Categories
TOP STORIES

ผบช.ภ.5 ลงพื้นที่ติดตามคดี สั่งพลิกแผ่นดินไล่ล่า “เจ้เปิ้ล” นายหน้าที่ดิน

 

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2566 เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ,พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้รับเรื่องร้องเรียนของความเป็นธรรมจากผู้เสียหายให้เร่งรัดติดตามจับกุมตัว “เจ้เปิ้ล” กับสามี ผู้ต้องหาซึ่งได้ถูกออกหมายจับแล้ว

สำหรับคดีนี้ เหตุเกิดประมาณปลายปี 64-ต้นปี 66 เจ้เปิ้ลพร้อมด้วยสามี ได้ให้นายหน้าไปหาซื้อที่ดินที่มีขนาดติดต่อกัน 10 ไร่ ขึ้นไป โดยไม่จำกัดพื้นที่ว่าสามารถขออนุญาตจัดสรรได้หรือไม่ เมื่อได้ที่ดินมาแล้ว เจ้เปิ้ล จะไปทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวกับเจ้าของ จากนั้นจะทำการจัดสรร ทำผังแปลง แล้วจ้างนายหน้า ให้ทำการโฆษณาขายที่ดินแต่ละแปลง โดยมีการติดป้ายขาย ณ แปลงที่ดิน และมีการโฆษณาผ่านสื่อเฟซบุ๊ค และเพจขายอสังหริมทรัพย์ ต่างๆ และยังโฆษณาด้วยว่าต่างด้าวสามารถซื้อที่ดินดังกล่าวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อผู้เสียหายสนใจซื้อ จะทำสัญญาจองแปลง 5,000 บาท จากนั้นนัดทำสัญญาและจ่ายเงินดาวน์ 30-50% ส่วนที่เหลือผ่อนจ่ายเป็นงวด รวม 36 งวด โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่เมื่อผู้ต้องหาได้เงินแล้ว ไม่นำไปชำระค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินยึดที่ดินคืน ไม่สามารถโอนขายให้กับผู้เสียหายได้ โดยพื้นที่ที่เจ้เปิ้ลกับสามีดำเนินการนำมาจัดสรรนั้น อยู่ในพื้นที่ อ.สารภี อ.สันกำแพง อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ และ อ.เมืองลำพูน รวมแล้วจำนวน 11 โครงการ ผู้เสียหายกว่า 400 ราย

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ 5 กล่าวว่า ได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้เสียหายแล้ว พร้อมกันนี้ได้เรียกประชุมทีมพนักงานสืบสวนสอบสวน และมอบหมายให้ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ 5 และ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด ให้ทำการสืบสวนสอบสวนและอายัดบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย พร้อมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดเพื่อติดตามเงินมาคืนให้กับผู้เสียหาย ทั้งนี้ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหานั้น เวลานี้ผู้ต้องหาไม่ได้อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ยังไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งจะเร่งจับกุมตัวให้ได้ภายใน 15 วัน นอกจากนี้ได้ให้ทีมสืบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานหาความเชื่อมโยงกับพนักงานขายที่เป็นทีมงานของผู้ต้องหาด้วยอีกกว่า 10 ราย ว่าจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เนื่องจากยังพบว่ามีการนำรูปแบบวิธีการเดียวกันไปใช้ในหลายโครงการตามพื้นที่ต่างๆของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถ้าพบว่าเป็นการกระทำความผิดอาญา จะดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดทุกราย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สุทิน ชวนจับตาดู หลัง กกต. สั่ง 16 จังหวัดนับคะแนนใหม่ 11 มิ.ย. นี้

 

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 66 นายสุทิน คลังแสง ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต 16 หน่วย และแบบบัญชีรายชื่อ 31 หน่วย ใหม่รวม 47 หน่วยเลือกตั้ง ใน 16 จังหวัดในวันที่ 11 มิ.ย.นี้ ว่า ถือว่าเป็นการสั่งนับคะแนนใหม่ที่เยอะมากกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา แสดงให้เห็นว่ามีความผิดปกติ และมีความพยายามที่จะกระทำทุจริตในหน่วยเลือกตั้งนั้นๆ หรือไม่ ส่วนจะผิดปกติในขั้นตอนใด กกต.ควรจะเข้าไปตรวจสอบด้วยนอกเหนือไปจากการสั่งนับคะแนนใหม่

ส่วนเรื่องการนับคะแนนใหม่จะมีผลต่อสัดส่วน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นเรื่องที่คาดหมายยาก เพราะเราไม่รู้ว่าปัญหาที่ต้องนับคะแนนใหม่เกิดจากอะไร เมื่อนับคะแนนใหม่ก็จะเกิดความไม่แน่นอน ส่วนจะเกิดผลดีหรือผลเสียกับพรรคการเมืองหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกพรรค ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าจับตาดู แต่ในส่วนของพรรคพท.นั้น เท่าที่ได้พูดคุยกับว่าที่ ส.ส.ที่อยู่ในเขตที่ต้องนับคะแนนใหม่ ไม่มีใครหนักใจกับเรื่องดังกล่าว 

