Categories
VIDEO WORLD PULSE

จากการแบนโซเชียลสู่การลุกฮือของ Gen Z นายกฯ เนปาลลาออก ตั้งผู้นำชั่วคราว

เนปาลบนเส้นขอบวิกฤต จาก “การแบนโซเชียล” สู่การลุกฮือของ Gen Z การลาออกของนายกฯ โอลี และการตั้ง “สุชิลา คาร์กี” เป็นผู้นำชั่วคราว — บทเรียนว่าด้วยความโปร่งใสและศรัทธาทางการเมือง

เนปาล, 13 กันยายน 2568 — กลิ่นควันไฟหน้ารัฐสภาและรั้วลวดหนามรอบย่านกลางกรุงกาฐมาณฑุยังไม่ทันจาง เมื่อเสียงประกาศเคอร์ฟิวและฝีเท้าทหารย้ำให้ทั้งโลกตระหนักว่า ประเทศเล็กๆ บนหลังคาโลกกำลังยืนอยู่ตรงทางแยกประวัติศาสตร์อีกครั้ง การประท้วงต่อต้านการทุจริตและความเหลื่อมล้ำที่หมักหมมนานนับทศวรรษปะทุรุนแรง ภายหลังรัฐบาลตัดสินใจ “แบนโซเชียลมีเดีย” ครั้งใหญ่ จนลุกลามเป็นกระแสของคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเชิงโครงสร้าง ผลเชิงรูปธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว—นายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลี ประกาศลาออก กองทัพลงพื้นที่ควบคุมสถานการณ์ และล่าสุดมีการแต่งตั้ง นางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ พร้อมกำหนดจัดการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากซึ่งตอกหมุดจำให้โลกต้องหันกลับมาถามว่า เนปาลจะเดินไปทางใดต่อจากนี้

ปมเริ่มจากปลายนิ้ว “แบน 26 แพลตฟอร์ม” – ฟางเส้นสุดท้ายของคนรุ่นใหม่

ชนวนไฟเริ่มจากวันที่ 4 กันยายน เมื่อทางการเนปาลประกาศห้ามใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังรวม กว่า 26 แพลตฟอร์ม โดยให้เหตุผลเรื่องการสกัด “ข่าวปลอม คำพูดสร้างความเกลียดชัง และอาชญากรรมไซเบอร์” กระทรวงที่เกี่ยวข้องย้ำว่าเป็นมาตรการเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่กับ Gen Z—ที่เติบโตมาพร้อม “หน้าจอคือโลก บ้าน และหน้าร้าน”—การแบนถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกและช่องทางทำมาหากิน ผลกระทบทางสังคมจึงไม่ได้หยุดเพียงพฤติกรรมออนไลน์ แต่กระแทกลงสู่ตัวตนและศักดิ์ศรีของคนรุ่นใหม่โดยตรง แม้ต่อมารัฐบาลจะ “ยกเลิกคำสั่งแบน” หลังมีผู้เสียชีวิตจากการปะทะ แต่วิกฤตศรัทธาที่ถูกจุดติดแล้วกลับยากจะดับลงง่ายๆ

จากถนนสู่รัฐสภาการปะทุ ความสูญเสีย และสัญลักษณ์ที่ถูกเผา

เพียง 4 วันถัดมา (8 กันยายน) การชุมนุมขยายวงอย่างรวดเร็วจากย่านกลางกรุงไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ สถานที่เชิงสัญลักษณ์อย่างอาคารรัฐสภาถูกจุดไฟเผา สนามบินนานาชาติตรีภูวัน (TIA) ต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ความรุนแรงพุ่งขึ้นเป็นลำดับ—รายงานข่าวจากหลายสำนักระบุผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ กระทั่งวันที่ 12 กันยายน ตัวเลขผู้เสียชีวิต “ทะลุ 50 ราย” และผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,300 คน เหตุสะเทือนใจ อาทิ การเสียชีวิตของภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีรายหนึ่งภายหลังถูกกักในบ้านที่ถูกวางเพลิง สะท้อนโศกนาฏกรรมที่ไม่มีฝ่ายใดควรเผชิญ

ขณะที่ฝุ่นควันยังตลบ นายกรัฐมนตรี โอลี ประกาศลาออกเมื่อ 9 กันยายน โดยยอมรับสถานการณ์ “ไม่ปกติ” และอ้างถึงการแทรกซึมของกลุ่มผลประโยชน์ ขณะเดียวกันกองทัพประกาศใช้มาตรการเข้ม ฝากฝังให้ทุกฝ่ายหันหน้าเจรจา แม้ย้ำว่า “ทหารจะอยู่ไม่นาน” และไม่ต้องการแทนที่รัฐบาลพลเรือน แต่ภาพทหารตรึงกำลังหน้าอาคารรัฐสภาก็เป็นสัญญะว่าประเทศกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นบางเรื่องเสถียรภาพ

