Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

K Cement สัญลักษณ์ความร่วมมือ ไทย-กัมพูชา สู่ Net Zero

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา K Cement สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

กัมพูชา, 25 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาได้กลายเป็นตัวอย่างของความร่วมมือที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ภายใต้แบรนด์ “K Cement” ซึ่ง ตัว K ในภาษาอังกฤษย่อมาจากคำว่า “Khmer”  กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความสัมพันธ์นี้ ด้วยการลงทุนที่ยาวนานกว่า 33 ปีในกัมพูชา ซึ่งไม่เพียงสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น แต่ยังนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

รากฐานแห่งความสัมพันธ์

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากที่กัมพูชาเริ่มฟื้นตัวจากยุคเขมรแดงและเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ SCG ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในบริษัทไทยรายแรกที่มองเห็นศักยภาพของประเทศนี้ ในปี 1992 SCG ได้เริ่มต้นด้วยการจัดตั้ง SCG Trading เพื่อนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยและสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชา การเคลื่อนไหวในครั้งนั้นไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังเป็นการวางรากฐานความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันซับซ้อน

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาเริ่มต้นจากความท้าทาย พื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิในยุคเขมรแดงเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดและความเสียหายจากสงคราม การพัฒนาพื้นที่เพื่อตั้งโรงงานจึงต้องเผชิญกับความยากลำบาก ตั้งแต่การเคลียร์พื้นที่จากระเบิดไปจนถึงการจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำ อย่างไรก็ตาม SCG ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาว โดยมองเห็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนท้องถิ่นควบคู่ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อม

การลงทุนของ SCG และบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม

ในปี 2004-2005 คณะกรรมการของ SCG ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์แห่งแรกในกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ “K Cement” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Khmer” ที่แสดงถึงความเป็นท้องถิ่นและการยอมรับจากชุมชนกัมพูชา โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดกำปอด และเริ่มผลิตปูนซิเมนต์ในปี 2007 ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน SCG มีการลงทุนในกัมพูชาคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศของ SCG ที่มีมูลค่ารวม 390,000 ล้านบาท โดยกัมพูชาครองอันดับสาม รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย

วัฒนชัย คล้ายจินดา ผู้บริหารฝ่ายการบัญชีการเงิน และการลงทุน เอสซีจี กัมพูชา เปิดเผยว่า การลงทุนของ SCG ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผลกำไร แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและการผลิตปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำ SCG ได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Operation Eco-Efficiency) ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ และการฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ

“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของเรา” นายวัฒนชัยกล่าวในระหว่างการนำเสนอที่ห้องประชุม Central Control Room (CCR) ของโรงงาน “เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และ Nature Positive โดยมีการลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ”

SCG ยังได้พัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น การปลูกป่าชดเชย การจัดการขยะ และการมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกัมพูชา เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรบุคคล การดำเนินงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนท้องถิ่น

ความท้าทายและโอกาส

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาไม่ได้ปราศจากความท้าทาย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกัมพูชาเผชิญกับความผันผวนจากผลกระทบของโควิด-19 และการลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนหลักของกัมพูชา ในปี 2019 อุตสาหกรรมการพนันออนไลน์ที่เคยเฟื่องฟูในเมืองสีหนุวิลล์ถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลกัมพูชา ส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนในภาคนี้ถอนตัวออกไป ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 12% ของ GDP ในปี 2019 ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม SCG ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับวิกฤต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ เช่น การทำงานจากทุกที่ (Work From Anywhere) และการใช้แนวปฏิบัติ Bubble & Seal เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ K Cement ยังสนับสนุนคู่ค้าและชุมชนด้วยการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ รวมถึงช่วยเหลือคู่ค้าที่ประสบปัญหาการเงินเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ในด้านสิ่งแวดล้อม K Cement ได้ริเริ่มโครงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในกัมพูชาเพื่อทำการสำรวจและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่รอบโรงงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานจะไม่ทำลายระบบนิเวศ

สะพานสู่ความยั่งยืน

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังเป็นการสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน การที่ SCG เลือกใช้แบรนด์ K Cement แทนการใช้ชื่อแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แสดงถึงความเคารพต่อวัฒนธรรมและความรู้สึกของชาวกัมพูชา ในด้านเศรษฐกิจ SCG ได้สร้างงานให้กับชาวกัมพูชากว่า 700 ตำแหน่ง โดยมีพนักงานชาวไทยเพียง 20-25 คน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น การลงทุนของ SCG ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดกำปอต เปลี่ยนจากพื้นที่นาข้าวรกร้างกลายเป็นชุมชนที่มีร้านค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นหลังจากการตั้งโรงงาน

ด้านสิ่งแวดล้อม การที่ SCG เป็นผู้นำในการผลิตปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำในกัมพูชาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม แม้ว่าความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมในกัมพูชาจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ SCG ได้แสดงบทบาทผู้นำด้วยการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่น ๆ ในกัมพูชาและภูมิภาคอาเซียนปฏิบัติตาม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตยังคงอยู่ โดยเฉพาะการแข่งขันจากโรงงานปูนซิเมนต์ของจีน แผ่นดินใหญ่ที่เน้นกลยุทธ์ด้านราคา ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในกัมพูชา SCG จึงต้องรักษาจุดแข็งในด้านคุณภาพและความยั่งยืน เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% และขยายโอกาสในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบินใหม่ในพนมเปญและเสียมเรียบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของ SCG และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกัมพูชา

  • มูลค่าการลงทุนของ SCG ในกัมพูชา 15,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด 390,000 ล้านบาท
  • จำนวนพนักงานในกัมพูชา 700 คน (90% เป็นชาวกัมพูชา) และพนักงานชาวไทย 20-25 คน
  • การลดการปล่อยคาร์บอน ปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำของ SCG ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับปูนซิเมนต์ทั่วไป
  • การฟื้นฟูพื้นที่ป่า SCG ได้ปลูกต้นไม้ชดเชยในกัมพูชากว่า 10,000 ต้นตั้งแต่ปี 2015 และมีแผนปลูกเพิ่มในปี 2025 ร่วมกับสถานทูตไทย
  • การจัดการขยะ โรงงานของ SCG ในกัมพูชาสามารถนำขยะมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนได้ถึง 15% ของพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิต
  • GDP ของกัมพูชา คาดการณ์เติบโต 4.8% ในปี 2023 ตามข้อมูลของรัฐบาลกัมพูชา และ 5.3% ตาม SCB EIC และ 5% ตาม Asian Development Ban

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG)
  • SCG Cambodia
  • กระทรวงเศรษฐกิจและการเงินกัมพูชา
  • SCB Economic Intelligence Center (SCB EIC)
  • Asian Development Bank
  • สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

MV “ทัก” วง LYKN สุดปัง! เบื้องหลังออกแบบโดย MY DANCE เชียงราย

LYKN เผยเบื้องหลังความสำเร็จ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ร่วมกับนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงราย

บอยกรุ๊ปน้องใหม่ LYKN (ไลแคน) ศิลปินที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการ T-POP ได้ปล่อย MV เพลงใหม่ “ทัก (FIRST SIGHT)” พร้อมทะยานขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ X (Twitter) ในประเทศไทยด้วยแฮชแท็ก #LYKN_FirstSightMV ในวันเดียวกับการเปิดตัว วันที่ 14 พฤษภาคม 2568  เบื้องหลังความสำเร็จของ MV นี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของนักเต้นรุ่นใหม่จากจังหวัดเชียงราย ที่ได้ร่วมแสดงในผลงานชิ้นนี้

จุดเริ่มต้นของ LYKN: จากรายการเซอร์ไววัลสู่วงการ T-POP

LYKN เป็นบอยกรุ๊ปที่ผ่านการแข่งขันอันเข้มข้นจากรายการเซอร์ไววัล Project Alpha ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้าน ทั้งการร้อง เต้น เล่นดนตรี และการแสดง ตลอดการแข่งขัน ผู้ชมได้เห็นการพัฒนาและการเติบโตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดได้สมาชิกทั้ง 5 คนที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการและการโหวตจากผู้ชมทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย

  1. วิลเลี่ยม จักรภัทร แก้วพันธุ์พงษ์
  2. เลโก้ รพีพงศ์ ศุภธินีกิตติ์เดชา
  3. ตุ้ย ชยธร ไตรรัตนประดิษฐ์
  4. ฮง พิเชฐพงศ์ จิรเดชสกุลวงศ์
  5. นัท ธนัท ด่านเจษฎา

LYKN ได้เริ่มเส้นทางในวงการ T-POP ด้วยซิงเกิลแรก “เลิกกับเขาเดี๋ยวเหงาเป็นเพื่อน (MAY I?)” ก่อนที่จะมาถึงผลงานล่าสุด “ทัก (FIRST SIGHT)” ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

เบื้องหลังท่าเต้น “ทัก” การผสมผสานวัฒนธรรมและการสื่อสารผ่านศิลปะการเคลื่อนไหว

สิ่งที่น่าสนใจในเบื้องหลังของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” คือการออกแบบท่าเต้นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย โดยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ครูสายเมฆ และ”ครูยุ้ย”  MY Dance Academy นักออกแบบท่าเต้นชาวจังหวัดเชียงรายที่ไม่เพียงแต่ออกแบบและสอนท่าเต้นให้กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังได้นำนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงรายทั้ง 8 คนมาร่วมแสดงใน MV นี้ด้วย

