Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

“พุทธรักษ์ ดาษดา” เปิดแลนด์มาร์ก ศิลปะธรรมชาติ ที่ 7-Eleven หอนาฬิกา

พุทธรักษ์ ดาษดา: ศิลปินเชียงรายผู้สร้างสรรค์งานศิลปะจากธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ชื่อของ อิ๋ม พุทธรักษ์ ดาษดา ศิลปินอิสระชาวอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ยังคงก้องในวงการศิลปะอย่างต่อเนื่อง เธอสำเร็จการศึกษาจากคณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สาขาทัศนศิลป์ และในรอบสิบปีที่ผ่านมา พุทธรักษ์ได้สร้างชื่อเสียงจากผลงานที่โดดเด่น โดยเฉพาะการนำธรรมชาติที่อยู่รอบตัวมาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน

เอกลักษณ์งานศิลปะที่สะท้อนธรรมชาติและวิถีชีวิต

งานของพุทธรักษ์มีเอกลักษณ์ที่ผสมผสานความงดงามของธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนในเชียงราย เธอเคยจัดนิทรรศการเดี่ยวหลายครั้ง และแสดงผลงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น นิทรรศการ The Magical Land ที่ถ่ายทอดความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิต ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรม โดยมีสัญลักษณ์เด่นคือ:

  • ดอกกาสะลอง: สัญลักษณ์ประจำจังหวัดเชียงราย
  • ชาและกาแฟ: แทนผลผลิตเกษตรสำคัญของชุมชน
  • โต: สัตว์เลี้ยงมงคลตามความเชื่อของชาวไทยใหญ่ สื่อถึงความศรัทธาและความรุ่งเรือง
  • หญิงสาวดอกบัวดอง: แทนวิถีชีวิตของผู้คนที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน

จุดเริ่มต้นของศิลปินเชียงราย

พุทธรักษ์เล่าว่า การเติบโตในอำเภอแม่จัน ซึ่งมีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานของเธอ ความรักในศิลปะของเธอเริ่มจากการเฝ้ามองพี่สาวที่ชื่นชอบการเขียนหนังสือและวาดรูป จนกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เธอหลงใหลในงานศิลปะตั้งแต่วัยเด็ก

“พี่สาวเขาเขียนหนังสือสวยมาก ฉันชอบแอบดูและเขียนตาม พอถามพี่สาวว่าทำไมถึงชอบเขียน ก็ได้คำตอบว่ามันคือความสุข จากนั้นฉันก็เริ่มวาดและเขียนเรื่อยมา” พุทธรักษ์กล่าว

แรงบันดาลใจจากธรรมชาติและชุมชน

เมื่อถูกถามถึงแรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน พุทธรักษ์กล่าวว่า ธรรมชาติที่อยู่รอบตัว รวมถึงวัฒนธรรมและการเกษตรในเชียงรายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ เธอนำพืชพันธุ์ ดอกไม้ สัตว์ และเรื่องราวในชุมชนมารังสรรค์เป็นผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงความงามและเอกลักษณ์ของพื้นที่

“เชียงรายมีทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และชา-กาแฟที่คนรู้จัก ฉันจึงนำองค์ประกอบเหล่านี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน” เธอกล่าว

จุดเช็กอินใหม่ใจกลางเชียงราย

ล่าสุด พุทธรักษ์ได้สร้างแลนด์มาร์กศิลปะแห่งใหม่ที่ 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา เชียงราย ผลงานชิ้นนี้สะท้อนถึงความงามของเชียงรายในมิติที่หลากหลาย พร้อมเชิญชวนให้ผู้ที่สนใจมาเยี่ยมชมและถ่ายรูปกับผลงานที่เป็นจุดเช็กอินใหม่ของเชียงราย

พุทธรักษ์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า งานศิลปะที่เธอสร้างขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อการชื่นชม แต่ยังต้องการส่งต่อความรักในถิ่นฐานบ้านเกิด และปลุกจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและวัฒนธรรมที่มีคุณค่า

สนับสนุนศิลปะท้องถิ่น

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมและถ่ายรูปกับผลงานของเธอได้ที่ 7-Eleven สาขาหอนาฬิกา เชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ง่าย พร้อมเปิดให้ชมฟรี โดยสามารถค้นหาตำแหน่งได้ผ่าน Google Maps: คลิกที่นี่

เชียงรายไม่เพียงแต่เป็นดินแดนแห่งธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นบ้านของศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจผ่านงานศิลปะที่งดงามและทรงคุณค่าอย่างพุทธรักษ์ ดาษดา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
LIFESTYLE

คนไทย 1 ใน 4 น้ำหนักเกิน Mintel ชี้โอกาสแบรนด์สุขภาพ

Mintel เผย คนไทย 1 ใน 4 น้ำหนักเกิน แนะโอกาสพัฒนาสุขภาพด้วยโภชนาการองค์รวม

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 Mintel บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ เผยผลสำรวจในรายงาน Weight Management Diets – Thai Consumer 2024 ชี้ให้เห็นว่า คนไทย 1 ใน 4 หรือ 25% มีน้ำหนักเกินหรือเข้าข่ายอ้วน และ 74% ของคนไทยมีความตั้งใจที่จะควบคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

สถานการณ์น้ำหนักเกินในไทยและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2566 ระบุว่าคนไทยเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรประสบปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน แนวโน้มดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ คาดว่าความสูญเสียอาจสูงถึง 4.9% ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการจัดการน้ำหนักที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาสุขภาพและเศรษฐกิจในระยะยาว

ความสนใจควบคุมน้ำหนัก: รูปลักษณ์สำคัญกว่าสุขภาพ?

ผลสำรวจเผยว่า คนไทย 69% ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเมื่อควบคุมน้ำหนัก ขณะที่ 65% คำนึงถึงสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจน X กว่า 76% เริ่มเปลี่ยนแนวคิด โดยให้ความสำคัญกับการมีอายุยืนและสุขภาพที่ดีมากกว่าความสวยงามเพียงอย่างเดียว

อุปสรรคสำคัญต่อการควบคุมน้ำหนัก

แม้ว่าคนไทยจำนวนมากต้องการลดน้ำหนัก แต่ยังประสบปัญหา เช่น

  • การออกกำลังกายไม่เพียงพอ (59%)
  • การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ขนมหวาน และเครื่องดื่ม

Mintel ชี้ว่านี่เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ ในการส่งเสริมโภชนาการที่สมดุล พร้อมสนับสนุนกิจกรรมการออกกำลังกาย เช่น การจัดแคมเปญหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้

กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายหลัก

รายงานได้ระบุผู้บริโภค 2 กลุ่มสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก:

  1. ผู้ที่ออกกำลังกาย:
    เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในตลาดอาหารเสริม
  2. ผู้ที่อยากออกกำลังกาย:
    มีแนวโน้มสนใจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

เครื่องดื่มร้อน: แนวโน้มใหม่ในตลาดควบคุมน้ำหนัก

ชาและเครื่องดื่มร้อน ครองส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนักทั่วโลกถึง 12% โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้รับความนิยม Mintel เสนอว่าส่วนผสมเช่น สตีเวีย โปรตีนถั่ว และโครเมียม สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและช่วยควบคุมน้ำหนัก

Phurisa (Ploy) Phagudom นักวิเคราะห์จาก Mintel ระบุว่า เครื่องดื่มทดแทนมื้ออาหาร” อาจเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ เนื่องจากสะดวกสบายและมีคุณค่าทางโภชนาการ

