Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

สิงห์ เชียงรายฯ โวย! เลื่อนแข่งกลางสายฝนเสียหาย 4 แสน ใครรับผิดชอบ? จี้ไทยลีกทบทวนมาตรฐาน

ฝนกระหน่ำทำพิษ! ไทยลีก “ราชบุรี–เชียงราย” เลื่อนการแข่งขันกลางสายฝน “บิ๊กฮั่น” ไลฟ์เดือด จี้ทบทวนมาตรฐานตัดสิน—โค้ชทีมชาติชวดเช็กฟอร์มแข้ง

ราชบุรี, 1 พฤศจิกายน 2568 — ฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2025/26 นัดที่ 10 ระหว่าง ราชบุรี เอฟซี เปิดรัง ราชบุรี สเตเดียม ต้อนรับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ต้องยุติกลางสายฝนและประกาศ “เลื่อนการแข่งขัน” อย่างเป็นทางการ หลังผู้ควบคุมการแข่งขันประเมินว่าสนาม “ยังไม่อยู่ในสภาพปลอดภัย” แม้จะเลื่อนเวลาคิกออฟจาก 18.00 น. ออกไปครั้งละ 30 นาทีรวม 3 ครั้ง จนถึง 19.30 น. ก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวลุกลามเป็นประเด็นถกเถียงในโลกกีฬา เมื่อ บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ออกมาไลฟ์สดเดินสำรวจสภาพสนาม พร้อมตั้งคำถามถึง “มาตรฐานการตัดสิน” และผลกระทบด้านต้นทุนของสโมสรทีมเยือนที่ต้องเดินทางไกล “เสียหาย 3–4 แสนบาท ใครรับผิดชอบ?”

ลำดับเหตุการณ์ 90 นาทีแห่งการรอคอยที่จบลงด้วยประกาศเลื่อน

ก่อนเกมจะเริ่ม ฟ้าฝนเทลงมาอย่างหนักต่อเนื่องเหนือเมืองโอ่ง ส่งผลให้พื้นสนามหลายจุดชุ่มน้ำและเส้นสนามเลือน ผู้ควบคุมการแข่งขันจึงประกาศ เลื่อนคิกออฟ 30 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนามเร่งระบายน้ำ–ตีเส้นใหม่ ทว่าฝนยังตกเป็นระยะ จึงเกิดการเลื่อนครั้งที่ 2 และ 3 ขยับจาก 18.00 น. ไป 18.30 น., 19.00 น. และสุดท้าย 19.30 น. ก่อนมีมติ “เลื่อนการแข่งขันออกไป” เพื่อความปลอดภัยของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ชม

ฝ่ายจัดการแข่งขันแจ้งว่า โปรแกรมใหม่ของเกมนี้จะถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมการวินัยและมารยาท สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อกำหนดวัน–เวลาแข่งขันใหม่ตามระเบียบต่อไป ขณะที่แฟนบอลทั้งสองทีมซึ่งรอคอยในสนามและหน้าจอโทรทัศน์ต้องผิดหวังถ้วนหน้า

มุมมองเชียงราย “ทีมเยือน” เสียหายและตั้งคำถามต่อมาตรฐาน

เหตุการณ์ที่ราชบุรีซึ่งจัดการแข่งขันรายการ BYD SEALION 6 ลีก 1 จุดชนวนความไม่พอใจฝั่งเชียงรายอย่างชัดเจน หลังประกาศเลื่อนเพียงไม่นาน มิตติ ติยะไพรัช หรือ “บิ๊กฮั่น” เปิดไลฟ์สดจากบริเวณข้างสนาม เดินย่ำน้ำให้เห็นสภาพจริง พร้อมเตะลูกบอลให้กล้องเห็นการ “กลิ้ง–ลื่นไหล” ของลูกฟุตบอลในหลายจุด เพื่อยืนยันว่าทีมของตน “พร้อมลงแข่ง” โดยมีสาระสำคัญ 3 ประเด็นใหญ่ที่ถูกตั้งคำถามดังนี้

  1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ — มิตติระบุว่า เชียงรายต้องยกพลลงใต้ล่วงหน้าอย่างน้อยสองวัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านเดินทาง–ที่พัก–โภชนาการ–อุปกรณ์–สตาฟฟ์ เป็นเงิน กว่า 300,000–400,000 บาท ซึ่งในกรณีเลื่อนการแข่งขัน สโมสรไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย ทั้งที่ “ไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอเลื่อน” และ “ยืนยันพร้อมแข่ง”
  2. มาตรฐานการตัดสิน — มิตติกล่าวหาว่าเหตุผลที่อ้างว่า “ไม่สามารถพาสซิ่งบอลบริเวณหน้าประตูได้อย่างปลอดภัย” นั้น “เถียงกันได้” เพราะจากการทดสอบในสนาม “ลูกบอลวิ่งมากกว่า 80% ของพื้นที่” อีกทั้งในอดีต “สนามที่แย่กว่านี้ยังแข่งได้” พร้อมตั้งคำถามว่าเกณฑ์ “สนามน้ำขัง–พาสซิ่งบอลไม่ได้” ถูกใช้สม่ำเสมอแค่ไหนในทุกแมตช์
  3. รูปแบบตัดสินใจ — ประธานเชียงรายตั้งข้อสังเกตถึงการ “โทรรายงาน–ขอความเห็น” จากบุคคลที่สมาคมฯ ทั้งที่ “คนหน้างาน” คือแมตช์คอมฯ และผู้ตัดสินเห็นสภาพจริงหน้างานอยู่แล้ว ทำให้เกิดภาพ “เร่งตัดจบ” โดยไม่เปิดโอกาสให้ประเมินสภาพสนามอีกครั้ง หากปล่อยเวลาให้ระบายน้ำต่อเนื่อง

สาระในไลฟ์ยังสะท้อนความผิดหวังในเชิงอารมณ์ต่อ “แฟนบอลที่เดินทางไกล–นักเตะที่ซ้อมมา–ต้นทุนทีมเยือน” พร้อมทิ้งท้ายว่าหากมาตรฐานยังเป็นเช่นนี้ “ต่อจากนี้ทุกทีมจงปกป้องสิทธิ์ตัวเอง” เพราะ “เราอยู่ในประเทศที่ฝนตกหนักเป็นเรื่องปกติ”

มุมราชบุรีและฝ่ายจัด “ความปลอดภัยมาก่อน”

แม้ราชบุรี เอฟซีและผู้ควบคุมการแข่งขันไม่ได้ออกแถลงการณ์แบบยืดยาวในค่ำคืนเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงที่สะท้อนผ่านการปฏิบัติชัดเจนคือ ความปลอดภัย เป็นเหตุผลหลักของการตัดสินใจ ทั้งจากความเสี่ยงเรื่องการลื่น–การเบรก–การปะทะในพื้นเปียกแฉะ โดยเฉพาะบริเวณ “กรอบเขตโทษ–หน้าประตู” ที่เป็นจุดอันตรายสูง อีกทั้งเส้นสนามที่เลือนย่อมกระทบต่อการตัดสินจังหวะสำคัญ เช่น ล้ำหน้า–จุดโทษ–บอลออกเส้น

ในระเบียบสากล ฟีฟ่ากำหนดให้ ผู้ตัดสิน/ผู้ควบคุมการแข่งขัน มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณา “เริ่ม–หยุด–ยุติ–เลื่อน” แมตช์ หากประเมินแล้ว “สภาพสนามหรือสภาพอากาศไม่ปลอดภัย” ต่อผู้เล่นและผู้เกี่ยวข้อง การพิจารณามักคำนึงถึงคุณภาพผิวสนาม การระบายน้ำ ทัศนวิสัย และความพร้อมของอุปกรณ์–บุคลากรสนาม โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่ฝนกระหน่ำแบบรวดเร็ว การ “รอดูสถานการณ์” ครั้งละ 30 นาทีจึงนิยมใช้เป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งครั้งนี้ก็ดำเนินไปครบ 3 รอบก่อนสรุปเลื่อน

ผลสะเทือนเชิงระบบ จากเชียงราย…สู่ภาคเหนือ…และทั้งไทยลีก

  • มุม เชียงราย — ทีมเยือน–เมืองเหนือแบกรับต้นทุน–โอกาสที่หายไป

การเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรส่งผลคูณกับค่าใช้จ่ายทุกประเภท แฟนบอลกว่างโซ้งที่ซื้อตั๋ว–เดินทาง–จองที่พักล่วงหน้า “เสียโอกาส” ทั้งเวลาและเงิน ขณะที่ความพร้อมของทีมในสัปดาห์ถัดไปถูกรบกวนด้วยโปรแกรมที่อาจถูก “แทรกวันที่ใหม่” ซึ่งยังไม่แน่นอน นอกจากนี้ เชียงรายยังตั้งใจใช้เกมนี้เป็น “บททดสอบ” ในช่วงสำคัญของฤดูกาล หากต้องเลื่อน ย่อมส่งผลต่อจังหวะฟอร์มรวมถึงการบริหารสภาพร่างกายนักเตะ

ในเชิงภาพลักษณ์ต่อจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์นี้สะท้อนเสียงเรียกร้องจากภาคเหนือไปยังฟุตบอลไทยโดยรวมว่า มาตรฐานต้องชัด–ใช้ได้เท่ากันทุกสนาม ทุกทีม” ไม่เช่นนั้นทีมจากนอกศูนย์กลางจะรู้สึก “เป็นฝ่ายเสียเปรียบ” ทั้งที่ลงทุนลงแรงเท่ากัน

  • 2 มุม ภาคเหนือ — ผลต่อระบบพัฒนาและแรงจูงใจของผู้เล่น

เกมใหญ่ๆ ระหว่างทีมแถวบนอย่างเชียงรายที่ถูกเลื่อน ทำให้ “สเกาต์–ทีมงานทีมชาติ–สื่อ” พลาดโอกาสประเมินผู้เล่นจากเหนือจริงในสถานการณ์กดดัน โดยเฉพาะเมื่อ แอนโธนี ฮัดสัน เฮดโค้ชทีมชาติไทยคนใหม่ ตั้งใจมาดูฟอร์มแข้งที่อยู่ในลิสต์ ก่อนต้อง “เบนเป้า” ไปชมเกมที่ทรู บีจี สเตเดียมในวันถัดไป การเลื่อนครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องคะแนน แต่คือ “โอกาสในทีมชาติ” ของนักเตะฝั่งเหนือที่หดหายไปด้วย

  • มุม ไทยลีกทั้งระบบ — ตารางแข่ง–ถ่ายทอดสด–ผู้ชมต่างจังหวัด

การเลื่อนในนาทีท้ายส่งผลต่อ “ผังถ่ายทอดสด” “สปอนเซอร์ไทม์” และความเชื่อมั่นของผู้ชมต่างจังหวัดที่วางแผนตามคิกออฟเป๊ะๆ ยิ่งในยุคที่ไทยลีกเดินหน้า commercialize สูงขึ้น การยืนยันมาตรฐานสนามในสภาวะฝน—ตั้งแต่ระบบระบายน้ำ แผนสำรองตีเส้น เรื่อยถึงเครื่องมือปั๊มน้ำ—จึงเป็น “การลงทุนคุ้มค่า” เพื่อปิดความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

โค้ชทีมชาติชวดเช็กฟอร์ม “ข้อมูล” คือทรัพยากรที่หายไป

ในมุมของ แอนโธนี ฮัดสัน เหตุเลื่อนทำให้ “แผนงานสอดส่องฟอร์ม” ต้องสลับสนามกะทันหัน โค้ชใหม่ที่กำลังเร่งเก็บข้อมูลผู้เล่นท้องถิ่นเพื่อสร้างโครงกระดูกทีมชาติ—โดยเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการประเมินภายใต้แรงกดดันจริง—ย่อมเสีย “หน่วยข้อมูล” ไปหนึ่งแมตช์เต็มๆ แม้จะชดเชยด้วยการไปชมเกมอื่นในวันรุ่งขึ้น แต่ “บริบทคู่แข่ง–แทคติกเฉพาะ” ที่วางไว้เพื่อดูเชิงผู้เล่นเชียงราย–ราชบุรี ย่อมไม่เหมือนเดิม และผลักภาระการตัดสินใจไปอยู่บน “เทปย้อนหลัง–ข้อมูลสถิติ” มากกว่าการเห็นของจริง

กรอบกติกา “30+30” กับอำนาจตัดสินของคนหน้างาน

จากคำอธิบายในไลฟ์ของมิตติ มีการอ้างถึงแนวปฏิบัติ “30+30” และเสริมว่าบางครั้งการรอ “2 ชั่วโมง” ก็พบเห็นในเกมระดับทวีป ประเด็นนี้สะท้อนโจทย์ใหญ่ของสมาคมฯ และผู้จัดลีกว่า จะวาง “มาตรฐานสนามฝน” อย่างไรให้ทั้งชัด–ยืดหยุ่น–ยุติธรรม เพราะสภาพภูมิอากาศไทยมีโอกาสเกิดฝนไล่ระดับ–ฝนสลับหยุด–น้ำระบายทันทีหลังหยุดตก ซึ่งในเชิงการจัดการอาจต้องกำหนด “เช็กลิสต์” ที่จับต้องได้ เช่น

  • เกณฑ์การประเมิน “พาสซิ่งบอล” ในโซนอันตราย (หน้าประตู/กรอบโทษ)
  • เวลารอสูงสุดต่อรอบ และจำนวนรอบสูงสุดที่ยอมรับได้
  • อุปกรณ์–บุคลากรสนามที่ “ต้องมี” และ “ต้องพร้อม” สำหรับฝนหนัก โดยเฉพาะการตีเส้นใหม่ การดูด–ปั๊มน้ำ
  • กระบวนการสื่อสารกับสโมสร–ผู้ชมในสนาม และผู้ถ่ายทอดสด ให้เข้าใจสถานการณ์ตรงกัน

การมีเกณฑ์ชัดช่วยลด “ความรู้สึกสองมาตรฐาน” และปัดข้อครหาว่า “การโทรจากส่วนกลาง” มีอิทธิพลเหนือ “การประเมินของคนหน้างาน”

เสียงจากแฟนบอล ความคาดหวังเรื่องความต่อเนื่องและความยุติธรรม

แฟนบอลราชบุรีจำนวนไม่น้อยยอมรับการเลื่อนด้วยเหตุผลความปลอดภัย แต่ก็อยากเห็น “การตัดสินใจที่รวดเร็วกว่านี้” เพื่อให้ผู้ชมทั้งใน–นอกสนามวางแผนการเดินทาง–การใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ขณะที่แฟนเชียงรายซึ่งเดินทางไกลสะท้อนความเจ็บปวดเรื่อง ค่าใช้จ่ายและเวลา หากเกิดเหตุซ้ำบ่อยครั้ง ความศรัทธาต่อระบบจัดการแข่งขันอาจถูกสั่นคลอน การสื่อสารที่โปร่งใสและมาตรฐานเดียวกันทั้งลีกจึงเป็น “จุดยืน” ที่แฟนบอลเรียกร้องร่วมกัน

ทำอย่างไรให้ “เราฝนตกได้…แต่ยังแข่งได้อย่างมีมาตรฐาน”

  1. มาตรฐานสนามฝน (Rain Protocol) ฉบับไทยลีก — จัดทำเอกสารสาธารณะ ระบุขั้นตอน–เกณฑ์–บทบาทของทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้จัดการสนาม–ผู้ควบคุมการแข่งขัน–ผู้ตัดสิน–สโมสรเจ้าบ้าน–ทีมเยือน และการสื่อสารกับผู้ชม โดยยึดกรอบสากลของฟีฟ่า/เอเอฟซี ปรับให้เหมาะสมกับสภาพอากาศไทย
  2. อัปเกรดอุปกรณ์สนาม — สนับสนุนงบ/กองทุนร่วมไทยลีก–สโมสร เพื่อจัดหาเครื่องดูดน้ำ–พัดลมสนาม–สารปรับสภาพผิวหญ้า–ชอล์กตีเส้นกันน้ำ พร้อมอบรมทีมงานภาคสนามให้ปฏิบัติการรวดเร็ว
  3. กำหนด “หน้าต่างเลื่อน” และ “วันสำรอง” ในผังก่อนฤดูกาล — ลดความเสียหายเชิงผังถ่ายทอดสด–ตั๋ว–สปอนเซอร์ และทำให้ทั้งลีกบริหารความเสี่ยงร่วมกัน
  4. ระบบชดเชยบางส่วน สำหรับสโมสรทีมเยือนกรณีเลื่อนจากเหตุสุดวิสัย โดยมีเงื่อนไขตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความรู้สึก “ร่วมรับผิดชอบ” ในระบบ
  5. พัฒนาแดชบอร์ดสภาพอากาศ–สนาม ที่ทีมงานลีก–สโมสร–ผู้ชม เข้าถึงแบบเรียลไทม์ เพื่อคาดการณ์–แจ้งเตือนล่วงหน้า

ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่การชี้นิ้วไปที่สนามใดสนามหนึ่ง แต่เพื่อยกระดับทั้งระบบให้ “พร้อมอยู่กับฝน” ซึ่งเป็นความจริงตามภูมิอากาศไทย

บทเรียนจากคืนฝนราชบุรี—ความปลอดภัย, มาตรฐาน, และความรู้สึกเป็นธรรม

คืนที่ราชบุรีคือ “บททดสอบ” สำคัญของไทยลีกใน 3 แกนหลัก

1.ความปลอดภัย  การยุติการแข่งขันอาจไม่ถูกใจทุกฝ่าย แต่ “ชีวิต–สุขภาพนักกีฬา” มาก่อนเสมอ นี่คือหลักสากลที่ทุกลีกยึดถือ 2.มาตรฐาน เมื่อสภาพฝนคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ความชัดเจนของเกณฑ์–ขั้นตอน–อำนาจตัดสิน จึงเป็นคำตอบเดียวที่จะลดข้อถกเถียง และสร้างความรู้สึกว่า “ทุกทีมถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม” 3.ความรู้สึกเป็นธรรมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย — แฟนบอล, สโมสรทีมเยือน, ผู้ถ่ายทอดสด ล้วนมีต้นทุนที่ต้องรับ หากระบบสื่อสาร–การชดเชย–การกำหนดวันสำรองทำได้ดี ความเชื่อมั่นต่อฟุตบอลไทยจะยิ่งแข็งแรง

จากมุมเชียงราย เหตุการณ์นี้ส่งเสียงดังชัดว่า ภาคเหนือขอความชัดเจน” เพื่อให้การลงทุน–แรงเชียร์–เส้นทางทีมชาติของผู้เล่น ไม่เสียเปรียบเพียงเพราะฝน” ขณะที่จากมุมราชบุรีและผู้จัดเกม ประเด็นนี้ย้ำเตือนว่าทุกสนามต้องเตรียม “แผนฝน” อย่างมืออาชีพ เพราะฤดูกาลยาวไกล และ “อีกหลายค่ำคืนฝนอาจกำลังรออยู่”

บรรทัดสุดท้าย แมตช์นี้ไม่ได้จบด้วยสกอร์ แต่จบด้วย คำถาม ที่ทั้งลีกต้องร่วมกันตอบ ก่อนที่เกมจะเตะกันใหม่ในวันที่กำหนดอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ไทยลีก (BYD SEALION 6 ลีก 1)
  • สโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
  • มิตติ ติยะไพรัช
  • แมตช์เดย์ ราชบุรี เอฟซี vs สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เวียงเชียงรุ้งเร่งเครื่อง “วิ่งเลาะเวียง” โมเดลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุ่นเครื่องเศรษฐกิจชุมชน

เวียงเชียงรุ้งเร่งเครื่อง “วิ่งเลาะเวียง” ปลายฝนต้นหนาว โมเดลท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–เศรษฐกิจชุมชน ที่ออกสตาร์ทด้วยความพร้อมและความหวัง

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — ลมเย็นแรกของฤดูกาลกำลังเลียบไหล่เขาทางตะวันออกของเชียงราย ขณะเดียวกัน “อำเภอเวียงเชียงรุ้ง” ก็กำลังเร่งฝีเท้าสู่จุดปล่อยตัวครั้งสำคัญของการท่องเที่ยวฤดูหนาว ด้วยกิจกรรมวิ่งถนนขนาดกลางที่วางเป้าหมายไว้ชัดเจนทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์พื้นที่ นั่นคือ วิ่งเลาะเวียง 4 เมืองล้านนาตะวันออก จังหวัดเชียงราย ตอน เวียงเชียงรุ้ง” ซึ่งกำหนดจัดระหว่างวันที่ 22–23 พฤศจิกายน 2568โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนักวิ่งลงทะเบียนแล้ว 728 คน พร้อมเส้นทาง 4 ระยะ ที่ตั้งใจ “ให้ทุกคนวิ่งได้” ตั้งแต่งานสายกิน–เที่ยวไปจนถึงมาราธอนเต็มระยะ

ภาพรวมทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หากแต่เป็นผลของการ “บูรณาการจริงจัง” ระหว่างภาครัฐ–เอกชน–ชุมชนท้องถิ่น สะท้อนจากการประชุมเตรียมความพร้อมเมื่อ 7 ตุลาคม 2568 ที่ The Estretto Restaurant ซึ่งมี นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, นายภาณุพันธ์ เอี่ยมอุบลสุวรรณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา และ นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง ร่วมเป็นประธาน พร้อมผู้เกี่ยวข้องรอบด้าน แนวทางที่วางไว้ชัดเจน ใช้กีฬาเป็นเข็มทิศให้การท่องเที่ยวปลายปี อุ่นเครื่องเศรษฐกิจชุมชน” ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดี

เล่าจากห้องประชุมสู่เส้นทางจริง เมื่อ “วิ่ง” ไม่ได้แปลว่าแค่กิโลเมตร

สาระจากการเตรียมงาน มี 3 แกนหลัก

  1. มาตรฐานความปลอดภัยและบริการ
    คณะทำงานให้ความสำคัญกับการจัดการเส้นทาง จุดบริการน้ำ จุดพยาบาล และการจราจรตลอดคอร์ส โดยยึดแนวปฏิบัติการแข่งขันวิ่งถนนสมัยใหม่ เช่น การกระจายจุดให้น้ำตามสภาพภูมิประเทศ, การประสานงานหน่วยกู้ชีพท้องถิ่น, การกำหนดจุดตัด (cut-off) ให้เหมาะสมกับทุกระยะ และการสื่อสารระยะจริง–ระดับความยากให้ผู้เข้าร่วมทราบล่วงหน้า
  2. ดีไซน์ระยะทาง “ครอบคลุมทุกคน”
    • Kilo Run 2.5 กม. โจทย์คือ “ชวนคนทั้งบ้านมาเคลื่อนไหว” ได้วิ่ง ได้ชิม ได้ถ่ายรูป
    • Fun Run 5 กม. ระยะยอดนิยมสำหรับผู้เริ่มวิ่งและนักท่องเที่ยว
    • Half Marathon 21 กม. จับกลุ่มนักวิ่งประสบการณ์กลาง ที่ต้องการวิวชนบท–นาข้าว–เนินสวย
    • Marathon 42 กม. สำหรับนักวิ่งจริงจังที่มองหาเส้นทางธรรมชาติในภาคเหนือปลายฝนต้นหนาว

รูปแบบรางวัลถูกออกแบบให้ “ปลอดแรงกดดันแต่จูงใจ” 100 คนแรกของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) รับเสื้อ Finisher ขณะที่ Kilo Run แจก กระบอกน้ำที่ระลึก เพื่อย้ำภาพ “งานของทุกคน”

  1. บรรยากาศนอกสนามที่คิดเผื่อ
    วันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 19.00 น. จะมี มินิคอนเสิร์ต “ศาล สานศิลป์” เติมสีสันช่วงรับนักวิ่งนอกพื้นที่และครอบครัว ให้ “ค่ำคืนก่อนวิ่ง” เป็นพื้นที่ของการพักผ่อน พบปะ และจับจ่ายในท้องถิ่น

ทำไม “เวียงเชียงรุ้ง” ต้องวิ่ง เศรษฐกิจ–สุขภาพ–อัตลักษณ์ ในงานเดียว

เศรษฐกิจชุมชน แม้จำนวนผู้เข้าร่วม 728 คนจะไม่ใช่งานใหญ่ระดับหมื่น แต่ด้วย สัดส่วนผู้ติดตาม และ การพักค้างคืน (โดยเฉพาะผู้ลงฮาล์ฟ–มาราธอน) เงินใช้จ่ายจะกระจายไปยัง ที่พักโฮมสเตย์–รีสอร์ทขนาดเล็ก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–รถรับจ้าง–ร้านค้าชุมชน ตลอดสุดสัปดาห์ ก่อนถึงไฮซีซันปลายปี การแข่งขันในเดือนพฤศจิกายนจึงถูกวางให้เป็น “ตัวอุ่นเครื่องกระแสท่องเที่ยว” ช่วยให้ผู้ประกอบการได้ลองแพ็กเกจ–ชิมเมนู–ทดสอบบริการ ก่อนเข้าสู่คริสต์มาส–ปีใหม่ สุขภาพและทุนทางสังคม การวิ่งไม่ได้หมายถึง “นักกีฬา” เท่านั้น แต่คือการขยับร่างกายของคนทุกวัยตามคำแนะนำสากล เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำการมีกิจกรรมแอโรบิกอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ สำหรับผู้ใหญ่ งานวิ่งชุมชนที่ออกแบบให้เข้าถึงทุกกลุ่มจึงเป็น เครื่องมือสร้างวินัยสุขภาพ และ “ทุนทางสังคม” ที่คนในพื้นที่ ซ้อม–วิ่ง–เชียร์ ร่วมกัน

สาม, อัตลักษณ์และภาพจำ
“ล้านนาตะวันออก” มี ภูมิทัศน์ชนบท–ไร่นา–สายหมอก ที่ต่างจากเมืองใหญ่ การจับ “เลนธรรมชาติ” มาอยู่ในเส้นทาง และการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมขนาดย่อมในบริเวณงาน จะทำให้ผู้มาเยือน จดจำรสชาติท้องถิ่น ผ่านสิ่งเล็ก ๆ เสียงเกราะไม้เรียกนกยามเช้า, กลิ่นกาแฟคั่วอุ่น ๆ ริมทาง, ผ้าทอและงานคราฟต์ชุมชน นี่คือ soft power ที่ไม่ต้องตะโกน

กลไกความพร้อม เมื่อ “บูรณาการ” ไม่ใช่คำสวยหรู

จากเอกสารการประชุม 7 ตุลาคม 2568 แนวทางปฏิบัติถูกไล่ชัดเป็นข้อ ๆ

  • เส้นทางและจราจร การสำรวจเส้นทางร่วมกับอปท. ทต./อบต. และสถานศึกษา เพื่อกำหนดจุดเสี่ยงทางแยก–ทางโค้ง–สะพาน พร้อมแผนปิด–เปิดช่องทางชั่วคราวให้กระทบชุมชนน้อยที่สุด
  • การแพทย์ฉุกเฉิน ประสานหน่วยกู้ชีพท้องถิ่น จุดปฐมพยาบาลเคลื่อนที่, ระบบวิทยุสื่อสาร, รถพยาบาลสแตนด์บายตามจุดระยะ 5–7 กม., และกระบวนการส่งต่อ รพ.ใกล้ที่สุด
  • สิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุลดขยะ–คัดแยกขยะงาน, สนับสนุนแก้ว/ขวดส่วนตัว, ออกแบบจุดให้น้ำที่ลด Single-use, และกำหนดทีมเก็บกวาดหลังขบวนสุดท้าย
  • การสื่อสารผู้ร่วมงาน แผนประชาสัมพันธ์เส้นทาง–เวลาปิดถนน–จุดจอดรถ–รถรับส่ง (shuttle) ชัดเจน, แผนสภาพอากาศ–แผนปรับเวลา (หากมี) เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก
  • มิติชุมชน บูธชุมชน–ตลาดเล็ก ๆ ในพื้นที่จัดงาน ให้ชาวบ้านนำสินค้าพื้นถิ่น–อาหารท้องถิ่นมาจำหน่าย สร้างการมีส่วนร่วมพร้อมรายได้เสริม

ในเชิงมาตรฐาน งานวิ่งที่ดีในพื้นที่ต่างจังหวัดยุคนี้ ต้องทำให้คนในพื้นที่ “อยู่ร่วมกับงาน” อย่างราบรื่น มากกว่ารู้สึกว่าถูก “ปิดถนนให้คนนอกมาวิ่ง” เวียงเชียงรุ้งกำลังเดินในเส้นทางนี้

4 ระยะ 4 ประสบการณ์ ออกแบบให้ “เข้าถึง–สวย–ปลอดภัย”

แม้รายละเอียดระดับจุด กม. จะประกาศใกล้วันงาน แต่กรอบใหญ่ของประสบการณ์ถูกวางไว้พร้อม

  • Kilo Run 2.5 กม. — โฟกัสครอบครัว/มือใหม่ เดินสลับวิ่งได้ สนามถ่ายภาพเยอะ จุดให้น้ำ 1 จุดเพียงพอ เน้นอาสาสมัครให้กำลังใจ
  • Fun Run 5 กม. — วิ่งวนผ่านชุมชน–ทุ่งนา ทางเรียบ–เนินน้อย วิ่งกลางเช้าอากาศเย็น รับเส้นชัยพร้อมกิจกรรมสันทนาการ
  • Half Marathon 21 กม. — ระยะ “เวียงเชียงรุ้งในเช้าวันจริง” เจอเนินยาวบ้าง วิวโล่ง–ทุ่ง–เส้นทางชนบท ต้องบริหารพลัง น้ำ/เกลือแร่ทุก 2–3 กม.
  • Marathon 42 กม. — งานสำหรับนักวิ่งจริงจัง เส้นทางหลากหลายภูมิประเทศ ต้องวางแผน pace–พลังงาน–อากาศ งานบริการควรใส่จุดน้ำ–เจล–ห้องน้ำเคลื่อนที่ถี่กว่าปกติ

การให้ เสื้อ Finisher แก่ 100 คนแรก ของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) เป็นการวางสิ่งจูงใจที่ “ชัด แต่ไม่กดดัน” เพราะเกียรติยศยังอยู่ที่การ “ข้ามเส้นชัยอย่างปลอดภัย” มากกว่าการไล่จับเวลา

นอกเส้นทาง ดนตรี–อาหาร–วัฒนธรรม ที่ยกมารวมไว้ในสุดสัปดาห์เดียว

คอนเสิร์ต ศาล สานศิลป์” คืนก่อนแข่ง คือหัวใจดึงนักวิ่ง–ผู้ติดตามให้อยู่กับพื้นที่นานขึ้น เกิดการจับจ่าย–เข้าพัก–ใช้บริการในชุมชน นอกจากนี้ ฝ่ายจัดยังวาง พื้นที่ชิม–ช้อปของดีเวียงเชียงรุ้ง ทั้งกาแฟพื้นถิ่น–ผักผลไม้ตามฤดูกาล–อาหารล้านนาง่าย ๆ ให้เป็น “สนามพบปะ” ของคนใน–คนนอก สร้างประสบการณ์รวมที่น่าจดจำ

คิดล่วงหน้าเรื่องความเสี่ยง อากาศ–ความพร้อม–การแพ้กลูโคส

ช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศเช้าเย็น–บ่ายร้อนแดด ถ้าฟ้าเปิด การสูญเสียเหงื่ออาจสูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะนักวิ่งมาราธอน–ฮาล์ฟ การจัดการ น้ำ–เกลือแร่–จุดพยาบาล–รถพยาบาล จึงเป็นหัวใจ นอกจากนี้ กลุ่มเสี่ยง (เช่น ผู้มีโรคประจำตัว, เคยเป็นลมแดด, ภาวะน้ำตาลต่ำ) ต้องได้รับคำแนะนำให้ เตรียมตัว–แจ้งอาสาฯ–พกยาประจำตัว รวมถึงการเผยแพร่ คู่มือเตรียมตัว 7–14 วันก่อนแข่ง เพื่อให้ทุกคนถึงเส้นชัยด้วยความปลอดภัย

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตัวคูณที่เกิดจริงในชุมชน

งานวิ่งขนาด 700–1,000 คน มักสร้างการใช้จ่ายต่อหัวที่กระจายไปยังที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ของที่ระลึก หากบริหาร ตลาดชุมชน ให้เชื่อมกับงานหลักอย่างเหมาะสม จะเกิด เงินใหม่” เข้าชุมชน แท้จริง (ไม่ใช่แค่หมุนภายใน) ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนท้องถิ่น (คาเฟ่–รีสอร์ท) สามารถใช้โอกาสนี้ พล็อตแพ็กเกจปลายปี ให้กับนักวิ่งที่ “กลับมาอีก” ในช่วงไฮซีซัน การสร้าง ฐานลูกค้าซ้ำ (repeaters) คืองานเงียบ ๆ ที่คุ้มค่าที่สุด

เวียงเชียงรุ้งในแผนที่ท่องเที่ยวเชียงราย เติมช่องว่าง “ธรรมชาติใกล้–จริง–อบอุ่น”

เชียงรายมีแม่เหล็กท่องเที่ยวระดับประเทศอยู่แล้ว ทั้งวัดร่องขุ่น–ไร่ชา–ดอยแม่สลอง–ดอยตุง จึงเป็นธรรมดาที่ “อำเภอใหม่ ๆ” ต้อง หาเลนเฉพาะ ของตน งานวิ่งชุมชนที่ดี ทำให้ “พื้นที่ที่คนยังไม่คุ้น” ได้โอกาสโชว์ ถนนโล่ง–ทุ่งนา–วิถีบ้าน แบบไม่ยัดเยียด เวียงเชียงรุ้งกำลังวางตำแหน่งตนเองในเลนนั้น ธรรมชาติจริงมากกว่าฉาก, ผู้คนจริงมากกว่ารีวิว, และ ประสบการณ์อบอุ่นมากกว่าเช็กอิน

เสียงที่ยังไม่ต้องเป็นคำพูด ความร่วมมือคือหัวใจ

แม้การประชุมครั้งล่าสุดไม่ได้เปิดเผยคำกล่าวอย่างเป็นทางการของผู้บริหารต่อสาธารณะ แต่สารที่ส่งออกมาชัดเจนอยู่แล้วจาก รูปแบบการทำงาน—เวียงเชียงรุ้งไม่ได้กำลังจัด “งานของใครคนหนึ่ง” หากกำลังจัด “งานของพื้นที่” ที่ทุกหน่วยต้อง เกาะเกี่ยวกัน ตั้งแต่ อบจ./อบต., โรงเรียน, โรงพยาบาล, ตำรวจทางหลวง, ผู้ใหญ่บ้าน, ชมรมอาสาสมัคร, ผู้ประกอบการท่องเที่ยว, ไปจนถึงชาวบ้านที่เปิดบ้านเป็นจุดบริการหรือลูกมือข้างทาง

ความสำเร็จของงานวิ่ง จึงมักไม่ได้จบที่จำนวนผู้เข้าเส้นชัย หากจบที่ว่า วันรุ่งขึ้น ชุมชนยังยิ้มให้กันได้เหมือนเดิม และพร้อมเปิดบ้านรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง—ซึ่งคือ “ความยั่งยืน” แบบจับต้องได้

ข้อเสนอแนะเชิงระบบ ให้ “วิ่งเลาะเวียง” เป็นสินทรัพย์ระยะยาว

  1. สร้างมาตรฐานซ้ำได้ (Repeatable Standard)
    บันทึกคู่มือจัดการเส้นทาง–จราจร–แพทย์–อาสาสมัคร–สิ่งแวดล้อม ให้ทีมรุ่นต่อไปทำซ้ำได้โดยไม่เริ่มจากศูนย์
  2. เก็บข้อมูลจริง (Event Intelligence)
    เก็บข้อมูลอายุ–ภูมิลำเนา–พฤติกรรมจับจ่าย–ระยะพักคืน–ความพึงพอใจ เพื่อนำไปออกแบบแพ็กเกจท่องเที่ยวและสปอนเซอร์ปีหน้า
  3. เชื่อมการศึกษา–สุขภาพ (Schools x Health)
    ใช้งานวิ่งเป็นตัวคูณให้โรงเรียนในพื้นที่สร้างชมรมวิ่ง–ชมรมอาสาฯ ต่อเนื่อง สร้างทุนสุขภาพเยาวชน
  4. ยั่งยืนสิ่งแวดล้อม (Green Race)
    ลด single-use อย่างจริงจัง, จัดคัดแยกขยะ, ส่งเสริมรีฟิล, และรายงาน “คาร์บอนฟุตพริ้นต์” คร่าว ๆ หลังจบงาน เพื่อเป็นโมเดลงานสีเขียวของจังหวัด

เชิญชวนด้วยความพร้อมใจ 22–23 พฤศจิกายนนี้ พบกันที่เวียงเชียงรุ้ง

  • สถานที่: โรงเรียนอนุบาลเวียงเชียงรุ้ง
  • ระยะ: 2.5 กม. (Kilo Run) / 5 กม. (Fun Run) / 21 กม. (Half) / 42 กม. (Full)
  • ของที่ระลึก: ผู้เข้าเส้นชัย 100 คนแรกของแต่ละระยะ (ยกเว้น Kilo Run) รับเสื้อ Finisher / Kilo Run รับกระบอกน้ำที่ระลึก
  • กิจกรรมพิเศษ: มินิคอนเสิร์ต ศาล สานศิลป์” วันที่ 22 พ.ย. เวลา 19.00 น.
  • หัวใจของงาน: วิ่งอย่างปลอดภัย เคารพชุมชน สนับสนุนของดีท้องถิ่น และพากันกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม

เวียงเชียงรุ้งอาจไม่ได้อยู่กลางแผนที่ท่องเที่ยวหลักของเชียงราย แต่ในสุดสัปดาห์ปลายฝนต้นหนาวนี้ เมืองเล็กกำลังเปิดทางให้ทุกคนได้ “เลาะ” พื้นที่ที่เงียบงามด้วยรองเท้าคู่เดิม และหัวใจที่ตั้งใจจะวิ่งเพื่อสุขภาพ เพื่อชุมชน และเพื่อความจำดี ๆ ร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  •  สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา
  • ที่ว่าการอำเภอเวียงเชียงรุ้ง
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมการท่องเที่ยว
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

“ละอ่อนแม่สาย” คว้าใจคนไทย 9 นาทีสะกดทั้งสนาม บทเรียนนอกสกอร์บอร์ดไทยลีก

ถึงผลการแข่งขันจะไม่ดั่งใจภายใน 90 นาที แต่ไม่ถึง 9 นาทีที่สะกดทั้งสนาม ‘ละอ่อนแม่สาย’ คว้าใจคนไทย — เชียร์ลีดเดอร์ 100 ชีวิตจากชายแดน เปิดสนามไทยลีกที่เชียงราย

เชียงราย, 6 ตุลาคม 2568 — ค่ำคืนไทยลีก 1 ที่สิงห์ สเตเดียม ปกติแล้ว มักถูกตัดสินด้วยลูกยิง ลีลาฟุตบอล และเสียงเฮจากอัฒจันทร์ ทว่าในนัดที่สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เปิดบ้านพบ ระยอง เอฟซี (แข่งเมื่อ 4 ต.ค. 2568) ภาพจำที่ยังค้างอยู่ในสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อย ไม่ได้มีแค่ประตูชัยของ เรียวมะ อิโตะ หากยังมี “การแสดงเปิดสนาม” อันพร้อมเพรียงของเยาวชนชายแดนจาก โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ ที่เดินทางมาร่วมสร้างสีสันและพลังบวกให้กับจังหวัดและกับฟุตบอลไทยอย่างน่าจดจำ

แม้ผลการแข่งขันจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเจ้าถิ่น 0–1 และทำให้ “กว่างโซ้งมหาภัย”หยุดอยู่ที่ 9 คะแนน รั้งอันดับ 7 ขณะที่ทีมเยือน “ม้านิลมังกร” เก็บชัยสองนัดติดขึ้นไปรวม 11 คะแนน ยึดอันดับ 4 บนตาราง BYD SEALION 6 ลีกหนึ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง เกมนัดนี้ได้ “ผู้ชนะใจคนดู” ที่ไม่ได้ลงเตะ นั่นคือ เยาวชนกว่า 100 ชีวิต ซึ่งระเบิดพลังการแสดงเชียร์ลีดเดอร์และกิจกรรมของชมรม To Be Number One บนพรมหญ้าสีเขียวให้ผู้ชมในสนาม 9,166 คน และแฟนบอลทั่วประเทศที่ติดตามผ่านการถ่ายทอดสดจำนวนไม่น้อยกว่าหลักล้าน ได้เห็น “พลังการรวมใจ” ในแบบที่ฟุตบอลเท่านั้นจะเปิดพื้นที่ให้เกิดขึ้นได้

5–9 นาทีที่คุ้มค่ากว่า 90 นาที เวลาเล็ก ๆ บนเวทีใหญ่ ที่เปลี่ยนชีวิตเด็ก ๆ ได้จริง

บนกระดาษแผนงาน ความยาวการแสดงก่อนเกมฟุตบอลมักถูกกำกับให้กระชับ 5 ถึงไม่ถึง 9 นาที เพื่อให้พิธีการทั้งหมดคล่องตัว ก่อนเข้าสู่จังหวะการแข่งขันจริง แต่สำหรับเด็ก ๆ จากชายแดนไกลอย่างแม่สาย เวลานี้คือ “สังเวียนครั้งหนึ่งในชีวิต” ที่ต้องแลกมาด้วยการซ้อมต่อเนื่องและการเดินทางไกล เกือบ 100 กิโลเมตรไป–กลับ เพื่อให้ทีมออกสเต็ปได้พร้อมเพรียงที่สุดในเสี้ยวเวลาที่มีจำกัด

