Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

เหล็กดัดคืนชีพ! ศิลปินรุ่นใหม่สร้างงานจากความงามที่ถูกมองข้ามในย่านธนาลัย

เปิดมิติใหม่แห่งความคิดสร้างสรรค์: “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” นิทรรศการพลิกโฉมย่านประวัติศาสตร์เชียงราย สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – เมื่อวานนี้ (8 สิงหาคม 2568) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย ได้มีการเปิดม่านนิทรรศการครั้งสำคัญในชื่อ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย นิทรรศการนี้ไม่เพียงเป็นการรวบรวมผลงานศิลปะ หากแต่เป็นหมุดหมายของการชุบชีวิตอดีต ผสานกับวิสัยทัศน์เพื่ออนาคต เพื่อขับเคลื่อนย่านการค้าเก่าแก่ให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และแหล่งรวมแรงบันดาลใจที่ยังคงคุณค่าอย่างร่วมสมัย

ย่านธนาลัยและในเวียงของจังหวัดเชียงรายนั้น เป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางศิลปะ วัฒนธรรม และเป็นศูนย์รวมของร้านค้าเก่าแก่ที่ดำรงอยู่คู่กับธุรกิจของคนรุ่นใหม่ ในอดีต ย่านท่า นารายณ์ (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ธนาลัย”) ถือเป็นศูนย์กลางการค้าและความเจริญรุ่งเรือง นิทรรศการนี้จึงเข้ามาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมร้อยเรื่องราวในอดีตสู่ปัจจุบัน โดยนำเสนอพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ผสมผสานกับการร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ความพิเศษของโครงการนี้คือการถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า เพื่อเปิดมุมมองสู่โอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดไปสู่การเป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

ความงามที่ถูกมองข้าม” หัวใจสำคัญของการตีความใหม่จากเหล็กดัด

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นและเป็นตัวอย่างสะท้อนแนวคิดหลักของนิทรรศการได้อย่างชัดเจนคือชิ้นงานชื่อ ธนาลัย” โดย นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินและนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เธอได้หยิบยกแรงบันดาลใจจาก ความงามที่ถูกมองข้าม” ซึ่งปรากฏอยู่ในองค์ประกอบเล็กๆ ในสถาปัตยกรรมของเมืองเก่าเชียงราย นั่นคือ ลูกกรงเหล็กดัดหน้าต่าง” ที่พบเห็นได้มากมายในย่านธนาลัย เหล็กดัดเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรม แต่ยังสะท้อนถึงรสนิยม ความตั้งใจ และภูมิปัญญาของผู้สร้างในยุคสมัยหนึ่ง รวมถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

นางสาวพุทธรักษ์ได้อธิบายถึงแรงบันดาลใจนี้ว่า จากการลงพื้นที่สำรวจย่านท่า นารายณ์ เธอได้พบเห็นเหล็กดัดเป็นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของหน้าต่าง ประตู หรือแม้กระทั่งระเบียง ซึ่งนำไปสู่การเลือกใช้เทคนิคเหล็กดัดมาเป็นแกนหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยเปลี่ยนจากการทำงานภาพวาดหรือประติมากรรมแบบเดิมๆ ศิลปินได้ตีความลวดลายเหล็กดัดเหล่านี้ขึ้นใหม่ ผ่านการออกแบบในรูปแบบของ เหล็กดัดประดับฉากกั้นห้องแบบพับได้” ที่ไม่เพียงใช้งานได้จริง แต่ยังทำหน้าที่สื่อสารทางความคิดได้อย่างลึกซึ้ง กระบวนการสร้างสรรค์เริ่มต้นจากการสังเกตและเก็บข้อมูลรูปแบบของเหล็กดัดในย่านธนาลัยอย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงนำมาออกแบบร่างต้นแบบในขนาดเล็ก ก่อนจะขยายแบบให้เป็นสเกล 1:1 และดำเนินการดัดโลหะตามแบบ รวมถึงเชื่อมประกอบเข้าด้วยกันอย่างประณีต เพื่อให้ได้ลวดลายตรงตามจินตนาการของผู้สร้างสรรค์ และยังคงจิตวิญญาณของเหล็กดัดยุคเก่าไว้ได้อย่างร่วมสมัย นอกจากนี้ ผลงานยังผสมผสานธีมของพหุวัฒนธรรม โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน และลวดลายผ้ามาใช้ในการออกแบบฉากกั้น

จากศิลปะสู่จุดเริ่มต้นของการสนทนาและประโยชน์ต่อสาธารณะ

ผลงานชิ้นนี้ของพุทธรักษ์ ดาษดา ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อความสวยงามเชิงประติมากรรมหรือการตกแต่งเท่านั้น แต่ยังตั้งใจให้เป็น จุดเริ่มต้นของการสนทนา” เกี่ยวกับการกลับมามองพื้นที่เก่าในเมืองด้วยสายตาใหม่ นี่คือหัวใจสำคัญที่นิทรรศการพยายามสื่อสารสู่สาธารณะ ผลงานศิลปะเหล่านี้ทำหน้าที่เชื้อเชิญให้ผู้คนร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตของเมืองเก่า ว่าพื้นที่เหล่านี้สามารถถูกใช้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ เป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ และเป็นพื้นที่ร่วมสมัยที่มีคุณค่าได้อย่างไรอีกครั้ง

ในมุมมองของประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับ นิทรรศการนี้เป็นมากกว่าการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นการกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชน ผ่านการนำเสนอที่เข้าถึงง่ายและน่าสนใจ การนำ “ความงามที่ถูกมองข้าม” อย่างเหล็กดัด มาสร้างสรรค์ใหม่ ทำให้ประชาชนได้เห็นว่าสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวันก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจและมีคุณค่ามหาศาลได้ การจัดแสดงยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการคิดนอกกรอบ และการประยุกต์ใช้มรดกทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาศักยภาพของคนในพื้นที่ ทั้งศิลปิน ผู้ประกอบการ และชุมชน การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ร่วมสร้างสรรค์และต่อยอดธุรกิจดั้งเดิม ยังเป็นการรักษาอัตลักษณ์ของเมืองไว้พร้อมกับการเติบโตในยุคสมัยใหม่ นอกจากนี้ การที่นิทรรศการเป็นความร่วมมือระหว่างศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการรวมตัวกันเพื่อเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับเชียงรายให้เป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ศิลปะและวัฒนธรรมสามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเมือง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนได้อย่างไร

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจร่วมสัมผัสประสบการณ์และแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของย่านธนาลัย ที่จะเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และชักชวนให้ร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตของเมืองเชียงรายไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ศิลปิน นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา
  • เอกสารเผยแพร่และข่าวประชาสัมพันธ์ของนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย”
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ (CEA Chiang Mai)
  • มูลนิธิมดชนะภัย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ และชุมชน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

ศิลปินเอกพงษ์ ใจบุญ สร้างสรรค์ “Peony” จากรากเหง้าวัฒนธรรมไทย-จีนในเชียงราย

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่แห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –ผสมผสานรากเหง้าทางวัฒนธรรมเข้ากับแรงบันดาลใจจากคนรุ่นใหม่ เพื่อพลิกฟื้นย่านการค้าเก่าแก่ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดเชียงราย

ย่านธนาลัยและในเวียงในอดีตนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้าที่รุ่งเรืองและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสมผสานของกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน แต่เดิมย่านนี้เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่คึกคัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความคึกคักนั้นอาจไม่เท่าเดิมอีกต่อไป นิทรรศการนี้จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยแรงปรารถนาที่จะนำเรื่องราว ประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาถ่ายทอด เพื่อเปิดมุมมองและโอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

การจัดแสดงครั้งนี้เป็นการรวบรวมผลงานการออกแบบสร้างสรรค์จากกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ และชุมชนในจังหวัดเชียงราย ที่ร่วมกันบอกเล่าเรื่องราวและแรงบันดาลใจจากย่านถนนธนาลัย ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของเมืองเชียงรายได้อย่างชัดเจน เนื้อหาในนิทรรศการครอบคลุมพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ไปจนถึงเรื่องราวของร้านค้าเก่าแก่และธุรกิจของคนรุ่นใหม่ที่ร่วมกันพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ พร้อมด้วยหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ได้รับความสนใจอย่างมากในนิทรรศการนี้คือ ประติมากรรมชื่อ “Peony” หรือ “ดอกโบตั๋น” โดยนายเอกพงษ์ ใจบุญ ศิลปินร่วมสมัยผู้ให้ความสำคัญกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมและศิลปะพื้นถิ่น นายเอกพงษ์เปิดเผยว่า ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการลงพื้นที่ในย่านธนาลัย และได้นำเอาแนวคิดเรื่องพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวัฒนธรรมไทย-จีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของย่านการค้านี้มาสร้างสรรค์ ดอกโบตั๋นในวัฒนธรรมจีนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ในอดีตของย่านธนาลัยที่เคยรุ่งเรืองด้านการค้า

ผลงาน “Peony” ไม่ได้เป็นเพียงประติมากรรมนูนต่ำที่นำเสนอเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันผ่านกระบวนการคิดอย่างลึกซึ้งและการเลือกใช้วัสดุที่มีความหมาย นายเอกพงษ์ได้ผสานความเชื่อเรื่องดอกโบตั๋นเข้ากับองค์ประกอบทางศิลปกรรมของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมในย่านธนาลัย อาทิ เส้นสายของลายฉลุ ลวดลายไม้สลัก และรูปทรงที่ถอดแบบจากภูมิปัญญาช่างไม้โบราณ เพื่อแสดงถึงความงามอันเป็นนิรันดร์ของอดีตในบริบทของโลกปัจจุบัน