โภชนาการแบบองค์รวม: เทรนด์ที่ตอบโจทย์คนไทย

ผู้บริโภคไทยมากกว่าครึ่งหนึ่งเลือกอาหารที่มีลักษณะดังนี้:

  • แคลอรี่ต่ำ
  • โปรตีนสูง
  • สารอาหารจากพืช
  • ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด

Mintel ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของร่างกาย เช่น การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ หรือการลดระดับน้ำตาลในเลือด มีความสำคัญมากกว่าการลดน้ำหนักเพื่อความผอมเพรียว

แบรนด์ควรปรับตัวอย่างไร

Mintel แนะนำให้แบรนด์ต่าง ๆ เน้นการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ที่ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มความอิ่ม และเหมาะสมกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น

  • สร้างสรรค์รสชาติใหม่ เช่น ผลไม้เมืองร้อน
  • เน้นโภชนาการที่ครบถ้วนและสะดวกสำหรับผู้บริโภค

ข้อสรุป

รายงานของ Mintel สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสในการจัดการน้ำหนักของคนไทย แบรนด์ต่าง ๆ สามารถใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมสุขภาพที่ยั่งยืนผ่านโภชนาการและการออกกำลังกาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mintel

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

ThaiHealth Watch 2025 เจาะลึก 7 เทรนด์สุขภาพปี 2568

สสส. เปิดตัว ThaiHealth Watch 2025 นำเสนอ 7 ประเด็นทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2568

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นประธานเปิดงาน “จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย 2568 (ThaiHealth Watch 2025)” โดยมีเป้าหมายสำคัญในการนำเสนอ 7 ประเด็นสุขภาพสำคัญของคนไทยในปี 2568 เพื่อสร้างการรับรู้และร่วมขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data-Driven Society)

7 ประเด็นสุขภาพสำคัญในปี 2568

  1. ยิ่งเปราะบาง ยิ่งเดือดร้อน วิกฤตโลกเดือด
    ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด สสส. เน้นสร้างทักษะคนรุ่นใหม่เพื่อลดผลกระทบจากปัญหานี้
  2. ชีวิตอมฝุ่น ตัวเลขผู้ป่วยก้าวกระโดด นโยบายก้าวไม่ทัน
    คุณภาพอากาศของประเทศไทยเฉลี่ยรายปีสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกถึง 5 เท่า ส่งผลให้ผู้ป่วยทางเดินหายใจเพิ่มกว่า 11 ล้านคน/ปี สสส. ชวนจับตาร่างกฎหมายอากาศสะอาดที่จะเข้าสภาฯ ในต้นปี 2568
  3. เยียวยาจิตใจ ปรับพฤติกรรมใหม่ เข้าถึงการดูแลได้ทุกคน
    ผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 ล้านคนในปี 2566 โดย สสส. ได้พัฒนานวัตกรรม “ประสบการณ์” เพื่อสร้างความเข้าใจและลดช่องว่างระหว่างวัย
  4. ต่างวัยต่างติดจอ เผชิญปัญหาต่าง กระทบชีวิตไม่แตกต่าง
    คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 7.04 ชั่วโมง/วัน แต่ยังมีความรู้เท่าทันภัยออนไลน์ต่ำ ส่งผลให้เกิดปัญหา เช่น การพนันออนไลน์ การคุกคามทางเพศ สสส. จึงผลักดันกลไกเครือข่ายเฝ้าระวังภัยออนไลน์
  5. เด็กอ้วนเพิ่ม ผู้ใหญ่ความดันพุ่ง ทำสุขภาพทรุด เศรษฐกิจโทรม
    เด็กอ้วนมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs สูงขึ้น เช่น เบาหวานที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มจาก 4.8 ล้านคนในปี 2566 เป็น 5.3 ล้านคนในปี 2583 สสส. เร่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพ
  6. โรคติดต่อจะไม่ติดต่อ เติมความรู้ให้แน่น ก่อนจะเล่นกับความรัก
    ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 53 คน/แสนประชากรในปี 2566 สสส. พัฒนาเว็บไซต์ www.คุยเรื่องเพศ.com เพื่อให้ความรู้แก่ทุกกลุ่มวัย
  7. การตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ภาพหวานเหมือนขนม ซ่อนพิษขมสำหรับเด็ก
    เด็กไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% โดยส่วนหนึ่งมาจากการตลาดที่ดึงดูดนักสูบหน้าใหม่ สสส. เน้นผลักดันนโยบายและสร้างความตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

พัฒนานวัตกรรม ThaiHealth Watch

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเปิดงาน จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย 2568 (ThaiHealth Watch 2025) ว่า “สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data-Driven Society) พัฒนานวัตกรรม ThaiHealth Watch เพื่อนำเสนอแนวทางลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยรวบรวมองค์ความรู้จากสถานการณ์สุขภาพคนไทย ปี 2567 ประกอบกับความคิดเห็นเรื่องสุขภาพยอดนิยมบนสื่อออนไลน์ และข้อแนะนำทั้งระดับปัจเจกบุคคลและนโยบายต่อสังคม เกิดเป็นประเด็นกระแสสังคม 7 ประเด็น 1.ยิ่งเปราะบาง ยิ่งเดือดร้อน วิกฤตโลกเดือด สำนักบริการด้านสภาพแวดล้อมของสหภาพยุโรป พบปี 2566 เป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิร้อนที่สุด โลกร้อนขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความหลากหลายทางระบบนิเวศ ระบบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ไทยเสี่ยงจากผลกระทบสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางคือกลุ่มเสี่ยงที่สุด สสส. จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย สร้างทักษะคนรุ่นใหม่สามาร

พ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า 2.ชีวิตอมฝุ่น ตัวเลขผู้ป่วยก้าวกระโดด นโยบายก้าวไม่ทัน รายงานคุณภาพอากาศปี 2566 พบไทยมีมลพิษมากเป็นอันดับที่ 36 ของโลก เฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 23.3 มคก./ลบ.ม. มากกว่าค่าเฉลี่ยรายปีที่องค์การอนามัยโลกกำหนดถึงเกือบ 5 เท่า โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบเทียบเท่ากับสูบบุหรี่ 1,224 มวน ส่งผลให้มีผู้ป่วยทางเดินหายใจกว่า 11 ล้านคนต่อปี สสส. ชวนจับตาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2-3 ในต้นปี 2568 3.เยียวยาจิตใจ ปรับพฤติกรรมใหม่ เข้าถึงการดูแลได้ทุกคน พบผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 สสส. ร่วมกับภาคีพัฒนานวัตกรรมดูแลสุขภาพจิต ภายใต้โครงการ “ประสบการณ์” เพื่อลดช่องว่างและทัศนคติระหว่างวัย 4.ต่างวัยต่างติดจอ เผชิญปัญหาต่าง กระทบชีวิตไม่แตกต่าง พฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 2565 โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พบคนไทยใช้อินเทอร์เน็ต 7.04 ชม./วัน แต่กลับมีความรู้ด้านการป้องกันภัยออนไลน์ต่ำ ส่งผลให้เสพติดพนันออนไลน์ โดนกลั่นแกล้ง คุกคามทางเพศ สสส. ได้ผลักดันกลไกเครือข่ายสร้างทักษะรู้เท่าทันสื่อทุกกลุ่มวัย เพื่อเฝ้าระวังและลดภัยออนไลน์ทุกรูปแบบ