“เชื่อว่าการนับคะแนนใหม่คงไม่กระทบกับพรรคพท. อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ กกต. อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อร้องเรียนว่าที่ ส.ส.ประมาณ 20 กว่าคน ก็ถือเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา” นายสุทิน กล่าว

ซึ่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ลงนามคำสั่ง กกต.เรื่อง ให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ใหม่  หลัง กกต.ได้รับรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้ง แล้วปรากฏว่าการนับคะแนนไม่ถูกต้อง จึงสั่งให้นับคะแนนใหม่ใน 47 หน่วย ใน 16 จังหวัด โดยให้นับคะแนนใหม่ภายในไม่เกินวันที่ 11 มิ.ย.2566 ประกอบด้วย 

 

1.กรุงเทพมหานคร  นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้งที่ 40 แขวงบางซื่อ    เขตบางซื่อ เขตเลือกตั้งที่ 7 หน่วยเลือกตั้งที่ 15 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เขตเลือกตั้งที่ 15 และหน่วยเลือกตั้งที่ 7  แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี เขตเลือกตั้งที่ 18 และแบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 3 แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 7  แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง เขตเลือกตั้งที่ 5 และหน่วยเลือกตั้งที่ 11  แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน เขตเลือกตั้งที่ 24

 

2.จังหวัดชลบุรี นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 46  เทศบาลเมืองแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 และนับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 9 หมู่ที่ 5 เทศบาลตำบลเหมือง อำเภอเมืองชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 3.จังหวัดชุมพร นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต  หน่วยเลือกตั้งที่ 21 หมู่ที่ 21 ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ เขตเลือกตั้งที่ 2 และ นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 9 หมู่ที่ 12 ตำบลรับร่อ  อำเภอท่าแซะ เขตเลือกตั้งที่ 2 และ หน่วยเลือกตั้งที่ 16 หมู่ที่ 17 ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ เขตเลือกตั้งที่ 2 

 

4.จังหวัดตรัง นับคะแนนใหม่ ส.ส. แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 31   ตำบลทับเที่ยง (เทศบาลนครตรัง)  อำเภอเมืองตรัง เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 1 หมู่ที่ 1 ตำบลนาวง อำเภอห้วยยอด เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 12 หมู่ที่ 12 ตำบลหนองปรือ อำเภอรัษฎา เขตเลือกตั้งที่ 2 และนับคะแนนใหม่ แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 1 หมู่ที่ 1 ตำบลนาวง อำเภอห้วยยอด  เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลบางดี อำเภอห้วยยอด เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 3 ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด เขตเลือกตั้งที่ 2  5.จังหวัดนครนายก นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก เขตเลือกตั้งที่ 1

 

6.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 9 หมู่ที่ 9 ตำบลร่อนทอง อำเภอบางสะพาน เขตเลือกตั้งที่ 3 และนับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 7 เทศบาลตำบลปราณบุรี อำเภอปราณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 8 เทศบาลตำบลปราณบุรี อำเภอปราณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 8 หมู่ที่ 3 ตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 10 หมู่ที่ 8 ตำบลหนองตาแต้ม อำเภอปราณบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 และหน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 3 ตำบลแสงอรุณ อำเภอทับสะแก เขตเลือกตั้งที่ 3

 

7.จังหวัดแพร่ นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 4 เทศบาลตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมืองแพร่ เขตเลือกตั้งที่ 1 8.จังหวัดลพบุรี นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้งที่ 27 หมู่ 6 ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 และแบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ 2 ตำบลกกโก อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 5 หมู่ 4 ตำบลกกโก อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 11 หมู่ 6 ตำบลป่าตาล  อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 14 หมู่ 9 ตำบลท่าแค  อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1  หน่วยเลือกตั้งที่ 20 เทศบาลเมืองเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 22 หมู่ 9 ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 28 เทศบาลเมืองเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 1

 

9.จังหวัดสมุทรสาคร นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 24 หมู่ 5 เทศบาลนครอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน เขตเลือกตั้งที่ 2 และแบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 7 หมู่ 5 ตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบน เขตเลือกตั้งที่ 2 10.จังหวัดสระบุรี นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  หน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 7 และหมู่ 11 ตำบลหนองไข่น้ำ อำเภอหนองแค เขตเลือกตั้งที่ 3 และหน่วยเลือกตั้งที่ 2 หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 12 เทศบาลตำบลบ้านหมอ อำเภอบ้านหมอ เขตเลือกตั้งที่ 4 11.จังหวัดสุโขทัย นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบแบ่งเขต หน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 3 เทศบาลตำบลเขาแก้วศรีสมบูรณ์  อำเภอทุ่งเสลี่ยม เขตเลือกตั้งที่ 3 12.จังหวัดกาญจนบุรี นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 8 หมู่ที่ 8 ตำบลด่านมะขามเตี้ย อำเภอด่านมะขามเตี้ย เขตเลือกตั้งที่ 2 และหน่วยเลือกตั้งที่ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลนาสวน อำเภอศรีสวัสดิ์ เขตเลือกตั้งที่ 5

 