ในการสัมภาษณ์พิเศษ “ครูสายเมฆ และ”ครูยุ้ย”ได้เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ท่าเต้นในเพลง “ทัก” ว่า “ท่าหลักให้จำคือท่าเสยผม ครับ มาจากอริยาบทของการทักทาย ตามชื่อเพลง ‘ทัก’ และการเสยผมเหมือนจะเป็นการทักทายได้หลายวัฒนธรรมแบบวัยรุ่น ที่ไม่รู้สึกว่าต้องแบ่งแยกภาษา แต่ก็สามารถสื่อได้ว่า ‘หวัดดีคร้าบ’ อะไรประมาณนี้” นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานระหว่างการสื่อสารของเนื้อหาเพลง คอนเซปต์ และพื้นฐานการเต้นที่แข็งแรง เพื่อส่งเสริมให้ศิลปินดูดีและตอบโจทย์กับเพลงและดนตรี

วิสัยทัศน์ของเชียงรายแหล่งบ่มเพาะศิลปินระดับโลก

ครูสายเมฆและครูยุ้ย ของ MY Dance Academy สถาบันสอนเต้นจังหวัดเชียงราย มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กเชียงรายว่าสามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ โดยเน้นย้ำว่า “เชื่อเสมอครับว่า เด็กเชียงราย สามารถไประดับโลกได้ เรามีตัวอย่างคนเชียงรายที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับโลกมากมาย ทั้งในด้าน ศิลปะ ดนตรี และวิชาการ ทั้งที่ทำผลงานในประเทศและนานาชาติ”

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่โดดเด่นในเรื่องการบ่มเพาะด้านสุนทรียศาสตร์และการลงลึกในศาสตร์ต่างๆ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ “หมกมุ่น” ในวิชาที่สนใจ พร้อมกับสามารถรักษาสมดุลของชีวิตได้เป็นอย่างดี

การสร้างโอกาสและการลดช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรอง

การนำนักเต้นจากเชียงรายมาร่วมงานกับ LYKN ในครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ MV เพลงฮิต แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสและลดช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่และเมืองรอง ครูสายเมฆและครูยุ้ยได้แบ่งปันความรู้สึกว่า “มันคือความประทับใจที่ตอนเด็กๆ เราฝันว่า อยากมีโอกาสแบบนี้ อยากเก่งพอจะมาทำอะไรแบบนี้บ้าง อยากเรียน อยากรู้แบบนี้บ้าง อยากมีโอกาสในการเข้าถึงต่างๆ ที่เหมือนกับเด็กในเมืองใหญ่”

เขายังกล่าวอีกว่า “วันนี้มันคืออีกก้าวแรกที่พิสูจน์ว่า ความอดทนของคน Gen ก่อนหน้า ที่กล้าลองผิดลองถูก ลงทุน ลงแรงในการทำอะไรบางอย่างทั้งชีวิตแบบไม่หยุดไม่ท้อ มันช่วย ‘ย่นระยะทางและระยะเวลา’ ให้คน Gen ถัดไปได้จริงๆ”

ความท้าทายและอุปสรรคในการทำงาน

การทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานในกรุงเทพฯ และเชียงรายไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ครูสายเมฆได้เปิดเผยถึงความท้าทายในการทำงานครั้งนี้ว่า “ระยะทาง-ภัยพิบัติ-วันหยุดยาว ครบครับ ต้องบินไปกลับ เชียงราย-กทม หลายสิบรอบมากเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ระหว่างทางก็เจอแผ่นดินไหว เจอ timeline ที่ต้องขยับ ประสบภัยไปด้วยกัน ต้องจัดแจงตารางให้ทุกคนสามารถทำงานช่วงหยุดยาวสงกรานต์ด้วย”

แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเป็นมืออาชีพของทุกฝ่าย ทั้งค่าย ทีมงาน และศิลปิน ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาและทำให้ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

เสียงสะท้อนจากนักเต้นรุ่นใหม่ ประสบการณ์และการเรียนรู้

นักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงรายทั้ง 8 คนที่ได้ร่วมแสดงใน MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ต่างมีความรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจกับโอกาสครั้งนี้ พวกเขาได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์การทำงานในวงการบันเทิงอย่างมืออาชีพ

ณิชนันท์ กันยานนท์ (นาน่า) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม และวัชรวีร์ เกาะทอง (ทรีทรี) อายุ 12 นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม กล่าวว่า “รู้สึกดีใจมากๆที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำ music video เพลงทัก ของพี่ๆวง LYKN ทั้งในระหว่างการซ้อมและการถ่ายทำรู้สึกว่าทั้งพี่ๆศิลปินทั้งทีมงานและแด้นเซอร์ทุกคนเป็นกันเองมากๆ รู้สึกประทับใจที่ทุกๆคนทุ่มเทและตั้งใจกันมากๆทำให้ผลงานออกมาดีมากๆ เลย”

ณภัทร บุญประกอบ (หมีพู) อายุ 21 ปี จาก MY Dance Academy กล่าวว่า “ดีใจมากครับ เพราะว่าปกติเป็นแฟนคลับของทางวง (LYKYOU) อยู่แล้วครับผม เลยรู้สึกว่าโอกาสครั้งนี้ต้องรับไว้ให้ได้ครับผม” เขายังเผยอีกว่าประทับใจช่วงที่ได้ถ่ายท่อนเต้นพร้อมวง LYKN เพราะศิลปินมีพลังล้นมาก และได้เรียนรู้การทำงานของฝั่ง Entertainment ความเป็นมืออาชีพ การวางตัว และพลังงานที่ได้รับจากศิลปิน

ศุภกานต์ ปัญญาพล (ส้มโอ) อายุ 26 ปี และ ณิชารี ปงรังษี (พิมพ์) อายุ 16 ปี ชั้น ม.5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม แบ่งปันความรู้สึกพร้อมกันว่า “ตื่นเต้นและดีใจมากๆค่ะ เพราะมันเป็นความฝันเลยไม่คิดว่าจะได้ทำ และต้องขอบคุณครูยุ้ยครูเมฆมากๆค่ะ ที่ได้ให้โอกาสที่มีค่านี้ให้กับทั้งสองคน” เธอยังกล่าวว่าระหว่างการฝึกซ้อมมีพลังงานและความมืออาชีพของนักเต้นเต็มไปในห้องซ้อม และในวันถ่าย MV ก็ได้รับพลังงานและความออร่าของศิลปินส่งมาให้ “บูสๆ กันฉ่ำ”

การเติบโตและการพัฒนาของวงการเต้นในเชียงราย

การร่วมงานกันระหว่าง LYKN และนักเต้นจากเชียงรายในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพของนักเต้นรุ่นใหม่ในจังหวัดเชียงรายอีกด้วย ครูสายเมฆได้ให้คำแนะนำแก่เด็กๆ ชาวเชียงรายที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเต้นหรือนักออกแบบท่าเต้นในอนาคตว่า “ขอให้ ‘เชื่อมั่น’ ว่าตัวเองทำได้ ‘เคารพ’ ในความฝันของตัวเอง และ ‘ดื้อ’ พอจะเอาชนะความเหนื่อยล้า ความยาก ความท้อแท้ที่เราจะต้องเจอระหว่างทาง ‘ลงลึก’ ให้พอ จนกว่าจะ ‘รู้จริง'”

เขาเปรียบเทียบการพัฒนาตัวเองเหมือนกับการปลูกถั่วงอก “เติมน้ำไปไม่รู้หรอกว่านานเท่าไหร่ แต่วันที่มันพ้นหน้าดินเมื่อไหร่ มันก็จะเติบโตไม่มีหยุดตราบที่เราไม่หยุดพัฒนาครับ เด็กเชียงรายคือเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ๆ ดินดีมากครับ ขอแค่ไม่ยอมแพ้ และเชื่อมั่น ทำได้แน่นอนครับ”

การสะท้อนความเป็นมืออาชีพผ่านประสบการณ์ของนักเต้นรุ่นใหม่

ประสบการณ์การทำงานร่วมกับศิลปินและทีมงานมืออาชีพได้สร้างความประทับใจและเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักเต้นรุ่นใหม่จากเชียงราย พวกเขาได้เรียนรู้ถึงความเป็นมืออาชีพ การรับผิดชอบต่อหน้าที่ และการทำงานในวงการบันเทิง

โมนะ วังวิญญู (โมโม่) อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนปิติศึกษา เล่าว่า “สิ่งนึงที่ประทับใจมากๆคือความเป็นกันเองและ energy ในกองถ่ายที่ทุกคนทำเต็มที่ focus, จริงจัง และสนุกสุดๆ” เธอยังกล่าวถึงช่วงเวลาที่ประทับใจว่า “มีตอนที่พี่ๆ LYKN hype up ทีม dancer คอยถามว่าเหนื่อยมั้ยแล้วก็ให้กำลังใจกับ energy กันทั้งกับ dancer และในวง หนูได้ fist bump กับพี่เลโก้ด้วยค่ะ!”