The first world leader elected via Discord, Sushila Karki, has been sworn in as Nepal’s interim prime minister after Gen Z overthrew the government

รัฐสภาอยู่ใน Discord” และการถือกำเนิดของพื้นที่สาธารณะใหม่

ท่ามกลางสุญญากาศ คนหนุ่มสาวกว่าหลายหมื่นคนหันไปใช้ Discord เป็น “ห้องประชุมออนไลน์ของชาติ” เพื่อถกเถียงและออกแบบอนาคต มีการเสนอชื่อ นางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ผู้ได้รับการยอมรับด้านความซื่อสัตย์ ให้เป็นผู้นำชั่วคราวเพื่อกอบกู้ศรัทธา และในที่สุดเธอได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศยุบสภาและกำหนดเลือกตั้งในเดือนมีนาคม ซึ่งนักสังเกตการณ์ตีความว่าเป็น “ทางออกทางสถาบัน” เพื่อลดแรงเสียดทานบนถนนและดึงความขัดแย้งกลับเข้าสู่กติกา

รากลึกของความคับข้องใจ ทุจริต เหลื่อมล้ำ และเศรษฐกิจเปราะบาง

การแบนโซเชียลอาจเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” แต่แรงสะสมมาจากปัญหาโครงสร้างที่เรื้อรังยาวนาน

  • ทุจริตเชิงระบบ: ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ปีล่าสุด เนปาลได้ 34/100 คะแนน ใกล้เคียงอันดับร้อยต้นๆ ของโลก สะท้อนศรัทธาต่อสถาบันรัฐที่สึกกร่อนยืดเยื้อ และเป็นเชื้อเพลิงให้ความไม่พอใจขยายตัวรวดเร็วเมื่อรัฐใช้อำนาจจำกัดสิทธิประชาชน
  • ความเหลื่อมล้ำและโอกาสที่ไม่เท่าเทียม: ขณะที่ชนชั้นนำบางส่วนถูกมองว่ามีชีวิตหรูหรานอกความจริงของคนส่วนใหญ่ เศรษฐกิจมหภาคของเนปาล พึ่งพาเงินโอนกลับ (remittances) ในสัดส่วนสูง—ข้อมูลองค์กรระหว่างประเทศชี้ว่าเฉพาะปี 2566 เงินโอนกลับคิดเป็น ราว 1 ใน 4 ของ GDP สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งแรงงานนอกประเทศ และฐานงานคุณภาพในประเทศที่ยังมีจำกัด โดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาว

ถอดบทเรียนเชิงโครงสร้าง: เมื่อ “ศรัทธาเชิงสถาบัน” ตกต่ำ การตัดสินใจเชิงนโยบายที่กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานย่อมจุดชนวนการต่อต้านได้รวดเร็วกว่าเดิม ความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดด้วยสายตา (ผ่านโลกออนไลน์) ผสานกับการรับรู้ว่ากติกาไม่เป็นธรรม คือแรงผลักชั้นดีให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นจัดระเบียบวาระของประเทศด้วยตนเอง—และครั้งนี้พวกเขาไม่ได้รวมตัวเฉพาะบน “ถนน” แต่อยู่ใน “ห้องแชต” ที่สามารถเรียกประชุม “สภาประชาชน” ได้เกือบตลอดเวลา.

ใครได้อะไร ใครเสี่ยงอะไร ผู้เล่นหลักและสมดุลใหม่อำนาจ

  1. กลุ่มผู้ชุมนุม (Gen Z และพันธมิตร) – ได้ “พื้นที่ทางการเมือง” และความ正当 (legitimacy) ในฐานะผู้กำหนดวาระการเปลี่ยนผ่าน เมื่อข้อเสนอชัดเจน (ผู้นำชั่วคราวที่น่าเชื่อถือ/เลือกตั้งใหม่) และได้รับการตอบรับผ่านสถาบันทางการ (แต่งตั้งผู้นำรักษาการ) โอกาสยกระดับข้อเรียกร้องเชิงโครงสร้าง—เช่น กติกาต่อต้านทุจริต การคานอำนาจผู้บริหาร—จึงเปิดกว้างขึ้น
  2. รัฐบาลและชนชั้นการเมืองเดิม – เผชิญ “แรงกดดันคู่ขนาน” ทั้งจากถนนและประชาคมโลก การลาออกของนายกฯ โอลีและคำมั่นเลือกตั้งใหม่เป็นการถอยเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษาเสถียรภาพขั้นต่ำ แต่อาจไม่พอ หากการเยียวยาผู้สูญเสียและการสอบสวนใช้อำนาจเกินกว่าเหตุไม่ชัดเจนโปร่งใส
  3. กองทัพ – กลับเข้า “พื้นที่สีเทา” ระหว่างความมั่นคงและการเมือง การย้ำว่าไม่หวังอยู่ยาวช่วยลดแรงเสียดทานในระยะสั้น แต่ผลลัพธ์จริงขึ้นกับความเร็วของกระบวนการสถาบัน (ตั้งรัฐบาลรักษาการ–จัดเลือกตั้ง) ว่าเดินได้ตามกรอบเวลาจริงเพียงใด