13.จังหวัดฉะเชิงเทรา นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 4 หมู่ที่ 4 ตำบลก้อนแก้ว อำเภอคลองเขื่อน เขตเลือกตั้งที่ 2 

 

14.จังหวัดพังงา นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลเทศบาลท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง เขตเลือกตั้งที่ 2 และหน่วยเลือกตั้งที่ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง เขตเลือกตั้งที่ 2 

 

15.จังหวัดเพชรบุรี นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6  ตำบลไร่ใหม่พัฒนา อำเภอชะอำ เขตเลือกตั้งที่ 2 และ 

 

16.จังหวัดหนองคาย นับคะแนนใหม่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย เขตเลือกตั้งที่ 2  และหน่วยเลือกตั้งที่ 16 หมู่ที่ 15 ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย เขตเลือกตั้งที่ 2 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

นายกฯ ชื่นชม “ลิซ่า” ส่ง Soft Power ผ้าไทยดังไกลไปทั่วโลก

 

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าจากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของ “ลิซ่า” วง BLACKPINK หรือนางสาวลลิษา มโนบาล ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ ด้วยการแต่งกายสวมผ้าไทย “ผ้ามัดหมี่ย้อมครามหมักโคลน” ซึ่งเป็นผ้าทอลายโบราณจากร้านชานเรือน ตลาดผ้านาข่า อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ไปเที่ยววัดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับกลุ่มเพื่อน จนเป็นการปลุกกระแสผ้าไทยและสถานที่ท่องเที่ยวของไทยโด่งดังไกลเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมทั้งทำให้การท่องเที่ยวในพื้นที่ต่าง  ของประเทศไทยมีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานที่ท่องเที่ยวที่ลิซ่าได้เดินทางไปท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้ของร้านค้าต่าง  ในพื้นที่เพิ่มขึ้นนั้น 

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมลิซ่า ที่ได้มีการแสดงออกถึงความรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทยมาโดยตลอด โดยการแต่งกายสวมใส่ผ้าไทยหรือชุดไทยตามโอกาสที่เหมาะสม รวมถึงการพูดถึงความเป็นไทยต่าง  ผ่านรายการหรือกิจกรรมที่เข้าร่วม เช่น กรณีการแต่งชุดไทยและสวมชฎาในเอ็มวีของลิซ่า ทำให้สามารถสร้างกระแสให้คนให้ความสนใจชุดไทย เอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติไทยให้เป็นที่รู้จักในสายตาชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์ ที่นำมาผสมผสานเป็นความร่วมสมัยทางวัฒนธรรม นำไปเผยแพร่ในระดับโลก รวมถึงผลส่งให้คนไทยในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุน หรือคนรุ่นใหม่ หันมาสนใจในการสวมใส่ผ้าไทยและภาคภูมิใจในความเป็นไทยเพิ่มขึ้น 

นายอนุชาฯ กล่าวต่อไปว่า จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีและชื่นชมต่อการแสดงออกดังกล่าว เพราะถือเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนที่ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วย Soft Power ด้านต่าง  ที่ไทยมีศักยภาพ รวมถึง Soft Power ด้านเครื่องแต่งกายและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง  ของไทย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญขับเคลื่อนอย่างจริงจังมาอย่างต่อเนื่องผ่านการดำเนินงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชนเพื่อร่วมกันพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งระดับพื้นที่และภาพรวมของประเทศไปสู่เป้าหมายที่กำหนดร่วมกัน คือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 

 

ลิซ่าได้แต่งกายด้วยชุดไทยประยุกต์ เสื้อผ้าฝ้ายแขนตุ๊กตากับผ้าซิ่นสีน้ำเงินลายขาว ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายมัดหมี่ย้อมครามหมักโคลน ลายขอนาค ลายโบราณเอกลักษณ์ของชาวอีสาน และเป็นงานหัตถกรรมพื้นบ้านขึ้นชื่อของจังหวัดอุดรธานีถือเป็นต้นแบบของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ Soft Power ด้านวัฒนธรรมความเป็นไทยผ่านเครื่องแต่งกายได้เป็นอย่างดี พร้อมกับนำมาประสานเข้ากับการท่องเที่ยวเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้วัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวของไทยมาสร้างมูลค่าให้กับประเทศ ช่วยเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นการกระจายรายได้ไปในพื้นที่ โดยขณะนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังได้เชิญชวนประชาชนที่สนใจเที่ยวตามรอยลิซ่า สามารถปักหมุดเตรียมเช็กอินวัดโบราณ 3 แห่ง ได้แก่ วัดหน้าพระเมรุ วัดมหาธาตุ และวัดแม่นางปลื้ม” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เจาะมาตรา 151 หลังกกต. จัดหนัก สอบ “พิธา” ตั้งธงปมถือหุ้นสื่อ

 

หลังเมื่อวันนศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา กกต. มีมติเอกฉัทน์ 6 เสียง ไม่รับ 3 คำร้องที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ในการสมัครรับเลือกตั้งส.ส. จากกรณีการถือหุ้น บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น เหตุคำร้องยื่นเกินระยะเวลาตามกฎหมายกำหนด