1 ในสิ่งสำคัญที่ สสส. มุ่งเน้นการขับเคลื่อน

          น.ส.สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญส่งผลให้การลดโรค NCDs ทำได้ยาก คือ 1.นวัตกรรม ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม และพฤติกรรมของคน เช่น การสั่งอาหารเดลิเวอรี่ อาหารแปรรูป 2.การตลาดที่กระตุ้นการบริโภค 3.บุหรี่ไฟฟ้าและกัญชา เข้าถึงได้ง่าย 4.ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ PM2.5 ทำให้ออกกำลังกายนอกอาคารไม่ได้ 5.ปัญหาความเครียด สุขภาพจิต 6.รางวัลที่ให้ตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการกินเกินพอดี

    “1 ในสิ่งสำคัญที่ สสส. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานป้องกันและลดอัตราป่วยด้วยโรค NCDs สื่อสารรณรงค์ให้ความรู้ จุดประกายการเปลี่ยนแปลง เช่น สสส. ขับเคลื่อนเรื่องเหล้าในกลุ่มผู้หญิง เหล้ามีผลต่อมะเร็งเต้านม ทำให้อัตราการดื่มในกลุ่มผู้หญิงลดลง หรือกรณีบุหรี่ไฟฟ้า เรื่องไอบุหรี่เกาะปอดไม่สามารถล้างไม่ได้ รวมถึงจุดประกายการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้ง่าย เช่น แคมเปญ “ไขมันเริ่มสลายเมื่อออกกำลังกายอย่างน้อย 10 นาที” สร้างกระแสสังคมเพื่อปรับพฤติกรรมเสี่ยง เรื่องงดเหล้าเข้าพรรษา” น.ส.สุพัฒนุช กล่าว

มุ่งแก้ปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน

ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช รองคณบดี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปี 2566 คนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตาย 7.9 คนต่อประชากรแสนคน และยังมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี แต่บุคลากรด้านสุขภาพจิตกลับเป็นสาขาที่มีจำนวนจำกัด มีจิตแพทย์ 1,000 คน นักจิตวิทยา 1,000 คน ซึ่งการจะเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอต้องใช้เวลาถึง 5-10 ปี กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่า 10 ปีข้างหน้า สุขภาพจิตจะกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอันดับ 1 ของโรคไม่ติดต่อทั้งหมด ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ กลุ่มวัยทำงาน พบมีความเครียดในการทำงาน 42.7% ในจำนวนนี้มีภาวการณ์ฝืนทำงานแม้มีปัญหาสุขภาพจิต 27.5% การรักษาในโรงพยาบาลจึงอาจไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต

 

   “แนวทางการสร้างนโยบายการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีในการทำงาน 6 เรื่อง 1.เพิ่มสวัสดิการด้านการรักษาสุขภาพกายและใจ 2.อบรมให้ความรู้และจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ 3.เพิ่มสวัสดิการการลา 4.ส่งเสริมการพูดคุยสื่อสารและรับฟังปัญหา 5.สร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร 6.เพิ่มสวัสดิการทางการเงิน ช่วยให้พนักงานเข้าถึงการได้รับบริการหรือการส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพใจ” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว

เป้าหมายของ ThaiHealth Watch 2025

“ThaiHealth Watch 2025” จะเป็นเครื่องมือสำคัญกระตุ้นสังคมให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://resourcecenter.thaihealth.or.th/healthtrend หรือรับข้อมูลเฉพาะบุคคลได้ผ่านแอปพลิเคชัน “Persona Health”

“สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรา” นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

เรื่องราวของ ‘ผอ.เขตฯ’ ครูดีในดวงใจ สร้างแรงบันดาลใจให้ศิษย์

เรื่องราวประทับใจจากห้องเรียน: ความทรงจำที่ไม่มีวันลืมกับครูดีในดวงใจ

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 นางนัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน ได้โพสต์เรื่องราวที่สร้างความประทับใจในเพจ “นัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา สหายใบไผ่” เกี่ยวกับการตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านนคร พร้อมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเยี่ยมชมห้องเรียนที่สะท้อนถึงความสำคัญของครูในดวงใจ และแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันเลือน

นางนัฑวิภรณ์เล่าว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้ไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านนครเพื่อติดตามการดำเนินนโยบาย “เรียนดีมีความสุขสู่ห้องเรียน” ขณะที่เดินผ่านอาคารเรียนเพื่อขึ้นห้องประชุมชั้นสอง ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงการสอนที่อบอุ่นของครูในห้องเรียน จึงตัดสินใจแวะเข้าไปดู และได้พบกับครูเรืองฤทธิ์ ดวงภูเมฆ ซึ่งเคยเป็นครูสอนของเธอเองเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนที่อำเภอสันติสุข

ครูในดวงใจ: ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียน

ครูเรืองฤทธิ์กำลังสอนนักเรียนเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ โดยใช้ภาพที่แสดงผ่านโปรเจ็กเตอร์เป็นภาพของนางนัฑวิภรณ์ และครูกณิศา ซึ่งเป็นครูอีกท่านหนึ่งที่เคยสอนเธอ ครูเรืองฤทธิ์กล่าวกับนักเรียนด้วยความภาคภูมิใจว่า “นี่คือตัวอย่างของคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค” คำพูดนี้สร้างความซาบซึ้งในใจของทุกคนในห้องเรียน

เมื่อครูมอบไมโครโฟนให้นางนัฑวิภรณ์พูดกับนักเรียน เธอได้กล่าวถึงความสำคัญของครูในชีวิต พร้อมขอบคุณครูเรืองฤทธิ์ที่อบรมสั่งสอนตลอด 6 ปี ทำให้เธอมีวันนี้ นักเรียนทุกคนในห้องต่างซาบซึ้งจนเงียบไปชั่วขณะ มีนักเรียนคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมไม่ทันตั้งตัวเลยครับ เพราะมันเร็วเกินไป” เมื่อครูบอกว่ากำลังจะเกษียณในอีก 10 เดือน ทุกคนในห้องน้ำตาซึม รวมถึงครูเรืองฤทธิ์เองที่สะท้อนความรักและผูกพันต่อศิษย์

ความประทับใจที่ไม่มีวันเลือน

นางนัฑวิภรณ์กล่าวปิดท้ายว่า “ขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้ได้พบครูในวันนี้ และขอบคุณครูที่ได้อบรมสั่งสอนตลอดมา” เธอเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของครูที่ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและความหวังในชีวิตของศิษย์

ครูเรืองฤทธิ์ ดวงภูเมฆ: ครูดีในดวงใจ

ครูเรืองฤทธิ์ ดวงภูเมฆ คือภาพแทนของครูที่มีหัวใจทุ่มเทเพื่อศิษย์ เขาเป็นตัวอย่างของความเสียสละ ความรัก และความมุ่งมั่นในอาชีพครู การสอนของครูเรืองฤทธิ์ไม่เพียงแต่เน้นการให้ความรู้ แต่ยังส่งเสริมคุณค่าของการเป็นคนดี การมีความมุ่งมั่น และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

เรื่องราวนี้สะท้อนถึงความสำคัญของครูในชีวิตของนักเรียน และความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างครูและศิษย์ เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า “ครู” ไม่ใช่เพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่คือผู้สร้างรากฐานชีวิตและแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันลบเลือน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา สหายใบไผ่ / สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

#ฅนเจียงฮาย EP.05 : เคยโดนว่า “เต้นกินรำกิน” ตอนนี้มันเป็นอาชีพไปแล้ว

 