มิติสิทธิมนุษยชนและแรงกดดันภายนอก เสียงเตือนให้สอบสวนโปร่งใส

องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติและโครงการเพื่อการสื่อเสรีหลายแห่งแสดงความกังวลต่อการใช้กำลังสลายการชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้สอบสวนการเสียชีวิตและการบาดเจ็บอย่างเป็นอิสระ โปร่งใส ขณะที่สื่อมวลชนต่างชาติรายงานคำเตือนและคำแนะนำพลเมืองของหลายประเทศให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม รวมถึงการปิดและยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนในช่วงที่ความรุนแรงพุ่งสูง—ดัชนีความเสี่ยงประเทศจึงถูกตลาดและผู้ประกอบการประเมินใหม่ชั่วคราว

 “ผู้นำชั่วคราวที่น่าเชื่อถือ + ปฏิรูปที่จับต้องได้ + ปิดบัญชีความยุติธรรม”

สัญญาณบวกเริ่มปรากฏ หลัง สุชิลา คาร์กี รับตำแหน่งรักษาการนายกฯ และกำหนดเลือกตั้ง มีนาคมปีหน้า กุญแจสำคัญสู่การคลี่คลายมีอย่างน้อย 3 ประการ

  • ความน่าเชื่อถือของคณะรักษาการ: ทีมบริหารที่สะอาด โปร่งใส และสื่อสารต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วย “พักศึก” บนท้องถนนดึงพลังคนรุ่นใหม่กลับมาสู่เวทีสถาบันได้
  • แพ็กเกจปฏิรูปเร่งด่วน: ปรับปรุงกฎหมายคอร์รัปชัน ระบบเปิดเผยทรัพย์สินนักการเมือง การคานอำนาจหน่วยงานตรวจสอบ และกลไกคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออกในยุคดิจิทัล (เรียนรู้จากบทเรียน “แบนโซเชียล”) เพื่อยืนยันว่ารัฐไม่ตั้งธงจำกัดสิทธิเป็นด่านแรกอีก
  • ความยุติธรรมต่อผู้เสียหาย: การสอบสวนเหตุปะทะ การชดเชยเยียวยา และการดำเนินคดีต่อผู้สั่งการที่เกินกว่าเหตุอย่างจริงจัง คือ “สะพานศรัทธา” ที่ต้องสร้างก่อนถึงคูหาเลือกตั้ง

ทั้งหมดนี้จะเกิดผลได้ ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยอมส่งสัญญาณถอยเพื่อเดินหน้า—ถอยจากความรุนแรง ถอยจากการผูกขาดวาระ และยอมรับ “การกลับเข้ากรอบสถาบัน” เป็นทางออกหลักของชาติ

ผลสะเทือนต่อภูมิภาค บทเรียนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

กรณีเนปาลให้บทเรียนร่วมสมัยอย่างน้อย 4 ข้อแก่รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียใต้–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  1. อย่าประเมินพลัง “พื้นที่สาธารณะดิจิทัล” ต่ำเกินจริง — การจำกัดสิทธิเสรีภาพบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมในยุคที่ชีวิต–งาน–การเมืองเชื่อมติดกัน อาจเร่งปฏิกิริยาทางสังคมมากกว่าลดแรงปะทุ เพราะวันนี้ “สภาประชาชน” ตั้งได้บนมือถือ.
  2. ศรัทธาสาธารณะคือทุนการเมืองที่สำคัญที่สุด — ดัชนีทุจริตที่ต่ำคือสัญญาณเตือนระยะยาว หากไม่มีความคืบหน้าเชิงโครงสร้าง ความไม่พอใจจะสะสมและลามรวดเร็วเมื่อเกิด “เหตุลัดวงจร”
  3. เศรษฐกิจที่พึ่งเงินโอนกลับสูง = เปราะบางทางสังคม — ช่องว่าง “งานดี–รายได้ดี” ในประเทศทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกอนาคตถูกบีบแคบ เมื่อการเมืองไม่เสนอคำตอบ ความโกรธย่อมถามหาทางออกของตนเอง.
  4. การเมืองยุคใหม่ต้อง “ร่วมออกแบบ” กับคนรุ่นใหม่ — ไม่ใช่แค่ดึงมาร่วมเวที แต่ต้องแบ่งอำนาจกำหนดวาระ และยอมรับข้อเสนอจากเวทีพลเมือง/ห้องแชต เป็นเมล็ดพันธุ์นโยบาย