นายเสกสรร ทุนอินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ พร้อมคณะผู้บริหาร คณะครู และบุคลากร ได้นำนักเรียนทีมเชียร์ลีดเดอร์และสมาชิกชมรม To Be Number One ร่วมกิจกรรมเปิดสนามครั้งนี้ จุดหมายปลายทางไม่ใช่เพียง “ความสวยงามบนคลิปวิดีโอ” แต่คือการมอบเวทีจริงให้เยาวชนได้ (1) แสดงศักยภาพการแสดง ที่ฝึกฝนหนักมาอย่างต่อเนื่อง (2) เรียนรู้การทำงานเป็นทีมในสถานการณ์จริง ท่ามกลางแรงกดดันของเวลาและสายตาคนดูจำนวนมาก และ (3) ส่งต่อภาพจำเชิงบวกของโรงเรียน–ชุมชน–จังหวัด ให้ผู้ชมทั้งในและนอกสนาม

เวลาสั้น ๆ กลับหนุนให้ทุกวินาทีมี “วินัยและความหมาย” สูงขึ้น ใครที่เคยยืนอยู่หน้าผู้ชมหลายพันคนจะรู้ว่าการก้าวแรกบนสนามสำคัญแค่ไหนเพราะจากนาทีนั้น เด็ก ๆ ต้องเป็นทั้งนักแสดง นักสื่อสาร และทูตเยาวชนของบ้านเกิดในคราวเดียวกัน

จากอัฒจันทร์สู่ชุมชน ฟุตบอลเป็นมากกว่ากีฬา

สิ่งที่เกิดขึ้นในสิงห์ สเตเดียม คืนวันนั้นสะท้อนภาพใหญ่ของฟุตบอลไทยในฐานะ “เวทีสาธารณะ” ที่เชื่อมคนหลากวัย หลากพื้นที่ ไว้ด้วยกันในสนามมี 22 คนไล่ล่าลูกบอลเพื่อชัยชนะ แต่รอบสนามมีผู้คนนับพันที่อยากเห็นชุมชนของตนเป็นที่รู้จักในทางบวก การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนชายแดนอย่างแม่สายมาร่วมสร้างสีสันจึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่มันคือ บทเรียนพลเมือง (Civic Lesson) ภาคสนามที่จับต้องได้

  • สำหรับ เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์ครั้งใหญ่ในบรรยากาศระดับลีกอาชีพ รู้จักวินัยต่อเวลา ความรับผิดชอบต่อทีม และความภาคภูมิใจของการเป็นตัวแทนโรงเรียน
  • สำหรับ คุณครูและผู้ปกครอง เห็นผลของการฝึกซ้อมยาวนานแปรเป็นรอยยิ้ม ความเชื่อมั่น และแรงบันดาลใจชุดใหม่ให้กับลูกศิษย์–ลูกหลาน
  • สำหรับ สโมสรและลีก สะท้อนบทบาทสังคมของกีฬาอาชีพ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ผลการแข่งขัน แต่ยังรวมถึงการเป็น “สะพาน” ระหว่างคนดูกับเยาวชนในชุมชนอย่างแท้จริง

เสียงจากสนาม การขอบคุณที่ก้องไกลกว่าเสียงนกหวีด

หลังเกม สโมสรเจ้าบ้านได้สื่อสารขอบคุณ “9,166 เสียงเชียร์” ที่ยังคงแน่นสนาม พร้อมย้ำว่าพลังของทุกคนคือแรงขับเคลื่อนให้ทีมก้าวต่อ แม้ค่ำคืนนี้คะแนนจะไม่เพิ่มเติมบนตารางก็ตาม ข้อความเรียบง่ายนั้นเมื่อถูกส่งต่อบนสื่อสังคมกลายเป็นการ ยอมรับร่วมกัน ระหว่างทีมกับเมือง ว่า “เรา” ยังเดินไปด้วยกัน และหนึ่งในแรงใจสำคัญที่ถูกพูดถึงคือ การแสดงของน้อง ๆ จากแม่สาย ที่สะกดทั้งสนามก่อนเกม

‘To Be Number One’  คลับเยาวชนที่ชวนเด็กขึ้นเวทีจริง

ชมรม To Be Number One ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนของการแสดงครั้งนี้ ทำงานกับเยาวชนไทยมายาวนานในบทบาทเครือข่ายป้องกันภัยยาเสพติดเชิงบวก โดยใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ดนตรี การเต้น การเชียร์เป็นเครื่องมือ “ดึงพลังที่ใช่” ออกจากเด็กแต่ละคน จุดเด่นคือ “ให้โอกาสขึ้นเวทีจริง” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงกับแก่นของการแสดงเปิดสนามนัดนี้แบบพอดิบพอดี

เมื่อเด็ก ๆ ได้ยืนในพื้นที่ที่ผู้ชม “ฟังจริง ดูจริง เชียร์จริง” ทักษะที่ฝึกในห้องซ้อมจะแปรเป็นความมั่นใจและความสามารถในการสื่อสารสาธารณะ ซึ่งจะติดตัวเขากลับไปสู่โรงเรียน ครอบครัว และชุมชน

ระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร…แลกกับบทเรียนที่ไม่มีในตำรา

แม่สาย—เชียงราย—สิงห์ สเตเดียม เส้นทางไป–กลับเกือบ 100 กิโลเมตร ไม่ใช่การเดินทางใกล้ ๆ สำหรับคณะนักเรียน–ครู–ผู้ดูแลกว่าร้อยชีวิต แต่ประสบการณ์หนนี้ทำให้ “ระยะทาง” กลายเป็น “มูลค่า” เด็ก ๆ ได้เห็นการทำงานของทีมอาชีพเบื้องหลังเกม ทั้งเรื่องเวลา ความปลอดภัย ลำดับพิธีการ การกำกับเสียง–แสง–จังหวะ ทุกอย่างคือ จริง และต้อง แม่น เมื่อก้าวลงสู่สนาม

สำหรับครูและผู้บริหารโรงเรียน การพาเด็กมาร่วมเวทีระดับประเทศคือ “การลงทุนทางโอกาส” ที่คุ้มค่ายิ่งเมื่อเห็นผลลัพธ์เป็นแววตาและความมั่นใจของผู้เรียนที่ชัดขึ้นกว่าตอนซ้อมอยู่ในโรงยิมที่บ้าน

แมตช์รีแคป ฟุตบอลตัดสินกันด้วยหนึ่งประตู แต่เรื่องเล่าตัดสินในหัวใจ

ด้านเกมการแข่งขัน ระยอง เอฟซี คว้าชัยด้วยประตูของ เรียวมะ อิโตะ ช่วยให้ทีมเยือนเก็บสามคะแนนสำคัญ และทำสถิติชนะสองนัดติด ขยับมี 11 แต้ม ขึ้นไปยึดอันดับ 4 ของตาราง ขณะที่เจ้าถิ่น สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เก็บไว้ที่ 9 แต้ม รั้งอันดับ 7 แม้ในมุมกีฬา นี่คือผลที่แฟน “กว่างโซ้ง” อยากลืม แต่ในมุมของเมือง นี่คือเกมที่ตอกย้ำว่าชัยชนะไม่จำเป็นต้องอยู่แค่บนสกอร์บอร์ดการได้เห็นเด็ก ๆ จากชายแดนของเราโชว์ความสามารถต่อหน้าคนทั้งประเทศ ก็เพียงพอให้ค่ำคืนนี้มีความหมาย

จากสนามสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อกีฬา–การแสดง–การท่องเที่ยวต่อกันติด

เหตุการณ์แบบนี้สะท้อน เศรษฐกิจร่วมเวที” ของเชียงราย กีฬาอาชีพดึงดูดผู้ชมเข้าพื้นที่ การแสดงสร้างสีสันและเนื้อหาให้สื่อ สุดท้ายผู้คนใช้เวลาในเมืองยาวขึ้น กิน–เที่ยว–พัก และกลับไปเล่าให้เพื่อนฟัง การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนชายแดนจึงไม่ใช่เรื่อง “ใจดี” เท่านั้น แต่ยังเป็น นโยบายวัฒนธรรมเชิงเศรษฐกิจ ระดับจังหวัดทุกครั้งที่เด็ก ๆ ขึ้นเวทีใหญ่ เมืองได้ “แบรนด์” เพิ่ม และผู้ชมได้ “เรื่องเล่า” กลับบ้าน

คำกล่าว–ข้อเท็จจริงที่ยึดโยง

  • การเข้าร่วมของคณะนักเรียน–ครูจากโรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ นำโดย นายเสกสรร ทุนอินทร์ เป็นการร่วมแสดงเปิดสนามตามกำหนดการนัดเหย้าของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด วันที่ 4 ตุลาคม 2568
  • กิจกรรมหลักมาจาก ทีมเชียร์ลีดเดอร์ และ ชมรม To Be Number One ของโรงเรียน โดยมีการเตรียมการ–ซ้อม และประสานงานร่วมกับทางสโมสรและผู้จัดการแข่งขัน
  • ผู้ชมในสนามที่ประกาศขอบคุณหลังเกมคือ 9,166 คน ขณะที่ยอดการรับชมถ่ายทอดสดรวมถึงคลิปไฮไลต์ที่กระจายบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีจำนวนรวมระดับ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านครั้ง ตามการสื่อสารภาคสนามและบนสื่อสังคมของผู้เกี่ยวข้อง
  • ผลการแข่งขัน ระยอง เอฟซี 1–0 สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ผู้ทำประตู เรียวมะ อิโตะ; อันดับคะแนนหลังจบเกม (ที่สื่อสารในวันแข่งขัน) ระยอง 11 คะแนน (อันดับ 4), สิงห์ เชียงราย 9 คะแนน (อันดับ 7) บนตาราง BYD SEALION 6 ลีกหนึ่ง

วิธีทำให้ “นาทีเปิดสนาม” เกิดผลระยะยาว

  1. ยกระดับเป็นโปรแกรมรายฤดูกาล – ถ้าทุกเกมเหย้าหรือทุกเดือนมี “โรงเรียน–เยาวชน–ชุมชน” มาผัดเปลี่ยนขึ้นเวที การพัฒนาเยาวชนเชิงวัฒนธรรมจะต่อเนื่อง มีแรงจูงใจ และสร้างฐานผู้ชมรุ่นใหม่ให้ลีก
  2. หนุนความร่วมมือระหว่างโรงเรียน–สโมสร – ตั้ง “โควตาเยาวชนชายแดน/ชนเผ่า” เพื่อให้หลากหลายวัฒนธรรมในเชียงรายมีโอกาสเล่าเรื่องของตนเอง
  3. ต่อยอดสื่อการเรียนรู้ – ถอดคลิปเบื้องหลังการเตรียมงานเป็น “ชุดบทเรียนทักษะชีวิต” ให้โรงเรียนอื่น ๆ ดูเป็นต้นแบบตั้งแต่การวางแผนเวลา ทีมเวิร์ก ไปจนถึงมารยาทเวที
  4. เชื่อมสู่การท่องเที่ยวชุมชน – เมื่อมีทีมเยาวชนจากอำเภอต่าง ๆ มาขึ้นเวที ให้ข้อมูล “เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน” ของพื้นที่นั้นบนสื่อของสโมสร เพื่อกระจายคน–รายได้ออกจากตัวเมือง

เราจะชนะอย่างไรในวันที่สกอร์ไม่เข้าข้าง

ในคืนที่สกอร์ไม่เป็นใจ เมืองยังคง “ชนะใจ” คนดูด้วยเรื่องเล่าของเยาวชน นี่คือบทเรียนสำหรับหลายจังหวัดเมื่อกีฬาเปิดเวทีให้วัฒนธรรมท้องถิ่นและเยาวชนได้เปล่งเสียง เมืองทั้งเมืองจะกลายเป็นผู้เล่นคนที่ 12 ที่ทรงพลัง และไม่ว่าเกมจะจบแค่ไหน เมืองจะยังเติบโตด้วยความร่วมมือและความหวังของคนรุ่นใหม่

เยาวชนแม่สายแสดงให้เห็นว่าเวลาไม่ถึง 9 นาที หากวางแผน ซ้อมจริง และได้เวทีก็พอจะสะกดสนามทั้งสนามได้ และในหลายความหมาย นั่นอาจ “คุ้มค่า” กว่า 90 นาทีสำหรับอนาคตของจังหวัดและประเทศ

สรุปไฮไลต์ข่าว (Key Points)

  • ไทยลีก 1 คู่ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด พบ ระยอง เอฟซี ที่สิงห์ สเตเดียม (4 ต.ค. 2568) ทีมเยือนชนะ 1–0 ผู้ทำประตู เรียวมะ อิโตะ
  • หลังเกม ระยอง 11 คะแนน (อันดับ 4), เชียงราย 9 คะแนน (อันดับ 7) ในศึก BYD SEALION 6 ลีกหนึ่ง
  • ไฮไลต์นอกสนาม เยาวชนกว่า 100 คน จาก โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (ทีมเชียร์ลีดเดอร์ + ชมรม To Be Number One) เปิดสนามต่อหน้าผู้ชม 9,166 คน และผู้ชมออนไลน์รวมระดับ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านครั้ง
  • ความหมายเชิงสังคม กีฬาอาชีพเป็นเวทีให้เยาวชนชายแดนได้ประสบการณ์จริง เสริมทักษะชีวิต ทีมเวิร์ก และเป็นการสื่อสารภาพลักษณ์จังหวัดในมิติสร้างสรรค์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (Singha Chiangrai United)
  • โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงราย เปิดศึก CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ใช้กีฬาวอลเลย์บอลเชื่อมสัมพันธ์ 4 องค์กร

อบจ.เชียงราย เปิดศึก CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ใช้กีฬาวอลเลย์บอลเชื่อมสัมพันธ์ 4 องค์กร ดันสุขภาพดี-ประสิทธิภาพงานพุ่ง

เชียงราย, 28 กันยายน 2568  – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้แสดงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพและความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดกิจกรรมกีฬา CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ขึ้น เพื่อใช้กีฬาวอลเลย์บอลเป็นสื่อกลางในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยการแข่งขันครั้งนี้ได้รวมพลังของ 4 องค์กรหลักในจังหวัดเข้าไว้ด้วยกันอย่างคึกคัก

การรวมพลัง 4 เสาหลักของเชียงราย

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เป็นประธานเปิดการแข่งขัน ณ โรงยิมเนเซียม สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย โดยมีผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง .

การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบกระชับมิตร แต่ยังคงความเข้มข้นของกีฬาวอลเลย์บอลเต็มรูปแบบ โดยมีทีมเข้าร่วมทั้งหมด 4 ทีม ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กรสำคัญในจังหวัด:

  1. ทีมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  2. ทีมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  3. ทีมเทศบาลนครเชียงราย
  4. ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า โครงการ CR-PAO VOLLEYBALL CUP 2025 ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงเวทีการแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพกายและใจของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางสำคัญในการ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่

เทศบาลนครเชียงรายคว้าแชมป์หญิง

การแข่งขันดำเนินไปอย่างสนุกสนานและเข้มข้น ซึ่งผลการแข่งขันได้สะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและความมุ่งมั่นของบุคลากรจากแต่ละองค์กร:

  • รุ่นทั่วไปหญิง:
    • ชนะเลิศ: ทีมเทศบาลนครเชียงราย
    • รองชนะเลิศ: ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • รุ่นทั่วไปชาย:
    • ชนะเลิศ: ทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
    • รองชนะเลิศ: ทีมเทศบาลนครเชียงราย

กีฬาคือเครื่องมือสร้างคุณภาพชีวิต

การจัดกิจกรรมกีฬาโดยหน่วยงานท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลด้านการส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกาย แต่ในบริบทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การใช้กีฬาเป็นสื่อกลางมีความสำคัญมากกว่าแค่การออกกำลังกาย:

  1. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงาน (Inter-agency Networking): การแข่งขันวอลเลย์บอลเป็นช่องทางที่บุคลากรจากต่างองค์กรได้ใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองและสนุกสนาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความคุ้นเคยและเปิดโอกาสให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างองค์กรที่มีภารกิจซับซ้อนร่วมกันอย่างมหาวิทยาลัย เทศบาล และ อบจ.
  2. การพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากร: โครงการนี้สนับสนุนให้บุคลากรภาครัฐใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ลดความตึงเครียดจากการทำงาน และมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการเป็นองค์กรที่ใส่ใจและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของ อบจ.เชียงราย ที่พร้อมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรและประชาชน ด้วยการใช้กีฬาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสุขภาพที่แข็งแรง เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในสังคม และเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

สะเทือนอาเซียน! ฟีฟ่าลงดาบคดี “7 แข้งโอนสัญชาติ” เสี่ยงโมฆะเกมชนะเวียดนาม 4–0

สะเทือนอาเซียน! ฟีฟ่าลงดาบคดี “7 แข้งโอนสัญชาติ” เขย่าวงการลูกหนังมาเลเซีย—เปิดสมรภูมิกฎหมายสิทธิ์ทีมชาติ เสี่ยงลามถึง “โมฆะ–ปรับแพ้” เกมชนะเวียดนาม 4–0

กัวลาลัมเปอร์/มาเลเซีย, 26 กันยายน 2568 — เหตุการณ์ที่วันหนึ่งถูกจารึกเป็น “คืนแห่งความสุข” ของแฟนบอลเสือเหลือง กลับกำลังกลายเป็น “คดีตัวอย่าง” วัดกล้ามนุษย์กับกติกาโลก เมื่อรายงานว่า สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้พิจารณาลงโทษ สมาคมฟุตบอลมาเลเซีย (FAM) และผู้เล่น “โอนสัญชาติ” 7 ราย ฐาน ปลอมแปลง/ใช้เอกสารที่ไม่ชอบด้วยระเบียบ เพื่อให้ได้สิทธิ์ลงสนามทีมชาติ นำไปสู่โทษปรับ–โทษแบนระดับบุคคล และความเสี่ยง “โยกคะแนน” ในเกม เอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก ที่มาเลเซียเปิดบ้านชนะเวียดนาม 4–0 เมื่อ 10 มิถุนายน 2025 — สกอร์ที่เคยปลุกความหวังทั้งประเทศ กำลังถูกเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปักทับอยู่

ตัวเลขตามรายงาน: FAM ถูกปรับ 350,000 ฟรังก์สวิส ขณะที่ผู้เล่นทั้ง 7 คน ถูก พักงานจากกิจกรรมฟุตบอล 12 เดือน และ ปรับคนละ 2,000 ฟรังก์สวิส โดยคดี “สิทธิ์เป็นตัวแทนทีมชาติ” (Player eligibility) ซึ่งกระทบผลการแข่งขัน ถูกส่งต่อให้ FIFA Football Tribunal พิจารณาในประเด็น “โมฆะ/ปรับแพ้” เป็นการเฉพาะ

แม้ในชั้นข่าว FAM เคยยืนยันต่อสาธารณะว่า ผู้เล่นทั้งหมด “ลงทะเบียนถูกต้อง” และหลังเกม 4–0 ก็ไม่ต่างจากชัยชนะทางความเชื่อมั่น แต่การไต่สวนวินัยของฟีฟ่าตั้งคำถามต่อ ที่มาของเอกสาร/การตีความสิทธิ์ อย่างเป็นระบบ และหากคณะตุลาการฟุตบอลตัดสินว่า “สิทธิ์ไม่ชอบด้วยระเบียบ” ผลลัพธ์อาจย้อนแย้งความทรงจำทั้งแมตช์—จาก “ชนะ 4–0” สู่ “แพ้เทคนิค 0–3” ตามสูตรกติกาที่ใช้กันทั่วโลกในคดีลักษณะนี้

หมายเหตุด้านบรรณาธิการ: ขณะเผยแพร่ข่าวนี้ ฝ่ายข่าวตรวจพบเพียงหลักฐานยืนยัน “ผลการแข่งขัน–วันแข่ง” จากสื่อต่างประเทศสายหลัก แต่ยัง ไม่พบ เอกสารประกาศโทษ ฉบับเป็นทางการ บนช่องทางสาธารณะของฟีฟ่า/เอเอฟซี จึงรายงานโดยแยก “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้” ออกจาก “รายละเอียดบทลงโทษตามรายงาน” และระบุชัดว่า “คำพิพากษา/คำสั่งสุดท้าย” ต้องอ้างอิงเอกสารทางการของฟีฟ่าเป็นที่ยุติ

จาก 90 นาทีอันสมบูรณ์แบบ สู่สนามกฎหมายที่เข้มกว่าสนามหญ้า

คืนวันที่ 10 มิ.ย. 2025 คือค่ำคืนที่ “เสือเหลือง” พุ่งชนแบบไร้รอยขีดข่วน ชนะเวียดนามอย่างขาดลอย 4–0 ในรอบคัดเลือกเอเชียนคัพ 2027 ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่เชื่อว่าทีมชาติกลับมายืนบนทางแห่งความหวังอีกครั้ง แต่หลังเสียงนกหวีดสุดท้าย ข่าวลือเริ่มลอยเหนือมาเลเซียนซูเปอร์ลีก—คู่แข่งในภูมิภาคยื่นคำร้องต่อฟีฟ่า ว่าผู้เล่นโอนสัญชาติ 7 ราย ขาดคุณสมบัติตามกติกาสิทธิ์ทีมชาติ