คอลัมน์ #ฅนเจียงฮาย EP.05 : เคยโดนว่า “เต้นกินรำกิน” ตอนนี้มันเป็นอาชีพไปแล้ว

ฅนเจียงฮาย : ครูกร้อ ครูสอนเต้น

เป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อย? : ชื่อ “ครูก้อ” ครับ หรือว่าตะกร้อครับ เคยเรียนที่ ท.6 (โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย) มาก่อน แล้วก็ย้ายไปที่ มฟล. หรือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก็จบเป็นนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศครับ เกี่ยวกับไอที ไม่ได้เกี่ยวกับสายเต้นเลย เราเรียนไม่ได้เป็นความชอบส่วนตัว แต่เป็นความชอบของพี่สาวครับ แบบครอบครัวเมื่อก่อนก็คือเรารู้สึกว่า พี่เรียนสายอาชีพทางบ้านก็คิดว่าน่าจะทำงานได้ดีในสายนี้เราก็เลยเรียนแต่พอเราเข้ามหาวิทยาลัยเราก็รู้สึกว่าตัวเองชอบสิ่งอื่นที่น่าสนใจมากกว่านั้น ซึ่งมันก็คือ ‘การเต้น’ ที่เรารู้สึกว่าเราหลงรักเสียงเพลง ก็เลยผันตัวเองมาลองเต้นดูครับ

 

ที่บ้านก็มีไม่เข้าบ้างครับ เราเต้นเพื่ออะไรหรือว่าจุดมุ่งหมายเราที่เราจริงจังเนี่ยเพื่ออะไร? แบบนี้ครับ มันก็เหมือนมีคนบอกว่าเป็นการ ‘เต้นกินรำกิน’ ยังมีคำนี้อยู่นะครับมันมีมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เรารู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นอาชีพได้นะในวันนึง แต่เมื่อก่อนคุณพ่อคุณแม่อาจจะยังไม่เข้าใจครับ

เราก็พิสูจน์ตัวเองแล้วก็เต้นมาเรื่อย ๆ จนเราได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง Hip Hop International ครับ ปี 2014 ได้รางวัล รองชนะเลิศอันดับ 1 ครับ ได้ร่วมเป็นตัวแทนประเทศในทีมใหญ่ที่เป็นการรวมตัวกันของหลาย ๆ ทีม แข่งที่ Las Vegas ปี 2015 ได้รางวัล อันดับที่ 4 ครับ ได้เป็นตัวแทนไปแข่งที่ San Diego

พอได้รางวัลมาพ่อแม่ก็เข้าใจ ก็ปล่อยให้ทำเต็มที่เลยครับ เราได้แชมป์เราก็จะไปแข่งที่อเมริกามาอีกสองปี กับครูยุ้ย ครูเมฆ เจ้าของสถาบัน MY DANCE นี่แหละ แต่ก็ไม่ได้รางวัลครับ เพราะที่อเมริกา การแข่งขันมันสูงมากครับ ตอนนี้เราเริ่มผันตัวเองมาเป็นโค้ชด้วย ลงแข่งบ้างบางครั้งบางคราวครับ


คือผมเป็นคนเชียงรายมาดั้งเดิม แต่ว่ามันมีช่วงที่เราไปทำงาน คิดจะไปเต้นที่กรุงเทพฯ เป็นแบบผู้ช่วยพวกในบริษัทค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ อย่างแกรมมี่ครับ เป็นผู้ช่วยของพี่ที่ทำงานสายเต้นด้วยกันนี่แหละ แต่เราก็อยู่ได้ ประมาณเดือนนึงแล้วก็กลับ ด้วยความรู้สึกว่าพอเราไปอยู่เบื้องหลังอะมันยังไม่ใช่ตัวตนเราครับ เพราะเราอาจจะชอบเต้นมาก ๆ ด้วยแหละ ชอบสอนด้วย เลยรู้สึกว่ามาทำสิ่งที่เราชอบตั้งแต่ต้นดีกว่า แล้วสอนเต้นนี่ประมาณเกือบจะสองปีแล้วครับ มีทั้งวัยเด็กน้อยสุดก็ประมาณ 3 ขวบ มากสุดอยู่ที่ 47 ปี เกือบ 50 ปี ก็คิดว่าจะทำไปเรื่อย ๆ เพราะชีวิตเราอยู่กับการเต้นและเราก็ชอบมากครับ
 

ปกติตอนแรกเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบการสอนตั้งแต่แรก แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าการสอนผู้คนมันเปลี่ยนผู้คนได้ เราเห็นเขายิ้ม ได้เห็นเขามีความสุขกับการเต้น เราพอใจละ เราไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องเก่งก็ได้แต่ให้เขาได้เปลี่ยนไปทำในสิ่งที่เขาชอบ เพลงที่เขาชอบ เหมือนเดี๋ยวนี้คนชอบที่จะได้ฟังเสียงเพลงหรือว่าอยากให้การเต้นมาช่วยบําบัดเพื่อให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกว่า เออ เขามีความสุขขึ้นจริง ๆ กับเสียงเพลงและการที่ได้มาเต้นกับเรา มันทำให้คนดีขึ้นได้ ผมก็โอเคแล้ว มันมีความสุข รู้สึกถูกเติมเต็มมาก ๆ เลยครับ
 

อย่างเช่นเคสนึง มีนักเรียนเขามาเรียนกับเรา คือเขาอกหัก แล้วเขาบอกว่าอยู่คนเดียวไม่ไหว รู้สึกว่าเหมือนจะมีอาการซึมเศร้า เขาก็เลยออกมาเรียนเต้น ออกมาแสดงตัวตน สุดท้ายเขาก็มีความสุขขึ้น รู้สึกหลุดพ้นไม่ต้องคิดอะไร ดังนั้นตรงนี้มันโอเคที่สุดแล้วสําหรับเราครับ
 

สิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุด? : ถ้าถามว่าอยากจะเปลี่ยนอะไร อยากเปลี่ยนให้ทุกคนยอมรับในการเต้นมากขึ้นครับ เพราะว่ามันยุคใหม่แล้วมันต่างจากเมื่อก่อนเยอะ ไม่มีใครมาดูถูกแล้วว่าการเต้นมันไม่มีคุณค่า ทุกอย่างทุกอาชีพมันมีคุณค่าของมันอยู่แล้ว การเต้นก็เหมือนกันครับ


ฅนเดินเรื่องโดย : ครูกร้อ ครูสอนเต้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY Dance Academy

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

#ฅนเจียงฮาย EP.04 : ไม่ได้อยากเปลี่ยนคนอื่น อยากเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้อยู่รอดในทุกสถานการณ์

 
คอลัมน์ #ฅนเจียงฮาย EP.03 : ไม่ได้อยากเปลี่ยนคนอื่น อยากเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้อยู่รอดในทุกสถานการณ์
 
ฅนเจียงฮาย : ชิงชิง สาวอาข่า วัย 22 ปี
 
เป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อย? : ชื่อชิงชิง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า อายุ 22 ปีค่ะ อยู่ที่บ้านห้วยไร่ ตำบลห้วยไคร้ แล้วก็เคยเรียนที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคมมาค่ะ หลังจากนั้นก็มาเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ที่ตัวเมืองเชียงรายค่ะ อยากเรียนสายอาชีพ ก็เลยลงมาในเมืองเชียงรายตัวคนเดียวค่ะ แล้วก็มาพักอยู่หอใกล้กับที่เรียนเพราะว่าไม่อยากเดินทางไกล ค่าใช้จ่ายมันจะได้ลดน้อยลงค่ะ แล้วช่วงตอนเย็น ๆ ก็มาหางานพาร์ทไทม์ทําที่นี่ค่ะ
 
ถามถึงเรื่องเรียน เลือกเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างตอนนี้? : เรียนสาขาท่องเที่ยวค่ะ ตอนนี้เรียนระดับปริญญาตรี ปีหนึ่ง แต่ถ้าเทียบเท่าก็คือปริญญาตรีปีสองค่ะ เพราะว่าหนูจบปวส.มาแล้ว
 
 
ทําไมถึงเลือกเรียนท่องเที่ยว? : ที่จริงเรื่องเลือกเรียนการท่องเที่ยวคือหนูไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่ว่าสาขานี้ได้ตรงกับการเรียนเรื่องภาษามากที่สุด ก็เลยเลือกเรียนสาขาการท่องเที่ยวค่ะ
 
ทําไมถึงชอบเรื่องของภาษาเป็นพิเศษ? : รู้สึกว่าเข้าใจง่าย เหมือนกับว่าตัวเราชอบ แล้วถ้าศึกษาหรือพยายามอีกนิดก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ดีเลยค่ะ เพราะว่าตัวเองถนัดเรื่องภาษามากกว่าเรื่องอื่น ๆ ส่วนตัวชอบภาษาจีน ตอนที่อยู่ที่บ้านก็เรียนโรงเรียนจีน
 
ครอบครัวว่ายังไงบ้างที่เราชอบเรื่องภาษาเป็นพิเศษ? : ครอบครัวก็คือสนับสนุนเลย เขาอยากให้หนูเรียนหนังสือให้จบ คือครอบครัวหนูมี 3 คนพี่น้อง และหนูเป็นพี่คนโต แล้วตัวหนูเองก็รู้สึกว่า ยังไงหนูก็ต้องเรียนให้จบ เพราะในประเทศไทยการศึกษาสำคัญจริง ๆ และหนูก็รู้สึกว่าใบจบก็สําคัญในการยื่นเพื่อทํางาน ฐานเงินเดือนมันก็จะได้ดีขึ้น คงจะมีโอกาสมากกว่าค่ะ
 
 
อาชีพที่ใฝ่ฝัน สิ่งที่อยากทําที่สุด? : ตอนแรกคือหนูอยากเป็นหมอ แต่รู้สึกว่าพอเริ่มโตขึ้นความคิดมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะทําอะไร แค่รู้สึกว่าต้องเรียนให้จบ แล้วก็ทําในสาขาที่เรียนจบมาสัก 2-3 ปีเพื่อเก็บเงินก่อน แล้วก็ค่อยหาว่าตัวเองชอบอะไร
 
การมาทํางานพาร์ทไทม์นอกจากได้รายได้พิเศษแล้วเราได้อะไรเพิ่ม ประสบการณ์ หรือทัศนคติใหม่? : ได้รู้ว่าการเอาตัวรอดเป็นสิ่งสําคัญค่ะ เรารู้สึกว่าเราไม่ควรไว้ใจคนอื่นมากเกินไป แม้แต่ตัวเราเอง เพราะสุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดค่ะ แล้วก็แบบเหมือนเราต้องเอาตัวรอดอยู่ทุกวันนะคะ การซื่อสัตย์มากเกินไปบางทีก็โดนเอาเปรียบค่ะ
 
สิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุด? : ส่วนตัวไม่ได้อยากเปลี่ยนคนอื่น อยากเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้อยู่รอดในทุกสถานการณ์ บนโลกใบนี้มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ช่วงนี้หนูรู้สึกไม่ค่อยขยันเลยค่ะ คือหนูมีเป้าหมายแบบนั้น แบบนี้ หนึ่งสองสามสี่ วางแผนไว้หมด แต่ความไม่ค่อยขยันมันเข้ามาครอบงํา หนูอยากมีวินัยมากขึ้นกว่านี้ เพื่อที่จะทําให้เป้าหมายของตัวเองสําเร็จ เพราะการที่เราจะทําอะไรให้สําเร็จมันไม่ใช่แค่ฝันแบบลม ๆ แล้ง ๆ ไปวัน ๆ เราต้องเราต้องมีแผน ต้องมีความมุ่งมั่น หนูเลยรู้สึกว่า หนูอยากเปลี่ยนตรงจุดนี้ค่ะ
 
ฅนเดินเรื่องโดย : “ชิงชิง” สาวอาข่า วัย 22 ปี
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

#ฅนเจียงฮาย EP.03 : ค่าของความสุข คือได้ทำงานที่ชอบ และอยู่ในเมืองที่ใช่

 
คอลัมน์ #ฅนเจียงฮาย EP.03 : ค่าของความสุข คือได้ทำงานที่ชอบ และอยู่ในเมืองที่ใช่
 
ฅนเจียงฮาย : @JAck Teerasak
เป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อย? : ชื่อเล่นชื่อแจ๊คครับ ทำงานประชาสัมพันธ์ อบจ.เชียงรายครับ จบจากมหาวิทยาลัยนเรศวร คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
 
ผมเคยอยู่จังหวัดตาก ทํางานประชาสัมพันธ์จังหวัดตาก เป็นจังหวัดเล็ก ๆ เราก็เลยมองหาโอกาสที่จังหวัดใหญ่เพื่อที่จะได้มามาหาประสบการณ์เพิ่มเติม เลยมาสมัครงานที่ อบจ.เชียงราย ในตําแหน่งผู้ช่วยนักประชาสัมพันธ์ครับ
 
 
เมื่อก่อนเคยทํางานอยู่ที่สนามบิน ทําได้ประมาณสองเดือนแล้วรู้สึกว่าร่างกายมันไม่ไหวก็เลยออกมาช่วยที่บ้านทํากิจการธุรกิจส่วนตัว แต่ว่าคุณตารับราชการ เขาก็อยากให้เราทําราชการก็เลยสอบเข้ามาในวงการราชการ
 
อาชีพที่ใฝ่ฝัน อยากทำที่สุด? : เอาจริง ๆ ความฝันของเราคือถ้าเราอยากทําอะไรก็จะเรียนตรงสายเลย แบบถ้าอยากเข้าสายนี้เพื่อจะต่ออันนี้เราก็อยากเป็นนัก PR เราจะไม่ไปออกาไนซ์ เคยไปลองแล้วแต่มันก็หนักไป ก็เลยมาสายราชการแล้วมันแล้วมันดูมีวันหยุด แต่ว่ารายได้ก็อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่สวัสดิการดี อะไรดี แล้วเราก็ค่อยไปสอบเพิ่มเติม
 
อยากมาอยู่ทางเหนือครับ อากาศดี แล้วก็เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่กําลังกําลังดี ถ้าเป็นเชียงใหม่อาจจะวุ่นวายไป
แต่ที่เชียงรายกําลังดี ถ้ามีโอกาสสอบบรรจุได้เป็นบรรจุที่ไหนก็ไปก่อน แต่สุดท้ายก็อยากจะกลับมาอยู่ที่เชียงรายเนี่ยแหละครับ
 
 
ชอบอะไรใน จ.เชียงราย? : ชอบในตัวเมือง ชอบบรรยากาศ ชอบวัฒนธรรม ชอบชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่วุ่นวายเท่าเชียงใหม่ครับ เคยมาเที่ยวเชียงรายตอนเด็ก ๆ ครั้งสองครั้ง แล้วก็มีญาติอยู่พะเยา แล้วก็เรามาเที่ยวพะเยาบ่อยเขาก็จะพามาเชียงราย ก็เลยรู้สึกว่าเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่น่าสนใจ ตอนนี้อยู่ที่นี่ 7 ปีเข้าปีที่ 8 แล้ว
 