สถานการณ์ล่าสุดและภาพข้างหน้า

หลังการแต่งตั้งผู้นำรักษาการและกำหนดกรอบเลือกตั้ง ความตึงเครียดในบางพื้นที่เริ่มคลาย ร้านค้าในเมืองใหญ่ทยอยเปิด ข้อจำกัดเคอร์ฟิวผ่อนคลายเป็นช่วงๆ แต่ทหารยังคงลาดตระเวนจุดเสี่ยงเพื่อป้องกันการซ้ำรอย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เนปาลต้องเผชิญโจทย์ใหญ่—เปลี่ยนพลังโกรธให้เป็นพลังนโยบาย และ แปลงความสูญเสียให้เป็นระบบยุติธรรมที่จับต้องได้ หากทำได้ การเลือกตั้งต้นปีหน้าจะไม่ใช่เพียง “การรีเซ็ตอำนาจ” แต่คือโอกาสก่อร่างสัญญาประชาคมใหม่ที่วางอยู่บนเสรีภาพ ความรับผิด และความหวังร่วมกันของคนทั้งรุ่น

เรื่องเล่าของเนปาลในเดือนกันยายน 2568 คือพลังของรุ่นสู่รุ่นที่ปะทะกันบนสนามการเมืองจริง—ระหว่างความคุ้นชินกับโครงสร้างเดิม และแรงปรารถนาต่อสังคมที่ยุติธรรมกว่า เมื่อวัสดุดิบคือความเหลื่อมล้ำและการทุจริต “นโยบายสื่อสาร-ความมั่นคง” ที่แข็งเกินไปจึงทำหน้าที่เหมือนไม้ขีด—จุดเชื้อเพลิงให้ติดไฟเร็วขึ้น การตั้ง สุชิลา คาร์กี คือจังหวะหายใจเพื่อชะลอเพลิง แต่ไฟจะดับลงหรือแค่ซุกใต้ขี้เถ้า อยู่ที่ว่าสังคมเนปาลจะได้เห็น “ความจริง ความยุติธรรม และแผนปฏิรูปที่เดินได้จริง” มากน้อยเพียงไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Reuters — “Nepal PM Oli resigns as soldiers guard parliament after unrest; social media ban rolled back”
  • Al Jazeera / CPJ roundup — “As it happened: Nepal unrest…”
  • BBC — “Dozens killed in Nepal political unrest”
  • ABC News (Australia) — “Discord becomes Nepal’s ‘parliament’ for Gen Z protests; calls for Sushila Karki”
  • IOM / UN Migration — “Remittances fuel Nepal’s economy”
  • Transparency International / TradingEconomics — “Corruption Perceptions Index 2024: Nepal scores 34/100”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
VIDEO WORLD PULSE

อินโดนีเซียเดือด! ประชาชนจลาจลเผารัฐสภา ปมเงินเดือน ส.ส. และคำดูถูก

อินโดนีเซียเดือด! ประชาชนจลาจลเผารัฐสภา ปมเงินเดือน ส.ส. และคำดูถูกที่จุดชนวนความรุนแรง

 

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย – นครหลวงของอินโดนีเซียต้องเผชิญกับเหตุการณ์จลาจลครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนเสถียรภาพทางการเมืองและสังคม หลังความโกรธแค้นที่สะสมของประชาชนต่อการกระทำของชนชั้นนำได้ปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงจนนำไปสู่การเผาทำลายอาคารรัฐสภาและบ้านของนักการเมือง เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้แทนของตนเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนราคาแพงที่แสดงให้เห็นว่าเพียงแค่ “คำพูด” คำเดียวสามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้ลุกลามจนยากจะควบคุมได้อย่างไร

ชนวนความขัดแย้งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 หลังจากที่รัฐสภาอินโดนีเซียได้อนุมัติกฎหมายฉบับใหม่ที่อนุญาตให้นักการเมืองได้รับเงินค่าที่พักสูงถึง 50 ล้านรูเปียห์ต่อเดือน หรือเทียบเท่ากับเกือบ 10 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและเป็นการหักหลังประชาชนที่กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

“โง่เง่า”: คำพูดที่กลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งความรุนแรง

ขณะที่คลื่นความไม่พอใจของประชาชนกำลังก่อตัว คำพูดที่ขาดความยั้งคิดของนักการเมืองชื่อดังได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จุดให้สถานการณ์ระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงอย่างไม่คาดคิด นายอาห์มัด ซาห์โรนี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมากล่าวเรียกผู้ประท้วงว่า “โง่เง่า” คำพูดที่เปรียบเหมือนน้ำมันที่ถูกราดลงบนกองไฟที่กำลังคุกรุ่นอยู่แล้วได้จุดให้ความโกรธแค้นที่สั่งสมมาอย่างยาวนานพุ่งถึงขีดสุด

ฝูงชนจำนวนมหาศาลบุกเข้าทำลายและเผาอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอธิปไตยของประชาชน รวมถึงบุกทำลายบ้านพักของนักการเมืองหลายคนเพื่อแสดงออกถึงความคับแค้นใจ เหตุการณ์จลาจลได้ลุกลามไปยังเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่ทางการจะสามารถควบคุมได้

