ทำระดับน้ำพุ่งเกิน 100 มม. สะพานมิตรภาพฯ ทะลัก 115%

ข้อมูลสถานการณ์น้ำเช้าวันที่ 28 ก.ค. 68 ระบุว่าฝนที่ตกในบ้านโจตาดา จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา สูงถึง 118.8 มิลลิเมตร ในเวลา 08.00 น. ส่งผลให้มวลน้ำล้นเข้าสู่ชายแดนไทยในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ระดับน้ำที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 วัดได้ 115.15% ของระดับตลิ่ง สร้างความวิตกให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านว่าระลอกใหม่ของน้ำจะเข้าท่วมอีกในช่วงบ่าย

ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำและรายงานพื้นที่เสี่ยงในฝั่งไทย อาทิ ซอย 7 เกาะทราย ถ.หน้าหมู่บ้านปิยะพร และคลองชลประทาน เริ่มเกิดน้ำล้นตลิ่งและเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างต่อเนื่อง

ขยะ-ท่อนซุงปิดสะพาน อุปสรรคซ้ำเติมสถานการณ์

ปัญหาขยะ เศษไม้ ท่อนซุงที่ไหลตามกระแสน้ำมาจากต้นน้ำเมียนมาและพื้นที่รอยต่อ ติดค้างใต้สะพานและแนวป้องกันน้ำชั่วคราว กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำ โดยนายอำเภอแม่สายสั่งปิดด่านชั่วคราว เปิดทางให้แบ็คโฮจัดการสิ่งกีดขวาง ลดความเสี่ยงสะพานเสียหายและเร่งการระบายน้ำออกนอกพื้นที่

เสียงสะท้อนนักวิชาการ – วิกฤตซ้ำซ้อน “น้ำพิษ” ขาดแผนรับมือจริงจัง

วิกฤตในแม่สายรอบนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายเริ่มตระหนักมากขึ้น คือ “น้ำพิษข้ามพรมแดน” ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ตั้งคำถามและข้อเสนอแนะเร่งด่วนถึงหน่วยงานภาครัฐให้จัดทำแผนรับมือและเฝ้าระวังสารโลหะหนักและมลพิษที่มากับน้ำท่วมข้ามพรมแดน หลังจากปัญหาเหมืองแร่ในรัฐฉานส่งผลต่อต้นน้ำของแม่น้ำสายในเขตแม่สายมาอย่างต่อเนื่อง

คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ชัด ได้แก่

  1. หน่วยงานใดจะตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำท่วม?
  2. ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะรู้ผล?
  3. เจ้าหน้าที่และประชาชนควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสัมผัสน้ำท่วมที่อาจปนเปื้อนสารพิษ?
  4. ประชาชนจะล้างบ้านและโคลนที่มีสารพิษได้อย่างไร?

ทั้งนี้ ดร.สืบสกุล ยังย้ำให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ทำหน้าที่ตรวจสอบสารโลหะหนักให้เร็วที่สุด เนื่องจากเป็นห้องแล็บที่มีมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่

วิกฤต “น้ำท่วม-น้ำพิษ” บททดสอบการบริหารจัดการข้ามพรมแดน

แม่สายในวันนี้ คือภาพสะท้อนความซับซ้อนของภัยพิบัติยุคใหม่ที่เกินขีดจำกัดของแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉินเฉพาะหน้า หลายประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่นับเป็นบทเรียนสำคัญ:

  • แนวป้องกันน้ำต้องยกระดับ: เหตุการณ์ซ้ำซ้อนแสดงว่าจำเป็นต้องพัฒนาแนวป้องกันน้ำถาวร ลดจุดอ่อนที่ทำให้น้ำล้นผ่านได้ง่าย
  • การจัดการขยะ-ท่อนซุงในแม่น้ำต้นน้ำ: ต้องวางระบบและแผนร่วมมือข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา เพื่อลดขยะจากต้นน้ำมิให้ซ้ำเติมวิกฤติในเขตเมือง
  • แผนรับมือ “น้ำพิษ” ต้องมีจริง: ควรจัดทำคู่มือ แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด สื่อสารกับประชาชนอย่างรัดกุม และจัดตั้งระบบแจ้งเตือนเชิงรุก
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: ปัญหาต้นน้ำที่เมียนมาต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยอาศัยกลไกทางการทูตและข้อตกลงร่วม

บทสรุป

น้ำท่วมแม่สายปีนี้ไม่ได้เป็นแค่วิกฤตธรรมชาติซ้ำรอย แต่เป็นการสะท้อนโจทย์ใหญ่ด้านนโยบายและการบริหารภัยพิบัติข้ามพรมแดน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งมือออกมาตรการเชิงรุกทั้งด้านโครงสร้างและระบบเฝ้าระวังสารพิษ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