นีรชา ณ ลำพูน (ขวัญ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นม.3 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม แบ่งปันความรู้สึกว่า “รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากๆเลยค่ะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ mv เพลง ‘ทัก’ ของพี่ๆวง LYKN จากตอนแรกที่หนูเต้น cover เพลงของพี่เค้าแต่ตอนนี้หนูกลับได้มาเต้นใน mv เค้าแล้ว”

อารยา สัทธานนท์ (มีน) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม กล่าวว่า “ประทับใจในการทำงาน ของทั้งแดนเซอร์ด้วยกัน ทั้งทีมงานเบื้องหลังต่างๆและพี่ๆศิลปิน ทุกคนมีความ professional และทุ่มเทให้กับงาน” เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุดว่า “ตอนท้ายๆที่ถ่าย ทุกคนช่วยบิ้วกันและกัน จนสุดท้ายทุกคนเต้นได้สุดยอดมากๆ”

การสร้างแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์สู่อนาคต

การร่วมงานระหว่าง LYKN และนักเต้นจากเชียงรายในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้แสดงศักยภาพและพัฒนาตัวเองสู่วงการบันเทิงระดับประเทศ

โมนะ วังวิญญู (โมโม่) ได้แบ่งปันสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ว่า “ได้เรียนรู้หลายอย่างเลยค่ะ อย่างแรกเลยการที่เอาตัวเองไปอยู่นอก comfort zone, ในสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายความสามารถความรับผิดชอบตัวเองมันทำให้เราต้องกลายเป็น professional เลยค่ะ ซึ่งไม่มีทางอื่นที่จะได้เห็นว่าทำงาน (แบบ pro) จริงๆมันเป็นยังไงนอกจากเราอยู่ในสถานการณ์และได้ทำจริงๆ อย่างที่สองคือ work ethics ที่ได้เห็นและเรียนรู้จากทั้งโคช, พี่ๆ LYKN, พี่ๆ main dancers, staff หนูว้าวกับความตั้งใจทำและรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในทุกคนมากเลยค่ะ”

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” และอนาคตของวงการเต้นในเชียงราย

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงศักยภาพของ LYKN ในฐานะศิลปินหน้าใหม่ในวงการ T-POP เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสและสร้างพื้นที่สำหรับนักเต้นรุ่นใหม่จากจังหวัดเชียงรายได้แสดงความสามารถบนเวทีระดับประเทศ

การทำงานร่วมกันระหว่างศิลปินจากกรุงเทพฯ และนักเต้นจากเชียงรายไม่เพียงแต่สร้างผลงานที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระจายโอกาสและลดช่องว่างระหว่างศิลปินในเมืองใหญ่และเมืองรอง สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลได้เห็นว่าความฝันของพวกเขาสามารถเป็นจริงได้ หากมีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิงและการเต้นในประเทศไทย

ความสำเร็จของ MV “ทัก (FIRST SIGHT)” ของวง LYKN สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมบันเทิงและ T-POP ในประเทศไทย โดยมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจดังนี้

  1. การเติบโตของตลาด T-POP: ตามรายงานจากสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ในปี 2567 มูลค่าตลาด T-POP ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตถึง 7,200 ล้านบาทในปี 2568
  2. การขยายตัวของโรงเรียนสอนเต้น: จำนวนโรงเรียนสอนเต้นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 450 แห่งในปี 2563 เป็น 780 แห่งในปี 2567 โดยมีการเติบโตในจังหวัดเมืองรองถึง 45% ในช่วงเวลาเดียวกัน
  3. การกระจายตัวของโอกาสทางอาชีพ: นักเต้นอาชีพในประเทศไทยมีประมาณ 8,500 คนในปี 2567 โดย 68% อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 32% อยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของโอกาสทางอาชีพที่เพิ่มขึ้น
  4. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมด้านศิลปะ: ตามข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2567 มีเยาวชนไทยอายุ 12-25 ปี เข้าร่วมกิจกรรมด้านศิลปะและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยการเต้นเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY Dance Academy

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

สหรัฐฯ สร้างฟาร์มยั่งยืน เลี้ยงแกะใต้โซลาร์เซลล์

การผสานพลังงานแสงอาทิตย์และการเลี้ยงแกะ นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สหรัฐอเมริกากำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง: การผสมผสานระหว่างการเลี้ยงแกะและฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า Agrivoltaics สองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้ กลับกลายเป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบ ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในเวลาเดียวกัน

ความท้าทายของการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาเผชิญกับการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของ American Farmland Trust ระหว่างปี 2001 ถึง 2016 สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปเฉลี่ยวันละ 2,000 เอเคอร์ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป คาดว่าภายในปี 2040 สหรัฐจะสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมที่มีขนาดเทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนา การสูญเสียที่ดินเกษตรที่มีคุณภาพสูงนี้ไม่เพียงแต่คุกคามความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นและความยั่งยืนของระบบนิเวศ

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ดินเกษตรคือการขยายตัวของฟาร์มโซลาร์เซลล์ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกหลักในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มักใช้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีศักยภาพสูง สร้างความขัดแย้งระหว่างการผลิตพลังงานและการรักษาความมั่นคงทางอาหาร คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: เราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างอาหารและพลังงานสะอาดหรือไม่?

คำตอบคือไม่จำเป็น ด้วยแนวคิด Agrivoltaics ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินแบบผสมผสานเพื่อการเกษตรและการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในเวลาเดียวกัน แนวคิดนี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา และ แกะ ได้กลายเป็นตัวเอกที่ไม่คาดคิดในเรื่องราวนี้

Agrivoltaics และบทบาทของแกะในฟาร์มโซลาร์

Agrivoltaics คือการรวมกันของคำว่า agriculture (เกษตรกรรม) และ photovoltaics (พลังงานแสงอาทิตย์) ซึ่งหมายถึงการใช้ที่ดินเดียวกันเพื่อผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การปลูกพืช การเลี้ยงปศุสัตว์ หรือการเลี้ยงผึ้ง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างการใช้ที่ดิน แต่ยังสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับทั้งเกษตรกรและผู้ผลิตพลังงาน

หนึ่งในรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Agrivoltaics คือการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า solar grazing การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำเป็นต้องมีการควบคุมพืชพรรณรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสูงเกินไปจนบดบังแผง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า การตัดหญ้าแบบดั้งเดิมต้องใช้เชื้อเพลิง แรงงาน และอุปกรณ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การนำแกะเข้ามาเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและประหยัดต้นทุน แกะสามารถกินหญ้าและวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรหรือสารเคมีกำจัดวัชพืช งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Animal Behaviour Science ปี 2022 ระบุว่า แกะที่เลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ใช้เวลากินหญ้ามากกว่าแกะที่เลี้ยงในพื้นที่โล่ง เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ให้ร่มเงา ช่วยลดความเครียดจากความร้อนและส่งเสริมสุขภาพของแกะให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน การเคลื่อนที่ของแกะช่วยเหยียบย่ำวัสดุพืชเก่าๆ ลงสู่พื้นดิน ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารและเพิ่มปริมาณคาร์บอนในดิน SolarPower Europe รายงานว่า ดินที่เลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับดินทั่วไป และมีความชื้นในดินสูงขึ้น 20-30% ซึ่งช่วยลดการพังทลายของดินและส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน

ตัวอย่างความสำเร็จจากเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ

เจอาร์ โฮเวิร์ด เกษตรกรผู้เลี้ยงแกะในรัฐเท็กซัส เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จจาก solar grazing ในปี 2021 เขาเริ่มต้นด้วยการนำแกะของเขาไปเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ขนาดเล็กเพื่อควบคุมวัชพืช จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ปัจจุบัน โฮเวิร์ดได้ก่อตั้งบริษัท Texas Solar Sheep ซึ่งมีฝูงแกะกว่า 8,000 ตัว และพนักงาน 24 คน ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีลูกค้ามากเกินกว่าที่จะรับไหว และเขาคาดว่าจะเพิ่มพนักงานอีก 20 คนภายในสิ้นปีนี้

โฮเวิร์ดให้สัมภาษณ์กับ The Independent ว่า “การเติบโตของธุรกิจนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก มันเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉันและครอบครัว” ความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษาให้กับฟาร์มโซลาร์ แต่ยังเพิ่มรายได้จากการขายเนื้อและขนแกะ ซึ่งเป็นผลจากการที่แกะมีสุขภาพดีขึ้นจากการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

การขยายตัวของ Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคมิดเวสต์และตะวันออก ตามข้อมูลจาก American Solar Grazing Association มีแกะประมาณ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์กว่า 500 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา

นอกจากการเลี้ยงแกะแล้ว Agrivoltaics ยังครอบคลุมถึงการปลูกพืชและการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มโซลาร์ ตัวอย่างโครงการที่โดดเด่น ได้แก่:

