Categories
HEALTH

Soft Power สุขภาพนำร่อง! เชียงรายเปิด “Wellness City” ตอบรับเมกะเทรนด์โลก

เชียงรายกับ Soft Power ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสุขภาพสู่ระดับโลก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  – เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้วยพลังอ่อน (Soft Power) การที่จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “เมืองท่องเที่ยว” สู่ “เมืองแห่งสุขภาพ” (Wellness City) อาจเป็นบทตอบของความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ผลสำรวจจากสถาบันศิโรจน์ผลพันธินร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ได้ส่องแสงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไทยพึงมีในการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย” ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 58.24% ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านทั้งแบบสำรวจออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งผลที่ได้มิเพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้ทิศทางการพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย

จากฝันสู่ความเป็นจริงของ Wellness City

ในขณะที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพบนระดับชาติ เชียงรายกลับเป็นจังหวัดที่กำลังนำเครื่องในทางปฏิบัติ ด้วยการเปิดตัว “Chiang Rai Wellness City 2025” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้นำทัพในการขับเคลื่อนโครงการครั้งสำคัญนี้

“เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025 (Chiang Rai Wellness city bolet)” ไม่ใช่เพียงแค่สโลแกนหรือแนวคิดเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่มีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Trail) ที่ครอบคลุม 2 เส้นทางหลัก โดยเส้นทางที่ 2 จะผ่าน “น้ำพุร้อนป่าตึง – ร้านชอบ บราสเซอรี่ เชียงราย – ชุมชนโป่งแดง – น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 200 คน

ความพิเศษของเชียงรายในฐานะ Wellness City ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หากแต่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาแนวคิดสมัยใหม่เข้าด้วยกัน “เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้าน Wellness หรือสุขภาวะเพียบพร้อมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ” ตามที่นักวิชาการชี้ให้เห็น

เมื่อ Soft Power พบกับธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้าน

หากมองในมุมของการตลาดโลก ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2562 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดโลกด้านนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2025 การเติบโตนี้มาจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพ และความตื่นตัวเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยกว่า 45.39% หันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ในตลาดภายในประเทศ ความต้องการด้านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยุทธศาสตร์ Soft Power จากท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ผลสำรวจครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลก โดยอันดับ 1 คือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก” ด้วยสัดส่วน 70.78% ตามมาด้วย “การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์” 68.12% และ “การใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก” 57.64%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งหลักที่ประชาชนไทยมองว่าสามารถนำไปใช้เป็น Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมองในมุมของศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจสุखภาพกลับกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและความต้องการของตลาด

เชียงรายในฐานะพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ Soft Power มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้แยกทั้งสองเรื่องออกจากกัน แต่เชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

บทบาทมหาวิทยาลัยและนักศึกษาขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน Soft Power ซึ่งประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยควร “เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power” 61.08% “เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย” 59.40% และ “เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย” 51.24%

สำหรับนักศึกษา ประชาชนเห็นว่าควร “เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ” 64.18% “มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย” 62.50% และ “เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก” 58.33%

ในบริบทของเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่มีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรที่สามารถรองรับการเป็น Wellness City “นักศึกษาเป็นผู้มีทักษะ มีความสามารถในศาสตร์ของตัวเองเป็นอย่างดี พัฒนาต่อยอดได้ สู่การเป็นมืออาชีพ” ตามปณิธานของสถาบัน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าภาพรวมจะดูในแง่บวก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่มีอยู่ เมื่อถามถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบระดับนานาชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ 43.97% เห็นว่า “มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม” ขณะที่ 29.08% เห็นว่า “มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ประชาชนอยากเห็น “หลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ” 65.72% “การร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power” 56.66% และ “การผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” 54.53%

สำหรับเชียงราย การเป็น Wellness City ที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับมาตรฐานสากล การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสุขภาวะในระยะยาว

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

การที่เชียงรายเลือกใช้ Soft Power ในรูปแบบของ Wellness City นั้น มีทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

จุดแข็งหลักอยู่ที่การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ และตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นประตูสู่อาเซียน ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างมาตรฐานการบริการที่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดนานาชาติ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

หากดูจากแนวโน้มตลาดโลก การเติบโตของธุรกิจ Wellness Tech ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เชียงรายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ

การสำรวจของสถาบันศิโรจน์ผลพันธินและสวนดุสิตโพลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางที่เชียงรายกำลังดำเนินการอยู่นั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสังคม

ความสำเร็จของ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ” จะไม่ได้วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเรื่องของ Hard Power เท่านั้น แต่รวมถึง Soft Power ที่สามารถสร้างอิทธิพลและดึงดูดใจได้ การที่เชียงรายเลือกใช้ธุรกิจสุขภaวะเป็นจุดยืน อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำ Soft Power ของไทยไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

เส้นทางสู่การเป็น Wellness City ที่แท้จริงยังมีอีกยาวไกล แต่เมื่อมองจากความพยายามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทำให้เชื่อได้ว่าเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นแบบอย่างของการใช้ Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ระดับสากลได้อย่างแท้จริง

สรุปผลได้ สำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power”

“สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชน ทั่วประเทศ เรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนคิดว่าประเทศไทยควรใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลกได้อย่างไร

  • อันดับ 1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก 70.78%
  • อันดับ 2 ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ 68.12%
  • อันดับ 3 ใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก 57.64%

2. Soft Power เรื่องใดที่ประชาชนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต


  • อันดับ 1 ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย 58.24%
  • อันดับ 2.ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์.55.85%
  • อันดับ 3 ศิลปิน-นักออกแบบร่วมสมัย และอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟ.53.63%

3.ประชาชนคิดว่า “มหาวิทยาลัยไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการพัฒนา Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power 61.08%
  • อันดับ 2 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย 59.40%
  • อันดับ 3 เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย 51.24%

4. ประชาชนคิดว่า “นักศึกษาไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ 64.18%
  • อันดับ 2 มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย 62.50%
  • อันดับ 3.เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก 58.33%


5. ประชาชนคิดว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบในระดับนานาชาติหรือไม่

  • อันดับ 1 มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม 43.97%
  • อันดับ 2 มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 29.08%
  • อันดับ 3 ศักยภาพยังไม่เพียงพอ ควรเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ 20.66%
    อันดับ 4 ยังไม่สามารถประเมินได้ 6.29%

6. ประชาชนอยากเห็นความร่วมมือด้านใดมากที่สุดระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศในการพัฒนา Soft Power