  • อำเภอแม่สาย

  • กรมการทหารช่าง

  • เทศบาล ต.แม่สาย

  • เทศบาล ต.เวียงพางคำ

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1

  • อ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, ม.แม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย ขุนตาลเผชิญน้ำป่าถล่ม เร่งแจกกระสอบทราย-สำรวจความเสียหาย

ขุนตาล! น้ำป่าหลากท่วม 3 ตำบล นายอำเภอขุนตาลสั่งเฝ้าระวัง 24 ชม. เร่งแจกกระสอบทราย-สำรวจความเสียหายช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำป่าไหลหลากในอำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว หลังฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดวันที่ 22 กรกฎาคม ส่งผลให้น้ำจากเทือกเขาและลำห้วยสายต่าง ๆ ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนใน 3 ตำบล ได้แก่ ป่าตาล ต้า และยางฮอม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก ขณะที่นายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล/ผู้อำนวยการศูนย์อำเภอ พร้อมด้วยทีมงานฝ่ายปกครอง และหน่วยงานท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อให้กำลังใจ สำรวจสถานการณ์ และออกมาตรการป้องกัน-บรรเทาความเสียหายอย่างเร่งด่วน

น้ำป่าทะลักกลางดึก แจกกระสอบทรายสกัดน้ำ – สั่งเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

น้ำป่าที่ไหลหลากลงจากภูเขา ได้ท่วมพื้นที่อยู่อาศัยในทั้ง 3 ตำบลของอำเภอขุนตาล ทำให้บ้านเรือนจำนวนหนึ่งต้องอพยพขึ้นที่สูง หลายครัวเรือนเสียหายทั้งทรัพย์สินและพืชผลการเกษตร นายอำเภอขุนตาลพร้อมทีมงานได้เร่งแจกจ่ายกระสอบทรายเพื่อสกัดน้ำเข้าสู่บ้านเรือน ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด สั่งการให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน รายงานสถานการณ์ทุกชั่วโมงและเตรียมความพร้อมเฝ้าระวังน้ำป่า 24 ชั่วโมง

เบื้องต้น ฝ่ายความมั่นคงและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่สำรวจจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อวางแผนช่วยเหลือและเยียวยาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็มีการเร่งซ่อมแซมเส้นทางที่ได้รับความเสียหาย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการขนส่ง

ขุนตาลเมืองศักยภาพสูงแต่เปราะบางต่อภัยน้ำท่วม

อำเภอขุนตาล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงราย ห่างตัวเมืองเพียง 62 กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 31,000 คน (ข้อมูลปี 2564) เป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ-สังคมของภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงภูมิภาคกับลาวและจีน พื้นที่นี้โดดเด่นด้วยเทือกเขาสูง อย่างดอยพญาพิภักดิ์ และมีแม่น้ำอิงเป็นเส้นเลือดหลักของการเกษตรและชุมชน

เศรษฐกิจหลักของอำเภอขุนตาลคือภาคเกษตรกรรม เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด ชา กาแฟ ผลไม้เมืองหนาว ฯลฯ ขณะที่ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เช่น กลุ่มชาวม้ง บ้านพญาพิภักดิ์ ตำบลยางฮอม สะท้อนถึงมิติทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง และโอกาสพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชุมชนเชิงอนุรักษ์

อย่างไรก็ตาม อำเภอขุนตาลยังคงเปราะบางต่อปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในฤดูฝน เมื่อฝนตกหนักระดับน้ำในแม่น้ำอิงและลำห้วยสายต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมักเกิดน้ำป่าไหลหลาก แม้จะมีการปรับปรุงถนนสายหลักเช่น ทางหลวง 1421 และ 1020 และแผนพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเสริมศักยภาพการค้า แต่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบยั่งยืนและระบบเตือนภัยล่วงหน้ายังคงเป็นประเด็นสำคัญ

ขุนตาล…บทเรียนการพัฒนาเมืองเปราะบาง

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการพัฒนาเมืองอย่างสมดุลและคำนึงถึงความเปราะบางทางสิ่งแวดล้อม แม้อำเภอขุนตาลจะมีศักยภาพสูงในเชิงเศรษฐกิจ เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว หากแต่การเติบโตอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ การวางผังเมือง การใช้ที่ดินอย่างสมดุลระหว่างเกษตร อนุรักษ์ป่า และพื้นที่ชุมชน ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียม

  1. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์
    การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะถนนสายหลักและโครงข่ายเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน เป็นโอกาสสำคัญในการขยายเศรษฐกิจและการค้า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ
  2. เกษตรกรรมและการแปรรูป
    ภาคเกษตรยังเป็นหัวใจหลักของชุมชน การเพิ่มมูลค่าโดยการแปรรูปและพัฒนาอุตสาหกรรมท้องถิ่น จะช่วยกระจายรายได้และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    อำเภอขุนตาลมีศักยภาพการท่องเที่ยวสูง ทั้งวัดวาอาราม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ การพัฒนาเชิงกลยุทธ์โดยเน้นการสร้างอัตลักษณ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยว
  4. การบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ
    การตอบสนองฉับไวของนายอำเภอขุนตาลในการแจกกระสอบทราย สำรวจความเสียหาย และสั่งการเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต แต่สิ่งที่จำเป็นในระยะยาวคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการวางแผนบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งระดับอำเภอและภูมิภาค

ข้อเสนอแนะสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • สร้างระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านและตำบล
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ ในกระบวนการตัดสินใจและรับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม
  • พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการเกษตรแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าในชุมชน
  • ใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการวางแผนการใช้ที่ดินและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในอำเภอขุนตาลครั้งนี้ สะท้อนทั้งความเปราะบางและศักยภาพของพื้นที่ในเวลาเดียวกัน การตอบสนองของนายอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น แต่การพัฒนาที่ยั่งยืนของขุนตาลต้องอาศัยการวางแผนระยะยาวที่บูรณาการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสถานการณ์อุทกภัย อำเภอขุนตาล วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 (อำเภอขุนตาล)
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กรมทางหลวง
  • เว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

อีกหนึ่งบทเรียนน้ำท่วม สร้าง ‘คู่มือรับมือ’ สู่เมืองรับภัยยั่งยืน

ถอดบทเรียนเพื่ออนาคต: “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย”

เชียงราย, 28 มิถุนายน 2568 – จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย 27 มิถุนายน 2568กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนทั้งความท้าทายและความเข้มแข็งของระบบการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ภาพของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ลงพื้นที่มอบข้าวกล่อง ผ้าห่ม และถุงยังชีพให้ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย คือภาพแทนของการทำงานที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พร้อมย้ำชัดเจนถึงความจำเป็นในการ “ถอดบทเรียน” เพื่อเตรียมรับมือภัยพิบัติในอนาคตอย่างเป็นระบบ

ภาพรวมสถานการณ์และมาตรการเร่งด่วน

หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของเชียงราย ส่งผลให้น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรเป็นวงกว้าง ทางจังหวัดได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที ทั้งการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ขนย้ายสิ่งของสู่ที่สูง การจัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือ การเตรียมครัวสนามแจกจ่ายอาหาร รวมถึงการลำเลียงกลุ่มเปราะบางออกจากพื้นที่เสี่ยงอันตราย

อย่างไรก็ดี แม้การบูรณาการความร่วมมือจะเป็นไปอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง แต่ก็พบ “จุดอ่อน” และ “ข้อจำกัด” ในการรับมือกับวิกฤต เช่น ช่องว่างของระบบเตือนภัย ความสับสนในกระบวนการอพยพบางพื้นที่ รวมถึงการประเมินความเสี่ยงและเตรียมพร้อมของประชาชนในพื้นที่ต่ำหรือพื้นที่ติดลำห้วย

วิเคราะห์และถอดบทเรียน “น้ำท่วมเชียงราย 2568”

สิ่งสำคัญที่จังหวัดเชียงรายต้อง “ถอดบทเรียน” จากเหตุการณ์นี้ให้ได้มากที่สุด ได้แก่

  1. การวิเคราะห์สาเหตุและพฤติกรรมของน้ำท่วม
    ควรมีการศึกษาข้อมูลสถิติฝนตกและลักษณะภูมิประเทศเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ พร้อมวิเคราะห์จุดเสี่ยงและความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รับน้ำ เพื่อประเมินแนวโน้มความรุนแรงในอนาคต
  2. ประสิทธิภาพระบบเตือนภัย
    ต้องประเมินความทันสมัยของเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝน จุดตรวจวัดน้ำท่า และระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าทั้งผ่าน Cell Broadcast วิทยุชุมชน และสื่อโซเชียล พร้อมทบทวนขั้นตอนแจ้งเตือนและอพยพให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าใจตรงกัน
  3. การสำรวจจุดอ่อนและการประสานงาน
    สำรวจขั้นตอนการอพยพและการจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว การบริหารเครื่องมือและอุปกรณ์ฉุกเฉิน ความชัดเจนของบทบาทแต่ละหน่วยงานในภาวะวิกฤต รวมถึงช่องทางการสื่อสารกับประชาชนให้มีประสิทธิภาพ
  4. การวางแผนฟื้นฟูและช่วยเหลือหลังภัย
    เร่งสำรวจและประเมินความเสียหายเพื่อจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม ทันเวลา และโปร่งใส พร้อมวางแผนฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ระบบประปา ระบบไฟฟ้า และพื้นที่เกษตรกรรมโดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน

แนวทางสู่ “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย”

เมื่อบทเรียนได้รับการสรุปอย่างรอบด้าน จังหวัดเชียงรายควรเดินหน้าจัดทำ “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย” ที่มีเนื้อหาเฉพาะสอดรับกับบริบทพื้นที่ ประกอบด้วยแนวทางปฏิบัติสำหรับทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นในระดับหมู่บ้าน – ชุมชน ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การแจ้งเตือน การอพยพ การช่วยเหลือฉุกเฉิน ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังน้ำลด รวมถึงข้อมูลเส้นทางอพยพ จุดปลอดภัยในแต่ละพื้นที่ หมายเลขติดต่อฉุกเฉิน และแบบฟอร์มสำรวจความเสียหาย

การมีคู่มือฯ ที่เป็นรูปธรรมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือ ลดความสูญเสีย และเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต

สรุป

ภัยพิบัติในครั้งนี้คือบททดสอบที่สำคัญของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงราย ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างตระหนักดีว่าการ “ถอดบทเรียน” และ “พัฒนาแนวทางป้องกัน” ให้รัดกุมและทันสมัยคือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจังในอนาคต การมี “คู่มือรับมือน้ำท่วมฉบับเชียงราย” ที่เกิดจากประสบการณ์จริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่สร้างความมั่นใจและลดความสูญเสียในทุกมิติ สร้างเมืองที่มีภูมิคุ้มกัน พร้อมเผชิญทุกวิกฤตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ภัยน้ำไม่หวั่น! เชียงรายเดินหน้าติดตั้งโทรมาตรน้ำ สร้างเครือข่ายประชาชน

เชียงรายเดินหน้าสร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยภาคประชาชน ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำริมแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย เสริมแผนรับมือภัยพิบัติอย่างมีส่วนร่วม

เชียงราย, 20 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายประกาศเดินหน้าก้าวสำคัญในการสร้างระบบการแจ้งเตือนภัยและบริหารจัดการภัยพิบัติระดับชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อแจ้งเตือนภัยในลำน้ำแม่กกและลำน้ำแม่สายอย่างมีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้ายกระดับการป้องกันภัยพิบัติให้ครอบคลุมทั้งมิติทางวิทยาศาสตร์และมิติของการมีส่วนร่วมในชุมชน

ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง สู่ระบบแจ้งเตือนภัยยุคใหม่

กิจกรรมสำคัญจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศาลาประชาคมหมู่บ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยภายในงานมีหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ตำบลริมกกเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้กล่าวถึงนโยบายสำคัญของจังหวัดในการยกระดับศักยภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของ “เครือข่ายอาสาสมัครแจ้งเตือนภัย” ว่าเป็นฟันเฟืองหลักของการจัดการภัยพิบัติในยุคปัจจุบัน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนจะทำให้ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถดูแลและปกป้องตนเองจากภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน

ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ – เสริมเขี้ยวเล็บระบบเตือนภัยริมลำน้ำสำคัญ

หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมดังกล่าว คณะผู้บริหารจังหวัดได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริเวณจุดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในอดีต เพื่อประเมินสภาพและหาแนวทางบรรเทาปัญหาในระยะยาว จากนั้นเดินทางต่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำกกบ้านเวียงคือนา เพื่อสำรวจจุดติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมสำคัญในการเสริมระบบเตือนภัยน้ำท่วมของจังหวัดในปีนี้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า จังหวัดได้เริ่มติดตั้งโทรมาตรน้ำหรือเสาวัดระดับน้ำอย่างจริงจังในปีงบประมาณ 2568 โดยมีแผนการติดตั้งเสาระดับน้ำจำนวน 10 จุดริมแม่น้ำกก และ 11 จุดริมแม่น้ำสาย เพื่อให้ชุมชนสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนระดับน้ำได้แบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงในการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

ขณะเดียวกัน จังหวัดยังเร่งดำเนินการขุดลอกแม่น้ำกก โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 50 พร้อมเตรียมขยายแผนไปยังแม่น้ำสาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและลดความเสี่ยงน้ำท่วมในฤดูฝน

สร้างความพร้อมและความเข้มแข็งในทุกชุมชน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังเน้นย้ำถึงบทบาทของ “อาสาสมัครแจ้งเตือนภัย” ประจำหมู่บ้านทุกแห่ง โดยอาสาสมัครเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ แจ้งเตือนข้อมูลอย่างถูกต้องแก่ชาวบ้านในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งจุดพักพิงให้กับผู้เปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย รวมถึงการส่งต่ออาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และเวชภัณฑ์ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

“เราจะอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ เราต้องมีหน้าที่ร่วมกัน และให้ความร่วมมือกันทุกฝ่าย นี่คือแผนที่จังหวัดเชียงรายจะดำเนินการร่วมกับส่วนราชการ ท้องถิ่น และประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และร่วมกันฝ่าวิกฤตภัยพิบัติในปี 2568 นี้ไปด้วยกัน” นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวทิ้งท้าย

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของจังหวัดเชียงรายที่ได้นำเทคโนโลยีและแนวคิดการบริหารจัดการร่วมกับชุมชนมาใช้แบบบูรณาการ เสริมศักยภาพให้ประชาชนได้มีบทบาทสำคัญในระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่น ๆ ในการยกระดับการจัดการภัยพิบัติบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและความร่วมมือทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานกิจกรรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชน 20 มิถุนายน 2568
  • คำกล่าวของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35)
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว. หนุนวิจัย “เชียงราย” นำร่องวิจัยโครงสร้างรับมือ ‘น้ำท่วม’

สกสว.หนุนนักวิจัยลงพื้นที่เชียงราย สำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม มุ่งปั้นจังหวัดต้นแบบจัดการสาธารณภัย

เชียงราย, 4 มิถุนายน 2568 – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศเดินหน้า “โครงการสำรวจความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมในภาคเหนือ” โดยเลือก จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่นำร่อง ดึงนักวิจัยวิศวกรรมโครงสร้างและทีมวิศวกรอาสาหลายร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายอย่างเป็นระบบ หวังยกระดับการจัดการสาธารณภัยด้วยองค์ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ผนึกกำลังภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชนเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากในเชียงราย จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

พื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซาก ทั้งอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม รวมถึงแผ่นดินไหวและฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตชุมชน และความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ สกสว. ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย นำทีมสำรวจบ้านเรือน สะพาน ถนน และโครงสร้างสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของน้ำหลาก

ศ. ดร.อมร พิมานมาศ หัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า “เราใช้โอกาสจากเหตุการณ์ฟื้นฟูน้ำท่วมครั้งล่าสุด ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิต สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโครงสร้างสำคัญอย่างเป็นระบบ นำเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ รองรับการวางแผนฟื้นฟูและออกแบบมาตรการป้องกันในอนาคต”

เชียงรายสู่เมืองต้นแบบ “จัดการสาธารณภัย” บูรณาการวิจัย-นโยบาย

จุดเด่นของโครงการคือการนำองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมโครงสร้างมาผสานกับ “ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล” จัดทำ “แผนที่ความเสียหาย” และ “แผนที่เสี่ยงภัย” เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำของรัฐ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องซ่อมแซมหรือป้องกันเป็นการเร่งด่วน

ศ.ดร.อมร ระบุอีกว่า “เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว”

ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน-ภาครัฐ เพิ่มภูมิคุ้มกันสังคมไทย

นอกจากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ระบบป้องกันน้ำท่วมและวิธีลดความเสียหายของโครงสร้างต่อประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาเชิงวิชาการ และคู่มือความรู้สำหรับชุมชน

ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า “ข้อมูลจากงานวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือและฟื้นฟูภัยพิบัติทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสร้างกำแพงกั้นน้ำ ระบบเตือนภัย การออกแบบบ้านเรือนที่ทนทานต่อน้ำหลาก และการวางแผนจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรขยายการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ทั่วประเทศ”

วางรากฐาน “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่” สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม สกสว. เผยว่า “สกสว.มีแผนประสานงานกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อขยายผลโครงการนี้ ทั้งด้านการสร้างฐานข้อมูลเสี่ยงภัยดิจิทัล และการผลักดันนวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ในรูปแบบของสตาร์ทอัพ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดกฎ/เทศบัญญัติเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงสร้างในพื้นที่เสี่ยง”

การทำงานแบบบูรณาการเช่นนี้จะนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำ “แผนที่เสี่ยงภัยแบบซ้อนทับ” (Overlay Risk Map) เพื่อดูจุดเสี่ยงแต่ละประเภทภัยพิบัติในพื้นที่เดียวกัน ต่อยอดสู่การวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเตือนภัยล่วงหน้า และการฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังให้เข้มแข็งขึ้น

ผลลัพธ์และข้อเสนอแนะ

  • เชียงรายเป็นต้นแบบการประสานความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาครัฐ และชุมชนในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก
  • องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สามารถถ่ายทอดสู่พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในประเทศได้จริง
  • ควรผลักดันข้อมูลวิจัยสู่นโยบายและกฎ/เทศบัญญัติในระดับท้องถิ่น
  • สกสว. วางแผนขยายผลสู่การสร้างมาตรฐานวิศวกรรมภัยพิบัติสำหรับประเทศไทย
“การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (โครงการต้นแบบ จังหวัดเชียงราย)” ซึ่งมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) www.tsri.or.th
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) www.disaster.go.th
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • รายงานประชุมและข้อมูลโครงการ “การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (เชียงราย)”
  • ข่าวที่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวไทย, ThaiPBS, สยามรัฐ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันเอง น้ำ-ผัก-ปลา ปลอดสารหนู

เชียงรายยืนยัน “น้ำประปา-ผัก-ปลา” ปลอดภัย ไร้สารหนูปนเปื้อน ตรวจสอบมาตรฐานสากล พร้อมทหารเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงยืนยันคุณภาพน้ำประปา ผัก และปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก “ปลอดภัย” หลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือมาตรฐานสากล โดยไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน ทั้งยังมีมาตรการเฝ้าระวังและการจัดการปัญหาน้ำท่วมต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

การแถลงข่าวความปลอดภัยด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เฝ้าระวัง

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์คุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน อาหารจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการตรวจสอบความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

นายชรินทร์ ทองสุข ระบุว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อหลักและสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด แต่ผลการทดสอบโดยเครื่องมือเบื้องต้น (Test Kit) ไม่สามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ จำเป็นต้องอาศัยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025:2017 สามารถตรวจวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้

ข้อมูลการตรวจสอบและผลการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า หลังมีข่าวการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานกำหนด กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกและแหล่งน้ำใกล้เคียงใน 6 อำเภอ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่าไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน โดยพบปริมาณน้อยกว่า 0.001 – 0.009 มิลลิกรัมต่อลิตร

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่อีกครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านบริเวณใกล้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในอำเภอแม่สายและเชียงแสน รวม 6 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบปริมาณสารหนูน้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด

ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2568 ได้วางแผนเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก และปลา รวมชนิดละไม่น้อยกว่า 19 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์โดยวิธีมาตรฐานสากล (Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023. part 3030, 3110 : p 3-10) ด้วยเทคนิค AAS และ AOAC 2015.01 เทคนิค ICP-MS ในระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017

ผลการตรวจสอบครั้งแรกจำนวน 80 ตัวอย่าง แบ่งเป็นน้ำประปาหมู่บ้าน 36 ตัวอย่าง พืชผัก 21 ตัวอย่าง และปลาแม่น้ำ 23 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ ผลการตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท และแมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน

การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงและการดูแลประชาชน

จากกรณีประชาชนในอำเภอแม่สายบางรายมีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำตรวจสารหนูเบื้องต้นด้วย Test Kit จำนวน 3 จุด ไม่พบการปนเปื้อนแต่อย่างใด และเก็บตัวอย่างบ่อน้ำบาดาล 6 จุด ตรวจหาสารปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจยืนยันว่าไม่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งน้ำประปา พืชผัก และปลา

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนใช้เฉพาะน้ำที่ผ่านการกรองหรือปรับปรุงคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมแนะนำกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

การบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสารสาธารณะ

นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ยืนยันถึงการเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการด้านสุขภาพอย่างเข้มข้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งมีการเก็บตัวอย่างตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการดำเนินการอย่างโปร่งใสแก่ประชาชนทุกระยะ

มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฝากถึงประชาชนในพื้นที่ ให้มั่นใจในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกด้าน

ทหารบกเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมพื้นที่แม่สาย

ในวันเดียวกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการก่อสร้างพนังคอนกรีตและคันดินริมแม่น้ำสาย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การต้อนรับ

การดำเนินงานของทหารช่างในพื้นที่แม่สาย มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวเพื่อป้องกันน้ำท่วมทะลักเข้าชุมชน ในพื้นที่ที่มีอาคารติดแม่น้ำสาย ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดช่องประตูหน้าต่างอย่างเข้มงวด ขณะที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ได้มอบดอกไม้และป้ายขอบคุณแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือในทุกมิติ

สถานการณ์ปัจจุบันและข้อเสนอแนะต่อสาธารณชน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า สถานการณ์สารหนูปนเปื้อนในแหล่งน้ำจังหวัดเชียงรายขณะนี้ ยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าเฝ้าระวังต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพและใช้เฉพาะน้ำประปาที่ผ่านการรับรอง พร้อมติดตามข่าวสารจากราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

  • ผลตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก ปลา จำนวนรวม 80 ตัวอย่าง ไม่พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
  • ปริมาณสารหนูในน้ำประปาเฉลี่ยน้อยกว่า 0.001–0.009 มก./ลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (อ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)
  • ผลตรวจโลหะหนักอื่นๆ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท แมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (อ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย)
  • ข้อมูลอ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร, Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023, ISO/IEC 17025:2017

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เตรียมพร้อม เชียงรายวางแผน สู้ภัยพิบัติ “น้ำท่วม” ไม่ประมาท

เชียงรายประชุมวางแผนรับมือภัยพิบัติ เน้นเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง-ซ้อมรับมือ-สื่อสารชัดเจนก่อนวิกฤติ

เชียงราย, 14 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเชิงรุกประชุมวางแผนบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า การซักซ้อมแผนในพื้นที่เปราะบาง และการสื่อสารเตือนภัยแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและทั่วถึง

ผู้ว่าฯ นำทีมประชุมกำหนดทิศทางรับมือภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการภัยพิบัติของจังหวัด โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาที่จังหวัดเชียงรายเผชิญหน้าในรอบหลายปีที่ผ่านมา

จัดทำแผนเผชิญเหตุครอบคลุมทุกระดับ

ที่ประชุมมีมติให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคความมั่นคง และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยอย่างละเอียด โดยเน้นระดับพื้นที่ให้ครอบคลุมตั้งแต่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงระดับจังหวัด

ในแผนดังกล่าว แบ่งพื้นที่เป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. พื้นที่เปราะบาง ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำท่วม เช่น โรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ หมู่บ้านชุมชนแออัด และเส้นทางคมนาคมสายหลัก
  2. พื้นที่รองรับน้ำ ที่อาจต้องถูกใช้เป็นที่รองรับกรณีเกิดภาวะวิกฤติ เช่น ที่ราบลุ่ม ชุมชนใกล้แหล่งน้ำ หรือพื้นที่โล่งกลางเมือง ซึ่งจะต้องมีแผนรองรับกรณีอพยพ การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ระบบสนับสนุนด้านสุขภาพและอาหาร ตลอดจนการประสานงานข้ามหน่วยงานให้พร้อมใช้งานทันที

ฝึกซ้อมแผนให้พร้อมใช้จริง ไม่ต้องรอภัยพิบัติมาก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำว่า “แผนจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่มีการฝึกซ้อม” ดังนั้นจึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในพื้นที่เปราะบางเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องรอการฝึกขนาดใหญ่ของจังหวัด

การฝึกซ้อมควรครอบคลุมทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง ไปจนถึงการซ้อมแผนในระดับตำบล อำเภอ และศูนย์บัญชาการจังหวัด เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอาสาสมัครในพื้นที่

ระบบเตือนภัยต้องเป็นข้อมูลเรียลไทม์ เข้าใจง่าย เข้าถึงได้

อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกในการประชุมครั้งนี้ คือ “ระบบเตือนภัย” โดยมีข้อเสนอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำท่าทั้งแบบอัตโนมัติและแบบตรวจสอบด้วยคน (manual)

ข้อมูลทั้งหมดต้องถูกรวบรวมและแสดงผลแบบ REAL-TIME พร้อมมีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ การแจ้งเตือนผ่านเสียงตามสาย หอกระจายข่าว หรือข้อความ SMS รวมถึงการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไป เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ทันท่วงที

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงต้นแบบฝึกซ้อมแผน

เพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินการฝึกซ้อมแผนป้องกันภัยพิบัติ ที่ประชุมมีมติให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดการฝึกซ้อมในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยใช้แผนเผชิญเหตุที่วางร่วมกับหน่วยงานรัฐ พร้อมทดสอบระบบเตือนภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการประสานงานในสถานการณ์วิกฤติอย่างครบวงจร

การฝึกซ้อมครั้งนี้จะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมสังเกตการณ์และศึกษาแนวทางการจัดการ เพื่อขยายผลสู่ชุมชนและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงราย

บทสรุปและแนวทางต่อยอด

แนวทางทั้งหมดที่ประชุมเห็นชอบในครั้งนี้ เป็นการกำหนดรากฐานของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการ ซึ่งไม่เพียงป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า “เราไม่สามารถหยุดฝนได้ แต่เราสามารถหยุดความสูญเสียได้ หากเรามีแผนที่ดีและซ้อมจนเกิดความพร้อมสูงสุด”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย: 22 อำเภอ 94 ตำบล (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จำนวนประชากรในพื้นที่เสี่ยงระดับสูง: ประมาณ 285,000 คน (ข้อมูล: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำและฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย: รวม 137 สถานี (อ้างอิง: กรมชลประทาน, 2566)
  • พื้นที่รองรับน้ำตามแผนจัดการน้ำท่วม: มากกว่า 45 จุดในระดับตำบล (ที่มา: แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567)

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการป้องกันล่วงหน้า ซ้อมเพื่อความพร้อม และสื่อสารให้ชัดเจน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
  • กรมชลประทาน, 2566
  • แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

สกสว. หนุนวิศวกรจิตอาสาร่วมฟื้นฟู เมืองเชียงรายอัจฉริยะ ‘รับมือทุกภัยพิบัติ’

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้สนับสนุนทีมวิศวกรจิตอาสาจากสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยและมูลนิธินายช่างไทยใจอาสา ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมและดินโคลนถล่มในเขตอำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย พร้อมวางแนวทางฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยศูนย์เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นผู้นำทีม

สำรวจความเสียหายพร้อมวางแผนฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน

ทีมวิศวกรจิตอาสาได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายทั้งในเขตอำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบระบบโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า ถนนและบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในการซ่อมแซมเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ พร้อมสนับสนุนการสร้างบ้านใหม่ในพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงการจัดทำรูปแบบและประมาณราคาในการก่อสร้างเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่

นายชูเลิศ จิตเจือจุน อุปนายกสมาคมฯ ได้สรุปสถานการณ์ในอำเภอแม่สายว่าความเสียหายยังคงรุนแรง และคาดว่าต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากการเข้าถึงพื้นที่ประสบปัญหาเป็นไปได้ยาก ต้องใช้เครื่องจักรขนาดเล็กและการขนส่งด้วยเท้า โดยเฉพาะพื้นที่ริมน้ำที่มีดินโคลนจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการวางแผนจัดการน้ำอย่างละเอียดอ่อนเนื่องจากแม่สายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและมีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางชายแดน

อบจ.เชียงรายร่วมมือวิศวกรวางแผนฟื้นฟูและเสริมความปลอดภัยในพื้นที่

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ได้กล่าวว่า อบจ.เชียงรายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับทีมวิศวกรจิตอาสาและหน่วยงานท้องถิ่น เช่น นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เพื่อสำรวจความเสียหายอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ โดยจุดสำรวจเร่งด่วนได้แก่ บ้านอยู่สุข อ.เวียงแก่น ซึ่งมีบ้านเรือนเสียหายจำนวน 13 หลัง และ บ้านห้วยทรายขาว อ.เวียงป่าเป้า ที่ดินถล่มทำลายบ้านเรือนกว่า 10 หลัง

สำหรับการฟื้นฟูโรงเรียนที่บ้านห้วยหินลาด อ.เวียงป่าเป้า นั้น ทีมวิศวกรได้เสนอแนวทางเสริมโครงสร้างเหล็กพิเศษเพื่อรองรับแรงลมและแรงแผ่นดินไหว หากต้องสร้างโรงเรียนในพื้นที่เดิม ส่วนถนนบริเวณบ้านเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากแรงดันน้ำจนพนังกั้นน้ำแม่กกแตก ทีมวิศวกรเสนอให้เสริมพนังคอนกรีตและยกคันดินให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะในอนาคต

เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างโมเดลเชียงรายเมืองอัจฉริยะ

แผนการฟื้นฟูระยะสั้นของ อบจ.เชียงราย คือการเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงปกติอย่างน้อย 80% ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับฤดูกาลท่องเที่ยว โดยอบจ.มีแผนจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายริมน้ำกก และกิจกรรมการค้าขายในพื้นที่อำเภอแม่สาย ต.โป่งงาม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาติพันธุ์ต่าง ๆ

นอกจากนี้ในระยะยาว ทีมวิศวกรจิตอาสาและ อบจ.เชียงราย ได้เสนอแนวคิด “โมเดลเชียงราย เมืองสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ” เพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืน รวมถึงการวางระบบเตือนภัยที่ครอบคลุมทุกด้าน เช่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และฝุ่นควัน PM2.5 โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเพื่อสร้างความปลอดภัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

การบูรณาการและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน

การฟื้นฟูครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังรวมถึงการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคตอย่างรอบด้าน โดยมี ศ. ดร.รัฐพล เกติยศ รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ร่วมเสนอแนวทางในการจัดทำระบบแก้มลิงและการระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ สกสว. ยังสนับสนุนการวิจัยเพื่อประยุกต์ใช้ข้อมูลทางวิชาการและเทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติ โดยจะร่วมกับคณะกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในด้านต่าง ๆ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)

โดย ผศ.ดร.รัฐพล เกติยศ รองคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย กล่าวว่าการจัดการเมืองที่คำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ และการเตรียมตัวเพื่อรับมือเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ลาดดินถล่ม ฝุ่น PM 2.5 ฯลฯ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดการทรัพยากรน้ำ การดูแลสภาพอากาศ การบริหาร จัดการของเสีย และการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ตลอดจนเพิ่ม การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข  อย่างยั่งยืน 

บทสรุป: เชียงราย เมืองอัจฉริยะเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

การฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่เชียงรายครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาในระยะยาว โดยมีการใช้เทคโนโลยีและการจัดการเมืองอย่างครบวงจร เพื่อให้เชียงรายกลายเป็นเมืองต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะและมีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News