ถ้าถามถึงสิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุด? : อยากเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่กับเด็กครับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้โลกเราพัฒนาไปไกล สังคมค่อนข้างเปิดกว้างครับ แต่ว่าความคิดของผู้ใหญ่ส่วนมาก ก็ยังติดอยู่กับแบบเดิม บางทีเด็กแสดงความคิดเห็น ก็จะกลายเป็นเถียงผู้ใหญ่ไปครับ เลยอยากให้มีการปรับจูนกันตรงนี้มากกว่า เพื่อที่คนสองวัยจะได้เข้าใจกัน แล้ช่องว่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ก็จะน้อยลง ทำให้ได้ใกล้กันมากขึ้นด้วยครับ
 
ฅนเดินเรื่องโดย : “แจ๊ค” – ผู้ช่วยนักประชาสัมพันธ์
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

#ฅนเจียงฮาย EP.02 : เมื่อยิ่งพยายามหนีห่างจากเสียงดนตรี เหมือนยิ่งใกล้มันไปเรื่อย ๆ

 
 

คอลัมน์ #ฅนเจียงฮาย EP.02 : เมื่อยิ่งพยายามหนีห่างจากเสียงดนตรี เหมือนยิ่งใกล้มันไปเรื่อย ๆ

 
ฅนเจียงฮาย : Luis Phanpum
 
เป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อย? : จริง ๆ ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เกิดที่จังหวัดนนทบุรีเติบโตที่นู่นแล้วก็กลับมาอยู่จังหวัดเชียงรายได้สัก 4 ปีครับ มัธยมก็เรียนเตรียมอุดมศึกษาแม่เป็นคนที่นี่ (เชียงราย) แล้วก็มีญาติอยู่ที่นี่ครับ เล่นดนตรีมาตั้งแต่เรียนประถม แล้วก็หยุดเล่นตามภาษาเด็ก แล้วก็มาเล่นเป็นอาชีพจริง ๆ คือตอนที่มาอยู่เชียงราย ใช้หาเงินที่นี่ครับ
 
ก่อนหน้านี้ทำงานอะไรมาก่อน? : เคยทํางานตามสายงานอยู่ประมาณ 3-4 ปี เพราะเรียนจบสถาปัตย์ดีไซเนอร์ รับงานสถาปัตย์ ทำอินทีเรีย (interior) ตกแต่งภายใน ไม่ได้เล่นดนตรี ไม่ได้ร้องเพลงเลย ซึ่งทํางานเกี่ยวกับ 3D ทางสายวิชาชีพที่เรียนมา หลังจากนั้นผมก็ลาออกจากงาน ใช้ชีวิตต่ออีก 2-3 เดือน ที่กรุงเทพฯ ก็ใช้เงินที่มีอยู่เท่าที่เหลือตอนออกจากงานมา ก็ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ทําอะไรให้เป็นประโยชน์อยู่อย่างนั้น
 
 
วันนึงตื่นขึ้นมาเราก็ไม่เข้าใจตัวเอง คนอื่นก็ไม่เข้าใจเรา แต่ว่าทางออกของเรา เราแค่รู้ว่าอยากไปลําบากนิดนึง อยากไปที่ ๆ ไม่มีใครรู้จักเราเยอะ ไปลองดูอะไรใหม่ ๆ ไม่ต้องเอาอะไรไปเยอะ ผมมาที่นี่ (เชียงราย) คิดง่าย ๆ ว่าเฮ้ย! ต้องมาที่เชียงรายแล้ว ก็คือเราคิดว่ามันน่าจะไม่ยากมากเพราะว่าเรามีญาติอยู่นี่ และรู้แค่ว่าแม่มาเที่ยวบ่อยปีละครั้ง สองครั้งอะไรอย่างนี้ เรารู้ว่าเรามาเที่ยวได้ก่อนแน่นอน
 
 
มาด้วยกระเป๋า ที่มีโน๊ตบุ๊ค กีต้าร์ กับมอเตอร์ไซค์ เอาไปใส่รถไฟที่หัวลําโพง ซื้อตั๋วลงที่เชียงใหม่ พอถึงแล้วก็ขี่จากเชียงใหม่มาเชียงราย จำได้ว่าลงจากรถไฟมาตี 3 ที่เชียงใหม่ ขับมอเตอร์ไซค์มาเรื่อย ๆ กว่าจะมาถึงเชียงรายก็ฟ้าขึ้นแล้วอะ ตาสว่างครับ ถึงที่นี่เช้าประมาณ 7 โมง 8 โมง แล้วก็ยังไม่คิดอะไรก็เที่ยวก่อนแล้วก็ไปบ้านยายที่ อ.เวียงชัย
 
 
แล้วเรื่องดนตรี? : ส่วนเรื่องดนตรีมันมาเริ่มต่อที่นี่ คือเราเล่นกีต้าร์เป็นอยู่แล้ว เราไม่ได้ร้องเพลงด้วย ก็ใช้เวลาสักพักนึง แล้วผมก็มารู้ว่าตัวเองชอบชากาแฟ และมีญาติที่นี่ก็ทําชาเราก็เห็นโซเชียล ก็เฮ้ยไปนี่ดีกว่าไปลองทําร้านชากาแฟ โดยร้านแรกที่ไปทำคือร้านสวรรค์บนดิน ทำปีกว่าก็ช่วงโควิดผมเลยออกมา แล้วก็เปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ ครับ
 
 
มาเล่นดนตรีจริง ๆ จากพี่ที่เป็นลูกค้าที่ร้าน เขาจำเราได้จากโซเชียลรู้ว่าเราเป็นนักดนตรีประมาณนั้น เขาก็มีเถียง ๆ กันกับแฟนเขา เหมือนจำเราได้ ว่าแบบใช่ไม่ ใช่ไม่ใช่ อยู่แบบนั้น ตอนเรามาเสิร์ฟเขา คือครอบครัวผมเป็นครอบครัวนักดนตรีครับ ตอนที่พี่เขาทักคือเรารู้ว่าคงจะต้องเป็นคนที่รู้จักเราจริง ๆ ถึงจะรู้ว่าเราเป็นลูกใครอะไรประมาณนั้น คือปกติที่เคยเจอจะถูกทักว่าใช่ญาติของศิลปินคนนึงที่มีชื่อเสียงหรือเปล่า (ญาติคือ แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม) แต่ว่าพี่คนนี้คือรู้จักพ่อผมเลย เพราะพ่อผมก็คือ “เล็ก ทีโบน” มือกลอง พ่อผมตีกลองประมาณนั้น ตอนนั้นผมก็เลยบอกว่าใช่ เขาก็เลยพามาที่นี่ ผมก็ถามว่าจําผมได้จากไหน เขาบอกพี่ไม่เล่นเฟซบุ๊กแต่เพื่อนเล่นและตีกลองรู้จักกับพ่อน้องในเฟซบุ๊ก แล้วก็เคยเห็นเอ็งกับพ่ออะเล่นดนตรีไปด้วยกัน ผมก็เลยแบบเฮ้ยเขาจําได้!
 
 
 
ผมก็เลยแบบเออโอเค ผมมาที่นี่ตอนแรกเล่นเพลงสากลอย่างเดียวเลย เมื่อก่อนร้านชื่อนอนนั่งเล่น ค่อย ๆ หัดมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ร้องดีแบบนี้ตั้งแต่แรก ทุกวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าดีนะครับ แต่ตอนที่มาแจมคือแจมอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เรามาแบบ 3 -4 เพลง แล้วก็กินอะไรก่อนกลับบ้าน ไม่ได้เงินด้วย มาแจมทุกวันอังคาร มันเป็น activity ที่รู้สึกว่ามันเป็น activity ที่ดีอะ
 
เราพยายามหนีมัน (ดนตรี) ช่วงตอนเรียนสถาปัตย์ คือเราไปเรียนสถาปัตย์เพราะเราคิดว่ามันหาเงินง่าย แล้วก็หาเงินได้เร็ว เราคิดแค่ว่าเราไม่เก่งแบบพ่อเรา ต่อให้แบบพอเราตีกลอง เราไปเรียนกลองเลยวันนึงเราก็เจอแบบเอ้ย “ไม่เท่าพ่อหรอก” คือยังไงเราคงเห็นลูกหลานศิลปินดาราส่วนใหญ่ มีคํานี้ทุกคน คือมันอยู่ที่ว่าใครจะผ่านไปได้ใครจะผ่านไปไม่ได้
.
ถ้าแบบว่ามันต้องเป็นเงินเดือนแล้วนะ มันจะต้องเป็นเงินเท่าไหร่ มันได้กี่เดือน ก็จริง ๆ ถ้าทําแบบนั้นจริงจังประมาณปีเดียวครับ ปีเดียว แต่ถ้าเล่นมาเรื่อย ๆ โดยไม่เคยมานับเงินอยู่ 4 ปี กลางวันเรายังมีงานร้านกาแฟ แล้วก็ทํากลางวันเสร็จกลับบ้านเปลี่ยนชุดเล่นดนตรี
.
 
ถ้าถามถึงสิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุด? : ถ้าสิ่งที่อยากเปลี่ยนอย่างเดียว ที่มีผลถึงขนาดว่าแบบเกี่ยวกับวงการดนตรี ก็คงอยากให้ทุกคนเปลี่ยนเรื่องมุมมองการฟังเพลง เราเห็นว่านักท่องเที่ยวมาเชียงรายกันเยอะครับ แต่จริง ๆ แล้วเชียงรายถึงจะไม่ได้เที่ยวทั้งปี แต่มันมีหลายอย่างที่ผลักดันได้นะ เราก็มองเห็นว่ามุมมองการฟังเพลงมันยังไม่กว้างพอ ดนตรีทุกที่เลย มีร้านเยอะมาก เราแค่บอกว่าอยากให้ฟังดนตรีจริง ๆ ฟังสิ่งที่เราเรียบเรียงมา ไม่อยากให้ทุกคนมาเสียใจในสิ่งที่ขอเพลงนักร้องแล้วเขาเล่นไม่ได้ แล้วก็หายไป
 
ฅนเดินเรื่องโดย : “หลุยส์” – นักดนตรีกลางคืนร้านโรงสี เชียงราย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

#ฅนเจียงฮาย พ่อค้าสถานีปิ้งเตาถ่าน

 
 
คอลัมน์ #ฅนเจียงฮาย EP.01
.
ฅนเจียงฮาย : Wittawat Wimolkawsir
.
เป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อย? : “ผมเป็นชาติพันธุ์ครับ” ผมเป็นอาข่า อยู่ที่นี่เลยครับ พ่อกับแม่ก็เป็นคนที่นี่ ท่านเจอกันที่นี่ แต่งงานกันที่นี่ แล้วมีผมที่นี่ ครอบครัวผมตอนนี้มีอยู่ 4 คนครับ คือผมเป็นลูกชายคนแรกแล้วก็มีน้องชาย ปกติผมเป็นคนชอบหาอะไรทําอยู่แล้วเวลาว่าง ๆ ไม่ชอบอยู่เฉย ๆ ครับ พอช่วงปิดเทอมหรือสงกรานต์ผมก็จะไปขายพวกส้มตําไก่ย่างตามริมน้ำในจังหวัดเชียงราย ที่มันจะมีล่องแพครับ
.
ชีวิตครอบครัวเป็นยังไง? : พ่อผมมีงานประจําอยู่ครับ รับจ้างทั่วไปแผนกการเกษตรที่ อบต.แม่ฟ้าหลวงครับ เงินเดือนก็ตามทั่วไป ที่ผ่านมาก็หนักอยู่ แต่ตั้งแต่ผมมาช่วยขายของ ช่วยแม่งานลอยกระทง พาแม่ออกอีเว้นท์พอมีเงินมาก็เก็บ ๆ ไว้บ้าง ตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่าดีขึ้นครับ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก
.
ถ้าจะให้เล่าถึงเรื่องการศึกษา? : คือต้องเข้าใจว่าด้วยพ่อแม่ผมไม่มีการศึกษาเพราะเขาไม่ได้รับการศึกษาเหมือนกับเรา ด้วยความที่เขาเป็นคนที่อยู่บนดอยคือต้องทํางาน ต้องหาเงินครับ ผมเข้าใจดีก็บอกแม่ว่าโอเคแม่ ไม่เป็นไรผมเรียนแทนแล้วเรียบร้อย ผมมองว่าผมอยู่อย่างนี้ไม่ได้ หยุดแค่นี้ไม่ได้ ต้องทำอะไรให้มันดีขึ้นเพื่อตัวเอง แล้วก็เพื่อพ่อแม่ ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้น้อยใจในเรื่องโชคชะตาเลย ว่าเฮ้ย! นี่เป็นเด็กชนเผ่ารึเปล่า ใช่เราเป็น แต่เราภูมิใจ ทําไมต้องน้อยใจ คือมันเป็นแรงผลักดันของเราด้วยซ้ำที่จะทําให้เราวิ่งต่อไป
.
อาชีพที่ใฝ่ฝัน อยากทำที่สุด? : ส่วนตัวผมอยากติดปีกคือผมอยากเป็นสจ๊วต ในใจผมผมอยากเป็นสจ๊วตสายการบินชื่อดังเจ้าหนึ่ง แต่ด้วยหลาย ๆ อย่างด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ใจนึงผมก็ชอบทําอาหารชอบขายของ เลยทําให้ผมมองว่าชอบกับใช่ มันอาจจะมีอะไรที่ต้องเลือก ผมก็ยังไม่ค่อยชัดเจนกับตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ แต่ว่าโดยส่วนตัวของผมชอบภาษา ชอบคุย ชอบพบเจอผู้คนครับ
.
ถ้าถามถึงสิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุด? : สิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุดคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเอาใจใครคนใดคนนึงมาใส่ใจเรา มันจะทําให้อะไรหลายอย่างมันดีขึ้นมาก ๆ สมมุติเหตุการณ์ถ้าเกิดขึ้นในตลาด หรือกาดชนเผ่าแห่งนี้ แบบถ้าเรากินอะไรเสร็จ หรือซื้ออะไรสักอย่างแล้วทิ้ง รู้สึกว่าจะทิ้งที่ไหนก็ได้ เราเข้าใจคนทิ้ง แน่นอนว่ามันสบายจะทิ้งตรงไหนก็ได้ แต่พนักงานที่อยู่ที่นี่ เขาดูแลที่นี่มาเป็น 10 ปี เขาก็ต้องมาคอยตามเก็บให้ นี่คือสิ่งที่ผมอยากเปลี่ยน เรื่องของการเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากขึ้น ลดเรื่องของตัวเอง ลดความเห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ อยากให้ทุกคนคิดเยอะ ๆ เพื่อเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น
.
ต้นเรื่องโดย : วิท วิทวัฒน์ วิมลแก้วศรี อายุ 18 ปี – พ่อค้าสถานีปิ้งเตาถ่าน ในงานเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 10
 
