Categories
CULTURE TRAVEL

ทริปไหว้พระ 9 วัดดัง เชียงราย เสริมสิริมงคลครบในวันเดียว

แจกพิกัดไหว้พระ 9 วัดในเชียงราย สายมูห้ามพลาด! ทริปวันเดียวครบในตัวเมือง

เชียงรายในฤดูหนาวกำลังคึกคัก พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวสายบุญและสายมูที่ต้องการเสริมสิริมงคลให้ชีวิต วันนี้เราขอแนะนำทริปไหว้พระ 9 วัดในตัวเมืองเชียงราย วันเดียวไหว้ครบ แถมไม่ต้องเดินทางไกล พิกัดแน่น ๆ แบบ One Day Trip! เริ่มจากจุดสำคัญที่พลาดไม่ได้

เริ่มต้นทริปที่ อนุสาวรีย์พญามังราย

อนุสาวรีย์พญามังราย ตั้งอยู่ที่ห้าแยกพ่อขุน ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งเมืองเชียงราย สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติแก่พระปรีชาสามารถของพญามังราย กษัตริย์ล้านนาผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย พระบรมรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ประดับด้วยเครื่องทรงล้านนาโบราณ ประทับยืนบนฐานสูงประมาณ 3 เมตร พระหัตถ์ซ้ายถือดาบยืนอย่างสง่างาม

หลังจากนั้นเราขอแนะนำเส้นทางไหว้พระ 9 วัด ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อได้ง่าย ๆ ในตัวเมืองเชียงราย ไหว้ครบจบในวันเดียว รับรองทั้งอิ่มใจและอิ่มบุญตามแบบฉบับสายมู ใครมาถึงเชียงรายแล้วห้ามพลาดทริปนี้!

1.วัดศรีบุญเรือง เชียงราย

วัดศรีบุญเรือง เชียงราย

แนะนำวัดศรีบุญเรือง เชียงราย สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะล้านนา เริ่มต้นทริปไหว้พระเสริมบุญที่ “วัดศรีบุญเรือง” วัดเก่าแก่ใจกลางเมืองเชียงราย ตั้งอยู่ในตำบลเวียง อำเภอเมือง ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 1982 แม้จะเคยกลายเป็นวัดร้างและเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา แต่ต่อมาได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยคุ้มเจ้าหลวงและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. 2489 ภายในวัดมีทั้งพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หอฉัน หอระฆัง และศาลาพักร้อน โดยทั้งหมดสร้างด้วยสถาปัตยกรรมล้านนาอันงดงามสะท้อนถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของล้านนา

ด้านหลังวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่เปิดให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมา เรียกได้ว่าเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนที่ต้องการซึมซับความเป็นล้านนาแท้ ๆ อีกทั้งใกล้ ๆ วัดยังมีร้านอาหารพื้นเมืองรสชาติเยี่ยมให้ได้ลองชิม บอกได้คำเดียวว่ามาเยือนเชียงรายทั้งที ต้องไม่พลาดแวะมาเที่ยววัดศรีบุญเรือง!

  • Location: หมู่ที่ 3 ถนนสิงหไคล ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย
  • Google Map: https://maps.app.goo.gl/kA1zrHRt4sN145x5A
2.วัดเชตวัน(พระนอน) เชียงราย

วัดเชตวัน (พระนอน) เชียงราย วัดเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อีกหนึ่งวัดที่น่าสนใจในเชียงราย คือ “วัดเชตวัน (พระนอน)” วัดราษฎร์ฝ่ายมหานิกาย ที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “วัดพระนอน” วัดนี้ถูกเชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนเม็งรายมหาราช พร้อมกับการก่อตั้งเมืองเชียงราย โดยชื่อ “เชตวัน” นั้นอาจมีรากศัพท์มาจากคำว่า “ตะวัน” ซึ่งหมายถึงพระอาทิตย์ เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง

ความสำคัญของวัดเชตวันเพิ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2423 เมื่อครูบาหงษ์หรือกาวิโลภิกขุ เดินทางธุดงค์มาจากเชียงใหม่และได้พบบริเวณที่มีเจดีย์ลูกนิมิตและต้นโพธิ์ใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่มีความรกและมีน้ำท่วม เขาจึงตัดสินใจบูรณะพื้นที่นี้ให้เป็นวัด โดยตั้งชื่อว่า “วัดเชตวัน (ป่าแดด)” สื่อถึงฤดูแล้งที่ท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอก เห็นแสงแดดเจิดจ้า

ภายในวัดมีพระพุทธไสยาสน์ หรือ “พระนอน” ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2491 นับเป็นจุดศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านมักมาเคารพสักการะ นอกจากนี้ วัดเชตวันยังได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ชุมชนแห่งแรกของเชียงราย และมีการตั้งชมรมตีกลองปู่จาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีการตีกลองอีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมกลองปู่จาและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดได้อย่างใกล้ชิด

  • Location: บ้านหนองบัว ตำบลเวียง ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย
  • Google Map: https://maps.app.goo.gl/xDQsQDWCqjdxfe978
3.วัดกลางเวียงเชียงราย

วัดกลางเวียง เชียงราย จุดศูนย์กลางแห่งความศรัทธาในเวียงเชียงราย

หากคุณเป็นสายมูที่เดินทางมาถึงเชียงรายแล้ว วัดกลางเวียง ถือเป็นอีกจุดที่ไม่ควรพลาด วัดนี้เคยถูกเรียกว่า “วัดจันทน์โลก” หรือ “จั๋นต๊ะโลก” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดกลางเวียง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นศูนย์กลางของเมืองเชียงรายและมี “สะดือเวียง” หรือเสาหลักเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ภายในวัดด้วย

สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1975 วัดนี้ได้รับการเคารพบูชาเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านในยุคแรกๆ ชื่อเดิมมาจากต้นจันทน์แดงใหญ่ที่เคยขึ้นอยู่ในบริเวณวัด ก่อนจะโค่นลงตามกาลเวลา เมื่อครั้งสร้างเมืองเชียงรายครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2417 ชาวเมืองได้รังวัดจากทั้ง 4 มุมเมือง และพบว่าวัดนี้อยู่กลางใจเมืองพอดี จึงได้ตั้งชื่อใหม่ว่า “วัดกลางเวียง”

จุดเด่นของวัดนี้คือเสาหลักเมืองเชียงรายที่ตั้งอยู่ภายในมณฑปทรงฟักทองยอดแหลม ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 รอบพระชนมายุในปี พ.ศ. 2535 บริเวณรอบมณฑปมีรูปปั้นท้าวจตุโลกบาลทำหน้าที่ปกป้องสะดือเวียง สร้างความศักดิ์สิทธิ์และงดงามให้กับพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์และพระอุโบสถในศิลปะล้านนาประยุกต์ที่งดงามสะดุดตา ควรค่าแก่การเยี่ยมชม

4.วัดพระสิงห์ เชียงราย พระอารามหลวง

วัดพระสิงห์ เชียงราย พระอารามหลวง

วัดพระสิงห์ เชียงราย จุดศูนย์กลางแห่งความศรัทธาและศิลปะล้านนา

วัดพระสิงห์ เชียงราย หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองล้านนาและจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ วัดพระสิงห์เป็นพระอารามหลวงที่มีประวัติยาวนานและความสำคัญทางศิลปะและวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย

ประวัติความเป็นมา วัดพระสิงห์สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามหาพรหม พระอนุชาของพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าเมืองเชียงใหม่ โดยสันนิษฐานว่าก่อสร้างในราวปี พุทธศักราช 1928 ระหว่างปี พุทธศักราช 1888 ถึง 1943 คำว่า “พระสิงห์” หมายถึงวัดที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระสิงห์ หรือ พระพุทธสิหิงค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่ชาวไทยให้ความเคารพ

พระพุทธรูปสำคัญ ภายในพระอุโบสถของวัดพระสิงห์ มีพระพุทธสิหิงค์สององค์ ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์เชียงแสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปชนิดสำริดปิดทอง ขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 204 เซนติเมตร สูงทั้งฐาน 284 เซนติเมตร ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงราย

สถาปัตยกรรมและการบูรณะ วัดพระสิงห์มีสถาปัตยกรรมแบบล้านนาไทยสมัยเชียงแสน โครงสร้างเดิมเป็นไม้เนื้อแข็ง และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในปี พุทธศักราช 2504 และปี พุทธศักราช 2533 บานประตูหลวงที่ประดับด้วยไม้แกะสลักจิตกรรมอย่างประณีต วิหารและพระเจดีย์ที่ตกแต่งด้วยทองแผ่นทองแดงเพิ่มความงดงามให้กับวัด

เรื่องเล่าและตำนาน ตามตำนาน เจ้ามหาพรหม พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองกำแพงเพชรเพื่อหล่อจำลองและประดิษฐานไว้ที่วัดพระสิงห์ เชื่อกันว่าพระพุทธสิหิงค์องค์จริงถูกยืมไปประดิษฐานที่เชียงรายเพื่อเป็นแบบหล่อขึ้นใหม่

กิจกรรมและประเพณี วัดพระสิงห์เป็นที่จัดงานประเพณีและกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ ตลอดทั้งปี รวมถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแข่งขันตีกลองปู่จา ซึ่งเป็นการสืบสานประเพณีโบราณของล้านนา

จุดน่าสนใจภายในวัด

  • พระพุทธสิหิงค์คู่เมือง: พระพุทธรูปปฏิมากรรมที่งดงามและมีขนาดใหญ่
  • บานประตูหลวง: ประดับด้วยไม้แกะสลักจิตกรรมอย่างละเอียดและวิจิตรบรรจง
  • พระเจดีย์เก่าแก่: สถาปัตยกรรมแบบล้านนาไทย มีพระพุทธรูปทองคำและเงินประดิษฐานอยู่ภายใน
  • รอยพระพุทธบาทจำลอง: สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าเม็งรายมหาราช

การเยี่ยมชมวัดพระสิงห์ วัดพระสิงห์เปิดให้เข้าชมทุกวัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสิริมงคลหรือสนใจศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปะล้านนา นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมพระพุทธรูป ศาลาการเปรียญ และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ภายในวัดได้อย่างใกล้ชิด

แวะมาทำบุญและเสริมสิริมงคลที่วัดพระสิงห์ ไม่ว่าคุณจะมาเพื่อทำบุญหรือเพื่อศึกษาความงดงามของสถาปัตยกรรมล้านนา วัดพระสิงห์เชียงรายเป็นสถานที่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งของเชียงราย

 

  • Location: ถนนท่าหลวง เมืองเชียงราย, เชียงราย
  • Google Map: https://g.co/kgs/HVuKmg3
5.วัดมิ่งเมืองเชียงราย

วัดมิ่งเมือง เชียงราย วัดเก่าแก่และศูนย์รวมความศรัทธาของชาวไทยใหญ่

เชียงราย – เข้าสู่ช่วงครึ่งทางของทริปไหว้พระ 9 วัด เชียงราย คราวนี้มาถึง “วัดมิ่งเมือง” หนึ่งในวัดสำคัญของเมืองเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่บนถนนไตรรัตน์ เป็นวัดเก่าแก่ที่ชาวไทยใหญ่เรียกว่า “วัดเงี้ยว” หรือ “วัดช้างมูบ” และยังถือว่าเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมไทยใหญ่และล้านนาอย่างโดดเด่น

ประวัติความเป็นมา วัดมิ่งเมืองก่อตั้งขึ้นโดยเจ้านางตะละแม่ศรี พระมเหสีของพ่อขุนเม็งรายมหาราช ธิดาของกษัตริย์จากหงสาวดี จึงทำให้วัดแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นจุดศูนย์รวมความศรัทธาของชุมชนชาวไทยใหญ่ ภายในวัดมีพระธาตุมิ่งเมือง เจดีย์ศิลปะล้านนาประดับฉัตรทองที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างงดงามและเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มอบเป็นพระราชทานให้กับวัด

สถาปัตยกรรมและสถานที่สำคัญภายในวัด วัดมิ่งเมืองเป็นที่ตั้งของพระวิหารไม้ลายคำ ซึ่งสะท้อนศิลปะผสมผสานระหว่างไทยใหญ่และล้านนา ภายในพระวิหารประดิษฐานพระศรีมิ่งเมือง พระประธานปูนปั้นลงรักปิดทอง ศิลปะแบบเชียงแสนสิงห์ 1 อายุกว่า 400 ปี ด้านหน้าพระวิหารยังมีบ่อน้ำโบราณชื่อ “บ่อน้ำช้างมูบ” พร้อมซุ้มโขงช้างตกแต่งด้วยประติมากรรมที่หายาก

เสน่ห์ของวัดมิ่งเมือง วัดมิ่งเมืองยังคงมีโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ รวมถึง “ประตูขัวดำ” หรือประตูเมืองเก่า ซึ่งผู้คนเชื่อว่าบ่อน้ำที่นี่เป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้ผู้ที่ดื่มและล้างหน้ามีสิริมงคลก่อนไปท่องเที่ยวหรือเดินทางต่อ นอกจากนี้ หากต้องการเติมพลังแนะนำให้ลองชิม “ก๋วยจั๊บน้ำข้น” ร้านเด็ดหลังวัดที่ขึ้นชื่อในรสชาติ 

วัดมิ่งเมือง จุดแวะที่คุณไม่ควรพลาดในทริปเชียงราย ด้วยบรรยากาศของวัดที่เต็มไปด้วยศิลปะล้านนาและความศรัทธาโบราณ วัดมิ่งเมืองเชียงรายจะทำให้คุณรู้สึกสงบและเสริมสิริมงคลให้กับการเดินทาง

6. วัดพระแก้ว เชียงราย

วัดพระแก้ว เชียงราย จุดหมายสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์

หลังเติมพลังเสร็จ เราขอพาเข้าสู่ครึ่งหลังของทริปไหว้พระ 9 วัดในเชียงราย โดยมีจุดหมายที่ “วัดพระแก้ว” วัดอารามหลวงชั้นตรีที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมล้านนา วัดนี้เป็นสถานที่ค้นพบพระแก้วมรกตอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ

ประวัติความเป็นมาและการค้นพบพระแก้วมรกต วัดพระแก้วแต่เดิมชื่อว่า “วัดป่าเยียะ” ภายในบริเวณวัดมีไม้เยียะขึ้นอยู่มากมาย แต่ในปี พ.ศ. 1977 ได้เกิดเหตุการณ์เจดีย์ของวัดถล่มลงมา เผยให้เห็นพระพุทธรูปปูนปั้นที่กะเทาะออกจนเห็นเนื้อมรกตภายใน ทำให้ผู้คนขนานนามวัดนี้ใหม่ว่า “วัดพระแก้ว” นับเป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก่อนจะย้ายไปกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน

สถานที่สำคัญภายในวัด

  • หอพระหยก: อาคารทรงล้านนาที่ประดิษฐาน “พระหยกเชียงราย” ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครบ 90 พรรษา
  • พระอุโบสถทรงเชียงแสน: พระวิหารที่มีลักษณะหลังคาเตี้ยและลาดต่ำ เป็นที่ประดิษฐานของพระเจ้าล้านทอง พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับการยกย่องในความงดงามตามศิลปะแบบล้านนา
  • โฮงหลวงแสงแก้ว: พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงพระพุทธรูปสำคัญของวัด รวมถึงจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

วัดพระแก้วเชียงรายแห่งนี้เป็นมากกว่าสถานที่ปฏิบัติธรรม เพราะเป็นทั้งจุดท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์พุทธศิลป์ล้านนา ใครที่มาเชียงรายไม่ควรพลาดแวะมาสักการะที่นี่สักครั้ง

มาทำบุญและเยี่ยมชมความงามแห่งล้านนาได้ที่วัดพระแก้ว เชียงราย

7.วัดดอยงำเมือง

วัดดอยงำเมือง เชียงราย จุดหมายสายมู สร้างมิตรภาพและโชคลาภ

วัดดอยงำเมือง หรือวัดงำเมือง เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ผู้คนสายมูไม่ควรพลาด เพราะเชื่อกันว่าใครที่มาไหว้พระที่นี่จะได้เสริมมิตรภาพและโชคลาภอย่างไม่ขาดสาย วัดแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเชียงราย ตั้งอยู่บนดอยงามเมืองและเป็นสถานที่ประดิษฐานของกู่พญามังรายที่สร้างโดยพญาไชยสงคราม โอรสของพญามังรายมหาราช

วัดดอยงำเมืองมีสถาปัตยกรรมแบบล้านนาประยุกต์ที่งดงาม โดยเฉพาะพระวิหารที่มีราวบันไดเป็นรูปมกรคายนาคและประดับตกแต่งด้วยลายคำทองอย่างละเอียด อีกทั้งภายในยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา ซึ่งแสดงถึงความสง่างามและศรัทธาในพุทธศาสนา

วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังวัดพระแก้วเชียงราย โดยสามารถเดินทางผ่านถนนงำเมืองและเข้าไปได้ง่าย ผู้ที่เดินทางมาสามารถขับรถขึ้นเนินเล็กๆ ไปยังวัดได้สะดวก

หากคุณกำลังมองหาสถานที่เสริมสิริมงคลและบรรยากาศสงบเงียบในเชียงราย วัดดอยงำเมืองเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ควรแวะเยือน

  • Location: ถนนอาจอำนวย บ้านฮ่อมดอย (ชุมชนราชเดชดำรง) หมู่ที่1 ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย
  • Google Map: https://g.co/kgs/fErJ2Lh

8.วัดพระธาตุดอยจอมทอง หรือวัดพระธาตุดอยทอง (หรือวัดพระธาตุดอยตอง ตามสำเนียงคนเชียงราย)

วัดพระธาตุดอยจอมทอง วัดเก่าแก่เชียงราย คู่ประวัติศาสตร์เมืองล้านนา

วัดพระธาตุดอยจอมทอง หรือวัดพระธาตุดอยทอง เป็นวัดสำคัญในเชียงรายที่สายมูและนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ควรพลาด วัดนี้มีความเก่าแก่และเป็นที่นับถือในฐานะวัดที่คู่กับการสร้างเมืองเชียงราย ตามตำนานเล่าว่า วัดพระธาตุดอยจอมทองถูกสร้างขึ้นก่อนที่พ่อขุนเม็งรายจะทรงสร้างเมืองเชียงราย โดยภายในวัดมีพระธาตุจอมทองที่เป็นเจดีย์ตามศิลปะแบบล้านนา-พุกาม หุ้มด้วยทองคำอันงดงามและมีชื่อมงคล

ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อพระพุทธศาสนามีอายุได้ประมาณ 936 ปี พระเถระเจ้ารูปหนึ่งนามว่าพระพุทะโฆษา ได้นำพระบรมสารีริกธาตุจำนวน 16 องค์มาถวายแก่พระเจ้าพังคราช เจ้าเมืองโยนกนาคพันธุ์ในขณะนั้น พระองค์ได้นำส่วนหนึ่งบรรจุลงในมหาสถูปบนดอยทองและตั้งชื่อว่าพระธาตุดอยจอมทอง ส่วนอีกส่วนนำไปประดิษฐานที่ดอยน้อยหรือวัดพระธาตุจอมกิตติในปัจจุบัน

นอกจากนี้ วัดพระธาตุดอยจอมทองยังมีเสาสะดือเมืองเชียงราย ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2530 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการรำลึกถึงพ่อขุนเม็งรายและในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเสานี้ถือเป็นศูนย์กลางจักรวาลตามคติความเชื่อของชาวล้านนา มีการแกะสลักจากหินโดยนายสิงห์คำ สมเครือ ช่างฝีมือชาวพะเยา ปัจจุบันเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งของเชียงรายที่นักท่องเที่ยวแวะมาเคารพสักการะ

หากมีโอกาสเยือนเชียงราย อย่าลืมแวะสักการะวัดพระธาตุดอยจอมทองและเสาสะดือเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อสัมผัสบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ของเมืองล้านนา

  • Location: ถนนอาจอำนวย ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • Google Map: https://goo.gl/maps/1XaMew7HwEfRtd3H6

9.วัดเจ็ดยอด เชียงราย เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี

วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวงเชียงราย ความงดงามแห่งเมืองล้านนา

ปิดท้ายทริปไหว้พระในเชียงรายด้วยวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวงชั้นตรี ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย วัดเจ็ดยอดเป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ล้านนา ถึงแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่มีการบูรณะวัดครั้งสำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในปี พ.ศ. 2386 โดยพระครูบาคันธะคนฺธวํโส ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสคนแรกของวัด ท่านได้เชิญชวนชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธามาร่วมกันพัฒนาวัด จนพบซากวัดเก่าที่มีพระธาตุเจ็ดองค์ตั้งเรียงกันทั้งใหญ่และเล็ก จึงได้บูรณะใหม่ตามแบบวัดเจ็ดยอดในเมืองเชียงใหม่

พระพุทธรูปประธานในอุโบสถของวัดเจ็ดยอดเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยแบบล้านนา ก่ออิฐถือปูนและปิดทองทั้งองค์ ภายในอุโบสถเงียบสงบ เหมาะแก่การเจริญสติและสมาธิ ฝ้าเพดานด้านหน้าพระอุโบสถประดับด้วยภาพเขียนสีที่งดงามมาก

วัดเจ็ดยอดมีชื่อเสียงจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่องค์พระธาตุเจ็ดยอดในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2565 ซึ่งทำให้ผิวคอนกรีตด้านนอกแตกกะเทาะออกจนเห็นอิฐด้านใน แต่โครงสร้างหลักไม่ได้รับความเสียหาย และยังคงเป็นจุดสำคัญที่ผู้ศรัทธาแวะเวียนมาทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคลอยู่เสมอ

การเดินทางมาวัดเจ็ดยอด
จากแยกหอนาฬิกาเชียงราย ขับรถตามถนนเจ็ดยอดประมาณ 500 เมตร วัดเจ็ดยอดจะอยู่ทางขวามือ

วัดเจ็ดยอดเป็นหนึ่งในพระอารามหลวงที่แฝงด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะล้านนาโบราณ ใครมาเชียงรายแล้วไม่ควรพลาดที่จะเยี่ยมชม

 

  • Location: ตำบลเวียง อำเภอเชียงราย จังหวัดเชียงราย
  • Google Map: https://g.co/kgs/PDdpdYA

ทริปไหว้พระ 9 วัดดังในเชียงราย ไหว้ครบได้ในวันเดียว!