รายชื่อที่ถูกระบุในเอกสารคดี (ตามรายงานที่เผยแพร่) ได้แก่

  1. Gabriel Felipe Arrocha 2) Facundo Tomás Garcés 3) Rodrigo Julián Holgado 4) Imanol Javier Machuca 5) João Vitor Brandão Figueiredo 6) Jon Irazabal Iraurgui 7) Héctor Alejandro Hevel Serrano

FAM ออกท่าทีเชิงปฏิเสธตั้งแต่แรก โดยยืนกรานว่า “ขึ้นทะเบียนถูกต้องทั้งหมด” และชี้ว่ามีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วน ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่ร้องเรียน ชี้เป้าตรงไปที่ กระบวนการโอนสัญชาติ/เส้นทางสิทธิ์ตามเชื้อสาย–พำนัก–ประวัติลงเล่น” ที่อาจไม่ผ่านเงื่อนไขของกฎ ข้อ 5–8 ว่าด้วยสิทธิ์การเล่นทีมชาติใน Regulations Governing the Application of the FIFA Statutes ซึ่งเป็น “รัฐธรรมนูญลูกหนังโลก” ในเรื่องนี้

เมื่อลูกบอลถูกส่งต่อให้ “กฎหมายกีฬา” ฟ้องร้อง–ตอบโต้ จึงต้องอาศัย พยานเอกสาร–ไทม์ไลน์ชีวิต–ประวัติการลงเล่นระดับทีมชาติ/เยาวชน ของผู้เล่นแต่ละคน ประกอบกับ กฎหมายสัญชาติ ภายในของมาเลเซีย และหลักฐานการพำนักถาวร—แทบทุกช่องโหว่ถูกขยายใต้แว่นขยายระดับฟีฟ่า

กรอบกติกาสิทธิ์ทีมชาติไม่ใช่เรื่องความสามารถล้วน ๆ แต่คือ “ชุดเงื่อนไขทางกฎหมาย”

ฟีฟ่า ใส่ใจเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะมันเกี่ยวกับ ความเสมอภาคในการแข่งขัน และ อัตลักษณ์ของทีมชาติ ตัวบทสำคัญอยู่ที่ข้อ 5–8 ของข้อบังคับฟีฟ่า—อธิบายว่า นักเตะจะเล่นให้ชาติใดได้บ้างภายใต้เงื่อนไข เช่น

  • ความเป็น พลเมือง ของประเทศนั้นตามกฎหมาย
  • หลักฐาน สายสัมพันธ์โดยกำเนิด/เชื้อสาย (บิดา–มารดา–ปู่ย่า/ตายาย)
  • เงื่อนไข พำนักระยะยาว นับปีอย่างต่อเนื่อง
  • ข้อจำกัดเรื่องการ เปลี่ยนสังกัดทีมชาติ (switch) หลังลงเล่นอย่างเป็นทางการให้ชาติหนึ่งไปแล้ว

หากฝ่าฝืน—หรือใช้ เอกสาร/ถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจผิด เพื่อให้ได้สิทธิ์—คดีจะเข้า ระเบียบวินัยฟีฟ่า (FIFA Disciplinary Code) ที่ให้บทลงโทษตั้งแต่ ปรับ–แบน–โมฆะผล–ปรับแพ้ ไปจนถึง ลงโทษสมาคม หากพบว่า “มีส่วนรู้เห็น/บกพร่องร้ายแรง” ต่อการกำกับดูแลเอกสารและการขึ้นทะเบียนนักเตะในทีมชาติ (นี่คือกรอบสำคัญที่อธิบายว่า ทำไมคดีประเภทนี้จึง “แรง” เสมอ)

บทลงโทษตามรายงาน ตัวเลขที่สะเทือน และ “เส้นตาย 10 วัน” ของ FAM

ตามรายงานที่ถูกอ้างถึงในครั้งนี้ คณะกรรมการวินัยฟีฟ่า มีคำสั่ง ปรับ FAM 350,000 ฟรังก์สวิส ขณะที่ผู้เล่น 7 รายถูก พักงานกิจกรรมฟุตบอล 12 เดือน และ ปรับคนละ 2,000 ฟรังก์สวิส โดยเปิดโอกาสให้ อุทธรณ์ภายใน 10 วัน หลังรับทราบคำตัดสิน

ส่วน ข้อพิพาทผลการแข่งขัน ถูกส่งต่อให้ ศาลฟุตบอลฟีฟ่า ดำเนินการแยกต่างหาก—ซึ่งตามธรรมเนียมคดีสิทธิ์ไม่ชอบ มักลงเอยด้วยมาตรการ ปรับแพ้ 0–3” หากยืนยันการผิดกติกาอย่างสิ้นสงสัย (แต่จะใช้กับทุกแมตช์ที่นักเตะไม่มีสิทธิ์ลงเล่นหรือเฉพาะนัดที่มีการร้อง—ขึ้นกับ “คำขอ” และ “ข้อเท็จจริงเฉพาะคดี”)

ย้ำอีกครั้ง: รายละเอียดเชิงตัวเลข–คำพิพากษาฉบับเต็ม ต้องยึด ประกาศอย่างเป็นทางการของฟีฟ่า เป็นที่สุด ซึ่งฝ่ายข่าวยังไม่พบเอกสารดังกล่าวบนช่องทางสาธารณะ ณ เวลายกร่างข่าวนี้ จึงรายงานโดยอาศัยกรอบกติกาทางการของฟีฟ่าในการอธิบายผลลัพธ์ “ที่เป็นไปได้” ควบคู่กับข้อมูลที่ผู้เกี่ยวข้องเผยแพร่

ผลกระทบ 4 ชั้น คะแนน–ภาพลักษณ์–ขุมกำลัง–ภูมิรัฐศาสตร์ลูกหนังอาเซียน

  1. คะแนนและเส้นทางเอเชียนคัพ — ถ้าศาลฟุตบอลมีมติ “ปรับแพ้” คะแนนในกลุ่มจะเปลี่ยนทิศทันที แผนการผ่านเข้ารอบที่วางไว้ต้องทบทวนใหม่ และอาจ “โดมิโน่” ไปยังแมตช์อื่นที่ผู้เล่นเหล่านี้ลงสนาม
  2. ภาพลักษณ์และธรรมาภิบาล FAM — วิกฤตนี้ท้าทาย “ระบบกำกับดูแลเอกสาร” ของทีมชาติ เริ่มตั้งแต่ กระบวนการคัดกรองสิทธิ์ ไปจนถึง ความโปร่งใส ในการสื่อสารกับสาธารณะ ภายใต้สายตาสมาชิกฟีฟ่าทั่วโลก
  3. ขุมกำลังทีมชาติ — การ แบน 12 เดือน (ตามรายงาน) เท่ากับตัด “ผังผู้เล่น” ในช่วงเปลี่ยนผ่านโค้ช/แผนงานระยะกลางทันที เงื่อนไขนี้อาจบีบให้ทีมชาติเร่ง ปั้นแข้งท้องถิ่น–ดาวรุ่ง เติมเต็มช่องว่าง
  4. ภูมิรัฐศาสตร์ลูกหนังอาเซียน — ชาติในอาเซียนหลายประเทศหันมาใช้ “โมเดลโอนสัญชาติ/เชื้อสาย” เพื่อยกระดับทีมชาติ กรณีนี้จะกลายเป็น บทเรียน เรื่อง มาตรฐานพิสูจน์สิทธิ์ (due diligence) และ ปิดช่องโหว่เอกสาร หากตั้ง “บรรทัดฐานใหม่” แรงเกินคาด อาจทำให้สมาคมต่าง ๆ ต้อง ปรับปรุงระบบ KYC ฝ่ายทีมชาติ เข้มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ความหวัง–ความกังวล และคำถาม 3 ข้อที่ FAM ต้องตอบ

แม้ FAM จะมีสิทธิ์อุทธรณ์ แต่โจทย์ที่ต้องตอบต่อสาธารณะมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  • หนึ่ง: ระบบพิสูจน์สิทธิ์ทำงานอย่างไร ตั้งแต่ด่านลีก–ด่านสมาคม–ด่านทีมชาติ ใครเป็นผู้รับรองขั้นสุดท้าย
  • สอง: ความสอดคล้องของ “กฎหมายสัญชาติภายใน” กับ “เกณฑ์สิทธิ์ทีมชาติของฟีฟ่า” มีช่องว่างตรงไหน
  • สาม: แผนเยียวยาผลกระทบ หากคำตัดสินรอบสุดท้ายทำให้ผลการแข่งขันต้องถูกแก้ไข—FAM จะจัดการผลทางกีฬา/สังคม/เศรษฐกิจแฟนฟุตบอลอย่างไร

บนมิติของแฟนบอล คำถามที่ดังก้องคือ “ชัยชนะ 4–0” ควรถูกจำได้อย่างไร หากท้ายที่สุดมันถูกเครื่องหมายดอกจัน (*) ต่อท้าย—นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของสกอร์บอร์ด แต่คือ ความศรัทธาในความยุติธรรมของเกม ที่ทุกคนร่วมกันรักษา

ทางออกเชิงระบบ จากวิกฤตสู่มาตรฐานใหม่ของอาเซียน

หากมองในเชิงโครงสร้าง วิกฤตคราวนี้อาจเป็น โอกาสในการยกระดับมาตรฐานภูมิภาค ข้อเสนอเชิงระบบที่เป็นไปได้ เช่น

  • ตั้ง “ศูนย์พิสูจน์สิทธิ์อาเซียน” (ASEAN Eligibility Hub) ร่วมกันระหว่างสมาคมสมาชิก เพื่อตรวจสอบข้ามชาติ–แลกข้อมูลทะเบียนราษฎร/ถาวรพำนัก และประวัติทีมชาติ/เยาวชน
  • บังคับใช้ “สองชั้น”: ชั้นสมาคม (FA) ตรวจร่างเอกสารกับฝ่ายกฎหมายโดยตรง และชั้นลีก/ทีมชาติ (Sporting) ตรวจซ้ำก่อนส่งรายชื่อ
  • สื่อสารเชิงรุก: เผยแพร่หลักเกณฑ์–ไทม์ไลน์–เช็กลิสต์สิทธิ์สาธารณะ ลดความสับสนประชาชน และป้องกัน “ความเชื่อผิด ๆ” ในโลกโซเชียล

ท้ายที่สุด ฟุตบอลเป็นเกมของความหวัง แต่ความหวังนั้นต้อง ผูกกับกติกา และ ความโปร่งใส อย่างแน่นหนา—ไม่เช่นนั้น “ชัยชนะวันนี้” อาจกลายเป็น “คำถามคาใจ” ในวันพรุ่งนี้

สรุปย่อสำหรับผู้บริหาร/ผู้กำหนดนโยบาย

  • คดีนี้เป็น stress test ระบบพิสูจน์สิทธิ์ทีมชาติในอาเซียน
  • หากคำตัดสินสุดท้ายยืนยันความผิด—คาด ปรับ–แบน–ปรับแพ้ ตามกรอบฟีฟ่า
  • FAM ต้องเร่ง: (1) แผนอุทธรณ์ (2) ตรวจสอบภายในอิสระ (3) แผนเยียวยา/สื่อสาร
  • สมาคมในภูมิภาคควรนำไป ยกระดับกระบวนการ KYC ฝ่ายทีมชาติ เพื่อคุ้มกันวิกฤตรูปแบบเดียวกัน

เชิงบรรณาธิการและความโปร่งใสของข้อมูล

เพื่อไม่ให้สาธารณะสับสน ฝ่ายข่าวยืนยันว่า ผลการแข่งขัน มาเลเซีย 4–0 เวียดนาม วันที่ 10 มิ.ย. 2025 มีหลักฐานยืนยันจากสื่อกระแสหลักด้านกีฬา ขณะที่ รายละเอียดคำตัดสินวินัยเฉพาะคดี ในเชิงเอกสารทางการของฟีฟ่าที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ยังอยู่ระหว่างการสืบค้น/รอยืนยัน ในชั่วโมงข่าวนี้ เราจึงรายงาน กรอบบทลงโทษที่เป็นไปได้ พร้อมระบุว่า คำวินิจฉัยสุดท้าย ต้องอ้าง แถลง/คำพิพากษา ของฟีฟ่าเท่านั้น หากฟีฟ่าเผยแพร่เอกสารภายหลัง ฝ่ายข่าวพร้อมอัปเดตความคืบหน้าโดยอิงเอกสารทางการทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บันทึกการแข่งขันและบริบทนัด มาเลเซีย–เวียดนาม (10 มิ.ย. 2025): ESPN match/event record (ยืนยันวัน–สกอร์–บริบทแข่งขัน).
  • กรอบกติกาฟีฟ่า: สิทธิ์การเล่นทีมชาติ (Eligibility to play for representative teams) — ข้อ 5–8 ในข้อบังคับฟีฟ่า (Regulations Governing the Application of the FIFA Statutes) อธิบายเกณฑ์สัญชาติ–เชื้อสาย–พำนัก–การเปลี่ยนทีมชาติ. (แหล่งสรุปอ้างอิงความเข้าใจสาธารณะ)
  • FIFA Disciplinary Code (แนวทางบทลงโทษ) — ครอบคลุม “forgery/falsification” และมาตรการทางวินัยที่อาจใช้กับสมาคม/นักเตะ (ปรับ–แบน–ปรับแพ้–โมฆะผล) ใช้เป็นกรอบอธิบายเพดานบทลงโทษที่เป็นไปได้.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

“เจเจ” ภพธรรม พรคต เด็ก ม.4 สร้างประวัติศาสตร์ไทยลีกอายุน้อยสุดอันดับ 3

เจเจ–ภพธรรม พรคต ก้าวแรกบนเส้นทางใหญ่ของ “เด็ก ม.4” ที่เขียนชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ไทยลีก และบทเรียนการปั้นเยาวชนฉบับเชียงราย

เชียงราย, 24 กันยายน 2568 — นาทีที่ 88 บนสกอร์บอร์ด “สิงห์ เชียงราย สเตเดียม” ตัวเลขยังชี้ว่าเจ้าถิ่นนำ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 1–0 เสียงเชียร์ดังสลับกับเสียงนกหวีดชี้นำเกม เมื่อชื่อ “ภพธรรม พรคต” ปรากฏบนป้ายเปลี่ยนตัว เด็กหนุ่มหมายเลข 37 ผู้ยังไม่ครบ 16 ปีเต็ม ก้าวข้ามเส้นขาวที่ตัดขอบสนาม เหยียบพื้นหญ้าไทยลีกครั้งแรกช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนักแน่นพอจะบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์

ค่ำคืนวันที่ 21 กันยายน 2568 ไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะนัดที่ 5 ของไทยลีก 1 ฤดูกาล 2025/26 หากยังเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าชิ้นใหม่ในวัฒนธรรมการสร้างดาวรุ่งของฟุตบอลไทย โดย เจเจ” ภพธรรม พรคต กลายเป็นนักเตะ อายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่ได้ลงเล่นลีกสูงสุดของประเทศ ด้วยวัย 15 ปี 11 เดือน 16 วัน เป็นรองเพียง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา (15 ปี 8 เดือน 22–23 วัน) และ เอกนิษฐ์ ปัญญา (15 ปี 11 เดือน 5 วัน) รุ่นพี่เลือดกว่างโซ้งผู้เคยแจ้งเกิดจากสโมสรเดียวกัน

และใช่หมายเลข 37 บนหลังเสื้อของเขา คือหมายเลขเดียวกับที่เอกนิษฐ์เคยสวมเมื่อตอนเริ่มต้น สัญลักษณ์เล็กๆ ที่ต่อสายใยจากอดีตสู่ปัจจุบัน ชวนให้ตั้งคำถามว่า “เบอร์นี้” จะยิ่งใหญ่เพราะใครสวม หรือ “คนสวม” จะทำให้หมายเลขนี้มีน้ำหนักกว่าเดิม

ก้าวเล็กๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่นาทีที่ 88 สู่ทำเนียบประวัติศาสตร์

จังหวะเปลี่ยนตัวของ โค้ชวอ” วรวุฒิ วังสวัสดิ์ ไม่ใช่เพียงการถอด–ใส่เพื่อถนอมแรงกำลังหลัก แต่คือการ “ส่งสัญญาณ” ถึงปรัชญาของสโมสรที่ยืนยันมาตลอดว่า โอกาสของเยาวชน ต้องเกิดขึ้นบนสนามจริง ไม่ใช่เพียงในแผ่นพับโรดแมปการพัฒนา

แม้เวลาบนพรมหญ้าจะมีเพียงไม่กี่นาที แต่มันมากพอสำหรับการจารชื่อ ภพธรรม พรคต เข้าสู่ทำเนียบ “แข้งอายุน้อยสุดที่ลงเล่นไทยลีก” ต่อท้ายสองชื่อใหญ่ของฟุตบอลไทยยุคใหม่ ศุภณัฏฐ์ และ เอกนิษฐ์ ความหมายของสถิติจึงไปไกลกว่าตัวเลข มันคือ “ไฟเขียว” ให้เด็กอีกมากมายเชื่อว่าประตูสู่ลีกสูงสุดไม่ได้ถูกล็อกด้วยอายุ หากแต่ด้วย มาตรฐานฝีเท้า–วินัย–ความพร้อมทางใจ

เส้นทางไม่ธรรมดาจากอะคาเดมี–โรงเรียนเครือข่าย สู่ทีมชาติชุดเล็ก

เบื้องหลัง “ก้าวแรก” บนไทยลีกของเจเจ มีเส้นทางเตรียมการที่ต่อเนื่อง หลายปี ผ่านระบบพัฒนาแบบ “สามประสาน” ระหว่าง อะคาเดมีสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, สโมสรเชียงราย ซิตี้ & StarPower Academy และ โรงเรียนทวีเอสซี วิทยา สถาบันการศึกษาที่ทำงานเคียงข้างสโมสรในบทบาท “โรงเรียน–ทีม” เพื่อยกระดับทั้งทักษะในสนามและวินัยนอกสนาม

  • ผลงาน–เวทีเยาวชน เจเจเคยคว้ารางวัล MVP (Man of the Match) ในการแข่งขันฟุตบอล 11 คน รายการ “รวมโชค Youth Fighter #U16” สะท้อนให้เห็นถึง “อิมแพ็กต์” ในระดับรุ่นอายุที่สม่ำเสมอ
  • การเปิดโลก–คัดตัวต่างประเทศ เขามีชื่อเข้าร่วมคัดเลือกในกิจกรรม “PPTV ร่วมกับ BDMS Presents Bundesliga Dream เตะ ล่า ฝัน” เพื่อเฟ้นหาทีมตัวแทนเยาวชนไปสัมผัสประสบการณ์ฟุตบอลเยอรมนี (คัดเลือกที่ศูนย์พัฒนาศักยภาพกีฬาฟุตบอล ม.กรุงเทพธนบุรี เมื่อ 28 กรกฎาคม 2567)
  • เส้นทางทีมชาติ–ค้นหาช้างเผือก รายชื่อ 44 คนสุดท้าย ภายใต้โครงการ FIFA TDS Talent ID 2025 “ค้นป่าหาช้างเผือก” และการเข้าเก็บตัวกับ ทีมชาติไทย U17 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเตรียมสู่ศึก AFC U-17 Asian Cup 2026 Qualifiers คืออีกสองหมุดหมายที่ยืนยันว่าเขาอยู่ในเรดาร์การพัฒนาเยาวชนของประเทศ

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วย “โชค” หากเกิดจาก การฝึกซ้อมเข้ม–วิถีชีวิตมืออาชีพตั้งแต่วัยมัธยม และ “ระบบสนับสนุน” ที่ชัด—ทั้งสโมสรและโรงเรียน โดย คุณสุธาสินี เหล่ารุ่งโรจน์ ผู้บริหารโรงเรียนทวีเอสซี วิทยา ถึงกับโพสต์แสดงความภูมิใจว่า

“ขึ้นยานแม่ไปอีก 1 คน~ Wonderkid U16 เจเจ 16ปี รุ่น52 อยู่กินนอนด้วยกันมา 3-4 ปี ภูมิใจมากค่ะ ขอบคุณประธานฮั่น ที่ให้โอกาสน้องได้ลงนัดแรกค่ะ”

ข้อความสั้นๆ แต่สะท้อน 3 แกนคิดชัดเจน เวลา (3–4 ปีของการบ่มเพาะ), วัฒนธรรมร่วม (อยู่–กิน–ซ้อมเป็นทีม), และ โอกาส (หน้าที่ของสโมสรคือเปิดประตูสู่ทีมชุดใหญ่)

เชียงราย–เมืองแห่งการปั้น เมื่อหมายเลข 37 มี “ความทรงจำ” เป็นแรงผลัก

สถิติของเจเจหนีไม่พ้นการถูกเทียบกับ เอกนิษฐ์ ปัญญา—ดาวเตะที่เติบโตจากระบบเดียวกัน จนไปไกลถึงทีมชาติชุดใหญ่และเจลีก ความคล้ายคลึงจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น “ผลลัพธ์เชิงระบบ” ของสโมสรที่ กล้าคืนพื้นที่เกมจริงให้เยาวชน ภายใต้กรอบวินัยและมาตรฐานที่คุมเข้ม