  • Elizabethtown College, เพนซิลเวเนีย: ฟาร์มโซลาร์ของวิทยาลัยผลิตไฟฟ้าได้ 20% ของความต้องการทั้งหมด โดยใช้พื้นดินที่มีพืชคลุมดินที่เป็นมิตรต่อผึ้งและนก รวมถึงมีรังผึ้งเพื่อการศึกษาและวิจัย
  • Grafton Solar, แมสซาชูเซตส์: ฟาร์มโซลาร์ชุมชนแห่งนี้ปลูกผักกาดหอมและสควอชระหว่างแถวของแผงโซลาร์ และมีวัวเลี้ยงในบางส่วนของพื้นที่ นักวิจัยจาก UMass Amherst กำลังศึกษาผลกระทบของแผงโซลาร์ต่อผลผลิตทางการเกษตร
  • Jack’s Solar Garden, โคโลราโด: โครงการนี้ติดตั้งแผงโซลาร์สูง 2 เมตรเพื่อให้สามารถปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้าน Agrivoltaics สำหรับชุมชน
  • Oregon Agrivoltaic Research Facility, โอเรกอน: ตั้งอยู่ที่ Oregon State University โครงการนี้มุ่งเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ลาเวนเดอร์และสมุนไพรพิเศษ ใต้แผงโซลาร์ เพื่อศึกษาผลกระทบของร่มเงาต่อผลผลิตและสุขภาพดิน

การแก้ไขปัญหาด้วยความยั่งยืน

การพัฒนา Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและสารเคมีในการบำรุงรักษา ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในขณะเดียวกัน เกษตรกรได้รับรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการ solar grazing และการขายผลิตภัณฑ์จากแกะ

สำหรับชุมชนท้องถิ่น Agrivoltaics ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียที่ดินเกษตร โดยแสดงให้เห็นว่าพลังงานสะอาดและการเกษตรสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โครงการเหล่านี้ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร ผู้เลี้ยงผึ้ง และชุมชนในท้องถิ่น ผ่านการจ้างงานและการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

โอกาสและความท้าทาย

Agrivoltaics มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในบริบทที่ความต้องการพลังงานสะอาดและอาหารเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมในวงกว้างยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ต้นทุนการก่อสร้าง: การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของฟาร์มโซลาร์ เช่น การยกแผงให้สูงขึ้นหรือเพิ่มระยะห่างระหว่างแถวเพื่อให้เหมาะสมกับการเกษตร อาจเพิ่มต้นทุนการก่อสร้างถึง 10% ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีและการออกแบบที่ประหยัดต้นทุนจะเป็นกุญแจสำคัญ
  2. การเข้าถึงน้ำ: ในพื้นที่ที่มีสภาพแห้งแล้ง เช่น ภาคตะวันตกของสหรัฐ การจัดหาน้ำสำหรับปศุสัตว์และการชลประทานอาจเป็นอุปสรรค การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  3. การเลือกพืชที่เหมาะสม: ร่มเงาจากแผงโซลาร์อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิด การเลือกพืชที่ทนต่อร่มเงา เช่น ผักใบเขียวหรือสมุนไพร จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
  4. ความเสียหายต่ออุปกรณ์: การอนุญาตให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรในฟาร์มโซลาร์อาจเสี่ยงต่อความเสียหายของแผงโซลาร์หรือโครงสร้าง การวางแผนและการจัดการที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงนี้
  5. สุขภาพดิน: การก่อสร้างฟาร์มโซลาร์อาจทำให้ดินอัดแน่นหรือสูญเสียหน้าดิน การใช้เทคนิคการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกพืชคลุมดิน จะช่วยรักษาคุณภาพดิน

ถึงกระนั้น โอกาสที่ Agrivoltaics นำมานั้นมีมากกว่าความท้าทาย การวิจัยจาก National Renewable Energy Laboratory (NREL) และโครงการ InSPIRE แสดงให้เห็นว่า Agrivoltaics สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในบางกรณี เช่น การปลูกพืชที่ได้รับประโยชน์จากร่มเงา หรือการเลี้ยงแกะที่มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผึ้งและแมลงผสมเกสรในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชในพื้นที่ใกล้เคียง

ตัวอย่างจากต่างประเทศและอนาคตของ Agrivoltaics

ในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังพัฒนา Agrivoltaics อย่างรวดเร็ว ประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้มานานหลายปี ตัวอย่างเช่น บริษัท Iberdrola ในโปรตุเกสใช้แกะ 300 ตัวในการบำรุงรักษาพื้นที่ฟาร์มโซลาร์ เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟป่าและส่งเสริมความยั่งยืน ในสหราชอาณาจักร โครงการฟาร์มโซลาร์ขนาด 1 กิกะวัตต์ในนอตติงแฮมเชอร์คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการตัดหญ้าได้ถึง 5 ล้านปอนด์ตลอดอายุ 40 ปี ด้วยการใช้แกะ 9,000 ตัว

ในอนาคต Agrivoltaics มีศักยภาพในการขยายไปสู่การเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น กระต่ายหรือหมู รวมถึงการปลูกพืชที่หลากหลายมากขึ้น การทดลองในปัจจุบัน เช่น การปลูกข้าวโพด มันฝรั่ง หรือมะเขือเทศ ใต้แผงโซลาร์ กำลังแสดงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ การสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนหรือนโยบายส่งเสริมจะช่วยเร่งการนำ Agrivoltaics ไปใช้ในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม:
    • สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ 2,000 เอเคอร์ต่อวัน ระหว่างปี 2001-2016
    • คาดการณ์สูญเสียพื้นที่เทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนาภายในปี 2040
    • ที่มา: American Farmland Trust
  2. การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์:
    • แกะ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ 500 แห่ง ครอบคลุม 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ
    • เพิ่มขึ้น 10 เท่าใน 2 ปี
    • ที่มา: American Solar Grazing Association
  3. ผลกระทบต่อดิน:
    • ดินในฟาร์มโซลาร์ที่เลี้ยงแกะกักเก็บคาร์บอนได้มากขึ้น 80%
    • ความชื้นในดินเพิ่มขึ้น 20-30%
    • ที่มา: SolarPower Europe
  4. ผลตอบแทนทางการเงิน:
    • เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ 300-500 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์ต่อปีจากการให้บริการ solar grazing
    • ที่มา: Cornell University
  5. ประชากรแกะในสหรัฐ:
    • ปัจจุบันมีแกะประมาณ 5 ล้านตัว ลดลงจาก 50 ล้านตัวในปี 1947
    • ที่มา: The Independent

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • American Farmland Trust: รายงานการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม, 2001-2016
  • American Solar Grazing Association: ข้อมูลการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์, 2025
  • SolarPower Europe: รายงานผลกระทบของ solar grazing ต่อดินและระบบนิเวศ
  • Cornell University: การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินจาก solar grazing
  • Applied Animal Behaviour Science: การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินหญ้าของแกะในฟาร์มโซลาร์, 2022
  • The Independent: บทสัมภาษณ์เจอาร์ โฮเวิร์ด, 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

โล่งใจ! สัตวแพทย์ยืนยัน กินหมูสุก ปลอดภัย แอนแทรกซ์

กินสุกเพื่อสุขภาพ: ปลอดภัยจากเชื้อโรค อร่อยไม่เปลี่ยน

ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเนื้อหมู

ในช่วงหน้าร้อนปี 2568 ความกังวลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) และโรคไข้หูดับ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชี้แจงว่า โรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis ไม่พบในหมู แต่พบในสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ เนื้อหมูจึงปลอดภัยสำหรับการบริโภคหากปรุงสุกอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบดิบหรือก้อย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากเชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ อันอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน หรือถึงขั้นเสียชีวิต การเลือกบริโภคเนื้อหมูที่ปรุงสุกจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและจำเป็น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู

เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นที่นิยมในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบ ก้อย และหมูกระทะ แต่การบริโภคแบบดิบหรือปรุงไม่สุกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis ซึ่งพบในหมูที่ป่วยและสามารถแพร่สู่มนุษย์ผ่านการบริโภคหรือการสัมผัสเนื้อดิบ นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ระบุว่า การปรุงเนื้อหมูให้สุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในความสะอาดและคุณภาพของเนื้อหมู

แนวทางการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและรักษาสุขภาพที่ดี สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแนะนำแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึง ใช้ความร้อนอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis และป้องกันโรคไข้หูดับ
  2. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซื้อเนื้อหมูจากร้านค้าหรือตลาดที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ
  3. ป้องกันการปนเปื้อน สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเนื้อดิบ ล้างมือและอุปกรณ์ให้สะอาด และแยกเขียงสำหรับเนื้อดิบและสุก
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย ในพื้นที่ที่มีประวัติการระบาดของโรค ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสซากสัตว์หรือสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  5. รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการ หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือสูญเสียการได้ยินหลังบริโภคหรือสัมผัสเนื้อดิบ ควรรีบไปโรงพยาบาลและแจ้งประวัติความเสี่ยง

ความอร่อยที่ปลอดภัยด้วยการกินสุก

การเปลี่ยนเมนูดิบมาเป็นเมนูสุกไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของรสชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เมนูอย่างลาบคั่ว ก้อยย่าง หรือหมูย่าง สามารถนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นและหอมกรุ่นโดยไม่ต้องพึ่งความดิบ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเชิญชวนทุกคนลองปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยไม่ห้ามการบริโภคเมนูดิบ แต่เน้นย้ำให้ลดการบริโภคแบบดิบและหันมาสร้างสรรค์เมนูสุกที่ทั้งปลอดภัยและน่ารับประทาน การปรุงสุกไม่เพียงปกป้องสุขภาพ แต่ยังเป็นการรักษาความสุขในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