บทเรียนจากจาการ์ตา เมื่อความเชื่อมั่นพังทลาย

เหตุการณ์ความไม่สงบในอินโดนีเซียครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกับประชาชนนั้นเปราะบางเพียงใด การกระทำที่ขัดต่อความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปากท้องและเศรษฐกิจ สามารถทำลายความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาได้อย่างง่ายดาย

การที่นักการเมืองซึ่งควรจะเป็นผู้แทนของประชาชน กลับใช้คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามผู้ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนสองกลุ่มและทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการเคารพ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้อย่างคาดไม่ถึง

บทเรียนจากจาการ์ตาครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับรัฐบาลและชนชั้นนำทางการเมืองทั่วโลกว่า การบริหารประเทศในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วและประชาชนสามารถแสดงออกถึงความไม่พอใจได้โดยง่ายนั้น จำเป็นต้องอาศัยความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความเข้าใจในความรู้สึกของประชาชนอย่างแท้จริง การมองข้ามความรู้สึกของประชาชนเพียงชั่วขณะอาจนำไปสู่วิกฤตที่ไม่อาจแก้ไขได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บรรณาธิการข่าว : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • รายงาน : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
VIDEO

ย้อนรำลึก “สาวรำวงเชียงราย” วัฒนธรรมบันเทิงที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านสังคม

ภูมิปัญญาบันเทิงล้านนา ‘สาวรำวง’ บทสะท้อนวิถีชีวิตเชียงราย 30 ปี

“ครั้งหนึ่งของเมืองเรา” เล่าถึงสาวรำวงเชียงรายเมื่อ 30-40 ปีก่อน ผ่านมุมมองอาจารย์อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณศิลปินอาวุโส อดีตครูสอนศิลปะ สาวรำวงเริ่มจากงานรื่นเริงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ตามวิถีล้านนา เป็นความบันเทิงยามค่ำคืนในงานปอยหลวง งานวัด หรืองานฤดูหนาว โดยเฉพาะที่อำเภอพาน มีคณะรำวงมากมาย เชียงรายซึ่งดังถึงภาคใต้

สาวรำวงส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น 14-18 ปี ไม่ได้เรียนต่อหลังประถม ฝึกเต้นรำเพื่อหารายได้ เครื่องแต่งกายวับวาม กระโปรงแวววาว รำบนเวทีสูงจากพื้น 1 เมตร พร้อมดนตรีสดทั้งลูกทุ่งและสากล คณะแม่คาวโตนสตาร์โดดเด่นด้วยดนตรีทันสมัยและสาวงามมาตรฐาน ค่าตัวคณะละ 3,000-4,000 บาทต่อคืน นักดนตรีดังต่อยอดสู่วงร็อกระดับประเทศ

ปัจจุบัน สาวรำวงเปลี่ยนเป็นรำวงย้อนยุค บนพื้นดิน ไม่ต้องซื้อบัตร ไม่เน้นวัยรุ่น แต่เป็นการออกกำลังกายและอนุรักษ์วัฒนธรรม สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากยุคที่ขาดแหล่งบันเทิง ไปสู่ยุคที่มีผับ บาร์ และคาราโอเกะ

ดำเนินรายการโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร และ อาจารย์อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณศิลปินอาวุโส

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT VIDEO

เชียงรายชวนสัมผัสความงดงาม “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2024”

เทศกาลสีสันกาสะลอง 2024 งานที่รวมความงดงามของศิลปวัฒนธรรมและความสร้างสรรค์ของชาวเชียงรายไว้ในที่เดียว!”

“จุดเด่นในปีนี้ คือ ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา งานคราฟต์สุดพิเศษที่รังสรรค์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยดอกไม้เมืองหนาวกว่า 9 สายพันธุ์ เช่น ดอกรองเท้านารีดอยตุง ดอกกุหลาบพันปี และดอกนางพญาเสือโคร่ง ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว

สัมผัสการแสดงพิเศษ ‘The Legendary of Flower’ โชว์ดนตรีสดสไตล์ Lanna Music & Orchestra ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเทศกาลนี้โดยเฉพาะ

“อย่าพลาดกับ กาสะลองไนท์มาร์เก็ต ตลาดกลางคืนที่รวบรวมอาหารพื้นเมืองล้านนา เมนูพิเศษจากดอกไม้นานาชนิด และอาหารหาทานยากจากพี่น้องชาติพันธุ์ 6 ชนเผ่า

“นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม 5 Senses Experience ที่มอบประสบการณ์ครบทุกประสาทสัมผัส ทั้งสัมผัสดอกไม้เมืองหนาว ร่วม Workshop จัดดอกไม้ และเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีพื้นบ้าน”

“เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจเชียงรายในช่วงฤดูหนาว พร้อมยกระดับจังหวัดเชียงรายสู่การเป็น ‘ดินแดนแห่งศิลปะและดอกไม้’ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก”