  • บทบาทในสนาม: เจเจเป็นกองกลางสไตล์ “เชื่อมเกม” ที่ดูนิ่งเกินวัย จุดเด่นคือการจ่ายบอลสั้น–กลางสะอาด การเลือกตำแหน่งรับ–ส่งเพื่อเปิดมุมเล่น และการไม่ตื่นกับสปีดเกมที่สูงขึ้น
  • บทบาทนอกสนาม: นักเรียน ม.4 ที่ต้องจัดสมดุลการเรียน–ซ้อม–แข่งขัน—นี่คือความท้าทายสำคัญของเยาวชนอาชีพ และคือเหตุผลที่ระบบ “โรงเรียน–อะคาเดมี” ของเชียงรายถูกยกเป็นต้นแบบในแง่การ ดูแลทั้งคนและนักกีฬา

นัยสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ “จะเป็นเอกนิษฐ์คนต่อไปหรือไม่” แต่อยู่ที่ เจเจจะเป็น “ภพธรรม พรคต” ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองได้อย่างไร—เส้นทางที่ต้องเดินด้วยวินัย–ตัวเลขการซ้อม–และความมุ่งมั่นมากกว่าภาพจำ

นาทีที่ 88 "ประธานฮั่น" มิตติ ติยะไพรัช เปลี่ยนตัว เจเจ เข้าสนาม ในวัย 15 ปี 11 เดือน 16 วัน

ทำเนียบแข้งอายุน้อยสุดในไทยลีกตัวเลขที่เล่า “ปรัชญา” ของทั้งลีก

การที่ไทยลีกบันทึกชื่อของเจเจในฐานะนักเตะอายุน้อยสุดอันดับ 3 ต่อจาก ศุภณัฏฐ์ และ เอกนิษฐ์ แปลความเป็นสองชั้น

  1. เชิงสโมสร: สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด รักษาเส้นทางพัฒนาเยาวชนให้เชื่อมกับทีมชุดใหญ่จริง ไม่ใช่เพียงรูปธรรมบนเอกสาร
  2. เชิงลีก: ไทยลีกพร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชนลงเล่น หากผ่านมาตรฐานและสมควรได้เวลา

นี่คือสิ่งที่ สโมสร–ลีก–แฟนบอล ต้องร่วมกันประคับประคอง เพราะสถิติเหล่านี้จะมีค่า ก็ต่อเมื่อ เวลาในสนาม ค่อยๆ งอกเงยเป็น คุณภาพการเล่น ไม่ใช่ “เช็คอินสถิติ” แล้วหายไป

เกมที่มากกว่าชัยชนะ 1–0 บทเรียนการใช้งานเยาวชนในนาทีสำคัญ

การส่งเจเจลงในช่วงนำแบบ “เฉือน” สะท้อนความเชื่อใจของสตาฟฟ์โค้ชต่อความคุมเกมของเด็ก มันคือบททดสอบความนิ่ง—บีจี ปทุมฯ เป็นทีมที่มีแรงปะทะสูงและสปีดยามไล่ตีเสมอ หากเยาวชน “ตกใจจังหวะ” ก็เสี่ยงโดนเพรสแล้วเสียบอลในพื้นที่อันตราย

การผ่านนาทีท้ายๆ แบบไม่เสียรูปทรง จึงเป็น “เคสสตัดดี้” สำหรับการใช้งานเยาวชน ให้เวลาในเงื่อนไขกดดันที่คุมความเสี่ยงได้, ประเมินผลจาก “คุณภาพการตัดสินใจ” มากกว่า “ไฮไลต์จังหวะเดียว” และค่อยๆ ขยายเวลาเมื่อเห็นความพร้อมต่อเนื่อง

ผลสะเทือนเชิงระบบ แรงบันดาลใจ–ความคาดหวัง–มาตรฐานใหม่ของอะคาเดมี

ทุกครั้งที่มี “เด็ก ม.ปลาย” ข้ามขึ้นไทยลีก วงแหวนคลื่นจะวิ่งไปไกลกว่าสโมสร

  • ต่อเยาวชนในระบบ: เห็น “ทางขึ้น” ชัดเจน—ซ้อมหนัก = มีโอกาสจริง
  • ต่อผู้ปกครอง–โรงเรียน: มั่นใจว่าการเลือกเส้นทางกีฬาไม่ใช่การทิ้งการศึกษา หากไปคู่กันได้
  • ต่อตลาดนักเตะ: สโมสรที่ปั้นเก่ง จะมี “ทุนมนุษย์” เป็นสินทรัพย์ สำคัญทั้งในเชิงกีฬาและเศรษฐกิจ (รักษาไว้ใช้เอง หรือกลายเป็นดีลในอนาคต)
  • ต่อไทยลีก–ทีมชาติ: ยกระดับฐานกว้างของผู้เล่นอายุ 15–19 ปี ที่มี “เวลาแข่งขันจริง” เร็วขึ้น

ทั้งหมดนี้ต้องพ่วงด้วย มาตรฐานคุ้มครองนักกีฬาเยาวชน—การจัดการภาระซ้อม–เรียน–พักผ่อน, การโภชนาการ, การฟื้นฟูร่างกาย, และ “การสื่อสาร” ที่ไม่กดเด็กด้วยความคาดหวังเกินวัย

ตัวเลขชวนคิด เวลา–คุณภาพ–รอยต่อสู่ฤดูกาลแรกเต็มใบ

แม้การเดบิวต์ของเจเจจะมีเวลาเล่นไม่มาก แต่ในเชิงพัฒนา นาทีคุณภาพ” (Quality Minutes) สำคัญกว่าจำนวนรวม—นาทีที่ใช้ในเกมจริงกับคู่แข่งแกร่ง มีค่าทางการเรียนรู้มากกว่านาทีจำนวนมากในเกมต่ำแรงกดดัน

สิ่งที่ควรจับตาต่อจากนี้คือ

  • จำนวนเกม–นาทีสะสม: สโมสรจะค่อยๆ เปิดพื้นที่แค่ไหน—ถ้วยลีก, ลีกคัพ, เอฟเอคัพ
  • บทบาทเชิงแท็กติก: เริ่มจาก “เชื่อมเกมปลอดภัย” ไปสู่ “จ่ายคิลเลอร์–วิ่งสอด–เพรสซิ่ง” ตามพัฒนาการ
  • การดูแลภาระเรียน: โรงเรียน–สโมสรจะวางตารางอย่างไรให้ ผลการเรียนไม่สะดุด และ ร่างกายไม่โอเวอร์โหลด

หากองค์ประกอบเหล่านี้ลงล็อก ฤดูกาลหน้าอาจเป็น “ฤดูกาลแรกเต็มใบ” ที่เจเจไต่ระดับไปสู่บทบาทหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ

เสียงสะท้อนจากระบบ “โอกาส” ที่ต้องมาพร้อม “แนวทาง”

ในมุมโครงสร้างฟุตบอลไทย “โอกาส” ให้เยาวชนลงเล่นคือจุดเริ่มต้น แต่ต้องตามด้วย “แนวทางพัฒนา” ที่ยึดมั่น ไม่เช่นนั้นเด็กจะติดกับ กับดักสถิติ มากกว่า การเติบโตแท้จริง

  1. การโค้ชรายบุคคล (Individual Development Plan) — แผนพัฒนารายเดือน–รายไตรมาสที่ชัดเจน
  2. สภาพแวดล้อมการซ้อมคุณภาพสูง — ซ้อมกับทีมชุดใหญ่, สแคริมเมจสปีดจริง, โค้ชเทคนิคเฉพาะตำแหน่ง
  3. การส่งเสริมด้านจิตวิทยาการกีฬา — รับมือความคาดหวัง สื่อสารกับสังคม–สื่อ–แฟนคลับอย่างเป็นมืออาชีพ
  4. พี่เลี้ยงในทีม — รุ่นพี่สายเดียวกันคอยแนะนำ ทั้งในและนอกสนาม

ระบบแบบนี้คือความต่างระหว่าง “ดาวรุ่งวูบวาบ” กับ “ตัวหลักระยะยาว”

เชียงราย–แบบเรียนของการเชื่อม “โรงเรียน–อะคาเดมี–สโมสร”

หากถอดบทเรียนจากเคสเจเจ สิ่งที่เห็นเด่นชัดคือ โมเดลความร่วมมือ โรงเรียนที่เข้าใจภารกิจพัฒนา คน+นักกีฬา”, อะคาเดมีที่จัดหลักสูตรฝึกซ้อมสอดคล้องกับคาแรกเตอร์สโมสร, และทีมชุดใหญ่ที่เปิดทางให้เด็กได้สัมผัสเกมจริงอย่างมีกรอบ

นี่คือ “สามเหลี่ยม” ที่หลายสโมสรอยากทำ แต่ไม่ง่าย—ต้องมี ความต่อเนื่อง, ความไว้วางใจ, และเป้าหมายร่วม ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเชียงรายพิสูจน์มาแล้วกับ เอกนิษฐ์ และกำลังเริ่มบทใหม่กับ ภพธรรม

จากนาทีที่ 88 สู่เส้นทาง 10 ปีข้างหน้า—ใครๆ ก็พูดถึง “พรสวรรค์” แต่สิ่งชี้ชะตาคือ “พรแสวงที่ทำทุกวัน”

เมื่อเสียงนกหวีดจบเกมดังขึ้น สถิติถูกบันทึกเรียบร้อย—สิงห์ เชียงรายฯ 1–0 บีจี ปทุมฯ และชื่อ ภพธรรม พรคต ถูกเติมลงในทำเนียบฟุตบอลไทยอย่างภาคภูมิ แต่หลังจากนี้คือ “ชีวิตจริง” ของดาวรุ่งวัย 15 ปี 11 เดือน 16 วัน ที่ต้องเผชิญการซ้อมหนักกว่าวันก่อน, ต้องรักษาความนิ่งท่ามกลางแววตาคาดหวัง, และต้องเติบโตทั้งในฐานะนักเตะ–นักเรียน–ลูกหลานของชุมชนฟุตบอลเชียงราย

สำหรับสโมสร–โรงเรียน–และลีก ค่ำคืนนี้ย้ำชัดว่า ระบบที่ดี สร้าง “โอกาส” ให้เกิดขึ้นได้จริง ส่วน “ปลายทาง” จะไปไกลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ วินัยและรายละเอียดเล็กๆ ที่เก็บทุกวัน

สำหรับแฟนบอล—เก็บชื่อ เจเจ” ภพธรรม พรคต ไว้ในสมุดเช็คชื่อดาวรุ่งของคุณ เขาอาจไม่การันตีว่าเป็น “เอกนิษฐ์ 2” แต่ถ้าเดินต่อบนเส้นทางที่ใช่ เราอาจได้เห็น “ภพธรรม” ในเวอร์ชันที่ทำให้หมายเลข 37 หนักแน่นขึ้นอีกชั้น—ด้วยผลงานของเขาเอง

ไทม์ไลน์–ข้อมูลสำคัญ (สรุป)

  • ชื่อ–อายุ: ภพธรรม พรคต (“เจเจ”) — 15 ปี 11 เดือน 16 วัน ตอนเดบิวต์ไทยลีก
  • สโมสร: สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (หมายเลข 37)
  • เกมเดบิวต์: ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2025/26 นัดที่ 5 — 21 ก.ย. 2568
  • ผลการแข่งขัน: สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ชนะ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 1–0
  • ทำเนียบอายุน้อยสุดไทยลีก (Top 3):
    1. ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา — 15 ปี 8 เดือน 22–23 วัน
    2. เอกนิษฐ์ ปัญญา — 15 ปี 11 เดือน 5 วัน
    3. ภพธรรม พรคต — 15 ปี 11 เดือน 16 วัน
  • เส้นทางเยาวชน: StarPower Academy / อะคาเดมีสิงห์เชียงรายฯ / สโมสรเชียงราย ซิตี้ / โรงเรียนทวีเอสซี วิทยา
  • เวทีคัดตัว–ทีมชาติ: FIFA TDS Talent ID 2025 (44 คนสุดท้าย), เก็บตัวทีมชาติไทย U17 (มิถุนายน 2568)
  • รางวัลสำคัญ: MVP รายการ “รวมโชค Youth Fighter #U16”
เจเจ “ภพธรรม พรคต” กับ คุณสุธาสินี เหล่ารุ่งโรจน์ ผู้บริหารโรงเรียนทวีเอสซี วิทยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (Singha Chiangrai United)
  • ไทยลีก (Thai League Co., Ltd.)
  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (FA Thailand)
  • FIFA – Talent Development Scheme (TDS)
  • โรงเรียนทวีเอสซี วิทยา
  • StarPower Academy / สโมสรเชียงราย ซิตี้
  • PPTV x BDMS Presents Bundesliga Dream
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

เหลือ 3 เดือนสุดท้าย ซีเกมส์ 33 กมธ.วุฒิสภา “เร่งเครื่อง” ถามความพร้อมประเทศเจ้าภาพ

3 เดือนสุดท้ายก่อนซีเกมส์ ครั้งที่ 33: กมธ.วุฒิสภา “เร่งเครื่อง” จี้รัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ คนใหม่ สางปมจัดการ–สื่อสาร–ที่พัก ขีดเส้นความพร้อมประเทศเจ้าภาพ

กรุงเทพฯ, 21 กันยายน 2568 – “เหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือน” ประโยคสั้นๆ ที่หนักแน่นพอจะสะท้อนแรงกดดันต่อทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ของไทยปลายปีนี้ ขณะที่สปอร์ตไลต์จากทั้งภูมิภาคกำลังกวาดสายตามาที่เรา—คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา (กมธ.) ออกโรงย้ำสัญญาณเตือนให้ฝ่ายบริหาร “เร่งแก้จุดคอขวด” โดยเฉพาะงานสื่อสารภาพลักษณ์เจ้าภาพ การบริหารศูนย์ถ่ายทอดสด ตลอดจนการจัดการที่พัก–ความปลอดภัยนักกีฬาและกองเชียร์ในช่วงไฮซีซัน

น้ำเสียงจริงจังของ นายจำลอง อนันตสุข สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะโฆษก กมธ.ฯ หลังการเชิญ นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เข้าชี้แจง 2–3 ครั้ง บอกเล่า “ภาพรวมที่น่าเป็นห่วง” ทั้งในเชิงระบบและจังหวะเวลา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบสัญลักษณ์งาน (โลโก–มาสคอต) ในช่วงกระชั้นชิด การตัดสินใจว่าจ้างเอกชนบริหารงานถ่ายทอดสดแทนหน่วยงานรัฐที่มีทรัพยากรพร้อมใช้ และภารกิจสำคัญอย่าง การสำรองที่พัก ในเดือนธันวาคมซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสูงสุดของไทยที่ “ยังไม่เริ่มต้นอย่างที่ควร” รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ต้องชัดเจนยิ่งขึ้น

“ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เข้มแข็ง ปล่อยปัญหานี้จนเหลือเวลาแค่ 3 เดือนสุดท้าย มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนโลโกและมาสคอตซึ่งไม่ควร เพราะต้องใช้ประชาสัมพันธ์… ส่วนเรื่องถ่ายทอดสด กกท.ไปจ้างเอกชน ทั้งที่กรมประชาสัมพันธ์มีพื้นที่และทรัพยากรเพียงพอ… เรื่องที่พักก็ยังไม่จอง ทั้งที่ธันวาคมเป็นไฮซีซัน” — นายจำลอง อนันตสุข กล่าวย้ำประเด็นต่อ กมธ.ฯ

เข็มนาฬิกาเดินต่อเนื่อง ขณะที่ “สมการความพร้อม” ยังมีหลายตัวแปรรอการปลดล็อก—และนี่คือภาพรวมเชิงลึกของโจทย์ท้าทายที่ถูกตั้งไว้ตรงหน้า “รัฐบาลชุดใหม่–รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” ผู้ต้องรับไม้ต่อในโค้งสุดท้าย

โจทย์เร่งด่วน 3 ประการ สื่อสาร–ถ่ายทอด–ที่พัก/ความปลอดภัย

1) การสื่อสารสาธารณะ (Public Communications) และงานสัญลักษณ์เจ้าภาพ

กีฬามหกรรมต้องการ “เรื่องเล่าเดียวกัน” (single narrative) เพื่อรวมพลังสังคมและตรึงใจผู้ชมในภูมิภาค การเปลี่ยนโลโก–มาสคอตในโค้งท้าย ไม่เพียงทำให้กระบวนการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์สะดุด แต่ยังส่งผลต่อ “สื่อสนับสนุนเชิงสิทธิประโยชน์” (sponsorship signage & collaterals) ที่ต้องรีดีไซน์–รีพิมพ์ ซึ่งเท่ากับเวลา–งบประมาณสูญเสียเพิ่มโดยไม่จำเป็น จุดนี้ กมธ.ฯ ระบุชัดว่า “ไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศเจ้าภาพ” และเสนอ ให้ยุติความไม่แน่นอน ด้วยการประกาศแบบใช้อย่างเป็นทางการ พร้อมคู่มือการใช้สัญลักษณ์ (brand guideline) ที่ทำให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าไปในทิศทางเดียว

2) การถ่ายทอดสดและศูนย์สื่อ

กมธ.ฯ ตั้งข้อสังเกตการที่ กกท. ว่าจ้างเอกชน ดูแลศูนย์การถ่ายทอดสด ทั้งที่หน่วยงานรัฐด้านสื่อสารสาธารณะมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับ การบริหารความเสี่ยงในงานระดับภูมิภาคจำเป็นต้องมี “แผนสำรองหลายชั้น” (redundancy) ทั้งลิงก์สัญญาณ สนาม–IBC (International Broadcast Center)–สตูดิโอ และการประสานงานสิทธิถ่ายทอดในประเทศ–ต่างประเทศ การใช้ทรัพยากรของรัฐ “เท่าที่มีพร้อมใช้งาน” จะช่วยควบคุมมาตรฐานและความต่อเนื่องของสัญญาณ รวมถึงป้องกันการทับซ้อนหน้าที่และค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน

3) ที่พักและความปลอดภัยในช่วงไฮซีซัน

ธันวาคมคือ “พีค” ของการท่องเที่ยวไทย—ห้องพักมีจำกัดและราคาแปรผันสูง การยัง ไม่ได้สำรองที่พัก ให้คณะนักกีฬา–เจ้าหน้าที่–สหพันธ์–สื่อมวลชน ในระดับที่เพียงพอ อาจนำไปสู่ “คอขวดเชิงโลจิสติกส์” และความไม่พึงพอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควบคู่กับประเด็น มาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่ง กมธ.ฯ เสนอให้เพิ่มกล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยง จัดทีมรักษาความปลอดภัยแบบผสม (ตำรวจ–ทหาร–อาสาสมัคร–สหพันธรัฐกีฬา) และแผนจัดการฝูงชน โดยเฉพาะการแข่งขันที่อ่อนไหวต่อ “อารมณ์เชียร์” ท่ามกลางบริบทภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค

งบประมาณ “ตั้งไว้ไม่พอ–รอพึ่งงบกลาง” กับความเสี่ยงเชิงเวลา

อีกปมที่ กมธ.ฯ หยิบยกคือเรื่องงบประมาณ “ตั้งทิ้งไว้ไม่เพียงพอ” และมีแนวโน้มต้องใช้งบกลาง ซึ่งตามขั้นตอนย่อม ทำให้ทุกกระบวนการช้าลง โดยเฉพาะงานที่ต้อง “ล็อก” สัญญากับเอกชน เช่น ระบบเทคนิคถ่ายทอดสัญญาณ มาตรการ IT/ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ การอัปเกรดสถานที่ การติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกชั่วคราว และการจ้างบุคลากรเฉพาะทาง “ทุกวันคือโอกาสต้นทุน” ที่อาจเพิ่มขึ้นแบบทบต้นทบดอก หากการตัดสินใจล่าช้าไปเพียงไม่กี่สัปดาห์

ภาพใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยในฐานะเจ้าภาพ “ซีเกมส์ 33” กับกรอบเวลาจริง

แม้แรงกดดันจะสูง แต่ “กรอบเวลา–กรอบงาน” ของไทยในฐานะเจ้าภาพยังชัดเจนตามปฏิทินกีฬาในภูมิภาค ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 กำหนดจัดระหว่าง 9–20 ธันวาคม 2568 โดยไทยเป็นเจ้าภาพหลักด้วยแนวคิด “Green, Clean, Friendly” และวางผังจัดการแข่งขันใน กรุงเทพมหานคร–ชลบุรี–สงขลา เป็นหลัก พร้อมเมืองร่วมจัดบางชนิดกีฬา ทั้งนี้ กกท.ได้รายงานภาพรวมต่อสาธารณะหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา โดยย้ำบริบทความพร้อมของสถานที่แข่งขัน โครงสร้างพื้นฐาน และการประสานหน่วยงานท้องถิ่น–ภาคเอกชนเพื่อรองรับมหกรรมกีฬา

การที่สหพันธ์กีฬานานาชาติและระดับทวีป—รวมถึงสหพันธ์มวยปล้ำโลก (UWW)—ระบุประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ 2025 ในเอกสารทางการ และการตั้ง “คณะกรรมการจัดการแข่งขัน” (Organizing Committee) คือหมุดหมายว่าสังคมกีฬาโลก “นับถอยหลังร่วมกันกับไทย” แล้ว ที่เหลืออยู่คือการปิดจุดเสี่ยงให้เร็วที่สุดเพื่อลดความไม่แน่นอนในสายตาผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