กินสุกไม่ใช่เรื่องยาก รสชาติยังคงน่าจดจำ

การเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและไม่ทำให้สูญเสียรสชาติที่คุ้นเคย แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ส่งเสริมให้ทุกคนหันมาปรุงเมนูโปรดให้สุก เช่น ลาบคั่วที่หอมด้วยเครื่องเทศ ก้อยย่างที่สุกกำลังดี หรือหมูกระทะที่ย่างจนฉ่ำ การกินสุกไม่ได้หมายถึงการห้ามบริโภคเมนูดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเชิญชวนให้ลดความเสี่ยงด้วยการปรุงอาหารให้สุกเพื่อสุขภาพที่ดี ในช่วงหน้าร้อนนี้ มาร่วมกันเปลี่ยนความอร่อยให้เป็นความสุขที่ปลอดภัยด้วยการเลือกกินสุก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและความมั่นใจในทุกมื้ออาหาร

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

กาแฟ ‘เชียงราย’ โกอินเตอร์ ผลักดันไมซ์ สร้างเศรษฐกิจชุมชน

จุดเริ่มต้นสู่เวทีระดับประเทศ เชียงรายร่วมขับเคลื่อนไมซ์ไทย

สุราษฎร์ธานี, 9 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiang Rai Coffee Lovers – CCL) ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานระดับประเทศ MICE City Summit 2025 และ Samui MICE Bazaar 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6–8 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

การเข้าร่วมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของเชียงราย โดยเฉพาะ “กาแฟเชียงราย” สู่ตลาดไมซ์ (MICE) ระดับประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐมุ่งสนับสนุนให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

กาแฟเชียงรายจากชุมชนสู่แบรนด์ระดับประเทศ

“กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย” หรือ CCL ก่อตั้งขึ้นโดย นายพงศกร อารีศิริไพศาล มีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมกาแฟในท้องถิ่นและยกระดับมาตรฐานกาแฟให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับชาติและสากล ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกประกอบด้วยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ร้านกาแฟ และผู้บริโภคจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วจังหวัดเชียงราย

กาแฟที่นำเสนอในงานเป็น กาแฟคุณภาพระดับ Specialty และ Commercial Grade ที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถันจากไร่ในเขตแม่สรวย แม่จัน และเวียงป่าเป้า ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมต่อการปลูกกาแฟชั้นดี

ภายในงาน Samui MICE Bazaar 2025 กลุ่ม CCL ได้รับโอกาสในการจัดบูธแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ และเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขัน “The MICE Masterpiece Challenge” โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น เมล็ดกาแฟแปรรูป น้ำผึ้งป่า และสมุนไพรพื้นบ้าน รังสรรค์เป็นเมนูอาหารว่างร่วมสมัย สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของเชียงราย

ขยายโอกาสไมซ์ เชียงรายกับศักยภาพรองรับงานระดับชาติ

เชียงรายในปัจจุบันเริ่มปรับตัวสู่เมืองรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ โดยภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกิจกรรมไมซ์ เช่น ศูนย์ประชุมและนิทรรศการขนาดกลาง โรงแรมระดับมาตรฐาน รวมถึงเครือข่ายธุรกิจในพื้นที่ที่สามารถรองรับกลุ่มผู้เดินทางเพื่อจัดประชุม สัมมนา และแสดงสินค้า

ข้อมูลจากกลุ่ม CCL ระบุว่า พื้นที่ของกลุ่มสามารถรองรับกลุ่มไมซ์ได้ระหว่าง 40–50 คนต่อรอบกิจกรรม โดยเน้นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมกาแฟ ผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อป ชิมกาแฟ และการเรียนรู้เรื่องราวของต้นกาแฟในระดับชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานใหญ่ระดับประเทศ Samui MICE Bazaar × MICE City Summit 2025

งาน MICE Bazaar 2025 และ MICE City Summit 2025 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB กับภาคีเครือข่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ทั่วประเทศ

MICE Bazaar 2025 เน้นการสร้างเครือข่ายธุรกิจในรูปแบบ B2B เจรจาธุรกิจระหว่างผู้ซื้อจาก 4 ภาค กับผู้ประกอบการในพื้นที่มากกว่า 35 ราย ส่วน MICE City Summit 2025 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ด้านกลยุทธ์การพัฒนาไมซ์ในยุคดิจิทัล ผ่านการบรรยายในหัวข้อ “MICE Marketing Leadership: Strategies for the Digital Age”

นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนา การแข่งขันด้านอาหาร และกิจกรรมส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนให้พื้นที่ไมซ์เมืองรองอย่างเกาะสมุย กลายเป็นจุดหมายของนักเดินทางธุรกิจ และนักลงทุนไมซ์จากทั่วโลก

เชียงรายกับยุทธศาสตร์ไมซ์ที่ยั่งยืน

การปรากฏตัวของเชียงรายในเวทีระดับประเทศครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการโปรโมตกาแฟท้องถิ่น แต่ยังสะท้อนภาพของ “เมืองไมซ์ทางวัฒนธรรม” ที่กำลังก้าวสู่ระดับชาติอย่างมั่นคง จุดแข็งของเชียงรายอยู่ที่ทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณีท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ที่มีภูมิปัญญาชุมชนรองรับ เช่น กาแฟ ชา สมุนไพร ผ้า และของแปรรูป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เชียงรายยังต้องเร่งพัฒนาคือโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่ง การสื่อสาร รวมถึงบุคลากรด้านการบริการไมซ์ที่ต้องผ่านการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของนักเดินทางกลุ่มใหม่ที่ต้องการประสบการณ์เฉพาะตัว (personalized experience)

สถิติที่เกี่ยวข้อง ณ พฤษภาคม 2568

  • มูลค่าตลาดกาแฟในจังหวัดเชียงราย: 465 ล้านบาท/ปี (ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนกลุ่มธุรกิจกาแฟในจังหวัดเชียงราย: 183 กลุ่ม/กิจการ (ที่มา: กลุ่ม CCL และสสว.)
  • จำนวนนักเดินทางไมซ์ในเชียงรายปี 2567: 78,430 คน (ที่มา: TCEB – สำนักงานภาคเหนือ)
  • ศักยภาพพื้นที่รองรับไมซ์ในเชียงราย: 10 สถานที่หลักที่รองรับได้ 30–500 คน/กิจกรรม
  • การเติบโตของธุรกิจไมซ์ไทย (รวม): ขยายตัวเฉลี่ย 7.2% ต่อปี (ข้อมูลจาก TCEB)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

“แม่จันใต้เฟส” กาแฟอาข่าผสาน ปีใหม่ไข่แดง โอกาสท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน

เทศกาลกาแฟแม่จันใต้ 2568 เมื่อวัฒนธรรมอาข่าผสานกาแฟสู่โอกาสท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่ยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านฤดูกาลของชาวอาข่าบนดอยแม่จันใต้ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้กำลังเตรียมพร้อมสำหรับงาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 เมษายน 2568 งานนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ไข่แดงอันเก่าแก่ของชาวอาข่า แต่ยังเป็นเวทีที่นำเสนอกาแฟคุณภาพสูงจากดอยแม่จันใต้ สะท้อนถึงการหลอมรวมวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน การจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านกาแฟและวิถีชีวิตของชาวอาข่า

จากวงกาแฟเล็กๆ สู่เทศกาลระดับชุมชน

ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ชาวบ้านแม่จันใต้เริ่มหันมาปลูกกาแฟอย่างจริงจังในปี 2545 โดยใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบาย ดินที่อุดมสมบูรณ์ และระดับความสูงกว่า 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกกาแฟอาราบิก้า ด้วยความมุ่งมั่นและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านได้พัฒนากาแฟที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยเน้นการปลูกแบบยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรวมตัวกันใน “วงกาแฟ” ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการปลูกและแปรรูปกาแฟ ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในชุมชน

จากวงกาแฟเล็กๆ ในวันนั้น สู่การจัดงาน Mae Jantai Coffee Fest ในวันนี้ ชุมชนแม่จันใต้ได้ก้าวข้ามความท้าทายมากมาย ทั้งการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ การพัฒนาเทคนิคการแปรรูปกาแฟ และการรักษาวัฒนธรรมอาข่าไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การจัดงานเทศกาลกาแฟครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดีจากทั้งคนในชุมชนและผู้มาเยือน ทำให้ในปี 2568 นี้ ชาวบ้านตั้งใจยกระดับงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยผสานประเพณีปีใหม่ไข่แดงเข้ากับการชิมกาแฟและการประกวดเมล็ดกาแฟที่มีมาตรฐานสากล

ประเพณีปีใหม่ไข่แดง หรือ “ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว” ในภาษาอาข่า เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงบรรพบุรุษ รวมถึงการเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกใหม่ การที่ชุมชนแม่จันใต้นำประเพณีนี้มารวมกับการชิมกาแฟแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมเก่ากับโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ งานนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นการเปิดประตูให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวอาข่า

เทศกาลกาแฟแม่จันใต้และการประกวดเมล็ดกาแฟ

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 24-25 เมษายน 2568 ณ หมู่บ้านแม่จันใต้ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับกาแฟของชุมชนให้เป็นที่รู้จักในระดับที่กว้างขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่ยั่งยืน หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือการประกวดเมล็ดกาแฟ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ชุมชนท้องถิ่นจัดการแข่งขันด้วยมาตรฐานสากล โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรต่างๆ เช่น SCATH, CCL และทีมดอยตุง เข้ามาช่วยประเมินคุณภาพกาแฟ