 

ผมมองว่าผมอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เราเป็นแบบนี้ไม่ได้ เราต้องอะไรก็ได้ให้มันดีกว่าอะไรก็ได้ให้มันมากกว่ามากขึ้น เพื่อตัวเองด้วยแล้วก็เพื่อพ่อแม่ ผมรู้สึกผมไม่ได้น้อยใจในเรื่องโชคชะตาเลย ว่าเฮ้ย! นี่เป็นเด็กชนเผ่ารึเปล่า ใช่เราเป็น แต่เราภูมิใจ ทําไมต้องน้อยใจ คือมันเป็นแรงผลักดันของเราด้วยซ้ำที่จะทําให้เราวิ่งต่อไปนะ คือเราต้องไปเวลาพ่อแม่มองเราเนี่ยคือเราต้องไปสูงกว่าดีกว่า

ส่วนตัวผมอยากติดปีกคือผมอยากเป็นสจ๊วต ในใจผมผมอยากเป็นสจ๊วตแอร์เอเชียแอร์ แต่ด้วยหลายๆ อย่างด้วยสถานการณ์ตอนนี้ใจผมชอบทําอาหารชอบขายของ เลยทําให้ผมแบบชอบกับใช่ เออมันอาจจะมีอะไรแบบที่ต้องเลือกอะไรแบบนี้ครับ ผมก็ยังแบบยังไม่ค่อยชัดเจนกับตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ แต่ว่ามีในใจว่าอยากทําอะไรครับแต่ ว่าโดยส่วนตัวของผมชอบภาษา ชอบคุย ชอบเจอ

 

 

สิ่งที่อยากเปลี่ยนมากที่สุดคือการเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา การเอาใจใครคนใดคนนึงมาใส่ใจเรา มันจะทําให้อะไรหลายอย่างมันดีขึ้นมากๆ สมมุติถ้าเราซื้ออะไรสักอย่างแล้วทิ้ง รู้สึกว่าจะทิ้งที่ไหนก็ได้เราเข้าใจคนทิ้งสบายอย่างนี้ แต่พนักงานที่อยู่ที่นี่ เขาดูแลที่นี่มาเป็น 10 ปีเขาก็ต้องมาแบบคอยตามเก็บอะไรอีก คือเนี่ยมันผมสิ่งที่ผมอยากเปลี่ยน เรื่องของการเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น ลดเรื่องของตัวเอง คือเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ คือคิดเยอะๆ เพื่อเพื่อนร่วมโลกมากขึ้น

ตนเรื่องโดย : วิท วิทวัฒน์ วิมลแก้วศรี อายุ 18 ปี – พ่อค้าสถานีปิ้งเตาถ่าน ในงานเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 10

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

ยิ่งใหญ่อลังการ ‘เชียงราย’ เมืองศิลปะ โหมโรง “ไทยแลนด์เบียนนาเล่ 2023”

 
กลับมาอีกครั้งกับขบวนศิลปะร่วมสมัยหนึ่งเดียวในประเทศไทย “Chiang Rai 2023 Art Carnival”
พบกับริ้วขบวนศิลปะร่วมสมัยรังสรรค์โดยตัวแทนศิลปินและชุมชนในพื้นที่จาก 18 อำเภอในจังหวัดเชียงราย
19 พฤศจิกายน 2566 ณ หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ ถนนบรรพปราการ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไปอำนวยการสร้างโดย ศาสตรเมธี ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ และศิลปินขัวศิลปะเชียงราย เพื่อสร้างการรับรู้ และเฉลิมฉลองการเป็นเจ้าภาพจัดงานศิลปะระดับโลก Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2566 – 30 เมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “เปิดโลก” The open world
 
 
ทั้งนี้ขบวนศิลปะร่วมสมัยของแต่ละอำเภอทั้ง 18 อำเภอในจังหวัดเชียงราย เป็นการนำเสนอแนวคิด อัตลักษณ์ วิถีชีวิต ประเพณี ผ่านผลงานประติมากรรมร่วมสมัย ผสมผสานขบวนแห่ในรูปแบบของ Carnival art ซึ่งถือว่าเป็น art carnival เพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย โดยจังหวัดเชียงรายเคยจัดขบวนศิลปะร่วมสมัยในลักษณะนี้มาแล้วเมื่อครั้งเป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 46 โดยได้รับความสนใจและชื่นชมจากประชาชน นักท่องเที่ยว ซึ่งเกิดการต่อยอดมาจนถึงกิจกรรมในครั้งนี้ โดยคาดว่าประชาชน นักท่องเที่ยวจะให้ความสนใจใน Art Carnival อย่างท่วมท้น และแพร่หลาย กลายเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาชมในทุก ๆ 2 ปี เพราะศักยภาพของชียงรายโดยการมีศิลปินจากสมาคมขัวศิลปะ กว่า 300 ชีวิตในพื้นที่ ซึ่งนำโดยศาสตรเมธี ดร. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมขัวศิลปะ และอาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ ร่วมกันผลักดันให้เกิด Art Carnival
 
 
โดยครั้งนี้ ขบวนศิลปะร่วมสมัย ภายใต้แนวคิด “เปิดโลก 18 อำเภอ” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงการจัดงานศิลปะร่วมสมัยนานาชาติไทยแลนด์เบียนนาเล่, เชียงราย 2023 ระหว่าง วันที่ 9 ธันวาคม 2566 – 30 เมษายน 2567 ตลอดระยะเวลา 5 เดือน จึงทำให้ขบวนที่จะเกิดขึ้น มีความร่วมสมัย และเน้นความเป็นศิลปะผสมผสานความสนุกสานของผู้เข้าร่วมขบวน รวมทั้งสีสันการแต่งกายที่หลากหลาย ด้วยพี่น้องชาติพันธุ์ในเชียงรายกว่า 32 ชาติพันธุ์ ซึ่งหากประชาชน นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสมาสัมผัสบรรยากาศของ Art Carnival ครั้งนี้ จะเห็นถึงศักยภาพและความยิ่งใหญ่อลังการของเชียงรายเมืองแห่งศิลปะ อย่างแท้จริง
 
 
อนึ่ง Chiang Rai Art Carnival กำหนดจัดวันที่ 19 พฤศจิกายน 2566 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ตลอดเส้นทางจากโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ผ่านถนนบรรพปราการ หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ(เวทีกลาง) และสิ้นสุดที่สวนตุงและโคมเทศบาลนครเชียงราย รถประติมากรรม จะจอดให้นักท่องเที่ยวได้ชมถึงเวลาประมาณ 23.00 น. และจะนำประติมากรรมทั้ง 18 ผลงาน จัดแสดง ณ ลานประติมากรรม 18 อำเภอ ริมแม่น้ำกก ณ สวนไม้งามริมน้ำกก โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จัดแสดงถึง 30 เมษายน 2567
 
 
กิจกรรมดังกล่าว โดยสมาคมขัวศิลปะ, กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย, จังหวัดเชียงราย, สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, เทศบาลนครเชียงราย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
รายละเอียดเพิ่มเติม : สมาคมขัวศิลปะ โทร. 053-166623 (หยุดทำการทุกวันจันทร์) /Facebook “ขัวศิลปะ”
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมขัวศิลปะ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News