  • อันดับ 1 มีหลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ 65.72%
  • อันดับ 2 ร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power 56.66%
  • อันดับ 3 ผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 54.53%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน และสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ผลสำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, โครงการ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025”
  • ThaiPublica, บทความ “พัฒนาเชียงรายให้เป็น Wellness City แห่งแรกของไทย”
  • Nakorn Chiang Rai News, “ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก!”
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายคว้าอันดับ 1 เมืองรองท่องเที่ยวไทย ครึ่งปีแรก 2568 รายได้ทะลุเป้า

เชียงรายผงาดแชมป์เมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ สร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาท

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมีข่าวดีเป็นอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เมื่อจังหวัดเชียงรายก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาถึง 3.38 ล้านคน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 25,958 ล้านบาท ตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมของนโยบายกระจายการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น

ข้อมูลสถิติเผยความสำเร็จที่น่าประทับใจ

ข้อมูลล่าสุดจากเพจ The Rankings ซึ่งอ้างอิงตัวเลขทางการจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 แสดงให้เห็นภาพความสำเร็จที่ชัดเจนของเชียงราย โดยจังหวัดนี้สามารถครองตำแหน่งอันดับ 12 จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศในด้านจำนวนผู้เยี่ยมเยือนสูงสุด และยืนหยัดในอันดับ 9 สำหรับรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เมื่อจำกัดขอบเขตการพิจารณาเฉพาะภาคเหนือ 17 จังหวัด เชียงรายยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเมื่อขึ้นสู่ตำแหน่งรองแชมป์ รองจากเชียงใหม่เท่านั้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยว 3,378,757 คน และรายได้ 25,958 ล้านบาท ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเชียงรายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของภาคเหนือให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

การแข่งขันในกลุ่มเมืองรองที่ทวีความเข้มข้น

ภาพรวมของการแข่งขันในกลุ่มเมืองรองแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของแผนที่การท่องเที่ยวไทย โดยเชียงรายสามารถทิ้งห่างคู่แข่งในกลุ่มเมืองรองได้อย่างชัดเจน จากสถิติ 5 อันดับแรกเมืองรองที่มีผู้เยี่ยมเยือนสูงสุด ประกอบด้วย เชียงราย (3,378,757 คน) นำหน้าสุพรรณบุรี (3,344,043 คน) สมุทรสงคราม (3,046,131 คน) อุดรธานี (2,559,369 คน) และอุบลราชธานี (2,413,180 คน) ตามลำดับ

การที่เชียงรายสามารถเก็บเกี่ยวผลสำเร็จเช่นนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น ที่ร่วมกันสร้างสรรค์และพัฒนาเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ

กลยุทธ์การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จ

คุณนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการท่องเที่ยวใน 17 จังหวัดของภาคเหนือ เผยให้เห็นถึงปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จของเชียงรายในครั้งนี้

“สิ่งหนึ่งที่เราต้องการให้แต่ละจังหวัดขับเคลื่อนและผลักดันในการนำนักท่องเที่ยวเข้ามา คือการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการประสานงานกับสายการบินต่างๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของแต่ละจังหวัด” คุณนงเยาว์กล่าว

คุณนงเยาว์ชี้ให้เห็นว่า ช่วงกรีนซีซัน (ฤดูฝน) ซึ่งเป็นช่วงที่ธรรมชาติเขียวขจีและสวยงามที่สุดของเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดขายสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ “ในช่วงกรีนซีซัน ภูเขาและที่พักต่างๆ จะมีความสวยงามมาก เราจึงมุ่งเน้นการอัดแคมเปญให้นักท่องเที่ยวทั่วประเทศและทั่วโลกได้มาสัมผัสวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ต่างๆ ในเชียงราย รวมถึงชา-กาแฟคุณภาพสูงท่ามกลางบรรยากาศที่บริสุทธิ์”

กลยุทธ์นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองจากการมองว่าฤดูฝนเป็นช่วงท่องเที่ยวต่ำ (Low Season) มาเป็นจุดขายพิเศษที่มีความโดดเด่นและแตกต่างจากช่วงอื่นๆ การเน้นย้ำถึงเอกลักษณ์ด้านความหลากหลายทางชาติพันธุ์ การปลูกชา-กาแฟในพื้นที่ดอยสูง และบรรยากาศที่เงียบสงบ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยว

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่กว้างไกล

ความสำเร็จของเชียงรายในฐานะเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 มีผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างไกลกว่าตัวเลขรายได้ 25,958 ล้านบาท การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวกว่า 3.3 ล้านคนในครึ่งปีแรก ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นในหลายมิติ

เงินที่นักท่องเที่ยวใช้จ่ายไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะในธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ค่าที่พักในรีสอร์ทและโรงแรมท้องถิ่น ค่าอาหารในร้านอาหารและแผงลอย ค่าการเดินทางและขนส่ง ค่าซื้อสินค้าหัตถกรรมและของฝากจากชุมชน ค่าบริการไกด์ท้องถิ่น และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

การเจริญเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในเชียงรายยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก และการยกระดับคุณภาพการบริการ ซึ่งจะสร้างประโยชน์ต่อเนื่องแก่ประชาชนในพื้นที่และธุรกิจที่เกี่ยวข้องในระยะยาว

การกระจายรายได้สู่ภูมิภาคที่เป็นจริง

ผลสำเร็จของเชียงรายสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของนโยบายกระจายการท่องเที่ยวสู่ภูมิภาคที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม การที่จังหวัดซึ่งไม่ใช่เมืองหลักทางการท่องเที่ยวสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 3 ล้านคน และสร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาท เป็นสัญญาณที่ดีของการลดการกระจุกตัวในกรุงเทพมหานครและเชียงใหม่

การเติบโตนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระจากเมืองหลักที่อาจเกิดปัญหาการท่องเที่ยวล้นเมือง (Over-tourism) แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสให้จังหวัดอื่นๆ ได้เรียนรู้และปรับใช้แนวทางที่ประสบความสำเร็จ เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของตนเองให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าเชียงรายจะประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจในปัจจุบัน แต่การรักษาและพัฒนาต่อยอดความสำเร็จนี้ให้ยั่งยืนจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ความท้าทายสำคัญประการแรกคือการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นจุดขายหลักของเชียงราย การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ คุณภาพอากาศ และความสงบเงียบที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม

ความท้าทายด้านที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทั้งในเรื่องของเส้นทางคมนาคม ที่พัก ระบบสาธารณูปโภค และบริการต่างๆ ที่จำเป็นต้องขยายขีดความสามารถอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ก็มาพร้อมกับโอกาสมากมาย เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง การที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนกับเมียนมารและลาวเป็นจุดแข็งสำคัญในการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ

นอกจากนี้ การมีฐานทางการเกษตรที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการปลูกชาและกาแฟคุณภาพสูง ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้เชียงรายสามารถรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มเมืองรองท่องเที่ยวและพัฒนาต่อยอดความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานในหลายมิติ

ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว ควรมุ่งเน้นการสร้างความหลากหลายของกิจกรรมท่องเที่ยวให้ครอบคลุมทุกกลุ่มนักท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชิงวัฒนธรรม เชิงผจญภัย และเชิงสุขภาพ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างจุดขายที่แข็งแกร่งมากขึ้น

ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ควรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ในการสร้างการรับรู้และประสบการณ์ที่น่าประทับใจ การเล่าเรื่องราว (Storytelling) ที่มีเอกลักษณ์และสร้างความผูกพันทางอารมณ์จะช่วยให้เชียงรายติดอยู่ในความทรงจำของนักท่องเที่ยวและกลายเป็นแรงบันดาลใจในการกลับมาเยือนอีกครั้ง

ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จำเป็นต้องยกระดับความรู้และทักษะของผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งด้านการบริการ ภาษาต่างประเทศ และการเข้าใจวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ

ก้าวใหม่ของการท่องเที่ยวไทย

ความสำเร็จของเชียงรายในการขึ้นสู่ตำแหน่งเมืองรองท่องเที่ยวอันดับ 1 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 3.3 ล้านคนและรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2568 เป็นมากกว่าตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแผนที่การท่องเที่ยวไทย

การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและการสร้างโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลัก ขณะเดียวกันก็เป็นแรงบันดาลใจให้จังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเอง

การที่เชียงรายสามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ เกิดจากการผสมผสานระหว่างทรัพยากรธรรมชาติที่งดงาม ความหลากหลายทางวัฒนธรรม การวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ และการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ในขณะที่ประเทศไทยเตรียมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสำเร็จของเชียงรายจึงเป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ใหญ่ที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจ The Rankings
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยสูญเสียตลาดจีน! เวียดนามผงาด เหตุเงินบาทแข็ง-ความปลอดภัย-เศรษฐกิจจีน

นักท่องเที่ยวจีนเมินไทย แห่ไปเวียดนาม วิกฤต “ปีทอง” การท่องเที่ยวไทยที่ต้องเร่งปรับตัว

วิกฤตใหม่ไทยสูญเสียตำแหน่งเจ้าตลาดท่องเที่ยวจีนในภูมิภาค

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – ในอดีตประเทศไทยเคยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน แต่วันนี้ภูมิทัศน์การท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยว่า ในครึ่งแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลงเหลือ 16 ล้านคน ลดลง 4.2% จากปีที่ผ่านมา ที่น่าตกใจคือ สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยสูงถึง 28% ในปี 2562 และ 19% ในปี 2567 ลดเหลือไม่ถึง 14% ในปีนี้

ขณะที่เวียดนามกลับผงาดขึ้นเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 78% ในไตรมาสแรกปี 2568 แซงหน้าไทยด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า 200,000 คน ทะลุเป้าหมายในเวลาอันสั้น ดานังและญาจางคือหัวเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุด จากรีสอร์ตหรูไปจนถึงชายหาดที่เงียบสงบ

ปัจจัยฉุดรั้งประเทศไทยเงินบาทแข็ง-ความปลอดภัย-เศรษฐกิจจีน

สาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดความสนใจประเทศไทยมีหลายปัจจัย ทั้งการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินหยวนซึ่งลดความน่าสนใจในด้านราคาสินค้าและบริการ ในทางกลับกัน เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนามและรูเปียห์ของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าได้ “ความคุ้มค่า” มากกว่าในสองประเทศนี้

อีกปัจจัยสำคัญคือปัญหาด้านความปลอดภัย ภาพยนตร์และข่าวในสื่อจีน เช่น “No More Bets” ที่นำเสนอเรื่องราวการหลอกลวงในภูมิภาคนี้ การกราดยิงในห้างสยามพารากอน เหตุการณ์แผ่นดินไหว และกรณีลักลอบค้ามนุษย์ ล้วนแต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของประเทศไทยในสายตาชาวจีน

นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ซบเซาทำให้นักท่องเที่ยวจีนต้องรัดเข็มขัด งบประมาณการเดินทางลดลง 23% จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่ “สดใหม่” และ “ราคาประหยัด” มากกว่าการเดินทางแบบเดิม

ยุทธศาสตร์ใหม่ “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” ทางรอดหรือเพียงความหวัง?

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประกาศปรับกลยุทธ์จาก “เน้นจำนวนนักท่องเที่ยว” เป็น “เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ” โดยพยายามดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และเน้นเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และการท่องเที่ยวรูปแบบเฉพาะทาง เช่น กีฬา งานเทศกาล และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่าการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รถไฟความเร็วสูง ระบบวีซ่าดิจิทัล แม้จะเอื้อต่อกลุ่มพรีเมียม แต่ยังไม่มีหลักประกันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทดแทนการหายไปของตลาดจีนที่สำคัญได้

ตลาดจีนยังสำคัญไทยไม่สามารถละเลยได้

แม้การปรับกลยุทธ์จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า ไทยยังไม่สามารถละเลยตลาดจีนซึ่งเคยสร้างรายได้สูงสุดแก่ประเทศ ในปี 2568 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยไม่ถึง 2 ล้านคน ลดลงเกือบ 1 ใน 3 จากปี 2567 และลดฮวบจาก 11.1 ล้านคนในปี 2562

ททท. ยังเดินหน้าทำตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมมือกับ Baidu ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำแคมเปญ “สวัสดี หนีห่าว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและกระตุ้นให้ชาวจีนกลับมาเที่ยวไทย แต่ผลลัพธ์ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้

นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่เจาะ “ใจ” คือทางรอด

รศ.ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ไม่ต้องการประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจ พวกเขาแสวงหา “ประสบการณ์แท้จริง” (authentic experiences) ที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น มีส่วนร่วมกับชุมชน และให้ความสำคัญกับคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย ไทยควรผลักดัน “ท่องเที่ยวชุมชน” อย่างจริงจัง ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมทั้งในแง่ประสบการณ์และการกระจายรายได้

นอกจากนี้ คุณภาพในสายตานักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ไม่ใช่เพียงความหรูหรา แต่หมายถึงบริการที่ใส่ใจ ความสะดวกสบาย และความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่สินค้า “แมส” ที่หาได้จากทุกประเทศ

สงครามท่องเที่ยวในอาเซียนเวียดนาม-มาเลเซียรุกหนัก ไทยต้อง “ล็อกประตูหลัง”

ขณะนี้อาเซียนกลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่เข้มข้น เวียดนามและมาเลเซียเร่งปลดล็อกมาตรการวีซ่า ขยายเส้นทางบินตรง เปิดบริการรถไฟและพัฒนาคอนเทนต์การท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ขณะที่ไทยยังต้องแข่งขันทั้งเรื่องความปลอดภัย ราคา และประสบการณ์ใหม่ ๆ

นายแกรี โบเวอร์แมน นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกล่าวเตือนว่า ประเทศไทยต้องทำงานหนักขึ้น ต้อง “ล็อกประตูหลัง” หมายถึงการสร้างความภักดีและประสบการณ์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจีนอยากกลับมาเยือนซ้ำ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยความท้าทายใหญ่ที่รอวันพลิกฟื้น

การหายไปของตลาดจีนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ททท. ต้องปรับลดเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวเหลือ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังมีสัดส่วนถึง 12% ของ GDP ไทย นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเตือนว่า หากไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวโดยไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ความเสี่ยงจะสูงขึ้นในระยะยาว

ไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่ใช่แค่พึ่งจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่ยั่งยืน เพื่อทวงคืนความเป็น “ไข่มุกแห่งเอเชีย” ในใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ชาติพันธุ์ล้านนา Soft Power ดันเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จุดประกาย Soft Power เชื่อมชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 16 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือได้นำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างรายได้และความยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน

ภายในงานมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ การสาธิตงานหัตถกรรม และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

Soft Power พื้นถิ่น สู่นโยบายระดับชาติ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของไทยที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ นอกจากสร้างรายได้ให้ชุมชน ยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จึงเป็นมากกว่างานแสดงวัฒนธรรม เพราะเป็นการต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มที่สนใจวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม และประสบการณ์เฉพาะถิ่น

ล้านนาแหล่งวัฒนธรรมที่ยังไม่สิ้นแสง

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม ทั้งจากมรดกทางประวัติศาสตร์ ประเพณี ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และอาหารท้องถิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year)

กิจกรรมในครั้งนี้ จึงเน้นการยกย่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในรูปแบบร่วมสมัย สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตจริงของชุมชน ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

สร้างเวทีให้ชุมชนมีบทบาทในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นายจักรพล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในรูปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวในอนาคต

ในโอกาสนี้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเชื่อมโยงชุมชน เครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างงดงามและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

วิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและลบ

ด้านบวก

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนสามารถนำสินค้าหัตถกรรมมาจำหน่าย เพิ่มรายได้
  • สร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ล้านนา สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
  • ยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยว

ด้านลบ (ข้อควรระวัง)

  • หากขาดการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
  • ความเสี่ยงในการทำลายอัตลักษณ์แท้ของชาติพันธุ์จากการดัดแปลงเพื่อตอบโจทย์ตลาด
  • ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนจริง ไม่เน้นเพียงภาพลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเพื่อการตลาดเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การตีความวัฒนธรรม และการสื่อสารภาพลักษณ์ให้น่าสนใจภายใต้บริบทความเป็นไทยอย่างแท้จริง

การสนับสนุนควรมุ่งสู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ในระยะยาว ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐ และส่งเสริมการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทยกว่า 12.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีเดียวกัน
  • จากรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างรายได้รวมกว่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2567
  • พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน มีจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า 320 ชุมชน ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลปี 2566 จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • งานวิจัยเรื่อง “Soft Power ไทยกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

กวาดล้างทัวร์เถื่อนทั่วไทย ยกระดับท่องเที่ยว ปลอดภัย มั่นใจ

รัฐบาลเร่งกวาดล้างทัวร์เถื่อน-ไกด์เถื่อนทั่วประเทศ โทษหนักปรับสูงสุด 5 แสน

ยกระดับมาตรฐานท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทย,10 พฤษภาคม 2568 – นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงมาตรการใหม่ของรัฐบาล เพื่อกวาดล้างปัญหา “ทัวร์เถื่อน” และ “ไกด์เถื่อน” ทั่วประเทศอย่างจริงจัง

ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ ศปต. ตรวจเข้ม

รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับอีก 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง” หรือ ศปต.

ศูนย์นี้มีเป้าหมายชัดเจน เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์โดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเป็นการหลอกลวงนักท่องเที่ยว และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

ผลการตรวจสอบเข้มข้นล่าสุด

ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงมีนาคม 2568 ศูนย์ฯ ได้ตรวจสอบบริษัทนำเที่ยวแล้ว 940 ราย และมัคคุเทศก์ 338 ราย โดยพบการกระทำผิดในหลายกรณี ดังนี้

  • การประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ไม่แสดงใบอนุญาต
  • ไม่ทำประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว

ส่วนกรณีมัคคุเทศก์พบความผิดหลักคือ ไม่มีใบอนุญาต และไม่แสดงใบสั่งงานในขณะปฏิบัติหน้าที่

มาตรการลงโทษเด็ดขาด

รัฐบาลได้เน้นย้ำถึงมาตรการลงโทษที่เข้มงวด ผู้กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น หากประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่มีใบอนุญาต โทษสูงสุดคือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนมัคคุเทศก์ที่ไม่มีใบอนุญาต ต้องเผชิญกับโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกำชับว่าการโฆษณาขายทัวร์ ต้องแสดงเลขที่ใบอนุญาตและข้อมูลชัดเจนทุกครั้ง

ช่องทางร้องเรียนและแจ้งเบาะแส

นางสาวศศิกานต์ ระบุว่า ประชาชนสามารถร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยดูแลคุณภาพการท่องเที่ยว หากพบเห็นการกระทำผิด สามารถแจ้งผ่านช่องทางดังนี้

  • เฟซบุ๊กเพจของกรมการท่องเที่ยว
  • อีเมล tgtcenter@tourism.go.th
  • อีเมล DOT-TGIS@tourism.go.th

รัฐบาลพร้อมรับฟังและดำเนินการตรวจสอบทุกเรื่องอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมั่นใจในความปลอดภัยของการเดินทาง