น้ำหนักคำถามจาก กมธ.ฯ สู่ “กรอบปฏิบัติ” สำหรับรัฐมนตรีฯ คนใหม่

คีย์แมสเสจของ กมธ.ฯ ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่ชัดเจน 3 ขั้นตอน

  1. จัดโต๊ะหารือด่วน ระหว่าง (กกท.–กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา–กระทรวงมหาดไทย/ผู้ว่าฯ เมืองเจ้าภาพ–สำนักงานตำรวจแห่งชาติ–กระทรวงดิจิทัลฯ–กรมประชาสัมพันธ์–การไฟฟ้า/การประปาฯ–ขนส่ง/รฟม./รฟท.–การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนรายสำคัญ) เพื่อเคลียร์ “แผนแม่บทโค้งสุดท้าย” ให้มีเจ้าภาพงานแต่ละสายชัดเจน, เส้นตาย, ตัวชี้วัดความก้าวหน้า (KPI) รายสัปดาห์
  2. ล็อกสัญญา–ล็อกพื้นที่–ล็อกคน
    • สัญญาสนับสนุนเทคนิคหลัก: ศูนย์ถ่ายทอด, ระบบเวลา/ผลการแข่งขัน, ระบบขายบัตร, แพลตฟอร์มข้อมูล, ซัพพลายความปลอดภัย
    • พื้นที่: โรงแรมหลัก–โรงแรมสำรอง, โซน IBC, ศูนย์สื่อ, เส้นทางขบวน–รถรับส่ง
    • คน: บุคลากรเทคนิค, อาสาสมัคร, ทีมล่าม, ทีมแพทย์ฉุกเฉิน–เวชศาสตร์การกีฬา, ทีมความปลอดภัยสนาม/โรงแรม/จุดคมนาคม
  3. ระบบรายงานความก้าวหน้า รายสัปดาห์ต่อ กมธ.ฯ และศูนย์บัญชาการซีเกมส์ (War Room) ของฝ่ายบริหาร โดย กมธ.ฯ ระบุว่าจะ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือทุกสัปดาห์ และลงพื้นที่ตรวจจริง เพื่อคุมคุณภาพ–เวลา และช่วย “ปลดล็อกอุปสรรค” ที่กระทบภาพรวม

ซีเกมส์” ไม่ใช่แค่งานกีฬา มาตรวัดความสามารถจัดการมหกรรมระดับภูมิภาค

ประเด็นที่หลายคนมองข้ามคือ “ผลลัพธ์นอกสนาม” ซีเกมส์คือเวทีทดสอบขีดความสามารถโครงสร้างพื้นฐานอีเวนต์ของไทย ตั้งแต่สนาม–ระบบขนส่ง–ความปลอดภัย–การสื่อสารสาธารณะ–เศรษฐกิจท่องเที่ยว–เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ไปจนถึง ความเชื่อมั่นนักลงทุนอุตสาหกรรมอีเวนต์–ไมซ์ หากเราจัดการ “ประสบการณ์รวม” (End-to-End Experience) ได้อย่างมืออาชีพ—ตั้งแต่การขอวีซ่า, การต้อนรับที่สนามบิน, เส้นทางขนส่ง, การเช็กอินโรงแรม, โภชนาการฮาลาล/มังสวิรัติ/อัลเลอร์จี, ไปจนถึงการสื่อสารสองภาษา—เราจะยกระดับ “ตราประทับคุณภาพ” ประเทศเจ้าภาพในสายตาภูมิภาค

ในมุมนี้ การตัดสินใจเรื่อง ศูนย์ถ่ายทอด และ เอกภาพการสื่อสาร จึงไม่ใช่รายละเอียดปลีกย่อย แต่คือ “โครงหลัก” ที่ส่งผลต่อการรับรู้คุณภาพซีเกมส์ของไทยทั้งงาน

เสียงเตือนเรื่องความปลอดภัย แผนเชิงรุกที่ต้องชัด–ซ้อมจริง

ข้อเสนอของ กมธ.ฯ ให้ ติดตั้งกล้องวงจรปิด ในจุดเสี่ยง, จัด ทีมรักษาความปลอดภัยผสม และแผน แยกกองเชียร์ ในบางแมตช์ ไม่ได้เกิดจากความกังวลเกินเหตุ แต่สอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการแข่งขันยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ Crowd Management และ Risk-Based Policing โดยเฉพาะในสนามที่มีแฟนกีฬาเข้มข้น นอกจากนี้ แผนการแพทย์ฉุกเฉิน–การคัดแยกผู้บาดเจ็บ (Triage)–เส้นทางขนย้ายผู้ป่วย–และการสื่อสารวิทยุระหว่างหน่วย ต้อง “ซ้อมสถานการณ์จริง” หลายรอบล่วงหน้า เพื่อให้ทุกคนรู้ตำแหน่ง–หน้าที่–คำสั่ง–และจุดรวมพลอย่างแม่นยำ

งบฯ–เวลา สมการที่ต้องคุมให้ได้ใน 12 สัปดาห์

ประโยคที่ว่า “งบไม่พอ–จะขอใช้งบกลาง” ทำงานได้ในเชิงทฤษฎี แต่ในเชิงปฏิบัติ “เวลาอนุมัติ–เบิกจ่าย–จัดซื้อ–ติดตั้ง–ทดสอบ” คือวงจรที่แทบไม่เหลือช่องว่างผิดพลาด การบริหารงบประมาณในโค้งสุดท้ายจึงต้อง

  • จัดลำดับความสำคัญ (Prioritization): อะไรคือ “ต้องมี” เพื่อความปลอดภัย–ฟังก์ชันหลัก อะไรคือ “ควรมี” เพื่อยกระดับประสบการณ์ และอะไรคือ “อยากมี” ที่เลื่อนได้
  • ใช้สัญญาแบบผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง (Outcome-based) กับผู้รับจ้าง เพื่อผูก KPI กับ “วันจริง”
  • ตั้งกองปฏิบัติการรวมศูนย์ (Integrated Command) ที่มีอำนาจตัดสินใจเร็ว–รายงานตรง–เบิกจ่ายได้ตามกรอบกฎหมาย

ภาพสะท้อนจากเวที กมธ. จากการตรวจสอบสู่ “ความร่วมมือ”

แม้โทนคำพูดของนายจำลองจะเข้ม แต่ในตอนท้าย เขาย้ำชัดเจนว่า กมธ.ฯ พร้อมสนับสนุนรัฐบาล และจะทำงานเชิงรุก—เปิดโต๊ะทุกสัปดาห์ ลงพื้นที่สถานที่แข่งขัน เพื่อช่วยให้ซีเกมส์ครั้งนี้ “เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่าเป็นเวทีตำหนิซ้ำเติม

“ต้องให้กำลังใจรัฐบาลชุดนี้ด้วย และเราจะช่วยให้กีฬาในครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจของประชาชนทั้งประเทศ” — นายจำลอง อนันตสุข ย้ำบทบาท กมธ.ฯ

สิ่งที่สังคมคาดหวัง ความชัดเจนภายใน “วัน–สัปดาห์” ไม่ใช่ “เดือน”

เมื่อเวลาคือทรัพยากรที่แพงที่สุด ความชัดเจนภายใน 7–14 วัน ข้างหน้า จะเป็นตัวคูณความสำเร็จของโครงการอย่างมีนัยสำคัญ

  • ประกาศสัญลักษณ์ทางการ พร้อมคู่มือใช้งาน–แผนสื่อ
  • ปิดดีลที่พักหลัก–สำรอง ครอบคลุมทีมชาติ–เจ้าหน้าที่–สหพันธ์–สื่อ
  • ตัดสินใจผู้รับผิดชอบศูนย์ถ่ายทอด–ระบบสัญญาณ พร้อมแผนสำรอง
  • เปิด War Room รายสัปดาห์ และเผยแพร่ “แดชบอร์ดความก้าวหน้า” ต่อสาธารณะในระดับที่เหมาะสม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและชวนอาสาสมัครทั่วประเทศเข้าร่วม

กมธ.ฯ ยืนยัน จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าหารือทุกสัปดาห์ และลงพื้นที่สนามแข่งขัน เพื่อให้ “เส้นตาย” กลายเป็น “เส้นชัยร่วมกัน” ของทุกคน

โค้งสุดท้ายที่ต้อง “เดินพร้อมกัน”

ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ไม่ใช่เพียงบทพิสูจน์นักกีฬาบนโพเดียม แต่คือ บทพิสูจน์กำลังของระบบ ตั้งแต่นโยบาย–ปฏิบัติการ–ความร่วมมือรัฐ–เอกชน–ท้องถิ่น—ที่จะบอกกับภูมิภาคว่า “ไทยยังยืนหนึ่งในฐานะเจ้าภาพอีเวนต์มหกรรมระดับอาเซียน” ได้หรือไม่

สัญญาณเตือนจาก กมธ.วุฒิสภา ในวันนี้จึงไม่ใช่ “เสียงตำหนิ” หากคือ “เสียงกลอง” ที่ตีจังหวะให้ทุกฟากฝ่ายเร่งก้าวเท้าเข้าหากัน—เพื่อให้ 3 เดือนสุดท้าย กลายเป็นช่วงเวลาของการ “เก็บงานอย่างมีวินัย–ปิดจุดเสี่ยงอย่างมืออาชีพ–และเล่าเรื่องประเทศไทยอย่างภาคภูมิ” บนเวทีกีฬาของเพื่อนบ้านทั้งภูมิภาค

เมื่อเส้นชัยอยู่ไม่ไกล—สิ่งที่ต้องทำคือ วิ่งให้เป็นทีม เดินให้เป็น “ขบวนเจ้าภาพ” ที่มั่นใจ และจัดการรายละเอียดให้เรียบร้อยตั้งแต่วันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เปิดเกมเศรษฐกิจ 2,400 ล้าน! เชียงรายเจ้าภาพ Spartan World Championship

เชียงรายจารึกประวัติศาสตร์กีฬาโลก คว้าเจ้าภาพ “Spartan SUPER World Championship” 3 ปีซ้อน (2026–2028) ผลักดันเมืองรองสู่เวทีนานาชาติ วางหมาก “Longer Stay” ปลุกเศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาท

เชียงราย,20 กันยายน 2568 — ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจคึกคักตั้งแต่เช้า ผู้บริหารภาครัฐ–เอกชน นักวิ่งแนว OCR และสื่อมวลชนหลากสำนักจับจ้อง “จุดเปลี่ยน” ใหม่ของเมืองเหนือ เมื่อจังหวัดเชียงรายลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับพันธมิตร 4 องค์กร เพื่อเดินหน้าผลักดันสิทธิ์เจ้าภาพจัด Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2569–2571) ถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของเอเชีย หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการตามโรดแมปของผู้จัดสากล

เอกสารความร่วมมือครั้งนี้มีผู้แทนร่วมลงนามได้แก่

  1. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย,

  2. ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) – TCEB,

  3. Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc., และ

  4. นายบุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สารัตถะของ MOU ระบุกรอบความร่วมมือเพื่อผลักดันการจัดการแข่งขัน รอบชิงแชมป์โลกประเภท “Super 10K”สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี โดยตั้งเป้าให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็น “เมืองเทศกาลระดับโลก” ใช้งานกีฬามวลชนเสริมพลังเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างคน และสร้างแบรนด์เมืองระยะยาว จังหวัดเชียงรายกำลังกลายเป็น “หมุดหมาย” หน้าใหม่ของเมืองเหนือสุดในสยาม เมื่อ 4 ภาคี อย่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB, Spartan Race Inc. และบริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด—ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อผลักดันให้เชียงรายเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (ค.ศ. 2026–2028) ณ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

สำหรับโลกกีฬา OCR (Obstacle Course Racing) นี่ไม่ใช่แค่งานวิ่ง แต่นี่คือ “บทพิสูจน์” ทั้งร่างกายและจิตใจ—คลาน ลุยโคลน ปีนป่าย แบกหาม และข้ามไฟ—การผสานความแข็งแกร่ง กำลังใจ และวินัยเข้าด้วยกัน ภายใต้แบรนด์ Spartan ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกและกำหนดมาตรฐานชนิดกีฬานี้ในกว่า 40–45 ประเทศทั่วโลก มีทั้งรายการระดับสมัครเล่นไปจนถึงชิงแชมป์ทวีปและชิงแชมป์โลก โดยประเภท “Super” มีระยะ 10 กิโลเมตร พร้อมอุปสรรคเฉลี่ยราว 25 ด่าน—โครงสร้างการแข่งขันระดับสากลที่แฟน ๆ OCR ทั่วโลกคุ้นเคยดี

Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก และ บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

Spartan เป็นแบรนด์ระดับโลกที่สร้างชุมชนจาก ความยืดหยุ่น (resilience), ความมุ่งมั่น (grit), ความแข็งแกร่ง (strength) และเหนืออื่นใดคือ ความเป็นหนึ่งเดียว (togetherness). ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงเชียงราย ผมเห็นทุกองค์ประกอบที่เราตามหา” — Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc. กล่าวระหว่างพิธีลงนาม

จากห้องประชุม “ไลบรารี่ เล้าท์” สู่ปฏิทินโลก

พิธีลงนาม ณ ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 20 กันยายน 2568 เปรียบเสมือนการ “เลี้ยวเข้าสู่โค้งสุดท้าย” ของการเสนอสิทธิ์เมืองเจ้าภาพ โดยทั้ง 4 องค์กรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันชัดเจน—เชียงรายพร้อมใช้มหกรรมกีฬาระดับโลกเป็น แม่เหล็ก (Magnet) กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และยกระดับสมรรถนะการจัดงานนานาชาติของเมืองรองอย่างเป็นระบบ

ในเดือนตุลาคม 2568 ที่งาน Spartan SUPER World Championship 2025 ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จะมีพิธีประกาศชื่อ “เชียงราย” บนเวทีโลกอย่างเป็นทางการ พร้อมพิธีโบกธงชาติไทย ซึ่งหมายถึงชื่อ “Chiang Rai” จะถูกบรรจุอยู่ในปฏิทินนานาชาติของ Spartan ตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป—คือจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังสู่รอบไฟนอลประเภท Super บนผืนดินเอเชียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเครือการแข่งขันนี้

“Spartan” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเกมใหญ่ของเมือง

กีฬาประเภท OCR อยู่ภายใต้กรอบของ World Obstacle (FISO) องค์กรนานาชาติที่ทำงานด้านมาตรฐาน ความปลอดภัย และการยอมรับในระดับโลก โดย Spartan คือตัวแสดงหลักที่สร้างฐานแฟนจำนวนมากจาก “สนามมาตรฐาน + ประสบการณ์สนาม” ผ่านรายการหลากหลาย (Sprint/Super/Beast/Ultra ฯลฯ) และอีเวนต์เกือบตลอดทั้งปีในหลายทวีป

บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับ ประเภท “Super” ที่เชียงรายจะเป็นเจ้าภาพรอบชิงแชมป์โลกนั้น กติกาสากลากำหนด “วิ่ง 10K + อุปสรรค ~25 ด่าน” และเป็นขั้นกลางที่ท้าทายกว่าสาย Sprint อย่างมีนัยสำคัญ—นักกีฬาต้องมีความฟิตทั้ง upper body และ lower body รวมถึงทักษะการทรงตัว/สมดุล (body balance) เพื่อผ่านอุปสรรคบนเส้นทางธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะสนาม ซึ่งเป็นลายเซ็นของแบรนด์ Spartan ในทุกประเทศ

สปาร์ตันไม่ได้ต้องการ ‘การเอาชนะ’ แต่ต้องการ ‘การพิชิต’ (Conquer)—พิชิตสิ่งกีดขวางตรงหน้าไปทีละด่าน…” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปรัชญาของงาน

ในมุมเชิงการแข่งขัน “เวิลด์แชมเปียนชิพ” ไม่ได้เปิดกว้างแก่ทุกคน เพราะผู้เข้าชิงตำแหน่งต้องผ่านรอบคัดเลือกในระดับ National Series / Regional Series สะสมแต้ม ผ่านระบบจัดอันดับและ Token เพื่อได้สิทธิ์ลงไฟนอล “Super” ซึ่งเป็นเส้นทางที่เข้มข้นคล้ายสนามสอบระดับประเทศ—จึงไม่น่าแปลกใจว่าจากผู้เข้าร่วม Spartan ทั่วโลกนับ ล้านคน/ปี จะมีเพียง “หยิบมือ” ที่ได้ตั๋วสู่ไฟนอล ทว่า “เอฟเฟกต์มวลชน” ของแบรนด์ยังเกิดขึ้นควบคู่ผ่านรายการ open class และกิจกรรมคอมมูนิตี้ในสัปดาห์อีเวนต์ ที่เปิดให้คนทั่วไปสัมผัสประสบการณ์ Spartan ได้เช่นกัน (บริบทจำนวนประเทศ/กิจกรรมภายใต้ Spartan อ้างอิงหน้าองค์กร)

เมืองรองสู่ “World Sport Tourism Destination” ทำไมต้องเชียงราย

สิงห์ปาร์ค เชียงราย คือแลนด์สเคปโล่งกว้าง รายล้อมไร่ชา–เนินเขา มีพื้นที่เพียงพอสำหรับวางคอร์สอุปสรรคหลายเซกเมนต์ รวมถึงโซนรีคัฟเวอรี/เอ็กซ์โป/แฟนโซน ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงครอบครัวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด—จุดถ่ายรูป, ปั่นจักรยาน, ไร่ชา, ซิปไลน์ และเทศกาลระดับนานาชาติอย่างบอลลูน—ช่วยผสาน “สนามแข่ง” กับ “เดสติเนชัน” ได้ในจุดเดียว (ข้อมูลทางการจาก ททท.)

