Categories
TOP STORIES

รัฐบาลเล็งใช้เวทีแม่โขง-ล้านช้าง ผลักดันกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยย้ำว่า เป็นวาระที่สำคัญ พร้อมได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประสานร่วมกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC ครั้งที่ 9 ด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคมนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเน้นย้ำความมุ่งมั่นใจการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน

ขณะที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปได้ เพราะจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ

ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลของกัมพูชา, สปป.ลาว, จีน และอินเดีย ต่างให้ความสำคัญ และคำมั่นที่จะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลางในลุ่มน้ำโขง จึงพร้อมผลักดันวาระดังกล่าวร่วมกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กำลังจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายมาริษยังขอบคุณฝ่าย สปป.ลาว โดยเฉพาะนายทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้วคนใหม่ ที่ได้ประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกกิจการภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวในทุกระดับ พร้อมมั่นใจว่า ฝ่ายลาว ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาก และยืนยันว่า ทางการไทย ก็พร้อมร่วมมือกับ สปป.ลาวในระดับพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมกำหนดการในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ 9 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคมนี้ ที่โรงแรมแมริออท เชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี จะการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “Towards Safer and Cleaner Mekong Lancang” และจะมีการแถลงข่าวร่วมกัน (Joint Press Conference)

หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 9 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน

สำหรับกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่ริเริ่มโดยประเทศไทย ในปี 2555 เพื่อพัฒนากรอบความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาอาเซียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวสื

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กสทช. ส่งหนังสือตักเตือน 2 บริษัท หลังเชียงรายพบสายเคเบิลข้ามแดน 10.5 กม.

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตากและประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา หรือ TBC ฝ่ายไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการลักลอบวางสายเคเบิลใต้ดินข้ามแดนจากหมู่บ้านสันติสุข ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงรายไปยังเขตอิทธิพลของกองกำลังว้าที่เมืองยอนในฝั่งพม่าว่า ผู้ลักลอบได้มีการตัดสายสัญญาณช่วงที่ต่อจากบ้านของเขา เพื่อไม่ให้สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าใครเป็นคนทำ รวมทั้งชาวบ้านแถวนั้นก็รู้ ส่วนเรื่องการดำเนินคดีนั้นเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่ง กสทช.( คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)บอกว่าในความผิดครั้งแรกเป็นการตักเตือน เพราะกฎหมายกำหนดไว้อย่างนี้ หากผิดครั้งที่ 2 จึงจะเป็นการดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลากสายสัญญาณนับ 10 กม.เป็นเรื่องของความมั่นคงชาติจะไม่เอาผิดกับใครได้เลยหรือ พ.อ.ณฑีกล่าวว่า ได้แจ้ง กสทช. ไปแล้วว่ามีการสืบทางลับ ทราบอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำคือคนในหมู่บ้าน แต่เขาก็รู้ตัวจึงตัดสายของตัวเองออก อย่างไรก็ตามการวางสายข้ามไปฝั่งโน้นระยะทางไกล แม้หลักฐานที่เป็นประจักษ์โดนทำลายไปก่อน แต่ถ้าเอาจริงๆ ก็สืบสาวรู้อยู่แล้ว

“อินเตอร์เน็ตคุณจ่ายรายเดือนเท่าไหร่ ความเร็วเท่าไหร่ รู้หมดนั่นแหละ แต่ต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเขาดำเนินการได้เต็มที่แค่ไหน ถ้าไม่เต็มที่ก็ตอบว่าพยานหลักฐานไม่ได้ออกจากบ้านเขา กำปั้นทุบดินก็จบไป หน่วยปฏิบัติก็ได้แต่ทำงานไป แต่จับไม่ได้ รอเวลาว่าเมื่อไหรเจ้าหน้าที่เผลอ เขาก็ทำอีก” ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กล่าว