ในปีที่ผ่านมา การประกวดเมล็ดกาแฟได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีกาแฟทั้งหมด 32 ตัวอย่างจากทั้งในหมู่บ้านแม่จันใต้และหมู่บ้านใกล้เคียง แบ่งเป็นกระบวนการแปรรูปแบบ Wash (10 ตัวอย่าง), Honey (9 ตัวอย่าง) และ Dry/Natural (13 ตัวอย่าง) การคัดเลือกกาแฟเริ่มต้นจากการรวบรวมสารกาแฟโดยทีมงานในชุมชน ซึ่งกำหนดให้แต่ละครัวเรือนส่งกาแฟตัวอย่าง 1 กิโลกรัม จากนั้นกาแฟจะถูกส่งไปคั่วโดยผู้เชี่ยวชาญจาก “เจ้าไม้-มือคั่วแห่งอาข่าอ่ามา” ซึ่งต้องคั่วทั้งหมด 48 รอบเพื่อให้ได้กาแฟที่พร้อมสำหรับการชิม

วันที่ 24 เมษายน 2568 จะเป็นวันชิมกาแฟ (Cupping Day) โดยคณะกรรมการ 9 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอย่างอาจารย์นิวัตรจาก SIXSENSE, คุณสาโรจน์จาก The Roastery By Roj CCL, และตัวแทนจากดอยตุง จะชิมกาแฟทั้งหมดใน 5 รอบ ได้แก่ รอบ Calibrate, Wash, Honey, Dry และรอบพิเศษ การชิมดำเนินการตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 18.00 น. โดยใช้แนวทางการประเมินของ SCATH ซึ่งเน้นความเข้มข้นและความแม่นยำ กรรมการต้องบันทึกรสชาติและให้คะแนนอย่างละเอียด เพื่อให้ผลการตัดสินมีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปพัฒนาคุณภาพกาแฟในอนาคต

ผลการแข่งขันในปีที่ผ่านมาเผยให้เห็นถึงความหลากหลายและศักยภาพของกาแฟแม่จันใต้ โดย 5 อันดับแรกประกอบด้วย:

  1. เกชา เนเชอรัล โดยคุณอาทู เบเชกู่ (88.79 คะแนน) – กาแฟจากสายพันธุ์เกชาที่เพาะจากเมล็ดจากปานามา มีรสชาติซับซ้อนและเป็นที่จับตามอง
  2. ซุนด้า เนเชอรัล โดยคุณกฤตเมธ โยเบี๊ยะ (87.93 คะแนน) – สายพันธุ์ใหม่จากเกาะชวา โดดเด่นด้วยกลิ่นดอกไม้และความหวาน
  3. ส้มผานกกก (ออเร้นจ์เบอร์บอน) ฮันนี่ โดยคุณสินธพ จือปา (86.75 คะแนน) – สายพันธุ์เก่าแก่ที่ถูกค้นพบใหม่และได้รับความนิยม
  4. ลูกเหลืองรวม เนเชอรัล โดยคุณสิงหา จือปา (86.68 คะแนน) – การผสมผสานของสายพันธุ์คาติมอร์, คาทุย, คาทูร่า และเบอร์บอน
  5. บาเที่ยน โดยคุณสุรพล มณีเอกพันธุ์ (86.63 คะแนน) – สายพันธุ์ใหม่จากเคนยาที่มีศักยภาพสูง

ผลการแข่งขันนี้ไม่เพียงแสดงถึงคุณภาพของกาแฟแม่จันใต้ แต่ยังสะท้อนถึงความทุ่มเทของเกษตรกรในการพัฒนาการปลูกและแปรรูปกาแฟ คำแนะนำจากคณะกรรมการจะถูกส่งกลับไปยังเกษตรกรเพื่อใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตต่อไป

วันที่ 25 เมษายน 2568 จะเป็นวันประกาศผลรางวัล ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกับการเฉลิมฉลองประเพณีปีใหม่ไข่แดง ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสวัฒนธรรมอาข่าผ่านการแต่งกายพื้นเมือง การสาธิตการตำข้าวปุก (ข้าวเหนียวตำผสมงา) และการแสดงดนตรีและการเต้นรำพื้นเมือง การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและกาแฟทำให้งานนี้เป็นมากกว่าการชิมกาแฟ แต่เป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงผู้คนกับชุมชน 

โอกาสและความท้าทายของแม่จันใต้

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 เป็นมากกว่าเทศกาลกาแฟ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนแม่จันใต้ก้าวสู่เวทีที่กว้างขึ้นในอุตสาหกรรมกาแฟและการท่องเที่ยว การที่ชุมชนสามารถจัดการแข่งขันเมล็ดกาแฟด้วยมาตรฐานสากลแสดงถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพในการยกระดับกาแฟของตนเองให้เทียบชั้นกับแหล่งปลูกกาแฟชั้นนำอื่นๆ ในประเทศไทย เช่น ดอยช้างหรือน่าน อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้งานนี้เติบโตอย่างยั่งยืน

หนึ่งในความท้าทายหลักคือข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขาดแคลนไฟฟ้าในหมู่บ้าน ซึ่งทำให้ต้องคั่วกาแฟล่วงหน้า 2 วัน แทนที่จะเป็น 1 วันตามมาตรฐานสากล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การติดตั้งระบบไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานและดึงดูดผู้มาเยือนได้มากขึ้น นอกจากนี้ การขาดแคลนทรัพยากรด้านการประชาสัมพันธ์ทำให้งานนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นหรือองค์กรด้านการท่องเที่ยวจะช่วยขยายการรับรู้เกี่ยวกับงานนี้ไปสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

อีกหนึ่งความท้าทายคือการรักษาวัฒนธรรมอาข่าในยุคที่ชุมชนบางแห่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ชุมชนแม่จันใต้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาประเพณีปีใหม่ไข่แดงไว้ได้อย่างดี แต่การผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้สูญเสียอัตลักษณ์ของชุมชน การอบรมทักษะด้านการท่องเที่ยวให้กับเยาวชนในชุมชนจะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการสืบสานวัฒนธรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน

โอกาสที่สำคัญของงานนี้คือการสร้างรายได้ให้กับชุมชนผ่านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายกาแฟ การที่กาแฟแม่จันใต้ได้รับรางวัลในระดับชุมชนและเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการกาแฟ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเกษตรกร การพัฒนาแบรนด์กาแฟแม่จันใต้และการสร้างเครือข่ายกับร้านกาแฟหรือผู้จัดจำหน่ายจะช่วยให้กาแฟของชุมชนเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่เน้นการเรียนรู้วิถีชีวิตและการปลูกกาแฟจะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจประสบการณ์ที่แท้จริงและยั่งยืน 

ศักยภาพของกาแฟและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนแม่จันใต้ในการใช้กาแฟและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การที่ชุมชนสามารถจัดการแข่งขันเมล็ดกาแฟด้วยมาตรฐานสากลเป็นตัวบ่งชี้ถึงความพร้อมในการแข่งขันในอุตสาหกรรมกาแฟที่มีการแข่งขันสูง สายพันธุ์กาแฟที่หลากหลาย เช่น เกชา, ซุนด้า, และบาเที่ยน รวมถึงเทคนิคการแปรรูปที่พัฒนาขึ้น เช่น Natural และ Anaerobic Process แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ของเกษตรกร

ในแง่ของการท่องเที่ยว งานนี้มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจทั้งกาแฟและวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว โดยมีแหล่งท่องเที่ยวอย่างวัดร่องขุ่นและดอยตุง การเพิ่มแม่จันใต้เข้าไปในแผนที่การท่องเที่ยวของจังหวัดจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนห่างไกล การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงไร่กาแฟ ไร่ชา และชุมชนชาวเขาจะสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าจดจำสำหรับนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชุมชนต้องคำนึงถึงความยั่งยืน การจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับขนาดของชุมชนจะช่วยป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้าน การฝึกอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่พักและร้านอาหาร จะช่วยเพิ่มความพร้อมของชุมชนในการต้อนรับนักท่องเที่ยว การร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น เช่น เทศบาลนครเชียงราย หรือองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) จะช่วยให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความรู้