ด้านการเดินทาง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงราว 8–9 กิโลเมตร ใช้เวลารถยนต์ประมาณ 15–20 นาที (ขึ้นกับสภาพจราจรและจุดหมายปลายทาง) ซึ่งเป็นระยะที่เอื้อให้เกิด “ฮับรับ–ส่ง” สำหรับนักกีฬาต่างชาติและทีมงานได้สะดวกกว่าหลายเมืองแข่งขันในต่างประเทศ (อ้างอิงข้อมูลระยะทางสนามบิน/เมือง)

ปัจจัยเชิงระบบที่ช่วยหนุนอีกชั้นคือบทบาทของ TCEB ในฐานะหน่วยงานรัฐด้าน MICE—การประชุม, นิทรรศการ, อีเวนต์ระดับนานาชาติ—ซึ่งมี “เครื่องมือสนับสนุน” ทั้งด้านการประสานงาน, กลไกสนับสนุนเชิงงบประมาณตามหลักเกณฑ์, และการทำงานร่วมกับจังหวัด/เอกชนเพื่อให้การเป็นเจ้าภาพเกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุด (อ้างอิงเอกสารและรายงานผลการสนับสนุนของ TCEB)

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ TCEB

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 800 ล้านบาท/ปี กับ “ตัวคูณเวลาพำนัก”

ฝ่ายจัด–ภาครัฐคาดการณ์นักกีฬาและผู้ติดตามรวมกว่า 60,000 คน จาก กว่า 50 ประเทศ ตลอด 3 ปี และประเมินเม็ดเงินหมุนเวียน ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท) โดยมาจากค่าโดยสาร/โรงแรม/ร้านอาหาร/การท่องเที่ยวต่อเนื่อง–เชื่อมเมืองใกล้เคียง ตลอดจน มูลค่า PR ที่สะท้อนภาพลักษณ์จังหวัดสู่สายตาโลกผ่านคอนเทนต์ของแบรนด์และผู้ติดตามนับล้าน

แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ประมาณการ” จากเจ้าภาพ อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ก่อนหน้าในไทยสะท้อนให้เห็นว่า Spartan ดึง ผู้เข้าร่วมเป็นพัน–หลักหมื่น และ ผู้ติดตามหลักหมื่น สร้างผลคูณรายได้ระดับ หลายร้อยล้านบาท ในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ (รายงานจากสื่อกระแสหลัก) ซึ่งช่วยยืนยัน “ทิศทาง” ของตัวเลขที่เชียงรายตั้งความหวังไว้ได้ในระดับหนึ่ง

หัวใจสำคัญของผลคูณคือแผนยุทธศาสตร์ “Longer Stay Campaign”—ทำอย่างไรให้นักกีฬา/ทีมงาน/ผู้ติดตาม อยู่เชียงรายนานขึ้น ไม่ใช่แค่มา–แข่ง–กลับ หากยืดเวลาเป็น 7–14 วัน ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น เทศกาลอาหาร “Taste of Spartan”, งานดนตรี After Party แนว world/ethnic, เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม (ไร่ชา, ดอยตุง, คาเฟ่–กาแฟพิเศษ, วิถีชนเผ่ามลายู–ลาหู่–อาข่า ฯลฯ) และกิจกรรมอาสาสมัครชุมชน—ทั้งหมดนี้สอดรับภาพใหญ่ของ TCEB/MICE ที่ผลักดันเมืองรองไทยให้เป็น Sport Hub / Training Center ระดับเอเชีย

“ทำอย่างไรให้เขาอยู่เชียงราย สองอาทิตย์ ได้ไหม—นี่คือโจทย์” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ชี้ทิศทางยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อนทั้งจังหวัดร่วมกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

สนาม” กับ “เมือง” โจทย์ความพร้อมที่ต้องไปด้วยกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวย้ำว่า “โอกาสแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อย หลายจังหวัดอยากได้ แต่วันนี้เกิดขึ้นที่เชียงราย” พร้อมระบุว่าทุกภาคส่วน—หน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา—จะบูรณาการกำลังคน/อาสาสมัคร/ลอจิสติกส์ เพื่อรองรับมาตรฐานสากลของงาน

โจทย์หลักที่ต้องเร่งวางแผนเชิงปฏิบัติการ ได้แก่

  1. ที่พัก–การเดินทาง: กระจายตัวรองรับนักกีฬาหลายหมื่นคนในสัปดาห์อีเวนต์ โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันปลายปี (ธ.ค.) ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปหนาแน่นอยู่แล้ว
  2. การจราจร–ความปลอดภัย: วางแผนเส้นทางเข้า–ออกสิงห์ปาร์ค, จุดจอดรับ–ส่ง, หน่วยแพทย์สนาม, ระบบสื่อสารฉุกเฉินตามมาตรฐาน OCR/Spartan
  3. สิ่งแวดล้อม–ชุมชน: จัดการขยะ/น้ำเสียจากอีเวนต์, ใช้วัสดุรีไซเคิลในแฟนโซน/เอ็กซ์โป, เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นจำหน่ายสินค้า OTOP/Local และบริการทัวร์ชุมชน
  4. คน–ทักษะ (Upskill/Reskill): เตรียมอาสาสมัครสนาม/ล่าม/ช่างเทคนิคอุปสรรค, ฝึกอบรม first aid และความรู้ด้านมาตรฐานความปลอดภัยสากลของ OCR เพื่อสร้าง “ขีดความสามารถใหม่” ให้กับคนเชียงราย

นอกจากนั้น ภาคส่วนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ต้อง “จับคู่–ต่อยอด” กับ คอมมูนิตี้สปาร์ตัน ที่มีพฤติกรรมบริโภคเฉพาะ—อาหารสุขภาพ, กาแฟพิเศษ, เวิร์กชอปโยคะ/ฟื้นฟู, สปอร์ตกายภาพ—เพื่อยืดเวลาพำนัก ให้เงินหมุนเวียนอยู่ในจังหวัดนานขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนเวทีแถลง

นางนิตยา เกิดจันทึก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

เรื่องเล่าจากสนาม จาก “โคลน–เชือก–ไฟ” สู่ “ภาพจำเชียงราย”

หากมองผ่านเลนส์สื่อสังคมออนไลน์ โพสต์จากนักกีฬาสปาร์ตันทรงพลังเสมอ—รอยยิ้มตอนข้ามไฟ, มือที่ยื่นดึงเพื่อนข้ามกำแพง, หรือภาพพื้นโคลนที่ใคร ๆ ภูมิใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก—ทุกเฟรมคือ “PR ธรรมชาติ” ที่ยากประเมินมูลค่า เมื่อเชียงรายกลายเป็นฉากหลังของคอนเทนต์ระดับโลก ภาพไร่ชา–ภูเขา–ศิลปะวัดวา (เช่น วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น) จะค่อย ๆ กลายเป็น ภาพจำใหม่ ของเดสติเนชันกีฬาเอาท์ดอร์ในเอเชีย—นี่คือ เสถียรภาพทางภาพลักษณ์ (reputation capital) ที่ขยายเวลานานกว่าสัปดาห์แข่งขัน

ประสบการณ์ในไทยก่อนหน้านี้ สะท้อนว่าเมืองเจ้าภาพได้รับแสงสปอร์ตไลต์ชัดเจน: The Nation เคยรายงานว่าอีเวนต์ Spartan Thailand 2023 สองสนามใหญ่ (พัทยา–ภูเก็ต) “คาดต้อนรับนักกีฬากว่า 10,000 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 500 ล้านบาท” ขณะที่ Bangkok Post ระบุสนามเชียงใหม่ปี 2022 คาดผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คนจาก 30 ประเทศ และเม็ดเงินหมุนเวียนราว 300 ล้านบาท—กรณีศึกษาที่ส่งสัญญาณว่าหากเชียงรายวาง Longer Stay ได้ตรงใจและทำ “แพ็กเกจกีฬา + เที่ยว” ให้โดนตลาดสากล เม็ดเงิน 800 ล้านบาท/ปีอาจไม่ไกลเกินเอื้อม

เชียงรายในสมการ “MICE + Sport” จากสนามสู่ระบบนิเวศเศรษฐกิจ

บทบาทของ TCEB สำคัญยิ่งในเฟสหลังประกาศเมืองเจ้าภาพ—ไม่เพียงสนับสนุนอีเวนต์หลัก แต่ยังสามารถ “ต่อยอด” ด้วยการดึง การประชุม/ประชุมเชิงปฏิบัติการ ของเครือข่าย Spartan (เจ้าหน้าที่เทคนิค, ผู้ตัดสิน, ทีมจัดการความปลอดภัย, ผู้จัดซีรีส์ทวีป) มาจัดในไทยช่วงก่อน–หลังอีเวนต์ เพื่อให้การใช้จ่ายของคณะทำงานกระจายสู่ภาคบริการมากขึ้น และช่วยสร้าง “องค์ความรู้” ให้คนท้องถิ่น—จากการจัดสนาม, บริหารอุปสรรค, ไปจนถึงการทำ event operations ตามมาตรฐานโลก (ข้อมูลบทบาท/เครื่องมือสนับสนุน TCEB)

ในชั้นเชิงนโยบาย “Sport Tourism” กำลังกลายเป็น Soft Power ด้านสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ของไทย เมืองที่เคยเป็น MICE City อย่างพัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ต่างใช้กลยุทธ์ “เทศกาลกีฬา” ดึงเม็ดเงินคุณภาพ—และเชียงรายซึ่งมีทุนวัฒนธรรม–ธรรมชาติชัดเจน พร้อมเครือข่ายเอกชน–สถาบันการศึกษา เข้าสู่ “วงจรดี” เดียวกันได้ หากยกระดับมาตรฐานและเปลี่ยน “อีเวนต์หนึ่งสัปดาห์” เป็น ฤดูกาลกีฬา (Sporting Season) ที่ต่อเนื่องตลอดปี

คลี่ปม–จับมือ–เดินหน้า งานใหญ่ของ “ทั้งเมือง”

การเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship ไม่ใช่งานของคนกีฬาเพียงกลุ่มเดียว แต่เป็นงานของ “ทั้งเมือง”—ตั้งแต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ผลิตของที่ระลึก ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่นและเยาวชนที่จะเข้ามาเป็นอาสาสมัครสนาม ทุกวงจรล้วนอยู่ในสมการรายได้ของจังหวัดดังนี้

  • ก่อนงาน (T-12 ถึง T-1 เดือน): โฟกัสการก่อสร้าง/ทดสอบอุปสรรค, ฝึกกำลังคน, เปิดคอร์ส trial, เดินสายโปรโมต “แพ็กเกจ Longer Stay” และดีล early bird สำหรับทัวร์เนินเขา–ไร่ชา–คาเฟ่–งานคราฟต์ (ใช้หน้าที่วัด/ชุมชนเป็นเวทีย่อย)
  • สัปดาห์งาน (T-0): โฟกัสความปลอดภัย–โลจิสติกส์–การจราจร, จัดโซน Fan Village ที่เน้นสินค้าชุมชน/OTOP, ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวกีฬา” เชื่อมเส้นทางต่อยอดหลังจบแข่ง
  • หลังงาน (T+1 ถึง T+4 สัปดาห์): เก็บข้อมูล spend per capita และ length of stay, ทำแผนเยียวยาสิ่งแวดล้อม (เก็บขยะ, คืนสภาพสนาม), ทำคอนเทนต์ “Best Moments of Chiang Rai” ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์/ทีมถ่ายทอด เพื่อรีมาร์เก็ตติ้งสู่ฤดูกาลถัดไป

หากทุกฟันเฟืองเดินไปทิศเดียวกัน เป้าหมาย “เศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาทใน 3 ปี” ย่อมมีฐานรองรับจริง—ไม่ใช่เพียงตัวเลขในสไลด์งานแถลง

จาก “สนามโลก” สู่ “เมืองโลก”

การเลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship 2026–2028 คือ “สัญญาณ” ว่าเมืองรองของไทยพร้อมยืนบนเวทีกีฬาโลก—ไม่ใช่ด้วยสนามกีฬาอันทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย ภูมิทัศน์ธรรมชาติ, ทุนวัฒนธรรม, และ ระบบคน–บริการ ที่กำลังจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่

“วันนี้ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกัน เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมอย่างสง่างาม”—คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สอดรับกับวิสัยทัศน์ของ TCEB และพันธมิตร Spartan/รันริโอ

เส้นทางข้างหน้ามีทั้ง “โคลน–เชือก–กำแพง” ให้เชียงรายต้องพิชิตทีละด่าน—แต่หาก “ทีมเชียงราย” เดินไปพร้อมกัน เป้าหมาย เมืองกีฬา–ท่องเที่ยวระดับโลก ที่คนทั้งโลกอยากมา “วิ่ง–พัก–ใช้ชีวิต” ที่นี่อย่างน้อย สองสัปดาห์ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

ตัวเลข “ผู้เข้าร่วมรวม 60,000 คน” และ “เม็ดเงินสะพัด 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท/3 ปี)” เป็น ประมาณการจากผู้จัดและหน่วยงานคู่สัญญาในการลงนาม MOU วันที่ 20 กันยายน 2568 ซึ่งผู้เขียนข่าวระบุแหล่งที่มาไว้โดยชัดแจ้ง และนำไปเทียบเคียงกับผลลัพธ์งาน Spartan ในไทยที่มีรายงานอย่างเป็นทางการจากสื่อกระแสหลักก่อนหน้าเพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจแตกต่างตามภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพอากาศในช่วงจัดงาน กำลังซื้อ และปัจจัยหน้างานอื่น ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Obstacle (FISO)
  • Spartan Race (Global/Thailand)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)
  • The Nation Thailand และ Bangkok Post.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

3 แข้งทวีเอสซีวิทยาติดธง U13 ลุยเวทีสเปน สร้างเส้นทางมืออาชีพ

เชียงรายปลุกพลังฟุตบอลเยาวชน! 3 แข้งทวีเอสซีวิทยาติดธง “23 คนสุดท้าย U13 – TJFC 2025” เตรียมลุยเวทีสเปน สร้างเส้นทางมืออาชีพบนมาตรฐานโลก

เชียงราย, 19 กันยายน 2568 — บ่ายวันธรรมดาที่อาจเหมือนทุกวันในสนามหญ้าหน้าโรงเรียนทวีเอสซีวิทยา กลับไม่ธรรมดาอีกต่อไป เมื่อเสียงเฮดังขึ้นพร้อมข่าวใหญ่ “น้องแชมเปญ–ธีรวัฒน์ ขันแก้ว, น้องเอเจ–วชิรพงศ์ กันทะธง, น้องเซเว่น–ธีรเดช เจริญบริพัตร” สามเยาวชนเชียงรายได้รับการประกาศชื่อให้ติด ตัวแทนประเทศไทย 23 คนสุดท้าย รุ่น U13 ของโครงการ TOYOTA Junior Football Clinic 2025 (TJFC 2025) หมุดหมายใหม่ที่ไม่ใช่แค่ความภูมิใจของโรงเรียนหรือจังหวัด แต่เป็น “บันไดขั้นจริง” สู่สนามฟุตบอลอาชีพภายใต้มาตรฐานยุโรป

การประกาศผลครั้งนี้ยืนยันว่า เชียงรายไม่ได้โดดเด่นเฉพาะเรื่องกาแฟหรือการท่องเที่ยว หากยัง “ส่งคนสู่สนาม” ได้อย่างมีคุณภาพในชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดของไทย นี่คือผลคูณจากการฝึกหนัก ความสม่ำเสมอของชุมชนฟุตบอลท้องถิ่น และ “แพลตฟอร์มคัดเลือกมืออาชีพ” ที่เอกชนและสมาคมกีฬาออกแบบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

โครงการ TJFC 2025 จุดประกายความฝันสู่ชัยชนะ ปีที่ 13 – ยกระดับด้วย EKKONO Academy

ปีนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เดินหน้าโครงการ TJFC เข้าสู่ปีที่ 13 ภายใต้แนวคิด “IGNITE PRIDE TO WIN – จุดประกายความฝันสู่ชัยชนะ” พร้อมยกระดับความเข้มข้นโดยร่วมมือกับ EKKONO Academy สถาบันฝึกฟุตบอลเยาวชนจากสเปนที่ทำงานกับสโมสรชั้นนำทั่วโลก เป้าหมายชัดเจน “เฟ้นหา 23 นักเตะเยาวชนที่มีศักยภาพสูงสุด” ให้ได้สัมผัส Training Camp ในสเปนและเข้าร่วมสองทัวร์นาเมนต์นานาชาติ ได้แก่ Surf Cup International และ Johan Cruyff Tournament ช่วงวันที่ 25 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2568

เส้นทางการคัดเลือก เดินสายครอบคลุม 7 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ สุพรรณบุรี เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช นนทบุรี ขอนแก่น สงขลา และเชียงราย เปิดพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 8–13 ปี เข้าทดสอบทักษะโดยทีมโค้ชนานาชาติจาก EKKONO เพื่อคัดชั้นต่อชั้นจนได้ “23 คนสุดท้าย” รุ่น U13 ซึ่งสามเยาวชนจากทวีเอสซีวิทยาก็ “ฝ่าด่าน” มาจนถึงจุดนี้

คำกล่าวจากผู้บริหารโครงการ สะท้อนกรอบคิดชัดเจน


นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลอดเส้นทางตั้งแต่ปี 2013 โครงการมุ่งพัฒนาฟุตบอลเยาวชนไทยอย่างเป็นระบบ เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ฝึกฝนกับทีมโค้ชระดับนานาชาติ “ปีนี้เราร่วมมือกับ EKKONO Academy เพื่อยกระดับมาตรฐานการคัดเลือกและการฝึกซ้อมให้ทัดเทียมเวทีโลก เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจะเข้าสู่ Training Camp ที่สเปน และลงแข่งขันในรายการนานาชาติทั้ง Surf Cup และ Johan Cruyff Tournament เพื่อให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพในสภาพแวดล้อมที่มีมาตรฐานจริง”

เชื่อมท่อสู่ทีมชาติ FA Thailand หนุน Talent ID วางฐานข้อมูลนักเตะเยาวชน

สิ่งที่ทำให้ TJFC 2025 ไม่ใช่แค่การแข่งขันคัดตัวชั่วครั้งชั่วคราว คือการเชื่อมต่อกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (FA Thailand) ซึ่งจะนำรายชื่อนักเตะเยาวชนที่ผ่านการฝึกอบรมเข้าสู่ฐานข้อมูลพัฒนาการ เพื่อพิจารณาในกรอบ Talent Identification (Talent ID) ที่สมาคมดำเนินการร่วมกับ FIFA ครอบคลุมทั้ง 6 ภูมิภาค เป้าหมายชัด ค้นหาและจัดทำฐาน “ผู้เล่นศักยภาพสูง” เพื่อผลักดันสู่ทีมชาติรุ่น U15–U16 และต่อยอดเป็น ช้างศึก U17 ในอนาคต

เมื่อสามเยาวชนเชียงรายก้าวมาถึงจุดนี้ ความหมายจึงมากกว่าตั๋วเครื่องบินไปสเปน เพราะพวกเขาถูก “บันทึกไว้ในเรดาร์การพัฒนา” ของชาติแล้ว และจะถูกติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง—นั่นคือการเปลี่ยน “โอกาสครั้งเดียว” ให้กลายเป็น “เส้นทางอาชีพที่จับต้องได้”

จากสนามโรงเรียนสู่สนามโลก ทำไม “สเปน” จึงสำคัญกับเด็กไทย

สเปนคือหนึ่งในระบบฟุตบอลเยาวชนที่ดีที่สุดของโลก ทั้งปรัชญา “เข้าใจเกมก่อน–เทคนิคมา–แท็คติกตาม” และสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ดึงศักยภาพเด็กออกมาอย่างเป็นขั้นตอน การได้ไปซ้อมและแข่งขันกับคู่แข่งต่างวัฒนธรรมต่างสรีระ คือ “ห้องเรียนจริง” ที่ไม่มีในตำรา สำหรับเด็กอายุ 13 ปี นี่คือช่วงเวลาสำคัญของการวางพื้นฐาน การตัดสินใจในเกม (Game Intelligence), การรับ–ส่งและการยืนตำแหน่ง, การทำงานเป็นทีม, และ วินัยในชีวิตนักกีฬา—ทักษะเหล่านี้จะติดตัวกลับมาสู่สโมสร โรงเรียน และชุมชนของพวกเขา

3 เยาวชนเชียงราย ความภาคภูมิใจที่ “ต่อไฟ” ให้ทั้งจังหวัด

  • ธีรวัฒน์ ขันแก้ว (แชมเปญ) — สัญชาตญาณในพื้นที่สุดท้ายและความนิ่งยามตัดสินใจ
  • วชิรพงศ์ กันทะธง (เอเจ) — ความขยัน คู่สัญชาตญาณเพรสซิงและการอ่านช่อง
  • ธีรเดช เจริญบริพัตร (เซเว่น) — การรับ–ส่งบอลเท้าสั้นเท้ายาวแน่นและการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม

แม้รายละเอียดเชิงตำแหน่งในสนามของทั้งสามจะยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ “โปรไฟล์เชิงคุณลักษณะ” ที่โค้ชมักมองหาในระดับ U13 คือ ความเข้าใจเกม (อ่านสถานการณ์–หาพื้นที่), เทคนิคพื้นฐานที่นิ่ง, ความฟิตเหมาะสมกับวัย และทัศนคติการซ้อม—องค์ประกอบที่เด็กทั้งสามได้พิสูจน์จนผ่านทุกด่านของการคัดเลือก

โครงสร้างการคัดเลือก 7 จังหวัด โอกาสที่กระจาย ไม่กระจุก

การเดินสายคัดเลือกใน สุพรรณบุรี, เชียงใหม่, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, ขอนแก่น, สงขลา และเชียงราย มีความหมายมากในเชิงนโยบายกีฬา เพราะลดต้นทุนการเข้าถึงโอกาสสำหรับครอบครัวนอกเมืองใหญ่ เปิดทางให้ “ความสามารถจริง” โผล่ขึ้นจากทุกภูมิภาค และทำให้ฐานแฟน–ฐานผู้เล่นในอนาคตของฟุตบอลอาชีพ “กว้างและหนา” มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนากีฬาสมัยใหม่ที่เน้น Talent Pathway ต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็ก

จาก “ค่าย” สู่ “เวทีจริง” สองทัวร์นาเมนต์ที่บ่มเพาะความเป็นมืออาชีพ

การได้ลงแข่งใน Surf Cup International และ Johan Cruyff Tournament คือบททดสอบที่ต่างจากเกมอุ่นเครื่องในประเทศ เพราะทุก “จังหวะผิดพลาด” มักมีราคาที่ต้องจ่ายจริง เด็กจะสัมผัสแรงกดดัน เวลาในสนามที่จำกัด และคุณภาพคู่แข่งที่สูง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่รวดเร็ว—ผู้เล่นที่ “อ่านเกมได้–กล้าตัดสินใจ–กล้ารับผิดชอบ” จะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

ก้าวต่อไปของชุมชนฟุตบอลเชียงราย ทำอย่างไรให้ “ตัวอย่างที่ดี” กลายเป็น “ระบบ”

ความสำเร็จของ 3 เยาวชนครั้งนี้ อาจเป็นประกายไฟ แต่การรักษาไฟให้ลุกโชนต้องมี “ออกซิเจน” จากชุมชน—สโมสรเยาวชน โรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้ประกอบการท้องถิ่น
ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้

  1. ตั้งกองทุนสนับสนุนการเดินทาง–อุปกรณ์ สำหรับเด็กที่ผ่านระดับภูมิภาค (ลดภาระครอบครัว)
  2. ทำคลินิกถ่ายทอดความรู้หลังกลับจากสเปน ให้รุ่นน้องและโค้ชท้องถิ่น (หมุนความรู้กลับสู่ชุมชน)
  3. สร้างเครือข่ายสเกาต์ท้องถิ่น–โรงเรียน–อะคาเดมี เพื่อส่งเด็กที่ใช่เข้าสู่เวทีที่เหมาะสม
  4. บริหาร “เวลาเรียน–เวลาซ้อม” แบบยืดหยุ่น สำหรับนักเรียนที่มีศักยภาพสูง (พูดคุยกับโรงเรียน–ผู้ปกครอง)
  5. ติดตามพัฒนาการรายไตรมาส ด้วยแบบฟอร์มเดียวกับที่ใช้ในโครงการ/สมาคม เพื่อให้ข้อมูลพร้อมเชื่อมต่อ Talent ID

มิติความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่ “เกิดผลจริง”

โครงการนี้ชี้ว่า CSR ที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายมอบถ้วยหรือทำสนามชั่วคราว แต่คือ “การสร้างแพลตฟอร์มคัดเลือก–ฝึกซ้อม–แข่งขัน” ที่เป็นระบบ เชื่อมต่อกับเส้นทางอาชีพจริง และมีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (จำนวนเด็กเข้าฐานข้อมูล, อัตราคงอยู่ในระบบพัฒนา, จำนวนผู้เล่นเลื่อนระดับทีมชาติรุ่นเยาว์) ซึ่งกรณีของ TJFC 2025 ครบทั้งสามมิติ—ค้นหา (Identify) → พัฒนา (Develop) → เปิดเวที (Expose)

เปิดรับสมัครทั่วประเทศ เด็กไทย 8–13 ปี “มองเห็นเส้นทางได้ตั้งแต่วันนี้”

โตโยต้าเชิญชวน เยาวชนไทยที่มีความฝันสู่เส้นทางฟุตบอลอาชีพร่วมสมัคร TJFC 2025 ผ่านผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าในจังหวัด ซึ่งเปิดรับสมัคร ไปตั้งแต่ 12 พฤษภาคม 2568 ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียด–การเคลื่อนไหว ผ่าน Facebook: Toyota Spirit of Football จุดแข็งของระบบคัดเลือกปีนี้คือ “โค้ชระดับโลกจาก EKKONO Academy” อยู่ในสนามทดสอบจริง—เด็กจึงได้ทั้งประสบการณ์และข้อเสนอแนะเชิงเทคนิคกลับบ้าน แม้ไม่ได้ผ่านเข้ารอบ ก็ยัง “ได้พัฒนา”

“เรามองว่าฟุตบอลเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวินัย ความรับผิดชอบ และการทำงานเป็นทีม โตโยต้าภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันวงการฟุตบอลเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หวังว่า TJFC 2025 จะช่วยให้เยาวชนที่มีความสามารถได้รับโอกาสที่ดีที่สุด และก้าวไปสู่ฟุตบอลอาชีพและทีมชาติไทยในอนาคต” — ถ้อยคำจากผู้บริหารโครงการ สะท้อนวิสัยทัศน์ “สร้างคนก่อนสร้างผลลัพธ์”

จากความฝันของสามเด็กเชียงราย สู่สมการการพัฒนาฟุตบอลไทย

 “หัวใจ” อยู่ที่การแปลงความฝันของเด็กให้กลายเป็น “เส้นทางเดินที่เป็นระบบ” พลังของพื้นที่—โรงเรียนทวีเอสซีวิทยา—ผสานกับแพลตฟอร์มระดับชาติ (TJFC), มาตรฐานการฝึกสากล (EKKONO), และระบบคัดคนสู่ทีมชาติ (FA Thailand–FIFA Talent ID) เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้ “คลิก” เข้าหากัน โอกาสเดินทางสู่สเปนของสามเยาวชนจึงไม่ใช่ “โชค” แต่เป็น “ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้”

และหากเราทำให้กรณีเชียงราย “เกิดซ้ำได้” ในทุกจังหวัด—ด้วยกติกาเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน และการติดตามพัฒนาการจริง—วงการฟุตบอลเยาวชนไทยจะไม่ต้องรอ “รุ่นทอง” แบบฟลุก ๆ แต่จะมี “ท่อส่งนักเตะที่ไหลสม่ำเสมอ” สู่สโมสรอาชีพและทีมชาติ

ข้อมูลสำคัญ (สรุปย่อ)

  • 3 เยาวชนโรงเรียนทวีเอสซีวิทยา (เชียงราย) ติด 23 คนสุดท้าย รุ่น U13 โครงการ TJFC 2025
    ธีรวัฒน์ ขันแก้ว (แชมเปญ), วชิรพงศ์ กันทะธง (เอเจ), ธีรเดช เจริญบริพัตร (เซเว่น)
  • เดินทางเข้า Training Camp และแข่งขัน Surf Cup International / Johan Cruyff Tournament ประเทศสเปน
    ช่วง 25 พ.ย. – 9 ธ.ค. 2568
  • โครงการ TJFC จัดต่อเนื่อง ปีที่ 13 แนวคิด IGNITE PRIDE TO WIN ร่วมมือ EKKONO Academy (สเปน)
  • คัดเลือก 7 จังหวัด ทั่วประเทศ เปิดรับเยาวชนอายุ 8–13 ปี
  • ได้รับการสนับสนุนจาก FA Thailand เชื่อมฐานข้อมูลสู่กรอบ Talent ID (ความร่วมมือกับ FIFA)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (FA Thailand) 
  • Surf Cup International และ Johan Cruyff Tournament 
  • โรงเรียนทวีเอสซีวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

Crypto Cobra Chiangrai สร้างประวัติศาสตร์รองแชมป์ BTL 2025 ปีแรกในลีก

CRYPTO COBRA CHIANGRAI รองแชมป์ BTL 2025 ปีแรกในลีก แพ้ฉิวเฉียด HI-TECH 82–85 เกมตัดสิน วางรากฐานสู่ “แฟรนไชส์เหนือสุดแห่งสยาม” ที่ขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ข้อมูลและพลังชุมชน

เชียงราย, 2 กันยายน 2568 — เสียงนกหวีดสุดท้ายที่อาคารกีฬานิมิบุตรดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันเสี้ยววินาที ก่อนระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง—Crypto Cobra Chiangrai (CCC) ทีมหน้าใหม่ “ส่งตรงจากเชียงราย” พ่าย Hi-Tech อย่างหวุดหวิด 82–85 ใน Game 3 ของรอบชิงชนะเลิศ Basketball Thai League 2025 (BTL) ปิดฉากซีรีส์ด้วยผลรวม 2–1 เกม พร้อมคว้าตำแหน่ง รองแชมป์ (2nd Place) และเงินรางวัลตามระเบียบของลีก (ทีมระบุว่าอยู่ที่ 800,000 บาท ในช่องทางทางการของสโมสร) — จุดเริ่มต้นอันทรงพลังสำหรับทีมที่เพิ่งลงแข่งขันฤดูกาลแรก ทว่าก้าวสู่การเป็น “ผู้ท้าชิงแชมป์” อย่างเต็มภาคภูมิ

แม้ถ้วยแชมป์จะหลุดลอยเพียงแต้มสามในคืนชี้ชะตา แต่ CCC ได้สร้าง “ชัยชนะในความหมายที่กว้างกว่า” ตั้งแต่การบุกฝ่าฤดูกาลปกติจนถึงการล้มเต็งรองในรอบรองชนะเลิศ ก่อนยื้อแชมป์เก่าไปจนถึงเกมตัดสิน—ภาพจำที่สะท้อนว่าความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกระแสฉาบฉวย หากเป็นผลจาก การบริหารจัดการทีมที่เป็นระบบ, การสร้างสมดุลระหว่างผู้เล่นต่างชาติและดาวดังไทย, การวางแทคติกที่เจาะจุดอ่อนคู่แข่ง, และเหนือสิ่งอื่นใด พลังเชียร์จากแฟนกีฬาเชียงราย ที่เริ่มก่อตัวเป็นฐานแฟนคลับเหนียวแน่นของแฟรนไชส์หน้าใหม่รายนี้

เส้นทางสู่เวทีชิงจาก “ทีมหน้าใหม่” สู่ “ผู้ท้าชิงที่เล่นเพื่อแชมป์”

เมื่อเปิดฤดูกาล BTL 2025 อย่างเป็นทางการ ลีกประกาศรายชื่อ 10 สโมสร เข้าร่วม พร้อมเงินรางวัลรวม 4 ล้านบาท สร้างมาตรฐานการแข่งขันอาชีพที่เข้มข้นขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา (เอกสารเปิดตัวอย่างเป็นทางการ) สำหรับ CCC—ที่เลือกวางอัตลักษณ์ เชียงราย” ไว้ในชื่อทีมอย่างเด่นชัด—นี่ไม่ใช่แค่การใส่โลโก้บนเสื้อแข่ง แต่คือ ยุทธศาสตร์ฐานราก เพื่อผูกพันกับผู้ชมและธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดเหนือสุดแดนสยาม ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมกีฬาของเมือง

  • ฤดูกาลปกติ: CCC ปั้นผลงาน Top 4 พร้อมคุณภาพเกมที่นิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งท้าย (ตามการสรุปผลการแข่งขันรายสัปดาห์/ไฮไลท์ของลีก)
  • เพลย์ออฟ: โมเมนตัมพุ่งสูงจาก เกมน็อกเอาต์ ที่ “คมกว่าตอนเปิดซีซัน” โดยเฉพาะเกมบุกที่เริ่มเคลื่อนตัวลื่นไหลตามแผน สองเสาหลักต่างชาติ + ตัวสร้างสรรค์เกมไทย จนก้าวสู่เวที รอบชิงชนะเลิศ (ตามตารางถ่ายทอดสดและสรุปของผู้จัด)

ไฮไลต์ชิ้นสำคัญที่หลายคนพูดถึงคือเกมที่ CCC ชนะ Banvas Slammers 91–79 ด้วยประสิทธิภาพการยิงที่เหนือกว่า—ภาพตัดต่อและคลิปรีแคปถูกแชร์จำนวนมากในชุมชนบาสฯ ไทย ตอกย้ำว่า ทีมหน้าใหม่แตะเพดานศักยภาพได้เร็ว” (อ้างอิงคลิปและรีแคปอย่างเป็นทางการของลีก)

คืนตัดสิน Game 3 ทำทุกเม็ดสกอร์ให้มีความหมาย—แต่ “สามแต้ม” สุดท้ายของคู่แข่งชี้ผล

ตั๋วเข้าชมที่ นิมิบุตร ถูกจับจองตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ กระแส เกม 3 ตัดสินแชมป์” ถูกปลุกโดยช่องถ่ายทอดสดกีฬาและเพจทางการของลีกตั้งแต่วันก่อนแข่ง: “FINALS GAME 3 อังคารที่ 2 ก.ย. 68 เวลา 18.00 น.” (ประกาศของลีกและผู้ถ่ายทอด) โครงสร้างการสื่อสารกลางของลีก—ผ่าน BTL Official และพันธมิตรถ่ายทอดสดอย่าง T Sports 7—ทำให้แบรนด์ของทีมหน้าใหม่อย่าง CCC ถูกดันสู่สปอตไลต์อย่างรวดเร็ว (ตารางถ่ายทอดสด/คอนเทนต์ไฮไลต์)

ในสนามจริง เกมเดินหน้าแบบ ชิงพื้นที่–สลับนำ ต่อเนื่อง การจับคู่ป้องกันใต้แป้นต่อสู้กับวงในของ Hi-Tech เป็นหมากสำคัญ ขณะที่ เพลย์เซ็ตดึงสกรีนสองชั้น เพื่อเปิดช็อต Pull-up/Spot-up ให้มือยิงของ CCC พาเกมไล่มาเรื่อย ๆ ถึงควอเตอร์สุดท้าย—สามนาทีสุดท้าย สกอร์เบียดแต้มต่อแต้ม ก่อนที่ Hi-Tech จะได้ “ลูกตัดใจ” ระยะกลางยาว และ ลูกโทษปิดเกม ทิ้งช่วง สามแต้ม พอดีเมื่อเสียงนกหวีดสิ้นสุด: Hi-Tech 85, CCC 82 (ถ่ายทอดสดทางการของรอบชิง)

ตัวเลขที่ขับอารมณ์

• เกมชิง 3 นัด—แพ้/ชนะห่างกัน เฉลี่ยไม่ถึง 10 แต้ม ต่อเกม สะท้อน “ความใกล้เคียงของคุณภาพทีม” มากกว่าชื่อชั้นในอดีต (วิดีโอรีแคปและถ่ายทอดสดของลีก)
เพลย์ออฟ CCC มี “ช่วงเวลา +Momentum” ยาวขึ้นชัดเจนจากกลางควอเตอร์ 2 ถึงกลางควอเตอร์ 3 เมื่อทีมสามารถรักษา Turnover ต่ำ + รีบาวด์สองฝั่งเสถียร (ชุดวิดีโอไฮไลต์อย่างเป็นทางการ)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม 5 ตำแหน่ง (All-Star Five) & ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) Basketball Thai League 2025 (BTL) Point Guard: ณัฐกานต์ เมืองบุญ (Hi-Tech Basketball Club) **Shooting Guard: Shaheed Davis (Crypto Cobra Chiangrai) Small Forward: Accheaus D'juan Fields (Shoot It Dragons) Power Forward: อิบราฮิม ดาบี (TGE Basketball Club) Center: อิมานุเอล ชิเนดุ เอเจสุ (Hi-Tech Basketball Club) Mฮญ: อิมานุเอล ชิเนดุ เอเจสุ (Hi-Tech Basketball Club)

เหตุผลเชิงโครงสร้างของความสำเร็จ CCC ไม่ใช่ “ม้ามืด” แต่คือ “แผนระยะยาว”

  1. วิสัยทัศน์หัวหน้าผู้ฝึกสอน (“โค้ชนิก”)
    โค้ชวางระบบที่ชัดเจน—ขับเคลื่อนด้วยเกมรับที่มีวินัย เพื่อต่อยอดเป็นทรานซิชันเกมรุกเร็ว และเมื่อเข้าสถานการณ์ครึ่งสนามจะดึง Two-man game ให้ผู้เล่นต่างชาติเสาหลักเป็น “แกนตัดสินใจ” ก่อนสลับสปีดด้วย Shot-creator สัญชาติไทย ในเพลย์ที่ 2–3 ของคอนเซ็ปต์เดียวกัน ทำให้ทีม “อ่านเกมคู่แข่งแล้วเอาไปใช้ได้จริง” ไม่ใช่เพียงแผนบนกระดาน
  2. สเก๊าท์–สรรหาผู้เล่นที่ “ชัดในบทบาท”
    โครงสร้างโรสเตอร์ของ CCC เน้น ต่างชาติ 2 แกน ที่สร้างอิมแพ็กทั้งสองฝั่งของคอร์ท ผนวก มือทำเพลย์ชาวไทย ที่พลิกสปีดเกม/สร้างความแตกต่างภายใต้แรงกดดันสูง—ภาพที่สะท้อนชัดในช่วงเพลย์ออฟเมื่อทีมต้องการ “บาสเกตบอลแบบเล่นเพื่อชนะในครึ่งสนาม”
  3. ข้อมูล–คอนเทนต์–คอมมูนิตี้ (3C) ที่เดินไปด้วยกัน
    แม้เพจโซเชียลของสโมสรจะเพิ่งตั้งต้น แต่การที่ลีกและพันธมิตรสื่อสร้าง “ทางด่วน” ให้ทีมหน้าใหม่เข้าโฟกัสของผู้ชมทั่วประเทศ—ตั้งแต่กราฟิกก่อนแข่ง, การนับถอยหลัง, ไปจนคัทยาวไฮไลต์หลังเกม—ทำให้ CCC สร้างฐานแฟนได้ทันที (คอนเทนต์ทางการของลีก/ผู้ถ่ายทอด) ด้านท้องถิ่น เชียงรายก็เริ่มเห็นผลทางเศรษฐกิจจากอีเวนต์กีฬา—ตั้งแต่ร้านค้าเมอร์ชไปจนเศรษฐกิจท่องเที่ยววันแข่ง

มองผ่านกรอบ “เมือง–ลีก–ตลาด” ทำไม “เชียงราย” สำคัญต่อบาสอาชีพไทย

การมีสโมสรระดับอาชีพที่ส่งเสียงจากหัวเมืองใหญ่ภาคเหนือไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์เท่านั้น แต่คือการ กระจายโอกาส ให้ชุมชนกีฬาในพื้นที่เกิด “แรงดูด” ให้เยาวชนเลือกเส้นทางอาชีพ, โค้ชท้องถิ่นมีเวทีแสดงฝีมือ, ผู้ประกอบการสร้างอีโคซิสเต็มธุรกิจกีฬา—ทุกอย่างเชื่อมเป็นวงจรเดียวกัน

  • เชิงลีก: BTL 2025 ถูกถ่ายทอดแบบแฟนลี่–เฟรนด์ลี่ เนื้อหาสม่ำเสมอ (BTL OFFICIAL / T Sports 7) ทำให้ “การเล่าเรื่องของทีมหน้าใหม่” เดินทางถึงผู้ชมได้จริง ไม่ถูกกลบด้วยชื่อเก่าหรือกลุ่มทุนใหญ่ (เพจ/ช่องทางทางการ)
  • เชิงเมือง: แฟนจากเชียงรายเริ่มมี “เดสติเนชันกีฬา” ใหม่—จากคอนเทนต์ออนไลน์สู่ทริปดูเกมใหญ่ในกรุงเทพฯ และในอนาคตเมื่อทีมจัดแมตช์เหย้ารูปแบบแฟนเดย์ จะยิ่งต่อยอด Sports Tourism ของจังหวัดได้อีกชั้น
  • เชิงตลาด: ฐานธุรกิจสปอนเซอร์ท้องถิ่น + ผู้เล่นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเชียงราย (กาแฟ, งานดีไซน์, งานหัตถกรรม) สามารถ “บันเดิล” กับกิจกรรมของสโมสร—เป็นรายได้เสริมที่ไม่ขึ้นกับผลการแข่งขันโดยตรง

บทเรียนจาก Game Film จุดแข็ง–จุดปรับ

จุดแข็งหลัก

  • Game Plan & Execution: CCC ใช้แผน 1–2 เคาน์เตอร์เพลย์ ที่ชัดเจนและทำซ้ำได้ภายใต้แรงกดดัน—สะท้อนจากคุณภาพช็อตที่ได้ช่วงควอเตอร์ 2–3
  • Rebound Mentality: แม้ส่วนสูงบางตำแหน่งเป็นรอง แต่ “การบล็อกเอาต์แอคทีฟ” ทำให้ทีมได้โอกาส Second Chance มากพอสร้างสกอร์

จุดที่ควรปรับ

  • Close-out Game: โมเมนตัมช่วงท้ายเกมยัง Swing ตามรูปเกมฝ่ายตรงข้าม—โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งบีบให้เล่น Isolation มากกว่าระบบ
  • Bench Production: เกมซีรีส์ยาวต้องการสกอร์จากม้านั่งให้สม่ำเสมอขึ้น เพื่อถนอมโหลดผู้เล่นแกนหลักในควอเตอร์ท้าย

จาก “รองแชมป์ปีแรก” สู่ “แผน 2–3 ปี” ที่ไล่ล่าบัลลังก์

ในบริบทของลีกอาชีพ การไปถึงรอบชิงปีแรกคือ บันทึกหน้าแรกของโครงการระยะยาว—ไม่ใช่แค่ “ฤดูกาลแห่งความประหลาดใจ” และหายไป การสร้างทีมที่ยั่งยืนของ CCC ควรยึดแกน 3 ประการ:

  1. เสถียรภาพโค้ชและคอร์ผู้เล่น – ล็อกสัญญาแกนหลัก, เติมชิ้นส่วน 3-and-D & Secondary Creator ที่เข้ากับระบบ
  2. พัฒนาการใช้ข้อมูล (Analytics) – วัดคุณภาพช็อต (eFG%), โอกาสสองจังหวะ, Lineup Combination ที่มี Net Rating บวก เพื่อใช้จริงในเพลย์ออฟ
  3. ต่อยอดฐานแฟนเชียงราย – สร้าง Match-day Experience และกิจกรรมร่วมกับสถาบันการศึกษา/ธุรกิจท้องถิ่น เพื่อแปลง “ผู้ชมครั้งคราว” เป็น “สมาชิกถาวร”

หากทำได้ Crypto Cobra Chiangrai จะไม่ใช่ “ทีมที่เคยเข้าชิง” แต่เป็น ผู้ท้าชิงตัวจริง ที่พร้อมทวงบัลลังก์ในวัฏจักรถัดไป

CCC แพ้ด้วยระยะ 3 แต้ม แต่ชนะหัวใจแฟนทั่วประเทศด้วย วิธีการเล่นที่มีวินัยและมีสไตล์—และที่สำคัญชนะ “โจทย์ของแฟรนไชส์กีฬาอาชีพ” ตั้งแต่ปีแรก: รู้ว่าตัวเองเป็นใคร, จะชนะอย่างไร, และจะเติบโตไปพร้อมเมืองของตัวเองอย่างไร ฤดูกาลหน้า ซีรีส์ชิงอาจยังมี Hi-Tech หรือใครก็ตามยืนขวาง แต่ “งูเห่าแห่งเชียงราย” ได้ปล่อยคำเตือนไปแล้ว—นี่ไม่ใช่ไฟแฟลช แต่นี่คือยุคสมัยที่กำลังก่อตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Basketball Thai League
  • T Sports 7
  • Daily News Online
  • Crypto Cobra Chiangrai
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News