ความโดดเด่นของ “Peony” ยังอยู่ที่กระบวนการสร้างสรรค์ที่พิถีพิถัน ศิลปินได้เลือกใช้ไม้จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งและมีความงดงามในตัวเอง เช่น ไม้ตะเคียน ไม้แดง และไม้จำปี โดยนำมาแปรรูปเป็นองค์ประกอบทางศิลปะด้วยเทคนิคการตัดไม้เป็นรูปทรงอิสระ และนำมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างประณีตผ่านวิธีการบากเดือยแบบช่างไม้โบราณ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา นอกจากนี้ ยังเสริมความแข็งแรงและความงามของผลงานด้วยการประสานไม้ด้วยกาวและหมุดทองเหลือง

ในแง่มิติทางทัศนศิลป์ “Peony” ถ่ายทอดความสมดุลของแสง เงา และผิวสัมผัสที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม สร้างประสบการณ์ทางสายตาที่ลุ่มลึกให้กับผู้ชม ผลงานชิ้นนี้ช่วยให้ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวที่นิ่งงัน ความร่วมสมัยที่อิงรากฐานของอดีต และการสื่อสารอย่างลึกซึ้งโดยไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำ นายเอกพงษ์เชื่อว่า “Peony” ไม่ใช่เพียงวัตถุทางศิลปะ แต่เป็นบทสนทนาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ระหว่างศิลปะและวัฒนธรรม และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เป็นการตีความ “ความมั่งคั่ง” ในความหมายใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดเพียงทรัพย์สินเงินทอง หากแต่รวมถึงความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณ ความคิดสร้างสรรค์ และความงดงามของย่านธนาลัยอันไร้กาลเวลา

โครงการและนิทรรศการนี้จึงเป็นมากกว่าการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม:

  • การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น: การนำเสนอและต่อยอดธุรกิจดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ จะช่วยกระตุ้นการค้าและบริการในย่านธนาลัยและพื้นที่ใกล้เคียง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ให้กับผู้ประกอบการและชุมชน
  • การอนุรักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรม: การนำเรื่องราวประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของย่านเก่ามาสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ เป็นการรักษาคุณค่าดั้งเดิมพร้อมทั้งสร้างความน่าสนใจให้กับคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว
  • การสร้างแรงบันดาลใจและการพัฒนาศักยภาพ: โครงการนี้ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะ ความรู้ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในสาขาต่าง ๆ เป็นการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในพื้นที่
  • การยกระดับคุณภาพชีวิตและภูมิทัศน์เมือง: การพัฒนาให้ย่านธนาลัยเป็น “ย่านสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา” ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความงามและอัตลักษณ์ของเมือง แต่ยังส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สาธารณะที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของคนในชุมชน
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: นิทรรศการและแนวคิดเรื่องย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนใครในเชียงราย ซึ่งจะสร้างรายได้หมุนเวียนและกระจายไปสู่ธุรกิจในท้องถิ่น

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม ถึง 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) เป็นการรวมพลังของหลายภาคส่วนเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของจังหวัดเชียงรายในการผสมผสานอดีตเข้ากับปัจจุบัน และสร้างสรรค์อนาคตที่รุ่งเรืองด้วยภูมิปัญญาและจินตนาการ

นายเอกพงษ์ ใจบุญ ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน "Peony" (ดอกโบตั๋น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ (Creative Economy Agency (Public Organization) – CEA Chiang Mai)
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE” ปลุกชีพย่าน “ธนาลัย” สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่สู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –ผสมผสานรากเหง้าทางวัฒนธรรมกับนวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ หวังปลุกชีพย่านการค้าเก่าแก่ให้กลับมาคึกคัก พร้อมดึงดูดนักสร้างสรรค์และนักลงทุนสู่ถิ่นฐาน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย ได้มีการเปิดนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” อย่างเป็นทางการ. นิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย. โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์กร มหาชน) เชียงใหม่, นักสร้างสรรค์ท้องถิ่น, และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย. กิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานผ่านแนวคิดการออกแบบและกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของย่านการค้าธนาลัย ตลอดจนถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า.

พลิกฟื้นย่านเก่าแก่จากอดีตสู่โอกาสในอนาคต

ย่านธนาลัยและย่านในเวียง ถูกเลือกให้เป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมครั้งนี้ เนื่องจากเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่มีความคึกคักในอดีต และยังคงเป็นจุดเชื่อมต่อของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม ทั้งพ่อค้าชาวจีน ชาวพม่า และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน. พื้นที่เหล่านี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวจากวิถีชีวิต อาคารเก่า ร้านค้าโบราณ รวมถึงทุนทางศิลปะวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตชีวา. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองเห็นว่าย่านทั้งสองแห่งนี้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งจากรากฐานทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต ศิลปะที่สืบทอดกันมา รวมถึงอาคารสถาปัตยกรรมและวัดวาอารามเก่าแก่. ความหลากหลายทางวัฒนธรรมนี้เองถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญ และเป็นโอกาสในการพัฒนาต่อยอดสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต.

นายเอกพงษ์ ใจบุญ หัวหน้าโปรเจกต์ “Back to the future การละครั้งหนึ่ง ณ พนาลัย” ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ว่า โครงการนี้ไม่เพียงแค่ส่งเสริมเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นกระบวนการฟื้นฟู รักษา และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อส่งต่อคุณค่าเหล่านี้สู่ “อนาคตอย่างยั่งยืน”. โดยมีเป้าหมายให้เชียงรายเป็นต้นแบบและเมืองต้นแบบสำคัญที่สามารถหลอมรวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน. หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักคือการสร้างเครือข่ายของนักสร้างสรรค์และชุมชน เพื่อแสดงพลังในการขับเคลื่อนพื้นที่ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน. นอกจากนี้ยังมุ่งสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของพื้นที่ เพื่อให้คนภายนอกและคนเชียงรายเองมองเห็นโอกาสในการต่อยอดสร้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจ และดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้กลับคืนถิ่นเพื่อลงทุนและพัฒนาพื้นที่. ในท้ายที่สุด นำไปสู่การเป็นย่านที่น่าอยู่ น่าลงทุน และน่าท่องเที่ยวในอนาคต.

ถักทอเรื่องราวผ่านผลงานศิลปะการตีความใหม่จากนักสร้างสรรค์

นิทรรศการครั้งนี้รวบรวมผลงานของนักสร้างสรรค์ 5 กลุ่ม/ท่าน ซึ่งแต่ละผลงานล้วนได้รับแรงบันดาลใจและสะท้อนเรื่องราวจากย่านธนาลัยในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป.

นายเอกพงษ์ ใจบุญ ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน "Peony" (ดอกโบตั๋น)
นายเอกพงษ์ ใจบุญ

ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน “Peony” (ดอกโบตั๋น) ได้นำเสนอประติมากรรมนูนต่ำเชิงสัญลักษณ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากย่านธนาลัย ซึ่งในอดีตเคยเป็นย่านการค้าที่รุ่งเรืองและมีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก. “ดอกโบตั๋น” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเจริญรุ่งเรืองในวัฒนธรรมจีน ถูกนำมาผสานกับองค์ประกอบศิลปกรรมของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เช่น ลายฉลุ ลายไม้แกะสลัก โดยใช้เทคนิคช่างไม้โบราณและวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ตะเคียน ไม้แดง และไม้จำปี พร้อมประยุกต์การประกอบไม้ด้วยกาวและหมุดทองเหลือง. ผลงานนี้ไม่เพียงสะท้อนความงามเหนือกาลเวลา แต่ยังตีความ “ความมั่งคั่ง” ในความหมายใหม่ที่รวมถึงความมั่งคั่งทางจิตวิญญาณและความคิดสร้างสรรค์.

นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา นำเสนอผลงานชื่อ "ธนาลัย" โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก "เหล็กดัด"
นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา

 นำเสนอผลงานชื่อ “ธนาลัย” โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “เหล็กดัด” ที่พบเห็นได้ทั่วไปในย่านธนาลัย ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง ประตู หรือระเบียง. เธอได้เปลี่ยนเทคนิคจาก Painting และปั้น มาใช้เหล็กดัดในการสร้างสรรค์ฉากกั้นห้องแบบพับได้ โดยผสมผสานเรื่องราวของพหุวัฒนธรรมและลายผ้าเข้าด้วยกัน. ลวดลายเหล็กดัดเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนรสนิยมและภูมิปัญญาในอดีต แต่ยังแฝงไว้ด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์. ผลงานของเธอตั้งใจเป็น “จุดเริ่มต้นของการสนทนา” เพื่อชวนให้มองพื้นที่เก่าในเมืองด้วยสายตาใหม่ ว่าสามารถเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และแรงบันดาลใจที่ร่วมสมัยได้อีกครั้ง.

นางสาวสิริฉาย เอาฬาร เลือกที่จะหันกลับมามอง "ราก" ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด "Sketch the past, Draw the future" หรือ "วาดอดีต สู่ อนาคต". โครงการ "Food Sketch Tour"
นางสาวสิริฉาย เอาฬาร

เลือกที่จะหันกลับมามอง “ราก” ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด “Sketch the past, Draw the future” หรือ “วาดอดีต สู่ อนาคต”. โครงการ “Food Sketch Tour” ของเธอเชิญชวนเยาวชนให้วาดภาพอาหารจากร้านเก่าแก่และรับฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของร้านผู้ผ่านประสบการณ์ยาวนาน. กิจกรรมนี้สร้างบทสนทนาระหว่างรุ่นที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความอบอุ่น ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านี้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นภาพวาดอาหารที่เปี่ยมด้วยความทรงจำและความหมาย. การจัดแสดงผลงานที่ไม่เหมือนใครนี้ โดยการจัดวางภาพวาดบนโต๊ะอาหารจริงใน “มื้อสร้างสรรค์” เชิญชวนผู้ชมให้ “ลิ้มรสเรื่องราว” ทั้งผ่านสายตาและประสบการณ์การกิน. แนวคิดนี้จึงไม่หยุดแค่การอนุรักษ์ปัญญาเก่าแก่ แต่เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านการเชื่อมโยงคนต่างวัยและส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับชุมชน.

กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY) ให้ความสนใจกับ "ประวัติศาสตร์" ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในตำรา แต่ถ่ายทอดผ่านสิ่งของ สถานที่ และวิถีชีวิต.
กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY)

 ให้ความสนใจกับ “ประวัติศาสตร์” ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในตำรา แต่ถ่ายทอดผ่านสิ่งของ สถานที่ และวิถีชีวิต. พวกเขามองเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในย่านธนาลัย ซึ่งเป็นจุดบรรจบของเรื่องราวมากมายทั้งมิติชาติพันธุ์ ศาสนา และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “ประวัติศาสตร์การค้า” ที่สะท้อนผ่านอาคาร ร้านค้า และวิถีชีวิต. กลุ่มฯ ได้จัดกิจกรรม “การเสวนาแลกเปลี่ยน” เพื่อเชื่อมโยงประวัติศาสตร์กับพหุวัฒนธรรมของย่านธนาลัย. นอกจากการเสวนาแล้ว กลุ่มศิลปินยังได้รวบรวม “ของเก่า” และ “ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จริง” ในย่านธนาลัย เพื่อนำมาจัดแสดงในนิทรรศการภายใต้ชื่อ “ลุ้นรรจความสัมพันธ์” ซึ่งเปรียบเสมือนภาชนะทางความคิดที่เก็บรวบรวมความทรงจำและเรื่องราวของผู้คน. แนวคิดนี้มุ่งเน้นว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการร้อยเรียงอดีตเข้ากับปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง เคารพต่อความหลากหลาย และเปิดโอกาสให้เรื่องเล่าเก่าๆ กลับมามีความหมายใหม่อีกครั้ง.

นายรชรินทร์ อินธุระ ศิลปินอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอแนวคิดในการ "ยกระดับสินค้า" ของย่านธนาลัยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง.
นายรชรินทร์ อินธุระ

ศิลปินอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอแนวคิดในการ “ยกระดับสินค้า” ของย่านธนาลัยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง. ภายใต้แนวคิด “Remake Thanalai” หรือ “ทนัย กู” (ของดีธนาลัย) เขาพยายามนำของที่มีอยู่ในร้านค้าต่างๆ มาจัดองค์ประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้กลายเป็นของใหม่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น. ผลงานของเขา เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟตั้งพื้น ชั้นวางของ โต๊ะเล่นหมากรุก และพัด ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ผสมผสานจากของที่ได้จากร้านค้าในย่าน. จุดประสงค์หลักคือการนำเสนอความเป็นไปได้ที่หลากหลายและความสนุกในการเดินช้อปปิ้งในธนาลัยจากมุมมองใหม่ เพื่อให้เกิดแนวทางที่น่าสนใจในอนาคต สำหรับนักออกแบบหรือผู้คนในพื้นที่ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และสร้างความคึกคักให้กับพื้นที่ต่อไป.

ประโยชน์ของประชาชนการฟื้นฟูที่จับต้องได้และการสร้างโอกาสใหม่

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” และโครงการที่เกี่ยวข้องนี้ นำมาซึ่งประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในหลายมิติ:

  • การฟื้นฟูและรักษาเอกลักษณ์ของพื้นที่: ประชาชนในท้องถิ่นได้เห็นคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของตนเองได้รับการอนุรักษ์และต่อยอด. การนำเสนอเรื่องราวผ่านศิลปะช่วยให้วิถีชีวิต อาคารเก่าแก่ และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของย่านธนาลัยได้รับการจดจำและส่งต่อสู่คนรุ่นใหม่.
  • การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพ: โครงการนี้กระตุ้นให้เกิดการมองเห็นศักยภาพของพื้นที่ในแง่ของการสร้างสรรค์ ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น. การที่คนรุ่นใหม่กลับมาลงทุนและสร้างสรรค์ธุรกิจในพื้นที่ย่อมส่งผลให้เกิดการจ้างงานและรายได้หมุนเวียนในชุมชน.
  • การกระตุ้นการท่องเที่ยว: ด้วยการนำเสนอเสน่ห์ของย่านธนาลัยในมุมมองใหม่ ผสมผสานศิลปะ ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิต นิทรรศการนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาเยี่ยมเยือน ทำให้พื้นที่กลับมามีชีวิตชีวาและคึกคักอีกครั้ง.
  • การเสริมสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: โครงการเปิดโอกาสให้ชุมชน ผู้ประกอบการ และนักสร้างสรรค์ ได้ทำงานร่วมกัน. นี่คือเวทีที่ประชาชนสามารถสะท้อนความคิดเห็นและร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาบ้านเกิดของตนเองผ่านความร่วมมือ. การสร้างเครือข่ายนี้จะนำไปสู่โครงการระยะยาวที่ยั่งยืน.
  • การเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ: ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเยาวชน ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของท้องถิ่นผ่านรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าถึงง่าย. ผลงานศิลปะที่จัดแสดงยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้มองเห็นสิ่งรอบตัวด้วยมุมมองใหม่ และเปิดโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในชีวิตประจำวัน.

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงไม่ได้เป็นเพียงการแสดงงานศิลปะ แต่เป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยมีเชียงรายเป็นศูนย์กลางในการหลอมรวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชนและประเทศชาติ. นิทรรศการจะจัดแสดงไปจนถึงวันที่ 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์).

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย
  • นักสร้างสรรค์และศิลปินกลุ่มต่างๆ: นายเอกพงษ์ ใจบุญ, นางสาวพุทธรักษ์ ดาษดา, นางสาวสิริฉาย เอาฬาร, กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้, และนายรชรินทร์ อินธุระ
  • เครือข่ายศิลปิน ชุมชน ผู้ประกอบการ ร้านค้าในพื้นที่ย่าน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

ดอยตุงสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ปัญหามลภาวะทางแสงที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสูญเสียความงาม สวนแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย กลับสามารถสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” (Dark Sky Conservation Area in a Private Area) อย่างเป็นทางการ ถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเภทนี้ของประเทศไทย

ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอกย้ำคุณค่าทางธรรมชาติของดอยตุงที่มีมาช้านาน แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดาราศาสตร์ที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน

เส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ง่ายดาย

การได้รับการรับรองในครั้งนี้ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 คุณวิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ในฐานะตัวแทนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้ารับมอบโล่รับรองอย่างเป็นทางการในโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 4 ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT)

ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่พื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีแนวทางการจัดการแสงสว่างที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐาน โดยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางแสง (Light Pollution) ทำให้ผู้มาเยือนสามารถชื่นชมความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนและดวงดาวนับล้านดวงได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน

เกณฑ์มาตรฐานระดับโลกที่ท้าทาย

สำหรับการได้รับการรับรองเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” นั้น NARIT ได้กำหนดเกณฑ์และกระบวนการรับรองที่เข้มงวดตามมาตรฐานสากล ซึ่งประกอบด้วยข้อกำหนดหลักที่ท้าทายดังนี้

ด้วยพื้นที่โล่งที่เหมาะสม สวนแม่ฟ้าหลวงมีพื้นที่โล่งสำหรับจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ที่สามารถสังเกตการณ์ท้องฟ้าโดยรอบได้มากกว่า 70% ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำที่กำหนดไว้

คุณภาพท้องฟ้าของพื้นที่นี้มีค่าความมืดท้องฟ้าสูงถึง 19 magnitude ต่อตารางฟิลิปดา และสามารถสังเกตเห็นวัตถุท้องฟ้าต่างๆ ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางช้างเผือก กาแล็กซีอันดรอมีดา และกลุ่มดาวต่างๆ ที่สวยงาม

ในด้านการบริหารจัดการแสงสว่าง สวนแม่ฟ้าหลวงมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพใน 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การควบคุมทิศทางแสงให้ส่องลงพื้นเท่านั้น การเลือกใช้อุณหภูมิแสงสว่างที่เหมาะสม และการมีระบบควบคุมเวลาเปิด-ปิดที่เข้มงวด รวมถึงการจำกัดความสว่างของแหล่งกำเนิดแสงภายนอกอาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดแสงรบกวน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพื้นที่โดยรอบปราศจากแสงรบกวนจากภายนอก และมีการศึกษาและอธิบายถึงสถานการณ์มลภาวะทางแสงโดยรอบพื้นที่จัดกิจกรรมอย่างละเอียด

มิติใหม่ของการอนุรักษ์ที่ครอบคลุมทุกชีวิต

การเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงจุดชมดาว เพราะการอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์อย่างมหาศาล วัฏจักรธรรมชาติของแสงและความมืดเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อการทำงานของระบบนิเวศโลก

สำหรับสัตว์ป่า แสงประดิษฐ์ในเวลากลางคืนสร้างความเสียหายอย่างมากต่อพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การหากิน การอพยพตามฤดูกาล และกระบวนการสืบพันธุ์ที่สำคัญ นกอพยพหลงทางจากเส้นทางการบินที่ใช้มานานนับพันปี แมลงกลางคืนสูญเสียการนำทางจากแสงดวงจันทร์และดวงดาว ส่งผลให้ห่วงโซ่อาหารเกิดความเสียหาย

สำหรับพืชพรรณ กระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การออกดอก การเจริญเติบโต และการสังเคราะห์แสงในเวลากลางคืนก็ได้รับผลกระทบจากแสงประดิษฐ์เช่นกัน

ในส่วนของมนุษย์ แสงประดิษฐ์ที่มากเกินไปในเวลากลางคืนรบกวนการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่จำเป็นต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ความเครียด โรคซึมเศร้า และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ

การลดมลภาวะทางแสงจึงเป็นมาตรการอนุรักษ์ที่ให้ประโยชน์หลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การปกป้องสุขภาพของมนุษย์ การประหยัดพลังงาน และการลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว

ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

การขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้สัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รูปแบบใหม่ที่พิเศษและหาได้ยากในภูมิภาคนี้ ภายในพื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีการออกแบบกิจกรรมกลางคืนที่ผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลงตัว

กิจกรรมเดินสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพยามค่ำคืนจะให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับชีวิตสัตว์ป่ากลางคืนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้ฟังเสียงธรรมชาติยามค่ำคืนที่แตกต่างจากกลางวัน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของสรรพสิ่งเพื่อความอยู่รอดในความมืด

การบรรยายเรื่องดวงดาวโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการเปิดหน้าต่างสู่จักรวาล ให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้เกี่ยวกับดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ กาแล็กซี และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ต่างๆ ที่สามารถสังเกตได้จากท้องฟ้าดอยตุง พร้อมทั้งเข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ท้องฟ้ายามราตรี

เพื่อรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าร่วม กิจกรรมทั้งหมดจะมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นระยะ และเปิดให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อควบคุมจำนวนผู้เข้าชมให้เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ

โอกาสและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของสวนแม่ฟ้าหลวงในการกลายเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดแห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย เป็นต้นแบบที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การขยายผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวยังต้องการการดำเนินการในหลายมิติ

การพัฒนากฎหมายและข้อบังคับระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลควรพิจารณาการออกกฎหมายเฉพาะด้านมลภาวะทางแสงที่มีฟันเขี้ยวในการบังคับใช้ เพื่อให้มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและครอบคลุมทั่วประเทศ

การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเป็นอีกปัจจัยสำคัญ NARIT และ ททท. ควรขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการปรับปรุงระบบแสงสว่างให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาแพ็กเกจการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ที่หลากหลายและน่าสนใจ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเป็นรากฐานสำคัญของการอนุรักษ์ ควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบของมลภาวะทางแสงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และมรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจให้กับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่เหล่านี้มากที่สุด

การบูรณาการกับการวางแผนการใช้ที่ดินและการพัฒนาเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาการรวมข้อกำหนดและมาตรฐานด้านมลภาวะทางแสงเข้ากับแผนการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและชนบท เพื่อป้องกันการเกิดมลภาวะทางแสงใหม่และรักษาคุณภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้สำหรับอนุชนคนรุ่นหลัง

มรดกอันล้ำค่าสำหรับคนไทยทุกคน

การขึ้นทะเบียนสวนแม่ฟ้าหลวงเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดไม่ใช่เพียงความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นความภาคภูมิใจและมรดกอันล้ำค่าที่มอบให้กับธรรมชาติและคนไทยทุกคน ความสำเร็จนี้เป็นสัญลักษณ์ของการที่ประเทศไทยสามารถนำแนวคิดการอนุรักษ์ในมิติใหม่มาปฏิบัติได้จริง และเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคอาเซียนและนานาประเทศ

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมลภาวะทุกรูปแบบกำลังคุกคามวิถีชีวิตของมนุษย์และสรรพสิ่ง การที่เรายังคงสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้เหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยมองเห็น ถือเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างล้ำลึก

สวนแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่สวนสาธารณะหรือแหล่งท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นหน้าต่างสู่จักรวาลที่เปิดให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นห้องเรียนกลางแจ้งที่สอนให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เตือนใจเราให้ตระหนักถึงหน้าที่ในการรักษาและปกป้องความงามของโลกใบนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

การที่เราจะร่วมกันปกป้องความมืดแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืน และแสงแห่งดวงดาวนับล้านดวงให้คงอยู่สำหรับลูกหลานของเราในอนาคต นั่นคือภารกิจสำคัญที่สวนแม่ฟ้าหลวงได้เปิดทางไว้ให้เราทุกคนได้เดินตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์: ข่าวสารและข้อมูลการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): ข้อมูลโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดและเกณฑ์การพิจารณา
  • โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ข้อมูลพื้นฐานและปรัชญาการดำเนินงาน
  • International Dark-Sky Association (IDA): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดประเภทต่างๆ และมาตรฐานสากล
  • เอกสาร “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล: แนวทางปฏิบัติ ประโยชน์ และโอกาสในประเทศไทย”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ แก้ไขวิกฤต PM2.5

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ สู้วิกฤต PM2.5

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมภาคเหนือของประเทศไทยทุกฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน ได้กลายเป็นฝันร้ายที่คุ้นชินของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและสุขภาพของผู้คนนับแสน ได้ผลักดันให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ และในวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ

จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เสียงจากประชาชน

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านจากอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าทุกปีจนทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองในปี 2566 โดยชี้ว่าหน่วยงานนี้ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหา PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือ “ทุกเช้าที่ตื่นมา ลูกผมไอจนแทบหายใจไม่ออก ผมทนเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” นายภูมิเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวันแถลงข่าวหลังการพิจารณาคดี

คดีนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนายภูมิเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของชาวบ้านนับล้านที่ต้องสูดอากาศพิษเข้าไปในปอดทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในช่วงฤดูหมอกควันระหว่างปี 2561-2564 ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังใน 4 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ

การตัดสินใจที่สร้างประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการมลพิษในประเทศไทย โดยสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอนเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักพุ่งสูงเกินมาตรฐานจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ศาลให้เหตุผลว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบถึงปัญหามลพิษ PM2.5 มานาน แต่การดำเนินการที่ผ่านมา เช่น แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ยังไม่เพียงพอที่จะลดระดับมลพิษให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ศาลชี้ว่า การที่หน่วยงานนี้ไม่ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ที่มีปัญหาวิกฤต ถือเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่” ตามที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม ศาลยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนในพื้นที่ จึงกำหนดให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีผลเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาหมอกควันรุนแรงที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของจังหวัดเหล่านี้ในช่วงเวลาอื่นของปี

ผลกระทบของคำตัดสิน ก้าวแรกสู่ท้องฟ้าที่ใสสะอาด

การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะนำมาซึ่งมาตรการที่เข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการจัดการปัญหา PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจำกัดการเผาในที่โล่ง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและยานพาหนะ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิเคราะห์ว่า คำตัดสินนี้จะเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น “การเป็นเขตควบคุมมลพิษจะให้อำนาจแก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เช่น การปรับผู้ที่เผาในที่โล่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมมลพิษ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้คำพิพากษานี้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประชาชน แต่การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระยะยาวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลากหลาย ตั้งแต่การเผาในภาคเกษตรกรรม ไฟป่า ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ประการที่สองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเผาในที่โล่งมักเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดโดยไม่มีการให้ทางเลือกที่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการเศษพืชผลเกษตร อาจสร้างความขัดแย้งและลดความร่วมมือจากชุมชน

สุดท้าย การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันว่ามาตรการต่างๆ จะนำไปสู่การลดมลพิษอย่างยั่งยืน หากในอนาคต ระดับ PM2.5 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถพิจารณาเพิกถอนการประกาศเขตควบคุมมลพิษได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้

จุดเปลี่ยนของการปกป้องสิ่งแวดล้อม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้สิทธิทางกฎหมาย

ในมุมมองของผู้เขียน คำตัดสินนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจนำไปสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดำเนินการตามคำสั่งศาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนจากประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดมลพิษ

สู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ความหวังของคนเหนือ

สำหรับชาวบ้านอย่างนายภูมิและครอบครัว คำตัดสินในวันนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “ผมหวังว่าลูกๆ จะได้หายใจอากาศที่สะอาด และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งจะป่วยเพราะฝุ่นควัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง

เมื่อมองไปข้างหน้า การต่อสู้กับวิกฤต PM2.5 ในภาคเหนืออาจเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก ว่าด้วยพลังของประชาชน ความยุติธรรม และความร่วมมือ เราสามารถเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรงนี้ได้ และคืนท้องฟ้าสีครามให้กับลูกหลานของเราในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศาลปกครองสูงสุด: คำพิพากษาคดีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1 สิงหาคม 2568)
  • พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, และแม่ฮ่องสอน: รายงานสถิติผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 (2561-2564)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (2566-2568)
  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษทางอากาศในภาคเหนือ พ.ศ. 2566-2568, กรมควบคุมมลพิษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

มฟล.ทุ่ม 350 ล้าน สร้าง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ยกระดับเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงปักหมุดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ” ศูนย์การเรียนรู้-ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเชิงบูรณาการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสำคัญมากขึ้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ด้วยโครงการ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งจะเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายให้มีมิติใหม่ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

โครงการแห่งความยิ่งใหญ่นี้สะท้อนถึงปรัชญาหลัก “ปลูกป่า สร้างคน” ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยึดถือมาตั้งแต่ก่อตั้ง พร้อมกับวิสัยทัศน์การเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” และ “มหาวิทยาลัยปลอดคาร์บอนสุทธิ” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะการติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทยและอันดับ 101 ของโลกในปี 2567

การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์กว่า 350 ล้านบาท สู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

โครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติแห่งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยงบประมาณก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 18,500 ตารางเมตร ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

การออกแบบโครงการในรูปแบบ “กลุ่มอาคาร” ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่จะเป็นหัวใจของการจัดแสดงและเก็บรักษาองค์ความรู้ อาคารหอประชุม (Auditorium) สำหรับกิจกรรมสาธารณะและการมีส่วนร่วมของชุมชน และอาคาร Co-Working Space/คาเฟ่ธรรมชาติ ที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และผ่อนคลายให้กับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยว

แนวคิดการออกแบบนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพิพิธภัณฑ์ในยุคปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าสถานที่จัดแสดง แต่ต้องเป็น “พื้นที่มีชีวิต” ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย

เส้นทางสู่ความสำเร็จ จากแผนสู่การปฏิบัติ

การติดตามความคืบหน้าของโครงการแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีระบบและโปร่งใส โดย รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เคยรายงานสถานะของโครงการเมื่อเดือนกันยายน 2565 ว่ากำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการดำเนินงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบและมีระบบ:

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 มหาวิทยาลัยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับค่าควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งแสดงถึงการปรับปรุงและพัฒนาแผนงานให้เหมาะสมที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 มีการประกาศราคากลางสำหรับงานก่อสร้างและระบบสาธารณูปการ โดยใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2566 ได้มีการประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่การก่อสร้างจริง

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าโครงการได้ผ่านขั้นตอนการวางแผน การจัดหาผู้รับเหมา และกำลังก้าวสู่ขั้นตอนการก่อสร้างทางกายภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

ความหมายเชิงลึกเมื่อศิลปะผสานกับธรรมชาติ

สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ การใช้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางสหวิทยาการที่จะนำเสนอธรรมชาติผ่านมุมมองทางศิลปะ และใช้ศิลปะเป็นสื่อในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน (STEAM Education) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมบูรณ์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย

การผสานศิลปะเข้ากับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับระบบนิเวศป่าฝนหรือความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ การจัดแสดงศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ หรือการใช้ศิลปะเป็นสื่อในการสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แตกต่างจาก “อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง” (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ที่มีอยู่แล้วและมุ่งเน้นศิลปะวัฒนธรรมล้านนา โดยพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยและมุ่งเน้นธรรมชาติเป็นหลัก

ผลกระทบหลายมิติการศึกษา การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยว

โครงการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ครอบคลุมหลายภาคส่วน:

ด้านการศึกษาและการวิจัย พิพิธภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการธรรมชาติขนาดใหญ่ สนับสนุนหลักสูตรวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัยโดยตรง นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากตัวอย่างจริง ข้อมูลที่ทันสมัย และเทคโนโลยีการจัดแสดงที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิพิธภัณฑ์จะเป็นเวทีสาธารณะในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดแสดงจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับสภาพแวดล้อม และเห็นแนวทางในการร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

ด้านการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ด้วยชื่อเสียงของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ และการออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย จึงมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

ก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับโลก

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาโลก ที่เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับชุมชน

การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทยปี 2025 ด้านความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติ ตาม Times Higher Education World University Rankings นั้น เป็นสัญญาณที่ดีว่ามหาวิทยาลัยมีศักยภาพในการจัดการโครงการระดับสากล

นอกจากนี้ การที่มหาวิทยาลัยติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทย และอันดับ 101 ของโลก ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนที่แท้จริง ซึ่งจะสะท้อนออกมาในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์

ความท้าทายและโอกาส

แม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการจัดแสดงและดูแลรักษาสิ่งของ การพัฒนาเนื้อหาที่ทันสมัยและน่าสนใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้มีมากมาย ไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับการศึกษาของจังหวัดเชียงราย แต่ยังจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างอัตลักษณ์ของพื้นที่ และการเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ก้าวสู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงไม่เพียงเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของจังหวัดเชียงรายและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในฐานะศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

โครงการนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า สร้างคน” และการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม

เมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในอนาคต คาดว่าจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (www.mfu.ac.th)
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัย Times Higher Education World University Rankings 2025
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียว UI Green Metric World University Rankings 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

“โฮงยาใกล้บ้าน Plus” สู่สุขภาพดี! อบจ.เชียงรายนำร่อง HPV DNA Test ทั่วจังหวัด

อบจ.เชียงราย Kick off! “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” รุกตรวจ HPV DNA Test คัดกรองมะเร็งปากมดลูกสตรีเชียงราย หวังลดอัตราการเสียชีวิต

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – อบจ.เชียงรายขับเคลื่อน “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ต้นแบบสุขภาพชุมชนสตรี ในโลกยุคใหม่ที่ความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการสุขภาพถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ประกาศก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้หญิง ด้วยการเดินหน้าโครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ภายใต้นโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” ผ่านการ Kick off กิจกรรมตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงที่สุดในปัจจุบัน

กิจกรรม Kick off ดังกล่าวจัดขึ้นที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ อบจ.เชียงราย และผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 211 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วทั้งจังหวัด โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมนายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขกล่าวรายงาน ขณะที่หัวหน้าส่วนราชการ อสม. และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. กว่า 10,000 คน เข้าร่วมพิธีอย่างคึกคัก

HPV DNA Test ทางรอดใหม่ของสตรีเชียงราย

มะเร็งปากมดลูกยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของหญิงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 30-59 ปี ที่ยังเข้าถึงการตรวจคัดกรองไม่ทั่วถึง โครงการนี้จึงมุ่งเป้าให้ผู้หญิงในกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองด้วย HPV DNA Test ซึ่งสามารถเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง ช่วยลดอุปสรรคทั้งเรื่องความเขินอาย การเดินทาง และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ นับเป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขชุมชนในเชียงราย

นอกจากนี้ยังมีการอบรมโดยนางอภิษฎา สุวรรณ ศิวเสน นักเทคนิคการแพทย์ชำนาญการ จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่และจิตอาสา อสม. ให้สามารถนำความรู้ไปขยายผลในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ

การเข้าถึง-การป้องกัน-การดูแลต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายตั้งเป้าให้สตรีกลุ่มเป้าหมายทั่วทั้งจังหวัดเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างครอบคลุม ภายใต้แนวคิด “ป้องกันก่อนเกิด ยิ่งเร็วยิ่งรอด” นอกจากตรวจแล้ว ยังเน้นการให้ข้อมูล การดูแลหลังการตรวจคัดกรอง ไปจนถึงการส่งต่อรักษาหากพบความผิดปกติ และที่สำคัญคือ การสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้หญิงไทยทุกคนเห็นความสำคัญของการตรวจและดูแลสุขภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง

โครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ไม่ได้หยุดอยู่แค่กิจกรรมตรวจ แต่ยังขับเคลื่อนสู่การสร้างเครือข่ายสุขภาพท้องถิ่นที่แข็งแรง มี อสม. และ รพ.สต. ทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่ ให้ความรู้ ชวนสตรีร่วมตรวจด้วยความเข้าใจ พร้อมกับสนับสนุนอุปกรณ์และการบริหารจัดการระบบข้อมูลที่แม่นยำและต่อเนื่อง

อบจ.เชียงราย – ผู้นำท้องถิ่นติดอาวุธสุขภาพสตรีไทยด้วยนวัตกรรมและเครือข่าย

การ Kick off ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย HPV DNA Test สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในการยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี ด้วยการวางนโยบายเชิงรุกที่เน้น “ป้องกันก่อนแก้ไข” ซึ่งตอบโจทย์การแก้ปัญหาสุขภาพเชิงระบบของผู้หญิงอย่างแท้จริง

ประเด็นเด่นที่สำคัญ:

  • ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรอง: HPV DNA Test คือมาตรฐานใหม่ของการคัดกรองโรค ช่วยตรวจพบไวรัสสายพันธุ์เสี่ยงก่อมะเร็งในระยะเริ่มต้น
  • สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของสุขภาพ: การให้สตรีสามารถเก็บตัวอย่างเอง ลดอุปสรรคด้านเวลา ความกลัว หรือข้อจำกัดด้านวัฒนธรรม ช่วยให้เข้าถึงมากขึ้น
  • ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายท้องถิ่น: การผนึกกำลังของ อสม. รพ.สต. และผู้เชี่ยวชาญคือรากฐานของความยั่งยืน ไม่ใช่โครงการระยะสั้น
  • เน้นต่อเนื่องทุกขั้นตอน: ไม่หยุดแค่ตรวจ แต่ครอบคลุมถึงการติดตาม ส่งต่อ รักษา และเยียวยาแบบเบ็ดเสร็จ

ความท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ความพร้อมของเชียงรายจะโดดเด่น แต่ความท้าทายคือการเข้าถึงกลุ่มหญิงเปราะบาง เช่น ผู้ด้อยโอกาสหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล การสื่อสารแบบเข้าใจง่ายและเหมาะสมกับแต่ละชุมชน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ-บุคลากร-ระบบสนับสนุน เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

สรุป:

โครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ของอบจ.เชียงราย คือแบบอย่างของการขับเคลื่อนงานสาธารณสุขที่ก้าวทันโลก ใช้เทคโนโลยี สร้างเครือข่าย และใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อลดการสูญเสียและยกระดับสุขภาพผู้หญิงไทยทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย
  • รายงานข่าวภาคสนามและข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด
  • ข้อมูลสถานการณ์และสถิติจากสถาบันวิจัยมะเร็งปากมดลูกแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เชียงราย: อบจ.ระดมพลช่วยประชาชน หลังแม่น้ำอิงล้นตลิ่ง ย้ำหลัก PDOSS เบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง ลุยน้ำท่วม แม่น้ำอิงล้นตลิ่ง มอบความช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ประชาชน สะท้อนการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – ในยามที่สถานการณ์อุทกภัยจากน้ำในแม่น้ำอิงล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรในหลายอำเภอของจังหวัดเชียงรายยังคงน่าเป็นห่วง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือ “นายกฯ นก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ประสบภัยอย่างเร่งด่วนเมื่อเช้าวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เพื่อเยี่ยมเยียน มอบความช่วยเหลือ และรับฟังปัญหาจากประชาชนผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบริหารจัดการสาธารณภัยเชิงรุกที่ยึดหลักการช่วยเหลือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้กรอบแนวคิดการบริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) ของประเทศไทย

ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของการลงพื้นที่ นางอทิตาธร พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย, เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย, สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง, หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ.เชียงราย ได้เข้าตรวจเยี่ยมและประเมินสถานการณ์ใน 3 อำเภอที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่ อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาล และอำเภอเทิง ซึ่งเป็นจุดที่เผชิญกับวิกฤตความเดือดร้อนมากที่สุด

ลงพื้นที่จริง มอบยา-สิ่งของจำเป็น พร้อมรับฟังปัญหาและวางแผนแก้ไขตรงจุด

การลงพื้นที่ของนายกฯ นก และคณะในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านโดยตรงในหลากหลายมิติ ทั้งปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากน้ำท่วมขัง การขาดแคลนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค การเข้าถึงอาหารและยารักษาโรค รวมถึงความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นรายได้หลักของหลายครัวเรือนในพื้นที่ ข้อมูลที่ได้รับจากประชาชนโดยตรงนี้จะถูกนำกลับไปประมวลผลเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ในระหว่างการเยี่ยมเยียน นายกฯ นก ได้มอบยาสามัญประจำบ้านและสิ่งของจำเป็นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาวะวิกฤต “ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านเข้มแข็ง อบจ.เชียงรายจะอยู่เคียงข้างและไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามยากลำบากที่สุด” นายกฯ นก กล่าวให้กำลังใจชาวบ้าน ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเป็นที่พึ่งของประชาชน

เบื้องหลัง “PDOSS” การบริหารจัดการสาธารณภัยแบบบูรณาการของไทย

สถานการณ์อุทกภัยในเชียงรายครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและกลไกการทำงานของระบบการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศไทยที่เน้นการทำงานแบบเบ็ดเสร็จและบูรณาการ หรือที่รู้จักกันในกรอบแนวคิด “PDOSS” (Public Disaster Operation Single System) ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นชื่อหน่วยงานราชการโดยตรง แต่เป็นแนวทางเชิงระบบที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของวงจรภัยพิบัติ ตั้งแต่การป้องกัน การเตรียมความพร้อม การเผชิญเหตุ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

โดยมี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ภายใต้กระทรวงมหาดไทย เป็นศูนย์กลางประสานงานหลักในระดับชาติ ทำงานร่วมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการปฏิบัติการสาธารณภัยในระดับจังหวัด และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่างเช่น อบจ.เชียงราย ที่เป็นแนวหน้าในการป้องกัน เฝ้าระวัง และให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบโดยตรง

สาระสำคัญของ “PDOSS” คือการวางรากฐานทางกฎหมายและนโยบายที่แข็งแกร่ง โดยมี พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายแม่บท และมี แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และ 2564-2570 เป็นเข็มทิศแนวทางในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ยังมีการประยุกต์ใช้หลักปฏิบัติสากลที่สำคัญ เช่น หลักปฏิบัติ 10 ประการเพื่อสร้างเมืองที่ยืดหยุ่น” และ กรอบเซนไดว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติของสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลกมาปรับใช้ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติในทุกระดับ

โครงสร้างการทำงานแบบบูรณาการนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นให้กับชุมชน

ผลลัพธ์และบทเรียนจากวิกฤต มุ่งสู่การฟื้นฟูที่ยั่งยืน

การทำงานของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การนำของนายกฯ นก ในครั้งนี้ เป็นภาพสะท้อนของการ บริหารจัดการเชิงรุก” ในภาวะวิกฤต ที่ไม่ใช่เพียงแค่การแจกจ่ายถุงยังชีพหรือให้กำลังใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการสำคัญในการเก็บข้อมูลปัญหา การวิเคราะห์ และการวางแผนฟื้นฟูอย่างรอบด้าน ซึ่งครอบคลุมถึง:

  • การฟื้นฟูสาธารณูปโภค: ซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • การฟื้นฟูสุขภาพจิต: ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตแก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งหลังเผชิญเหตุการณ์วิกฤต
  • การเร่งเยียวยาเกษตรกร: วางแผนมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตร
  • การลงทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า: รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบ Cell Broadcast และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนภัยได้อย่างแม่นยำและทันเวลา เพื่อลดความสูญเสียในอนาคต

แม้ระบบ PDOSS และแผนรับมือภัยพิบัติของไทยจะได้รับคำชื่นชมในเวทีสากล โดยมีตัวอย่างที่โดดเด่นจากการรับมือเหตุการณ์สึนามิปี 2547 และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสื่อสารและประเมินความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • ประสิทธิภาพของการฟื้นฟูในระยะยาว: การฟื้นฟูที่ซับซ้อนและใช้ระยะเวลานานยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการสนับสนุนทรัพยากรและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  • การเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่น: การลงทุนในการสร้างความรู้และทักษะให้กับชุมชนในการเฝ้าระวังและรับมือภัยพิบัติด้วยตนเอง
  • การสร้างฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน: การจัดเก็บข้อมูลภัยพิบัติและการประเมินความเสียหายอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน เพื่อเป็นข้อมูลที่แม่นยำในการวางแผนเยียวยาและฟื้นฟู รวมถึงรองรับภัยพิบัติรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ข้อเสนอแนะและทิศทางในอนาคตสร้าง “ชุมชนเข้มแข็ง เมืองปลอดภัย”

เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสาธารณภัยในระยะยาว ควรพิจารณาข้อเสนอแนะและกำหนดทิศทางในอนาคตดังนี้:

  • การมีส่วนร่วมของชุมชนที่เข้มแข็ง: เนื่องจากภัยพิบัติมีความซับซ้อนมากขึ้น การใช้พลังของชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครจะเข้ามาช่วยลดช่องว่างของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย การให้ความรู้ และการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
  • การสร้างมาตรฐานฐานข้อมูลที่เป็นระบบ: การลงทุนในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประเมินความเสียหายและความต้องการของประชาชนหลังภัยพิบัติอย่างเป็นระบบและสามารถบูรณาการข้อมูลได้ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนเยียวยาและฟื้นฟูได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
  • การพัฒนาและขยายการใช้เทคโนโลยีเตือนภัย: ควรมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องและขยายการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบเตือนภัย Cell Broadcast และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนภัยได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  • การเสริมสร้างศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: การจัดสรรงบประมาณและการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน และเป็นแกนหลักในการสร้างความยืดหยุ่นในระดับชุมชน

การลงพื้นที่ของนายกฯ นกและทีม อบจ.เชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการสาธารณภัยที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของท้องถิ่นไทยในการสร้าง ชุมชนเข้มแข็ง เมืองปลอดภัย” ที่ไม่ว่าจะเผชิญวิกฤตครั้งใด ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ด้วยหัวใจแห่งการแบ่งปันและความร่วมมือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย: ข้อมูลการลงพื้นที่และแนวทางการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย: ข้อมูลเกี่ยวกับกรอบ PDOSS, บทบาทหน้าที่, และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
  • แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570: เอกสารนโยบายหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย
  • รายงานสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย: ข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่
  • กรอบเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สหประชาชาติ (Sendai Framework for Disaster Risk Reduction): กรอบแนวคิดและหลักปฏิบัติสากลที่ประเทศไทยนำมาประยุกต์ใช้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สวนนงนุชพัทยาสร้างประวัติศาสตร์โลก เพาะมะพร้าวทะเลผลแฝดสำเร็จ มูลค่าทะลุล้าน!