ประธาน TBC ฝ่ายไทย กล่าวว่า การวางสายเคเบิลนั้นเป็นสัญญาณคงที่กว่าการใช้จานรับส่งสัญญาณ แต่จานได้รับความนิยมมากกว่าโดยเป็นจานกลมๆ เป็นตัวขยายสัญญาณ  ซึ่งจะติดตั้งในบ้านได้เลยแล้วหันสัญญาณส่งออกไป ทั้งนี้การส่งสัญญาณมีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ 1.การใช้แผงของบริษัทโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นทรู เอไอเอส ดีแทค โดยในส่วนนี้เราส่งข้อมูลให้ กสทช.ช่วยตรวจสอบและให้หันแผงกลับมาเข้าฝั่งประเทศไทย พร้อมทั้งมีตรวจสอบสัญญาณตามแนวชายแดนว่ามีการส่งสัญญาณออกไปถึงมากน้อยแค่ไหน และตรวจวัดระดับสัญญาณ ซึ่ง กสทช.แจ้งว่าดำเนินการเรียบร้อยแล้วขณะนี้ระดับสัญญาณอ่อนลงและบางจุดไม่สามารถใช้การได้ 2. วิธีลากสายเคเบิลออกไป และ 3. ใช้ตัวขยายสัญญาณ ซึ่งเหมือนจานดาวเทียมโทรทัศน์ โดยแต่ละบ้าน สามารถติดตั้งไว้ภายในแล้วเปิดหน้าต่าง เปิดประตู หันจานออกไปเพื่อส่งสัญญาณขยายไปยังที่ที่ต้องการ ลักษณะเดียวกันกับแผงสัญญาณของบริษัทใหญ่

“นิยมใช้ตัวขยายสัญญาณกัน เพราะเอื้อประโยชน์มากที่สุด แค่ติดตั้งภายในบ้าน พอเจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาก็หันจานกลับและบอกว่าไม่ได้ส่ง เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปก็หันจานส่งไปที่เดิม เราพบวิธีการแบบนี้มากตามบ้านเรือนที่อยู่แนวชายแดน  หรือแนวตามลำน้ำโขง วิธีการแบบนี้ทำให้ตรวจสอบหลักฐานได้ยากเพราะไม่มีสายลากไป เพียงใช้จานขนาดเล็กแค่เมตรกว่าๆ ซึ่งง่ายที่สุด ใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตบ้านที่จะเพิ่มเมกให้แรงๆ แล้วส่งไป”พ.อ.ณฑี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะแก้ปัญหาลักลอบในรูปแบบที่ 3 นี้อย่างไร บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องไปเข้าตรวจ หากเจอก็ถ่ายรูปและดำเนินการทันทีแม้เป็นเรื่องยาก ตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติของผู้กระทำความผิดซึ่งต้องหลบเลี่ยงอยู่ตลอด แตกต่างจากแผงสัญญาณของโทรศัพท์ใหญ่ที่มองเห็นทำให้ทำได้ยาก สาเหตุที่บริษัทใหญ่ทำก็เพราะได้รายได้  แต่สำหรับจานขยายสัญญาณนั้นเล็กจึงทำให้ตรวจสอบยาก

“เขาลักลอบส่งสัญญาณไปได้ไกลเพราะมีตัวขยายไปอีกเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ายิงสัญญาณข้ามไป 50-60 กม. ไม่ใช่แบบนั้น แต่จานขยายสัญญาณไปได้  4 กม. แล้วก็มีจานฝั่งโน้นขยายอีก ส่งต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทเจ้ายของสัญญาก็ไม่รู้ ตรวจไม่ได้ ถ้าเราจะแก้ปัญหานี้ ต้องให้คนในชุมชนช่วยกัน เพราะผู้ใหญ่บ้านต้องทราบอยู่แล้ว กระทรวงมหาดไทยต้องช่วย อสม.ประจำหมู่บ้านต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา”พ.อ.ณฑี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการลากสายเคเบิลจากหมู่บ้านสันติสุขไปฝั่งเพื่อนบ้านมีวัตถุประสงค์อะไร ประธาน TBC ฝ่ายไทย กล่าวว่าเป็นการเอื้ออำนวยฐานปฏิบัติการของชนกลุ่มน้อยเพื่อนำไปใช้ส่งข่าว วิทยุและภาพต่างๆและรายงานข่าวสารให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งสายเคเบิลที่วางแม้มีความยาวนับ 10 กม. แต่จะมีตัวขยายสัญญาณเป็นระยะๆเหมือนกล่องปลั๊กไฟซึ่งเราได้ขุดเจอ

ด้านนายสุธีระ พึ่งธรรม ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช.กล่าวว่า บริษัทต่างชาติที่เป็นบริษัทเพื่อนบ้านในภูมิภาค แต่ไม่ใช่บริษัทในประเทศเมียนมา ได้มาเช่าอินเตอร์เนตลีสไลน์(สายอินเทอร์เน็ตแบบเช่าใช้) ดรอปไว้ และแอบลักลอบลากสายกว่า 10.5 กม.ข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา ดังที่ปรากฏเป็นข่าว โดยบริษัทต่างชาติได้ขอให้โอเปอร์เรเตอร์มาวางไว้  2 จุด โดยจุดที่หน้าแปลงสวนเกษตร กับอีกจุดหนึ่งที่ท่าสุเทพ

 

“กสทช.ได้เรียกโอเปอร์เรเตอร์บริษัทผู้ให้บริการ 2 รายมาสอบแล้ว ว่าเอาไปลงตรงนั้นได้อย่างไร ทางบริษัทได้ไปดูหรือไม่ว่าลูกค้าบริษัทต่างชาตินำไปใช้อะไร เขาบอกว่าเขาไม่ได้ไปดูเลย เขามีหน้าที่แค่ว่าผู้ซื้อบอกดรอปตรงนี้ก็ไปดรอป ผมบอกว่าไม่ได้ละ ผมขอใช้คำว่า สักแต่ว่าขายของ ขายของแบบเอาไปดรอปไว้ตรงแนวชายแดน คุณก็รู้อยู่ว่าวันนี้มันมีประเด็นเรื่องนี้อยู่ค่อนข้างรุนแรง คุณไม่รู้หรือว่าเป็นความเสี่ยง จากการตรงสอบพบว่าบริษัทต่างชาติที่ขอให้ติดตั้งไม่มีบริษัทอยู่ที่เมืองไทย ถ้ามีออฟฟิศอยู่จุดที่ดรอปเป็นสาขา อันนี้เราไม่ว่า แต่นี่มาดรอปหน้าแปลงสวนป้าคนนั้น แล้วออฟฟิศเขาอยู่ไหน บริษัทก็ไม่ได้สนใจ ผมจึงขอดูการดรอปสายทั้งหมดเลย เพราะไม่ไว้ใจโอเปอร์เรเตอร์แล้ว มันทำให้สถิติการร้องเรียนภัยไซเบอร์ไม่ลดลง มันยังสายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเราตามอยู่” ผ.อ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมกล่าว

นายสุธีระกล่าววว่า ทาง กสทช. ได้มีหนังสือตักเตือน โดยทางกฎหมายปกครอง ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ของ กสทช. เราต้องตักเตือน2 บริษัทนี้ให้แก้ไขก่อนว่าห้ามมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีก ถ้ามีกรณีแบบนี้อีกจะมีโทษปรับตามกฎหมายปกครอง เป็นมาตรการปกครอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หันจานขยายสัญญาณออกนอกประเทศแต่เมื่อเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบก็หันกลับมาในประเทศ ทาง กสทช.แก้ไขปัญหาอย่างไร นายสุธีระ กล่าวว่า กสทช. จะมีการส่งรถตรวจสอบสัญญาณไปในพื้นที่ทุกสัปดาห์ หากมีสัญญาณเพิ่มขึ้นมาจากจุดที่เราเคยวัดระดับไว้ ก็จะค้นหาทันทีว่าเพราะอะไร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ครึ่งปีแรกทำ ‘อุตสาหกรรมสื่อ’ ลำบาก 6 องค์กรวิชาชีพ เร่งหาช่องทางบรรเทา

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 นางสาว น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์กรวิชาชีพสื่อ 6 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และ สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทยได้ประชุมหารือติดตามสถานการณ์สื่อในปัจจุบัน

ที่ประชุม 6 องค์กรวิชาชีพสื่อ ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากพบว่า อุตสาหกรรมสื่อช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในภาวะยากลำบากจากปัญหาเศรษฐกิจ การปรับตัวของสื่อโทรทัศน์ดิจิทัลที่ใบอนุญาตจะหมดอายุทำให้องค์กรสื่อหลายแห่งมีการปรับโครงสร้าง ลดขนาดองค์กรเพื่อลดค่าใช้จ่าย เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อการเลิกจ้างพนักงาน การลดค่าใช้จ่าย ลดเงินเดือน ตลอดจนสวัสดิการพนักงาน และมองว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่องค์กรสื่อยังต้องเผชิญความท้าทายและผลกระทบหนักหน่วงต่อไปอีก

ทั้งนี้ สื่อมวลชนมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และ ตรวจสอบนโยบายสาธารณะ หากสื่อมวลชนได้รับผลกระทบก็จะมีผลต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน

องค์กรวิชาชีพสื่อเห็นว่า ในสถานการณ์ยากลำบากเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและลูกจ้างพนักงานสื่อโดยตรง จึงอยากขอให้ผู้ประกอบการใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อประคับประคอง หลีกเลี่ยง การใช้มาตรการที่ส่งผลต่อการจ้างงานของลูกจ้าง พนักงานสื่อ อย่างไรก็ตาม หากมีเหตุการณ์สุดวิสัยขอให้ผู้ประกอบการสื่อยึดมั่นดำเนินการตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด

นางสาว น.รินี  กล่าวว่า  6 องค์กรวิชาชีพสื่อ ขอเป็นกำลังใจเพื่อนพี่น้องสื่อมวลชนในการฝ่าฟันอุปสรรคในวิกฤตครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ได้หาช่องทางช่วยเหลืออื่น เช่น การเตรียมจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะอาชีพเสริมต่างๆ  ตลอดจนทักษะใหม่ที่จำเป็นของคนข่าวในยุคดิจิทัล เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมสื่อ และเปิดช่องทางให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน จัดหาทนายความมาให้คำปรึกษากรณีสื่อมวลชนรายใดถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือถูกลิดรอนสิทธิในการจ้างงานเพื่อเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายและการเตรียมจัดทำฐานข้อมูลให้ผู้สื่อข่าวที่ถูกเลิกจ้างมาลงชื่อเป็นช่องทางให้หน่วยงานที่ต้องการจ้างงานมาติดต่อในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ ติดเมืองรองยอดฮิต นักท่องเที่ยวสูงก่อนโควิดบวก 130%

 

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 67 ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มพื้นตัวต่อเนื่อง มีโอกาสแตะ 40 ล้านคน เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หนุนให้รายได้ภาคท่องเที่ยวไทยแตะ 3 ล้านล้านบาท ในปี 2568 เปิด 6 เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวศักยภาพ มีการใช้จ่ายสูง ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 1.35 แสนล้านบาท แนะผู้ประกอบการปรับรูปแบบบริการ สร้างโอกาสการเติบโตจากเทรนด์ท่องเที่ยวยุคใหม่