และนี่คือทริปไหว้พระ 9 วัดดังในตัวเมืองเชียงรายที่เรานำมาฝากกันค่ะ รับรองว่าเดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นสายมูหรือสายบุญก็สามารถไหว้ครบทุกวัดได้ภายในวันเดียว ใครที่อยู่ต่างจังหวัดและอยากตามรอยทริปดี ๆ แบบนี้ ก็จัดกระเป๋าแล้วมุ่งหน้าเชียงรายกันได้เลย บอกเลยว่าทั้งอิ่มบุญและยังได้สัมผัสความงดงามของวัดเก่าแก่ที่มีตำนานยาวนานอีกด้วย!

คอลัมน์โดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร

เครดิตภาพ : กีรติ ชุติชัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ฟื้นฟูถนนคนเดินเชียงของ ดึงนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567 เวลา 18.30 น. นายเสริฐ ไชยยานันตา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีเปิดกิจกรรม “ฟื้นฟูและส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีพื้นถิ่น ถนนคนเดินเมืองเชียงของ” ณ ลานเสาพญานาคริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้โครงการปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เชิงนิเวศ และเชิงสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่

พิธีเปิดสุดยิ่งใหญ่ มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 100 คน

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มาเป็นประธานในพิธี โดยนายเสริฐ ไชยยานันตา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับโครงการ ขณะที่ นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานกว่า 100 คน

ถนนคนเดินเมืองเชียงของ: แหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่ควรพลาด

กิจกรรม “ถนนคนเดินเมืองเชียงของ ChiangKhong Street Market” จัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ถึง 8 ธันวาคม 2567 ระหว่างเวลา 17.00 – 21.00 น. ณ บริเวณเสาพญานาคริมน้ำโขง ซึ่งถือเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญของอำเภอเชียงของ ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับบรรยากาศวิถีชุมชน พร้อมซึมซับธรรมชาติอันงดงามของแม่น้ำโขง โดยมีกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น อาหารพื้นเมือง กว่า 60 บูธ การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และนิทรรศการเล่าเรื่องราวของเมืองเชียงของ

สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้ชุมชน

กิจกรรมถนนคนเดินครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าร่วมมากมาย รวมถึงกลุ่ม วิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตสินค้า OTOP ศิลปินนักแสดง และผู้ประกอบการด้านการสร้างสรรค์ ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังช่วยส่งเสริมการจ้างงานในพื้นที่ และเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับรากฐาน ทำให้ผู้ประกอบการและพ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่มีโอกาสเพิ่มรายได้

การตอบรับดีเยี่ยมจากนักท่องเที่ยว

จากการสำรวจข้อมูลการจัดงานในช่วงที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมมากกว่า 500 คนต่อวัน ส่งผลให้มียอดรายได้จากการจำหน่ายสินค้ารวมกว่า 40,000 บาทต่อวัน สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ กิจกรรมนี้ยังช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในพื้นที่ หลังจากที่ชุมชนได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา

อัตลักษณ์และวัฒนธรรมที่ควรอนุรักษ์

กิจกรรม “ถนนคนเดินเมืองเชียงของ” ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ยังช่วย อนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยมีกิจกรรมเวิร์กช็อปที่สร้างแรงจูงใจให้กับนักท่องเที่ยวที่สนใจเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม สร้างความประทับใจและความทรงจำที่ดีในการเดินทางมายังเมืองเชียงของ

สร้างความร่วมมือเข้มแข็งระหว่างภาครัฐและเอกชน

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในพื้นที่ การบูรณาการการทำงานระหว่างกันช่วยให้กิจกรรมมีความสำเร็จอย่างยั่งยืน นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าวว่า “หวังว่ากิจกรรมนี้จะกลายเป็นต้นแบบให้กับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ”

ความหวังในการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

แม่สรวยเปิดแหล่งน้ำพุร้อน ทองทิพย์ หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

เปิดตัวโครงการ “แอ่วน้ำพุร้อน ทองทิพย์” แม่สรวย สร้างเมืองสุขภาพสู่ Chiangrai Wellness City

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567 มูลนิธิอโรคยาด้วยสมุนไพร โดย ดร.ยงยุทธ สาระสมบัติ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และประธานมูลนิธิอโรคยาด้วยสมุนไพร ได้เปิดตัว โครงการแอ่วน้ำพุร้อน ทองทิพย์หมู่บ้านทองทิพย์ ตำบลศรีถ้อย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โครงการนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ขานรับนโยบายของจังหวัดเชียงรายในการพัฒนาเป็น Chiangrai Wellness City

ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างความร่วมมือหลายภาคส่วน

การเปิดตัวโครงการในครั้งนี้มีการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ โดยมี นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

โครงการแอ่วน้ำพุร้อน ทองทิพย์ กับศักยภาพในการพัฒนาสุขภาพ

โครงการนี้มุ่งหวังให้ น้ำพุร้อนทองทิพย์ ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 54 องศาเซลเซียส เป็นสถานที่สำหรับการบำบัดสุขภาพ โดยสามารถใช้แช่ตัว แช่เท้า และมีผลบรรเทาอาการปวดข้อเข่าเสื่อม ซึ่งจากการตรวจวิเคราะห์โดยกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกพบว่าน้ำแร่ที่นี่มี ค่า pH 8.2 และสามารถดื่มได้ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข น้ำแร่ธรรมชาติที่นี่จึงถือว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชน

กิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยวและสุขภาพ

โครงการ “แอ่วน้ำพุร้อน ทองทิพย์” จะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 16.00 น. โดยไม่เก็บค่าเข้าเยี่ยมชม พร้อมทั้งมีกิจกรรมเพื่อสุขภาพหลากหลาย เช่น การนวดแผนไทย การอบสมุนไพร และบริการจากกลุ่มแพทย์ทางเลือก นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพัฒนาโครงการเพื่อยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับนานาชาติ เช่น เมือง คาร์โลวี วารี (Karlovy Vary) ในสาธารณรัฐเช็ก และเมือง เบปปุ (Beppu) ในประเทศญี่ปุ่น

ขยายโครงการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

ดร.ยงยุทธ สาระสมบัติ เปิดเผยว่าในอนาคตโครงการนี้จะขยายเพื่อสร้าง Golden Immortal Wellness and Healthy Living บนพื้นที่กว่า 425 ไร่ โดยเชิญชวนนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมพัฒนาโครงการ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Chiangrai Wellness City ของจังหวัด และผลักดันให้เชียงรายกลายเป็น เมืองแห่งสุขภาพและการท่องเที่ยวระดับสากล

ประวัติศาสตร์และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับน้ำพุร้อนทองทิพย์

หมู่บ้านทองทิพย์มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี โดยเล่ากันว่าพระเจ้าไชยเชษฐาเคยพักแรมที่บริเวณนี้ก่อนจะครองเมืองเชียงใหม่ อีกทั้งได้อัญเชิญ พระเจ้าทองทิพย์ มาประดิษฐานไว้ ณ บริเวณนี้ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาตั้งแต่อดีตถูกใช้โดยหมอแผนโบราณสำหรับการรักษาโรคและการบำบัดสุขภาพ โดยปัจจุบันได้พัฒนาให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง

บทสรุปและเป้าหมายในอนาคต

โครงการ “แอ่วน้ำพุร้อน ทองทิพย์” เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของเชียงรายและประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาของ องค์การบริหารการพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ (อพท.) โครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับประโยชน์ แต่ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศได้สัมผัสกับประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สัตว์ป่าสวม GPS ช่วยโลกสีเขียว ปฏิวัติวงการอนุรักษ์

สัตว์ป่าสวม “GPS”: เทคโนโลยีติดตาม ช่วยพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Animal Tracking Goes Hi-Tech: Saving Biodiversity with Tiny GPS)

7 พฤศจิกายน 2567 ในยุคที่ความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกกำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมหาศาล แม้จะมีข้อมูลปริมาณมหาศาลอยู่ในมือ แต่การทำความเข้าใจภัยคุกคามที่แตกต่างกันไปของแต่ละสายพันธุ์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ดร. สก็อตต์ ยานโค นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่าจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เน้นย้ำถึงความจำเป็นของข้อมูลที่เจาะจงมากขึ้น เพื่อระบุสาเหตุเบื้องหลังการลดลงของประชากรสัตว์ป่า ซึ่งหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะสูญพันธุ์ได้ ในงานวิจัยล่าสุดที่ร่วมกับ ดร. ไบรอัน วีคส์ นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่าวิวัฒนาการ แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน และทีมวิจัยนานาชาติ ดร. ยานโค ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยีติดตามสัตว์ป่า ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการอนุรักษ์

ความหลากหลายทางชีวภาพ: หัวใจสำคัญของระบบนิเวศ

ความหลากหลายทางชีวภาพเปรียบเสมือนรากฐานที่สำคัญของระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เป็นเสมือนใยแห่งชีวิตที่เชื่อมโยงพืช สัตว์ และจุลชีพเข้าด้วยกัน ความหลากหลายนี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของอาหาร น้ำ อากาศที่สะอาด ไปจนถึงการพักผ่อนหย่อนใจ ดร. ยานโค ชี้ให้เห็นว่าความหลากหลายทางชีวภาพไม่ได้จำกัดอยู่แค่ป่าฝนเขตร้อนอันห่างไกล แม้แต่สวนหลังบ้านของเราก็มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญเช่นกัน การทำความเข้าใจรูปแบบความหลากหลายทางชีวภาพเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนากฎหมายที่มีประสิทธิภาพ คุ้มครองระบบนิเวศ และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคระบาด รวมถึงความล้มเหลวทางการเกษตรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ในที่สุด งานวิจัยของ ดร. ยานโค มุ่งเน้นไปที่การใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีติดตามสัตว์ป่าเพื่อคาดการณ์และป้องกันปัญหาเหล่านี้

จากการติดตามแบบดั้งเดิม สู่ยุคของ “GPS จิ๋ว”

การติดตามสัตว์ป่าถือเป็นวิธีการสำคัญที่ใช้ในงานวิจัยด้านนิเวศวิทยามาช้านาน ในอดีต นักวิจัยมักใช้เครื่องหมายง่ายๆ เช่น ป้ายแหวนขาโลหะสำหรับนก หรือปลอกคอสัญญาณวิทยุสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้มีข้อจำกัด เนื่องจากนักวิจัยจำเป็นต้องติดตามจับสัตว์ซ้ำๆ เพื่อบันทึกข้อมูล ซึ่งเป็นการรบกวนสัตว์ และใช้เวลานาน ส่งผลให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและต่อเนื่องน้อย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีติดตามอิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ อุปกรณ์ติดตามเหล่านี้คล้ายคลึงกับเทคโนโลยี GPS ในสมาร์ทโฟน แต่มีขนาดเล็กกระทัดรัด ช่วยให้นักวิจัยติดตามตำแหน่งและพฤติกรรมของสัตว์ป่าได้ในพื้นที่กว้างไกลขึ้น เป็นเวลานานขึ้น ข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านี้เผยให้เห็นรายละเอียดที่ไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ พฤติกรรม และปฏิสัมพันธ์ของสัตว์ป่ากับสภาพแวดล้อม

ข้อมูลจากการติดตามสัตว์: กุญแจสำคัญสู่การอนุรักษ์ที่แม่นยำ

เทคโนโลยีการติดตามสัตว์ไม่ได้เพียงแค่บอกจำนวนประชากร แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ล้ำลึกกว่านั้น นักวิจัยสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริงของการลดลงของประชากรสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย หรือปัจจัยอื่นๆ ข้อมูลที่ได้จากการติดตามสัตว์มีความละเอียดสูง ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจผลกระทบที่ชัดเจนของปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การวางแผนการอนุรักษ์ที่ตรงจุด

ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเพียงแต่ระบุว่าการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นสาเหตุของการลดลงของประชากรสัตว์ป่า ข้อมูลจากการติดตามสามารถระบุพื้นที่เฉพาะที่การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการรอดชีวิตของสัตว์ป่าได้ ด้วยข้อมูลที่แม่นยำนี้ นักนิเวศวิทยาสามารถออกแบบมาตรการอนุรักษ์ที่ตรงกับปัญหาเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้

เทคโนโลยีติดตามรุ่นใหม่: เปิดโลกแห่งความเป็นไปได้

เทคโนโลยีการติดตามสัตว์ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ GPS ขนาดเล็กน้ำหนักเบาถูกนำมาใช้ติดตามสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น กวางเอลก์หรือช้าง สำหรับสัตว์ขนาดเล็ก นักวิจัยใช้อุปกรณ์ติดตามขนาดจิ๋วที่เก็บข้อมูลไว้ในตัว และสามารถดึงข้อมูลออกมาได้ภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีระบบติดตามดาวเทียมขนาดเล็กที่ช่วยให้นักวิจัยติดตามสัตว์ขนาดเล็กได้โดยไม่ต้องจับซ้ำ

อุปกรณ์ติดตามรุ่นใหม่เหล่านี้ยังมาพร้อมเซ็นเซอร์ที่สามารถวัดปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และความดันอากาศ บางอุปกรณ์ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการตาย ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อสัตว์อยู่นิ่งนานเกินไป เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้นักวิทยาศัยเข้าใจพฤติกรรมของสัตว์และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างละเอียด

สร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยข้อมูล

ดร. ยานโคเชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยีการติดตามสัตว์จะนำไปสู่การวางแผนการอนุรักษ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยการระบุสาเหตุที่แท้จริงของการลดลงของประชากรสัตว์ป่า นักอนุรักษ์สามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ตรงเป้าหมายเพื่อปกป้องสายพันธุ์ที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคาม

เทคโนโลยีติดตามสัตว์เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติได้ดีขึ้น และช่วยให้เราสามารถดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : earth.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