โดยเห็นว่าคำร้องที่ได้ยื่นมาของทั้ง 3 คน เป็นคำร้องที่ยื่นเกินระยะเวลาที่จะสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา กรณีที่ร้องว่าผู้สมัครรายใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จึงเห็นควรพิจารณาสั่งไม่รับคำร้องไว้ตามระเบียบ

แต่ยังไม่จบเพียงแค่นั้นเพราะจากกรณีคำร้องดังกล่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์และมีหลักฐานพอสมควร และมีข้อมูลเพียงพอที่จะสืบสวนไต่สวนต่อไปว่า นายพิธา เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามแต่ได้สมัครรับเลือกตั้ง อันเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 42(3) และมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

ดังนั้น จึงเห็นควรพิจารณาสั่งให้ดำเนินการไต่สวนเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฎ โดยคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนที่ได้รับแต่งตั้ง จะดำเนินการไต่สวนตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบต่อไป

ซึ่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 พบว่า มาตรา 151 ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรค 1 เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่ง ดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย

สรุปถ้าผิดจริงจะมีโทษจำคุกสูงสุด 1-10 ปี ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปีนอกจากและยังขอให้ศาลเรียกคืน “เงินเดือน” จากการเป็นส.ส.ได้ทุกบาท ทุกสตางค์อีกด้วย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

แอป Whoscall พบเบอร์มือถือรั่วไหล 13 ล้านเบอร์ มิจฉาชีพโทรหลอกสูงขึ้น 165%

whoscall แอปที่จะช่วยตรวจสอบเบอร์แปลกๆ ทั้งหลาย รวมไปถึงมิจฉาชีพ และบอกได้ว่าเป็นใครโทรหรือส่งข้อความมา ล่าสุดเผยสถิติประจำปี พบยอดสายมิจฉาชีพพุ่ง 165% พร้อมเบอร์มือถือคนไทยรั่วไหลกว่า 13 ล้านเบอร์ คิดเป็นจำนวนการรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์ในประเทศไทยกว่า 45% เป็นข้อความหลอกลวงและสแปมนับไม่ถ้วน

โดยภัยคุกคามจากการหลอกลวงที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อต้านการทุจริต (Anti-Fraud Prevention) จากข้อมูลของ Fortune Business Insight อุตสาหกรรมนี้คาดว่า จะมีมูลค่าถึง 129.2 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2572 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีที่ 22.8% จากการเพิ่มขึ้นของ AI และช่องโหว่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร คาดว่าจะมีการใช้เทคโนโลยี เพื่อหลอกลวง และเกิดผลเสียทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต 

ดูเหมือนว่าที่ผ่านมามีมิจฉาชีพเกิดขึ้นทุกวัน ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะตามกลลวงให้ทันยังไง เพื่อน ๆ ทุกคนก็คงเห็นว่าคนร้ายเหล่านี้มักหามุขใหม่ ๆ มาหลอกพวกเราได้ตลอดเวลา จึงอยากแชรข้อมูลสถิตให้เราได้ระวังภัยกันมากขึ้นและรัดกุมกว่าเดิม

ซึ่ง 7 ใน 10 ครั้งของข้อความ SMS ที่คนไทยได้รับเป็นข้อความสแปมและข้อความหลอกลวง หรือคิดเป็น 73% ของข้อความที่ได้รับทั้งหมด ในส่วนของยอดสายโทรศัพท์หลอกลวงพุ่งขึ้น 165% จาก 6.4 ล้านครั้งในปี 2564 เป็น 17 ล้านครั้งในปี 2565 

มิจฉาชีพนิยมส่งข้อความหลอกลวงเนื่องจากสามารถเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากด้วยต้นทุนต่ำ ข้อความ SMS ถูกใช้เป็น เครื่องมือเพื่อ “ติดต่อครั้งแรก” โดยหลอกให้เหยื่อกดลิงก์ฟิชชิ่งเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว เพิ่มบัญชีไลน์เพื่อหลอกให้ส่งข้อมูลหรือ โอนเงินให้ กลอุบายที่พบบ่อยได้แก่

  • การเสนอเงินกู้โดยมักอ้างรัฐบาลหรือธนาคาร 
  • การให้สิทธิ์เข้าตรงเว็บพนันออนไลน์ ที่ผิดกฎหมาย 
  • คีย์เวิร์ดของข้อความหลอกลวงที่ถูกรายงานที่พบบ่อยที่สุดเช่น “รับสิทธิ์ยื่นกู้” “เครดิตฟรี” “เว็บตรง” “คุณได้รับสิทธิ์” “คุณได้รับทุนสำรองโครงการประชารัฐ” “คุณได้รับสิทธิ์สินเชื่อ” และ “คุณคือผู้โชคดี”   

รูปแบบและประเด็นการหลอกลวงถูกปรับเปลี่ยนไปตาม  บริบทของแต่ละประเทศจากการค้นหาและระบุการหลอกลวง (รวมการโทรและข้อความ) ต่อผู้ใช้ Whoscall 1 คน ประเทศไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่มีข้อความและสายโทรเข้าหลอกลวง เฉลี่ย 33.2 ครั้งต่อปี (เพิ่มขึ้น 7%) ขณะที่ไต้หวันมี 17.5 ครั้ง (ลดลง 20%) และมาเลเซีย 16.5 ครั้ง  (เพิ่มขึ้น 15%) ตัวเลข ดังกล่าวตอกย้ำว่าการหลอกลวงนั้นยังคงแพร่หลายไปยังหลายประเทศ 

แถมกลหลอกลวงใหม่ๆ ในประเทศไทยมักเกิดขึ้นตามความสนใจและเทรนด์ต่าง ๆ เช่นการปล่อยเงินกู้, หลอกส่งพัสดุเพื่อเก็บเงินปลายทาง,  หลอกเป็นกรมทางหลวง, หลอกให้คลิกไปเล่นพนันออนไลน์,  หลอกว่ามีงาน part time  หลอกว่าได้รางวัลจาก TikTok และแพลตฟอร์มต่างๆ  มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

ข้อมูลส่วนตัวที่รั่วไหลมักเป็นด่านแรกที่มิจฉาชีพใช้เข้าถึงรายละเอียดการติดต่อเพื่อหลอกลวงเหยื่อ  การรั่วไหลอาจเกิดขึ้นจากฐานข้อมูลขององค์กรหรือรัฐบาลถูกโจมตีทางไซเบอร์ หรือผู้ใช้กรอกแบบสำรวจ แบบทดสอบทางจิตวิทยา หรือแบบฟอร์มในเว็บไซต์ฟิชชิ่ง เพื่อลดภัยคุกคามตั้งแต่เริ่มต้น พบว่าในประเทศไทยมีการรั่วไหลของเบอร์โทรศัพท์ 45% ทั้งนี้ รหัสผ่าน เบอร์โทรศัพท์ และชื่อ เป็นข้อมูลส่วนตัว ที่มีการรั่วไหลมากที่สุด ตามด้วยสัญชาติ อีเมล ที่อยู่ และวันเกิด

ข้อมูลที่รั่วไหลแต่ละประเภทอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น บัญชีธนาคารออนไลน์หรือบัญชีโซเชียลเน็ตเวิร์ก อาจถูกขโมยได้หากรหัสผ่านรั่วไหล หรือในกรณีที่มิจฉาชีพได้ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ แม้แต่บันทึกการชำระเงินและการซื้อของ ก็จะสามารถใช้หลอกลวงทางโทรศัพท์และข้อความ SMS ได้อย่างง่ายดาย เพื่อป้องกันภัยจากมิจฉาชีพเราจึงควร ใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้น (Two-Factors Authentication) เมื่อใช้บริการออนไลน์ เปลี่ยนรหัสผ่านที่รัดกุมเป็นประจำ และใช้ Whoscall เพื่อระบุสายโทรเข้าและข้อความ SMS ที่ไม่รู้จัก

วิธีป้องกันเบื้องต้น
  • ห้ามคลิก : หากได้รับลิงก์ใน SMS  โดยเฉพาะข้อความที่มาจากธนาคารหรือหมายเลขที่ไม่รู้จัก เนื่องจาก ปัจจุบัน มีข้อห้ามไม่ให้ธนาคารและสถาบันการเงินในประเทศไทยส่งลิงก์ทาง SMS ให้กับลูกค้าโดยตรง
  • ห้ามกรอก: หากได้รับ SMS เพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือขออัปเดตชื่อ ผู้ใช้/รหัสผ่าน หรือข้อมูลทางการเงินที่มีลิงก์ไปยัง เว็บไซต์ ที่น่าสงสัย อย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลใด ๆเด็ดขาด
  • ห้ามเพิกเฉย: ผู้ใช้สามารถช่วยกันต่อต้านกลโกงและหลอกลวงทางโทรศัพท์ โดยการรายงานเบอร์โทรศัพท์ที่น่าสงสัย หรือหลอกลวง ทางแอปพลิเคชัน Whoscall เพื่อป้องกันและช่วยส่งคำเตือนไปยังกลุ่มผู้ใช้รายอื่นได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : whoscall

 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

อธิบดีปกครอง สั่งยุบทิ้งสมาคมฯ ของศรีสุวรรณ

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นายณพลเดช มณีลังกา โพสต์เฟสบุ๊ค ด่วนครับ มีคำสั่งนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร เพิกถอนคำสั่งรับจดทะเบียนและใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2566 แล้วครับ 

โดยได้แนบเป็นเอกสารเป็นคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยตามที่ นายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานครได้มีคำสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ทะเบียนเลขที่ จ.4785/2552 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 15 ชอยปทุมคงคา ถนนทรงสวัสดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร นั้น
 
จากการตรวจสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ ข้อเท็จจริงปรากฎว่า มีบุคคลผู้จะเป็นสมาชิกของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน ร่วมกันยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นท้องที่สำนักงานแห่งใหญ่ของสมาคมจะตั้งขึ้น พร้อมกับแนบข้อบังคับของสมาคม รายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผู้จะเป็นสมาชิก จำนวน 11 คน และข้อเท็จจริงปรากฎภายหลังการจดทะเบียนสมาคมว่า บุคคลที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในบัญชีรายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผู้ที่จะสมัครสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จำนวน 3 คน ให้ถ้อยคำยืนยันสอดคล้องต้องไม่เคยเป็นสมาชิกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยแต่อย่างใด และผู้มีรายชื่อในบัญชีจำนวน 2 รายให้ถ้อยคำยืนยันสอดคล้องกันว่า ไม่เคยเข้าร่วมประชุมคณะผู้เริ่มก่อตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 66 พฤษภาคม 2551 การที่นำรายงานการประชุมดังกล่าวแนบยื่นเป็นเอกสารประกอบคำขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานครนั้น บุคคลดังกล่าวมิได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใด พยานหลักฐานจึงมีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า การยื่นคำขอจดทะเบียนสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 81 กล่าวคือ มีจำนวนสมาชิกไม่ครบ 10 คน จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49 ประกอบมาตรา 52แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เพิกถอนคำสั่งรับจดทะเบียนและใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ทะเบียนเลขที่ จ.4785/2552 ลงวันที่ 13พฤษภาคม 2552
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : matichon / https://www.facebook.com/dr.peterping

 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ราชกิจจาฯ ประกาศ ระเบียบราชทัณฑ์ฉบับใหม่ เปิดช่องให้นักโทษ พักรักษานอกเรือนจำ

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 6 มิ.ย.2566 ซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมระเบียบกรมราชทัณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน ให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510 อธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566”


ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป


ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2565 บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการอื่นใด ซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน


ข้อ 4 ในระเบียบนี้ “สถานกักกัน” หมายความว่า สถานกักกัน หรือเขตกักกัน ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด สำหรับควบคุมผู้ถูกกักกัน

“ผู้ถูกกักกัน” หมายความว่า ผู้ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้กักกัน “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการกักกันตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510

“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ข้อ 5 ให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รักษาการตามระเบียบนี้ มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
สำหรับประกาศ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ต้องถูกกักกัน อาทิ ข้อ 36 ผู้ถูกกักกันมีสิทธิยื่นคำร้องทุกข์หรือเรื่องราวใด ๆ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้อำนวยการสถานกักกัน อธิบดี รัฐมนตรี หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง หรือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ต่อพระมหากษัตริย์ การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือสถานที่ที่สถานกักกันจัดไว้เพื่อดำเนินการจัดส่งไปยังบุคคลหรือหน่วยงานที่ผู้ถูกกักกันประสงค์ก็ได้

ข้อ 37 ผู้ถูกกักกันจะยื่นคำร้องทุกข์ด้วยวาจา หรือโดยทำเป็นหนังสือก็ได้ ถ้ากระทำด้วยวาจา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งรับคำร้องทุกข์เป็นผู้บันทึกคำร้องทุกข์ ในบันทึกคำร้องทุกข์ หรือหนังสือร้องทุกข์นั้น ต้องลงลายมือชื่อผู้ร้องทุกข์และพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งรับคำร้องทุกข์ด้วย

ข้อ 38 การเขียนหนังสือร้องทุกข์หรือเรื่องราวใดๆ หรือการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ผู้ถูกกักกัน ต้องเขียนด้วยตนเอง เว้นแต่ไม่สามารถเขียนด้วยตนเองได้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาให้ความช่วยเหลือ ตามความประสงค์ของผู้ถูกกักกัน ในกรณีที่ผู้ถูกกักกันไม่สามารถจัดหาเครื่องเขียนส่วนตัวได้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดหาให้

ข้อ 39 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับคำร้องทุกข์หรือเรื่องราวใดๆ หรือฎีกาที่ทูลเกล้าฯ ถวายแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายตรวจดูข้อความและตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วทำความเห็นเสนอ ผอ.สถานกักกัน พร้อมกับแนวทางการแก้ไขหรือการให้ความช่วยเหลือ

ข้อ 40 คำสั่งหรือคำชี้แจงตอบคำร้องทุกข์หรือเรื่องราวใดๆ หรือการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต้องแจ้งให้ผู้ถูกกักกันซึ่งยื่นคำร้องทุกข์ หรือเรื่องราวใดๆ หรือทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาทราบ และให้ผู้ถูกกักกันคนนั้นลงลายมือชื่อรับทราบไว้เป็นหลักฐาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

อธิบดีสรรพสามิตสั่งสอบด่วน เหตุมีการอ้างเป็น จนท.ระดับสูงโทรเคลียร์รถขนน้ำมันเถื่อน

จากกรณีกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รรท.ผบก.ทล. สั่งการ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.4 บก.ทล. พ.ต.ต.พุทธางกูร เรืองธรรม สว.ส.ทล.3 กก.2 บก.ทล. สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับกุม นายสมบัติ อายุ 47 ปี ในความผิดฐาน “มีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษี” ได้ที่บริเวณริมถนนเพชรเกษม ทล.4 กม.308 ขาเข้า ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีรถบรรทุกน้ำมันดีเซล 15,000 ลิตร เป็นของกลางในคดี และมีการรายงานว่า ภายหลังการจับกุมนายสมบัติ ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสรรพสามิตรายหนึ่ง โทรศัพท์มาขอเจรจาไม่ให้ดำเนินคดีกับนายสมบัติ แต่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไม่ยินยอมพร้อมปฏิเสธกลับไป เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่เคารพต่อกฎหมาย  จึงได้สั่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วน โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ผู้โทรศัพท์มาขอเจรจาเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพสามิตจริงหรือไม่ และตรวจสอบว่าน้ำมันจำนวนดังกล่าว เป็นน้ำมันเถื่อนหรือน้ำมันที่ขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง กรมสรรพสามิตจะดำเนินการต่อบุคคลที่กระทำความผิดตามระเบียบและกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้นทันที

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า กรมสรรพสามิตพร้อมให้ความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ทั้งตำรวจ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) เพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รายอื่นสมรู้ร่วมคิดด้วย ก็จะดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมและเอาผิดกับทุกคนที่กระทำความผิด เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิต ขอยืนยันว่าจะดำเนินการทุกขั้นตอนและตรวจสอบทุกประเด็นด้วยความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริงและเชื่อมั่นในการดำเนินการของกรมสรรพสามิตต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมสรรพสามิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กกต.สั่งนับใหม่ 47 หน่วยเลือกตั้ง หลังพบบัตรเขย่งเคาะนับใหม่ 11 มิ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2566 มีรายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการนับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ใหม่ จำนวน 31 หน่วยเลือกตั้ง และนับคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ จำนวน 16 หน่วยเลือกตั้ง รวม 47 หน่วย จากการลงคะแนนการเลือกตั้งทั้งหมด 95,000 หน่วย  แต่ไม่มีการเปิดเผยว่า จำนวน 47 หน่วยเลือกตั้งที่ให้มีการนับคะแนนใหม่นั้นคือหน่วยเลือกตั้งใด ในจังหวัดใดบ้าง 

โดยการนับคะแนนใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามที่สำนักงาน กกต. เสนอว่า เนื่องจากพบว่ามีปัญหาบัตรออกเสียงเลือกตั้ง และจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมีจำนวนตรงกัน แต่ผลคะแนนที่ออกมาไม่ตรงกับจำนวนดังกล่าว หรือคะแนนเขย่ง และกกต.เห็นว่าอาจมีผลต่อจำนวนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ และมีผลต่อลำดับของผู้ได้รับเลือกตั้งส.ส.

โดยตามแผนของสำนักงาน กกต. ต้องการให้มีการนับคะแนนใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 11 มิ.ย. 2566 เนื่องจากเมื่อได้ผลคะแนนแล้วจะต้องนำมาคิดคำนวนสัดส่วน ส.ส.ใหม่ เพื่อให้ทันกับแผนงานที่ กกต. ตั้งใจว่าจะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายในเดือนนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ตำรวจเตือนภัยมิจฉาชีพ แนบลิงก์ปลอมผ่าน SMS

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน กรณีมิจฉาชีพแนบลิงก์ปลอมผ่าน SMS โดยได้ข้อมูลเหยื่อจากการใช้ False Base Station (FBS) หรือ Stingray IMSI Catcher ดังนี้
 
ตามที่ บช.สอท. ได้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นธนาคารกสิกรไทย ส่งข้อความสั้น (SMS) ไปยังประชาชนหลายรายว่ามี ผู้เข้าสู่ระบบธนาคารของคุณจากอุปกรณ์อื่น โดยมิจฉาชีพใช้วิธีการส่งข้อความสั้น (SMS) โดยไม่ผ่านเครือข่ายของผู้ให้บริการ หรือที่เรียกว่า False Base Station (FBS) Attack ประกอบกับการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการปลอมแปลงชื่อผู้ส่งข้อความเป็นชื่อของธนาคารดังกล่าว และใช้ข้อความที่มีลักษณะทำให้ผู้ที่ได้รับตกใจกลัว หลอกลวงให้กดลิงก์ปลอมที่แนบมา แล้วกดติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่ฝังมัลแวร์สามารถควบคุมโทรศัพท์มือถือและโอนเงินออกจากบัญชีผู้เสียหายนั้น
 
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 พ.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้จับกุมตัวผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง รถยนต์ที่มีการติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ซึ่งประกอบไปด้วย
1.แบตเตอรี่ (battery)
2.สายอากาศ (Antenna) 3.เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (Laptop) และ
4. IMSI-Catcher หรือ Stingray ในข้อหา “ ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นําเข้า นําออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม 
 
โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 6, 11 ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม มาตรา 67 (3), และเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร ตาม ป.อาญา มาตรา 209 ” ส่ง พงส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมิจฉาชีพได้ใช้การโจมตีแบบ False Base Station (FBS) หรือ Stingray IMSI Catcher อาศัยการยิงสัญญาณที่แรงกว่าเสาสัญญาณจริง ทำให้โทรศัพท์มือถือของเหยื่อเชื่อมต่อไปยังเสาปลอมแทน
 
