Categories
ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก พบ “สารตะกั่วเกินมาตรฐาน” 18 หมู่บ้าน กปภ. ทุ่ม 2 พันล้านย้ายแหล่งน้ำดิบ

น้ำกกปนเปื้อนตะกั่ว” ลุกลาม 18 หมู่บ้าน กปภ.ทุ่ม 2 พันล้านย้ายแหล่งน้ำดิบ—ตั้งคำถามย้ายไปใช้น้ำโขง ปลอดภัยจริงหรือไม่? จังหวัดเร่งวางแผนสำรอง–ชุมชนท่องเที่ยวต้นน้ำขาดทุนทะลุล้าน

เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — วิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกขยับจาก “สัญญาณเตือน” สู่ “ภาวะต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด” เมื่อ ผลตรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการพบ สารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน ใน ประปาหมู่บ้าน 18 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอเมือง เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน ขณะที่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ประกาศแผนแก้ปัญหาระยะยาว วงเงินรวมกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อ “ย้ายแหล่งน้ำดิบ” ออกจากพื้นที่เสี่ยง โดยโครงการหลักแบ่งเป็น สายแม่สาย (ย้ายไปใช้น้ำดิบจากแม่น้ำโขง ผลิตน้ำที่ อ.เชียงแสน งบประมาณ 916 ล้านบาท คาดเสร็จปี 2570) และ สายเชียงราย (เปลี่ยนไปใช้น้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว งบประมาณที่เตรียมเสนอ 1,000 ล้านบาท ในปีงบฯ 2571)

อย่างไรก็ดี การตัดสินใจ “ย้ายไปใช้น้ำโขง” จุดกระแสคำถามตามมา เนื่องจาก ข้อมูลคุณภาพน้ำบางช่วงจากกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เคยชี้ถึงการพบ โลหะหนักเกินมาตรฐาน บางตัวในแม่น้ำโขง “ต่อเนื่องในบางช่วงเวลา” ส่งผลให้ภาคประชาชน–ผู้ประกอบการ–ชุมชนริมโขงกังวลว่า การเปลี่ยนแหล่งน้ำ อาจ “ย้ายปัญหา” มากกว่าจะ “ยุติปัญหา” ทว่า ฝ่ายจังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้ำว่า มีแผนสำรอง โดยเตรียม ต่อท่อสู่น้ำดิบจากแม่น้ำคำ ซึ่ง กรมชลประทาน ได้งบประมาณก่อสร้าง อ่างเก็บน้ำใหม่ แล้ว และเมื่อโครงการของ กปภ. เชื่อมต่อน้ำดิบจากแหล่งใหม่เสร็จ จะสามารถ ขยายพื้นที่บริการ ให้ครอบคลุมชุมชนตามแนวท่อส่งน้ำได้ทันที

ข้อมูลทางสถิติและคุณภาพน้ำ

  • ผลการตรวจพบสารตะกั่วเกินมาตรฐาน: 18 หมู่บ้าน (ตุลาคม 2568)
  • แนวโน้มการเพิ่มขึ้น: มิถุนายน 2568 = 4 หมู่บ้าน → กรกฎาคม 2568 = 6 หมู่บ้าน → ตุลาคม 2568 = 18 หมู่บ้าน
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ (ผู้ประกอบการ 10 ราย): สูญเสีย 1,006,090 บาท (ปี 2568)
  • จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดในช่วงสงกรานต์: 12,000 คนต่อวัน
  • งบประมาณโครงการแก้ไข: 2,000 ล้านบาท (2 โครงการ)

 

ชีวิตที่ถูกคร่าด้วยสารตะกั่ว วิกฤตน้ำประปา 18 หมู่บ้านเชียงราย ต้นเหตุปัญหาและการเปิดเผยครั้งแรก

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 สถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้ถูกแสงสว่างเปิดเผยต่อสาธารณชน หลังจากนายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อมูลผลการตรวจน้ำประปาหมู่บ้านริมแม่น้ำกกที่ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ผลการตรวจพบว่าน้ำประปา 18 หมู่บ้านมีสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่กลายเป็นระเนาะระนาดในวงการสาธารณะ

ความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย สารตะกั่วที่ปะปนอยู่ในน้ำที่ผู้คนใช้ในกิจกรรมประจำวันของพวกเขา เช่น การแปรงฟัน ล้างหน้า และล้างอาหาร ถือเป็นภัยอนัตรายต่อระบบประสาท ระบบหลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของรางกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ ที่ความเสี่ยงต่อการสะสมสารตะกั่วในร่างกายจะสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่

หมู่บ้านที่ประสบปัญหาครอบคลุมเขตพื้นที่กว้างใหญ่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย รวมถึง หมู่ 2, 3, 4 ตำบลแม่ยาว และหมู่ 3, 4 ตำบลดอยฮาง ในอำเภอเมือง ตลอดจนหมู่บ้านในตำบลรอบเวียง ตำบลเวียงเหนือ ตำบลดงมหาวัน ตำบลท่าข้าวเปลือก ตำบลหนองป่าก่อ และตำบลศรีดอนมูล ที่ท่ืดเดินเข้าไปในอำเภออื่นๆ เช่น เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง แม่จัน ดอยหลวง และเชียงแสน

ความร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นทีละเดือน สัญญาณเตือนที่ไม่ได้ยินสะท้อน

สิ่งที่น่าวิตกกังวลยิ่งกว่านั้น คือการที่จำนวนหมู่บ้านที่พบปัญหาสารตะกั่วเกินมาตรฐานไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ในเดือนมิถุนายน 2568 มีเพียง 4 หมู่บ้านที่มีค่าสารตะกั่วเกินมาตรฐาน แต่ถึงเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน ตัวเลขนี้ได้ทวีเท่าตัวเป็น 6 หมู่บ้าน และเมื่อถึงเดือนตุลาคม จำนวนนี้ได้พุ่งขึ้นไปถึง 18 หมู่บ้าน

แนวโน้มการเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปของปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความลึกซึ้งของสถานการณ์ที่มีอยู่ภายใต้พื้นผิว มันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่เป็นปัญหาที่ค่อยๆ ก้าวหน้าไปโดยระบบสาธารณสุขและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะกำลังสวมหน้ากากว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”

นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ โจมตีการไม่ทำหน้าที่ของภาครัฐว่า “รัฐมนตรีและหลายหน่วยงาน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำกกไม่ปนเปื้อนและสารหนูต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว ตรวจไม่พบสารหนูแล้ว โดยคำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่ใส่ใจในปัญหาอย่างชัดเจน” เขาเน้นว่าประชาชนในพื้นที่กำลังใช้น้ำเป็นพิษในการแปรงฟัน ล้างหน้า ล้างผัก ล้างอาหารและภาชนะที่จะใช้รับประทาน โดยที่ภาครัฐไม่ทำอะไรเลย ทั้งๆ ที่ผลตรวจก็กองวางอยู่ตรงหน้า

แผนแก้ไขระยะยาวของ กปภ. ทุ่ม 2 พันล้านบาท ย้ายแหล่งน้ำดิบ

การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้ตอบสนองต่อวิกฤตการณ์นี้ด้วยแผนการแก้ไขปัญหาอย่างกว้างขวาง โดยนายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการ กปภ. เปิดเผยว่า องค์กรได้วางแผนลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในสองโครงการหลักเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำดิบปนเปื้อนในระยะยาว

โครงการที่หนึ่ง กปภ. สาขาแม่สาย

กปภ. สาขาแม่สายได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างสถานีผลิตน้ำประปาแห่งใหม่ที่อำเภอเชียงแสน ด้วยงบประมาณลงทุน 916.094 ล้านบาท โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก โดยการเปลี่ยนมาใช้น้ำดิบจากแม่น้ำโขงแทน ปัจจุบัน สถานีผลิตน้ำแห่งใหม่นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 (พ.ศ. 2570) และจะส่งน้ำประปาไปยังอำเภอแม่จัน อำเภอห้วยไคร้ และอำเภอแม่สาย ซึ่งจะสามารถให้บริการประชาชนได้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันและรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต

โครงการที่สอง กปภ. สาขาเชียงราย

สำหรับ กปภ. สาขาเชียงราย ซึ่งปัจจุบันใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกก องค์กรได้ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้แหล่งน้ำใหม่เพื่อลดความเสี่ยง โดยการประสานกับกรมชลประทานเพื่อขอใช้น้ำจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ที่ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ลาว โครงการนี้จะมีการก่อสร้างสถานีผลิตน้ำแห่งใหม่เพื่อส่งน้ำประปามายังตัวเมืองเชียงราย และคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุมัติจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล โดยคาดหวังว่าจะเสนองบประมาณในปีงบประมาณ 2571

ข้อกังวลใหม่ แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่แท้จริงหรือ?

อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ไขของ กปภ. กลับเพิ่งเกิดวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย เพราะผลการตรวจคุณภาพน้ำของกรมควบคุมมลพิษและคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ได้พบว่าแม่น้ำโขง ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งน้ำดิบใหม่ของ กปภ. นั้น ก็มีสารโลหะหนักปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง

ความขัดแย้งนี้เปิดเผยให้เห็นถึงปัญหาที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า มลพิษในแม่น้ำกดมิใช่เพียงปัญหาในท้องถิ่น แต่เป็นอาการของวิกฤตน้ำในวงกว้างที่ขยายทั่วพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ปัญหาการปนเปื้อนของสารโลหะหนักเกินมาตรฐานในแม่น้ำโขงนั้นมีพื้นฐานมาจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นจากเหมืองในประเทศพม่า ที่อยู่เหนือขึ้นไปในแม่น้ำโขง หรือจากกิจกรรมอื่นๆ ในลุ่มแม่น้ำ

แผนสำรองและแนวทางการป้องกันของจังหวัด

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เข้ามาชี้แจงเรื่องการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงว่า กปภ. ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว โดยจะมีการต่อท่อไปยังแหล่งน้ำดิบในแม่น้ำคำ ซึ่งกรมชลประทานได้รับการอนุมัติงบประมาณสำหรับสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งใหม่แล้ว แม้ว่ากำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการนี้ยังไม่ชัดเจน

สำหรับปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วในน้ำประปาชุมชน (นอกพื้นที่บริการของ กปภ.) รองผู้ว่าราชการกล่าวว่าได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเข้าตรวจและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำทุกเดือน และจะเข้าไปดูแลแก้ไขทันที นอกจากนี้ เมื่อโครงการเชื่อมต่อน้ำดิบจากแหล่งใหม่ของ กปภ. แล้วเสร็จ จะสามารถขยายพื้นที่บริการไปยังชุมชนต่างๆ ตามแนวท่อส่งน้ำได้ทันที

นายจักรพงษ์ ผู้ว่าการ กปภ. ยืนยันว่าแม้ว่าน้ำดิบจะมีสารปนเปื้อน แต่ กปภ. สามารถผลิตน้ำประปาและควบคุมคุณภาพน้ำเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ โดยได้นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการกำจัดสารปนเปื้อนและปรับปรุงคุณภาพน้ำ พร้อมทั้งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ

วิกฤตเศรษฐกิจขนานไป ชุมชนท่าตอนพังยับ

นอกเหนือจากความเสี่ยงต่อสุขภาพ วิกฤตการณ์แม่น้ำกกได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงต่อชุมชนท้องถิ่นอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบ้านแก่งทรายมูล ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เคยเป็นตัวจุดโฟกัสของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ข้อมูลจากการสำรวจของมูลนิธิร่มโพธิ์ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยถึงระดับความเสียหายที่แท้จริง ในปี 2567 ผู้ประกอบการ 10 ราย ในชุมชนบ้านแก่งทรายมูล มีจำนวนซุ้มอาหารรวม 214 ซุ้ม ทำให้เกิดรายได้รวม 2,902,450 บาท หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (ค่าจ้างทำซุ้ม วัสดุอุปกรณ์ พนักงาน แม่ครัว ค่าเช่าสถานที่ ค่าซื้อของเข้าร้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) จำนวน 2,109,432 บาท พวกเขายังคงมีกำไรถึง 947,000 บาท

แต่สถานการณ์พลิกแพลงอย่างมหาวิบัติเมื่อวิกฤตการณ์ปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกิดขึ้น ในปี 2568 จำนวนซุ้มลดลงเหลือเพียง 170 ซุ้ม ต้นทุนรวมยังคงอยู่ที่ 1,120,090 บาท แต่รายได้จากการขายของลดลงโหรดน้อยเหลือแค่ 114,000 บาท ผลสุดท้าย ผู้ประกอบการเหล่านี้ประสบภาวะขาดทุนถึง 1,006,090 บาท ในปีเดียว

ตัวเลขนี้ยังเป็นเพียงตัวอย่างจากผู้ประกอบการ 10 รายในจุดเดียวเท่านั้น ถ้าคำนวณรวมทั้งพื้นที่อำเภอแม่อายที่มีจุดทำซุ้มอาหารเกือบ 4 จุด มีผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 150 ราย มูลค่าความเสียหายที่รวบรวมได้นี้คิดเป็นเพียงร้อยละ 7 ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมดในอำเภอแม่อาย สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าความเสียหายจริงนั้นสูงกว่าตัวเลขอย่างมาก

ทำลายห่วงโซ่เศรษฐกิจที่สร้างมาหลายสิบปี

บ้านแก่งทรายมูล เคยเป็นสถานที่ที่หลั่งไหลไปด้วยชีวิต โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาล เพราะเสน่ห์ของธรรมชาติลำน้ำกกที่ร่มรื่นสวยงาม แง่งหิน และน้ำใสไหลเย็น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ แม่น้ำกกจะกลายเป็นแหล่งรวมตัวของมนุษย์จากหลายพื้นที่ เคยมีนักท่องเที่ยวสูงสุดถึง 12,000 คนต่อวัน

ห่วงโซ่เศรษฐกิจของชุมชนที่สร้างขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 2510 ครอบคลุมผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการร้านอาหารและซุ้มอาหาร แต่ยังรวมถึงผู้ขายวัสดุทำซุ้ม แรงงาน พนักงานเสิร์ฟ แม่ครัว ผู้ค้าเล็กน้อย แม่ค้าเร่ และแม่นายจ้างที่บ้าน นอกจากนี้ยังมีเด็กนักเรียนที่ได้ประกอบอาชีพในหน้าซุ้มเป็นรายได้เสริมในช่วงวันหยุดเทศกาล

แต่ปัจจุบันนี้ ชาวบ้านไม่กล้าลงน้ำ ใช้น้ำ หรือหาปลาในแม่น้ำกก ความเสน่ห์ที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลั่งไหลเข้าสู่ท่าตอนหายไปเสีย นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเกือบทั้งหมด และภาพลักษณ์การท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามของพื้นที่ก็หายไปพร้อมกัน

เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง

ปัญหาที่ผ่านเข้ามาแล้ว เหลือเพียงคำถามเดียวที่หลายผู้ประกอบการ หลายครอบครัวในชุมชนต่างหวังจะฟัง ใครจะเข้ามาช่วยเหลือ? ทางมูลนิธิร่มโพธิ์ และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมกับอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้กำลังดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างละเอียด

ห้องเรียนองค์กรเหล่านี้เตรียมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าว เสียงเรียกร้องความเป็นธรรมและความช่วยเหลือเหล่านี้ยังคงอยู่ในห้องอพยพของการไม่ได้ยินในวงการราชการ

สถานการณ์น้ำประปา 18 หมู่บ้านปนเปื้อนสารตะกั่วในเชียงรายนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคเกี่ยวกับคุณภาพน้ำดิบ แต่เป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจท้องถิ่นที่กำลังทรุดโทรมอยู่ เราต้องรอดูว่าระบบราชการจะเดินหน้าหรือล่มสลายในการจัดการวิกฤตการณ์ที่ชีวิตของมนุษย์กำลังหันคว่ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงสาธารณสุข (ผลการตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน)
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) – แผนแก้ไขปัญหาระยะยาวและระยะเร่งด่วน
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (ผลการตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • กรมชลประทาน (โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว)
  • สำนักราชการจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิร่มโพธิ์ (การสำรวจความเสียหายทางเศรษฐกิจ)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต (การสำรวจความเสียหายทางเศรษฐกิจ)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (ผ่านอาจารย์สืบสกุล กิจนุกร)
  • นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน จังหวัดเชียงใหม่ (ผู้เปิดเผยปัญหา)
  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ APACPH 2025 ชู “สุขภาพชายแดน” รับความท้าทายยุค Disruptive World

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ “APACPH 2025” เวทีสาธารณสุขเอเชีย–แปซิฟิก ชูสุขภาพชายแดน–ความเสมอภาค รับโลกยุค Disruption

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของปลายฝนต้นหนาว ลมเหนือพัดปรับอุณหภูมิให้เมืองชายแดนเย็นลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันข่าวใหญ่ด้านสาธารณสุขก็พัดเข้าสู่ภาคเหนือเช่นกัน เมื่อ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH) ประกาศยืนยันให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพจัด การประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 ระหว่าง 4–7 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก “Public Health Challenges in a Disruptive World” หรือ ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

การตัดสินใจดังกล่าวไม่เพียงย้ำ “สถานะความเป็นนานาชาติ” ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงซึ่งได้รับการจัดอันดับ International Outlook ในระดับแถวหน้าของประเทศเท่านั้น หากยังสะท้อนบทบาทใหม่ของ เชียงราย ที่กำลังถูกมองเป็น “จุดตัดนโยบายสาธารณสุขชายแดน” ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ท่ามกลางพลวัตใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

“เราต้องนำเสียงจากแนวชายแดนเข้าสู่กระดานโลกให้ได้—ทั้งเรื่อง ความเสมอภาคทางสุขภาพของชนกลุ่มน้อย/ผู้ย้ายถิ่น/ผู้สูงอายุ, การเตรียมพร้อมต่อ โรคอุบัติใหม่–อุบัติซ้ำ, ไปจนถึงการบูรณาการ เทคโนโลยี–นโยบาย ในระบบสุขภาพ” สารจากคณะผู้จัด APACPH 2025 สะท้อนทิศทางยุทธศาสตร์ของงานปีนี้

ทำไม “เชียงราย” จึงเป็นสมรภูมิเสียงของภูมิภาค

เชียงรายตั้งอยู่บนทางเชื่อมของ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประเด็นสุขภาพ ไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตแดน ไม่ว่าจะโรคติดเชื้อที่เดินทางพร้อมการค้าและการย้ายถิ่น ปัจจัยแวดล้อม–อาชีวอนามัยจาก เศรษฐกิจข้ามแดน ไปจนถึงความเปราะบางเฉพาะบริบทของ แรงงานไร้เอกสาร–ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุในชนบท การย้ายเวทีจากเมืองหลวงสู่ชายแดน จึงเป็นการ “หันไมค์” ไปยังผู้ที่มักอยู่ชายขอบของวงเสวนา สถานะความเป็นนานาชาติของ มฟล. และระบบนิเวศของเครือข่ายวิจัยด้านสุขภาพในภาคเหนือ ทำให้เมืองนี้ไม่ใช่เพียง “สถานที่จัดงาน” แต่เป็น ห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่พาผู้เข้าร่วมเห็นของจริง—ตั้งแต่ชุมชนข้ามพรมแดน ไปถึงคลัสเตอร์ธุรกิจ–โลจิสติกส์ที่สร้างเงื่อนไขอาชีวอนามัยรูปแบบใหม่ ธีมย่อยของปีนี้ชัดถ้อยชัดคำ—สุขภาพของกลุ่มพลัดถิ่น ชายแดน และชนกลุ่มน้อย (Diaspora, border, and minority health)”—สะท้อนการปรับโฟกัสจาก กำหนดบนใช้ล่าง” ไปสู่ หลักฐานจากพื้นที่–ดันขึ้นนโยบาย” ที่รับมือความซับซ้อนจริงของภูมิภาค

กรอบวิชาการ 6 กลุ่มหัวข้อ เชื่อม “เทคโนโลยี นโยบาย ความยืดหยุ่น”

โครงสร้างวิชาการของ APACPH 2025 ถูกออกแบบเป็น 6 กลุ่มแกน (Core Tracks) ที่ครอบคลุมทั้ง “วันนี้” และ “วันพรุ่งนี้” ของระบบสุขภาพ:

  1. อนาคตของสังคมและสุขภาพ (Future Society & Health)  โฟกัส AI, เวชสารสนเทศ, Telehealth, Precision/Personalized Medicine และ Smart Care—คำถามใหญ่อยู่ที่กรอบกำกับดูแล จริยธรรมข้อมูล และความพร้อมของรัฐ–พื้นที่
  2. นโยบายและระบบสุขภาพ (Health Policy & Systems)  จาก ความมั่นคงทางสุขภาพโลก และ การเตรียมพร้อมโรคระบาด ไปถึง การเงินการคลังสาธารณสุข และแบบจำลอง Precision Public Health ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
  3. สุขภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย (Environmental & Occupational Health)  ผลพวง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มลพิษเมือง, และที่สำคัญคือ สุขภาพแรงงาน Gig—เศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วในอาเซียน แต่แบนบางด้านหลักประกันสุขภาพและความปลอดภัย
  4. ชุมชนและความเสมอภาค (Community & Equity)  ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (SDoH), ความเสมอภาคทางเพศ, การคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง (ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุ–ผู้ย้ายถิ่น) และการป้องกันความรุนแรงในชุมชน
  5. การควบคุมโรคและการศึกษาด้านสุขภาพ (Disease Control & Health Education)  ภัยคุกคามระบาดวิทยา, NCDs, การบาดเจ็บ, สุขภาวะพฤติกรรม และ health literacy—แก่นของ “การป้องกัน” ที่ยังคงเป็นฐานของระบบสุขภาพยั่งยืน
  6. วงจรชีวิตและสุขภาพ (Life Cycle & Health)  จาก “ปฐมวัย–มารดา” ไปสู่ “สังคมสูงวัยโรคเรื้อรัง” ครอบคลุมโภชนาการ การออกกำลังกาย และบริการดูแลต่อเนื่อง

เมื่อนำ 6 กลุ่มมา “วางคู่กัน” จะเห็น ยุทธศาสตร์สามชั้น ชัดเจน เทค นโยบาย ต้องเดินคู่ (Future Society × Policy & Systems), สิ่งแวดล้อม อาชีพ ผูกกับ ความเสมอภาค (Environmental/Occupational × Community & Equity), และป้องกัน วงจรชีวิต เป็น รากฐานความยืดหยุ่น ของสังคมในระยะยาว (Disease Control × Life Cycle)

เส้นตายกระชั้นชิด โอกาส ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้การจัดงานสะท้อนความพร้อมของเจ้าภาพด้านโลจิสติกส์ แต่ปีนี้ กำหนดการทางวิชาการค่อนข้างบีบอัด โดยเฉพาะสำหรับผู้เข้าร่วมต่างชาติ

  • กำหนดส่งบทคัดย่อ (Extended): ถึง 15 ตุลาคม 2568
  • แจ้งผลตอบรับบทคัดย่อ (Extended): 20 ตุลาคม 2568
  • วันประชุมหลัก: 4–7 พฤศจิกายน 2568
  • Early-bird Registration (Extended): ถึง 15 กันยายน 2568

ช่วงเวลา ระหว่างการแจ้งผล (20 ต.ค.) กับวันประชุม (4 พ.ย.) มีเพียงราว สองสัปดาห์ ซึ่งอาจ ไม่เพียงพอ สำหรับผู้ที่ต้องขอวีซ่า/อนุมัติค่าใช้จ่ายจากองค์กรหรือวางแผนการเดินทางที่ซับซ้อน คำแนะนำเชิงปฏิบัติของผู้สื่อข่าวคือ เร่งจัดการงบประมาณnอนุมัติภายใน–เอกสารเดินทางให้ยืดหยุ่น และเตรียมแผนสำรองล่วงหน้า

ด้านค่าลงทะเบียน โครงสร้างราคามีแรงจูงใจชำระล่วงหน้า ชัดเจน:

  • Early-bird (25 เม.ย.–15 ก.ย. 2568)  นักศึกษา 150 USD/4,500 บาท, สมาชิก 250 USD/5,500 บาท, บุคคลทั่วไป 300 USD/6,500 บาท
  • On-site (16 ก.ย.–15 ต.ค. 2568)  นักศึกษา 200 USD/5,000 บาท, สมาชิก 300 USD/6,000 บาท, บุคคลทั่วไป 350 USD/7,000 บาท
  • Pre-conference Workshop (4 พ.ย.)  ต่างชาติ 50 USD, ผู้เข้าร่วมในประเทศ 1,000 บาท

ราคายัง ไม่รวมค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน (บัตรเครดิต/ธนาคาร)

จากตัวเลขข้างต้น นักศึกษา เสียโอกาสสูงสุดหากพลาด Early-bird (ต่าง 50 USD) ขณะที่หน่วยงานรัฐ–มหาวิทยาลัยควรปิดงบ ก่อน 15 ก.ย. เพื่อบริหารต้นทุนรวมให้ดีที่สุด

 

โลจิสติกส์–การเดินทาง ไกลเมืองแต่ใกล้สนามบิน

สถานที่จัดประชุม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อำเภอเมืองเชียงราย

  • ห่าง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ประมาณ 15 กม./20 นาที
  • ห่างตัวเมืองประมาณ 18 กม./20–30 นาที

ตัวเลือกการเดินทาง:

  • แท็กซี่สนามบิน/ศูนย์แท็กซี่เชียงราย
  • Grab (GrabCar/GrabTaxi/GrabRent) ให้บริการในเชียงราย
  • รถเช่า (Avis, Budget, Hertz, Chic Car Rent) มีเคาน์เตอร์ในสนามบิน

ที่พักที่คณะเจ้าภาพร่วมมือ:

  1. วนเวศน์ อินน์ (Wanawes Inn) — ที่พัก ในมหาวิทยาลัย เหมาะผู้ต้องการความสะดวกสูงสุด
  2. The Heritage Chiang Rai Hotel & Conventionสถานที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (ECM) วันที่ 3 พ.ย. คาดเป็น ศูนย์กลางเครือข่าย ของผู้บริหาร/ตัวแทนสถาบัน
  3. The Phufa Waree Chiangrai Resort, The Riverie by Katathani, Kokotel Chiang Rai Airport Suites — ทางเลือกตามงบและทำเล (ใกล้สนามบิน/ใจกลางเมือง/รีสอร์ท)

ด้วยระยะของมหาวิทยาลัยที่ ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง ผู้เข้าร่วมควร กันงบการเดินทางภายใน (เรียกรถ/เช่ารถ) และติดตาม ประกาศรถรับ–ส่งทางการ หากมีการยืนยันเพิ่มเติมจากผู้จัด

โครงสร้างโปรแกรม Plenary–Panel–Talk Concert–Workshop

กำหนดการโดยสังเขป (ตามกรอบที่ประกาศ):

  • 1 ก.ค. 2568 เผยแพร่โปรแกรมครั้งที่ 1
  • 3 พ.ย. 2568 Executive Committee Meeting (ECM) ที่ The Heritage
  • 4 พ.ย. 2568 (บ่าย)  ECN Pre-Workshop (14:00–17:00 น.) เปิดให้สมาชิก Early Career Network (ECN) และผู้รับรางวัล YITA เข้าร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  • 4–7 พ.ย. 2568 งานประชุมหลัก (วิทยากรปาฐกถา–เวทีเสวนา–การนำเสนอแบบปากเปล่า/โปสเตอร์–กิจกรรมเครือข่าย)

สาระสำคัญของการจัดโปรแกรมคือ “ความร่วมสมัย” ตั้งแต่ Plenary ที่ยก “โจทย์ใหญ่” ของภูมิภาค ไปถึง Panel ที่ ผู้นโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม นั่งโต๊ะเดียวกัน และ Talk Concert ที่ “แปลภาษาเทคนิค” ให้สาธารณะเข้าใจง่าย—ทั้งหมดภายใต้ ธีม Disruptive World ที่สะท้อนความจริงปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพอนาคต

ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องจับตา

  1. AI–Data Governance–Telehealth การยกระดับบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หาก กรอบกำกับดูแล–จริยธรรม ยังไม่ชัด? การประชุมนี้อาจวาง หลักคิดร่วม ของภูมิภาค
  2. Gig Worker Health แพลตฟอร์มเศรษฐกิจเติบโตไว แต่ ความคุ้มครองแรงงาน/อาชีวอนามัย ตามไม่ทัน—นโยบายแบบใด “รับทุกฝ่าย” ได้จริง
  3. Border & Minority Health จาก การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ของแรงงานข้ามแดน ไปถึง บริการที่คำนึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม/ภาษา—เชียงรายอาจเป็น กรณีศึกษาจริง ที่ต่อยอดสู่ โมเดลข้ามพรมแดน
  4. Climate–Environment–NCDs ภูมิอากาศสุดขั้วและมลพิษเชื่อมโยงกับ NCDs/สุขภาพจิต อย่างไร—การออกแบบ นโยบายป้องกันเชิงระบบ คือคำตอบระยะยาว
  5. Resilience by Design ทุกกลุ่มหัวข้อย้ำ “การป้องกัน” และ “ความยืดหยุ่น”—เสียงส่วนใหญ่คาดหวังเอกสาร แนวปฏิบัติ (playbook) ที่องค์กรในประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ได้จริง

เสียงสะท้อนจากเครือข่าย (Key Messages)

  • มฟล. เน้นบทบาท “มหาวิทยาลัยของภูมิภาค” ที่ เชื่อมศาสตร์–เชื่อมเมือง–เชื่อมชายแดน และเป็น พื้นที่กลาง ของงานนานาชาติด้านสุขภาพ
  • APACPH ตั้งธง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผ่านหัวข้อ Community & Equity และ Border/Minority Health เพื่อปิดช่องว่างที่การประชุมในเมืองใหญ่ มักมองข้าม
  • เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ (ECN) ได้เวที Pre-Workshop สร้าง ผู้นำสาธารณสุขรุ่นต่อไป—สัญญาณของการลงทุนกับ ทุนมนุษย์ อย่างจริงจัง

สรุปสำหรับผู้วางแผนเข้าร่วม (Actionable Takeaways)

  • รีบปิด Early-bird (ถึง 15 ก.ย. 2568) ประหยัดงบชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา/หน่วยงานภาครัฐ–สถาบันการศึกษา
  • ส่งบทคัดย่อ (ถึง 15 ต.ค. 2568) และเผื่อเวลาเอกสาร ระยะห่าง แจ้งผล 20 ต.ค. ถึง เริ่มงาน 4 พ.ย. สั้น—เตรียม แผน A–B เรื่องตั๋ว/ที่พัก/วีซ่า
  • วางแนวหัวข้องานวิจัยให้ “เข้าแกน 6 กลุ่ม”  โอกาสได้รับการคัดเลือก/สปอตไลต์สูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็น ชายแดน–ความเสมอภาค–แรงงาน Gig–ภูมิอากาศ–AI/Telehealth
  • จองที่พักตามกลยุทธ์การเดินทาง หากต้องการเครือข่าย–ประชุมผู้บริหาร เลือก The Heritage; หากเน้นความสะดวกฝั่งสถานที่ประชุม เลือก Wanawes Inn (ในมฟล.)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยรุ่นใหม่ ใช้สิทธิ ECN Pre-Workshop (4 พ.ย. 14:00–17:00 น.) ที่เปิดฟรีแก่สมาชิก ECN/YITA

 

APACPH 2025 @ เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “โลเคชันใหม่” ของงานประชุมใหญ่ แต่เป็นการ จัดวางคำถามใหม่ ให้สอดคล้องกับ ความจริงใหม่ ของภูมิภาค—ความเปราะบางตามแนวชายแดน แรงงานรูปแบบใหม่ เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ภูมิอากาศสุดขั้ว และคลื่นเทคโนโลยีที่ทั้งสร้างโอกาสและตั้งคำถามเชิงจริยธรรม

ในโลกที่ Disruption กลายเป็นสภาวะปกติ งานนี้จึงมีความหมายมากกว่าเวทีนำเสนอผลงาน—มันคือ พื้นที่กำกับทิศทาง ที่ผู้กำหนดนโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม จะทดลอง “ประกบ” เทคโนโลยี–หลักฐาน–ความยุติธรรมทางสังคม เข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง ระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและเท่าเทียม กว่าเดิม

เชียงราย—เมืองชายแดนที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าอยู่ไกล—วันนี้กลายเป็น ใจกลางของบทสนทนาเอเชีย–แปซิฟิก ว่าด้วยสุขภาพของผู้คนที่ ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU
  • APACPH 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่แม่สาย สู่ศูนย์สุขภาพชุมชน 82 ไร่

หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ของแม่สาย สวนสาธารณะ–ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน สร้างเสร็จครบเฟส เตรียมส่งมอบบริหารให้ อบต.โป่งผา

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — พื้นที่เหนือสุดแดนสยาม ลมจากดอยผ่าลงมาช่วยพาไอเย็นแตะผิวน้ำ “หนองน้ำพุ” แหล่งพักผ่อนขนาด 82 ไร่ กลางตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ชาวบ้านเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยานสลับกันตามลู่วิ่งรอบบึง เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ บนลานกิจกรรมคละเคล้าเสียงนกน้ำ—ภาพที่หลายคนเคยจินตนาการ วันนี้กลายเป็น “ของจริง” หลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จเต็มรูปแบบ และกำลัง รอพิธีส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ จากกรมโยธาธิการและผังเมืองสู่ องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา) เพื่อเริ่มต้นบทบาทการบริหารจัดการโดยชุมชนอย่างเป็นระบบ

โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 180 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือของ สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย สังกัดกระทรวงมหาดไทย ในกรอบ โครงการพัฒนาพื้นที่รอบอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ดำเนินการต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2566–2568) จนเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลน ทั้งคันบ่อ ระบบภูมิสถาปัตยกรรมทางน้ำ ลู่วิ่ง–ทางจักรยาน ลานอเนกประสงค์ และพื้นที่สีเขียวรองรับกิจกรรมครอบครัว

ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา กล่าวขอบคุณหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนและผลักดันให้โครงการสำเร็จ พร้อมระบุว่า การส่งมอบพื้นที่จะทำให้ อบต.สามารถจัดระบบดูแล–บำรุงรักษา จัดตารางกิจกรรม และพัฒนาเฟสต่อเนื่องได้อย่างเต็มศักยภาพ “หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน และเราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง”

จาก “แนวคิด” สู่ “พื้นที่ที่จับต้องได้” บทเรียนการพัฒนาเชิงระบบ

หนองน้ำพุ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการถมดิน–ขุดบ่ออย่างฉับพลัน แต่เป็นผลของการวางผังและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอย่างมีขั้นตอน จุดเน้นของโครงการมีสองมิติที่เดินคู่กัน ได้แก่

  1. มิติสิ่งแวดล้อมและภูมินิเวศ
  • ใช้ “บึงหนอง” เป็นแกนกลาง เพื่อทำหน้าที่ทั้ง พื้นที่รับน้ำ ในฤดูฝน, บ่อหน่วงน้ำ ช่วยชะลอน้ำหลาก และ แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงพืชพรรณ ในหน้าแล้ง
  • ออกแบบ พื้นที่ชุ่มน้ำตื้น (shallow wetland) รอบบึง ช่วยกรองตะกอน–ดูดซับสารอาหารส่วนเกิน เพิ่มความหลากหลายของสัตว์น้ำและนกอพยพ
  • ปลูกไม้ยืนต้นท้องถิ่นให้ร่มเงา ลดเกาะความร้อนในเมือง (urban heat island) รอบชุมชน
  1. มิติสุขภาวะและพื้นที่สาธารณะ
  • ลู่วิ่ง–ทางจักรยานแยกเลน, ลานกิจกรรมอเนกประสงค์, สนามเด็กเล่น, ลานผู้สูงอายุ และจุดชมวิวรอบหนอง
  • แนวคิด Universal Design ทางลาด–ราวจับ–พื้นผิวต่างสัมผัส เพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงวัยเข้าถึงได้จริง
  • จุดลาน “สันทนาการครอบครัว” ที่มองเห็นผืนน้ำ เปิดรับลม ดึงคนทุกช่วงวัยให้ออกมาใช้พื้นที่ร่วมกัน

เมื่อรวมกับเครือข่ายพื้นที่สาธารณะเดิม—วัด โรงเรียน ตลาด และทางเชื่อมสัญจรของหมู่บ้าน—หนองน้ำพุจึงกลายเป็น “หัวใจสีเขียว” ดวงใหม่ของตำบลโป่งผา เชื่อมชีวิตประจำวันของผู้คนกับธรรมชาติอย่างแนบเนียน

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง 20,000+ การใช้งาน—สัญญาณ “ถูกจริตชุมชน”

แม้ยังไม่เข้าสู่โหมดบริหารเต็มรูปแบบ อบต.โป่งผา ระบุว่าตลอดช่วงทดสอบพื้นที่และเปิดใช้บางส่วน มีประชาชนมาใช้บริการเพื่อเดิน–วิ่ง–ปั่น–เล่นกีฬา และทำกิจกรรมครอบครัว สะสมมากกว่า 20,000 คน ตัวเลขนี้สะท้อนสองประเด็นสำคัญ

  • ความต้องการจริง (real demand) ของคนในพื้นที่ต่อ “สนามสุขภาพกลางแจ้ง” ที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และฟรี
  • พฤติกรรมสุขภาพที่เริ่มเปลี่ยน—จากอยู่กับบ้านสู่การออกมาทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่สาธารณะ สอดคล้องกับกรอบแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ชี้ว่าผู้ใหญ่ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง อย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ และเด็ก–เยาวชนควรมีกิจกรรมทางกาย เฉลี่ย 60 นาที/วัน การมี “พื้นที่ชวนขยับ” ใกล้บ้านถือเป็นปัจจัยเอื้อที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มกิจกรรมทางกายได้จริง

สาระสำคัญ คือ หนองน้ำพุไม่ได้เป็นเพียง “สวนสวย” แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานสุขภาพเชิงป้องกัน” (preventive health infrastructure) ที่ลดค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพระยะยาวในมิติไม่เป็นทางการ

หลังส่งมอบ 4 งานใหญ่ที่ อบต.โป่งผา ต้องทำทันที

เมื่อกรมโยธาธิการฯ ส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ อบต.จะเป็น “แม่บ้านหลัก” ของผืนที่ 82 ไร่นี้ งานเร่งด่วนที่ต้องทำคู่กันมีอย่างน้อย 4 เรื่อง

  1. จัดระเบียบการใช้งาน–ความปลอดภัย
  • เวลาเปิด–ปิด, เส้นทางเข้า–ออก, การติดตั้งไฟส่องสว่าง, กล้องวงจรปิด, จุดปฐมพยาบาล–AED, ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน
  • แนวร่วมชุมชน ตั้งอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (park steward) ร่วมกับผู้นำชุมชน–อสม.–เยาวชน
  1. แผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive O&M)
  • ตารางตัดหญ้า–ดูแลไม้ยืนต้นกำจัดวัชพืชน้ำอย่างถูกวิธี (เลี่ยงสารเคมี), ลอกตะกอนตามรอบเวลา, ตรวจอุปกรณ์สนาม พื้นทาง ราวจับ
  • การจัดการขยะและน้ำเสียจากกิจกรรมให้ไม่รบกวนคุณภาพน้ำในหนอง
  1. ออกแบบปฏิทินกิจกรรมสาธารณะประจำปี
  • “สัปดาห์สุขภาพชุมชน”, งานวิ่งการกุศล, ตลาดสีเขียวสินค้าเกษตรปลอดเผา, เวิร์กช็อปจักรยาน–พายเรือ, ลานดนตรีเยาวชน
  • โปรแกรม “หมอชวนวิ่ง ครูชวนขยับ ผู้ใหญ่บ้านชวนเดิน” เชื่อมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงเรียน, กลุ่มผู้สูงอายุ
  1. ระบบการเงินเพื่อความยั่งยืน
  • ตั้ง “กองทุนดูแลสวน” จาก 3 ช่องทาง งบประจำ, รายได้กิจกรรม/เช่าพื้นที่เฉพาะครั้ง (non-commercial friendly), และเงินร่วมบริจาคโปร่งใส
  • คู่มือธรรมาภิบาล เผยแพร่รายรับ–รายจ่ายรายไตรมาส, เปิดรับข้อเสนอชุมชน, ตั้งคณะกรรมการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ

แก่นคิด คือ พื้นที่สาธารณะจะ “อยู่รอด” ได้ก็ต่อเมื่อกลายเป็น “ของเรา” ของทุกคน—ไม่ใช่เพียงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฝ่ายเดียว

เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น สวนสาธารณะไม่ใช่ “ต้นทุนจม”

แม้โครงการใช้งบ 180 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจที่ “ไม่ติดป้ายราคา” มีมากกว่าที่คิด

  • สุขภาพดี = ค่าใช้จ่ายรักษาลด เพิ่มกิจกรรมทางกายของชุมชน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว
  • เศรษฐกิจชุมชนหมุน แผงน้ำดื่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด (ไม่ขายเครื่องดื่มหวานจัด), กิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เวิร์กช็อปสร้างรายได้เสริม
  • การท่องเที่ยวใกล้บ้าน (micro tourism)  ผู้มาเยือนแม่สาย–ถ้ำหลวงฯ มี “จุดพักจุดเรียนรู้ธรรมชาติ” เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมเส้นทางวัด ชุมชน ไร่เกษตรยั่งยืน
  • มูลค่าที่ดินโดยรอบ–คุณภาพชีวิต พื้นที่สีเขียวคุณภาพดีเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินรอบข้างในกรอบผังเมือง พร้อมลดความร้อนและน้ำท่วมเฉียบพลันแบบบัฟเฟอร์ธรรมชาติ

เมื่อรวมกับ “อัตลักษณ์ท้องถิ่น” ที่ อบต.ตั้งใจสื่อผ่าน เสื้อลายผ้าน้ำผุด” ของนายก อบต.และทีมงาน หนองน้ำพุจึงทำหน้าที่เป็น “ห้องรับแขกกลางแจ้ง” ของตำบลโป่งผา—เชื้อเชิญให้คนแปลกหน้าได้รู้จักวัฒนธรรมและวิถีชีวิตกึ่งเมือง กึ่งภูเขาที่งดงามของชายแดนแม่สาย

คำถาม–คำตอบเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้ “หนองน้ำพุ” อยู่ดีมีอนาคตยืนยาว

ถาม: งบ 180 ล้านบาท ควรคาดหวังอะไรใน 3–5 ปีแรก?
ตอบ: (1) ดัชนีกิจกรรมทางกายของชุมชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, (2) อัตราใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อวัน ต่อสัปดาห์ชัดเจนและเติบโต, (3) กิจกรรมสาธารณะคุณภาพสม่ำเสมออย่างน้อยรายเดือน, (4) ระบบ O&M เดินได้จริงโดยมีชุมชนมีส่วนร่วม, (5) คุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพรอบหนองไม่ถดถอย

ถาม: จะหลีกเลี่ยงปัญหา “สวนสาธารณะสวยเฉพาะวันเปิด” ได้อย่างไร?
ตอบ: สร้าง ผู้ใช้แกนกลาง” (core users) ตั้งแต่ต้น—กลุ่มวิ่ง–จักรยาน ผู้สูงอายุ เยาวชน ให้มี “สิทธิ–หน้าที่” ร่วมดูแลพื้นที่ ควบคู่สมดุลกิจกรรมฟรีและกิจกรรมหารายได้เพื่อกองทุนบำรุง โดยมีธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้

ถาม: ทำไมต้องย้ำ Universal Design?
ตอบ: เพราะประชากรสูงวัยในเชียงรายเพิ่มต่อเนื่อง การออกแบบที่ทุกคนใช้ได้จริงคือ ความเป็นธรรมด้านพื้นที่ และทำให้สวนเป็น “ของจริง” สำหรับคนทั้งตำบล ไม่ใช่เฉพาะคนแข็งแรงหรือวัยทำงาน

ถาม: หนองน้ำพุจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?
ตอบ: หากจัดการคันบ่อ พืชน้ำ–ตะกอนตามรอบเวลา และลดสารเคมี–ขยะได้สม่ำเสมอ บึงหนองทำงานเป็น ระบบนิเวศบริการ (ecosystem services) ทั้งบรรเทาน้ำหลาก ลดความร้อน เพิ่มความหลากหลายชีวภาพ และเป็นคลังคาร์บอนขนาดย่อม

เส้นทางข้างหน้า ปฏิทิน “หนองน้ำพุ—สวนของเรา”

เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพการใช้ประโยชน์หลังส่งมอบ อบต.สามารถประกาศปฏิทินกิจกรรมสามชุดหลัก

  1. สุขภาพชุมชน
  • เดิน–วิ่งทุกเช้าวันอังคาร/พฤหัส, โยคะเย็นวันเสาร์, “คุณตาคุณยายฟิต” เวทเทรนนิงแบบปลอดภัย, คลาสปั่นจักรยานสำหรับเด็ก
  • คลินิกโภชนาการร่วม รพ.สต. ลดหวาน–มัน–เค็ม
  1. สิ่งแวดล้อม–การเรียนรู้
  • วันชวนปลูกไม้พื้นถิ่น–ปลูกพืชน้ำ, ส่องนก–ส่องแมลง, “วิทยาศาสตร์ริมหนอง” สำหรับโรงเรียน
  • งานตลาดสีเขียว สินค้าภูมิปัญญา–เกษตรปลอดเผา
  1. วัฒนธรรม–ครอบครัว
  • ลานดนตรีเยาวชนทุกปลายเดือน, หนังกลางแปลงครอบครัว, กิจกรรมวันสำคัญ–งานบุญชุมชน เชื่อมศิลป์ชนเผ่าท้องถิ่น

ทั้งหมดต้องเดินคู่กับ กติกาใช้พื้นที่ ที่ชัดเจน (เสียง–เวลา–ความสะอาด–การใช้จักรยาน–สัตว์เลี้ยง) เพื่อรักษาความสมดุลระหว่าง “ความสนุก” และ “ความสงบ” ของคนรอบหนอง

เสียงจากพื้นที่ความภูมิใจที่ “จับต้องได้”

นอกจากคำขอบคุณของผู้บริหารท้องถิ่น หลายครอบครัวเริ่มมองหนองน้ำพุเป็น สนามหลังบ้านของตำบล” เด็ก ๆ ได้มีที่วิ่งเล่น คนทำงานมีที่ปลดล็อกร่างกาย ผู้สูงอายุมีที่พบปะเพื่อนฝูง ยิ่งไปกว่านั้น หนองน้ำพุยังกลายเป็น จุดเริ่มต้นบทสนทนา เรื่องสิ่งแวดล้อม–สุขภาพ–วัฒนธรรม ที่ผู้คนมีส่วนร่วม—ไม่ใช่เพียงผู้รับนโยบาย

“หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน…เราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง” — ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา

“หนองน้ำพุ” คือกรณีศึกษาว่าการลงทุนพื้นที่สาธารณะอย่างมี วิสัยทัศน์–วินัย–วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สามารถแปลงงบประมาณ 180 ล้านบาทให้เป็น “สินทรัพย์สาธารณะ” ที่สร้างผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจระยะยาวได้จริง อำเภอชายแดนอย่างแม่สายจึงไม่ได้มีเพียงภาพการค้าชายแดนคึกคัก แต่ยังมี อุทยานน้ำ–สวนสุขภาพชุมชน ที่เสริมคุณภาพชีวิตผู้คน

เมื่อพิธีส่งมอบเดินหน้า อบต.โป่งผาจะก้าวสู่บทบาท “ผู้จัดการสวน” ที่ท้าทาย—มีทั้งงานบำรุงรักษา การเงินโปร่งใส กิจกรรมที่เข้าถึงทุกวัย และระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ หากทำได้ครบ “หนองน้ำพุ” จะไม่ใช่เพียง แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ แต่เป็น สัญญาใจ ว่าพื้นที่สาธารณะคุณภาพดี สามารถเกิดและยืนยาวได้ ด้วยมือของคนในชุมชนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา), อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย (กระทรวงมหาดไทย)
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT), กระทรวงมหาดไทย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” โอกาสทองเปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส เปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทางรอดของการเติบโตระยะยาว มุมมองเชิงลึกจากกรุงเทพฯถึงเชียงราย

ประเทศไทย, 7 ตุลาคม 2568 — นาฬิกาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยกำลังเดินเร็วขึ้นกว่าที่คาด เมื่อ ธนาคารโลก (World Bank) เผยรายงาน Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุด (เมษายน 2568) ชี้ชัดว่าไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากอุทกภัย ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน ซึ่งไม่เพียงบั่นทอนคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของประชาชน แต่ยังกดทับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมและศูนย์กลางเศรษฐกิจจากลุ่มเจ้าพระยาถึงมหานครริมทะเลอย่างภูเก็ต

รายงานระบุว่า แม้ไทยตั้งธงใหญ่คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ภายในปี 2593 และ การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” ภายในปี 2608 แต่ “ระยะทาง” ระหว่างวันนี้กับวันนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ น้ำท่วมที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่คืบคลานสู่เมืองชายฝั่ง ภัยแล้งที่ยื้อยุดผลผลิตเกษตรภาคเหนือ–อีสาน รวมถึงความเสี่ยงใหม่อย่าง คลื่นความร้อน ที่กระทบแรงงานกลางแจ้งและผู้สูงอายุโดยตรง ขณะเดียวกัน โครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมดั้งเดิม ทำให้ไทยต้อง “เร่งจูนโครงสร้าง” ครั้งใหญ่ หากหวังเดินถึงเป้าหมายตามกรอบเวลา

จุดเงยหน้าในภาพซับซ้อนนี้คือข้อเท็จจริงที่ธนาคารโลกย้ำว่า เศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่ต้นทุนอย่างเดียว แต่คือโอกาสทอง” ทั้งการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโลก การยกระดับความสามารถแข่งขัน และการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นผ่านอุตสาหกรรมใหม่ ตั้งแต่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึง พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน หากขับเคลื่อนอย่างมีระบบ ไทยไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลการเติบโตที่ทนทานต่อโลกภูมิอากาศใหม่ (new climate normal)

ภาพใหญ่ “ความเสี่ยง–ความหวัง” ที่มาเคาะประตูพร้อมกัน

1) ภัยพิบัติถี่ขึ้น–แรงขึ้น
น้ำท่วมยังเป็นความเสี่ยงอันดับต้นของไทย ทั้งในเมืองใหญ่และพื้นที่เกษตรกรรม ลำน้ำท้องถิ่นรับน้ำไม่ทันเขตเศรษฐกิจแอ่งกระทะรับแรงกระแทกเต็ม ๆ ขณะที่ ภัยแล้ง ในเหนือ–อีสานทำให้สต็อกน้ำเขื่อนตึงมือ เกษตรกรต้องหันมาปรับพืช ลดรอบปลูก หรือยอมรับผลผลิตตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนแรงงานและปัจจัยการผลิตที่ยื้อสูง

2) เป้าหมายสุทธิศูนย์–โจทย์โครงสร้าง
ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.88% ของโลก ตัวเลขอาจดูเล็ก แต่ “ความเปราะบาง” ส่งผลเกินสัดส่วน เมื่อเทียบโครงสร้างการตั้งถิ่นฐาน การใช้ที่ดิน และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เสี่ยง รายงานชี้ว่าการไปให้ถึง Carbon Neutrality 2593 และ Net Zero 2608 ต้องพึ่งการเปลี่ยนผ่านขนาดใหญ่ใน ภาคพลังงาน, อุตสาหกรรม, เกษตร และโครงสร้างพื้นฐานจัดการน้ำ ไม่ใช่เพียงการ “ติดตั้งแผงโซลาร์” เพิ่ม แต่คือการออกแบบระบบใหม่ทั้งห่วงโซ่อุปทานและแรงจูงใจตลาด

3) โอกาสเศรษฐกิจสีเขียว หน้าต่างไม่เปิดค้าง
โลกกำลัง “ลงคะแนนด้วยเงินลงทุน” ให้กับห่วงโซ่ผลิตที่ ปล่อยคาร์บอนต่ำ ประเทศที่เคลื่อนตัวไวจะได้ “ส่วนแบ่งตลาดอนาคต” ทั้งใน EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ, พลังงานแสงอาทิตย์–พลังงานชีวภาพ, ไปจนถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง และ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ หากไทยปรับตัวทัน ตั้งมาตรฐาน, ใช้มาตรการการเงิน–ภาษีที่ถูกจุด, ทำตลาดคาร์บอนโอกาสจะถูกแปลงเป็น การเติบโตใหม่ ที่ยั่งยืน

เวิลด์แบงก์แนะ 3 เสาหลัก ทางด่วนสู่ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”

ปฏิรูปพลังงานผลิตให้สะอาด ใช้ให้คุ้ม

  • เร่งสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน ในระบบผลิตไฟฟ้า ควบคู่ การจัดการความผันผวน (grid flexibility) เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และพยากรณ์โหลดอัจฉริยะ
  • ด้าน “อุปสงค์” สนับสนุน ประสิทธิภาพพลังงาน ในอาคาร–อุตสาหกรรมมาตรฐานใหม่ของเครื่องใช้ไฟฟ้า, เข้มงวดฉลากประหยัด, เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อรีโทรฟิต

อุตสาหกรรม–เกษตรคาร์บอนต่ำ

  • ผลักดัน เทคโนโลยีปล่อยต่ำ (low-carbon) ในโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด, ไอน้ำประสิทธิภาพสูง, เชื้อเพลิงผสมชีวภาพ, วัสดุหมุนเวียน
  • ภาคเกษตรขยาย การจัดการน้ำอย่างแม่นยำ, พันธุ์พืชทนแล้ง–ทนร้อน, ลด “การเผา” และส่งเสริม ชีวมวล–ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อลดการปล่อยจากดิน–ปศุสัตว์ ควบคู่ การตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรคาร์บอนต่ำ สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชน

โครงสร้างพื้นฐานรับมือภัยพิบัติ

  • ลงทุน ระบบจัดการน้ำแบบบูรณาการ เก็บ–ระบาย–กัก–ยืดหยุ่น (multi-use storage, retention, floodways) พร้อม สารสนเทศภูมิอากาศ ระดับพื้นที่
  • โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Nature-based solutions) ป่าต้นน้ำ–พื้นที่ชุ่มน้ำ–แนวกันคลื่นธรรมชาติในชายฝั่งลดความเสี่ยงระยะยาวด้วยต้นทุนคุ้มค่า

จากกรุงเทพฯถึงเชียงราย เมื่อ “ความเปราะบาง” กระทบชีวิตจริง

ภาพรวมประเทศที่เวิลด์แบงก์ฉายยังสะท้อนชัดในจังหวัดปลายแผ่นดินอย่าง เชียงราย—จุดบรรจบแม่น้ำสาย–โขง ที่มีทั้งภูเขา–แอ่งรับน้ำ–ชายแดนการค้าคึกคัก เมืองที่รุ่งด้วย กาแฟ–ชา–ศิลปะ–วัฒนธรรมชนเผ่า–โลจิสติกส์ชายแดน ก็หนีไม่พ้นโจทย์ภูมิอากาศใหม่

  • ภัยแล้งยืดเยื้อ–ฝนทิ้งช่วง ทำให้สวนกาแฟ–ชาเสี่ยงผลผลิตไม่นิ่ง เกษตรกรรับแรงกดดันสองทางน้ำขาด/ศัตรูพืชเพิ่ม
  • น้ำหลากฉับพลัน ในพื้นที่ลาดชัน–ลุ่มน้ำท้องถิ่น กระทบโครงสร้างพื้นฐานชุมชน–การท่องเที่ยว
  • หมอกควัน/PM2.5 ฤดูร้อนปลายหนาวภาพลักษณ์ท่องเที่ยว–สุขภาพประชาชน และแรงงานกลางแจ้ง

ถ้าถามว่า “เชียงรายต้องปรับอะไร” คำตอบอยู่ใน เสาหลักเดียวกันแต่ปรับใช้ให้ตรงบริบท”

  • น้ำ อ่างเก็บ–หนอง–แก้มลิงชุมชน บริหารร่วมกัน เชื่อมข้อมูลฝน–ดิน–พืชแบบเรียลไทม์ให้ “ปลูกพอดี–ใช้น้ำพอเพียง”
  • เกษตร ปลูกผสมผสาน–ร่มเงา–หยุดเผา, ส่งเสริม กาแฟ/ชายั่งยืน เข้าสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ “ค่าเพิ่มจากคาร์บอนต่ำ”
  • เมือง–ท่องเที่ยว จัดการ ทางเดิน–ร่มเงา–จุดพักชุ่มน้ำ–ระบบเตือนภัย สร้างประสบการณ์ ท่องเที่ยวใส่ใจภูมิอากาศ (low-carbon travel) ให้เป็น “แบรนด์เชียงราย”

เศรษฐกิจสีเขียว ไม่ใช่แค่ทางรอดแต่คือ “ทางเลือกที่ฉลาดกว่า”

EV และอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่
ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์เดิม หากยกระดับสายการผลิตสู่ EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ ได้มากขึ้นและใช้ ไฟฟ้าสะอาด ในกระบวนการ จะรักษาฐานการจ้างงานและส่วนแบ่งตลาดโลก ขณะเดียวกัน จังหวัดปลายทางอย่างเชียงรายได้อานิสงส์จาก โครงสร้างชาร์จ–ท่องเที่ยว EV-friendly และ โลจิสติกส์ไฟฟ้า สำหรับขนส่งชายแดน

พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน
แสงอาทิตย์บนหลังคา (rooftop solar) สำหรับธุรกิจ–ครัวเรือน, ระบบปรับอากาศ–แสงสว่างประสิทธิภาพสูงในโรงแรม–คาเฟ่–แหล่งท่องเที่ยว สร้างผล “ต้นทุนลด–ภาพลักษณ์เพิ่ม” และถ้ารัฐเคาะ มาตรการทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/ประกันราคาไฟ/ภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจะเร็วขึ้น

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำแม่น้ำเดียวกันต่างฝั่งได้ประโยชน์
เชียงรายมีทุนวัฒนธรรม–ศิลป์–เกษตร สร้างเส้นทาง Art–Tea/Coffee–Community แบบ Slow Travel ที่ลดการเดินทางซ้ำซ้อน, ใช้ ยานพาหนะปล่อยต่ำ, เสิร์ฟ อาหารท้องถิ่นจากเกษตรยั่งยืน, และเสนอ คอมเพนเสตคาร์บอน ให้ผู้มาเยือนทั้งสร้างประสบการณ์และรายได้กลับสู่ชุมชน

กลไกการเงิน–ภาษี สวิตช์ที่ทำให้ “ความตั้งใจ” กลายเป็น “การลงทุนจริง”

รายงานเวิลด์แบงก์ย้ำว่า ความสำเร็จอยู่ที่ การจัดลำดับนโยบาย” และ ระดมเงินทุน” ให้ถูกที่ถูกเวลา

  • ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) สร้างราคาสำหรับ “การลดปล่อย” ให้ธุรกิจเห็นผลตอบแทนชัด ทั้งในและข้ามพรมแดน (เช่น โครงการปลูกป่า–เกษตรยั่งยืน–รีโทรฟิตอาคาร)
  • ภาษีคาร์บอน/ปรับคาร์บอนข้ามแดน (CBAM) ของคู่ค้า ยิ่งกดดันให้ซัพพลายเชนไทย ใสสะอาด–ตรวจสอบได้ถ้าเตรียมตัวเร็ว เราจะเป็นซัพพลายเออร์ที่คู่ค้าอยากร่วมงาน
  • แรงจูงใจการลงทุนสีเขียว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, เร่งลดขั้นตอนอนุญาตโครงการสะอาด, อุดหนุน R&D/สกิลแรงงานให้เอกชนเห็น ความเสี่ยงลด–ผลตอบแทนเพิ่ม”

แผน 12 เดือน” เพื่อเปลี่ยนรายงานให้เป็นผลลัพธ์ (จากส่วนกลางถึงจังหวัด)

ระดับชาติ

  1. อัปเดตแผนพลังงานและแผนภูมิอากาศให้ “เดินสอดรับ” กันระบุเป้า RE, กักเก็บพลังงาน, ประสิทธิภาพพลังงาน แบบมีไทม์ไลน์–งบ–หน่วยงานรับผิดชอบ
  2. เปิดทางตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจและเตรียมความพร้อมเครื่องมือกำกับ (MRV, registry, standard)
  3. ตั้ง “กองทุนเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ให้สินเชื่อ/ค้ำประกันโครงการสะอาดของ SME อาคาร/โรงแรม/เกษตร

ระดับจังหวัด (ต้นแบบเชียงราย)
4) จัดทำ Climate Risk Map ระดับตำบล ชี้จุดเสี่ยงน้ำท่วม/แล้ง/ดินถล่ม–PM2.5 และ แผนตอบสนอง รายพื้นที่
5) สร้าง คอมมูนิตี้วอเตอร์แบงก์ หนอง/แก้มลิง/สระเก็บน้ำ บริหารร่วมกับเกษตรกรและเทศบาล เชื่อมข้อมูลฝน–ชลประทาน
6) ทำ Green Hospitality Standard สำหรับโรงแรม–คาเฟ่–ที่พัก ตั้งเป้าลดใช้พลังงาน/น้ำ–จัดการของเสีย–เมนูท้องถิ่น–ทางเลือกวีแกน–ข้อมูลคาร์บอนเมนู
7) ออก เชียงรายคลัสเตอร์ชา/กาแฟยั่งยืน หยุดเผา, ร่มเงา, น้ำหยด, ตรวจย้อนกลับ, รับรองมาตรฐาน ขายสู่ตลาดพรีเมียมและเชื่อมท่องเที่ยว
8) สื่อสาร เตือนภัย–คุณภาพอากาศ–สภาพจราจร แบบเรียลไทม์หลายภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) ผ่านเว็บ/โซเชียล/QR ในจุดท่องเที่ยว
9) จัด เทศกาลฤดูหนาวคาร์บอนต่ำ ธีมเดียวทั้งเมือง ขนส่งสาธารณะ–ไฟประหยัดพลังงาน–ของที่ระลึกจากวัสดุหมุนเวียน
10) พัฒนา ทักษะแรงงานสีเขียว มัคคุเทศก์เล่าเรื่องภูมิอากาศ–บาริสต้า/เชฟใช้วัตถุดิบท้องถิ่นยั่งยืน–ช่างเทคนิคพลังงานแสงอาทิตย์/ปรับอากาศประหยัดพลังงาน

คำถามกลางเรื่อง “หรือวิกฤตจะเปลี่ยน” ไทยได้จริง?

หัวใจของรายงานเวิลด์แบงก์มิได้บอกเราว่า “ภัยพิบัติจะหนักขึ้น” เท่านั้น แต่ ท้าทายให้เลือก เราจะเป็นเพียงผู้รับผลกระทบ หรือจะเป็น ผู้กำหนดทิศทางใหม่ ด้วยการแปลงวิกฤตเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจที่ สะอาดกว่า แข็งแรงกว่า และเป็นธรรมกว่า สำหรับคนส่วนใหญ่

ตัวเลข 0.88% ของการปล่อยโลกอาจทำให้เรารู้สึกว่าไทย “ไม่ได้ปล่อยมาก” ทว่าในวันที่ห่วงโซ่อุปทานโลก วัด คาร์บอนในทุกกิโลวัตต์–ทุกชิ้นส่วน–ทุกกิโลเมตรขนส่ง ความได้เปรียบจะเป็นของผู้ที่ พิสูจน์ได้ ว่าผลิตภัณฑ์–บริการปล่อยต่ำจริง และ ปลอดภัยต่อสภาพภูมิอากาศ นั่นทำให้การปฏิรูปพลังงาน, การเงินสีเขียว, มาตรฐานสินค้า–บริการ และข้อมูลความเสี่ยงระดับพื้นที่ ไม่ใช่ “งานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง” แต่คือ วาระแห่งชาติ ที่ต้องเดินพร้อมกัน

เชียงราย ด้วยทุนวัฒนธรรมและภูมิประเทศเฉพาะตัว มีโอกาส ก้าวนำ เป็น “เมืองต้นแบบเศรษฐกิจท้องถิ่นคาร์บอนต่ำ” ที่คนทั้งประเทศจับตา เมืองที่จัดการน้ำอย่างรู้ค่า, ทำเกษตร–ท่องเที่ยวเชื่อมชุมชน, ใช้พลังงานคุ้มและสะอาด, สร้างงานทักษะใหม่ให้คนรุ่นใหม่ และส่งออก “เรื่องเล่า” ของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพสู่โลก

รายงาน CCDR ของเวิลด์แบงก์ย้ำสองประเด็นพร้อมกัน ความเสี่ยงกำลังสูงขึ้น และ โอกาสกำลังเปิดกว้าง ประเทศไทยมีเวลา ไม่มาก ในการสลับเกียร์จาก “ซ่อมความเสียหายหลังภัยพิบัติ” ไปสู่ “ลงทุนป้องกัน–ปรับตัว–ลดปล่อยเชิงรุก” ยิ่งลงมือเร็ว ต้นทุนยิ่งต่ำ และผลตอบแทนยิ่งมาก ทั้งต่อเศรษฐกิจมหภาคและกระเป๋าสตางค์ของครัวเรือน

คำตอบว่าประเทศไทย และเชียงรายจะ “พร้อม” แค่ไหน อยู่ที่ ความกล้าตัดสินใจ ของภาครัฐ, ความริเริ่ม ของเอกชน, และ พลังร่วม ของชุมชนในพื้นที่ หากทั้งหมดขยับในทิศทางเดียวกัน “วิกฤต” ก็จะกลายเป็น รากฐาน ของเศรษฐกิจใหม่ที่มั่นคงกว่าและยั่งยืนกว่าไม่ใช่แค่คำสัญญาบนเวทีโลก แต่เป็นคุณภาพชีวิตที่คนไทยสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Bank – Thailand Country Climate and Development Report (CCDR)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ./ONEP)
  • กระทรวงพลังงาน
  • IPCC AR6
  • Global Facility for Disaster Reduction and Recovery (GFDRR) – Thailand Country Profile
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TRAVEL

สิ้นสุดยุคทัวร์ชะโงก เชียงรายต้องเร่งพัฒนา AI รับมือ 10 เทรนด์ท่องเที่ยวโลก 2026

เชียงราย สามารถตอบรับได้ 7 จาก 10 เทรนด์หลัก ด้วยศักยภาพด้านอากาศเย็น-ธรรมชาติ-วัฒนธรรมชนเผ่า แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว

เชียงราย, 1 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกที่กำลังเข้าสู่ปี 2026 จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “พร้อมแค่ไหนในการรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว”

รายงานเชิงลึกจากศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึง 10 แนวโน้มหลักของการท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกจุดหมายปลายทาง โดยมีแกนหลักอยู่ที่การเดินทางที่เน้นเจตจำนง ความยั่งยืน และการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของยุค “ทัวร์ชะโงก” และนำไปสู่การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และชุมชน

รายงานเชิงลึกจากหน่วยงานด้านตลาดการท่องเที่ยวและสถาบันวิจัยระดับนานาชาติ (TAT Academy, Mastercard Economics Institute, Virtuoso, Intrepid Travel ตลอดจนผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์) ชี้ประเด็นร่วมกันว่า นักเดินทางยุคใหม่กำลังมองหา “ประสบการณ์ที่มีเจตจำนงและคุณค่า” มากกว่า “ภาพถ่ายที่ได้เช็กอินครบทุกจุด” ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการปรับตัวของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั่วโลก—โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีธรรมชาติบริสุทธิ์อากาศเย็น วิถีชุมชนแท้ และบริการสุขภาพองค์รวมครบวงจร

และเมื่อย้อนมองเชียงราย—ซึ่งประกาศเป้าหมาย 20 ปีให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองแห่งสุขภาพ–เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง–พัฒนาอย่างยั่งยืน”—หลายฟันเฟืองที่เมืองนี้เดินไว้ล่วงหน้า กลับกลายเป็น “คำตอบตรงจังหวะ” ของ 10 เทรนด์ 2026 อย่างน่าสนใจ ซึ่ง 10 เทรนด์ท่องเที่ยวของโลก 2026 คือ

1) Coolcation Travel — “หนีร้อนสู่ขุนเขา” จุดแข็งโดยธรรมชาติของเชียงราย

คลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงทั่วโลกผลักให้นักท่องเที่ยวมองหาจุดหมายปลายทางที่อากาศเย็นกว่า มีภูเขาและป่าไม้ล้อมรอบ เทรนด์ “Coolcation” จึงพุ่งขึ้นเป็นตัวเลือกหลักของกลุ่มกำลังซื้อกลางถึงสูง เชียงรายมี “สินทรัพย์ธรรมชาติ” ตรงโจทย์—อุณหภูมิที่นุ่มนวลกว่าเมืองใหญ่ภาคกลาง–ภาคใต้ ช่วงฤดูหนาว–ปลายฝนมีหมอกไหล ภูเขาซ้อนคลื่น วิวพรีเมียมในระยะเดินทางสั้น ๆ จากตัวเมือง

2) Slow Travel — “น้อยเมือง–นานวัน–ลึกประสบการณ์”

แนวคิด “อยู่ให้นานขึ้น–รู้จักให้ลึกขึ้น” ทำให้เมืองรองที่มีจังหวะเนิบช้าได้รับความนิยม เชียงรายมีองค์ประกอบพร้อม เมืองขนาดกะทัดรัด–ขับรถสั้น ๆ ถึงชุมชนหัตถกรรม–ไร่กาแฟ–งานศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น กรณีตัวอย่างเช่นแพ็กเกจ “Active Senior 50+ – Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่จัดเส้นทาง 2 วันขึ้นไป ผสานพิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัดร่วมสมัย คาเฟ่ริมแม่น้ำ และโฮมคาเฟ่ชุมชน—เป็นภาพสะท้อนว่าตลาดพร้อมทดลอง “สโลว์–ดีพ–มีความหมาย”

3) Off-Season Travel — “หน้าฝน–ปลายฝน–ต้นหนาว” จากช่วงโลว์ สู่ช่วงรัก

การท่องเที่ยวนอกฤดู (off-season/shoulder season) ทำให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความแออัด มีพื้นที่สงบ และได้ราคาคุ้มค่า เชียงรายมี “เสน่ห์หน้าฝน”—เขียวชุ่ม ต้นน้ำไหล อากาศเย็นในบางอำเภอ หากมีแผนกิจกรรมเชิงธรรมชาติ–ศิลปวัฒนธรรม–เวิร์กชอป–คาเฟ่–สปา–ชุมชนรองรับ ก็สามารถเปลี่ยน “หน้าที่เคยเงียบ” ให้กลายเป็น “หน้าที่คนรัก”

4) Solo Travel — “อิสระ–ปลอดภัย–มีเพื่อนร่วมทางเมื่ออยากมี”

การเดินทางคนเดียวโดยเฉพาะนักเดินทางหญิงเติบโตเร็ว เงื่อนไขที่จุดหมายต้องมีคือความปลอดภัย การเดินทางสาธารณะสะดวก การต้อนรับเป็นมิตร และกิจกรรมที่คนเดียวก็สนุก เชียงรายมีเมืองที่เดินง่าย–คาเฟ่–สตูดิโอศิลป์–ชุมชนสร้างสรรค์–คอร์สสั้นและกิจกรรมเชื่อมคนแปลกหน้าผ่านงานคราฟต์/กาแฟ/โยคะ

5) Foodie Travel — “กินดี–ทำเอง–เข้าใจชุมชน”

เทรนด์อาหารปี 2026 เน้นอาหารท้องถิ่น–เอกลักษณ์–พร้อม “ลงมือทำ” เชียงรายมีทุนทางอาหาร–กาแฟ–ชา–ผักผลไม้ภาคเหนือ–ครัวชุมชน–โฮมคาเฟ่ รวมถึงเชฟ/ร้านที่หยิบจับวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูร่วมสมัย

6) Hyper-personalised Travel — “ทริปที่ใช่ ไม่ใช่ทริปที่เยอะ”

การออกแบบเส้นทางด้วยข้อมูลความสนใจรายบุคคล กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ เชียงรายมี “พาเลตต์ประสบการณ์” หลากหลาย แต่ยังต้องการ “โครงข้อมูล” ที่ต่อกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อคัดสรรทริปที่เหมาะกับบุคคล (เช่น ศิลป์–สุขภาพ–กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ–ถ่ายภาพ)

7) AI Fellow Travel — “เอไอเป็นเพื่อนร่วมทริป”

แนวโน้มปี 2026 ชี้ว่า AI จะช่วยวางแผน–จอง–อัปเดตความหนาแน่นจุดท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ เชียงรายควรมี ข้อมูลเปิด (open data) เช่น เวลาแออัด, ที่จอด, เส้นทางสั้น–ปลอดภัย, สภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ, งานอีเวนต์—เพื่อให้แชตบอต/เอไอของผู้เดินทาง “คุยกับเมือง” ได้

8) Holistic Travel — “เกินกว่า Wellness ฟื้นกาย–ใจ–อารมณ์แบบวัดผลได้”

โลกกำลังขยับจาก Wellness สู่ Holistic Travel—เน้นผลลัพธ์วัดได้ เช่น การนอน (sleep), การหายใจ/เยียวยาด้วยธรรมชาติและสายน้ำ (blue health), การพักเงียบ (silent retreat) เชียงรายประกาศทิศ “Wellness City” โดยมีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และเครือสาธารณสุขเป็นแกนวิชาการ/บริการ จุดแข็งคือธรรมชาติ–ศิลป์–วัฒนธรรมที่ช่วยซัพพอร์ตสุขภาวะเชิงลึก

9) Value-Driven Travel — “เที่ยวที่สะท้อนคุณค่า–คืนคุณค่าให้พื้นที่”

นักเดินทางเลือกจุดหมายที่เคารพสิ่งแวดล้อม มีความเป็นธรรม สนับสนุนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ “มีส่วนร่วม” เชียงราย—ด้วยโครงเรื่องเมืองสร้างสรรค์–ชุมชนเข้มแข็ง–หัตถกรรม/เกษตรคุณค่า—มีฐานพร้อมเปลี่ยนจาก “ผู้ชม” เป็น “ผู้ร่วมสร้าง”

10) Low-Carbon Luxury — “ลักชัวรีสายเขียว–เดินทางช้าลงแต่ลึกขึ้น”

กลุ่มลักชัวรีพร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืน (มีงานวิจัยระบุสัดส่วนสูงกว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรายได้สูงยอมจ่ายเพิ่มเพื่อทางเลือกที่ยั่งยืน) ความคาดหวังคือ carbon-tracking ของแพ็กเกจ การลดการบินต่อ การใช้รถไฟ/รถไฟหรู/EV การเข้าพักที่มีมาตรฐานพลังงานสะอาด–ของเสียต่ำ เชียงรายมีโรงแรมบูทิก–รีสอร์ตธรรมชาติหลายระดับและภูมิประเทศเอื้อต่อ “ความหรูสงบ” แต่ยังต้องยกระดับโครงสร้างสีเขียวและหลักฐานการลดคาร์บอนที่ตรวจสอบได้

 

การวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลภาคสนามและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับเทรนด์เหล่านี้ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านธรรมชาติ ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังคงมีช่องว่างสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการบริการที่ต้องเร่งพัฒนา

พันดาว 1000 Stars

จุดแข็งเด่นชัด อากาศเย็นและธรรมชาติ ตอบโจทย์เทรนด์ “Coolcation Travel”

หนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายคือความสามารถในการตอบสนองต่อเทรนด์ “Coolcation Travel” หรือการท่องเที่ยวเพื่อหนีความร้อน ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสหลักของตลาดโลก รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และ Virtuoso ระบุตัวเลขที่น่าสนใจว่า 82 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีพิจารณาจุดหมายปลายทางที่มีสภาพอากาศเย็นกว่า เนื่องจากทั่วโลกได้เผชิญกับปีที่ร้อนระอุมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023

เชียงรายด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิสามารถลดลงต่ำถึง 10-15 องศาเซลเซียส พื้นที่อย่างดอยตุง ดอยแม่สลอง และพื้นที่บนเขาในอำเภอเชียงของและอำเภอแม่สรวย ล้วนเป็นจุดหมายที่มีอากาศเย็นสบาย รายล้อมด้วยป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ข้อได้เปรียบนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่รายงานโดย Intrepid Travel ซึ่งระบุถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจุดหมายปลายทางที่มีทะเลสาบ ป่าไม้ และอากาศบริสุทธิ์ เชียงรายจึงมีโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและอากาศเย็นสบายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเขตเมืองใหญ่ที่ต้องการหนีความร้อนจากช่วงฤดูร้อน

Athu Akhahome

การท่องเที่ยวแบบ “ช้าๆ” และนอกฤดู ศักยภาพที่พร้อมใช้

เทรนด์ “Slow Travel” หรือการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเพื่อซึมซับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่เชียงรายมีศักยภาพสูงในการรองรับ จากข้อมูลโปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าเชียงรายสามารถนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เน้นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ไม่เร่งรีบ และเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรแกรมดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านดำ วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น การเรียนรู้งานศิลปะที่ขัวศิลปะ และการแวะเยี่ยมชุมชน Athu Akha Home ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าอาข่า กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เน้นการเดินทางเร่งรีบเปลี่ยนสถานที่ทุกชั่วโมง แต่มุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

การท่องเที่ยวในแบบนี้สอดคล้องกับรายงานของ The Getaway Co. ซึ่งระบุว่านักเดินทางในปี 2026 ต้องการใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง มากกว่าการเปลี่ยนเมืองใหญ่หลายแห่งภายในห้าวัน พวกเขาต้องการ “สัมผัส” สถานที่นั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “มองเห็น” เชียงรายซึ่งมีเมืองหลวงขนาดกะทัดรัด มีชุมชนท้องถิ่นที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม และมีแหล่งท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ในรัศมีไม่ไกลเกินไป จึงเหมาะสมกับการท่องเที่ยวแบบนี้อย่างยิ่ง

นอกจากนี้ เทรนด์ “Off-Season Travel” หรือการท่องเที่ยวนอกฤดูก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเชียงราย เนื่องจากจังหวัดนี้มีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้ในฤดูหนาว ทุ่งข้าวเขียวชอุ่มในฤดูฝน หรือบรรยากาศเงียบสงบในช่วงไหล่ฤดู การท่องเที่ยวนอกฤดูช่วยให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและเข้าถึงประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เชียงรายสามารถนำเสนอได้โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างใหม่มากนัก

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร จุดขายที่แข็งแกร่ง

เทรนด์ “Value Driven Travel” และ “Foodie Travel” เป็นอีกสองประเด็นที่เชียงรายมีความโดดเด่น เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ เช่น อาข่า ลาหู่ ยาว ม้ง ซึ่งแต่ละชนเผ่ามีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

โปรแกรม Athu Akha Home ที่ปรากฏในแผนการท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่มีคุณค่า นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เรียนรู้วิถีชีวิต ประเพณี และงานฝีมือท้องถิ่น การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิด “Authenticity is the new luxury” ที่รายงานโดย TAT Academy และหลายหน่วยงานระดับโลก ซึ่งระบุว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ได้แสวงหาโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดหรือจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ต้องการประสบการณ์ที่ “เป็นจริง” และสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นได้

ด้านอาหาร เชียงรายมีความหลากหลายทางอาหารท้องถิ่นที่โดดเด่น ทั้งอาหารล้านนา อาหารชนเผ่า และอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ร้านอาหารต่างๆ ที่ปรากฏในโปรแกรมท่องเที่ยว เช่น บ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพในการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชียงรายจะมีความหลากหลายของอาหารท้องถิ่น แต่ยังขาดการพัฒนาในด้าน “ประสบการณ์การทำอาหารด้วยตนเอง” (hands-on cooking experience) ที่เป็นส่วนสำคัญของเทรนด์ Foodie Travel ในปี 2026 ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ต้องการแค่ลิ้มลอง แต่ต้องการลงมือทำด้วยมือของตนเอง การพัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นหรืออาหารชนเผ่าที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่เชียงรายควรเร่งพัฒนา

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โอกาสที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่

เทรนด์ “Holistic Travel” หรือการเดินทางเพื่อเยียวยาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามภาวะการอดนอนว่าเป็น “การระบาดด้านสุขภาพทั่วโลก” ซึ่งทำให้การเดินทางที่มุ่งเน้นการพักผ่อน การฟื้นฟู และการเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้รับความสนใจอย่างสูง

เชียงรายมีศักยภาพในการรองรับเทรนด์นี้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักผ่อน ความเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ และบรรยากาศธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดหายไปคือโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ตอบสนองต่อเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเฉพาะทาง เช่น Sleep Tourism, Blue Health Travel และ Silent Retreats ซึ่งต้องการเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

รายงานจาก Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าโรงแรมระดับไฮเอนด์ในต่างประเทศได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น เตียงอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจและรูปแบบการหายใจ ระบบแสงสว่างตามวงจรชีวิต และเมนูอาหารที่ปรับสมดุลเมลาโทนิน แม้ว่าเชียงรายจะมีโรงแรมและรีสอร์ตจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีระดับนี้ยังไม่แพร่หลาย

อีกทั้ง แนวคิด Silent Retreats หรือการเดินทางเพื่อความเงียบ ซึ่งมุ่งเน้นการทำสมาธิโดยไม่มีการพูดคุย เขตปลอดหน้าจอ หรือการพักในเคบินที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง แม้ว่าเชียงรายจะมีพื้นที่ธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโปรแกรมประเภทนี้ก็ตาม การวิจัยระบุว่าการใช้เวลาในความเงียบช่วยลดฮอร์มอนความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และอาจส่งเสริมการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับจังหวัดที่ต้องการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ช่องว่างด้านเทคโนโลยี ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

หนึ่งในจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายในการรองรับเทรนด์การท่องเที่ยว 2026 คือช่องว่างด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเทรนด์ “Hyper-personalised Travel” และ “AI Fellow Travel” ซึ่งเป็นแกนหลักของประสบการณ์การท่องเที่ยวในอนาคต

รายงานของ TAT Academy ระบุว่านักท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ต้องรอให้ใครมาจัดทริปให้ พวกเขาสามารถใช้โลกออนไลน์ ทั้งโซเชียลมีเดียและปัญญาประดิษฐ์เพื่อออกแบบการเดินทางที่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการและตอบโจทย์ประสบการณ์ส่วนตัว ในอนาคตอันใกล้ AI จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือ แต่จะกลายเป็น “เพื่อนร่วมเดินทาง” ที่ช่วยวางแผน จอง และจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการ

สิ่งที่เชียงรายยังขาดหายไปคือระบบข้อมูลดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ไปจนถึงการอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI จำเป็นต้องใช้ในการให้คำแนะนำที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบจองออนไลน์ที่ทันสมัย ระบบชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่น่าสนใจ

Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อและการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้หมายความว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การฝึกอบรมผู้ประกอบการ และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวที่ครอบคลุมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

Solo Travel และความปลอดภัย ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

เทรนด์ “Solo Travel” หรือการเดินทางคนเดียวกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิง การเดินทางคนเดียวถูกมองว่าเป็นวิธีแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และเป็นรูปแบบที่ทรงพลังของการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยและการต้อนรับที่อบอุ่นสำหรับนักเดินทางคนเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญที่จุดหมายปลายทางต้องให้ความสำคัญ เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังขาดระบบสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น โรงแรมหรือที่พักที่ออกแบบมาสำหรับผู้เดินทางคนเดียวโดยเฉพาะ ทัวร์ “Solo Together” ที่จัดขึ้นสำห

รับนักเดินทางคนเดียวเพื่อสร้างการเชื่อมต่อโดยไม่มีข้อผูกมัด หรือแม้แต่แอปพลิเคชันและระบบข้อมูลที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวเดี่ยวรู้สึกปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ประเด็นด้านภาษาและการสื่อสารยังเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางคนเดียว การขาดข้อมูลภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่ครอบคลุมในสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และระบบขนส่งสาธารณะ อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่มั่นใจและลดความสนใจในการเลือกเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเดินทางคนเดียว

Social-First Itineraries และพลังของโซเชียลมีเดีย

อีกหนึ่งเทรนด์ที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญคือการที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok และ Instagram Reels ได้กลายเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ดูดี ถ่ายรูปสวย หรือกลายเป็นไวรัล สามารถทำให้จุดหมายปลายทางบางแห่งได้รับความนิยมอย่างมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

เชียงรายมีจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงในการกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะวัดร่องขุ่นที่มีสถาปัตยกรรมสีขาวล้วนที่โดดเด่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำที่มีความลึกลับและศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ทุ่งดอกไม้และวิวทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นความท้าทายใหม่ที่เชียงรายต้องเผชิญ

การที่สถานที่แห่งหนึ่งกลายเป็นไวรัลอาจนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประสบการณ์ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) การสร้างกฎระเบียบที่เหมาะสม และการสื่อสารกับชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสดังกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน

Low-Carbon Luxury Travel โอกาสสำหรับตลาดระดับสูง

เทรนด์ “Low-Carbon Luxury Travel” หรือการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีที่เน้นการลดคาร์บอน เป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ผลสำรวจในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับตัวเลือกที่มีความยั่งยืนมากกว่า

เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาตลาดนี้ โดยเฉพาะการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสานความหรูหราเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่แล้วเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดมายังเชียงราย การพักในรีสอร์ตที่ใช้พลังงานหมุนเวียน การรับประทานอาหารออร์แกนิกจากฟาร์มท้องถิ่น และการมีระบบติดตามคาร์บอนในแพ็กเกจการเดินทาง ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทรนด์นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนที่ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักความยั่งยืน และชุมชนท้องถิ่นที่ต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม

กรณีศึกษา โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย”

โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นตัวอย่างที่ดีของการพยายามตอบรับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ โปรแกรมนี้ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างวัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงการเรียนรู้ศิลปะที่ขัวศิลปะ และการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชนเผ่าที่ Athu Akha Home

โปรแกรมดังกล่าวตอบโจทย์เทรนด์ Slow Travel ด้วยการจัดกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบ ให้เวลานักท่องเที่ยวได้สัมผัสและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเทรนด์ Value Driven Travel ด้วยการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นและการให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ การเลือกร้านอาหารท้องถิ่นอย่างบ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth ยังตอบโจทย์เทรนด์ Foodie Travel ที่เน้นการลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์

การเลือกที่พักอย่าง เดอะ เลเจนด์ เชียงราย บูทิค รีสอร์ท ที่เป็นโรงแรมบูทิคขนาดเล็ก ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ใช่โรงแรมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบเหมือนกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนและจัดการการเดินทาง การเพิ่มกิจกรรมที่เน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น โยคะ สมาธิ หรือการออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ และการมีระบบติดตามคาร์บอนเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ Low-Carbon Luxury Travel

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สิ่งที่เชียงรายต้องทำเพื่อก้าวสู่ 2026

จากการวิเคราะห์ความสามารถของเชียงรายในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลก มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้

ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

  1. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน รวมถึงระบบอัปเดตเรียลไทม์
  2. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ เช่น ระบบจองออนไลน์ ระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI-ready เพื่อรองรับการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ด้านความปลอดภัยและบริการ

  1. พัฒนาระบบสนับสนุนนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น ที่พักที่เหมาะสม ทัวร์ Solo Together และแอปพลิเคชันความปลอดภัย
  2. ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านภาษาต่างประเทศในทุกจุดบริการ
  3. สร้างเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

  1. ส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรม Silent Retreats และ Wellness Programs ที่มีคุณภาพ
  2. สนับสนุนให้โรงแรมและรีสอร์ตลงทุนในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการนอนหลับ
  3. พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและการเยียวยาจิตใจ

ด้านความยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบติดตามและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับแพ็กเกจท่องเที่ยว
  2. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานประกอบการท่องเที่ยว
  3. พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านวัฒนธรรมและชุมชน

  1. เสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  2. พัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นและกิจกรรม hands-on experience ที่มีคุณภาพ
  3. สร้างกลไกการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนอย่างเป็นธรรม

ด้านการจัดการนักท่องเที่ยว

  1. พัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) ในจุดท่องเที่ยวหลัก
  2. สร้างช่องทางการสื่อสารและกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยว
  3. เตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางที่ต้องเดินหน้า

แม้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นในเชียงรายจะไม่ปรากฏในเอกสารที่นำมาประกอบข่าวนี้ แต่จากการวิเคราะห์รายงานของ TAT Academy สถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และหน่วยงานชั้นนำระดับโลกอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็น “อุตสาหกรรมบริการ” ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งประสบการณ์และคุณค่า”

Mastercard Economics Institute ย้ำว่าผู้บริโภคในปี 2026 มีความซับซ้อน ตระหนักถึงคุณค่า และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คำถามที่สำคัญที่สุดในการเดินทางในปี 2026 คือ “คุณไปทำไม” ไม่ใช่ “คุณไปไหน” การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการให้จุดหมายปลายทางอย่างเชียงรายปรับกระบวนทัศน์จากการ “ขายสถานที่” เป็นการ “นำเสนอความหมาย”

The Getaway Co. ซึ่งเป็นบริษัททัวร์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ได้สรุปไว้ว่า “การเดินทางในโลกยุคใหม่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มีสติ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความใส่ใจ วิธีการเดินทางมีความสำคัญพอๆ กับสถานที่ที่คุณไป”

เชียงรายยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นใน 3 เทรนด์หลัก ได้แก่:

  1. Coolcation Travel – ความได้เปรียบด้านภูมิอากาศเย็นและธรรมชาติ (ระดับความพร้อม: 90%)
  2. Slow Travel และ Off-Season Travel – วัฒนธรรมและชุมชนที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวแบบช้าๆ (ระดับความพร้อม: 80%)
  3. Value Driven Travel และ Foodie Travel – ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร (ระดับความพร้อม: 75%)

เทรนด์ที่มีความพร้อมปานกลาง ได้แก่: 4. Holistic Travel – มีพื้นฐานแต่ขาดโครงสร้างเฉพาะทาง (ระดับความพร้อม: 60%) 5. Low-Carbon Luxury Travel – มีโอกาสแต่ต้องลงทุนพัฒนา (ระดับความพร้อม: 55%)

เทรนด์ที่ยังมีความพร้อมต่ำและต้องเร่งพัฒนา ได้แก่: 6. Solo Travel – ขาดระบบสนับสนุนเฉพาะ (ระดับความพร้อม: 50%) 7. Hyper-personalised Travel – ขาดข้อมูลดิจิทัลและระบบ (ระดับความพร้อม: 40%) 8. AI Fellow Travel – ขาดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (ระดับความพร้อม: 30%)

เทรนด์ที่ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน: 9. Social-First Itineraries – มีศักยภาพแต่ขาดการจัดการที่เหมาะสม

ระยะเวลา 18 เดือนที่เหลือก่อนถึงปี 2026 เป็นช่วงเวลาทองสำหรับเชียงรายในการเร่งปิดช่องว่างเหล่านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น

การท่องเที่ยวในยุคใหม่ไม่ได้วัดความสำเร็จด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่วัดด้วยคุณภาพของประสบการณ์ ความยั่งยืนของผลกระทบ และความสามารถในการสร้างคุณค่าให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น เชียงรายมีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในยุค 2026 หากสามารถแก้ไขจุดอ่อนและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร 
  • ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย – รายงาน “10 Trends การท่องเที่ยว ที่ต้องรู้ในปี 2026” เผยแพร่เมื่อ 19 กันยายน 2568
  • Mastercard Economics Institute – “การพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 2026: จากการตะลอนเที่ยวสู่การเดินทางที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าและเจตจำนง”
  • The Getaway Co. – รายงาน “Unlock the Ultimate 2026 Travel Trends to Inspire Your Next Adventure” เผยแพร่เมื่อ 15 กรกฎาคม 2025
  • Virtuoso – การสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี ปี 2024
  • Intrepid Travel – รายงานแนวโน้มจุดหมายปลายทางยอดนิยม ปี 2024-2026
  • Eclectic Trends และ Travel Trade Days
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

มลพิษแรร์เอิร์ธเขย่าลุ่มน้ำกก-สาย-โขง จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่จากแหล่งเสี่ยง

มลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธ” เขย่าลุ่มน้ำกก–สาย–โขง เวทีจุฬาฯ ชำแหละช่องกฎหมาย ไทยถูกท้าทายทั้งในฐานะ “ผู้รับผลกระทบ” และ “ผู้ได้ประโยชน์” — จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่–ตั้งทีมรัฐ–ประชาชน–ดันเจรจาระดับภูมิภาค

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 26 กันยายน 2568 — เช้าวันที่สังคมการเมืองไทยกำลังจับตานโยบายเศรษฐกิจความมั่นคง แต่อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง ณ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องประชุมชั้น 4 อาคารประชาธิปก–รำไพพรรณี กลับคลาคล่ำไปด้วยเครือข่ายประชาชนจากลุ่มน้ำกก–สาย–โขง นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมายระหว่างประเทศ และผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติไทย จุดร่วมของทุกคนชัดเจน—มลพิษข้ามพรมแดน” จากเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา ไม่ใช่ข่าวไกลตัวอีกต่อไป แต่คือประเด็นเร่งด่วนที่กระทบ น้ำกิน–น้ำใช้–อาหาร–รายได้–และศรัทธาต่อรัฐ ของประชาชนสองฝั่งพรมแดน

เวทีสัมมนาเรื่อง กรอบกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศต่อมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ” จัดโดย คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ ศูนย์แม่โขงศึกษา จุฬาฯ และภาคีภาคประชาชนจากพื้นที่ชายแดน จุดประเด็นด้วยคำถามใหญ่ที่ทั้งคมและตรง: เมื่อสารปนเปื้อนจากกิจกรรมเหมือง “นอกเขตแดนไทย” ไหลบ่าเข้าสู่แม่น้ำสายสำคัญอย่าง กก–สาย–โขง และซึมลึกในห่วงโซ่อาหารไทย—เราจะปกป้องประชาชน–ระบบนิเวศ–เศรษฐกิจฐานราก อย่างไร ภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน

เสียงจากฝ่ายนิติบัญญัติ “อย่าปล่อยให้กฎหมายไทยอ่อนแรงต่อมลพิษข้ามแดน”

บนเวที นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม และ รองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เขาระบุว่า การขุดแรร์เอิร์ธในเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังปี 2564 และประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ใครเป็นเจ้าของเหมือง” เท่านั้น แต่อยู่ที่ “ผลกระทบข้ามพรมแดน” ที่ ไทยยังไม่มีกลไกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ในการป้องกัน–รับมือ–เยียวยา

นี่ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือปัญหาโครงสร้างกฎหมายและธรรมาภิบาลระดับภูมิภาค เราต้องส่งเสียงในระดับอาเซียนและประชาคมโลก และในประเทศต้องมีมาตรการชัดเจน—ตั้งแต่การตรวจสอบการปนเปื้อนอย่างโปร่งใส จนถึงการทบทวนนำเข้าแร่จากแหล่งที่ไม่รับผิดชอบ” นายกัณวีร์กล่าว

น้ำเสียง “เร่งด่วน” ของรองประธาน กมธ.กฎหมายฯ สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ที่ตัวแทนชุมชนจาก รัฐคะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย นำหลักฐานและประสบการณ์ตรงขึ้นเล่า—น้ำประปาที่บางช่วงถูกเตือนให้หลีกเลี่ยง, ปลาในแม่น้ำที่ขายยาก, พืชผลบางชนิดถูกปฏิเสธจากผู้ซื้อ ด้วยความกังวลสารโลหะหนัก ขณะที่คำอธิบายจากหน่วยงานรัฐหลายครั้ง ไปคนละทิศ” กับความรู้สึก–ข้อเท็จจริงในพื้นที่

นักวิชาการเตือนไทยไม่ได้เป็น “ผู้เสียหาย” อย่างเดียว—เรายัง “ได้ประโยชน์” จากแร่ด้วย

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) นำเสนอข้อมูลที่ทำให้ห้องประชุมเงียบลงชั่วขณะ เมื่อระบุว่าในปัจจุบัน เมียนมาถูกประเมินว่าเป็นผู้ผลิตแรร์เอิร์ธ “ลำดับ 3 ของโลก” ท่ามกลางความต้องการส่วนผสมสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี–พลังงานสะอาด–ยานยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผลกระทบ แต่ยังได้ประโยชน์จากการนำเข้าแร่” เธอย้ำว่า โครงสร้างนี้ทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น เพราะเกิด ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และ ไร้เจ้าภาพ” ในการรับผิดชอบ

สารปนเปื้อนจากเหมืองไม่ได้หยุดที่แม่น้ำ แต่มันไหลเข้าไปในชีวิตประจำวัน—น้ำดิบ–น้ำประปา–ปลา–ข้าว–ผัก และสะสมในร่างกาย เราจึงต้องถามตรง ๆ ว่า วันนี้น้ำกิน–น้ำใช้–อาหารของเราปลอดภัยจริงหรือไม่ และใครกล้ารับผิดชอบในระยะยาว”

ดร.สืบสกุลยกตัวอย่าง วาทกรรมภาครัฐ” ที่สร้างความสับสน: ระบุเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำ แต่ พร้อมกันนั้นบอกว่า “ค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน” เธอชี้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ ไม่พูดความจริงทั้งหมด” เพราะมาตรฐานเป็นเพียง “ค่าเฉลี่ย ณ จุด–เวลา–ตัวอย่าง” ขณะที่ ผลสะสม” ของโลหะหนักในร่างกาย–ดิน–พืชผล เป็นอีกเรื่อง” และกระทบ ห่วงโซ่อาหาร อย่างยากจะควบคุม

10 ข้อเรียกร้องจากเครือข่ายประชาชน แผนเร่งด่วนจาก “ปลายน้ำ” สู่ “ต้นน้ำ”

เวทีจบลงด้วย ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการทันที โดยมีทั้งมาตรการเชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง ได้แก่

  1. ตรวจหาสารปนเปื้อนในดิน พื้นที่เกษตร 12,000 ไร่ ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนฤดูกาลเพาะปลูก (ต.ค.)
  2. ตรวจข้าวนาปี ในจังหวัดเชียงราย ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหาร
  3. จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ สำหรับผู้ใช้น้ำอย่างน้อย 55,000 ราย ในแม่น้ำกก–สาย–รวก โดยประเมินกรอบงบประมาณ 1,200 ล้านบาท
  4. ยกระดับการตรวจประปาหมู่บ้าน ให้สามารถตรวจโลหะหนักได้ต่อเนื่อง–เท่าทันสถานการณ์
  5. จัดหาแหล่งน้ำใหม่ ให้ชุมชนที่ต้องซื้อน้ำกิน เช่น ต.ท่าตอน ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
  6. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก ระดับพื้นที่ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลแบบ “เรียลไทม์”
  7. ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน เพื่อวางแผน ปิดเหมือง (ในมิติเชิงการทูต/กฎหมาย) และ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
  8. ยกเลิกการสร้างฝายดักตะกอน ที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรืออาจก่อผลข้างเคียงต่อระบบนิเวศ
  9. เปิดเจรจากับเมียนมาและจีนอย่างเร่งด่วน ภายใต้กรอบทวิภาคี–พหุภาคี
  10. ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่ ที่มีที่มาจากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะจุดผ่านแดน แม่สาย–แม่สะเรียง–แม่ฮ่องสอน และ ตรวจสอบเส้นทางการค้า–ผู้ได้รับประโยชน์–การส่งออกต่อไปประเทศที่สาม (มีการระบุว่าเกี่ยวข้อง “ไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท” ที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มา)

ในภาพรวม ข้อเสนอทั้ง 10 ฝากให้รัฐ ทำ 3 ชั้น” พร้อมกัน—คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน (สุขภาพ/น้ำ/อาหาร), รักษาศรัทธาตลาด (เชื่อมั่นสินค้าเกษตร), และ วางท่าทีระหว่างประเทศ (การเจรจา–มาตรการทางเศรษฐกิจ)

ทำไม “แรร์เอิร์ธ” จึงท้าทายระบบกฎหมาย–นโยบาย

แรร์เอิร์ธเป็นกลุ่มแร่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคพลังงานสะอาด: แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV, กังหันลม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์–กลาโหม ความต้องการที่พุ่งขึ้นทำให้แหล่งผลิตในภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกจับตามอง ทว่า ห่วงโซ่อุปทานที่ยาว–กำกับดูแลยาก ทำให้ ต้นทุนภายนอก” (น้ำเสีย, ดินปนเปื้อน, สุขภาพชุมชน) ถูกผลักออกไปนอกงบประมาณบริษัท–ข้ามพรมแดน–และกลับมาคิดบัญชีกับสังคมในรูป ค่าใช้จ่ายสาธารณะ (รักษาพยาบาล–น้ำประปา–เยียวยา–โครงสร้างพื้นฐานใหม่)

ในเชิงกฎหมาย–สถาบัน นี่คือโจทย์ มลพิษไร้พรมแดน”: ประเทศผู้รับผลกระทบ ไม่มีเขตอำนาจโดยตรง ในการสั่งการเหมืองต่างแดน แต่ มีภารกิจ ต้องปกป้องประชาชนของตนเอง การอาศัยเพียง “มาตรฐานคุณภาพน้ำ–อาหาร” ในเขตแดนไทยจึงไม่พอ หาก ต้นน้ำ อยู่ต่างประเทศ และ ปลายน้ำ คือชีวิตคนไทย

ทางเลือกเชิงนโยบาย 3 ระยะเวลา–5 คานอำนาจ

เพื่อแปลงข้อเรียกร้องให้เกิดผลจริง นักวิชาการและภาคประชาชนบนเวทีเสนอ “กรอบเดินงาน” ที่สรุปใจความได้ดังนี้

ระยะสั้น (0–6 เดือน):

  • สารสนเทศ–ความโปร่งใส: ปรับระบบสื่อสารความเสี่ยงให้ “พูดความจริงทั้งหมด” — รายวัน/รายสัปดาห์ของค่าตรวจโลหะหนักในน้ำ–ดิน–ปลา–ข้าว, แผนที่จุดเสี่ยง, ข้อมูลภาษาคู่ (ไทย–ชนเผ่า)
  • สุขภาพ–น้ำ–อาหาร: ดำเนินการตามข้อ 1–6 ให้ครบ: ตรวจดิน 12,000 ไร่, ตรวจข้าวนาปีเชียงราย, ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก, หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ครัวเรือน พร้อมงบประมาณเบื้องต้น 1,200 ล้านบาท
  • การค้า–ตลาด: จัดทำฉลาก/เอกสารรับรองผลตรวจเป็นรอบ ๆ ช่วยผู้ผลิตในพื้นที่ฟื้นความเชื่อมั่นตลาด

ระยะกลาง (6–24 เดือน):

  • คณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน (ข้อ 7): มีอำนาจเสนอคำสั่ง/มาตรการเฉพาะพื้นที่–ข้ามหน่วยงาน, กำกับการเยียวยา
  • กำกับห่วงโซ่แร่: ออก “บัญชีดำ” เหมือง/ผู้ค้า/ผู้นำเข้าที่ไม่ตรวจสอบได้, บังคับใช้กติกา Due Diligence ในการนำเข้าวัตถุดิบเหมือง
  • การทูตเชิงรุก (ข้อ 9): ตั้งโต๊ะคุยเมียนมา–จีน–ลาว ภายใต้กรอบแม่น้ำโขง/อาเซียน–MRC, แลกข้อมูลตรวจวัด–กำกับเหมือง–แผนฟื้นฟู

ระยะยาว (2–5 ปี):

  • กฎหมายแม่บทมลพิษข้ามแดน: เติม “เขี้ยวเล็บ” ให้รัฐไทยใช้มาตรการทางการค้า–สิ่งแวดล้อมกับสินค้าที่ก่อมลพิษต้นทางต่างแดน (จัดเก็บ/ห้าม/จำกัด) โดยไม่ขัดพันธกรณีระหว่างประเทศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนแร่: ลงทุน รีไซเคิลแรร์เอิร์ธ–นวัตกรรมนำกลับ ลดการพึ่งพาแร่ดิบต้นทางที่เป็นความเสี่ยงเชิงนิเวศ–ภูมิรัฐศาสตร์

คานอำนาจ 5 ตัว ที่ต้องใช้พร้อมกัน: (1) วิทยาศาสตร์ข้อมูล, (2) กฎหมาย–มาตรการการค้า, (3) การทูตพหุภาคี, (4) การมีส่วนร่วมของประชาชน, และ (5) งบประมาณฉุกเฉิน–เยียวยา

น้ำเสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ความไม่แน่ใจ” แพงกว่าทุกอย่าง

เครือข่ายประชาชนจาก คะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย ถ่ายทอดสภาวะร่วม: ความไม่แน่ใจ ว่าน้ำที่ดื่ม–ข้าวที่กิน–ปลาที่จับ “ปลอดภัยจริงหรือไม่” ทำให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่งขึ้น (ซื้อน้ำ/เดินทางไปตรวจ) ขณะรายได้จากพืชผล–ประมงลดลงเพราะความเชื่อมั่นตลาดสั่นคลอน ความไม่แน่ใจ” จึงกลายเป็นภาษีที่มองไม่เห็น สะสมดอกเบี้ยทางเศรษฐกิจ–สังคม–สุขภาพ

“เราไม่ได้ขออะไรเกินจริง แค่ขอให้รัฐพูดตามตรง และทำตามหน้าที่—ตรวจ–เปิดเผย–ปกป้อง–เยียวยา—ให้ไวและจริงจัง” ตัวแทนชุมชนกล่าวบนเวที

มุมกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยยืนตรงไหนบนสมการ “อธิปไตย–สิทธิมนุษยชน–สิ่งแวดล้อม”

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชี้ว่า แม้หลักอธิปไตยทำให้ไทยไม่อาจสั่งการกิจกรรมในเมียนมาโดยตรง แต่กรอบระหว่างประเทศเปิดช่อง มาตรการฝั่งผู้นำเข้า (import-side measures) ที่ ชอบด้วยกฎหมายการค้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อ คุ้มครองชีวิต–สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม และใช้ อย่างไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมกันนั้น การเจรจาพหุภาคีกับ ลาว–จีน–เมียนมา ภายใต้กรอบลุ่มน้ำโขง/อาเซียนสามารถผลักดัน กลไกแจ้งเหตุ–สอบสวน–แผนฟื้นฟูร่วม ที่ติดตามได้

ประเด็นชวนคิด (สำหรับผู้กำหนดนโยบาย)

  • ตัวเลข 55,000 ครัวเรือน–งบ 1,200 ล้านบาท: งบระดับนี้เทียบไม่ได้กับ “มูลค่าความเสียหายสะสม” หากปล่อยให้ความไม่แน่ใจดำเนินต่อไปอีกหลายฤดูกาลเพาะปลูก
  • ยุตินำเข้าแร่” เป็นคันโยก: การใช้ อำนาจทางเศรษฐกิจ น่าจะเป็นคันโยกที่รัฐบาลไทยมีมากสุดในการจูงใจให้เกิดการปรับพฤติกรรมต้นทาง แต่ต้องคู่กับ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ที่โปร่งใส เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมไทย “เปลี่ยนประตูนำเข้า” แล้วปัญหาเดิมยังอยู่
  • สื่อสารความเสี่ยงแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่: สังคมยอมรับความจริงที่ซับซ้อนได้ หากรัฐกล้าพูดตรง–เร็ว–มีแผนรับมือ และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำกับตรวจสอบ

จากเวทีสัมมนาสู่โต๊ะ ครม.—ถึงเวลาตอบว่า “เราปกป้องคนของเราอย่างไร”

งานวันนี้ไม่ได้จบที่เสียงปรบมือ แต่วางการบ้านขนาดใหญ่ไว้ที่รัฐบาลใหม่: จะยุติการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบหรือไม่—เมื่อใด—อย่างไร, จะยืนยันความปลอดภัยน้ำ–อาหารให้ประชาชนได้อย่างไร, จะเยียวยา–คุ้มครองเกษตรกรอย่างไร, และ จะวางท่าทีต่อเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขงอย่างไร เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมโลกสีเขียว ไม่ทิ้งคนปลายน้ำ ไว้ข้างหลัง

ในห้องประชุมของจุฬาฯ วันนี้ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ นักวิชาการ และเครือข่ายชุมชนได้คลี่แผนที่และชี้พิกัดแล้วว่า เส้นทางสั้น–กลาง–ยาว” คืออะไร เหลือเพียง “เจตจำนง” ของรัฐและ ความสม่ำเสมอของการลงมือทำ ที่จะพิสูจน์ว่า ประเทศไทยสามารถยืนหยัดปกป้อง สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–เศรษฐกิจฐานราก ของประชาชนตนเองได้จริงเพียงใด ท่ามกลางคลื่นอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่โหมกระหน่ำทั้งภูมิภาค

สาระย่อ “10 ข้อเรียกร้อง”

  1. ตรวจดิน 12,000 ไร่ (อ.แม่อาย) ก่อนเข้าฤดูปลูก
  2. ตรวจข้าวนาปี (เชียงราย) ก่อนเก็บเกี่ยว
  3. หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ราย (กก–สาย–รวก) งบ 1,200 ล้านบาท
  4. ยกระดับประปาหมู่บ้านตรวจโลหะหนักได้
  5. หาแหล่งน้ำใหม่ให้ ต.ท่าตอน–ต.แม่นาวาง (แม่อาย)
  6. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักในพื้นที่
  7. ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน ปิดเหมือง–เยียวยา
  8. ยกเลิกฝายดักตะกอน
  9. เปิดเจรจาเมียนมา–จีน เร่งด่วน
  10. ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ ตรวจเส้นทางการค้า–ผู้ได้ประโยชน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
  • ศูนย์แม่โขงศึกษา และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) — ข้อสังเกตทางวิชาการและข้อเสนอเชิงนโยบายโดย ดร.สืบสกุล กิจนุกร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

บททดสอบความมั่นคงน้ำ แรร์เอิธไหลข้ามแดนจากจีน สู่สารหนูในแม่น้ำชายแดนไทย

แรร์เอิธ” กับสองด้านของเหรียญ เมื่อโรงงานโลกอยู่ในจีน แต่ความเสี่ยงไหลข้ามพรมแดนมาถึงลุ่มน้ำกก—สาย—รวก—โขง

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 — บนเวทีวิชาการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสียงนักวิชาการดังประสานกันในประเด็นเดียว—“แร่หายาก” หรือ แรร์เอิธ ที่ทำให้โลกก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมอัจฉริยะ กลับเดินทางมาพร้อมคำถามใหญ่เรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานโลก

รายงานเชิงลึกชิ้นนี้พาไล่เรียงตั้งแต่ภูมิทัศน์ตลาดโลกของแรร์เอิธแปรรูปในช่วงปี 2563–2568 ไปจนถึง “จุดปะทุ” ภาคสนามในภาคเหนือไทย ว่าทำไมการที่จีนยังคง “ครองโรงงานแปรรูปของโลก” จึงไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจมหภาค แต่โยงใยถึงน้ำกินน้ำใช้บนโต๊ะอาหารชุมชนลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง และเหตุใดเสียงเรียกร้องให้ “กล้าหยุดนำเข้าแร่” จึงเริ่มดังขึ้นในไทย

โครงเรื่องของอุตสาหกรรม เหมืองกระจาย “แต่คอขวดยังรวมศูนย์”

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร—ภาพใหญ่ของตลาดในช่วง 2563–2568 ชี้ชัดว่า “โลกขุดได้มากขึ้น แต่แปรรูปได้กระจุกตัวเท่าเดิม” การผลิตแร่ต้นน้ำ (เหมือง) เพิ่มจากราว 240,000 ตัน (REO) ในปี 2563 เป็นราว 390,000 ตัน ในปี 2567 ขณะที่โควตาการผลิตของจีนเพิ่มจาก 140,000 เป็น 270,000 ตัน ในช่วงเดียวกัน ประเทศอย่างสหรัฐฯ และออสเตรเลียก็เร่งเครื่องผลิตเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ทว่าตัวเลขสวยงามข้างต้น “หลอกตา” ได้ง่าย เพราะ วัตถุดิบจำนวนมากยังถูกส่งกลับไปแปรรูปในจีน ซึ่งครอบครองขีดความสามารถด้าน การแยก–กลั่น (separation & refining) มากกว่า 90% ของโลก และสำหรับแรร์เอิธประเภทหนัก (HREs ที่จำเป็นต่อแม่เหล็กสมรรถนะสูงใน EV และกังหันลม) จีนคุมได้เกือบทั้งหมดแตะ 99.9% ความจริงนี้คือคอขวดเชิงยุทธศาสตร์—ใครคุมโรงแยก คนนั้นคุมหัวใจเทคโนโลยีสะอาด

สัญญาณที่ต้องใส่ใจ คือ ความต้องการ “ปลายน้ำ” โตก้าวกระโดด—EV มียอดขายโลกทะลุ 14 ล้านคัน (2566) และมีแนวโน้มพุ่งต่อเนื่อง ขณะที่การติดตั้ง กังหันลม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ผู้บริโภคขยายตัวต่อเนื่อง ยิ่งดันความต้องการ Nd–Pr–Dy–Tb สำหรับแม่เหล็ก NdFeB ให้สูงขึ้น แต่ฝั่งอุปทานปลายน้ำกลับ “ผูก” อยู่กับประเทศเดียวเป็นหลัก—ตลาดจึงเปราะบางกว่าที่เห็นจากตัวเลขเหมือง

เรื่องเล่าสองระดับ เหมืองต้นน้ำดูหลากหลาย—ปลายน้ำยัง “จีนเป็นศูนย์กลาง”

ชั้นแรก: เหมือง
ตัวเลขผลผลิตจากหลายประเทศทำให้ดูคล้ายความเสี่ยงถูกเฉลี่ยออก แต่ความจริงส่วนใหญ่ยังเป็น “เหมืองป้อนโรงงานจีน” สหรัฐฯเอง แม้จะผลิตแร่เพิ่ม แต่ในช่วงต้นของรอบอุตสาหกรรมก็ยังส่งออกวัตถุดิบหรือพักสต็อก เพื่อกลับเข้าสู่สายการแยก–กลั่นต่างประเทศ

ชั้นสอง: แปรรูป
ตลาดปลายน้ำต่างหากคือ หัวใจ—จีนถือไพ่เหนือกว่าในโรงแยก–กลั่น ตั้งแต่ “ออกไซด์บริสุทธิ์” ไปจนถึง โลหะผสม และ “ชิ้นส่วนแม่เหล็กถาวร” สำหรับมอเตอร์ EV และเจเนอเรเตอร์พลังลม ความได้เปรียบนี้ไม่ได้มาจากแค่ “โรงงานใหญ่” แต่คือ ห่วงโซ่ความรู้ เทคโนโลยี และระบบนิเวศอุตสาหกรรม ที่ต่อกันครบทั้งต้น–กลาง–ปลาย จนทำให้ ต้นทุน–ผลผลิต–คุณภาพ กลายเป็นกำแพงสูงสำหรับผู้เล่นใหม่

ประโยคชวนคิด: ในอุตสาหกรรมที่ “ธาตุหนึ่งเกิดพร้อมอีกธาตุหนึ่ง” การเร่งผลิตเพื่อ Nd–Pr (แม่เหล็ก) จะดันให้ Ce–La ทะลักเกินใช้การ—วันนี้โลกผลิต Ce–La คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของอุปทาน แต่ใช้จริงเพียงราว 20% ผลคือ “ส่วนเกินเรื้อรัง” ที่ทำให้ผู้ผลิตต้องแบกรับต้นทุนบริหารสต็อก–โลจิสติกส์เพิ่ม โดยไม่ได้มูลค่าเพิ่มเท่ากัน

พลวัตราคา เมื่อภูมิรัฐศาสตร์ “ขยับคันโยก”

ระหว่าง 2563–2568 ราคาออกไซด์สำคัญผันผวนรุนแรง—นีโอดีเมียม จากประมาณ $49/kg (2563) พุ่งแตะราว $98 (2564) ก่อนอ่อนลงแถว $56 (2567) ฝั่ง ดิสโพรเซียม–เทอร์เบียม ที่เป็น HREs ก็แกว่งแรงตามวัฏจักรและ “ข่าว” นโยบาย

บทเรียนคลาสสิกคือ ปี 2553 เมื่อจีนจำกัดส่งออก ราคาพุ่งหลายเท่าตัว และรอบล่าสุด เมษายน 2568 ที่รายงานว่ามีการจำกัดการส่งออกธาตุสำคัญบางชนิดเป็นมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ—ตลาดตอบสนองทันที ความผันผวนที่ไม่ใช่แค่ “อุปสงค์–อุปทาน” แต่เกี่ยวกับ อำนาจต่อรอง ชั้นเชิงทางการค้า และความมั่นคงเทคโนโลยี

ทางหนีทีไล่ของโลก สร้างกำลังการแปรรูป–รีไซเคิล–วัสดุทดแทน

  • สร้างขีดความสามารถในประเทศ: สหรัฐฯ เร่งโครงการแยก–กลั่นที่ Mountain Pass (MP Materials) เริ่มเดินเครื่องผลิตออกไซด์ Nd–Pr แยกชนิดในปี 2566 เคลื่อนตามกรอบหนุนจาก IRA / CHIPS
  • ตั้งพันธมิตร ห่วงโซ่กระจาย: จับมือ แคนาดา กรีนแลนด์ และพันธมิตรแร่สำคัญ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งเดียว
  • เทคโนโลยีแยก–กลั่นรุ่นใหม่: แนวทางอย่าง RapidSX และเทคนิคแยกขั้นสูงที่หวังลดต้นทุน–ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
  • รีไซเคิล: วันนี้อัตรารีไซเคิลแรร์เอิธยังต่ำกว่า 5% แต่การสกัดแม่เหล็กใช้แล้วจาก e-waste/กังหันลมปลดระวาง เริ่มโชว์ศักยภาพการกู้คืน Nd–Dy เกิน 90% ในระดับทดลอง
  • วัสดุทดแทน/สถาปัตยกรรมมอเตอร์: บางค่ายรถปรับใช้แม่เหล็ก เฟอร์ไรต์ หรือพัฒนา มอเตอร์เหนี่ยวนำ ลดพึ่งแรร์เอิธในบางรุ่น

จากโรงงานโลกสู่แนวหน้าชายแดน “แร่พิษ” ที่ไหลตามสายน้ำ

สิ่งที่เปลี่ยนเวทีเสวนาในเชียงรายให้เงียบลงชั่วคราว ไม่ใช่กราฟตลาดโลก แต่คือข้อมูลภาคสนาม

22 กันยายน 2568 สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดเสวนา แร่พิษไหลข้ามพรมแดน: กฎหมาย การตรวจสอบย้อนกลับ และสิทธิในการคุ้มครอง แม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง” นักวิชาการหยิบงานศึกษาที่ชี้ว่ามีจุดทำเหมืองแรร์เอิธหลายสิบจุดในรัฐฉาน/คะฉิ่นของเมียนมา ตามแนวลุ่มน้ำกก–สาย ซึ่งไหลเชื่อมถึงฝั่งไทย

ข้อมูลชวนคิดที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้ว

  • น้ำประปา: มีรายงานการตรวจพบ สารหนู–แบเรียม ในทุกครั้งที่สุ่มตรวจ (แม้ “ไม่เกินเกณฑ์”) ขณะที่ การประปาส่วนภูมิภาค ยอมรับว่ากำลังหา แหล่งน้ำดิบใหม่ เพื่อผลิตน้ำประปา—คำถามจึงดังขึ้น: ถ้าปลอดภัยจริง เหตุใดต้องย้ายแหล่งน้ำ?
  • สินค้าเกษตร: นาข้าวกว่า 100,000 ไร่ ในลุ่มน้ำกก–สาย พบการปนเปื้อนสารหนู/แคดเมียมในตัวอย่างจำนวนหนึ่ง (ส่วนใหญ่ “ไม่เกินเกณฑ์”) แต่กลับทำให้เกษตรกร กว่า 1,000 ราย เสี่ยงสะดุด ใบรับรอง GAP เพราะเงื่อนไขน้ำชลประทานต้อง “ปราศจากความเสี่ยง” ตามมาตรฐานกระทรวงเกษตรฯ
  • ปลาในแม่น้ำ: พบปรอทในระดับ “ไม่เกินเกณฑ์” แต่ ความเสี่ยงสะสม จากการบริโภคต่อเนื่องเป็นโจทย์ใหญ่ที่หลักประกัน “ไม่เกินมาตรฐาน” อาจตอบไม่ได้ครบ

ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มฟล.) สรุปตรงไปตรงมาว่า โจทย์นี้ไม่ใช่เกมสถิติ แต่คือ ความไว้วางใจสาธารณะ และสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน เขาชี้ว่ามีอย่างน้อย 20 บริษัท ไทยที่นำเข้าแร่จากเมียนมาผ่าน เชียงราย–แม่ฮ่องสอน–ตาก และเสนอ ไม้ตายทางเศรษฐกิจ” ให้รัฐบาลไทย พิจารณายุติการนำเข้า แร่จากพื้นที่เสี่ยงเป็นสัญญาณต่อรองบนโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ—หลังการหารือหลายรอบก่อนหน้าไม่คืบ

ดร.พีท หอมชื่น (จุฬาฯ) อธิบายเชิงเทคนิคว่า การทำเหมืองแบบสารละลาย–กรด หาก บ่อกักสารเคมี ไม่ได้มาตรฐานหรือถูกน้ำท่วม อาจรั่วไหลลงชั้นน้ำใต้ดินและสายน้ำได้ง่าย “ฝายดักตะกอน” อาจจับทรายได้ แต่ โลหะหนักที่ละลายน้ำ ต้องการวิธีจัดการที่มากกว่าการ “กั้นทางไหล”

อาจารย์อริศรา เหล็กคำ (มฟล.) ดึงบทเรียน คดี Trail Smelter ที่ใช้เวลาพิสูจน์ 30 ปี ว่า รัฐหนึ่งต้องไม่ก่อความเสียหายข้ามพรมแดน และย้ำว่าหากไทยต้องการผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ต้อง เก็บหลักฐานวิทยาศาสตร์ต่อเนื่อง ด้วยมาตรฐานสากล—ตั้งแต่ตัวอย่างน้ำ ดิน ปลาตะกอน จนถึง “ลายนิ้วมือแร่” ที่ชี้ย้อนสู่เหมืองต้นทางได้

ฝ่าย Human Rights Club (มฟล.) เน้นสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (UN รับรองปี 2565) ว่าไม่ได้เป็น “ค่านิยม” หากคือ สิทธิขั้นพื้นฐาน เด็กในชุมชนที่เล่นน้ำไม่ได้—ไม่ใช่ข่าวเล็ก แต่คือ “สัญญาณเตือน” ของวิถีชีวิตที่สูญเสีย

และ ธารา บัวคำศรี (Climate Connectors) ชี้ “ความย้อนแย้งยุคพลังงานสะอาด”—โลกอยากปลดคาร์บอน จึงต้องใช้แรร์เอิธมากขึ้น แต่ถ้าต้นทางผลิต ไร้มาตรฐาน ภาระสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนย่อมทวีคูณ เขาเสนอให้ไทย ยกระดับระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ระดับภูมิภาค และใช้เวทีอาเซียนผลักมาตรฐานร่วม ต้านตลาดมืด ของแร่จากพื้นที่เสี่ยง

“Connect the Dots” แบบไทย จากชายแดนสู่โต๊ะนโยบาย

เมื่อปัญหามีทั้ง “น้ำ–แร่–สิทธิ” ปะปนกัน ข้อมูลแยกส่วนจากหลายหน่วยงานยิ่งทำให้สังคมสับสน นักวิชาการจึงเสนอแนวทางเชิงระบบ:

  1. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก “รายจังหวัด” (เชียงราย) เพื่อให้ผลตรวจน้ำ–ผัก–ปลา–ปัสสาวะ ออกได้ รวดเร็ว ไม่ใช่รอ 15–30 วัน จากห้องแล็บส่วนกลาง—ข้อมูล “ย้อนหลัง” แทบใช้จัดการเหตุการณ์ปัจจุบันไม่ได้
  2. ตรวจผลผลิตก่อนเก็บเกี่ยว นาปี 100,000 ไร่—หากเสี่ยง ให้ สั่งพักเก็บเกี่ยวพร้อมเยียวยา เพื่อปกป้องผู้บริโภค–เกษตรกร–แบรนด์ “ข้าวเชียงราย”
  3. เร่งงบ 1,000 ล้านบาท หาแหล่งน้ำดิบใหม่ หากหน่วยผลิตประปายืนยัน “คุณภาพยังได้” แต่ การย้ายแหล่งน้ำ อาจเป็นคำตอบเชิงปฏิบัติการที่ “ตรงไปตรงมา” ต่อความกังวลของสาธารณะ
  4. ยกระดับการทูตสิ่งแวดล้อม—ผลักประเด็น EIA ข้ามพรมแดน บนโต๊ะร่วมไทย–เมียนมา และเวทีอนุภูมิภาค/อาเซียน พร้อมแนวทาง ยุตินำเข้าแร่จากพื้นที่เสี่ยง เป็น “แรงจูงใจ” ให้เกิดความร่วมมือที่จริงจัง

ประโยคตรงใจคนพื้นที่: “ถ้า ‘ไม่เกินมาตรฐาน’ แล้วเหตุใดยังต้องย้ายแหล่งน้ำ? หาก ‘พ้นภัย’ จริง เหตุใดเกษตรกรถึงยังเสี่ยงเสีย GAP?”—คำถามที่รัฐต้องตอบด้วย การกระทำ มากกว่าคำอธิบายทางสถิติ

เชื่อมโลกกับบ้านเราทำไมตลาดแรร์เอิธโลกถึงเกี่ยวกับข้าวชาวเชียงราย

หนึ่ง—เพราะ แรร์เอิธเป็น “วิตามิน” ของเทคโนโลยีสะอาด EV และกังหันลมต้องใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ผูกกับ HREs อย่าง Dy–Tb ซึ่งแปรรูปกระจุกในจีน หากแหล่งวัตถุดิบรอบข้างจีน (รวมเมียนมาบางส่วน) ผลิตไร้มาตรฐาน มลพิษย่อม ไหลตามภูมิประเทศ และเส้นทางการค้า

สอง—ไทยอาจ ไม่ใช่เหมือง แต่เป็น ทางผ่าน/จุดแปรรูปบางช่วง และตลาดปลายทางของสินค้าเกษตร–อาหาร—เมื่อภาพความเสี่ยง “แม่น้ำ–น้ำประปา–นา–ปลา” เริ่มซ้อนทับ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศคือ ทุนสำคัญ ที่ต้องรักษา

สาม—โลกกำลังตั้งมาตรฐาน ESG/สิทธิมนุษยชนเชิงธุรกิจ เข้มขึ้น ห่วงโซ่อุปทานที่ ตรวจสอบย้อนกลับไม่ได้ จะเผชิญ ความเสี่ยงเชิงพาณิชย์ มากขึ้น ทั้งด้านการเงิน การค้า และชื่อเสียง

แก้เกมคอขวดโลก–ปกป้องแนวหน้าไทย

ต่อภาครัฐ

  • วาง แพลตฟอร์มข้อมูลรวมศูนย์ แบบ real-time ระหว่างหน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–สาธารณสุข–การค้า เพื่อ “เชื่อมจุด” ตั้งแต่ แหล่งน้ำ–ผลตรวจ–สินค้าเกษตร–การนำเข้า/ส่งออก
  • ยกระดับมาตรการการค้า: พิจารณา ยุตินำเข้าแร่จากแหล่งเสี่ยง และกำหนดเงื่อนไข traceability เป็น “ใบผ่านทาง” สำหรับสินแร่ข้ามแดน
  • ดัน EIA/EHIA ข้ามพรมแดน เป็นวาระทวิภาคี และหยิบบทเรียน Trail Smelter เป็นกรอบอ้างอิงทางกฎหมาย–วิทยาศาสตร์
  • ลงทุน ศูนย์ตรวจโลหะหนัก ประจำจังหวัดและ เครือข่ายห้องแล็บ ระดับอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อให้ข้อมูล “ทันสมัย–ใช้ได้จริง”

ต่อภาคธุรกิจ–อุตสาหกรรมปลายน้ำ

  • ทำ แผนที่ห่วงโซ่อุปทาน ลึกกว่าระดับผู้นำเข้า—ลงไปถึง เหมือง–โรงแยก–ผู้ขนส่ง
  • ร่วมลงทุน รีไซเคิลแม่เหล็ก (กังหันลม–e-waste) และพิจารณา วัสดุทดแทน/สถาปัตยกรรมมอเตอร์ ในรุ่นสินค้าบางประเภท
  • กำหนด นโยบายจัดซื้อรับผิดชอบ (Responsible Sourcing) และตรวจสอบ beneficial ownership ของคู่ค้าเพื่อหลีกเลี่ยง “แร่ตลาดมืด”

ต่อจังหวัด–ชุมชน

  • เปิด แดชบอร์ดสาธารณะ แสดงผลตรวจน้ำ–ผลผลิต–ปลา อย่างโปร่งใส เข้าใจง่าย
  • ตั้ง คณะทำงานร่วมพื้นที่ (เกษตรกร–ประปาฯ–สาธารณสุข–สถาบันการศึกษา) เพื่อ “สื่อสารเร็ว–ตัดสินใจพร้อมกัน”
  • สนับสนุน การเฝ้าระวังภาคประชาชน (citizen science) ให้เก็บตัวอย่าง–แจ้งเตือน–ตรวจยืนยันร่วมกับห้องแล็บมาตรฐาน

ถ้าเรากล้าคิด–กล้าทำ

ห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิธคือ กระดูกสันหลัง ของการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด โลกต้องการแม่เหล็กประสิทธิภาพสูงมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ “วิธีการ” ที่จะไปถึงเป้าหมาย Net Zero ต้องไม่แลกมากับ น้ำ–นาข้าว–สุขภาพ ของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง

ประเทศไทยอาจไม่ได้เป็น “โรงงานแปรรูปโลก” แต่มี อำนาจต่อรอง มากกว่าที่คิด—ด้วย นโยบายการค้า ที่เลือกแหล่งแร่รับผิดชอบ, ด้วย ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ที่โปร่งใส, และด้วย ความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ยืนบนหลักฐานวิทยาศาสตร์แน่นหนา

ในตลาดโลก 2563–2568 เราเห็นชัดแล้วว่าคอขวดอยู่ตรงไหน—ปลายน้ำ ของการแยก–กลั่นที่รวมศูนย์ เมื่อรู้เช่นนี้ บทบาทของไทยจึงไม่ใช่แค่ “เฝ้าดูกราฟราคา” แต่ต้อง ขยับนโยบาย และ ยกระดับมาตรฐาน เพื่อให้การพัฒนาไม่ทิ้งใครไว้หลัง—โดยเฉพาะคนริมน้ำ

ข้อคิดปิดท้าย: ถ้า EV คืออนาคต และกังหันลมคือความหวัง แม่เหล็กในมอเตอร์คือหัวใจ—หัวใจดวงนี้ไม่ควรเต้นด้วยค่าใช้จ่ายที่ชุมชนชายแดนต้องจ่ายเพียงฝ่ายเดียว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรแร่ของจีน (MIIT/NDRC)
  • USGS – Mineral Commodity Summaries / Rare Earths
  • International Energy Agency (IEA)
  • Adamas Intelligence / Asian Metal / Roskill (Wood Mackenzie)
  • MP Materials (Mountain Pass)
  • Stimson Center
  • UN – Office of the High Commissioner for Human Rights (OHCHR)
  • กรมควบคุมมลพิษ / กรมทรัพยากรน้ำ / การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (สำนักวิชานิติศาสตร์/นวัตกรรมสังคม)
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายพร้อมหรือยัง? Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่จุดหมายสุขภาพโลก

Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่ “จุดหมายสุขภาพ” ระดับโลก—เชียงรายพร้อมหรือยัง?

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ค่อย ๆ เงียบลงเมื่อพิธีเปิดเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ต้องจับมือกันแน่นขึ้น—จากเชียงรายถึงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง” นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเปิด โดยมี นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย และตัวแทนราชการ-เอกชน-ประชาสังคม 4 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 200 คน วาระสำคัญบนโต๊ะ จะเปลี่ยน “ศักยภาพ” ของภาคเหนือให้เป็น “มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยหนึ่งในสี่อุตสาหกรรมเป้าหมายคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเชื่อมตรงสู่ Medical Tourism ในระดับประเทศ

ไทย—จากจุดหมายท่องเที่ยวสู่จุดหมายสุขภาพ

สองทศวรรษหลังเปิดยุทธศาสตร์ “Medical Hub” ประเทศไทยเดินเกมต่อเนื่อง—ยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน, ขยายบริการเฉพาะทาง, รับรองคุณภาพสากล, เสริมโครงสร้างสนามบิน–วีซ่า–บริการล่าม–รถรับส่ง—จน “การรักษา + การพักผ่อน + การพักฟื้น” หลอมรวมเป็นประสบการณ์เดียว จุดเด่นของไทยยังเหมือนเดิมแต่คมขึ้น: คุณภาพการรักษา, ราคาคุ้มค่า, บริการมืออาชีพและเป็นมิตร ขณะที่ตลาดโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้มองหาการผ่าตัดอย่างเดียว แต่ยังสนใจ ศัลยกรรมความงาม–ชะลอวัย, ทันตกรรม, IVF, หัวใจ–กระดูก–สันหลัง, ไปจนถึง แพทย์ฟื้นฟู/เวชศาสตร์ชะลอวัย และ wellness แบบองค์รวม

แม้ตัวเลขมูลค่าตลาดจากแต่ละสำนักวิจัยต่างกัน (เพราะคำนิยามคนละชุด—Medical vs Health/Wellness) แต่ “ทิศทาง” สอดคล้องกัน เติบโตเร็ว, ตัวยืนใหม่เพิ่ม, ผู้ป่วยพักนาน–ใช้จ่ายนอกการแพทย์สูง, และ อาเซียน–ตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–จีนตอนใต้ เป็นฐานลูกค้าหลัก หากมองทั้งห่วงโซ่ คุณค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แค่ “ค่ารักษา” แต่อยู่ใน ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม–แพ็กเกจพักฟื้น–สปาทางการแพทย์ ซึ่งทำให้ “เมืองปลายทาง” เป็นผู้เล่นตัวจริง ไม่ต่างกับโรงพยาบาล

NEC–Creative LANNA เวทีที่เชียงรายต้องคว้า

นายนิพนธ์ นิยม อธิบายทิศทางการขับเคลื่อน NEC หลังมติ ครม. ที่วางโครงมาจากปี 2565–2566 เป้าประสงค์ 5 ด้านเพื่อกระจายความเจริญ ลดเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิต แข่งขันข้ามพรมแดน และเชื่อมโลก ผ่าน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย—อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น Movie Town), ดิจิทัล (Data Center/Cloud/คอนเทนต์), ท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และ เกษตร–อาหาร (อินทรีย์/สารสกัด/นิคมอาหาร)

สำหรับ Medical/Wellness Tourism จุดแข็งของเชียงรายโดดเด่น

  • ทำเลชายแดน เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ (R3A) มีด่าน–ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน–ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเชียงของ
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศและศักยภาพเชื่อมเมืองหลักภูมิภาค
  • สินทรัพย์ท่องเที่ยว ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ชุมชน–กาแฟ–ชา–งานหัตถกรรม
  • ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา สมุนไพร–นวดไทย–สปา–อาหารพื้นถิ่นสายสุขภาพ—ต่อยอดเป็น Wellness Retreat/Detox/Recovery Stay ได้ทันที

แต่ในสนาม Medical Tourism ความพร้อมต้องไปไกลกว่า “บรรยากาศดี–บริการดี”—เชียงรายจำเป็นต้อง “ปิดช่องว่าง” ต่อไปนี้ให้เร็วและพร้อมกัน

สิ่งที่เชียงรายยังขาด และต้องเร่งเติม

1) มาตรฐานสากลฝั่งสถานพยาบาล
เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติอย่างมั่นใจ โรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางต้องมีมาตรฐานระดับสากล (เช่น JCI หรือเทียบเท่า) ในบริการแกน: ศัลยกรรมความงาม–ทันตกรรม–IVF–กระดูกสันหลัง–หัวใจ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู/ชะลอวัย วันนี้ เชียงรายยัง “พึ่งบริการเฉพาะทางระดับสูงจากหัวเมืองใหญ่” อยู่พอสมควร การยกระดับโรงพยาบาลจังหวัด/เอกชน และการดึงดูดพันธมิตรโรงพยาบาลเครือใหญ่จึงเป็น เกมเชิงรุก ที่ต้องทำคู่กัน

2) International Patient Center (IPC) แบบครบวงจร
ผู้ป่วยต่างชาติต้องการ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ตั้งแต่ก่อนบินจนจบการติดตามผล: นัดหมายแพทย์, ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นทางเทคนิคการแพทย์, second opinion ออนไลน์, รับ–ส่งสนามบิน, ล่าม, อำนวยความสะดวกวีซ่าการแพทย์, ประสานประกันสุขภาพนานาชาติ, จัดที่พัก/อาหารเฉพาะโรค, เวชระเบียนภาษาอังกฤษ, และ digital follow-up หลังกลับประเทศ เชียงรายยังต้องตั้ง/ยกระดับ IPC ในโรงพยาบาลหลัก พร้อมมาตรฐานบริการเดียวกันทั้งเครือข่าย

3) ระบบการเงิน–ประกันต่างประเทศ
การเบิกจ่ายตรงกับ International Insurance/Assistance เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการตัดสินใจผู้ป่วย (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–ยุโรป) เมืองปลายทางต้องมี ทีม Billing นานาชาติ, สัญญาเครือข่ายประกัน, และ DRG/ICD สากลที่แม่น—จุดนี้ยังเป็น gap ของหลายโรงพยาบาลหัวเมือง

4) บุคลากรภาษา–มาตรฐานเอกสาร
แม้แพทย์เก่ง แต่ถ้า touchpoint อื่น ๆ ภาษาไม่พร้อม—ประสบการณ์ผู้ป่วยจะสะดุดทันที จึงต้องมี ล่ามการแพทย์ (อังกฤษ–จีน–พม่า–ลาว–อาหรับ), เอกสารสองภาษา, แผงสื่อสารความเสี่ยง–ยินยอมรักษา (informed consent) มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง

5) โครงสร้างรองรับการพักฟื้น (Recovery/Wellness Stay)
นี่คือ “จุดต่าง” ที่เชียงรายสร้างความได้เปรียบได้เร็ว—โรงแรม/รีสอร์ต/โฮมสเตย์คุณภาพ ต้องร่วมกับโรงพยาบาลทำ แพ็กเกจพักฟื้น เฉพาะหัตถการ (อาหาร–กายภาพ–การพยาบาล–รถรับส่ง–แพทย์เยี่ยม–สปาเชิงการแพทย์) โดยมี Care Pathway ชัดเจนและความปลอดภัยเป็นฐาน

6) การตลาดปลายทางแบบ one story, many doors
ต้องมี แบรนด์ร่วม “Chiang Rai Health & Wellness” ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลายประตู: สถานพยาบาล–ผู้ให้บริการท่องเที่ยว–ตัวแทนการแพทย์ในต่างประเทศ–สายการบิน–OTA เพื่อให้ผู้ป่วยค้นเจอ “ข้อเสนอเดียวกัน–คุณภาพเดียวกัน–ราคาโปร่งใส” ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากช่องทางใด

7) ธรรมาภิบาล–สมดุลกับระบบสุขภาพท้องถิ่น
การเติบโตของ Medical Tourism ต้องไม่ดึงบุคลากรจากระบบรัฐมากเกินไปจนกระทบประชาชนในพื้นที่ จำเป็นต้องมี โควตา/แรงจูงใจ ที่รักษาสมดุล และ โครงการร่วมผลิต–พัฒนาบุคลากร ระหว่างรัฐ–เอกชน พร้อม แนวทางรับเรื่องร้องเรียน/ชดเชย ที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับผู้ป่วยต่างชาติและคนไทย

เส้นทางสู่ความพร้อม แผน 3 ระยะที่ “วัดผลได้”

ระยะสั้น 0–12 เดือน “ย้ำหัวใจประสบการณ์ผู้ป่วย”

  • ตั้ง Chiang Rai International Patient Desk กลาง (ออนไลน์ + จุดบริการสนามบิน) เชื่อมโรงพยาบาลหลัก/โรงแรมพันธมิตร
  • คัด “5 สายผลิตภัณฑ์เรือธง” ที่ทำได้ทันที: ทันตกรรมด่วน, ศัลยกรรมเล็ก–ความงามเฉพาะ, โปรแกรมชะลอวัย/Detox, กายภาพ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู, โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
  • Fast track เอกสาร 2 ภาษา, ล่ามการแพทย์, ระบบรับ–ส่ง, จับมือโรงแรมทำ Recovery Packages อย่างน้อย 10 ชุด
  • วัดผลด้วย จำนวนเคสต่างชาติ, คะแนนความพึงพอใจ, ค่าใช้จ่ายต่อเคส (ใน-นอกการแพทย์)

ระยะกลาง 12–36 เดือน  “ล็อกมาตรฐาน–ขยายบริการเฉพาะทาง”

  • พัฒนา/ดึงดูด ศูนย์เฉพาะทาง อย่างน้อย 2 ด้าน (เช่น กระดูกสันหลัง, IVF, เวชศาสตร์ฟื้นฟูชั้นสูง) สู่มาตรฐานสากล
  • ทำ สัญญาเครือข่ายประกันนานาชาติ 10–20 ราย, ตั้ง International Billing Unit ร่วม
  • สร้าง/ยกระดับ Wellness Campus (สมุนไพร–สปาการแพทย์–กายภาพ) เชื่อมชุมชนท้องถิ่น
  • วัดผลด้วย รายได้รวมห่วงโซ่, สัดส่วนเคสประกันนานาชาติ, อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ระยะยาว 36 เดือนขึ้นไป “ศูนย์กลางสุขภาพชายแดนตอนบน”

  • เป็นเจ้าภาพ งานประชุม/มหกรรม Health & Wellness ระดับอนุภูมิภาค (GMS/ล้านช้าง-แม่โขง)
  • พัฒนา ข้อมูลสุขภาพ–เวชท่องเที่ยว ระดับเมือง (แดชบอร์ดสาธารณะ) เพื่อนโยบายฐานข้อมูล
  • ตั้ง กองทุนพัฒนาสุขภาพจังหวัด จากรายได้อุตสาหกรรม เพื่อ “คืนกลับ” สู่ระบบสุขภาพประชาชน—ทำให้การเติบโต “ไม่ทิ้งใคร”

เสียงจากเวทีเชื่อมยุทธศาสตร์ให้ลงดิน

บนเวทีเวิร์กช็อป นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ย้ำว่า “NEC จะสำเร็จได้ ต้อง ‘ทำงานร่วม’ ระหว่างรัฐ–เอกชน–ชุมชน—เชียงรายมีทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติพร้อม แต่เราต้องแปลงทุนให้เป็นบริการที่มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง” ขณะที่ นายนิพนธ์ นิยม ชี้เป้า “ห่วงโซ่คุณค่า” ว่า “ปีนี้เราจะเน้นสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมมากขึ้น ทั้งในมิติแพทย์แผนปัจจุบัน–แผนไทย–Wellness—และเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ตรง”

แม้ไม่มี “คำตอบลัด” แต่ฉากหน้าเริ่มชัดเจน: เมืองชายแดนที่ เดินเกมมาตรฐาน–บริการไร้รอยต่อ–แพ็กเกจพักฟื้นที่ปลอดภัย–การตลาดร่วม จะชิงส่วนแบ่งตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง—และที่สำคัญคือ ทำให้การเติบโตไม่ย้อนศรคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ตัวเลขที่ชวนคิดชวนโฟกัส

  • รายงานตลาดบางสำนักประเมิน Health/Wellness Tourism ไทย แตะหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตในอัตราสูงมากเมื่อรวมบริการสุขภาวะ ขณะที่รายงานที่จำกัดเฉพาะ Medical Tourism ประเมิน หลักหลายร้อยล้าน–พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—สะท้อนความต่างเชิงคำนิยามมากกว่าความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง
  • สัดส่วน Wellness ในตลาดสุขภาพอาเซียนถูกประเมินว่ามีส่วนแบ่งสูง (หลายฉบับระบุราว 70%+ ของภาพรวมสุขภาพ/การแพทย์รวมกัน) จึงเป็น “ทางด่วน” ที่เชียงรายสามารถขึ้นรถได้เร็ว—หากทำให้ ปลอดภัย–เป็นสากล–เชื่อมแพทย์ปัจจุบัน
  • ผู้ป่วยต่างชาติ non-medical spend (ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม) สูง—หมายถึง “รายได้เมือง” จะเกิดเมื่อเรามี แพ็กเกจพักฟื้น ที่คำตอบครบตั้งแต่รพ.ถึงโรงแรม ไม่ใช่ขาย “ค่าห้องผ่าตัด” เพียงอย่างเดียว

เชียงราย—จากคำถาม “พร้อมหรือยัง” สู่ “พร้อมอย่างไร”

คำตอบสั้น ๆ คือ พร้อมบางส่วน แต่ยังต้องเร่ง “เชื่อมจุด” จุดแข็งของเชียงราย—ทำเลชายแดน, สนามบิน, ทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติ, ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา—คือฐานที่ดีมาก เมื่อประกอบเข้ากับกรอบ NEC–Creative LANNA เมืองสามารถ “ยกระดับ” เป็น จุดหมายสุขภาพชายแดนตอนบน ได้จริง หากลงมือ 4 เรื่องใหญ่ พร้อมกัน:

  1. มาตรฐานสากล–ศูนย์เฉพาะทาง (เลือกไม่กี่เรือธงแล้วทำให้ชนะจริง),
  2. International Patient Center + ประกันนานาชาติ (ทำให้การเดินทางรักษาไร้รอยต่อ),
  3. แพ็กเกจพักฟื้นเชื่อมชุมชนอย่างปลอดภัย (เปลี่ยนโรงแรม–รีสอร์ตให้เป็น Recovery Partner), และ
  4. ธรรมาภิบาล–คืนกำไรสู่ระบบสุขภาพประชาชน (ให้คนเชียงรายได้ประโยชน์จากการเติบโต)

บนถนนสาย Medical Tourism เมืองที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน—ให้บริการมาตรฐานเดียวกัน—คิดภาพรวมทั้งห่วงโซ่” จะไปได้เร็วและไกลกว่า คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า พร้อมหรือยัง แต่คือ พร้อมอย่างไร ให้ ได้มาตรฐาน และ ได้ส่วนแบ่ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (20 ก.ย. 2565; 31 ม.ค. 2566)
  • จังหวัดเชียงราย / สำนักงานจังหวัดเชียงราย: เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ NEC (22–24 ก.ย. 2568) คำชี้แจงโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าสำนักงานจังหวัด
  • กระทรวงสาธารณสุข: แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ต่อเนื่องถึงแผน 2017–2026
  • Data Bridge Market Research: Thailand Health/Wellness Tourism
  • IMARC Group และ Credence Research: Thailand Medical Tourism
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาพันธ์โรงพยาบาลเอกชนไทย / ข้อมูลการรับรอง Joint Commission International (JCI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

น้ำกกไม่เกินมาตรฐาน! คพ.ชี้แจงผลตรวจโลหะหนัก แต่แม่น้ำชายแดนยังวิกฤตสารหนู

คพ.ชี้ “แม่น้ำกก” ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน แต่ “แม่น้ำสาย–รวก” ยังวิกฤตสารหนู บททดสอบความมั่นคงทรัพยากรน้ำชายแดนเหนือ

เชียงราย, 21 กันยายน 2568 — ยามเช้าตรู่บนสันเขาแม่จัน แดดสีทองยังไม่ทันเฉือนหมอกให้ขาวโปร่ง น้ำในลำน้ำกกยังคงมีสีขุ่นจัดอย่างที่ชาวบ้านคุ้นตามาหลายเดือน แม่ค้าแผงผักริมท่าน้ำบอกว่า “น้ำแรงดี แต่น้ำสีไม่ค่อยสวย” ประโยคสั้นๆ นี้สะท้อนความกังวลของชุมชนปลายน้ำที่พึ่งพาแม่น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและยังใช้เลี้ยงชีพในฐานะ “เส้นเลือด” ทางเศรษฐกิจของเชียงราย

ภาพความขุ่นคล้ายน้ำชาดที่เห็น ไม่ได้เท่ากับ “น้ำเสีย” เสมอไป—นั่นคือข้อเท็จจริงชุดแรกที่ผลตรวจวิเคราะห์ล่าสุดของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ย้ำให้ชัดขึ้น คพ.รายงานว่าแม่น้ำกกและลำน้ำสาขาหลักมีคุณภาพน้ำโดยรวม “อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน” ด้านโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู (As)” ไม่เกินค่าเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรในทุกจุดที่ตรวจ ในขณะที่ “แม่น้ำสาย” และ “แม่น้ำรวก” บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ยังพบค่าสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่องหลายจุด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนวิกฤตแหล่งน้ำข้ามพรมแดนที่ยังต้องเร่งแก้ไขเชิงระบบและเชิงการทูตควบคู่กันไป

สีขุ่นที่ชวนตั้งคำถาม กับข้อเท็จจริงที่ต้องแยกแยะ

ตั้งแต่ไตรมาสสองปีนี้ ชาวเชียงรายคุ้นกับข่าว “น้ำกกขุ่น” จนหลายคนโยงไปถึงการทำเหมืองแร่หายาก (rare earth) ฝั่งต้นน้ำในเมียนมา ซึ่งสื่อชายแดนรายงานต่อเนื่องว่าอาจพาสารแขวนลอยและโลหะหนักไหลลงสู่ลำน้ำ โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดูและมรสุมที่ทำให้ปริมาณน้ำท่าพุ่งสูงผิดปกติ แม้ความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็เพียงพอให้หน่วยงานไทยต้องตั้ง “การเฝ้าระวังเชิงรุก” เป็นวาระเร่งด่วนมาตั้งแต่กลางปี

เพื่อคลี่คลายข้อกังวล คพ.ตั้ง “แผนตรวจติดตามพิเศษ” เก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง และตะกอนดินเดือนละ 1 ครั้ง (ช่วง พ.ค.–ก.ย.) ครอบคลุมแม่น้ำกก 15 จุด (KK01–KK15) ลำน้ำสาขา (แม่น้ำฝาง–ลาว–กรณ์–สรวย) รวมถึงแม่น้ำสาย 3 จุด และแม่น้ำรวก 2 จุด ตลอดจนตรวจในแม่น้ำโขง 3 จุด ให้ได้ภาพ “เชิงพื้นที่และเชิงเวลา” ที่มากพอสำหรับประเมินแนวโน้มความเสี่ยง

10 รอบตรวจ วัดได้อะไร “กกไม่เกิน–สายเกิน” และบทเรียนจากฤดูฝน

ผลตรวจครั้งที่ 10 (18–22 ส.ค. 2568) คพ.สรุปว่า

  • แม่น้ำกกและลำน้ำสาขา: ค่าสารหนู “ไม่เกิน” เกณฑ์มาตรฐานทุกจุด แม้ค่าความขุ่นและสีออกน้ำตาลแดงยังสูงตามฤดูกาลและอิทธิพลพายุช่วงปลายก.ค.–ส.ค.
  • แม่น้ำสาย: พบ “สารหนูเกิน” มาตรฐานทั้ง 3 จุด ได้แก่ บ้านหัวฝายและสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 (0.022 มก./ล.) และบ้านป่าซางงาม (0.020 มก./ล.)
  • แม่น้ำรวก: เกินมาตรฐานทั้ง 2 จุด คือ RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง และ RU02 ปลายน้ำก่อนลงโขง (0.011 มก./ล. เท่ากัน)

คพ.วิเคราะห์เบื้องต้นว่า ปริมาณน้ำท่าที่เพิ่มขึ้นมากในฤดูฝนช่วย “เจือจาง” มลพิษในหลายพื้นที่ จึงเห็นภาพแม่น้ำกก “ผ่านมาตรฐาน” ต่อเนื่องในรอบหลังๆ แต่บริเวณแม่น้ำสาย–รวก ซึ่งใกล้แหล่งกำเนิดมลพิษ อาจได้รับอิทธิพลจากต้นน้ำมากกว่า จึงยังเกินมาตรฐานแม้ปริมาณน้ำสูง

เกณฑ์อ้างอิงสำคัญ: ไทยกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินสำหรับ “สารหนู” ไม่เกิน 0.01 มก./ล. ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งใช้เป็นฐานพิจารณาความเสี่ยงเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของแหล่งน้ำผิวดินทั่วประเทศ

น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าการตรวจรอบล่าสุด สื่อสาธารณะและนักกิจกรรมชายแดนเคยเผยแพร่ผลตรวจในบางช่วงที่ “แม่น้ำกก” เองมีค่าโลหะหนักเกินมาตรฐาน ณ บางจุด ซึ่งตอกย้ำว่าภาพรวมคุณภาพน้ำ “แปรตามฤดูกาลและสภาพภูมิศาสตร์” การอ่านค่าต้องดูเป็น “ชุดข้อมูลต่อเนื่อง” ไม่ใช่หยิบเฉพาะช่วงที่ช็อกความรู้สึกประชาชนมาอธิบายทั้งระบบ

ชายแดน–ข้ามพรมแดน เมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่รู้จักเส้นเขตแดน

ข้อเท็จจริงที่ยากที่สุดของปัญหาแหล่งน้ำภาคเหนือคือ “มันไม่ได้เกิดอยู่ฝ่ายเดียว” แหล่งกำเนิดมลพิษจำนวนมากอยู่ “นอกเขตอำนาจไทย” เช่น กิจกรรมเหมืองแร่หายากและการใช้สารเคมีในเขตอุตสาหกรรมเหมืองของเมียนมา ซึ่งสื่อชายแดนรายงานต่อเนื่องว่าเล็ดลอดสู่ระบบนิเวศและลำน้ำสาขาที่ไหลลงกก สาย และรวก สู่พรมแดนไทย–เมียนมา

เพราะฉะนั้น “มาตรการไทยล้วนๆ” เช่น เพิ่มความถี่ตรวจหรือสั่งเฝ้าระวังสถานีสูบน้ำ แม้จำเป็น แต่ไม่พอ สิ่งที่ต้องเดินคู่กันคือการประสานงานระหว่างรัฐอย่างเป็นระบบ—ตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ชายแดนไปจนถึงคณะทำงานร่วมระดับทวิภาคี เพื่อให้เกิด “ข้อปฏิบัติร่วม” ในการควบคุมแหล่งกำเนิดและแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุผิดปกติปลายน้ำ โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

เสียงจากเวทีนโยบาย วุฒิสภาลงพื้นที่–จังหวัดสานพลังหน่วยงาน

เมื่อ 19 กันยายน 2568 คณะกรรมาธิการวุฒิสภาที่กำกับงานสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ลงพื้นที่เชียงราย ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อหารือสองวาระใหญ่ ได้แก่ (1) การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง และ (2) ปัญหาสถานะบุคคลชายแดน โดยย้ำให้ทุกฝ่ายเร่งมาตรการป้องกันผลกระทบสุขภาพและสร้างกลไกติดตามอย่างเป็นรูปธรรม การเคลื่อนไหวทางนิติบัญญัตินี้สะท้อนแรงกดดันจากสังคมว่า “น้ำสะอาด” คือสิทธิขั้นพื้นฐานของคนชายแดนที่รัฐต้องคุ้มครอง

 “สี–ขุ่น–โลหะหนัก” ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

หลายชุมชนผูกโยง “น้ำสีน้ำตาลแดงและขุ่น” เข้ากับ “น้ำเป็นพิษ” โดยอัตโนมัติ แต่ในเชิงวิชาการ สีและความขุ่น บอกถึงตะกอนแขวนลอย แร่ดิน และอินทรียวัตถุ—ไม่ใช่ตัวชี้วัดโลหะหนักโดยตรง โลหะหนักอย่าง “สารหนู” ต้องตรวจแบบเฉพาะทางและเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานจึงสรุปความเสี่ยงได้ นี่คือเหตุผลที่คพ.เน้นตรวจ “โลหะหนัก” ควบคู่ “ตะกอนดิน” และ “คุณภาพกายภาพ” ของน้ำในแผนเดียวกัน เพื่ออ่านแนวโน้มอย่างครบด้าน

ในด้านสุขภาพ ค่าสารหนู 0.01 มก./ล. เป็น “เกณฑ์มาตรฐาน” ที่หลายประเทศใช้เป็นเส้นฐานสำหรับแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ทั้งในบริบทน้ำผิวดินและน้ำดื่ม (หน่วยงานกำกับคุณภาพน้ำดื่มของสหรัฐ เช่น EPA ก็กำหนดเพดานสูงสุดระดับเดียวกัน) ซึ่งสอดคล้องกับฐานคิดสากลด้านพิษวิทยาที่ลดความเสี่ยงในระยะยาวต่อโรคมะเร็งและระบบไหลเวียนโลหิต

ผลต่อเศรษฐกิจชุมชน ต้นทุนซ่อนเร้นของ “ความไม่แน่นอน”

แม้ผลล่าสุดจะยืนยันว่า “แม่น้ำกกยังผ่านมาตรฐานโลหะหนัก” แต่ความไม่แน่นอนที่ลากยาวคือ ต้นทุนซ่อนเร้น ของท้องถิ่น—ตั้งแต่ต้นทุนผู้ผลิตน้ำประปาที่ต้องปรับกระบวนการกรอง–ตกตะกอนเพิ่มในช่วงน้ำขุ่น ไปจนถึงผู้ค้าการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากภาพจำ “น้ำไม่ใส” ของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกิจกรรมทางน้ำอย่างแพยาง–ล่องเรือซึ่งขาย “ความงามแม่น้ำ” เป็นสินค้า ต้นทุนทางความรู้สึกนี้ แม้ไม่มีตัวเลขเร็วๆ นี้ แต่สะสมเป็น “ต้นทุนชื่อเสียงปลายทาง” ที่สำคัญไม่แพ้ต้นทุนทางวิศวกรรม

ในทางกลับกัน จังหวัดและองค์กรปกครองท้องถิ่นสามารถ “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส” ได้ หากใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่โปร่งใสและสื่อสารเชิงรุก—เช่น การรายงานค่าคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์, แผนที่จุดเสี่ยงตามฤดูกาล, แนวทางใช้น้ำอย่างปลอดภัยสำหรับครัวเรือนริมฝั่ง—เพื่อลดข่าวลือและเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้มาเยือนและนักลงทุน

แผนรับมือเชิงระบบ 5 คานงัดที่ควรทำ “ทันที–ระยะสั้น–ระยะยาว”

  1. ทำให้ข้อมูล “เข้าถึงง่ายและสม่ำเสมอ”
    เผยแพร่ผลตรวจจากคพ.และหน่วยงานท้องถิ่นในรูปแบบแดชบอร์ด แยกตามแม่น้ำ–จุดตรวจ–ไทม์ไลน์ พร้อมคำอธิบายความหมายของค่ามาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนอ่านออกและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ลดช่องว่างข่าวลือ
  2. ปกป้องจุดวิกฤต: สถานีสูบน้ำและแหล่งใช้น้ำสาธารณะ
    ในแม่น้ำสาย–รวกที่ยังเกินเกณฑ์ ควรเพิ่มความถี่ตรวจก่อน–หลังสถานีสูบน้ำ, เสริมระบบกรองเฉพาะกิจ และประกาศคำแนะนำการใช้น้ำอย่างชัดเจน (เช่น ใช้เพื่อการเกษตรได้หรือไม่ ต้องพักน้ำ–ตกตะกอนกี่ชั่วโมง) ควบคู่การสำรองแหล่งน้ำชั่วคราวของชุมชน
  3. เจรจาทวิภาคี–เขตแดน
    ตั้งคณะทำงานไทย–เมียนมาด้าน “คุณภาพแหล่งน้ำร่วม” บริหารบนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ร่วมกัน กำหนดจุดตรวจในฝั่งต้นน้ำ, กลไกแจ้งเตือน, และมาตรการลดผลกระทบจากกิจกรรมเหมือง/อุตสาหกรรมที่อาจปนเปื้อน เพื่อป้องกันก่อนปัญหาจะไหลถึงชายแดน
  4. เสริมมาตรฐานท้องถิ่นให้เกินข้อกำหนดขั้นต่ำ
    แม้มาตรฐานสารหนูไทยกำหนดไว้ที่ 0.01 มก./ล. แต่เทศบาลหรือการประปาท้องถิ่นอาจตั้ง “ระดับเตือนภัยล่วงหน้า” ที่เข้มกว่า เพื่อกระตุ้นมาตรการเชิงป้องกันเร็วขึ้น—แนวคิดที่สอดคล้องกับหลักการระมัดระวังไว้ก่อน
  5. สร้างภูมิคุ้มกันชุมชนด้วยความรู้
    สนับสนุนโครงการ “นักสังเกตน้ำชุมชน” ฝึกให้โรงเรียน–อสม.–สภาเด็กและเยาวชนเก็บตัวอย่างแบบ citizen science ภายใต้มาตรฐานวิชาการ แล้วป้อนข้อมูลสู่ฐานกลาง จะช่วยเพิ่มจุดข้อมูลและสร้างเจ้าของปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่

เมื่อข้อมูลวิทยาศาสตร์ต้องแปลเป็น “ความอุ่นใจ”

คำว่า “เกินมาตรฐาน” หรือ “อยู่ในเกณฑ์” เป็นคำวิทยาศาสตร์ที่จำเป็น แต่ยังไม่พอสำหรับปลอบใจชุมชน—เพราะสิ่งที่ครัวเรือนต้องการคือ “ความอุ่นใจ” ว่าจะตักน้ำหุงข้าวได้อย่างปลอดภัย จะพาลูกลงเล่นน้ำหน้าบ้านได้โดยไม่ต้องกังวล สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เมื่อการสื่อสารวิทยาศาสตร์เดินคู่กับมาตรการจับต้องได้ เช่น ป้ายแจ้งเตือนที่อ่านง่าย, เสียงตามสายของ อบต., อินโฟกราฟิกสั้นๆ ในไลน์กลุ่มหมู่บ้าน และการตอบคำถามสาธารณะอย่างสม่ำเสมอในวันที่ฝนมามากผิดปกติ

ในอีกฟากหนึ่ง ภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว—ตั้งแต่ผู้ประกอบการล่องเรือ–โฮมสเตย์ ไปจนถึงร้านอาหารริมน้ำ—ควรเข้ามาเป็น “หุ้นส่วนสื่อสาร” ให้ข้อมูลตรงกับทางการ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติคุณภาพ เหตุเพราะ “ความจริง” ที่ตรวจได้วันนี้ อาจกลายเป็น “ความเชื่อ” ที่อยู่ยาวในใจนักท่องเที่ยวไปอีกนาน

 “เสี้ยวส่วนร้อย” ที่พลิกความเสี่ยง

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินไทย 0.01 มก./ล. แต่ค่าในแม่น้ำสายรอบล่าสุดอยู่ที่ 0.020–0.022 มก./ล. ซึ่งเป็นเพียง “เสี้ยวส่วนร้อย” ของกรัมต่อลิตร ทว่าในมิติสุขภาพ “เสี้ยวส่วนร้อย” นี้คือความต่างระหว่าง “ผ่านมาตรฐาน” กับ “ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น”
  • แม่น้ำรวกทั้งสองจุดแตะ 0.011 มก./ล. แปลว่าขยับเหนือเส้นเกณฑ์เล็กน้อย แต่ถ้ารักษาระดับนี้ต่อเนื่องยาวนาน—โดยเฉพาะในพื้นที่สูบน้ำประปา—จะกลายเป็นความเสี่ยงเรื้อรังที่ต้องจัดการด้วยมาตรการเชิงวิศวกรรมและการบริหารน้ำดิบ
  • ขณะที่ “แม่น้ำกก” ผ่านมาตรฐานโลหะหนักในรอบล่าสุดทั้งหมด 15 จุด แต่ยังคง “สีและความขุ่น” สูง—เตือนว่า การจัดการตะกอนแขวนลอยและการสื่อสารความปลอดภัย ยังสำคัญแม้โลหะหนักไม่เกินเกณฑ์

ทางออกที่สมศักดิ์ศรีเมืองชายแดน โปร่งใส–เชื่อมโยง–เข้มแข็ง

เชียงรายคือประตูสู่ลุ่มน้ำโขงและจีนตอนใต้ การดูแล “แม่น้ำกก–สาย–รวก” ให้สะอาดและมีเสถียรภาพคือภารกิจที่เกินกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม—มันคือ ความมั่นคงของเมืองชายแดน ในมิติอาหาร น้ำดื่ม สุขภาพ และเศรษฐกิจฐานชุมชน

ภาพที่พึงประสงค์ไม่ใช่น้ำใสอย่างเดียว แต่คือ “ระบบที่โปร่งใส” ซึ่งตรวจได้–สื่อสารได้–รับผิดชอบได้ และ “ความร่วมมือที่เชื่อมโยง” ตั้งแต่ครัวเรือน–ท้องถิ่น–ส่วนกลาง–ชายแดนระหว่างประเทศ จนเกิด “ชุมชนเข้มแข็ง” ที่พร้อมรับมือฤดูฝนหน้า และฤดูน้ำหลากที่คาดเดาไม่ได้ยิ่งขึ้นในยุคสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

วันนี้ เรามีข่าวดีครึ่งหนึ่ง—แม่น้ำกกไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน—แต่ก็มีสัญญาณเตือนอีกครึ่งหนึ่งจากแม่น้ำสายและรวกที่ยังเกินเกณฑ์ คำถามไม่ใช่ว่า “จะรอให้ธรรมชาติช่วยเจือจางอีกหรือไม่” แต่คือ “เราจะทำอะไรเพิ่มตั้งแต่วันนี้” เพื่อให้ครั้งที่ 11, 12 และทุกครั้งถัดไป—ตัวเลขยืนยันความปลอดภัยมากขึ้น และความอุ่นใจของคนเชียงรายมากขึ้นตามลำดับ

สรุปสาระสำคัญ

  • ผลตรวจล่าสุด (รอบ 10): แม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน ขณะที่แม่น้ำสาย (0.020–0.022 มก./ล.) และแม่น้ำรวก (0.011 มก./ล.) ยังเกิน ต้องเฝ้าระวังเข้มข้น
  • เหตุปัจจัย: ฤดูฝน–พายุทำให้ปริมาณน้ำท่าสูง ช่วยเจือจาง แต่จุดใกล้แหล่งกำเนิดข้ามพรมแดนยังเกิน—จำเป็นต้องมีความร่วมมือไทย–เมียนมาในระดับนโยบายและวิชาการ
  • นโยบายในประเทศ: วุฒิสภาและจังหวัดระดมหน่วยงานหารือ ย้ำป้องกันผลกระทบสุขภาพและตั้งกลไกติดตามที่วัดผลได้
  • มาตรฐานอ้างอิง: ไทยกำหนดสารหนูในน้ำผิวดินไม่เกิน 0.01 มก./ล. สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) 
  • Transborder News 
  • คณะกรรมาธิการวุฒิสภา 
  • ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 
  • U.S. EPA – ข้อมูลอ้างอิงสากลเรื่องค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม (0.010 มก./ล.) เพื่อเทียบเคียงหลักการคุ้มครองสุขภาพระยะยาว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

แผนพัฒนาเวียงหนองหล่ม กรมชลฯ ยืนยันไม่กระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมรับฟังชุมชน

กรมชลประทานชี้แจง “เวียงหนองหล่ม” ย้ำไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม—วางแผนแก้ขาดแคลนน้ำด้วยพื้นที่ 2 โซน อนุรักษ์–พัฒนา พร้อมรับฟังความเห็นชุมชน

เชียงราย, 18 กันยายน 2568 — กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์กรณี “โครงการอนุรักษ์แบบกรมชลฯ คือการทำลายระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำ” จุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญต่อทิศทางการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ โดยเฉพาะโครงการ พัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการวางแผนพัฒนา ล่าสุด กรมชลประทาน (โครงการชลประทานเชียงราย) ออกแถลงชี้แจงย้ำเจตนารมณ์ว่า โครงการไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมในลักษณะรุนแรง และได้กำหนด พื้นที่อนุรักษ์ กับ พื้นที่พัฒนาแหล่งน้ำ อย่างชัดเจนควบคู่การรับฟังความเห็นประชาชน

การชี้แจงครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ตอบโต้กระแส” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาสำคัญว่าด้วย สมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ บนพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ราว 14,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งความหมายทางนิเวศและความจำเป็นด้านปากท้องของชุมชน

จุดตั้งต้นของปัญหา หนองน้ำตื้นเขิน–กักเก็บน้ำไม่ได้

เวียงหนองหล่มเป็นแอ่งรับน้ำธรรมชาติ เดิมอุดมไปด้วยพืชน้ำและสัตว์น้ำพื้นถิ่น แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกิด ตะกอนสะสมและวัชพืชปกคลุมหนาแน่น ทำให้ความสามารถในการเก็บกักน้ำถดถอย ส่งผลกระทบต่อ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ในพื้นที่รอบข้าง

สถานการณ์นี้ถูกสะท้อนผ่าน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า และ ผู้นำชุมชน ที่รวบรวมข้อเท็จจริงและความเดือดร้อนไปยังหน่วยงานรัฐ กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ กรอบแผนพัฒนา–อนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม และมอบหมายให้กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนาเชิงระบบเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้ประชาชน

ใจความสำคัญ “ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำกลับมาทำหน้าที่กักเก็บ–ชะลอน้ำ และเป็นแหล่งน้ำดิบให้ชุมชน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนดั้งเดิม”

กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบ–แบ่งโซน–รับฟังชุมชน

กรมชลประทานระบุว่า ก่อนกำหนดแนวทางพัฒนา ได้จัดทำ รายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study Report) เพื่อตรวจสอบสถานภาพพื้นที่และความเสี่ยงเชิงนิเวศ ผลเบื้องต้นชี้ว่า พื้นที่โครงการไม่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย และ “ไม่มีผลกระทบเชิงนิเวศในลักษณะรุนแรง” หากดำเนินการตามกรอบมาตรการที่กำหนด

เพื่อลดความกังวลและเพิ่มความโปร่งใส โครงการกำหนด 2 โซนหลัก ดังนี้

  1. โซนอนุรักษ์ – พื้นที่ที่ชุมชนร้องขอให้คงสภาพธรรมชาติ เช่น “ป่าโกงกางน้ำจืด” (Freshwater mangrove) ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำ–นกน้ำ และพืชเฉพาะถิ่น โซนนี้จะ ไม่นำเครื่องจักรเข้าไปรบกวน และจะมีมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ
  2. โซนพัฒนาแหล่งน้ำ – พื้นที่ที่จะดำเนินการ ขุดลอกตะกอน จัดเก็บพื้นที่รับน้ำ สร้าง อาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำให้เพียงพอครัวเรือนและเกษตรกรรม โดยคำนึงถึงทางน้ำเดิม แก้มลิงตามธรรมชาติ และการเชื่อมโยงลุ่มน้ำสาขา

นอกจากการแบ่งโซน โครงการยังยืนยันว่ามี เวทีรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อีกหลายรอบ เพื่อเก็บข้อมูลประกอบการออกแบบในรายละเอียด—ตั้งแต่ระดับระดับน้ำที่เหมาะสม พื้นที่หลบอาศัยสัตว์น้ำ แปลงพืชอาหารของชุมชน ไปจนถึงตำแหน่งพื้นที่สาธารณะ

เวียงหนองหล่ม” ในสายตาชุมชน ความหวังเรื่องน้ำ กับความกังวลเรื่องธรรมชาติ

เมื่อสืบคำบอกเล่าในพื้นที่ พบสองอารมณ์ที่ดำเนินควบคู่กัน—ความหวัง ว่าชุมชนและเกษตรกรจะมีน้ำเพียงพอมากขึ้น ลดต้นทุนขุดบ่อและซื้อน้ำในหน้าแล้ง และ ความกังวล ว่าการก่อสร้างจะกระทบพื้นที่อาหารของสัตว์น้ำและนกน้ำที่ชาวบ้านคุ้นชิน

การออกแบบเชิง “อยู่ร่วม” จึงเป็นโจทย์กลางของกรมชลประทาน นั่นคือ การยอมรับว่าพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่แค่อ่างเก็บน้ำ แต่เป็น ระบบนิเวศ ที่ต้องรักษาจังหวะน้ำขึ้น–ลง เส้นทางอพยพของปลา และพืชน้ำที่ทำหน้าที่ ดูดซับสารอาหาร เพื่อคุณภาพน้ำที่ดี

มาตรการเบื้องต้นที่ถูกหยิบยกในการชี้แจง ได้แก่

  • คงพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ เป็นเขตอนุรักษ์—งดงานก่อสร้าง–งดเรือเครื่อง–จำกัดการเข้าถึง
  • กำหนดระดับน้ำเชิงนิเวศ (Environmental Flow) ให้ใกล้เคียงสภาพธรรมชาติในฤดูกาลต่าง ๆ
  • ทำแนวกันชน (Buffer) รอบโซนอนุรักษ์ ลดการรบกวนของเสียง–ตะกอน–กิจกรรมท่องเที่ยว
  • ทำทางผ่านสัตว์น้ำ/ช่องเปิด ที่โครงสร้าง เพื่อรักษาการไหลเวียนและการขยายพันธุ์
  • เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ชีวภาพ ก่อน–ระหว่าง–หลังดำเนินงาน พร้อมเผยแพร่ผลอย่างสม่ำเสมอ

ก้าวย่างนโยบาย จาก “น้ำพอเพียง” สู่ “น้ำอย่างยั่งยืน”

ความสำคัญของเวียงหนองหล่มไม่ได้อยู่แค่พื้นที่ 14,000 ไร่ แต่คือการเป็น ต้นแบบ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำของท้องถิ่นที่มีบทบาท “สองหน้าที่”—แก้มลิงรับน้ำ และ ระบบนิเวศอาหาร สำหรับชุมชน

หากการพัฒนาเดินตามกรอบ สองโซน อย่างมีวินัย ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคมที่คาดหวังคือ

  • ความมั่นคงน้ำชุมชน ลดความเสี่ยงน้ำแล้ง น้ำท่วมเฉียบพลัน เพิ่มความเชื่อมั่นการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
  • ต้นทุนเกษตรลดลง เข้าถึงน้ำใกล้แปลง ลดค่าเครื่องสูบน้ำ–ค่าน้ำมัน และเพิ่มรอบปลูกที่เหมาะสม
  • ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–เรียนรู้ หากโซนอนุรักษ์รักษาคุณค่าไว้ได้ พื้นที่ศึกษาธรรมชาติ นกน้ำ และพืชน้ำจะกลายเป็นฐานกิจกรรมของโรงเรียน–ชุมชน (โดยไม่รบกวนระบบนิเวศ)
  • ทุนสังคม–สิ่งแวดล้อม เมื่อคนในพื้นที่เห็นประโยชน์จากการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำ ก็มีแรงจูงใจร่วมดูแลในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อ การกำกับติดตาม เข้มแข็ง—ทั้งจากรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน—และมี กลไกสื่อสารข้อมูล ที่ต่อเนื่อง โปร่งใส ตรวจสอบได้

วิเคราะห์เชิงนโยบาย คำตอบของ “สมดุล” อยู่ที่วินัยการปฏิบัติ

การชี้แจงของกรมชลประทานครั้งนี้ตอบโจทย์ หลักการ ได้พอสมควร—ยืนยันไม่อยู่ในเขตคุ้มครอง, ศึกษาผลกระทบเบื้องต้น, แบ่งโซนอนุรักษ์–พัฒนา, รับฟังชุมชน—แต่ ความท้าทาย ยังอยู่ที่ “การลงมือทำ” ที่ต้องรักษาวินัย 4 ประการ

  1. วินัยด้านนิเวศ – การยึดมั่นกรอบโซนอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด ไม่ขยายงานก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่เปราะบาง แม้ภายหลังจะเกิดแรงกดดันเรื่องประสิทธิภาพกักเก็บน้ำ
  2. วินัยด้านวิศวกรรม–ข้อมูล – ออกแบบระดับน้ำและทางไหลให้สอดคล้องฤดูกาล ขณะที่ เก็บข้อมูลชีวภาพ–คุณภาพน้ำ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนตามหลักฐาน (adaptive management)
  3. วินัยด้านการมีส่วนร่วม – ตั้งคณะกรรมการพื้นที่ที่มี ตัวแทนชุมชน–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–นักวิชาการ ร่วมกำกับติดตาม พร้อม แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เผยแพร่ข้อมูลรายไตรมาสให้สาธารณะเข้าถึง
  4. วินัยด้านกฎหมาย–ธรรมาภิบาล – ทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อม–ผังเมือง–แหล่งน้ำ และเปิดเผยสัญญา–วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ผลตรวจรับอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันข้อครหาในอนาคต

เมื่อทั้ง 4 วินัยถูกยึดถือจริง ความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายห่วงนิเวศกับฝ่ายห่วงน้ำกิน–น้ำใช้จะถูกคลี่คลายสู่ พื้นที่กลาง ที่จับต้องได้

เสียงสะท้อนที่ต้องฟัง คำถามเชิงสร้างสรรค์จากสังคม

กระแสในโลกออนไลน์ แม้บางส่วนจะตีความแรง แต่ก็สะท้อนความห่วงใยของสาธารณะต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการเวียงหนองหล่มจึงควรรับ “คำถามสร้างสรรค์” เหล่านี้ไว้ประกอบการดำเนินงาน

  • จะวัดความสำเร็จอย่างไร นอกจากปริมาณกักเก็บน้ำ? ตัวชี้วัดด้านนิเวศ เช่น ชนิดสัตว์น้ำ–นกน้ำที่พบ, พื้นที่พืชน้ำสำคัญ, คุณภาพน้ำเฉลี่ยรายฤดู ควรถูกรายงานคู่กัน
  • กิจกรรมเศรษฐกิจบนพื้นที่ชุ่มน้ำ จะจัดระเบียบอย่างไรไม่ให้รุกล้ำโซนอนุรักษ์? เช่น การเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง การท่องเที่ยวเรือถีบ
  • ภาวะน้ำแล้ง–ฝุ่นควัน ภาคเหนือจะถูกบูรณาการแผนอย่างไรกับโครงการนี้? เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งชะลอเถ้าฝุ่น/เพิ่มความชื้นในพื้นที่โดยรอบ
  • เยาวชน–โรงเรียน จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพได้อย่างไร เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วม

คำถามเหล่านี้หากได้รับคำตอบผ่าน เวทีสาธารณะ และ รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ จะช่วยยกระดับความไว้วางใจ และทำให้โครงการเดินหน้าอย่างมีฉันทามติ

พูดให้ชัด โครงการนี้ “ไม่ใช่การถม–ปิด–ตัดขาดธรรมชาติ”

สารที่กรมชลประทานต้องการสื่อมีอยู่ 3 ประเด็น

  1. ไม่ใช่การปิดพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่คือการ ปรับปรุงประสิทธิภาพกักเก็บ ในโซนที่เหมาะสม พร้อม คงพื้นที่อนุรักษ์ ตามที่ชุมชนร้องขอ
  2. ไม่ทับซ้อนป่าสงวน/พื้นที่คุ้มครอง และ ผ่านการศึกษาผลกระทบเบื้องต้น แล้ว
  3. มีกลไกรับฟังความคิดเห็น และจะเดินหน้าอย่างรอบคอบ หลักฐานตั้งต้นคือมติ ครม. ปี 2564 ที่กำหนดให้บูรณาการหน่วยงานหลายส่วน ทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนา

ถ้อยแถลงนี้หากแปรเป็น “ภาคปฏิบัติ” อย่างซื่อสัตย์ โครงการเวียงหนองหล่มย่อมเป็นได้ทั้ง แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงชุมชน และ ห้องเรียนธรรมชาติ ของเชียงราย

สมดุลที่ต้องทำให้เห็น—ไม่ใช่แค่พูดให้ฟัง

กรณีเวียงหนองหล่มสะท้อนโจทย์ร่วมของสังคมไทย—เราจะพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างไม่ทำลายธรรมชาติได้อย่างไร คำตอบจากเอกสารและเวทีชี้แจงวันนี้ คือ การจัดโซน–การศึกษาผลกระทบ–การมีส่วนร่วมของชุมชน แต่สิ่งที่จะชี้ชัดคือ การลงมือทำอย่างมีวินัยและโปร่งใส ในวันพรุ่งนี้

หากเชียงรายทำสำเร็จ เวียงหนองหล่มจะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบ “สองโซน–สองคุณค่า” ที่ทั้งดูแลปากท้องและรักษาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนว่าความไว้วางใจสาธารณะเกิดขึ้นได้จาก ข้อมูลที่เปิดเผย–กลไกตรวจสอบ–และผลสัมฤทธิ์จริง เท่านั้น

“น้ำพอเพียงกับธรรมชาติสมบูรณ์—ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน ที่ต้องขัดเกลาให้กลมกลืนด้วยข้อมูลและวินัย”

กล่องข้อมูลโครงการ (Key Facts)

  • ชื่อโครงกา โครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม พร้อมอาคารประกอบ
  • ที่ตั้ง ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • ขนาดพื้นที่ ประมาณ 14,000 ไร่ (พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติเดิม)
  • ปัญหาหลัก ตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น ทำให้กักเก็บน้ำไม่ได้เพียงพอ
  • มติ ครม. 18 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบกรอบแผนพัฒนาอนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม
  • กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study), แบ่ง โซนอนุรักษ์ และ โซนพัฒนาแหล่งน้ำ, รับฟังความคิดเห็นประชาชน
  • มาตรการหลัก ขุดลอกในโซนพัฒนา, ก่อสร้างอาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ, จัดทำแนวกันชนและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน – โครงการชลประทานเชียงราย
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 พฤษภาคม 2564
  • เทศบาลตำบลจันจว้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News