ในแง่ของเศรษฐกิจ การที่กาแฟแม่จันใต้เริ่มได้รับการยอมรับในระดับชุมชนและมีศักยภาพในระดับชาติ จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร การสร้างแบรนด์กาแฟแม่จันใต้และการพัฒนาช่องทางการจำหน่าย เช่น การขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ออนไลน์หรือการร่วมมือกับร้านกาแฟในเมืองใหญ่ จะช่วยให้กาแฟของชุมชนเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนในการพัฒนาการตลาดและบรรจุภัณฑ์จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับกาแฟแม่จันใต้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของบริบทงาน Mae Jantai Coffee Fest 2025 และศักยภาพของกาแฟแม่จันใต้ ต่อไปนี้คือสถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จำนวนตัวอย่างกาแฟในการประกวด: 32 ตัวอย่าง (Wash 10, Honey 9, Dry/Natural 13)
    ที่มา: รายงานการแข่งขันเมล็ดกาแฟ Mae Jantai Coffee Fest 2024, ทีมงานชุมชนแม่จันใต้
  • ระดับความสูงของดอยแม่จันใต้: 1,312-1,521 เมตรจากระดับน้ำทะเล
    ที่มา: เอกสารข้อมูลภูมิศาสตร์, องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ, 2567
  • พื้นที่ปลูกกาแฟในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 180,000 ไร่ (กาแฟอาราบิก้าประมาณ 80%)
    ที่มา: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย, 2567
  • จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย (2566): 2.5 ล้านคน (ในประเทศ 2.2 ล้านคน, ต่างประเทศ 0.3 ล้านคน)
    ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สำนักงานเชียงราย, 2567
  • รายได้จากกาแฟในภาคเหนือของประเทศไทย: ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567
  • จำนวนครัวเรือนในหมู่บ้านแม่จันใต้: ประมาณ 200 ครัวเรือน (ส่วนใหญ่เป็นชาวอาข่า)
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • เปอร์เซ็นต์พื้นที่ปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ในแม่จันใต้: เกือบ 100%
    ที่มา: รายงานการวิจัยโดย ผศ.วิสูตร อาสนวิจิตร, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา, 2567

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของกาแฟและการท่องเที่ยวในฐานะเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนแม่จันใต้และจังหวัดเชียงราย การที่ชุมชนสามารถรักษาพื้นที่ป่าสมบูรณ์และปลูกกาแฟใต้ร่มไม้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นและองค์กรด้านกาแฟจะช่วยให้งาน Mae Jantai Coffee Fest กลายเป็นงานประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและยกระดับชื่อเสียงของกาแฟแม่จันใต้ในระดับชาติและนานาชาต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • มนรัตน์ ก.บัวเกษร  ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • Galleryกาแฟดริป เชียงใหม่
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิสูตร อาสนวิจิตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และนักวิจัยภายใต้โครงการวิจัยย่อยที่ 1
  • Sinthop Sumio Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

‘อังกฤษ’ เจอวิกฤต “ทิชชู่เปียก” ผู้คนจำนวนมากจี้รัฐบาลแบนด่วน

รัฐบาลอังกฤษถูกกดดันให้เร่งกำหนดวันแบน “แผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติก” หลังพบสร้างเกาะขยะ-กระทบระบบนิเวศในแม่น้ำเทมส์

เริ่มต้นที่ปัญหาเล็กน้อย กลายเป็นผลกระทบระดับระบบนิเวศ

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์มลภาวะทางน้ำในประเทศอังกฤษกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง เมื่อองค์กรการกุศลด้านสิ่งแวดล้อม Thames21 ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษเร่งกำหนดวันชัดเจนในการแบนแผ่นเช็ดทำความสะอาด (wet wipes) ที่มีส่วนประกอบของพลาสติก หลังพบว่าขยะประเภทนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่มลพิษในแม่น้ำ แต่กำลังเปลี่ยนรูปร่างของแม่น้ำเทมส์ และส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งมีชีวิตน้ำและคุณภาพของแหล่งน้ำ

แม้รัฐบาลก่อนหน้านี้จะเคยประกาศแผนการแบนแผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติกเมื่อปีที่แล้ว แต่กระบวนการดำเนินการกลับหยุดชะงักภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป ทำให้ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

แผ่นเช็ดเปียก ขยะที่ดูไร้พิษภัย แต่ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาล

แผ่นเช็ดเปียกหรือ “wet wipes” ที่มีส่วนผสมของพลาสติกไมโครไฟเบอร์ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก ทำความสะอาดผิว และฆ่าเชื้อโรค แต่หลายคนยังคงทิ้งแผ่นเช็ดเหล่านี้ลงชักโครกโดยเข้าใจผิดว่า “ย่อยสลายได้” จากคำว่า “flushable” บนฉลาก

ลิซ กีเยกเย (Liz Gyekye) ตัวแทนจาก Thames21 ระบุว่า แผ่นเช็ดเปียกที่ถูกชักโครกลงในระบบท่อน้ำ จะเข้าไปรวมกับน้ำเสีย เมื่อเกิดฝนตกหนักและระบบระบายน้ำล้น สิ่งปฏิกูลเหล่านี้จะถูกระบายลงสู่แม่น้ำโดยตรง ทำให้แผ่นเช็ดเปียกเหล่านี้ตกตะกอนรวมกันจนเกิดเป็น “เกาะขยะเทียม” ซึ่งไม่เพียงแต่บดบังลำน้ำ แต่ยังถูกสัตว์น้ำกินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เป็นการนำไมโครพลาสติกเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

แผ่นเช็ดเปียกกำลังเปลี่ยนรูปร่างของแม่น้ำเทมส์

ข้อมูลจาก Thames21 ระบุว่า แผ่นเช็ดเปียกไม่ได้เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำหรือคุณภาพน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะสมในปริมาณมากจนส่งผลต่อภูมิประเทศของแม่น้ำเทมส์ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านกรุงลอนดอน

“มันเป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตใจอย่างยิ่ง” – ยานิส บรูซ-แบรนด์ (Janice Bruce-Brande) อาสาสมัครที่ทำงานสำรวจแม่น้ำเทมส์กล่าว พร้อมระบุว่า “แม้การสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ใหม่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ แต่ปัญหาจะไม่มีวันหมดไปหากยังมีการผลิตและใช้งานแผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติก”

ข้อเรียกร้องเร่งด่วนจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

Thames21 จึงเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ของอังกฤษดำเนินการทันทีต่อแผนการแบนพลาสติกในแผ่นเช็ดเปียก โดยกำหนด “วันที่แน่นอน” สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย โดยระบุว่า “ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน”

ทางด้านกรมสิ่งแวดล้อม อาหาร และกิจการชนบทของสหราชอาณาจักร (Defra) ได้ออกแถลงการณ์ตอบกลับว่า “แผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติกอุดตันท่อระบายน้ำ ทำลายระบบทางน้ำ และส่งผลต่อสัตว์ป่าอันมีค่าของเรา นั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลจะทำการแบนผลิตภัณฑ์นี้”

กฎหมายสิ่งแวดล้อมใหม่ของอังกฤษ การเปลี่ยนแปลงที่อาจนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของโลก

ในช่วงปีที่ผ่านมา อังกฤษได้ผ่านร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ที่มีบทลงโทษรุนแรงขึ้น เช่น การจำคุก 2 ปีสำหรับผู้บริหารองค์กรที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ และการยกเลิกโบนัสผู้บริหารของบริษัทที่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่เป็นธรรม

ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ยังได้รวมแผนเร่งรัดในการทำความสะอาดแม่น้ำและลำน้ำทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงมาตรการห้ามการใช้พลาสติกในผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น และการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการของเสียที่ยั่งยืน

ข้อเสนอเชิงนโยบาย แก้ไขปัญหาที่รากฐาน

  1. ห้ามใช้คำว่า “flushable” บนผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถย่อยสลายในน้ำทะเลได้จริง
  2. ส่งเสริมการผลิตแผ่นเช็ดเปียกจากเส้นใยธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ 100%
  3. รณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคในการทิ้งขยะอย่างถูกต้อง โดยยึดหลัก “3Ps”: pee, poo, paper
  4. ตั้งระบบมาตรฐานกลาง (certification) สำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ปลอดพลาสติก

เกรซ รอนส์ลีย์ (Grace Rawnsley) ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืนของการท่าเรือลอนดอน (Port of London Authority) ระบุว่า “การห้ามใช้พลาสติกในแผ่นเช็ดเปียกเป็นกุญแจสำคัญสู่แม่น้ำที่สะอาด”

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของ Thames21 ปี 2567 ระบุว่า พบแผ่นเช็ดเปียกมากกว่า 30,000 ชิ้น บนพื้นที่ชายฝั่งแม่น้ำเทมส์เพียงในช่วงครึ่งปีแรก
  • องค์การอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งอังกฤษระบุว่า แผ่นเช็ดเปียกที่มีพลาสติกเป็นส่วนผสม สร้างขยะในระบบระบายน้ำมากกว่า 93 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ ในสหราชอาณาจักร
  • รัฐบาลอังกฤษประเมินว่าค่าใช้จ่ายในการล้างระบบท่อระบายน้ำจากแผ่นเช็ดเปียกและขยะที่เกี่ยวข้องสูงถึง 100 ล้านปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท
  • กรมสิ่งแวดล้อมและชนบทอังกฤษเผยว่า การห้ามผลิตและขายแผ่นเช็ดเปียกพลาสติกจะช่วยลดขยะในแม่น้ำลงได้มากกว่า 75% ภายใน 3 ปี

บทสรุปเชิงวิเคราะห์

แม้แผ่นเช็ดเปียกจะดูเป็นผลิตภัณฑ์พื้นฐานในครัวเรือน แต่กลับส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมหากไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม การผลักดันกฎหมายให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดจึงถือเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

ตัวอย่างของอังกฤษอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย เริ่มทบทวนมาตรการจัดการผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของพลาสติกในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้ “สิ่งเล็กน้อย” กลายเป็น “วิกฤตใหญ่ระดับแม่น้ำ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • Thames21, Defra
  • Port of London Authority
  • UK Parliament Environmental Audit Committee
  • BBC
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