จากการตรวจสอบในระบบการรับแจ้งความออนไลน์พบว่า ยังคงมีผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการได้รับข้อความแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน แจ้งว่าเป็นการสำรวจผู้เสียภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างให้อัปเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน หรือการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าแจ้งว่าจดเลขมิเตอร์ผิดชำระค่าไฟเกินจะคืนเงินให้ เป็นต้น
 
โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา บช.สอท. ได้เร่งระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิด ตัดวงจรการก่ออาชญากรรมที่เป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน นอกจากนี้แล้วฝากเตือนไปยังประชาชนให้ระมัดระวังการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว เมื่อท่านได้รับข้อความสั้น (SMS) แนบลิงก์อ้างว่ามาจากหน่วยงานต่างๆ ให้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน อย่าหลงเชื่อเพียงเพราะเป็นข้อความที่ถูกส่งเข้ากล่องข้อความเดียวกับหน่วยงานนั้นๆ เนื่องจากมิจฉาชีพสามารถปลอมแปลงชื่อผู้ส่งได้ ทั้งนี้ในปัจจุบันทุกธนาคารได้ยกเลิกการส่งข้อความสั้น (SMS) แนบลิงก์ไปยังประชาชนแล้ว หากท่านได้รับข้อความใดๆ เชื่อได้ว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน และไม่ว่ามิจฉาชีพจะมาในรูปแบบใดก็ตาม ให้ระมัดระวังและมีสติอยู่เสมอ โดยหากพบเห็นข้อความสั้น (SMS) แนบลิงก์เข้ามาในลักษณะดังกล่าวให้แจ้งเตือนไปยังบุคคลใกล้ชิด และหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานนั้นๆ ให้ช่วยตรวจสอบทันที เพื่อลดการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
 
ทั้งนี้ ขอฝากประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงแนวทางการป้องกัน ดังนี้
1. ไม่กดลิงก์ที่เเนบมากับข้อความสั้น (SMS) หรือที่ส่งมาทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่กดลิงก์ติดตั้งแอปพลิเคชันต่างๆ เพราะอาจเป็นการดักรับข้อมูล หรือการฝังมัลแวร์ของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาพร้อมกับข้อความในลักษณะทำให้ตกใจ หรือเป็นกังวล เช่น ข้อมูลท่านรั่วไหล มีการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือผิดปกติ
2. หากได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย และมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ให้ขอชื่อนามสกุล และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับของเจ้าหน้าที่ โดยให้แจ้งว่าจะติดต่อกลับไปภายหลัง
3. ตรวจก่อนว่ามาจากหน่วยงานนั้นๆ จริงหรือไม่ โดยการโทรศัพท์ไปสอบถามผ่านหมายเลขคอลเซ็นเตอร์ หรือผ่านเว็บไซต์ทางการของหน่วยงานนั้น โดยตรง รวมถึงตรวจสอบว่ามีการประกาศแจ้งเตือนการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวหรือไม่
4. ระวัง LINE Official Account ปลอม โดยสังเกตบัญชีที่ผ่านการรับรองจะมีสัญลักษณ์โล่สีเขียว หรือโล่สีน้ำเงิน หากเป็นโล่สีเทาหรือไม่มีโล่เลยจะเป็นบัญชีทั่วไปยังไม่ได้ผ่านการรับรอง ต้องตรวจสอบยืนยันให้ดีเสียก่อน
5. ไม่ติดตั้งโปรแกรม หรือแอปพลิเคชันที่ผู้อื่นส่งมาให้โดยเด็ดขาด แม้จะเป็นโปรแกรมที่รู้จักก็ตาม เพราะอาจเป็นแอปพลิเคชันปลอม โดยหากต้องการใช้งานให้ทำการติดตั้งผ่าน App Store หรือ Play Store เท่านั้น
6. ไม่อนุญาตให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก หรือไฟล์ที่อาจเป็นอันตราย ไฟล์นามสกุล .Apk หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย
7. ไม่อนุญาตให้เข้าถึงอุปกรณ์ และควบคุมอุปกรณ์ หรือโทรศัพท์มือถืออย่างเด็ดขาด
8. ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงินใดๆ ลงในลิงก์ หรือแอปพลิเคชันในลักษณะดังกล่าวโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรหัสผ่าน 6 หลัก ที่ซ้ำกับรหัสแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ
9. หากท่านติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมแล้ว ให้รีบทำการ Force Reset หรือการบังคับให้อุปกรณ์นั้นรีสตาร์ต (ส่วนใหญ่เป็นการกดปุ่ม Power พร้อมปุ่มปรับเสียงค้างไว้) ในกรณีเกิดอาการค้างไม่ตอบสนอง หรือเปิดโหมดเครื่องบิน (Airplane Mode) หรือปิดเครื่องเพื่อตัดสัญญาณไม่ให้โทรศัพท์สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ถอดซิมการ์ดโทรศัพท์ออก หรือทำการปิด Wi-fi Router
10. อัปเดตระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
11. ปิดใช้งานการรองรับเครือข่าย 2G (เพื่อให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อได้เฉพาะเครือข่าย 3G และ 4G)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. – CCIB

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News