แบบจำลองคณิตศาสตร์ใหม่ ช่วยสัตว์ปรับตัวตามสิ่งแวดล้อม

แบบจำลองคณิตศาสตร์ใหม่เผยกลไกการเรียนรู้ของสัตว์และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 Sanjana Gajbhiye นักเขียนประจำเว็บไซต์ Earth.com รายงานเกี่ยวกับการศึกษาใหม่ที่ได้พัฒนาแบบจำลองคณิตศาสตร์เพื่อหาความเร็วในการเรียนรู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ งานวิจัยนี้ได้รับการพัฒนาโดยนักวิจัยจาก Complexity Science Hub (CSH) และสถาบัน Santa Fe Institute โดยแบบจำลองนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเรียนรู้ของสัตว์กับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อัตราการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

การศึกษาพบว่าอัตราการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตควรปรับให้สอดคล้องกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ซึ่งหมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้ช้าเกินไปอาจไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ทัน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้เร็วเกินไปอาจรับข้อมูลที่ไม่สำคัญเกินไป ทำให้เปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น

ตามคำกล่าวของ Eddie Lee นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก CSH เขาอธิบายว่า “อัตราการเรียนรู้ที่เหมาะสมจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมเอง หรือสิ่งมีชีวิตปรับพฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม” การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องรักษาความสมดุลระหว่างการเรียนรู้ที่เร็วและช้า เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม

ผลกระทบของความพยายามทางจิตใจและภาระทางเมตาบอลิซึม

งานวิจัยยังกล่าวถึงความสำคัญของ “ภาระทางจิตใจ” หรือปริมาณความพยายามทางจิตใจที่จำเป็นในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่ต้องรับมือกับข้อมูลมากเกินไปอาจไม่สามารถแยกแยะข้อมูลที่สำคัญได้ดี ซึ่งแบบจำลองนี้ได้เสนอว่าอัตราการเรียนรู้ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตรู้สึกท่วมท้นกับข้อมูลและช่วยให้พวกเขาสามารถจัดสรรทรัพยากรในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับต้นทุนด้านเมตาบอลิซึม งานวิจัยยังระบุว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีอายุสั้น เช่น แมลง ต้องคำนึงถึงต้นทุนการเรียนรู้และการจดจำที่สูงกว่า ในขณะที่สัตว์ขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนยาว เช่น ช้าง จะมีต้นทุนเมตาบอลิซึมที่สำคัญมากกว่า แต่จะสามารถเก็บข้อมูลได้นานขึ้นเนื่องจากโครงสร้างสังคมหรือความต้องการทางปัญญาที่มากขึ้นในกลุ่มสังคมของมัน

บทเรียนสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์

แม้ว่าการวิจัยนี้จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่หลักการที่ได้ยังมีความหมายสำคัญต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเร็วในการเรียนรู้ที่เหมาะสมนี้อาจช่วยให้นักการศึกษาและนักวิจัยออกแบบหลักสูตรหรือโปรแกรมการฝึกอบรมที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ของนักเรียนและพนักงาน โดยหลีกเลี่ยงการทำให้พวกเขารู้สึกท่วมท้นกับข้อมูล นอกจากนี้ยังส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาองค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ในระยะยาว

การสร้างช่องว่างที่มีประโยชน์กับสิ่งแวดล้อม

แบบจำลองนี้ยังกล่าวถึงแนวคิดที่เรียกว่า “การสร้างช่องว่าง” (Niche Construction) ซึ่งบางสิ่งมีชีวิต เช่น บีเวอร์ สามารถปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เกิดความได้เปรียบทางวิวัฒนาการได้ เช่น การสร้างเขื่อนที่ช่วยสร้างแหล่งน้ำที่มั่นคงและเป็นที่อยู่อาศัยให้กับตนเองและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การสร้างช่องว่างนี้จะให้ผลดีก็ต่อเมื่อประโยชน์ที่ได้ยังคงอยู่ภายในกลุ่มของสิ่งมีชีวิตนั้น หากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาใช้ประโยชน์จากช่องว่างที่สร้างขึ้น อาจทำให้กลยุทธ์นี้ไม่ประสบผลสำเร็จ

แบบจำลองคณิตศาสตร์ใหม่ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการปรับตัว

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the Royal Society B Biological Sciences ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกลไกเชิงปริมาณในการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเรียนรู้และอายุขัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่จุลินทรีย์จนถึงมนุษย์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : earth.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ชมจิตรกรรมบัวหลวงสัญจร ครั้งที่ 45 ณ เชียงราย

เชิญชมผลงานนิทรรศการจิตรกรรมบัวหลวงสัญจร ครั้งที่ 45 ณ เชียงราย

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ได้มีพิธีเปิดนิทรรศการจิตรกรรมบัวหลวงสัญจร ครั้งที่ 45 อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจากนายดำรงค์ศักดิ์ ยอดทองดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ร่วมกับผู้ชมและผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการที่มาร่วมเยี่ยมชมผลงานจิตรกรรมที่ได้รับการคัดเลือกจากการประกวดถึง 81 ผลงาน

ภายในงานนี้ยังได้มีการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “กว่า 4 ทศวรรษ จิตรกรรมบัวหลวง” โดยศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติที่มอบความรู้และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะไทย นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ส่งเสริมการสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยในท้องถิ่นเชียงราย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาและบุคคลทั่วไปที่สนใจงานศิลปะ

การประกวดจิตรกรรมบัวหลวง: เวทีสำหรับศิลปินรุ่นใหม่

มูลนิธิบัวหลวงได้จัดการประกวดจิตรกรรมบัวหลวงมาตั้งแต่ปี 2517 โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลงานจิตรกรรมให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีและมีคุณค่า การประกวดครั้งนี้ถือเป็นปีที่ 45 ซึ่งจัดขึ้นในปี 2567 โดยมีการประกวดในสามประเภท ได้แก่ จิตรกรรมไทยแบบประเพณี จิตรกรรมไทยแนวประเพณี และจิตรกรรมร่วมสมัย ซึ่งมีศิลปินเข้าร่วมส่งผลงานทั้งสิ้น 117 ราย จำนวนรวม 148 ภาพ

ผลงานที่ชนะเลิศในแต่ละประเภทของการประกวด

สำหรับประเภทจิตรกรรมไทยแบบประเพณี ผลงานที่ได้รับรางวัลที่ 1 เหรียญทองบัวหลวงได้แก่ “โลกวิวรณปาฏิหาริย์” ของนายสิปปภาส แก้สรากมุข ซึ่งเป็นผลงานที่สะท้อนเรื่องราวทางวัฒนธรรมได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนรางวัลที่ 2 เหรียญเงินบัวหลวงได้แก่ “มโนราห์บูชายัญ” ของนายณัฐดนัย ทองเติม และ “พุทธเจ้าโปรดเท้าพญามหาชมพูบดี” ของนายสุริวัฒน์ แดงประดับ

ในประเภทจิตรกรรมไทยแนวประเพณี รางวัลที่ 1 เหรียญทองบัวหลวงตกเป็นของผลงาน “ประตูเปิดแล้ว” ของนายเจษฎา กีรติเสวี ที่แสดงถึงความสำคัญของประเพณีและศิลปะไทย ส่วนรางวัลที่ 2 เหรียญเงินบัวหลวงได้แก่ผลงานชื่อ “ยมกปาฏิหาริย์” ของรองศาสตราจารย์นิโรจน์ จรุงจิตวิทวัส และรางวัลที่ 3 เหรียญทองแดงบัวหลวง ได้แก่ผลงาน “ชุมชนมัสยิดมหานาค” ของนายอัซมาวีย์ การี

สำหรับประเภทจิตรกรรมร่วมสมัย รางวัลที่ 1 เหรียญทองบัวหลวงตกเป็นของผลงาน “ตนิจิต 1/2567” ของนายระพีพัฒน์ ผลรัตนไพบูลย์ ซึ่งเป็นผลงานที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์และความร่วมสมัย ส่วนรางวัลที่ 2 เหรียญเงินบัวหลวงได้แก่ผลงาน “มายาแห่งความคิด” ของนายจรัญ พานอ่อนตา และรางวัลที่ 3 เหรียญทองแดงบัวหลวงได้แก่ผลงาน “พื้นที่จินตนาการแห่งความสุข” ของนายจตุพล สีทา

เงินรางวัลและสิทธิพิเศษสำหรับศิลปินผู้ชนะการประกวด

ผู้ชนะที่ได้รับรางวัลที่ 1 เหรียญทองบัวหลวงในแต่ละประเภท จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 200,000 บาท พร้อมสิทธิพิเศษในการรับทุนทัศนศึกษางานศิลปะในต่างประเทศ รางวัลที่ 2 เหรียญเงินบัวหลวงจะได้รับเงินรางวัลรางวัลละ 150,000 บาท และรางวัลที่ 3 เหรียญทองแดงบัวหลวงจะได้รับเงินรางวัลรางวัลละ 100,000 บาท

เชิญชมนิทรรศการจิตรกรรมบัวหลวงสัญจร ครั้งที่ 45

นิทรรศการจิตรกรรมบัวหลวงสัญจร ครั้งที่ 45 จัดแสดงผลงานของศิลปินที่ผ่านการคัดเลือกจากการประกวด โดยนิทรรศการจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน – 16 ธันวาคม 2567 ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 18.00 น.

การจัดแสดงผลงานครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจในศิลปะและวัฒนธรรมไทยที่จะได้สัมผัสกับผลงานจิตรกรรมที่ทรงคุณค่าและสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถของศิลปินรุ่นใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

‘ซานตาครูซ’ แบนบุหรี่ไส้กรอง หวังลดมลพิษสิ่งแวดล้อม

‘ซานตาครูซ’ ประกาศห้ามขายบุหรี่แบบมีไส้กรองครั้งแรกในสหรัฐฯ มุ่งลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานจาก Environment+Energy Leader ว่าซานตาครูซ (Santa Cruz County) ในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศแบนการขายบุหรี่ที่มีไส้กรอง โดยถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในสหรัฐฯ เพื่อลดมลพิษที่เกิดจากบุหรี่ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน การแบนนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเทศมณฑลซานตาครูซ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2567 ทำให้เทศมณฑลซานตาครูซกลายเป็นเขตอำนาจศาลแรกในประเทศที่ใช้กฎหมายห้ามนี้อย่างเป็นทางการ

การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

การแบนบุหรี่แบบมีไส้กรองที่ซานตาครูซ เมืองในแคลิฟอร์เนีย รัฐในประเทศสหรัฐฯ
นี้มุ่งหวังที่จะลดมลพิษทางทะเลและขยะสาธารณะที่เกิดจากก้นบุหรี่ ซึ่งส่วนประกอบของไส้กรองบุหรี่นั้นมักประกอบด้วยไมโครพลาสติกที่มีสารเคมีอันตราย ก้นบุหรี่ถือเป็นขยะที่พบบ่อยที่สุดบนชายหาดและในทางน้ำทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษมากมาย

ข้อมูลจากองค์กร Ocean Conservancy เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โครงการ International Coastal Cleanup สามารถเก็บก้นบุหรี่ได้มากถึง 63 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียเพียงแห่งเดียวพบว่ามีก้นบุหรี่ที่เก็บได้ถึง 8.5 ล้านชิ้น กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่น Save Our Shores ยังได้เก็บข้อมูลที่น่ากังวลโดยพบว่ามีก้นบุหรี่กว่า 400,000 ชิ้นที่ถูกเก็บขึ้นมาจากชายหาดและพื้นที่สาธารณะในซานตาครูซภายในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้สื่อถึงความมุ่งมั่นของเทศมณฑลในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลและลดมลพิษในระดับท้องถิ่นอย่างจริงจัง

การทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค

การดำเนินการห้ามขายบุหรี่ที่มีไส้กรองในซานตาครูซนี้ได้ใช้วิธีการร่วมมือ โดยกำหนดให้เมืองที่อยู่ในเขตเทศมณฑลซานตาครูซอย่างน้อย 2 ใน 4 เมืองต้องดำเนินกฎหมายที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้เกิดการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งและบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม การใช้แนวทางนี้ยังช่วยให้เกิดความสอดคล้องกับนโยบายระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายมีความครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดมลพิษจากบุหรี่อย่างแท้จริง

นโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่นในรัฐฟลอริดาซึ่งได้ออกกฎหมายในปี พ.ศ. 2565 อนุญาตให้แต่ละเมืองบังคับใช้การห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่ชายหาดและสวนสาธารณะ ซึ่งผลักดันให้มณฑลและเทศบาลมากกว่า 50 แห่งนำแนวทางนี้ไปปรับใช้ นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหามลพิษในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

กฎหมายซานตาครูซต้นแบบการลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อม

การแบนบุหรี่แบบมีไส้กรองในเทศมณฑลซานตาครูซมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นต้นแบบสำหรับการออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากบุหรี่ที่แหล่งกำเนิด ขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชน กฎหมายนี้ชี้ให้เห็นถึงการจัดการมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพและสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน

ด้วยแนวทางและการดำเนินการเชิงบวกนี้ การห้ามขายบุหรี่แบบมีไส้กรองของซานตาครูซอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายพื้นที่ในสหรัฐฯ หันมาใช้มาตรการที่คล้ายคลึงกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพและปกป้องสิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : environment energy leader

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายเชิญเที่ยวภูชี้ฟ้า สัมผัสหนาว ชมหมอกสวย

รองปลัดมหาดไทยชวนเที่ยวภูชี้ฟ้า สัมผัสอากาศหนาว ชมทะเลหมอก จังหวัดเชียงราย

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและรักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวจังหวัดเชียงราย เพื่อสัมผัสกับอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะที่ “ภูชี้ฟ้า” แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาชมทะเลหมอกในยามเช้า และความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้น

ภูชี้ฟ้า: จุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามที่สุดในเชียงราย

ภูชี้ฟ้า ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาดอยผาหม่น ความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 1,628 เมตร ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหน้าผาทอดยาวชี้ขึ้นฟ้าทางฝั่งประเทศลาว จึงได้ชื่อว่า “ภูชี้ฟ้า” จากภูชี้ฟ้า นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นหมู่บ้านเชียงตองของประเทศลาว ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีทิวทัศน์สวยงามยิ่งนัก

จุดชมวิวที่นิยม


นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดภู หรือเลือกหยุดที่ลานกว้างซึ่งอยู่ก่อนถึงยอดเขา ทั้งสองจุดนี้จะให้มุมมองที่งดงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะยามเช้าตรู่ที่ทะเลหมอกก่อตัวขึ้นพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้า

ฤดูหนาวนี้พิเศษกว่าที่ผ่านมา

ปีนี้ธรรมชาติที่ภูชี้ฟ้าได้ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไฟป่าที่เคยเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ตอนนี้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสความเขียวขจีของทุ่งหญ้าและวิวทิวทัศน์ที่กลับมาสวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่