“ไข้หูดับ” ระบาดหนัก! แพร่เตือน กินดิบเสี่ยงตาย หน้าร้อนนี้ต้องระวัง

กินสุกเพื่อสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคไข้หูดับ

แพร่, 4 พฤษภาคม 2568 –ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหน้าร้อนของปี 2568 จังหวัดแพร่เผชิญกับสถานการณ์ที่น่ากังวลเกี่ยวกับโรคไข้หูดับ หรือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus suis ซึ่งพบได้ในหมูที่ป่วยและแพร่สู่มนุษย์ผ่านการบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ จากข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่ ระหว่างวันที่ 1 มกราคมถึง 21 เมษายน 2568 พบผู้ป่วยในจังหวัดแพร่ถึง 10 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยอำเภอสูงเม่นมีจำนวนผู้ป่วยสูงสุด นับเป็นอัตราผู้ป่วยสูงสุดในภาคเหนือ และเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย พร้อมจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในระดับประเทศ พบผู้ป่วยถึง 230 ราย และเสียชีวิต 10 ราย สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการบริโภคลาบหมูดิบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน หรือแม้แต่เสียชีวิต

ทำความรู้จักโรคไข้หูดับ

โรคไข้หูดับเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus suis ที่พบในทางเดินหายใจและเลือดของหมูที่ป่วย การติดเชื้อสามารถเกิดได้จากการบริโภคเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบ รวมถึงการสัมผัสเนื้อหมูดิบผ่านบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุตา อาการที่พบ ได้แก่ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น คอแข็ง สูญเสียการได้ยิน หรือในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิต ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้ที่รับประทานอาหารดิบเป็นประจำ ผู้เลี้ยงหมู ผู้ชำแหละเนื้อหมู และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ การรักษาต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลลิน หรือเซฟไตรอะโซน ผ่านทางหลอดเลือดดำ และหากตรวจพบเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น หูหนวกถาวร หรือการเสียชีวิต

เปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ความอร่อยของเมนูหมู เช่น ลาบ หลู้ หรือก้อย ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงกับการบริโภคแบบดิบ การปรุงอาหารให้สุกด้วยอุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส สามารถฆ่าเชื้อ Streptococcus suis ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้รสชาติที่คุ้นเคยลดลง การปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหารเพียงเล็กน้อย เช่น การนำลาบหมูดิบมาทำเป็นลาบคั่ว หรือการย่างหมูให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน สามารถรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของรสชาติได้อย่างครบถ้วน พร้อมเพิ่มความปลอดภัยให้กับสุขภาพ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเกิดขึ้นเพื่อเชิญชวนทุกคนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก ลดความเสี่ยงจากโรคไข้หูดับ และส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว

วิธีป้องกันง่าย ๆ เพื่อสุขภาพที่ดี

การป้องกันโรคไข้หูดับสามารถทำได้ด้วยวิธีการที่ไม่ซับซ้อน ดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบหมูดิบ หลู้ หรือก้อยดิบ ควรปรุงให้สุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  2. สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเนื้อหมูดิบ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการชำแหละหรือปรุงอาหาร และล้างมือให้สะอาดหลังสัมผัส
  3. เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน เช่น ตลาดสดหรือโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับการรับรอง หลีกเลี่ยงเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาวหรือสีคล้ำผิดปกติ
  4. แยกอุปกรณ์ปรุงอาหาร ใช้เขียงและมีดแยกสำหรับเนื้อดิบและเนื้อสุก รวมถึงใช้ตะเกียบหรือที่คีบแยกสำหรับอาหารดิบและสุกเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  5. รีบพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือสูญเสียการได้ยินหลังรับประทานหมูดิบหรือสัมผัสเนื้อหมูดิบ ควรรีบไปโรงพยาบาลและแจ้งประวัติความเสี่ยงให้แพทย์ทราบ

กินสุกไม่ใช่เรื่องยาก รสชาติยังคงน่าจดจำ

การเปลี่ยนมาเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเมนูโปรด แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนทุกคนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เช่น ลาบคั่วที่หอมกรุ่น ก้อยย่างที่สุกกำลังดี หรือหมูกระทะที่ย่างจนหอมฉุย การปรุงอาหารให้สุกไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคไข้หูดับ แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่รัก การกินสุกไม่ได้หมายถึงการห้ามกินดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเชิญชวนให้ลดการบริโภคอาหารดิบและหันมาสนุกกับการสร้างสรรค์เมนูสุกที่ทั้งอร่อยและปลอดภัย ในช่วงหน้าร้อนนี้ มาร่วมกันเปลี่ยนความอร่อยให้เป็นความสุขที่ยั่งยืนด้วยการเลือกกินสุก เพื่อสุขภาพที่ดีและความปลอดภัยของทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ชุมชน ‘เวียงป่าเป้า’ สร้างดาว! “วัดเวียงกาหลง” โมเดลท่องเที่ยวยั่งยืน

เวียงกาหลงสุดยอด! วัดคว้า 5 ดาว ท่องเที่ยวยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก “เมืองวัฒนธรรมเวียงกาหลง” ได้เผยแพร่ข่าวสารความสำเร็จของ “วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลง” ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับสูงสุด 5 ดาว จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้โครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) หลังจากผ่านการประเมินตามเกณฑ์ STGs Easy (Sustainable Tourism Goals) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 โดยประกาศนียบัตรดังกล่าวมีอายุ 2 ปี และจะหมดอายุในวันที่ 28 เมษายน 2570

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงตั้งอยู่ ณ เลขที่ 98 หมู่ 15 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 093-2560187 เป็นหนึ่งในห้าแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับตราสัญลักษณ์ STAR-C00389 ระดับ 5 ดาว ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดของมาตรฐานนี้ โดยการรับรองดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ททท. ที่เน้นการยกระดับผู้ประกอบการตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ

คำขวัญของพื้นที่ “เมืองวัฒนธรรม แดนพุทธภูมิ ถิ่นกาขาว ชาวศรีวิไล” สะท้อนถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชุมชนเวียงกาหลง ซึ่งวัดพระยอดขุนพลเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและการเรียนรู้สู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในรูปแบบนันทนาการและวัฒนธรรม

โครงการ STAR: Sustainable Tourism Acceleration Rating ถือเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศดำเนินกิจการโดยยึดถือหลักความยั่งยืนใน 4 มิติหลัก ได้แก่ ธรรมาภิบาล เศรษฐกิจ-สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ผ่านเป้าหมาย STGs รวม 17 ข้อ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก SDGs ของสหประชาชาติ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการ STAR เป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเน้นการพลิกฟื้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ บนรากฐานของความปลอดภัยและความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “มาร่วมสร้างท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน” ผ่านการสร้างมาตรฐาน High Value Services & Standard เพื่อมอบประสบการณ์ที่ทรงคุณค่า (Valued Experiences) แก่นักท่องเที่ยว และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism)

โครงการ STAR ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานวิชาการ เช่น ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีระบบการจัดระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนใน 3 ระดับ ได้แก่:

  • 3 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ STG13 (ลดก๊าซเรือนกระจก), STG16 (ปลอดภัยในการท่องเที่ยว) และ STG17 (ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน)
  • 4 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์หลักทั้ง 3 ข้อข้างต้น และเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 6 ข้อ รวมเป็น 9 ข้อ
  • 5 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์หลักทั้ง 3 ข้อ และเป้าหมายอื่นไม่น้อยกว่า 9 ข้อ รวมเป็น 12 เป้าหมายขึ้นไป

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงสามารถผ่านเกณฑ์สูงสุด 5 ดาว ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการเชิงอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีการจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การฝึกอาชีพ การปลูกป่า การสอนภาษา และการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

นางสาวมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของโครงการ STAR และกล่าวสนับสนุนแนวคิดการท่องเที่ยวที่ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า ธรรมชาติคือทรัพยากรต้นทุนสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หากไร้ความรับผิดชอบในการเดินทาง ก็เท่ากับทำลายจุดขายของประเทศ

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงถือเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนเป้าหมาย STG13, STG16 และ STG17 อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นแหล่งเรียนรู้การท่องเที่ยวยั่งยืนที่มีชีวิตจริงในชุมชน ซึ่ง ททท. วางเป้าหมายที่จะผลักดันให้แหล่งอื่น ๆ ปรับตัวเข้าสู่เกณฑ์เดียวกัน เพื่อสร้าง “ประเทศไทย” ให้เป็น Sustainable Destination ในระดับโลก

การยกระดับวัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงสู่ระดับ 5 ดาว ไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ยังตอกย้ำว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวคิด หากแต่คือแนวทางที่สามารถนำไปสู่การเติบโตทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เพจเมืองวัฒนธรรมเวียงกาหลง
  • ข้อมูลการประเมิน STGs Easy และระบบ STAR: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), 2566-2568
  • ฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ STAR ระดับ 5 ดาว: www.tourismthailand.org/star
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย
  • บทสัมภาษณ์ ผศ.ชล บุนนาค, ศูนย์วิจัย SDG Move
  • รายงานความคืบหน้าโครงการ Shape Supply และ SDG ของ ททท.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE