Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งจับคนอ้างเจ้าหน้าที่รัฐ ทีมงาน รมช.ชาดา ข่มขู่เรียกค่าคุ้มครอง

 

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงกรณีมีผู้แอบอ้างเป็นหนึ่งในคณะทำงานของนายชาดา ไทยเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากสถานบริการประเภทคาราโอเกะ เพื่อเป็นค่าคุ้มครองป้องกันไม่ให้ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเข้าจับกุม ซึ่งจากเบาะแสทราบว่ามีการเรียกรับเงินในอัตรา 300,000 – 400,000 ต่อร้าน โดยข่มขู่ว่าหากไม่จ่ายเงินค่าคุ้มครองจะดำเนินการจับกุมสถานบริการ อีกทั้งยังอ้างถึงการประสานผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายหากไม่จ่ายเงินค่าคุ้มครองดังกล่าว

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับแจ้งเบาะแสดังกล่าว ตนจึงได้ประสานงานไปยังคณะทำงานของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมสั่งการให้ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย นำโดยนายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายอำเภอเมืองเชียงราย ปลัดอำเภอ สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย เข้าตรวจสอบบุคคลผู้แอบอ้างดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ได้วางแผนการล่อซื้อ ด้วยการให้สายลับเข้าทำการจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้แก่ผู้แอบอ้างเป็นค่ามัดจำเงินสด จำนวน 100,000 บาท โดยมีการนัดหมายเพื่อจ่ายเงินกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงราย ซึ่งเมื่อเป้าหมายมาถึงเจ้าหน้าที่สายลับได้จ่ายเงินให้กับบุคคลผู้แอบอ้าง พร้อมทั้งแสดงตัวเข้าจับกุมและตรวจสอบบุคคลผู้แอบอ้างทันที ทราบชื่อคือ นายสุทธิรัตน์ฯ พร้อมกับธนบัตรเงินสดที่มีการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแล้วนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงรายดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

“จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ผู้แอบอ้างได้มีการกล่าวอ้างถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยจริง โดยกล่าวอ้างว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ส่งให้มาเรียกค่าคุ้มครองจากสถานบริการหรือธุรกิจอื่น โดยเรียกอัตราค่าคุ้มครองตามขนาดของร้าน ในอัตรา 300,000 – 400,000 บาทต่อร้าน และหากร้านไหนจ่ายจะไม่ให้ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองเข้ามาจับกุม และหากคุยไม่ได้จะส่งรายชื่อสถานบริการที่จ่ายค่าคุ้มครองให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเพื่อดำเนินการทันที โดยในด้านของคณะทำงานของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้การยืนยันว่าไม่มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยคนใดที่จะเรียกรับผลประโยชน์จากสถานบริการ หากมีบุคคลใดไปแอบอ้างคือเป็นการหลอกลวงทั้งสิ้น” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอย้ำเตือนผู้ประกอบการทุกประเภทว่า “คนมหาดไทยไม่มีเรียกรับผลประโยชน์ ไม่มีคำว่าเคลียร์ใด ๆ ถ้าจะเคลียร์กับสิ่งผิดกฎหมาย คือ ต้องจับสถานเดียว ไม่มีละเว้น” พร้อมทั้งขอแจ้งไปยังพี่น้องประชาชน ตลอดจนผู้ประกอบการต่าง ๆ ต้องระมัดระวังมิจฉาชีพหรือผู้แอบอ้างชื่อผู้มีอำนาจของรัฐ เพื่อเรียกรับเงิน ซึ่งปัจจุบันมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นจำนวนมาก และมักจะมาหลากหลายวิธีการ หากท่านพบมีผู้กระทำการดังกล่าวอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด ถ้าทำได้ขอให้อัดเสียงกับโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นใดที่อัดเสียงได้ บันทึกได้ แล้วนำหลักฐานแจ้งความทันที หรือสามารถขอรับคำปรึกษาและแจ้งเบาะแสที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย สายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองสารนิเทศ สป.มท.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

พบปลาพญานาค หรือปลาออร์ ปลาริบบิ้น ในทะเลน้ำลึกประเทศไทย จังหวัดสตูล

 

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Kensaku ได้โพสต์ตามหาผู้พบปลาพญานาคหรือปลาออร์ “ด่วน!! ระดมพลังกันครับ มีรายงานการพบปลาพญานาคที่จังหวีดสตูล ระงู ผมอยากได้มาบริจาคเข้า อพวช. ใครมีเครือข่ายช่วยกันครับ เพื่อประโยชน์ของ​ชาติครับ ช่วยกันหาคอนแทคทร ติดต่อทาง0945542624​ หรือแชทเพจเลยคับ ขออนุญาต​เจ้าของภาพด้วยครับ อัพเดท ติดต่อเจ้าของปลาได้ละคับขอบพระคุณ​ทุกคนมาก ๆ คับ”

ซึ่งปลาปลาออร์ หรือ ปลาริบบิ้น เป็นปลากระดูกแข็งชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับพญานาคตามความเชื่อของไทย หรือมังกรทะเลในความเชื่อในยุคกลางของชาวตะวันตก โดยมีความยาวได้สูงสุดยาวถึง 9 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม แต่ก็มีบันทึกไว้ในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ด้วยว่า ปลาชนิดนี้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ยาวที่สุดในโลก โดยอาจยาวได้ถึง 11 เมตร

ปลาออร์จะมีส่วนหัวที่ใหญ่ ลำตัวแบนสีเงิน มีจุดสีฟ้าและดำประปราย มีครีบหลังสีชมพูแดง บนหัวที่อวัยวะแลดูคล้ายหงอนเป็นจุดเด่น

เชื่อว่าเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกในช่วง 1,000 เมตร แต่โดยทั่วไปแล้วอาศัยที่ความลึก 200 เมตร จึงพบเห็นได้ยากมาก แต่มีผู้พบเห็นเป็นระยะ ๆ ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของออสเตรเลีย เรื่อยไปจนถึงทะเลนอกชายฝั่งเม็กซิโก และแถบหมู่เกาะเบอร์มิวดา ส่วนใหญ่มักถูกคลื่นซัดออกมาเกยหาดหลังเกิดพายุ หรือไม่ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับปลา เช่น ป่วย หรือใกล้ตาย หรือซากที่ตายแล้ว น้อยครั้งที่จะมีการพบเห็นขณะมีชีวิตอยู่

ซึ่งคนญึ่ปุ่น มีความเชื่อว่าปลาออร์ จะเป็นตัวบอกเหตุแผ่นดินไหว เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลลึก หรือเกิดคลื่นกระแทก ปลาออร์จะทนแรงน้ำไม่ได้ จะอ่อนแอและลอยขึ้นมา

จากต้นเรื่องแจ้งว่าปลาออร์ตัวนี้ติดมากับเรืออวนดำ ก.เทพเจริญพร15 มาขึ้นที่อำเภอละงู จังหวัดสตูล ฝั่งทะเลอันดามัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดราม่าค่าที่ “งานพ่อขุนฯ” พ่อค้าแม่ค้าหวั่นแพง ผู้จัดฯ ยัน! ค่าที่ถูกกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน

 

ผู้ค้ารายย่อยบางรายในจังหวัดเชียงราย เผยเกิดกระแสดราม่าค่าที่ จากกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการจับจองขายของที่งานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 รวม 10 วัน 10 คืน ณ สนามบินฝูงบิน 416
.
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2566 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพค้าขาย จะขายของตามงานเทศกาลต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยในโพสต์ระบุว่า “งานพ่อขุนปี 67 ตอนนี้ตกลงได้จัดงานแล้ว แต่อยากทราบว่าใครได้มาจัดงานครับ ในฐานะพ่อค้าในจังหวัดอยากให้ทาง จว.พิจารณาผู้ที่มาจัดงาน เล็งเห็นและให้โอกาสพ่อค้าแม่ค้าในจังหวัดที่ราคาไม่สูง เนื่องจากยุคเศรษฐกิจแบบนี้ ผมในฐานะคนค้าขายซึ่งเป็นคนเชียงราย อยากให้ จว.พิจารณาให้ถี่ถ้วนเล็งเห็นความเดือดร้อนของพ่อค้าแม่ค้า ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้จัดงาน เพราะการลงทุนในแต่ละครั้งมีความเสี่ยง ถ้าค่าล็อกแพงไป ทำให้ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยในจังหวัดเชียงรายที่เคยค้าขายกันมาทุก ๆ ปีได้รับความเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากราคาค่าที่สูงเกินความเป็นจริงกว่าทุก ๆ ปี ทางกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าชาวเชียงรายจึงขอความเมตตากับทางจังหวัดได้โปรดพิจารณาคัดเลือกทีมงานผู้จัดที่มีคุณธรรมและเก็บค่าเช่าที่แบบมีเมตตาธรรม”
.
ทั้งนี้ หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ “จัดงานผูกขาดรายเดิม ๆ ค่าล็อกเพิ่มขึ้นทุกปีครับ”, “เขาบ่าสนใจหรอก ได้เงินประมูลงานไปแล้วกะตัวใครตัวมันละ มันบ่าเหมือนสมัยก่อน”, “ตอนนี้ผมยังไม่รู้ราคาค่าล็อกเลยพี่แต่ถ้าแพงเกินไปก็ไม่ไหวในฐานะคนเชียงราย”
.
ล่าสุดวันนี้ (24 ธ.ค. 66) ทีมข่าว ได้ลงพื้นที่ไปสำรวจแผงขายของตามเทศกาลต่าง ๆ ในเขตเทศบาลเมืองเชียงราย ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าพูดถึงเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก โดยทีมข่าวได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “นายเอ” (นามสมมติ) หนึ่งในพ่อค้าที่กำลังตัดสินใจจะลงขายในงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 ซึ่งปกติแล้วนายเอจะขายพวกของทอด และจะขายเฉพาะงานเทศกาลเท่านั้น เพราะปกติทำงานประจำอยู่แล้ว

[บทสัมภาษณ์ระหว่างทีมข่าวกับนายเอ]

ทีมข่าว : การขายของในงานฯ ปีที่ผ่าน ๆ มาเป็นอย่างไรบ้าง?

นายเอ : คนจัดงานฯ ครั้งก่อนถ้ามีปัญหาตรงไหน อะไรที่แพงไป หรือว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะรับฟังทุกปัญหา และอะลุ่มอล่วยเสมอ หากเราได้ที่ขายของเล็กไปหรือใหญ่ไปก็สามารถที่จะขอคุยกับเขาได้ตลอด

ทีมข่าว : ครั้งที่แล้วมีคนพูดถึงเรื่องค่าที่แพง หรือมีนายหน้ามาเหมาที่ไปขาย ตามที่มีพ่อค้าแม่ค้าพูด ๆ ถึงกันหรือไม่?

นายเอ : ถ้าหมายถึงมีคนเหมาแล้วไปขายต่อแพง ๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ เพราะว่าเมื่อรอบที่แล้วผู้จัดงานฯ ที่ผ่านมาคือจะมาตั้งโต๊ะที่งานเลย ที่สนามบินเก่า ไม่ใช่แค่วันเดียวนะ ตั้งเป็นเกือบเดือนเราก็ขับรถไปที่สนามบินเก่าเพื่อที่จะไปคุยดูว่าจะได้ที่ตรงไหนได้ จะเอากี่เมตร ขนาดใหญ่เท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ครับ เมื่อครั้งก่อนผู้จัดจะรู้อยู่แล้วว่าร้านใครอยู่ตรงไหนเพราะจัดทุก ๆ ปี พ่อค้าแม่ค้าก็จะเป็นการโทรไปจองบอกแค่ชื่อร้าน เขาก็มีข้อมูลเก็บไว้ แต่ถ้าเป็นเจ้าใหม่ก็ต้องไปเสียบพื้นที่ว่าว่างไหม ใครอยากจะขายของมีพื้นที่ว่างอยู่ ยังไม่มีเจ้าประจําก็เข้าไปติดต่ออะไรประมาณนั้น ส่วนครั้งนี้ส่งข่าวมาทางไลน์กลุ่ม แล้วก็คือมีคนไปเดินแจกใบปลิวตามงาน ให้โทรจองล็อกแล้วก็ขอเก็บค่าล็อก

ทีมข่าว : ของงานรอบที่แล้ว ค่าที่เท่าไหร่?

นายเอ : มันอยู่ที่ 10,000 – 20,000 บาทนะ มันแล้วแต่ว่าได้ตรงไหน หมายถึงว่าถ้าได้ที่ลานขายเครื่องดื่มมันก็แพง ก็สแกนหน้างานเอาครับ ดูหน้างานอีกทีนึงครับ ทางผู้จัดเดิมก็ชัดเจน เขาก็จะบวกเพิ่มหรือลดลงก็ตามนั้นไป เขาก็มีข้อมูลหมดทุกอย่าง

ทีมข่าว : ที่มีคนโทรไปถามเรื่องค่าที่ตามใบปลิวของงานในครั้งนี้ ราคาเท่าไร?

นายเอ : ก็ได้ยินข่าวมาว่าค่าล็อกประมาณ 40,000 ถึง 50,000 บาท เลยคิดว่าค่อนข้างแพง ทีนี้ส่วนตัวยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเอา เพราะราคาล็อกแพงขนาดนั้น ผมไม่ไหว แต่ก็คือล่าสุดที่ผมไปเจอคนที่เขาขายที่งานนี่มานานแล้วเป็น10-20 ปี เขาก็ให้ฟังว่าปีนี้ค่าที่แพง เขาก็เลยยังไม่ตัดสินใจที่จะเอาหรือไม่เอา ทั้ง ๆ ที่เขาขายมา 20 กว่าปีแล้ว เป็นร้านใหญ่เป็นของคนเชียงราย

ทีมข่าว : มีสิ่งที่ต้องการพูด หรือมีข้อเสนอแนะอะไรไหม?

นายเอ : ส่วนตัวไม่มีติดใจอะไร ก็คืออยากให้คิดเรื่องใจเขาใจเรา ว่าปีที่ผ่านมามันเป็นยังไงแล้วถ้าปีนี้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ค่าที่แรงกว่าเดิม พ่อค้าแม่ค้าคงเหนื่อย ทํามาค้าขายยาก ทุกคนก็ขายเพื่อหวังกําไรอยู่แล้ว แต่ว่าการขายเพื่อที่จะให้ได้กําไรมันต้องดูต้นทุนด้วยไง แต่ถ้าล็อก 40,000 บาท ซื้อของอีก 20,000 บาท และมีอย่างอื่นอีก ยังไม่ได้ทําอะไรเลย แต่ตังค์เสียไปเป็นแสนประมาณนั้น มันก็ใจเขาใจเรา ผมก็เลยยังไม่ตัดสินใจที่จะเอา

วันก่อนก็เจอพี่ชายที่ค้าขายด้วยกัน แกก็เล่าให้ฟังว่าค่าล็อกแพงมากแล้วก็ครั้งนี้การจัดมันอาจจะแออัดกว่าเดิมที่มีเห็นผังที่เค้าเอามาแจก ซึ่งเราก็เข้าใจระบบการจัดการ ก็คือมีทั้งส่วนราชการทั้งมูลนิธิ แต่ปีนี้ในผังไม่ค่อยเห็นเยอะเท่าไหร่เพราะมันเหลือครึ่งเดียว ยังไงก็ต้องมีคนไปขายของเนาะ แต่ต้นทุนที่มันแพงขึ้นกว่าเดิมแล้ว เราต้องการการบริหารจัดการให้พ่อค้าแม่ค้าได้ขายของดีเหมือนเดิมแค่นั้นเอง คือตอนนี้รู้สึกว่าค่าล็อกแพงครับ

สุดท้ายตอนนี้เรายังไม่รู้นะว่าการที่เขาเปิดราคามาที่ผมได้ยินมาเนาะ ที่ราคา 40,000 – 50,000 งานครั้งที่แล้วร้านค้าไม่ได้จํากัดเวลาว่าหลัง 6 โมงหรือทุ่มนึงเนี่ยเก็บบัตร แต่ต้องมีตัวตนที่แท้จริงว่าขายอะไรประมาณนี้ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาจะจํากัดเวลาใหม่ คืออารมณ์ประมาณแบบพ่อค้าแม่ค้าต้องอยู่ภายในงานหรือภายในร้านก่อน 5 โมงเย็น 6 โมงบางร้านมันต้องวิ่งออกไปซื้อของมาเพิ่มเติมหรือบางร้านนู่นนี่นั่นขาด เขาต้องออกไปมันจะยุ่งยากไหมไม่รู้ แล้วเข้ามาต้องเสียค่าบัตรหรือไม่

ตอนนี้คือหนึ่งมีการแจกใบปลิว แต่ผู้จัดคือคนไหน ตอนนี้คือเขายังไม่ชัวร์ใช่ไหม ตอนนี้พ่อค้าแม่ค้าเขาก็กลัวเหมือนกันที่จะเอาหรือไม่เอาเพราะว่ามันก็เปลี่ยนผู้จัดเนาะ และค่าล็อกที่อาจจะแพงขึ้นกว่าเดิม คำถามก็คือ คนที่ขายอยู่แล้ว 20 กว่าปีเนี่ยเขาก็จะไม่ได้ที่เดิมหรือได้ที่เดิมเขาก็ยังไม่รู้อะ เขาก็เลยไม่กล้าที่จะจอง ผมอยากให้คนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายที่เคยขายก่อนเนี่ย ได้มีที่ขายเดิมอะไรประมาณนี้ครับ โดยเฉพาะคนในจังหวัดนั้นให้มีสิทธิ์เลือกก่อน เพราะนี่มันเป็นงานของจังหวัดไม่ใช่เป็นงานที่อื่น

ต่อมาทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้ลองติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์บนใบปลิวดังกล่าวจากข้อมูลที่ได้รับแจ้งมา โดยใบปลิวได้ลงชื่อผู้ติดต่อจองล็อกว่าคือคุณดำ เบื้องต้นทราบว่าเป็นผู้จัดการเรื่องการจองล็อกขายของในงานดังกล่าว ทางทีมข่าวจึงได้ขอสัมภาษณ์เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเช่าพื้นที่ ว่ามีการตั้งเกินราคาตามคำกล่าวอ้างของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหรือไม่

[บทสัมภาษณ์ระหว่างทีมข่าวกับคุณดำ]

ทีมข่าว : ค่าที่ในงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาด ประจำปี 2567 ครั้งนี้ 40,000 ถึง 50,000 บาท ราคานี้จริงหรือไม่?

คุณดำ : เป็นไปไม่ได้ แล้วใครจะไปจอง 50,000 บาท พูดเป็นนิยายนะคะ เป็นไปไม่ได้ค่ะเพราะเราไม่เคยจัดงานแพงขนาดนั้น มันคือ 20,000-30,000 กว่า แต่ต้องวัดเป็นเมตร รอบนี้ของเรายังถูกกว่าที่ผ่าน ๆ มาอีก ตอนนี้เท่าที่สรุปเหมือนว่าเมตรนึงก็อยู่ที่ประมาณ 4,500 บาท นี่คือขั้นราคาสูงนะ ขั้นต่ําก็มีนะเพราะมันมีเป็นโซน ๆ นะคะ แต่ละโซน ราคานี้มันอยู่ที่สาย สาย A สาย B มันอยู่ที่เลือก คนต้องการพื้นที่สวยหน่อยตั้งร้านขายดีการเข้างานดี มันก็สวย มันก็แพงอยู่แล้วไม่ว่าที่ไหน

ทีมข่าว : แล้วครั้งที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่เท่าไหร่?

คุณดำ : เมื่อปีที่แล้ว เมตรนึงก็อยู่ที่ 5,000 6,000 บาท 7,000 บาทก็มีแต่มันขึ้นอยู่กับโซน สูงสุด 8,000 บาท แต่ปีนี้เริ่มที่ 4,500 ค่ะ สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท

ทีมข่าว : แล้วที่บอกว่าที่ละร้านค้าแจ้งว่าราคาแพง คือซื้อไปปล่อยต่อให้ มันแพงจริงหรือไม่?

คุณดำ : มีค่ะ มีส่วนค่ะ เช่นมีมุมแบบสวย แล้วรู้อยู่แล้วว่าตัวนี้มีร้านค้าในมืออยู่แล้ว เขาก็ขอซื้อเลย 20 ล็อก 30 ล็อกแล้วก็เอาไปบวก แต่ไม่น่าจะถึง 40,000 กว่า ไม่น่าจะมีนะคะ มันแรงเกินไป มันก็เป็นไปไม่ได้ เชียงรายเราก็รู้อยู่มันไม่ใช่ว่าที่แพงแล้วคุณจะต้องแย่งกันเข้า มันเป็นไปไม่ได้ค่าที่แพง เขาไม่ลงก็มี

ทีมข่าว : วิธีการซื้อพื้นที่ต้องทำอย่างไร คำนวนอย่างไร?

คุณดำ : คือล็อกนึงจะคิดเป็นเมตร เช่น 1 เมตร แล้วตลอดงานก็คืออย่างครั้งนี้มี 10 วัน ก็ตกวันละ 450 บาท คิดมาละ 10 วัน ก็คือ 4,500 บาท มันต้องคิดอย่างนี้ แล้วก็มีค่าไฟก็ดวงและ 30 บาท ต่อวัน ต่อดวง

ทีมข่าว : แล้วปีนี้ไม่มาตั้งโต๊ะ แต่เปลี่ยนเป็นแจกใบปลิวให้โทรศัพท์หาแทน เกิดจากอะไร ติดปัญหาส่วนไหน?

คุณดำ : เรากําลังเตรียมงานเนาะ ปีนี้เนี่ยเราพยายามจัดงานให้ไม่เหมือนที่ผ่าน ๆ มา เพราะว่าที่ผ่านมาการเดินเข้างานมันไกลมาก แล้วอีกอย่างงานก็เหมือนเดินไปโซนหัวถึงหาง นี่มันเป็นหลายกิโลเลยนะ แล้วอีกอย่างร้านค้ามันก็กระจาย ตอนนี้เราทํายังไงก็ได้ ให้คนที่มางานเดินวนอยู่เที่ยวในงานจะได้ค้าขายกันไปให้ทั่ว ถ้ามันกว้างความยาวมันมากไปมันก็เหมือนจะกระจายไป คนเดินที่อยู่ในล็อกบางทีก็เป็นแค่เมตรดีกว่าค่ะ เมตรมันถูกกว่า

ถ้าเทียบค่าที่กับภาคกลาง ภาคอีสาน ของเราภาคเหนือถูกที่สุดที่อื่นมาเป็นแสน ๆ นะ สมัยก่อนพี่วิ่งทีงาน 9 วัน 10 วันเนี่ยเสียค่าที่ 70,000 บาทถึงแสนนะ ถ้าพูดถึงทางเหนือเราเนี่ยมันก็ได้ประมาณขนาดนี้เลย แพงกว่านี้เป็นไปไม่ได้แล้วค่ะ ส่วนงานนี้พ่อค้าแม่ค้าคนไหนที่จะจอง ต้องบอกว่าเดี๋ยวรอผังก่อน รอผังงานมาก่อนว่าเราจะจัดโซนไหน แล้วโซนไหนราคาเท่าไหร่

ทีมข่าว : เป็นไปได้หรือไม่ที่มีทีมของคุณดำเอง ไปปล่อยราคาล็อกแพง?

คุณดำ : พี่เป็นคนเชียงราย ใครที่เป็นคนเชียงรายลงกับพี่ถูกกว่า เราเป็นคนในท้องถิ่น ดูแลกันเองอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างร้านค้าก็รู้อยู่แล้วว่าที่ใครที่มัน แต่ถามว่ามีไหม มันก็มีคนที่ตัดเอาโซนไปปล่อย รู้อยู่แล้วว่าข้างหน้าเนี่ย 30 ล็อกเนี่ย มีคนต้องการอยู่ เอาเงินสดไปตัดไปจองก่อนมันก็มีอยู่ แต่เราก็ไม่ไปยุ่งมันขึ้นอยู่กับการสะดวกใจของร้านค้าที่จะซื้อราคานั้น

แต่ไม่ต้องกลัวนะ คนเชียงรายจองที่กับพี่ไม่มีแพง เราไม่ให้คนเชียงรายต้องมาเสียเปรียบคนอื่น หรือต้องให้คนอื่นมาว่าบ้านเมืองทําไมขายกันเองทำไมแพง อะไรแบบนี้ไม่มีแน่ ราคาคนเชียงรายราคาพิเศษ ซึ่งผู้จัดก็ย้ำกับพี่บอกว่าไม่เป็นไร การทําปีนี้คืนกําไรให้ลูกค้าไปเลย

ทีมข่าว : แต่ถูกกว่าปีก่อนแน่ ๆ ใช่ไหม?

คุณดำ : แน่นอนคอนเฟิร์ม ส่วนคนที่จะซื้อราคาที่มีคนตัดล็อกไป ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจตกลงกันเองเขาก็ต้องยอม ก็ถ้าคุณเป็นคนที่อื่นจะกล้าซื้อราคาล็อก 40,000 บาทกว่า

ยิ่งปีนี้ลดวันกว่าปีที่แล้วไปวันหนึ่ง แล้วเราจะไปเอาแพงกว่า มันเป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ใครสนใจจะจองล็อกติดต่อพี่ดำได้เลย อยากจะเข้ามาค้าขายติดต่อพี่ดําได้ คนเชียงรายต้องมีสิทธิ์ได้ลง ค่าที่ต้องไม่แพง เรื่องโซนเดี๋ยวมาว่ากันอีกที เพราะต้องรอผู้ใหญ่สรุป
.
และสำหรับใครที่สนใจติดต่อจองพื้นที่กับคุณดำในงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาด ประจำปี 2567 สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0891795458 (คุณดำ) โดยทางทีมข่าวได้ทำการขออนุญาตลงเบอร์โทรศัพท์ในบทสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าชาวเชียงรายทุกท่านได้จองล็อกในราคาพิเศษ อย่างที่คุณดำแจ้งไว้ในตอนต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สรุปผลโหวต LINE TODAY POLL 2023 พิธา – แอนโทเนีย – วอลเลย์บอลหญิงไทย

 
สรุปผลโหวต LINE TODAY POLL OF THE YEAR 2023 ที่เปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม – 20 ธันวาคม 2566 ซึ่งมีผลโหวตดังนี้
ข่าวแห่งปี

ปี 2566 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีข่าวดั่งระดับประเทศและระดับโลกมากมาย ไม่แพ้ปี 2565 จากตัวเลือกที่ทาง LINE TO DAY คัดเลือกข่าวเด่นให้ผู้ใช้งานร่วมโหวตว่าข่าวไหนจะเป็นที่สุดแห่งข่าวเด่นปีนี้ซึ่งผลโหวตออกมาเป็นตามนี้

 

อันดับ 1 – พิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ-คดีหุ้น ITV-หยุดปฏิบัติหน้าที่ – 28.03%

ผลการเลือกตั้งใหญ่ 2566 ตกเป็นของพรรคก้าวไกล ที่คว้าคะแนนจากคนไทยไป 14 ล้านเสียง

ทำให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกฯ เพียงหนึ่งเดียวของพรรคถูกจับตามองทันทีเป็นว่าที่นายกฯ คนที่ 30 ที่ประชาชนลงใจให้

 

แต่สถานการณ์พลิกผัน มรสุมเล่นงาน ‘พิธา’ ทันที ถูกยื่นสอบคดีถือหุ้นสื่อ ITV ที่แม้จะแสดงความมั่นใจว่าไม่กระทบการจัดตั้งรัฐบาล แต่ผลสุดท้ายก็อย่างที่รู้กัน ‘พิธา’ ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะถือว่าการถือหุ้นสื่อ เป็นลักษณะต้องห้ามของการเป็น สส.

อันดับ 2 – สงครามอิสราเอล-ฮามาส – 10.18%

อันดับ 3 – เยาวชนวัย 14 กราดยิงพารากอน – 10.1%

อันดับ 4 – ชูวิทย์ แฉตู้ห่าว-แฉคนมีชื่อเสียง – 8.94%

อันดับ 5 – ทักษิณ ชินวัตร กลับไทยในรอบ 17 ปี – 8.68%

 

อันดับ 6 – คดีกำนันนก-สารวัตรศิว – 8.38%

 

อันดับ 7 – เพื่อไทย-พรรคร่วม ตั้งรัฐบาล-เศรษฐา นายกฯ คนที่ 30 – 5.88%

 

อันดับ 8 – หมอกฤตไท เพจสู้ดิวะ ป่วยมะเร็ง – 4.4%

 

อันดับ 9 – เสี่ยแป้ง นาโหนด แหกคุก – 3.65%

 

อันดับ 10 – เรือดำน้ำไททันระเบิดสูญหาย – 2.18%

 

 

 

นักการเมืองแห่งปี

ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีปรากฎการณ์ทางการเมืองมากมายให้คนไทยได้ติดตาม ทั้งสถานการณ์ชวนลุ้นอย่าง ‘การเลือกตั้งทั่วไป 2566’ การอภิปรายในสภาที่สุดแสนจะเข้มขันในทุกแมตช์ จุดสิ้นสุดของยุครัฐบาล คสช. นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงการกลับมาของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และสำหรับโพลนี้ มีดังนี้

 

อันดับ 1 – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ – 5,897 คะแนน 36.35%

‘นายพิธา ลิมเจริญรัตน์’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลที่

ได้รับคะแนนโหวตใน ‘การเลือกตั้งทั่วไป’ มากที่สุดเป็นอันดับ 1 กวาดคะแนนบัญชีรายชื่อกว่า 14ล้านเสียง ขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 และรวมเก้าอี้สส.ได้ 151 ที่นั่ง

 

อย่างไรก็ตามพรรคก้าวไกลไม่สามารถรวมเสียง สว. เพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ในขณะเดียวกันนายพิธาถูกตั้งข้อหาถือหุ้น ITV และถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 และยังรอคำวินิจฉัยจากศาลจนถึงวันนี้

 

นายพิธานับเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในการเมืองไทย ทั้งการนำทัพพรรคก้าวไกลให้พลิกชนะ ‘พรรคเพื่อไทย’ ที่เป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งมาตลอด 20 ปี อีกทั้งยังใช้กลยุทธการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด จนเป็นที่มาของแฮชแท็ก

#หอมกลิ่นความเจริญ รวมถึง #ด้อมส้ม ที่ชาวเน็ตใช้เรียกแทนโหวตเตอร์ของพรรคก้าวไกลอีกด้วย

 

อันดับ 2 – เศรษฐา ทวีสิน – 2,677 คะแนน 16.5%

อันดับ 3 – วราวุธ ศิลปอาชา – 2,173 คะแนน 13.4%

อันดับ 4 – ประยุทธ์ จันทร์โอชา – 1,983 คะแนน 12.22%

อันดับ 5 – ชาดา ไทยเศรษฐ์ – 890 คะแนน 5.49%

 

Soft Power แห่งปี

 

Soft Power หากแปลเป็นไทยคือ ‘มานานุภาพ หมายถึง ความสามารถในการดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วม โดยไม่ต้องบังคับหรือให้เงิน ในปัจจุบันถูกใช้ในกรณีของการเปลี่ยนแปลงและสร้างอิทธิพลต่อความคิดของสังคมและประซาชน ‘ในประเทศอื่น’คราวนี้มาดูกันว่า ชาว LINE TODAY มองเห็นอะไรเป็น Soft Power ของไทยกันบ้าง

 

อันดับ 1 – กางเกงช้าง – 26.94%

 

แฟชั่นนี้ว่ากันว่าได้รับความนิยมเนื่องจากตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งมักมีข้อกำหนดห้ามนุ่งสั้น ทำให้กางเกงช้างกลายเป็นกางเกงถูกระเบียบขวัญใจ นักท่องเที่ยว และกลายเป็นของฝากที่ซื้อกลับประเทศ นอกจากนี้ ไอดอลชื่อดั่งจากเกาหลีและศิลปินคนดังจากต่างประเทศหลายๆ ก็นิยมใส่เวลามาไทยเช่นกัน

อันดับ 2 – ข้าวเหนียวมะม่วง – 17.96%

อันดับ 3 – สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไทย พระพรหม, พระแม่ลักษมี – 8.84%

อันดับ 4 – หมูกระทะ – 8.52%

อันดับ 5 – สตรีทฟู้ด – 8.43%

 

 

ข่าวกีฬาแห่งปี

 

ตลอดปี 2566 ในแวดวงกีฬาบ้านเรา มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ มากมายที่เป็นประวัติศาสตร์ และ

เหตุการณ์ที่ทั้งนักกีฬาและคนเชียร์เองก็ลืมไม่ลง หลังการเปิดโหวตข่าวกีฬาแห่งปี 2566 นี่คือ

เหตุการณ์ในวงการกีฬาปีนี้ที่คนไทยยกให้เป็น 3 อันดับแรก

 

อันดับ 1 – วอลเลย์บอลหญิงไทย ผลงานโดดเด่น ได้ใจคนไทยทั้งประเทศ – 29.15% โดยเฉพาะปิ นี้ ผลงานของพวกเธอโดดเด่นมาตั้งแต่ต้นปี สร้างความสุขและความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศมาต่อเนื่อง ตั้งแต่เหรียญทอง สมัยที่ 16 การแข่งขันซีเกมส์ 2023, อันดับที่ 14 วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2023, แซมปัซี. วีลีก 2023 สนามที่ 1, แซมป์ซี. วีลีก 2023 สนามที่ 2,แชมป์วอลเลย์บอลหญิงชิงแช่มป์เอเชื่ย 2023, อันดับ 4 กลุ่มซีวอลเลย์บอลหญิง โอลิมปีกเกมส์ 2024 รอบคัดเลือก และเหรียญทองแดง เอเชียนเกมส์ 2022

 

อันดับ 2 – ‘เทนนิส-พานิภัค วงศ์พัฒนกิจ’ นักเทควันโด โดนโกงจนเกือบไม่ได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์  – 17.48%

อันดับ 3 – ‘วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์’ คว้าแชมป์ชายเดี่ยว สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดมินตันชาวไทยคนแรกที่คว้าแชมป์โลก – 13.76%

 

ข่าวบันเทิงแห่งปี

ตลอดปี 2556 ที่ผ่านมาวงการบันเทิงของทยมีทั้งเรื่องราวดีๆ ให้ร่วมยินดีมากมาย แต่ก็ไม่วายที่

จะมีเรื่องดรามามาให้ติดตามกันแบบต่อเนื่อง เดี๋ยวรักเดี่ยวเลิก มือที่สาม ผลัดกันแฉกันอย่างดุ

เดือด ล่าสุดหลังจากเปิดโหวต ‘ข่าวบันเทิงแห่งปี’ ไปก่อนหน้านี้ และนี่คือ 3 อันดับแรกของข่าว

บันเทิงที่คนชื่นชอบมากที่สุด

 

อันดับ 1 – แอนโทเนีย คว้ารอง 1 มิสยูนิเวิร์ส – 40.17%

เป็นอีกเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้คนไทยมีความสุขถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นใครทำอาชีพไหนก็ต่างพากัน

พร้อมใจเชียร์ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ ในวันแข่งข้น และเธอนั่นก็ไม่ทำให้ผิดหวังสามารถเข้ารอบลึกที่สุดในรอบหลายปี จับมือคว้ารองอันดับหนึ่งมาครองได้สำเร็จ

อันดับ 2 – นนกุล-แอฟ เปิดใจกำลังคุยกันอยู่ – 14.84%

อันดับ 3 – ต้องเต ผู้กำกับหนัง ‘สัปเหร่อ’ รายได้หลายร้อยล้าน – 9.34%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

นิด้าเผย โพลส่วนใหญ่ยังหนุน”พิธา” เป็นนายกฯ ส่วนคะแนนพรรค ‘ก้าวไกล’ ความนิยมนำโด่ง

 
 
24 ธันวาคม 2566 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

 

                   จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 39.40 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ มีความเป็นผู้นำ เป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี บุคลิกดี และเข้าถึงประชาชน อันดับ 2 ร้อยละ 22.35 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะ มีความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 18.60 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 5.75 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคและนโยบายพรรคเพื่อไทย และชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร อันดับ 5 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ มีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา และมีความซื่อสัตย์สุจริต อันดับ 6 ร้อยละ 1.70 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ตรงไปตรงมา และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา อันดับ 7 ร้อยละ 1.65 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ มีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศ และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ ร้อยละ 3.90 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายชัยธวัช ตุลาธน (พรรคก้าวไกล) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายเฉลิม อยู่บำรุง (พรรคเพื่อไทย) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) และ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ และร้อยละ 4.25 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

                  ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 44.05 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 2 ร้อยละ 24.05 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 16.10 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 3.60 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5 ร้อยละ 3.20 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 6 ร้อยละ 1.75 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 7 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.85 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคเสรีรวมไทย และร้อยละ 3.95 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                 เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.60 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.95 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.45 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.75 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.10 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.90 เป็นเพศหญิง

 

                 ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.80 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.95 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.65 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.70 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.10 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.20 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.70 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ

 

                 ตัวอย่าง ร้อยละ 33.25 สถานภาพโสด ร้อยละ 64.80 สมรส และร้อยละ 1.95 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 25.15 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.25 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.45 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.05 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 5.10 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 9.10 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.55 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.45 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจส่วนตัว/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.85 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.85 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.55 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.65 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 21.40 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 21.05 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 9.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.65 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.85 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.70 ไม่ระบุรายได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

อีกครั้งสำหรับการพัฒนาบำนาญผู้สูงอายุเพื่อระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม โดยดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย

 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2566 ได้มีการยื่นเสนอกฎหมายร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่อาคารรัฐสภา โดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และประชาชนทั่วไป ร่วมกันยื่น 43,826 รายชื่อ ต่อคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร คุณปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง และคุณณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการการสวัสดิการสังคมเป็นความพยายามอีกครั้งของภาคประชาชนที่พยายามขับเคลื่อนระบบหลักประกันรายได้และคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ

เป็นความพยายามที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตใจของการต่อสู้ หลังจากที่โดนปัดตก นั่งทับ หรือ “มีบัญชาไม่รับรอง” ข้อเสนอร่าง พรบ.บำนาญผู้สูงอายุ จากอย่างน้อย 5 ครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เป็นความพยายามที่จะผลักดันขับเคลื่อนให้เป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม อันสะท้อนเสียงความต้องการของประชาชนต่อนโยบายผู้ชนะการเลือกตั้งที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง เป็นเสียงความต้องการของสังคมผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ต้องการหลักประกันรายได้ยามสูงวัย และเป็นเสียงความต้องการของประเทศผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เช่น “ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทย” และ “ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายรายได้”

สำหรับผู้เขียนแล้ว คือ เรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจกลับคืนมา ไม่แตกต่างจากการต่อสู้ของแรงงานเรื่องวันลาคลอด เมื่อปี 2536 หรือ 3 ทศวรรษที่แล้ว แรงงานหญิงมีครรภ์ที่ต้องออกไปประท้วง อดข้าว และ กรีดเลือด จนได้สิทธิวันลาคลอดได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 60 วัน เป็น 90 วัน อันทำให้แรงงานหญิงที่ทำงานออฟฟิศ ได้รับอานิสงค์ผลบุญไปด้วย

ประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจโดยการกดขี่ขูดรีดแรงงาน และ การเอารัดเอาเปรียบโดยกลุ่มทุน โดยเฉพาะไม่กี่ตระกูลบนยอดปีรามิด อันครอบคลุมชีวิตคนไทยในทุกมิติ แน่นอนว่า การลดความเหลื่อมล้ำจะต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนโดยตรงจากภาคการเมือง หรือผู้ที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความสมเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์และทางศีลธรรม

การจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรมมากขึ้น จะสามารถปรากฏเป็นจริงได้ จึงขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นจริงจังของรัฐบาล โดยเราสามารถมีงบประมาณสำหรับระบบสวัสดิการคนไทยและการลงทุนในอนาคตของประเทศ โดยการเพิ่มรายได้จากภาษี และปฏิรูปการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสมทบการออมในวัยทำงาน ตามข้อเสนอและรายงานการศึกษามากมายจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ และ องค์การระหว่างประเทศหลายหน่วยงาน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานในปีนี้ของธนาคารโลกเรื่อง “การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย – การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน” จึงเสนอให้ประเทศไทยสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจให้มีความเท่าเทียมและความยืดหยุ่น (resilience) มากขึ้นได้ โดย

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
  2. เพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และ
  3. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและนโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิรูปภาษี “แบบก้าวหน้า” เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะการเข้าสู่สังคมสูงวัย จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในด้านบำนาญ สวัสดิการผู้สูงอายุ และสวัสดิการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการเพิ่มงบประมาณภาครัฐด้านความช่วยเหลือทางสังคม โดยอย่างยิ่ง นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยกล่าวในปาฐกถาว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องกระจายอย่างทั่วถึง (inclusive) ไม่ใช่เติบโตแบบกระจุกอยู่เพียงบางกลุ่มคน บางธุรกิจ หรือ บางพื้นที่ ทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบาง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะเผชิญแรงกดดันจากการทำลายล้างทางดิจิทัล (digital disruption) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (climate change) ดังนั้น ถ้าเราไม่ทำให้การเจริญเติบโต (growth) สามารถแบ่งปันกันในวงกว้าง เราจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบภาษีและการปฏิรูประบบงบประมาณ โดยเราสามารถมีแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย ได้แก่

  1. จัดระบบความสำคัญก่อนหลังในการจัดสรรงบประมาณประจำปี กล่าวคือ ลดงบที่ไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน
  2. ยกเลิกสิทธิพิเศษและค่าลดหย่อนทางภาษีสำหรับมหาเศรษฐีและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น BOI และ Capital Gain Tax
  3. เก็บภาษีเพิ่มจากส่วนต่างของกำไรที่ได้จากการขายหลักทรัพย์และที่ดิน
  4. ปรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพ
  5. ลดเกณฑ์ยกเว้นภาษีการรับมรดกที่มูลค่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับมรดกไม่ถึง 100 ล้านบาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษี ควรจะปรับลดลงมาให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้
  6. เพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะอัตราต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับสากล
  7. ปรับระบบภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็ตามต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกันหมด ไม่ใช่เหลื่อมล้ำกันระหว่างภาษีรายได้ที่จัดเก็บจากเงินเดือน เงินปันผล กำไร หรือ ที่ดิน ซึ่งโดยเฉลี่ยคนรวยเสียภาษีในอัตราต่ำกว่ามนุษย์เงินเดือน
  8. หน่วยงานของรัฐที่ถือครองที่ดินมากเกินจำเป็นและไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ควรนำมาให้ประชาชนเช่าทำมาหากิน เมื่อประชาชนมีฐานะดีขึ้น รัฐจะเก็บภาษีได้มากขึ้น

ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปีนี้ธนาคารโลกยืนยันเสนอหลายครั้งผ่านสื่อให้ขึ้น VAT เป็น 10%  ตามรายงาน “การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย – การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน” โดยผู้เขียนเห็นว่า ควรทำ earmarked คือ เก็บเพิ่มเอามาใช้จ่ายตรงให้เป็นประโยชน์กับประชาชน และ ต้องควบคุมการฉวยโอกาสขึ้นราคาของนายทุนที่ยึดกุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง

แน่นอนว่า ประเทศไทยก็ยังมีโอกาสเลือกทิศทางที่มีเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นธรรม ไม่ใช่กระจุกทรัพยากรและโอกาสเพียงแค่คนส่วนน้อยบนยอดปีรามิด แบบคนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก ทั้งที่ร่วมจ่ายภาษีการบริโภคมาตลอด ในขณะที่ตระกูลรวยสุดกอบโกยด้วยการเอารัดเอาเปรียบจากการผูกขาดและมีอำนาจเหนือตลาด เพราะเราคงไม่อยากจะเห็นภาพที่ความเหลื่อมล้ำสะสมมากเข้า จนในที่สุดกลายเป็นโศกนาฏกรรมตามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ในเมื่อประเทศไทยจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับงบบำนาญข้าราชการและงบรักษาพยาบาลข้าราชการที่จะพุ่งขึ้นในอนาคต ก็ควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยใช้หลักวิชาการทางการคลัง ทั้งด้านงบประมาณและภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความเหลื่อมล้ำของประเทศ ช่วยสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยระบบสวัสดิการ และ เป็นเส้นทางอันพึงปรารถนาของการพัฒนาที่ยั่งยืนและปรองดอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

UNESCO ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ไทย” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

 

6 ธันวาคม 2566 เวลาประมาณ 15.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา ในช่วงระหว่างการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ในประเทศไทย” (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) ให้เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ 

 

นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขอบคุณทุกภาคส่วนสำหรับการอุทิศตนและความมุ่งมั่น ทั้งจากฝ่ายประเมินผลและคณะกรรมการฯ ที่ได้คัดเลือกให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” อยู่ในรายการบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ รวมไปถึงสำนักเลขาธิการสำหรับการทำงานอย่างหนักทั้งหมดที่ผ่านมา โดยสงกรานต์เป็นประเพณีในวันปีใหม่ไทย มีการเฉลิมฉลองในช่วงกลางเดือนเมษายนทั่วประเทศ เป็นประเพณีที่ได้รับการฝึกฝนและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นโดยคนไทยและชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นประเพณีอันงดงามและมีความหมาย สะท้อนถึงคุณค่าของความกตัญญูกตเวทีของไทยต่อบรรพบุรุษ ความเอื้ออาทรและความปรารถนาดีต่อผู้อื่น และจิตวิญญาณแห่งความสามัคคี 

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กิจกรรมในช่วงประเพณีสงกรานต์ทั้งหมดถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ของมรดกทางวัฒนธรรม โดยประเพณีสงกรานต์ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ บิณฑบาต สรงน้ำพระพุทธรูป รดน้ำดำหัวผู้อาวุโสที่เคารพนับถือ ตลอดจนการแสดงละครพื้นบ้านและการแสดงที่เกี่ยวเนื่องกับตำนานสงกรานต์ ดังนั้น สงกรานต์ในประเทศไทยจึงเป็นตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลยินดีที่จะส่งเสริมความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับสงกรานต์ร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศ โดยหวังว่าการหารือและทำความเข้าใจร่วมกัน จะนำไปสู่การบรรลุสันติภาพและความมั่นคงสำหรับทุกฝ่าย ซึ่งรัฐบาลยินดีต้อนรับผู้มาเยือนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาร่วมเทศกาลและสัมผัสประสบการณ์ของประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทย พร้อมด้วยรอยยิ้มและการต้อนรับที่อบอุ่น

อนึ่ง “สงกรานต์ในประเทศไทย” (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) ถือเป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ลำดับที่ 4 ของประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้แก่ “โขน” (Khon, masked dance drama in Thailand) ในปี 2561, “นวดไทย” (Nuad Thai, Traditional Thai Massage) ในปี 2562 และ “โนรา” ของภาคใต้ (Nora, Dance Drama in Southern Thailand) ในปี 2564 โดยการประชุมฯ ครั้งนี้ มีประเทศต่าง ๆ เสนอขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมฯ ทั้งสิ้น 45 รายการ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 เพื่อสงวนรักษาแนวปฏิบัติการแสดงออกความรู้และทักษะที่ได้รับการยอมรับของชุมชนหรือกลุ่มคน โดยต้องการสร้างความเคารพและสร้างความตระหนักตั้งแต่ในระดับท้องถิ่นจนถึงสากล และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการสงวนรักษา ซึ่งมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมฯ สามารถอยู่ในรูปแบบการแสดงออกทางวาจาและภาษา การแสดงศิลปะ แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีทางศาสนา เทศกาลเฉลิมฉลอง และงานฝีมือ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : UNESCO

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘บก.ลายจุด’รับสับสนหลายเรื่อง หลัง มฟล. แถลงการณ์ ‘ดร.เค็ง’

 
วันที่ 4 ธ.ค. 2566 วันที่ 4 ธ.ค.2566 กระแสความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกรณีของ ดร.เค็ง นักเรียนทุนปริญญาเอกที่ป่วยจิตเวชจนต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่เชียงราย แต่ต่อมาพบว่าทางมหาลัยได้ดำเนินการยื่นเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับทาง ดร.เค็ง ถึง 16 ล้านบาท จนต่อมาเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่รายละเอียดมาต่อเนื่อง โดยการโพสต์ผ่านสื่อโซเชียลของสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ “บก.ลายจุด” หลังมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แถลงการณ์เรื่องการยื่นฟ้องคดีกับอาจารย์เพื่อให้ชดใช้ทุนการศึกษาตามที่ปรากฏข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์
 
โดยได้โพสต์ก่อนอื่นขอขอบคุณ ม.แม่ฟ้าหลวง ที่ออกมาสื่อสารกับสังคมในเรื่องนี้ หลังจากที่ดร.เค็งพยายามติดต่อเพื่อขอพูดคุยแต่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง นอกจากหมายศาล
 
 
โดย นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก. ลายจุด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กรวมของแถลงการณ์ดังกล่าวคือ ทุกสิ่งอย่างเจอกันที่ศาล โดยอ้างว่าไม่สามารถไกล่เกลี่ยพูดคุยกันได้ ทั้งๆที่ความเป็นจริงคดีทางปกครองสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ ผมไม่มั่นใจว่าแถลงการณ์ดังกล่าวผ่านนิติกรของ ม.แม่ฟ้าหลวงด้วยหรือเปล่า แต่ถ้าผ่านฝ่ายกฎหมายมา ผมขอโต้แย้ง และขอให้ทางผู้รู้ทั้งหลายช่วยโต้แย้งในจุดนี้
เรื่องใบลาออก ดร เค็งยืนยันว่าไม่ได้เซ็นใบลาออก ถ้ามฟล.ยืนยันว่าเขียนใบลาออกผมขอดูเอกสารดังกล่าวในแถลงการณ์ฉบับต่อไป อยากให้ลองสืบค้นมานำเสนอ
 
 
กรณีชี้ว่า ดร เค็ง ไม่ได้นำใบรับรองแพทย์ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐมายืนยันการเจ็บป่วยนั้น ไม่มีข้อโต้แย้งเพราะ ดร เค็ง ตกอยู่ในสถานะที่ป่วยจิตเวชและไ่ม่ได้เข้ารับการรักษาอยู่หลายปี แต่อย่างไรก็ตามทาง มฟล ไม่ทราบเลยหรือว่าตอนที่ผู้รับทุนและเป็นบุคคลากรของหน่วยงานไปศึกษาอยู่ใน ตปท ได้ประสบปัญหาเรื่องการเจ็บป่วยทางจิตเวชถึงขนาดถูกบังคับรักษาอยู่ใน รพ ที่ีอังกฤษถึง 28 วัน และพฤติกรรมการส่ง email หรือแม้แต่ข้อความที่อยู่ใน email ที่สื่อปัญหาอาการหูแว่วของ ดร เค็ง ในขณะนั้น มฟล ไม่รับทราบหรือวิเคราะห์หรือแสดงความเมตตาที่จะทำความเข้าใจในอาการเหล่านั้น และจะต้องเป็นภาระของพนักงานในองค์กรที่เจ็บป่วยต้องพิสูจน์ด้วยตนเองโดยลำพังเท่านั้น
ผมอ่านแถลงการณ์ของ มฟล แล้วทำให้ผมสับสนทั้งหลักกฎหมาย หลักการบริหารองค์กร และ หลักเมตตาธรรม
 
 
 
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ม.แม่ฟ้าหลวง’ แถลงการณ์ แจงเหตุยื่นฟ้อง ‘ดร.เค็ง’

 
วันที่ 4 ธ.ค. 2566 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แถลงการณ์เรื่องการยื่นฟ้องคดีกับอาจารย์เพื่อให้ชดใช้ทุนการศึกษาตามที่ปรากฏข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ว่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ยื่นฟ้อง ดร.เค็ง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เรียนจบในระดับปริญญาเอกที่ขอลาออกในขณะที่ยังไม่ครบเงื่อนไขการชดใช้ทุน โดยให้ชดใช้ทุนการศึกษานับสิบล้านบาท ทั้งที่ ดร.เค็ง เจ็บป่วยด้วยโรคจิตเวช นั้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงขอชี้แจงในกรณีนี้ ดังนี้
 
 
1. ดร.เค็ง เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตำแหน่งอาจารย์ สังกัดสำนักวิชาการจัดการ ได้เริ่มปฏิบัติงานที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค.2548 และต่อมาได้รับทุนรัฐบาลจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงให้ไปศึกษาในระดับปริญญาเอก ณ University of Kent ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2551

 

2. ดร.เค็ง ได้กลับมาปฏิบัติงานที่มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 2 ส.ค.2556 และในระหว่างปฏิบัติงานได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานของมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2557โดยให้ มีผลเป็นการลาออกในวันที่ 1 ก.ย. 2557 ซึ่งในการขอลาออกเป็นการแสดงเจตนาโดยสมัครใจของ ดร.เค็ง และเมื่อ ดร.เค็ง ยังคงแสดงเจตนาเดิมในการขอลาออกโดยได้รับทราบเงื่อนไขของการชดใช้ทุนแล้ว มหาวิทยาลั ยจึงได้ อนุญาตให้ลาออกตามความประสงค์ แต่ด้วยเงื่อนไขของสัญญาและระเบียบของกระทรวงการคลัง เมื่อ ดร.เค็ง ปฏิบัติงานเพื่อชดใช้ทุนการศึกษาไม่ครบถ้วนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัย จึงมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญา เพื่อเรียกให้ชดใช้ทุนการศึ กษา ของกระทรวงวิทย์ ฯ จำนวน 630,207.46 บาท กับอีก 194,730 ปอนด์ และของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจำนวน 726,305.94  บาท

 

3. ตามเงื่อนไขของสัญญารับทุน และหลักเกณฑ์ปฏิบัติของกระทรวงการคลัง กำหนดให้สิทธิผู้รับทุนที่ไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินทุนตามสัญญาเมื่อเป็นบุคคลวิกลจริต จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ แต่ต้องแสดงหลักฐานทางการแพทย์จากโรงพยาบาลในสังกัดของรัฐ โดยให้แพทย์ผู้ทาการรักษาระบุว่าเหตุวิกลจริต และจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบดังกล่าว ทาให้ผู้ผิดสัญญาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้แต่ทั้งนี้ ในระหว่างปฏิบัติงานให้กับมหาวิทยาลัยจนกระทั่งยื่นหนังสือลาออก ดร.เค็ง ไม่เคยจัดส่งเอกสารหลักฐานทางการแพทย์ว่าไม่สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ให้กับมหาวิทยาลัยได้รับทราบเลย โดย ดร.เค็ง ได้ยื่นเอกสารทางการแพทย์ต่างๆ ในชั้นพิจารณาของศาลปกครองเชียงใหม่แต่ล่วงเลยระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาไปแล้วศาลปกครองเชียงใหม่จึงได้พิจารณาและพิพากษาให้ ดร.เค็ง ชดใช้ทุนการศึกษาตามเงื่อนไขของสัญญา

 

4. ดร.เค็ง ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566  แต่เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด การไกล่เกลี่ยในชั้นศาลนี้ไม่อาจทำได้ มหาวิทยาลัยจึงไม่อาจดำเนินการใด ๆ ในขณะนี้ได้

 

5. มหาวิทยาลัยได้ปฏิบัติต่อ ดร.เค็ง ด้วยเมตตาธรรมและคุณธรรมมาโดยตลอดโดยได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ ดร.เค็ง ได้รับโอกาสไปศึกษาวิชาการในต่างประเทศตามที่ ดร.เค็ง ตั้งใจและขอยืนยันว่าในการพิจารณาเรื่องราวของ ดร.เค็ง มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการภายใต้ขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ แต่อย่างไรก็ดีหากศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาพิพากษาเป็นประการใด มหาวิทยาลัยก็พร้อมที่จะปฏิบัติตามคาพิพากษาของศาลทุกประการ

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สภาผู้บริโภคเอาจริง จ่อยื่น ป.ป.ช. ถอดถอน กสทช. เอื้อผูกขาดอินเทอร์เน็ต

 

18 พฤศจิกายน 2566 สภาผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายองค์กรของผู้บริโภค จัดงานแถลงข่าว “ความล้มเหลวของ กสทช. ในการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม” เพื่อแสดงความผิดหวังและแสดงความเห็นต่อมติของคณะกรรมการ กสทช.  พร้อมออกแถลงการณ์ร่วมกันและเตรียมเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ถอดถอนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ กสทช.) ออกจากตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ที่อาจเข้าข่ายบกพร่องและไม่กำกับดูแล ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อผู้บริโภค ทั้งกรณีมีมติรับทราบการควบรวมทรู – ดีแทค และการอนุญาตให้ควบรวม AWN – 3BB

 

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การทำงานของ กสทช.ชุดปัจจุบัน หากสะท้อนจากมุมมองของคนนอกจะเหมือนเป็นสงครามตัวแทน (proxy war) ระหว่างสองรายใหญ่เพราะคนที่ได้ประโยชน์ชัดเจนคือ ผู้ประกอบการทั้งสองราย ในทางกลับกัน กลับไม่เห็นความพยายามในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคในกสทช. ที่ชัดเจน แม้แต่กรรมการ กทสช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค

 

“สิ่งที่น่าเสียใจคือ การปฏิรูปกิจการคลื่นความถี่โทรคมนาคมในประเทศไทยดูเหมือนจะมีความคืบหน้า แต่ในความเป็นจริงกลับถอยหลัง และเป็นการถอยหลังที่มองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปอย่างไรกันต่อ โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมือนจะไม่มีความหวัง ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับการเป็นปากเสียงให้ผู้บริโภคในองค์กรอิสระที่มีศักดิ์ศรีและได้รับการคุ้มครองความอิสระตามเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ” นางสาวสุภิญญาระบุ

 

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภาวะความขัดแย้งและความเห็นต่างในองค์กรอิสระเป็นเรื่องปกติเนื่องจากกรรมการแต่ละท่านต่างมีจุดยืนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของกสทช.ชุดนี้กลับมองไม่เห็นว่าเชื่อมโยงกับประโยชน์สาธารณะอย่างไรและมีผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร  

 

  “ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าผู้บริโภคในยุค 5G และ 6G และขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ยุค AI และ Internet of Things ปัญหารุมเร้าทั้งในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มิจฉาชีพที่มาจากแก๊งคอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์และสแปมต่าง ๆ รวมไปถึงคุณภาพในการให้บริการ ผู้บริโภคถึงกับมืดมนว่าจะพึ่งใคร ถ้าองค์กรที่ควรจะเป็นที่พึ่งอย่าง กสทช.กลายเป็นทไวไลท์โซนหรือแดนสนธยาที่แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปไม่ถึง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นความหวังให้กับเราได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา”นางสาวสุภิญญากล่าว

 

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ความล้มเหลวของ กสทช.ในการคุ้มครองผู้บริโภคมี 3 ประการ ประการแรกคือ การลงมติ “รับทราบ” การรวมธุรกิจระหว่างทรู – ดีแทค โดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน แต่ในการประชุมลงมติกรณี AWN – 3BB ที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก 5:2 เห็นว่าเป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่องมีการตัดสินที่ผิดพลาดในเบื้องต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังได้อนุญาตให้เกิดการควบรวมระหว่างค่าย AWN – 3BB ที่เป็นความผิดพลาดครั้งที่สอง เพราะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในการรับบริการโทรคมนาคมที่ถูกเอาเปรียบการมีอำนาจเหนือตลาดของธุรกิจเอกชน

 

“ที่ผ่านมาภาคประชาชน รวมทั้งนักวิชาการและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการคัดค้าน กสทช.ไปจนถึงการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เพื่อให้ กสทช.ใช้อำนาจของตัวเอง แต่สุดท้ายกสทช.ก็ทำหน้าที่เพียงรับทราบ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ กสทช. ไม่สามารถกำกับหรือควบคุมให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้ตามมาตรการที่ตัวเองออกแบบไว้”
สารีกล่าว

 

ความล้มเหลวประการที่สองคือการมีมติอนุญาตให้ AWN – 3BB ควบรวมกิจการได้ โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้เกิดการผูกขาดอินเทอร์เน็ตตามมา ซึ่งทำให้บริษัทที่ควบรวมได้รับประโยชน์โดยตรงที่สำคัญ กล่าวคือทำให้ บริษัท AWN มีส่วนแบ่งในตลาดของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตประจำที่มากถึงร้อยละ 44.44 ในขณะที่ลำดับที่สองและสาม คือ บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TICC) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 37.47 และ 15.44 ตามลำดับ

 

นอกจากนี้ การควบรวม AWN – 3BB ยังส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องลงทุนโครงข่ายซ้ำซ้อนคิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทในเวลา 5 ปี การที่คณะกรรมการ กสทช. ได้กำหนดมาตรการให้นำเงินที่ประหยัดได้นี้ไปลงทุนสร้างโครงข่ายเพิ่มในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหากพิจารณาอย่างผิวเผินจะเห็นว่าประชาชนได้รับประโยชน์ แต่ทางกลับกันจะทำให้บริษัท AWN ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดทั้งหมด มีโอกาสใช้เงินทุนที่เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นผลพวงจากการได้รับอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ทำลายพื้นที่การแข่งขันของผู้ให้บริการเจ้าอื่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะ NT

 

“จากเอกสารที่ กสทช. ใช้ชี้แจงต่อองค์กรผู้บริโภคจะว่าการควบรวมครั้งนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านราคาโดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนผลกระทบด้านราคาเพิ่มขึ้นหลังจากควบรวม และตัวเลขที่ถูกคาดการณ์มีทั้งที่บอกว่า ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 – 13.4 เปอร์เซนต์ หรือบางงานวิจัยบอกว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 – 45 หรืองานวิจัยของ 101 PUB ที่ระบุว่าจะราคาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 – 22.9  ซึ่ง กสทช.กำลังจะบอกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้สามารถจัดการได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจเลยและไม่เชื่อว่ากสทช. จะทำได้จริง” สารีกล่าว

 

ความล้มเหลวประการที่สาม คือ ความล้มเหลวในการกำกับหรือสั่งการสำนักงาน กสทช. หลักฐานเชิงประจักษ์คือ ถึงแม้กรรมการเสียงข้างมากจะมีมติให้ดำเนินการกับรักษาการเลขาธิการ แต่ก็ไม่มีผลในการใช้บังคับ หรือกรณีการควบรวมทรู – ดีแทคที่สำนักงาน กสทช. ไม่สามารถกำกับดูแลบริษัทให้ทำตามมาตรการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ นำมาสู่คำถามและข้อกังขาว่ากรณีการควบรวม AWN – 3BB กสทช. จะสามารถควบคุมไม่ให้บริษัทขึ้นราคาได้หรือไม่ และเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างภาระให้กับผู้บริโภคในการตรวจสอบ

 

ความล้มเหลวประการสุดท้ายถูกสะท้อนจากการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากปัญหาภายใน ดังนั้น ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน กสทช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะกรรมการ กสทช. ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่กลับไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่น มาตรการหลังการควบรวมทรู – ดีแทคที่กำหนดให้บริษัทต้องลดราคาลงร้อยละ 12 ภายใน 90 วันหลังการควบรวม หรือการกำหนดให้แสดงแหล่งที่มาของเอสเอ็มเอสจะต้องบอกเพื่อลดปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถกำกับให้บริษัทปฏิบัติตามมาตรการหรือเงื่อนไขดังกล่าวได้

นางสาวนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า  ปัจจุบันมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคในเรื่องการควบรวมโดยมีข้อมูลการสำรวจตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบันมีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประมาณ 2,700 คน โดยปัญหาพบปัญหาคุณภาพการใช้บริการลดลง ค่าโปรโมชั่นแพงขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีการเปิดเผยผลสำรวจที่ลงลึกมากขึ้น

 

ด้าน นายฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 PUB กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการควบรวมระหว่างกิจการโทรคมนาคม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการควบรวมระหว่างทรู – ดีแทคซึ่งหลังจากการควบรวมพบว่าตลาดมีความกระจุกตัวสูง ทำให้เหลือผู้แข่งขันหรือผู้ให้บริการหลักเพียง 2 ราย ทั้งนี้ยังพบว่าดัชนีการกระจุกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ในระดับที่ผู้กำกับดูแลโดยทั่วไปของโลกรับไม่ได้ โดยมีการประเมินว่าอาจมีผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยในการกรณีที่มีการแข่งขันตามปกติในตลาดโทรคมนาคมอย่างในปัจจุบัน ค่าบริการอาจจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7 – 10 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีการ “ฮั้วราคา” อาจจะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้นได้ถึงในร้อยละ 20

 

“การฮั้วราคากันซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการฮั้วแบบที่มีลายลักษณ์อักษรแต่มานั่งคุยกันก็ได้ แต่ว่าเมื่อมองตาแล้วรู้ใจว่า ถ้าเราขึ้นราคาแล้วเขาจะขึ้นราคาตามก็มีโอกาสเหมือนกันที่จะทำให้ราคาแพงขึ้นซึ่งอาจจะเป็นค่าบริการเฉลี่ยแพงขึ้น แพ็กเกจต่ำอาจถูกตัดออก หรือในอนาคตแม้ต้นทุนถูกลงแต่ราคาลดลงไม่เท่าก็เป็นไปได้ รวมไปถึงการให้บริการคุณภาพก็อาจจะแย่ลง เราคาดการณ์สิ่งเหล่านี้ไว้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้เราก็เห็นสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างชัดเจน” นายฉัตรกล่าว

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News