วิเคราะห์มาตรการปราบปราม

มาตรการนี้แสดงถึงความเด็ดขาดของรัฐบาลในการปราบปรามทัวร์เถื่อนและไกด์เถื่อน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว แม้จะเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากในระยะสั้น แต่การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังถือเป็นก้าวสำคัญ

จากสถิติของกรมการท่องเที่ยว พบว่าในปี 2567 มีบริษัทนำเที่ยวที่ไม่ได้รับอนุญาตกว่า 15% และมัคคุเทศก์เถื่อนกว่า 10% จากจำนวนทั้งหมดทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างมาก (แหล่งที่มา: รายงานสถิติกรมการท่องเที่ยว ปี 2567)

สถิติที่น่าสนใจเพิ่มเติม

จากข้อมูลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุว่า ช่วงปี 2567-2568 มีคดีเกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติและไทยจำนวน 120 คดี โดยมีการดำเนินคดีจนถึงขั้นศาลแล้ว 55 คดี (ที่มา: กรมสอบสวนคดีพิเศษ, 2568)

สรุปมาตรการที่เป็นรูปธรรม

มาตรการครั้งนี้ของรัฐบาลถือว่าชัดเจนและเข้มข้น โดยเน้นไปที่การสร้างมาตรฐานให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และเรียกคืนความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

การจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจ ศปต. และการเพิ่มโทษให้หนักขึ้น นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมและลดการกระทำผิดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมของประเทศไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ท่องเที่ยวเหนือแรง ‘เชียงราย’ ที่ 2 ไทยเที่ยวเยอะกว่า 5 ล้านคน

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เดินหน้าขับเคลื่อนปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568 “Amazing Thailand” ข้อมูลนักท่องเที่ยวเหนือ ชี้เชียงรายรั้งอันดับ 2 รองจากเชียงใหม่

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับหน่วยงานระดับกระทรวงและระดับชาติ จัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568 เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬาเป็นพลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเผยสถิติสำคัญในปี 2567 ซึ่งสะท้อนภาพรวมการท่องเที่ยวของ 8 จังหวัดภาคเหนือ โดย จังหวัดเชียงราย ครอง อันดับที่ 2 รองจากเชียงใหม่ ทั้งด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและสัดส่วนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายติดโผอันดับสูงสุดของนักท่องเที่ยวภาคเหนือ ปี 2567

ตามรายงานของ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยอ้างอิงข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 25,783,263 คน โดยแยกเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 20,941,918 คน (81.2%) และชาวต่างชาติ 4,841,345 คน (18.8%)

จังหวัดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่

  1. เชียงใหม่ – 11,485,568 คน (44.5%)
  2. เชียงราย – 6,193,932 คน (24%)
  3. ลำปาง – 1,701,455 คน (6.6%)
  4. น่าน – 1,512,503 คน (5.9%)
  5. แพร่ – 1,306,430 คน (5.1%)
  6. ลำพูน – 1,301,307 คน (5%)
  7. แม่ฮ่องสอน – 1,265,680 คน (4.9%)
  8. พะเยา – 1,016,388 คน (3.9%)

สถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

ประชุมใหญ่ระดับชาติ ชูแนวคิด “Tourism and Sports Powerful Tools for National Development”

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานสำคัญจากทั้งภาครัฐและสถาบันการศึกษา อาทิ สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว กรมพลศึกษา กรมการท่องเที่ยว และมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ

ในการประชุมดังกล่าว นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2568 โดยมุ่งเป้าสู่การผลักดัน ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” ผ่านแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025”

5 ยุทธศาสตร์หลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ปี 2568

  1. ค้นหาและส่งเสริมเสน่ห์ไทยในระดับพื้นที่ – เช่น วัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนดั้งเดิม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  2. ยกระดับความปลอดภัย – เพิ่มระบบเตือนภัย แอปตำรวจท่องเที่ยว ติดกล้องวงจรปิดในแหล่งท่องเที่ยวหลัก
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มเฉพาะ – เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, LGBTQ+
  4. สร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาค – ส่งเสริมการเดินทางข้ามจังหวัด เช่น เชียงใหม่–เชียงราย–หลวงพระบาง
  5. พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต้นแบบชุมชน – ยกระดับมาตรฐานสินค้า, OTOP, การบริการของชุมชน

เชียงรายได้รับการระบุเป็นหนึ่งใน จังหวัดนำร่อง ในโครงการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่เครือข่าย เมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) ในปี 2568–2569

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนควบคู่กับความปลอดภัย

นอกจากแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเข้มข้นแล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังเน้นย้ำการจัดการด้าน ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ใกล้เข้ามา โดยมีการร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ได้แก่

  • กระทรวงมหาดไทย – ด้านการดูแลความปลอดภัย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ – ด้านการจัดกำลังในพื้นที่
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ – ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน
  • กรมเจ้าท่า – ด้านความปลอดภัยทางน้ำ
  • กรมขนส่งทางบก – ด้านการเดินทาง
  • กรมอุทยานฯ – ด้านแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ

ด้านกีฬา ผนวก Soft Power สู่เวทีโลก

อีกด้านที่กระทรวงฯ ให้ความสำคัญคือ การส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและกีฬาอาชีพ โดยแผนปี 2568 จะมีการจัดกิจกรรมและการแข่งขันที่สำคัญหลายรายการ เช่น

  • PT Grand Prix of Thailand 2025
  • การแข่งขันวิ่งเทรลนานาชาติ HOKA Chiang Mai Thailand by UTMB
  • มวยไทย “ศึก THE HERO FIGHT MUAYTHAI”
  • Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024

เชียงรายเองก็เตรียมผลักดันกิจกรรม วิ่งมาราธอนประจำปี และ จักรยานเสือภูเขา บนเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อดึงนักกีฬาและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ

ข้อเสนอความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

ในที่ประชุม ยังได้หารือถึงการบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ:

  • การบังคับใช้กฎหมายกับบริษัทนำเที่ยวเถื่อน
  • การควบคุม Bigbike และเรือท่องเที่ยว
  • การส่งเสริมวิชาพลศึกษาในโรงเรียน
  • การผลักดันกีฬาในแผนพัฒนาท้องถิ่นของ อบจ. และ อปท.
  • การสื่อสารภาพลักษณ์เชิงบวกผ่านกิจกรรมระดับนานาชาติ เช่น ซีเกมส์ และวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • จำนวนนักท่องเที่ยวใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2567: 25,783,263 คน
    • ชาวไทย: 20,941,918 คน (81.2%)
    • ต่างชาติ: 4,841,345 คน (18.8%)
  • จังหวัดเชียงราย มีนักท่องเที่ยวรวม: 6,193,932 คน (24%)
    • คิดเป็นอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่
  • อัตราเติบโตของนักท่องเที่ยวในเชียงราย ปี 2566–2567: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.4% ต่อปี (ข้อมูลจาก สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวของเชียงราย ปี 2567: ประมาณ 19,700 ล้านบาท (ประมาณการจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจท่องเที่ยว ธปท. สาขาเชียงราย)
  • กิจกรรมกีฬาที่จัดในเชียงราย ปี 2567: กว่า 35 รายการ รวมผู้เข้าร่วมกว่า 120,000 คน
  • จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ (Cultural, Wellness, Eco) ในเชียงราย: คิดเป็น 37.6% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด (ข้อมูลจาก มช.)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาเชียงราย
  • สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • กรมพลศึกษา และกรมการท่องเที่ยว
  • รายงานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ปี 67 เที่ยวสุดคุ้ม “ชาวต่างชาติ” พักนานเฉลี่ย 5.74 คืน

เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย สร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 38,493 ล้านบาทในปี 2567

เชียงราย, 9 มีนาคม 2568 – รายงานข้อมูลจาก TAT Intelligence Center และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ซึ่งเลือกพักในเชียงรายโดยเฉลี่ย 5.74 คืน ส่งผลให้จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 38,493 ล้านบาท ในปี 2567

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย (12.67%) ฝรั่งเศส (11.69%) สเปน (8.93%) สหรัฐอเมริกา (6.65%) และอิตาลี (5.62%) ที่เลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งในด้านของธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และความเงียบสงบที่เป็นเอกลักษณ์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 5.74 คืน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ (5.56 คืน) และ ลำปาง (4.32 คืน)

 

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567 ได้ศึกษาค่าเฉลี่ยจำนวนคืนที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนพำนักในจังหวัดต่างๆ โดยมีข้อมูลจาก TAT Intelligence Center พบว่า กรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยพัก 5.52 คืน โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน (23.29%) อินเดีย (6.33%) เกาหลีใต้ (6.04%) มาเลเซีย (4.99%) และเวียดนาม (4.26%)

ในขณะที่ จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยการพำนักดังนี้:

  1. ชลบุรี – ค่าเฉลี่ย 6.34 คืน (จีน 26.13%, อินเดีย 13.58%, รัสเซีย 13.38%, เกาหลีใต้ 5.65%, เวียดนาม 4.34%)
  2. ภูเก็ต – ค่าเฉลี่ย 5.72 คืน (จีน 22.59%, อินเดีย 9.08%, รัสเซีย 5.86%, สหราชอาณาจักร 4.71%, สหรัฐฯ 4.62%)
  3. กระบี่ – ค่าเฉลี่ย 3.11 คืน (จีน 13.59%, อินเดีย 10.16%, มาเลเซีย 7.79%, สหราชอาณาจักร 7.1%, ฝรั่งเศส 5.99%)
  4. สงขลา – ค่าเฉลี่ย 5.05 คืน (มาเลเซีย 94.34%, สิงคโปร์ 2.33%, อินโดนีเซีย 1.38%, จีน 0.5%, ลาว 0.14%)
  5. เชียงใหม่ – ค่าเฉลี่ย 5.56 คืน (จีน 13.59%, สหราชอาณาจักร 8.02%, สหรัฐฯ 8.00%, ฝรั่งเศส 6.88%, มาเลเซีย 6.62%)
  6. สุราษฎร์ธานี – ค่าเฉลี่ย 7.14 คืน (เยอรมนี 14.31%, สหราชอาณาจักร 11.35%, ฝรั่งเศส 8.8%, อิสราเอล 6.79%, ออสเตรเลีย 5.1%)
  7. พังงา – ค่าเฉลี่ย 2.70 คืน (จีน 13.19%, มาเลเซีย 10.6%, เยอรมนี 9.33%, ฝรั่งเศส 6.93%, เกาหลีใต้ 5.43%)
  8. เชียงราย – ค่าเฉลี่ย 5.74 คืน (มาเลเซีย 12.67%, ฝรั่งเศส 11.69%, สเปน 8.93%, สหรัฐฯ 6.65%, อิตาลี 5.62%)
  9. ประจวบคีรีขันธ์ – ค่าเฉลี่ย 6.11 คืน (สหราชอาณาจักร 9.2%, รัสเซีย 7.63%, ไต้หวัน 6.76%, จีน 6.15%, เยอรมนี 5.8%)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายเป็นที่นิยม

  1. ธรรมชาติและวัฒนธรรม
    • เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม โดดเด่นด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพระตำหนักดอยตุง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
  2. การเดินทางสะดวกขึ้น
    • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีเที่ยวบินตรงจากหลายประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น
  3. แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงอนุรักษ์
    • มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ อาทิ สปา ธรรมชาติบำบัด และโยคะ รวมถึงแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สถิติท่องเที่ยวประเทศไทย ปี 2567

รายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% จากปี 2566 สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท

10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดในปี 2567

  1. จีน 6,733,162 คน
  2. มาเลเซีย 4,952,078 คน
  3. อินเดีย 2,129,149 คน
  4. เกาหลีใต้ 1,868,945 คน
  5. รัสเซีย 1,745,327 คน
  6. ลาว 1,124,202 คน
  7. ไต้หวัน 1,089,910 คน
  8. ญี่ปุ่น 1,050,904 คน
  9. สหรัฐอเมริกา 1,030,733 คน
  10. สิงคโปร์ 1,009,640 คน

ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% จากปีก่อน สร้างรายได้ 950,000 ล้านบาท

เชียงราย: หนึ่งในจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เชียงรายเป็น หนึ่งใน 5 จังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยรายได้ 38,493 ล้านบาท รองจาก กรุงเทพฯ (173,181 ล้านบาท) ชลบุรี (103,987 ล้านบาท) เชียงใหม่ (60,783 ล้านบาท) และประจวบคีรีขันธ์ (43,066 ล้านบาท)

ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% เทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 950,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.03%

5 อันดับจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมากที่สุด:

  1. กรุงเทพมหานคร – 30.80 ล้านคน
  2. ชลบุรี – 15.51 ล้านคน
  3. กาญจนบุรี – 14.70 ล้านคน
  4. ประจวบคีรีขันธ์ – 10.83 ล้านคน
  5. เพชรบุรี – 10.72 ล้านคน

ข้อคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่าง

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมา มีข้อคิดเห็นจากสองมุมมองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวในเชียงราย ได้แก่:

  1. มุมมองเชิงบวก:
  • เชียงรายกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
  • การเดินทางที่สะดวกขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพของจังหวัดให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • รายได้จากการท่องเที่ยวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสร้างอาชีพให้กับประชาชน
  1. มุมมองเชิงกังวล:
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี
  • เชียงรายยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศจากไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดในสายตานักท่องเที่ยว
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น

ภาพรวของเชียงราย

เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชียที่เลือกเข้าพักเฉลี่ย 5.74 คืน ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดในภาคเหนือ ข้อมูลจากปี 2567 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องมีการพัฒนามาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในระยะยาว

สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

เมื่อรวมรายได้จากทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.62 ล้านล้านบาท ในปี 2567 แม้ว่าจะยังต่ำกว่าเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท แต่ถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19

ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองจะเป็นกุญแจสำคัญ ในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / TAT Intelligence Center / โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

บอร์ดแอลกอฮอล์ “ไฟเขียว” ‘ขายเหล้า-เบียร์’ วันพระใหญ่ได้บางที่

รัฐบาลไฟเขียวขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา เร่งออกกฎก่อนวันวิสาขบูชา

ประเทศไทย, 4 มีนาคม 2568 – ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ว่าที่ประชุมมีมติ ผ่อนคลายมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อรองรับภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงควบคุมให้เกิดความเหมาะสมและไม่กระทบต่อค่านิยมทางศาสนาและวัฒนธรรมของไทย

ผ่อนปรนการขายแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา

ที่ประชุมมีมติให้สามารถ จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน ได้แก่

  1. วันมาฆบูชา
  2. วันวิสาขบูชา
  3. วันอาสาฬหบูชา
  4. วันเข้าพรรษา
  5. วันออกพรรษา

แต่จำกัดเฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น โดยสถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย ได้แก่

  1. สนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ – สามารถจำหน่ายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและเลานจ์ภายในสนามบิน
  2. สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ – เช่น ผับ บาร์ ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิง
  3. สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ – เช่น ย่านทองหล่อ พัฒน์พงศ์ หรือถนนข้าวสาร ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด
  4. โรงแรมที่ให้บริการนักท่องเที่ยว – อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในโรงแรม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
  5. สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ – เช่น งานประชุมสัมมนา งานแสดงสินค้า หรือกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก

ทั้งนี้ พื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุข้างต้น ยังคงห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ตามกฎหมายเดิม

มาตรการควบคุมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสังคม

เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว รัฐบาลกำหนดให้สถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด ได้แก่

  • การคัดกรองผู้ซื้อ – ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
  • การรักษาความสงบเรียบร้อย – เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถานที่จำหน่าย
  • การจำกัดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน – ห้ามโฆษณาหรือส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้เกิดการดื่มเกินขนาด

รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า มาตรการนี้จะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน 15 วัน ก่อนนำเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณารับรอง และส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนวันวิสาขบูชาในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

มาตรการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์

รองนายกฯ ย้ำว่า มาตรการผ่อนปรนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนาโดยเฉพาะ ส่วนข้อเสนอให้ ขยายระยะเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กำหนด นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากหากจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ต้องมีการแก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายหลัก

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนมาตรการ

  • ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการร้านอาหาร มองว่ามาตรการนี้เป็นการปรับตัวที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาเดิมอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของสถานประกอบการ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก
  • ผู้บริหารโรงแรมและสนามบิน เห็นว่าการอนุญาตให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นหลัก จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง

กลุ่มที่คัดค้านมาตรการ

  • องค์กรทางศาสนาและกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แสดงความกังวลว่าการผ่อนคลายมาตรการนี้อาจเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาและอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย
  • กลุ่มรณรงค์ต่อต้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุว่าการผ่อนปรนมาตรการในวันสำคัญทางศาสนาอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย

  • ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย (ปี 2567) – เฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี
  • รายได้จากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย (ปี 2567) – ประมาณ 250,000 ล้านบาท
  • สัดส่วนอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567)22% ของอุบัติเหตุทั้งหมด
  • จำนวนร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย – มากกว่า 120,000 ร้านค้า
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567) – มากกว่า 6,500 ราย

บทสรุป

การผ่อนปรนมาตรการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ถือเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากกลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม

รัฐบาลจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่าง การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว กับ การรักษาคุณค่าและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้มาตรการนี้สามารถดำเนินไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

“เราเที่ยวด้วยกัน” คัมแบ็ก! รัฐจ่ายครึ่ง เที่ยวคุ้ม พ.ค.-ก.ย.

เราเที่ยวด้วยกัน” กลับมาอีกครั้ง! รัฐช่วย 50% กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – ข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวไทย! โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน” กำลังจะกลับมาอีกครั้ง โดยปรับโฉมใหม่ในรูปแบบ รัฐจ่าย 50% และประชาชนจ่ายอีก 50% ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของนักเดินทาง และกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น ระหว่าง พฤษภาคม – กันยายน 2568

โครงการนี้จะมี เฟสแรกจำนวน 1 ล้านสิทธิ์ ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายโรงแรมและร้านอาหาร ส่วนค่าโดยสารเครื่องบินกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มเติม คาดว่าการเปิดลงทะเบียนจะได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ

ภาครัฐอัดงบ 3,500 ล้านบาท กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงกลางปี

นาย สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเตรียม เสนอของบประมาณกลาง 3,500 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการพิจารณารายละเอียดของมาตรการ

เงื่อนไขของโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โฉมใหม่ มีรายละเอียดดังนี้:

  • รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย 50% และประชาชนจ่ายเอง 50%
  • สามารถใช้สิทธิ์กับโรงแรมที่พัก และร้านอาหาร ที่เข้าร่วมโครงการ
  • เปิดให้ จองสิทธิ์ล่วงหน้า 1 ล้านสิทธิ์
  • ใช้สิทธิ์ได้ระหว่าง พฤษภาคม – กันยายน 2568

ส่วนของ ตั๋วเครื่องบิน ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงการคลังกำลังหารือว่ารัฐจะสามารถสนับสนุนได้หรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนเร็ว ๆ นี้

ระบบการจองผ่านแพลตฟอร์มกลาง พร้อมดึง OTA และโรงแรมเข้าร่วม

เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มีแผนพัฒนา แพลตฟอร์มกลาง เพื่อให้สามารถจองสิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย โดยคาดว่าจะมีการเปิดรับ บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เช่น Agoda, Booking.com, Traveloka และโรงแรมโดยตรงให้เข้าร่วมโครงการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกจองห้องพักและบริการได้สะดวกขึ้น

รัฐคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงกลางปีที่มักเป็นช่วง โลว์ซีซั่น ของการท่องเที่ยวไทย ช่วยให้โรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวสามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ผลกระทบและความคาดหวังของโครงการ

  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย
  • ส่งเสริมการเดินทางในช่วงโลว์ซีซั่น ให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีรายได้มากขึ้น
  • ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ
  • ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในภาคท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

  • จำนวนนักท่องเที่ยวไทยในประเทศ ปี 2567: 135 ล้านคน (ที่มา: ททท.)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2567: 650,000 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวฯ
  • โรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ปี 2566: กว่า 10,000 แห่ง (ที่มา: ททท.)
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวไทย: 5,200 บาท/ทริป (ที่มา: ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยว)

บทสรุป

โครงการ เราเที่ยวด้วยกัน” โฉมใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ ในช่วงโลว์ซีซั่น โดยภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการสนับสนุนเป็น 50% และเปิดให้จอง 1 ล้านสิทธิ์ นักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้สิทธิ์ควรติดตามข่าวสารและเตรียมตัวให้พร้อมเมื่อโครงการเปิดรับลงทะเบียน เพราะสิทธิ์อาจหมดอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลคาดว่า โครงการนี้จะมีผลช่วยเพิ่มการเดินทางภายในประเทศ และสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในภาคการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

เตรียมแพลนเที่ยวได้เลย! พฤษภาคม – กันยายนนี้ เราเที่ยวด้วยกัน กลับมาแล้ว!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) / ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ / ธุรกิจการท่องเที่ยว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

นิตยสารชื่อดังให้ไทยติดอันดับ 1 ประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุดประจำปี 2024

 
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ขอบคุณทุกการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าภาพที่ดีจนไทยได้รับการจัดให้เป็นอันดับ 1 ประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุดในปี 2024 (World’s Best Countries To Visit In Your Lifetime, 2024) รวมทั้งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงทุกปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย

 

ขณะเดียวกัน การจัดอันดับในครั้งนี้ดำเนินการโดยนิตยสาร CEOWORLD ซึ่งเป็นนิตยสารด้านธุรกิจชื่อดัง โดยใช้วิธีจัดอันดับโดยการเก็บข้อมูลความคิดเห็นจากผู้อ่านมากกว่า 295,000 ราย ที่มีต่อ 67 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ และประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุด เป็นอันดับ 1 (World’s Best Countries To Visit In Your Lifetime) ในปีนี้ ด้วยคะแนนร้อยละ 72.15

 

โดยทางนิตยสาร CEOWORLD ระบุว่า การท่องเที่ยวในประเทศไทย ทำให้ได้รับประสบการณ์ท่องเที่ยวหลากหลาย เช่น สีสันยามค่ำคืน อาหารอร่อย ศิลปะและวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา แหล่งช็อปปิ้งที่ขึ้นชื่อ แม่น้ำลำคลองที่คดเคี้ยวอย่างสวยงาม วัดของศาสนาพุทธ ตลาดกลางคืน ตลาดน้ำ และสวนสาธารณะสุดพิเศษ

 

สำหรับผลการจัดอันดับประเทศที่น่าเยี่ยมชมที่สุดประจำปี 2024 โดยนิตยสาร CEOWORLD ที่น่าสนใจ 10 อันดับแรก มีดังนี้

  1. ประเทศไทย ได้คะแนนร้อยละ 15
  2. กรีซ ร้อยละ 22
  3. อินโดนีเซีย ร้อยละ 15
  4. โปรตุเกส ร้อยละ 32
  5. ศรีลังกา ร้อยละ 53
  6. แอฟริกาใต้ ร้อยละ 76
  7. เปรู ร้อยละ 76
  8. อิตาลี ร้อยละ 77
  9. อินเดีย ร้อยละ 65
  10. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ร้อยละ 38

 

ด้าน นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของภูมิภาค หรือ Tourism Hub ซึ่งการเป็น Tourism Hub นั้น ถือเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ประเทศไทยที่รัฐบาลมุ่งนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในทุกมิติ โดยในปีนี้รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายรายได้ทางการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และจะทวีเพิ่มมากขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ คือ

 

การยกระดับประสบการณ์ โปรโมตการท่องเที่ยวไทยในทุกมิติ ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยก่อนการเดินทาง ให้ข้อมูลสำคัญกับนักท่องเที่ยวตั้งแต่บนเครื่องบิน เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการในสนามบิน สร้างความประทับใจด้วยมัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยวที่มีมาตรฐาน สร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

 

อีกทั้งยังมีการชูเอกลักษณ์ไทย หรือ เสน่ห์ไทย นำเสนอเรื่องราว และเพิ่มมูลค่าด้วยการนำจุดแข็งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมมาเป็นจุดขาย ได้แก่ Must Beat มวยไทย, Must Eat อาหารไทย, Must Seek วัฒนธรรมไทย, Must Buy ผ้าไทย และ Must See โชว์ไทย นอกจากนี้ เมืองหลัก และเมืองน่าเที่ยว เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองใกล้เคียง อาทิ เส้นทาง Lanna Culture เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง เส้นทาง UNESCO Heritage Trail มรดกไทย มรดกโลก ผ่านเส้นทางสุโขทัย-กำแพงเพชร และนครราชสีมา เส้นทาง NAGA Legacy นครพนม สกลนคร บึงกาฬ ตามรอยตำนานศรัทธาพญานาคเส้นทาง Paradise Islands ตรัง-สตูล หมู่เกาะแห่งอันดามันใต้ สวรรค์แห่งท้องทะเล เส้นทาง The Wonder of Deep South ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส ใต้สุดแห่งสยาม มนต์เสน่ห์แห่งพหุวัฒน

 

ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้น Hub of ASEAN เปิดประตูการท่องเที่ยวสู่อาเซียนให้สามารถเชื่อมโยงการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานให้การเดินทางท่องเที่ยว ไร้รอยต่อ

 

ตลอดจน World Class Event Hub ให้ไทยเป็นศูนย์รวม World Class Experience จากการนำ Event ระดับโลกเข้ามาจัดแสดงในประเทศ ทั้งด้านดนตรี กีฬา อาหาร ไลฟ์สไตล์ ศิลปและวัฒนธรรม อาทิ จัดงานวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2567 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพSummer Sonic Bangkok 2024, KAWS Arts, Moto GP, Volleyball World Championship เป็นต้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News