“มาร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในเทศกาล ‘สีสันกาสะลอง 2024’ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2568 ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เข้าร่วมงานฟรี!” “แล้วเจอกันในงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2024 มาแอ่วเหนือ ชมดอกไม้ สัมผัสศิลปะ และสร้างความทรงจำดี ๆ ไปด้วยกัน!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE VIDEO

ขอแสดงความยินดีกับ ‘ทีมกาสะลองเงิน’ ของ “โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย” คว้าแชมป์ การประกวดรวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ ปี 2567

 

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567  ที่เชียงใหม่ฮอลล์ เซ็นทรัลเชียงใหม่ แอร์พอร์ต ทีมกาสะลองเงิน ของโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดรวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช 2567 เพื่อเชิดชูเกียรติการแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือ

 

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานและมอบรางวัลให้ทีมผู้ชนะในครั้งนี้ ทั้งนี้ การประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน “รวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ” ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จัดประกวดขึ้นเพื่อถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมการแสดงและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ในแต่ละภูมิภาคไปสู่สายตาประชาชน

ในปีนี้มีคณะที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ จำนวน 5 คณะ ประกอบด้วย

  1. คณะกาสะลองเงิน จากจังหวัดเชียงราย
  2. คณะร่มบัวสวรรค์ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี) จากจังหวัดปทุมธานี
  3. คณะลูกน้ำของ (โรงเรียนอนุบาลเชียงของ) จากจังหวัดเชียงราย
  4. คณะยุ้งข้าวสตูดิโอ จากจังหวัดเชียงใหม่
  5. คณะต้นกล้าดาราภิรมย์ จากจังหวัดเชียงใหม่.

สำหรับการประกวดรวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือนั้น ผู้เข้าประกวดจะต้องสร้างสรรค์ชุดการแสดงและการบรรเลง โดยนำเอาการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือมาเรียงร้อยให้มีความเชื่อมโยงที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ วิถีชีวิต ความเชื่อ พิธีกรรม วรรณคดีและวรรณกรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ โดยด้านดนตรี ให้เลือกเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกับการแสดง เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง กลองสะบัดชัย หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่เป็นดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ การแสดงพื้นบ้านร้อยเรียง เชื่อมโยงโดยอาศัยนาฏศิลป์พื้นบ้าน เช่น ฟ้อนดาบ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสาวไหม หรือฟ้อนพื้นเมืองตามอัตลักษณ์ การแสดงท้องถิ่นของวัฒนธรรมในภาคเหนือ เป็นต้น

พร้อมทั้งการนำเสนอกิจกรรมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อบูรณาการให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือได้อย่างเหมาะสมและลงตัว และการบรรเลงดนตรีประกอบการขับร้องทำนองมีเนื้อหาการแสดงเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีอยู่ในภาคเหนือ

 

ทั้งนี้ เกณฑ์การตัดสินจะพิจารณาจากด้าน 1. ดนตรี 2. การแสดง 3. การขับร้อง และ 4. กระบวนการบูรณาการ ซึ่งมีคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ครอบคลุมทั้งด้านศิลปะการแสดง ด้านการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือและด้านดนตรีพื้นบ้านล้านนา ด้านการบรรเลงและการประพันธ์เพลงสร้างสรรค์ดนตรีพื้นบ้านล้านนา ซึ่งการประกวด “รวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ” ในครั้งนี้มีผลการประกวดดังนี้

1. รางวัลชนะเลิศ ได้รับถ้วยพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 100,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะกาสะลองเงิน จังหวัดเชียงราย

2. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้รับถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และเงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 80,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะต้นกล้าดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่

3. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้รับถ้วยรางวัลจากปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะร่มบัวสวรรค์ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี) จังหวัดปทุมธานี

4. รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล เงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 10,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะลูกน้ำของ (โรงเรียนอนุบาลเชียงของ) จังหวัดเชียงราย และคณะยุ้งข้าวสตูดิโอ จังหวัดเชียงใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES VIDEO

(คลิปเสียง) สัมภาษณ์พนักงานสนามบินเชียงรายช่วยเหลือชาวต่างชาติหมดสติ เมืองพัทยา

 

เมื่อวันที่  18 มีนาคม 2567 เวลา 13.40 น.ที่ผ่านมาเพจข่าวมีชื่อเสียงของจังหวัดชลบุรีอย่าง เดอะ พัทยานิวส์ The Pattaya News  ได้โพสต์ภาพ นาทีชีวิตและข้อความว่า “การช่วยเหลือชาวต่างชาติล้ม หมดสติไม่หายใจ บริเวณพระตำหนัก ซ.2 มีนักท่องเที่ยวชาวไทย 2 ท่านได้ทำช่วยเหลือด้วยการ CPR จนกว่ารถ โรงพยาบาลเมืองพัทยามารับไปรักษาต่อ” และมีชาวโซเชียลต่างชื่นชมมากมาย มีการถามถึงว่าเป็นใครเพราะมีความชำนาญในการช่วยเหลือด้วยการ CPR

ต่อมาทางเพจข่าว เดอะ พัทยานิวส์ The Pattaya News ได้แจ้งว่าทราบว่าชาวไทย ที่ให้การช่วยเหลือเป็น เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ในภายหลังทางเพจ Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI  ได้ออกมายืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ของคลินิกแพทย์ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) โดยเป็นเหตุการณ์ที่ทั้ง 3 เจ้าหน้าที่เดินทางไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุด ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

1.นางสาวอรณิชชา คุณยศยิ่ง ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ

2.นายธนพล สุขเพ็ง ตำแหน่งพนักงานฉุกเฉินการแพทย์

อีก 1 ท่าน ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2 ส่วนรักษาความปลอดภัย ทชร. นายพงศ์พล ศรีพรม

 

ทางทีมข่าวสำนักข่าว นครเชียงนิวส์ ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ คุณธนพล สุขเพ็ง ตำแหน่งพนักงานฉุกเฉินการแพทย์อีกครั้งเพื่อสอบถามรายละเอียดอีกครั้งโดยทางคุณธนพล แจ้งว่าระหว่างทางได้พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอนหมดสติ ไม่หายใจอยู่บริเวณริมถนน พระตำหนัก ซอย 2 เมืองพัทยา จึงได้รีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และช่วยเปิดทางเดินหายใจ พร้อมกับประสานแจ้งรถพยาบาลฉุกเฉิน (1669) เพื่อนำผู้ป่วยส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

หลังจบการสัมภาษณ์ได้เน้นย้ำกับทีมข่าวว่าการ CPR เป็นการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน ที่ทุกคนสามารถทำได้ครับและการ CPR #ไม่ใช่เพียงเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวประชาชนทุกคน สามารถทำ CPR  หากทำสิ่งนี้ได้ผมเชื่อว่า สถิติ ประชาชนที่รอดจากภาวะหัวใจหยุดเต้น มีเพิ่มขึ้นแน่นอนครับ

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการแพทย์ของ เจ้าหน้าที่คลินิกแพทย์ และพนักงาน รปภ.ทชร. ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หรือแม้กระทั่งผู้โดยสาร ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย และจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY VIDEO

กรมการค้าภายในพาผู้ประกอบการรับซื้อมะม่วงเชียงราย เตรียมรับมือช่วงผลิตออกสู่ตลาดมาก

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่ากรมการค้าภายในมีเป้าหมายการรับซื้อมะม่วงในครั้งนี้กว่า 3,500 ตัน รวมมูลค่ากว่า 84 ล้านบาท โดยมีสายพันธุ์ โชคอนันต์ น้ำดอกไม้ ฟ้าลั่น แก้วขมิ้น อีกทั้งเกษตรกรยังมีแปรรูปมะม่วง เช่น มะม่วงอบแห้ง มะม่วงกวน ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มอีกทางนึงแก่เกษตรกรในพื้นที่ และกรมฯ มีนโยบายขยายพื้นที่รับซื้อในจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติม หากปริมาณผลผลิตออกมากหรือล้นตลาด เพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร และระบายผลผลิตออกสู่ช่องทางต่างๆ

อ่านต่อ : https://nakornchiangrainews.com/department-of-internal-trade-proactive-fruit-management-buying-mangoes-in-chiang-rai-add-sales-channels/

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI VIDEO

โดย พล.ต.ท เรวัช กลิ่นเกษร บรรยายพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ท

วันที่ 25 มกราคม 2567 ถือเป็นวันคล้ายวันสถาปนาสํานักงาน ป.ป.ท. ครบรอบ 16 ปี และกําลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 17 ตนขอมอบแนวทางในการดําเนินงาน สําหรับเป็นทิศทางการขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของสํานักงาน ป.ป.ท.ในอนาคต โดยแบ่งเป็นงานสําคัญ 3 ด้าน คือ ป้องกัน ป้องปราม และ ปราบปราม รวมถึงอีกประเด็นสําคัญคือ ร่าง พ.ร.บ. มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่สําคัญ เพราะเป็นการเพิ่มอํานาจให้ ป.ป.ท. สามารถตรวจสอบการทํางานของฝ่ายบริหาร เป็นการยกระดับให้ประเทศมีความโปร่งใสมากขึ้น โดยได้ พล.ต.ท เรวัช กลิ่นเกษร มาบรรยายพิเศษ สำนักงาน ป.ป.ท ป้องกันและปราบปรามในครั้งนี้อีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI VIDEO

ขี้เหล้าหลวงเล่าเรื่อง : เลือกเหล้าหรือเลือกรอด EP. 4

และวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี 54 ก็เป็นวันที่ลุงเมฆหยุดเหล้าได้ เนี่ยแหละ วันประวัติศาสตร์ของลุงแกเลย

นี่แกเลิกเหล้าได้นะ จนนายอำเภอยกให้แกเป็นคนหัวใจเพชรหัวใจแกร่ง 2 สมัย ในตำบล แกภูมิใจมากเลยนะ พูดให้เราฟังตลอด ยังไงนะลุง?

แต่เดี๋ยวนี้ ชีวิตประจำวันของลุงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เพราะตื่นเช้ามาก็รีบไปตลาดไปซื้อวัตถุดิบมาให้เมียแกทำกับข้าวให้

เมื่อก่อนสมัยแกติดเหล้านะ ไม่เคยได้นั่งกินข้าวด้วยกันกับเมียแกเลย ดูสิ ตอนนี้นะ เราไม่กล้าขัดจังหวะเลย

ถ้าตอนนี้นะ ลุงเมฆไม่ใช้ใจของเขา แกบอกกับเราว่า แกเผาไปนานแล้วถ้ายังไม่เลิกเหล้า

 

ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม การกระทำของคน ๆ นึง สามารถช่วยชีวิตคนอีกคนไว้ได้

รู้ป่ะ นี่เป็นประโยคที่ดีที่สุดของ “ขี้เหล้าหลวงเล่าเรื่อง” ในตอนนี้ (EP) เลยแหละ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ว่าคน ๆ นึง จะไปกำหนดเส้นทางชีวิตของอีกคนนึงได้ เราว่าเหตุผลลึก ๆ ของการเลิกเหล้าของลุงเมฆในครั้งนี้ ก็คงอยากมีชีวิตอยู่กับคน ๆ นี้ที่อยู่ข้างกายไปชั่วชีวิตนั่นแหละ

แล้วคุณหละ อยู่ในชีวิตตอนไหนของลุงในเรื่องนี้ คุณเลือกเองได้ … ไปลองเช็คตัวเองได้ที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI VIDEO

ขี้เหล้าหลวงเล่าเรื่อง : เลือกเหล้าหรือเลือกรอด EP. 3

วันนี้จะมาเล่าเรื่องลุงคนนึงให้ฟัง ลุงคนเนี้ย! ชื่อลุงสนั่น แกเป็นขี้เหล้าหลวงแห่งเมืองเจียงฮาย บ้านอยู่แถวๆ อำเภอเวียงชัย แต่ก่อนแกเป็นคนดื่มเก่ง เมาทู๊กกกกวัน อายุประมาน 14-15 ก็เริ่มดื่มแล้ว พออายุมากขึ้นเริ่มหาเงินเองได้ก็ยิ่งดื่มหนักเข้าไปใหญ่ นี่แหละ ที่มาของเรื่องเล่าในวันนี้ “ขี้เล่าหลวง …. เล่าเรื่อง”


และนี่ พระเอกของเรา ลุงสนั่น อายุ 65 ปี แต่ก่อนวันๆนึงลุงดื่มเหล้าเกือบ 2 ขวด ดื่มวันค่ำ (หมายถึง ดื่มมันทั้งวันนั่นแหละ)

แกเล่าว่าเริ่มแรกก็ไปดื่มตอนช่วยกันปลูกข้าว พอตกเย็นมาก็มีคนเอามาให้ดื่ม พอฝนตกมาก็ดื่มอีก แก้หนาว ว่างั้น! พอเลิกทำนาก็หยุดได้หน่อย แต่พอถึงช่วงเทศกาล ก็จะเลี้ยง จะดื่มกันยาวไปจน 3 วัน 3 คืนก็มี

-แต่ที่แปลกคืออะไรรู้มั้ย? มันเป็นความเคยชินของสังคมบ้านเราตามต่างจังหวัด บางทีไปช่วยงานกัน พอเสร็จงานจบงาน ก็จะเลี้ยงเหล้ากันเป็นการตอบแทน

จริงๆแล้ว นอกจากจะต้องแก้ที่ตัวคนดื่ม ยังต้องไปแก้ที่ตัวคนเลี้ยงเป็นเจ้าภาพด้วยรึเปล่า

ส่วนเมียลุงหรอ โอโห ป้าแกบ่นว่าแต่ก่อนนี้ เบื่อมากเลย รู้สึกไม่มีความสุข รู้สึกกระวนกระวาย เพราะเมื่อไหร่ที่ลุงดื่มมา จะมาอาละวาดตลอด และที่สำคัญนะ มีเรื่องพีคกว่านั้นอีก

ทุกคนสงสัยใช่มั้ยว่า คุณป้า เขาไม่ขอให้ลุงเลิกเหล้าหรอ?

แล้วจุดเปลี่ยน มันก็อยู่ตรงนี้ ปี 57 ลุงสนั่นแกเมาแล้วขับ จนรถยนต์ไปชนกับเสาไฟฟ้า หลังจากนั้นลูกชายของลุงก็เกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ

มาถึงตอนนี้น่าจะเป็นจุดพีคของเรื่องลุงแล้วสินะ ว่าแต่เรื่องราวต่อไปจะเป็นยังไง อย่าลืมติดตามต่อ บอกใบ้ให้นิดนึงชีวิตลุงเขา หวานมาก แล้วคุณหล่ะลองเช็คตัวเองดูก่อนมั้ย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News