สวนนงนุชพัทยา สร้างประวัติศาสตร์โลก เพาะ “มะพร้าวทะเล” ผลแฝดสำเร็จ มูลค่าทะลุล้าน สะท้อนภารกิจอนุรักษ์พืชหายากระดับสากล

ชลบุรี, 21 กรกฎาคม 2568 – เมื่อแสงแรกของวันที่ 17 กรกฎาคม ส่องผ่านใบปาล์มใหญ่ในบริเวณสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนแห่งนี้ ยืนเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การอนุรักษ์พืชหายากของโลก ในมือเขาถือเครื่องมือสำหรับการปลอกเปลือกที่ละเอียดอ่อน เพื่อเปิดเผยความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในผล “มะพร้าวทะเล” อันล้ำค่า

สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการเก็บเกี่ยวผลผลิตธรรมดา แต่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการพฤกษศาสตร์โลก เมื่อทีมผู้เชี่ยวชาญดำเนินการปลอกเปลือกมะพร้าวทะเลจำนวน 9 ลูกอย่างพิถีพิถัน พวกเขาได้พบกับสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในธรรมชาติ – เมล็ดแฝดจากผลหนึ่งในจำนวนนั้น ทำให้ได้เมล็ดพันธุ์รวมทั้งสิ้น 10 เมล็ด แทนที่จะได้เพียง 9 เมล็ดตามธรรมชาติ

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เมื่อเมล็ดมะพร้าวทะเลแต่ละเมล็ดมีมูลค่าสูงถึงกว่า 100,000 บาท การได้เมล็ดเพิ่มจากเมล็ดแฝดทำให้มูลค่ารวมของการเก็บเมล็ดในครั้งนี้พุ่งทะลุ 1 ล้านบาท กลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การอนุรักษ์พืชหายากของประเทศไทย

จากความฝันสู่ความจริงเส้นทางแห่งการอนุรักษ์ที่ยาวนาน

เรื่องราวของความสำเร็จครั้งนี้เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์อันยาวไกลของสวนนงนุชพัทยา ในฐานะสวนพฤกษศาสตร์ระดับนานาชาติที่ได้รวบรวมพันธุ์ไม้จากทั่วโลกมากกว่า 18,000 ชนิด สวนแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “มะพร้าวทะเล” หรือ “มะพร้าวแฝด” (Lodoicea maldivica) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นปาล์มพันธุ์พิเศษที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

มะพร้าวทะเลมีถิ่นกำเนิดเฉพาะบนหมู่เกาะเซเชลส์ในมหาสมุทรอินเดีย และได้รับการบันทึกในกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดว่าเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเมล็ดที่สามารถมีน้ำหนักได้มากถึง 30 กิโลกรัม และผลที่สามารถหนักได้ถึง 42 กิโลกรัม ทำให้มันเป็นผลไม้ที่หนักที่สุดและใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการอนุรักษ์มะพร้าวทะเลคือวงจรชีวิตที่ช้าเป็นพิเศษ โดยธรรมชาติแล้ว พืชชนิดนี้ต้องใช้เวลานานถึง 60 ปี จึงจะเริ่มออกผล และต้องรออีก 7 ปี ให้ผลสุกเต็มที่ ก่อนเพาะต่ออีก 2 ปี จึงจะเห็นต้นอ่อน หากนับรวมแล้ว การได้เห็นต้นมะพร้าวทะเลแต่ละต้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตของมนุษย์

นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก ย่นเวลาจากธรรมชาติลงครึ่ง

แต่ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญและการดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมงานสวนนงนุชพัทยา ภายใต้การนำของนายกัมพล ตันสัจจา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเป็นไปได้ พวกเขาสามารถเร่งวงจรชีวิตของมะพร้าวทะเลให้ออกผลได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 ปี ซึ่งเป็นการย่นระยะเวลาจากธรรมชาติลงได้มากกว่าครึ่ง

“สิ่งที่เราทำได้วันนี้ ไม่ใช่แค่การเก็บเกี่ยวผล แต่เป็นการพิสูจน์ว่าประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์พืชหายากระดับโลกได้” นายกัมพลกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “การที่เราพบเมล็ดแฝดในครั้งนี้ ถือเป็น ‘ปรากฏการณ์อันน่าทึ่ง’ ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการดูแลและฟื้นฟูพันธุ์พืชหายากอย่างแท้จริง”

ปัจจุบันสวนนงนุชพัทยาสามารถขยายพันธุ์มะพร้าวทะเลรวมทั้งต้นกล้าได้แล้วกว่า 229 ต้น ตอกย้ำถึงความสำเร็จและก้าวยิ่งใหญ่ของวงการพฤกษศาสตร์ไทยที่ก้าวสู่เวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ

อัญมณีแห่งเซเชลส์ ความมหัศจรรย์ทางชีวภาพที่ต้องอนุรักษ์

เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ “อัญมณีแห่งเซเชลส์” อย่างใกล้ชิด มะพร้าวทะเล หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lodoicea maldivica เป็นปาล์มสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะบนเกาะปราสลินและเกาะคูริเยอส์ในหมู่เกาะเซเชลส์เท่านั้น

ความโดดเด่นของปาล์มชนิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความหายาก แต่ยังรวมถึงรูปทรงที่แปลกตาและมักถูกมองว่าคล้ายมนุษย์ โดยเฉพาะด้านหนึ่งที่คล้ายบั้นท้ายของผู้หญิง ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชื่อทางพฤกษศาสตร์โบราณว่า Lodoicea callipyge ซึ่งหมายถึง “บั้นท้ายที่สวยงาม”

ลักษณะเฉพาะที่น่าทึ่งประการหนึ่งคือกลไก “การดูแลจากพ่อแม่” (parental care mechanism) โดยใบขนาดใหญ่รูปกรวยของปาล์มจะทำหน้าที่ดักจับน้ำฝนและของเสียอินทรีย์ต่างๆ นำพาทรัพยากรเหล่านี้ลงสู่ฐานของลำต้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อุดมด้วยสารอาหาร ซึ่งช่วยรับประกันการเจริญเติบโตของลูกปาล์ม

บทบาทในระบบนิเวศ มากกว่าความสวยงาม

มะพร้าวทะเลไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมหัศจรรย์ทางพฤกษศาสตร์ แต่ยังเป็นชนิดพันธุ์หลัก (keystone species) ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศบนเกาะเซเชลส์ ป่าปาล์มที่เป็นเอกลักษณ์ของมะพร้าวทะเลเป็นที่อยู่อาศัยและสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพของสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่อุดมสมบูรณ์

นกหายากอย่างนกแก้วดำเซเชลส์และนกปรอดเซเชลส์ใช้ป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัย ขณะที่สัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งจก Phelsuma sundbergi กินละอองเกสรของปาล์มมะพร้าวทะเลเป็นอาหารหลัก รวมถึงหอยทากเฉพาะถิ่นอย่างหอยทากมะพร้าวทะเล (Stylodonta studeriana) การอนุรักษ์มะพร้าวทะเลจึงไม่ใช่เพียงการรักษาชนิดพันธุ์เดียว แต่เป็นการปกป้องระบบนิเวศบนเกาะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งระบบ

เส้นทางประวัติศาสตร์ จากตำนานสู่การอนุรักษ์

ในอดีต มะพร้าวทะเลถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับและตำนานเล่าขาน การค้นพบเมล็ดของมันลอยไปติดชายฝั่งห่างไกลทำให้เกิดความเชื่อว่ามันเติบโตบนต้นไม้ใต้น้ำใน “ป่าที่ก้นมหาสมุทรอินเดีย” รูปทรงที่แปลกประหลาดของมันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดตำนานต่างๆ รวมถึงความเชื่อว่าต้นไม้เพศผู้และเพศเมีย “ร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนในคืนพายุ”

นายพลชาร์ลส์ จอร์จ กอร์ดอน เคยเชื่อว่าวัลเล เดอ แม ในเซเชลส์คือ “สวนเอเดนดั้งเดิม” และมะพร้าวทะเลคือ “ผลไม้ต้องห้าม” ในอดีต เมล็ดของมะพร้าวทะเลมีค่าสูงมากในฐานะของหายากและมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ จนปรากฏในราชสำนักทั่วเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของมันถูกเปิดเผยในปี 1768 ความต้องการที่จะแสวงหาผลประโยชน์อย่างรวดเร็วได้นำไปสู่การเก็บเกี่ยวมากเกินไปและการทำลายป่าอย่างมหาศาล ทำให้มูลค่าของเมล็ดลดลงอย่างรวดเร็ว

ความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ จากเซเชลส์สู่ไทย

เซเชลส์มีความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์มะพร้าวทะเลมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยรัฐบาลเซเชลส์ได้ซื้อฟง เฟอร์ดินานด์ (Fond Ferdinand) ซึ่งเป็นเขตรักษาพันธุ์ขนาด 122 เฮกตาร์ในปี 1895 เพื่อปกป้องประชากรปาล์มมะพร้าวทะเล และในปี 1979 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาการจัดการมะพร้าวทะเล เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายเพิ่มเติม

ปัจจุบันมะพร้าวทะเลได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายการอนุรักษ์ระดับชาติที่เข้มงวด และถูกจัดอยู่ในสถานะ “เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์” (Vulnerable) โดยสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) มูลนิธิหมู่เกาะเซเชลส์ (SIF) มีบทบาทสำคัญในการจัดการถิ่นที่อยู่สำคัญของมะพร้าวทะเล รวมถึงวัลเล เดอ แม (Vallée de Mai) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก

ผลกระทบต่ออนาคต บทเรียนและความหวัง

ความสำเร็จของสวนนงนุชพัทยาในการขยายพันธุ์มะพร้าวทะเล รวมถึงการค้นพบเมล็ดแฝดในครั้งนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าอย่างยิ่งในการอนุรักษ์นอกถิ่นกำเนิด (ex-situ conservation) และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับโลกในการปกป้องและฟื้นฟูพันธุ์พืชหายาก

การที่สวนนงนุชพัทยาสามารถย่นระยะเวลาการออกผลของมะพร้าวทะเลจากธรรมชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์และการจัดการที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างความมั่นคงทางชีวภาพให้กับพืชพรรณที่เปราะบาง

ความสำเร็จครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนลogy การอนุรักษ์พืชหายากกับนานาชาติ โดยเฉพาะกับเซเชลส์และประเทศอื่นๆ ที่มีความท้าทายคล้ายกัน

ความยั่งยืน

เพื่อสานต่อความสำเร็จและยกระดับการอนุรักษ์พันธุ์พืชหายากให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะแนวทางดังนี้

การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: สวนพฤกษศาสตร์และสถาบันวิจัยในประเทศไทยควรได้รับการสนับสนุนให้ทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีววิทยาการสืบพันธุ์ของมะพร้าวทะเลและพืชหายากอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายพันธุ์และการอนุรักษ์

การแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติ: ควรส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และข้อมูลองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พืชหายากระหว่างประเทศไทยกับเซเชลส์และประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง

การให้ความรู้แก่สาธารณะ: ควรมีการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของมะพร้าวทะเลและพืชหายากอื่นๆ ให้กับสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักและปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การสนับสนุนแหล่งทุน: ภาครัฐและเอกชนควรพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรเพิ่มเติมให้กับโครงการอนุรักษ์พืชหายาก เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

มรดกสำหรับอนาคต

เมื่อแสงแดดยามบ่ายส่องลงมาบนใบปาล์มมะพร้าวทะเลที่สวนนงนุชพัทยา เมล็ดแฝดที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเพาะงอกที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างคุณค่าทางวิชาการและบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้ร่วมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของโลก

มะพร้าวทะเลที่เติบโตในสวนนงนุชพัทยาวันนี้ อาจเป็นความหวังสำคัญในการรักษาสายพันธุ์หายากนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ที่มาพร้อมกับความรู้และความมุ่งมั่น สามารถสร้างความมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนโลกได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การให้สัมภาษณ์ของ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา (วันที่ 17 กรกฎาคม 2568)
  • กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records): การบันทึกมะพร้าวทะเลเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ที่สุดในโลก
  • Seychelles Tourist Office: “The Mysterious Coco de Mer – The Jewel of Seychelles”
  • สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN): สถานะการอนุรักษ์ Lodoicea maldivica
  • มูลนิธิหมู่เกาะเซเชลส์ (Seychelles Islands Foundation): ข้อมูลการอนุรักษ์และจัดการถิ่นที่อยู่ของมะพร้าวทะเล
  • องค์การยูเนสโก (UNESCO): ข้อมูลแหล่งมรดกโลก วัลเล เดอ แม (Vallée de Mai)
  • สวนนงนุชพัทยา: เอกสารและข้อมูลประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำเร็จในการขยายพันธุ์พืชและบทบาทในฐานะสวนพฤกษศาสตร์นานาชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

Soft Power สุขภาพนำร่อง! เชียงรายเปิด “Wellness City” ตอบรับเมกะเทรนด์โลก

เชียงรายกับ Soft Power ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสุขภาพสู่ระดับโลก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  – เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้วยพลังอ่อน (Soft Power) การที่จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “เมืองท่องเที่ยว” สู่ “เมืองแห่งสุขภาพ” (Wellness City) อาจเป็นบทตอบของความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ผลสำรวจจากสถาบันศิโรจน์ผลพันธินร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ได้ส่องแสงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไทยพึงมีในการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย” ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 58.24% ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านทั้งแบบสำรวจออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งผลที่ได้มิเพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้ทิศทางการพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย

จากฝันสู่ความเป็นจริงของ Wellness City

ในขณะที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพบนระดับชาติ เชียงรายกลับเป็นจังหวัดที่กำลังนำเครื่องในทางปฏิบัติ ด้วยการเปิดตัว “Chiang Rai Wellness City 2025” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้นำทัพในการขับเคลื่อนโครงการครั้งสำคัญนี้

“เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025 (Chiang Rai Wellness city bolet)” ไม่ใช่เพียงแค่สโลแกนหรือแนวคิดเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่มีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Trail) ที่ครอบคลุม 2 เส้นทางหลัก โดยเส้นทางที่ 2 จะผ่าน “น้ำพุร้อนป่าตึง – ร้านชอบ บราสเซอรี่ เชียงราย – ชุมชนโป่งแดง – น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 200 คน

ความพิเศษของเชียงรายในฐานะ Wellness City ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หากแต่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาแนวคิดสมัยใหม่เข้าด้วยกัน “เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้าน Wellness หรือสุขภาวะเพียบพร้อมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ” ตามที่นักวิชาการชี้ให้เห็น

เมื่อ Soft Power พบกับธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้าน

หากมองในมุมของการตลาดโลก ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2562 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดโลกด้านนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2025 การเติบโตนี้มาจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพ และความตื่นตัวเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยกว่า 45.39% หันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ในตลาดภายในประเทศ ความต้องการด้านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยุทธศาสตร์ Soft Power จากท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ผลสำรวจครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลก โดยอันดับ 1 คือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก” ด้วยสัดส่วน 70.78% ตามมาด้วย “การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์” 68.12% และ “การใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก” 57.64%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งหลักที่ประชาชนไทยมองว่าสามารถนำไปใช้เป็น Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมองในมุมของศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจสุखภาพกลับกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและความต้องการของตลาด

เชียงรายในฐานะพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ Soft Power มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้แยกทั้งสองเรื่องออกจากกัน แต่เชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

บทบาทมหาวิทยาลัยและนักศึกษาขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน Soft Power ซึ่งประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยควร “เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power” 61.08% “เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย” 59.40% และ “เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย” 51.24%

สำหรับนักศึกษา ประชาชนเห็นว่าควร “เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ” 64.18% “มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย” 62.50% และ “เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก” 58.33%

ในบริบทของเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่มีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรที่สามารถรองรับการเป็น Wellness City “นักศึกษาเป็นผู้มีทักษะ มีความสามารถในศาสตร์ของตัวเองเป็นอย่างดี พัฒนาต่อยอดได้ สู่การเป็นมืออาชีพ” ตามปณิธานของสถาบัน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าภาพรวมจะดูในแง่บวก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่มีอยู่ เมื่อถามถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบระดับนานาชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ 43.97% เห็นว่า “มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม” ขณะที่ 29.08% เห็นว่า “มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ประชาชนอยากเห็น “หลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ” 65.72% “การร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power” 56.66% และ “การผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” 54.53%

สำหรับเชียงราย การเป็น Wellness City ที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับมาตรฐานสากล การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสุขภาวะในระยะยาว

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

การที่เชียงรายเลือกใช้ Soft Power ในรูปแบบของ Wellness City นั้น มีทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

จุดแข็งหลักอยู่ที่การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ และตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นประตูสู่อาเซียน ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างมาตรฐานการบริการที่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดนานาชาติ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

หากดูจากแนวโน้มตลาดโลก การเติบโตของธุรกิจ Wellness Tech ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เชียงรายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ

การสำรวจของสถาบันศิโรจน์ผลพันธินและสวนดุสิตโพลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางที่เชียงรายกำลังดำเนินการอยู่นั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสังคม

ความสำเร็จของ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ” จะไม่ได้วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเรื่องของ Hard Power เท่านั้น แต่รวมถึง Soft Power ที่สามารถสร้างอิทธิพลและดึงดูดใจได้ การที่เชียงรายเลือกใช้ธุรกิจสุขภaวะเป็นจุดยืน อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำ Soft Power ของไทยไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

เส้นทางสู่การเป็น Wellness City ที่แท้จริงยังมีอีกยาวไกล แต่เมื่อมองจากความพยายามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทำให้เชื่อได้ว่าเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นแบบอย่างของการใช้ Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ระดับสากลได้อย่างแท้จริง

สรุปผลได้ สำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power”

“สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชน ทั่วประเทศ เรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนคิดว่าประเทศไทยควรใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลกได้อย่างไร

  • อันดับ 1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก 70.78%
  • อันดับ 2 ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ 68.12%
  • อันดับ 3 ใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก 57.64%

2. Soft Power เรื่องใดที่ประชาชนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต


  • อันดับ 1 ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย 58.24%
  • อันดับ 2.ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์.55.85%
  • อันดับ 3 ศิลปิน-นักออกแบบร่วมสมัย และอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟ.53.63%

3.ประชาชนคิดว่า “มหาวิทยาลัยไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการพัฒนา Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power 61.08%
  • อันดับ 2 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย 59.40%
  • อันดับ 3 เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย 51.24%

4. ประชาชนคิดว่า “นักศึกษาไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ 64.18%
  • อันดับ 2 มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย 62.50%
  • อันดับ 3.เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก 58.33%


5. ประชาชนคิดว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบในระดับนานาชาติหรือไม่

  • อันดับ 1 มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม 43.97%
  • อันดับ 2 มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 29.08%
  • อันดับ 3 ศักยภาพยังไม่เพียงพอ ควรเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ 20.66%
    อันดับ 4 ยังไม่สามารถประเมินได้ 6.29%

6. ประชาชนอยากเห็นความร่วมมือด้านใดมากที่สุดระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศในการพัฒนา Soft Power

  • อันดับ 1 มีหลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ 65.72%
  • อันดับ 2 ร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power 56.66%
  • อันดับ 3 ผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 54.53%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน และสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ผลสำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, โครงการ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025”
  • ThaiPublica, บทความ “พัฒนาเชียงรายให้เป็น Wellness City แห่งแรกของไทย”
  • Nakorn Chiang Rai News, “ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก!”
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News