การเดินทางไปยังภูชี้ฟ้า

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปภูชี้ฟ้าได้ทั้งการใช้รถส่วนตัวและรถสาธารณะ โดยการเดินทางด้วยรถส่วนตัวสามารถใช้แอปพลิเคชันนำทาง GPS เพื่อนำทางไปถึงจุดจอดรถ จากนั้นสามารถต่อรถสองแถวขึ้นภูได้

แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/NFgN2Ah8p3myZkk46 

การเดินทางด้วยรถสาธารณะมี 2 วิธี

  1. รถโดยสารสายเชียงราย-เทิง-เชียงของ ลงที่อำเภอเทิง และต่อรถสองแถวที่มีให้บริการรอบเดียวในเวลา 14.00 น. ค่ารถโดยสารอยู่ที่ประมาณ 33 บาทและค่าโดยสารรถสองแถวเพิ่มอีก 70 บาท
  2. รถตู้จากเชียงรายไปภูชี้ฟ้า ค่าโดยสารอยู่ที่ 150 บาท มีบริการ 2 รอบ คือเวลา 07.15 น. และ 13.00 น. สำหรับขากลับมีรอบเวลา 09.00 น. และ 15.00 น. ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

สถานที่ท่องเที่ยวอื่นในจังหวัดเชียงราย

นอกจากภูชี้ฟ้าแล้ว จังหวัดเชียงรายยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น ดอยแม่สลอง ดอยผาตั้ง และวัดร่องขุ่น ซึ่งแต่ละที่ล้วนมีความงดงามเฉพาะตัว และเส้นทางการคมนาคมสะดวกสบาย เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศเมืองเหนือในฤดูหนาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ตำรายาแก้โรค มะเร็งหายใน 6 วัน ไม่เป็นความจริง

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข่าวปลอม อย่าแชร์! ตามที่มีข้อมูลเรื่องตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีการแนะนำตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า จากการสืบค้นตามหลักองค์ความรู้ทางศาสตร์การแพทย์แผนจีนแล้วพบว่า
1.สมุนไพร “ปั่วกี่ไน๊” คือ สมุนไพรจีนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scutellaria borboto D. Don เป็นตัวยาที่มีรสขมเย็น ช่วยแก้ร้อนใน ดับพิษร้อน แก้อักเสบ ช่วยห้ามเลือด รักษาอาการเจ็บคอ
2.สมุนไพร “แป๊ะฮ่วยจั่วจิเฉ่า” คือ สมุนไพรจีนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sclerommitnion diffusum (Wild) R. J. Wang เป็นตัวยาที่มีรสขมเย็น ช่วยดับร้อน ถอนพิษ ขับปัสสาวะ ขับเลือด ระงับปวด ขับเสมหะ

ซึ่งในปัจจุบันสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว เป็นสมุนไพรจีนใช้ในการเข้าตำรับยาแก้ร้อนในทั่วไป ซึ่งยังไม่พบงานวิจัยในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ในปัจจุบันสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว เป็นสมุนไพรจีนใช้ในการเข้าตำรับยาแก้ร้อนในทั่วไป ซึ่งยังไม่พบงานวิจัยในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

มลพิษทางอากาศ จุดเริ่มต้น สร้างสัมพันธ์อินเดีย-ปากีสถาน

ความร่วมมือทางสภาพอากาศ: มลพิษทางอากาศเป็นโอกาสในการสานสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน

วิกฤตมลพิษที่เชื่อมสองประเทศคู่ปรับ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 รายงานจากอัลจาซีราระบุว่ามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในพื้นที่ทั้งสองด้านของชายแดนอินเดียและปากีสถานกำลังสร้างโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาวุธนิวเคลียร์อย่างอินเดียและปากีสถาน

การเริ่มต้นเจรจาผ่านวิกฤตมลพิษ

ในปากีสถาน นายกรัฐมนตรีแห่งรัฐปัญจาบ นางสาวแมร์ยาม นาวาซ ได้แสดงความตั้งใจที่จะพบปะกับรัฐมนตรีของรัฐปัญจาบในอินเดียเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับวิกฤตมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนทั้งสองประเทศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในลาฮอร์และนิวเดลี ซึ่งติดอันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดในโลกในช่วงเวลาล่าสุด

ความสำคัญของการแก้ไขปัญหามลพิษแบบร่วมมือกัน

ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เสื่อมโทรมและค่ามลพิษที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองประเทศต่างเห็นพ้องว่าการร่วมมือกันเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รัฐบาลปากีสถานวางแผนที่จะจัดประชุมภูมิภาคเกี่ยวกับสภาพอากาศในลาฮอร์ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาแบบร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาจากฝุ่นละออง PM2.5 และสาเหตุที่มาจากทั้งสองประเทศ

ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ถือเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอย่างมากและแพร่กระจายจากทั้งการทำกิจกรรมของมนุษย์และธรรมชาติในทั้งสองประเทศ ด้วยอัตราค่าฝุ่นละอองที่สูงเกินระดับที่ปลอดภัย อากาศที่เสื่อมสภาพได้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด

การเผาหญ้าทางการเกษตร: ต้นเหตุสำคัญของมลพิษ

ในฤดูกาลปลูกพืชใหม่เกษตรกรในทั้งสองประเทศมักเผาซากพืชเพื่อเคลียร์พื้นที่ส่งผลให้เกิดควันและฝุ่นที่เป็นมลพิษในอากาศ แม้จะมีการวิจารณ์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น การลดจำนวนการเผาเพื่อบรรเทามลพิษยังเป็นเรื่องที่ต้องการการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและประชาชน

การล็อกดาวน์เพื่อสีเขียว: มาตรการควบคุมมลพิษในลาฮอร์

เพื่อลดผลกระทบของมลพิษ รัฐบาลปากีสถานได้ประกาศ “ล็อกดาวน์สีเขียว” ในเมืองลาฮอร์ โดยมีการระงับกิจกรรมเชิงพาณิชย์และการก่อสร้างบางส่วน ทั้งนี้เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากแหล่งที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละอองในอากาศ

การเคลื่อนย้ายมลพิษข้ามพรมแดน: ลมตะวันออกที่ส่งผลกระทบต่อปากีสถาน

ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน สภาพอากาศที่เย็นขึ้นและลมจากทิศตะวันออกมีแนวโน้มพัดพามลพิษจากอินเดียมาทางปากีสถาน ทำให้ลาฮอร์มีค่ามลพิษสูงขึ้นอีกครั้ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการมลพิษแบบข้ามพรมแดน

ความพยายามระดับภูมิภาคในการแก้ปัญหา

ปากีสถานและอินเดียได้ร่วมมือกับประเทศในเอเชียใต้ผ่าน “ปฏิญญามาเล” ที่มุ่งหวังสร้างกรอบการจัดการมลพิษระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการดำเนินการยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย การสร้างความเข้าใจและร่วมมือกันยังเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดมลพิษ

ทางออกที่ชัดเจน: การลงทุนเพื่อพลังงานสะอาดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชน

ในท้ายที่สุด การลดมลพิษอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียใต้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งในด้านพลังงานสะอาดและการจัดการของเสียจากการเกษตร ซึ่งต้องใช้การลงทุนมหาศาลและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : aljazeera / By 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News