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน โดยคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ 36.5 ล้านคน และในปี 2568 มีโอกาสเข้าสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิดที่ 40 ล้านคน แม้นักท่องเที่ยวจีนจะพื้นตัวได้ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดที่ระดับ 65%-90% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักอย่างมาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป และตะวันออกกลาง ส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวในปี 2567-2568 มีมูลค่าราว 2.65-3 ล้านล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรกฟื้นตัว 88% เทียบกับก่อนโควิด อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยภูมิภาค แต่ยังต่ำกว่าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ส่วน Top5 นักท่องเที่ยวต่างชาติครึ่งปีแรก ได้แก่ จีน 3.44 ล้านคน ฟื้นตัว 61% เทียบกับปี 62, มาเลเซีย 2.44 ล้านคน ฟื้นตัว 126%, อินเดีย 1.04 ล้านคน ฟื้นตัว 106%, เกาหลี 930,000 คน ฟื้นตัว 103% และรัสเซีย 920,000 คน ฟื้นตัว 112%…..นายพชรพจน์กล่าว

ภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรก 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 45,568 บาท/คน/ทริป ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2562) อยู่เล็กน้อยราว 4.9% แต่สูงกว่าปี 2566 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 43,743 บาท/คน/ทริป ซึ่งต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 8.7%

Top 10 จังหวัดที่ต่างชาตินิยมเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุด คือ กรุงเทพ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ กระบี่ พังงา อยุธยา และหนองคาย

โดยนักท่องเที่ยวใช้จ่ายไปกับค่าที่พักเพิ่มขึ้น 15% และค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 5.3% สวนทางกับค่าช้อปปิ้งที่ลดลง สะท้อนให้เห็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยไทยสูงกว่าช่วงก่อนโควิด แต่การใช้จ่ายยังไม่ฟื้นตัว เฉลี่ยอยู่ที่ 3,503-4,708 บาท/คน/ทริป สะท้อนกำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตามการกระจายรายได้สู่จังหวัดเมืองรองเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีสัดส่วนราว 13.4% ของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด ที่มีสัดส่วนเพียง 9.2%

โดยเมืองรองยอดฮิต 5 อันดับแรก คือ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม เชียงราย จันทบุรี และอุดรธานี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัวได้สูงกว่าช่วงก่อนโควิด ที่ระดับ 130%-343% สะท้อนให้เห็นว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีความสนใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองรองมากขึ้น

นายธนา ตุลยกิจวัตร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนโควิด ที่เน้นท่องเที่ยวแบบ Mass Tourism ไปสู่การท่องเที่ยวแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ผนวกรวมกับนโยบายด้าน Soft Power ที่ภาครัฐพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านอาหารไทย และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เกิดเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคการท่องเที่ยวไทยได้กว่า 1.35 แสนล้านบาท ประกอบด้วย

1.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) โดยเฉพาะ Street Food ที่ได้รับความนิยมจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 18.1% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด

2.การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) เช่น เทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานกว่า 7.8 แสนคน สร้างรายได้มากถึง 2,880 ล้านบาท

3.การท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือมิวสิกวิดีโอ (Film Tourism) ล่าสุดหลังจากที่มีการปล่อย MV เพลง “ROCKSTAR” ของ Lisa มีนักท่องเที่ยวตามไปถ่ายรูปเช็กอินที่ถนนเยาวราชจำนวนมาก รวมถึงละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่ทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำต่าง ๆ เช่น วัดไชยวัฒนาราม เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว

4.การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ซึ่งจากผลสำรวจโดย Booking.com พบว่า 3 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวแบบอย่างยั่งยืนในอีก 12 เดือนข้างหน้า

5.กลุ่ม Digial Nomad Tourism เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่เติบโตขึ้นตามกระแส “Workcation” รูปแบบการทำงานในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปเกือบเท่าตัว ซึ่งกรุงเทพติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digial Nomad Tourism อันดับที่ 3 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย

6.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับจำนวนผู้สูงอายุ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกที่หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีโจทย์ท้าทายคือนักท่องเที่ยวจีนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า จากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงต้องจับตาประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวในไทย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ชาวจีนยังมีความกังวลค่อนข้างมาก โดยความเชื่อมั่นต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

ผลสำรวจความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวต่างประเทศชองชาวจีน พบว่า 24% บอกว่าเที่ยวไทยปลอดภัย 39% บอกว่าไม่แน่ใจ และ 38% บอกว่าไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยท้าทายจากต้นทุนภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง…..นายธนากล่าว

ด้านนางสาววีระยา ทองเสือ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เสริมว่า ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจากเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่ ดังนี้

1.ปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความ ต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ธุรกิจโรงแรมปรับปรุงที่พักให้สอดรับมาตรฐาน Green Hotel หรือเข้าร่วมโครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสายรักษ์ธรรมชาติ

2.นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร อาจนำหุ่นยนต์อัตโนมัติเข้ามาช่วยเสิร์ฟอาหาร เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน นอกจากนี้เสนอให้ภาครัฐพิจารณาแนวนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นไปที่

 

  • เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูง โดยอาจเพิ่มทางเลือกในส่วนของประกันสุขภาพให้กับกลุ่ม Digital Nomad ที่มาขอ Destination Thailand Visa Revealed (DTV)
  • ผลักดันให้เกิดกระแสการเดินทางเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเมืองรอง โดยเชื่อมโยงกับกลุ่ม Welness Tourism ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัยที่สามารถท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้
  • เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ รวมถึงสร้างระบบด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวไทยมากขึ้น

ภาคธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ได้แก่

1.ธุรกิจโรงแรม เป็นธุรกิจแรก ๆ ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต โดยโรงแรมระดับ 4-5 ดาวมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าโรงแรมทั่วไป และมีอัตราการเข้าพักแรมเฉลี่ยกลับสู่ระดับเดียวกับช่วง Pre-Covid แล้ว

2.ธุรกิจสายการบิน โดย AOT ประเมินว่าในปี 2572 จะมีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 170 ล้านคน และในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2577 จำนวนผู้โดยสารอาจแตะระดับ 210 ล้านคน ส่งผลให้ธุรกิจสายการบินยังมี้แนวโน้มที่จะขยายตัวได้อีกมาก

3.ธุรกิจร้านอาหาร อาหารกลุ่ม Street Food, Local Food, Fine Dining Thai Cuisine รวมถึงร้านอาหารประเภท Cafe ยังคงได้รับความนิยมุจากนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามคาดการณ์ของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่ประเมินว่าตลาดบริการอาหารของไทยในปี 2566-2571 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.72%

4.ธุรกิจค้าปลีก ได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนกว่า 18.4% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยสินค้ายอดนิยม 3 อันดับแรกที่นักท่องเที่ยวซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก ได้แก่ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์อาหารไทย และของที่ระลึกตามลำดับ มีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 2,621-5,331 บาท/คน/ทริป

5.ธุรกิจ Healthcare เป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแนวโน้มการเติบโตของ Wellness Tourism สะท้อนจากสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ และรายได้ในธุรกิจ Wellness ของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS คาดการณ์ GDP ปีนี้จะเติบโตที่ 2.3% โดยยังไม่รวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างดิจิทัลวอลเล็ต โดยมีปัจจัยหลักการการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่วนภาคการส่งออกยังท้าทาย จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันทางการค้าและกำแพงภาษี โดบคาดว่าส่งออกปีนี้จะเติบโตที่ 0.5-1%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Krungthai COMPASS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกตำรวจ ตามยึด SIMBOX กล่องกระจายสัญญาน

 

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่ จ.เชียงใหม่ ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา นายหลิน ชุน หง (Mr.LIN CHUN HUNG) สัญชาติไต้หวัน และ นายโสภณ สงวนนามสกุล อายุ 28 ปี ชาว ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พร้อมของกลาง เครื่องกระจายสัญญาณโทรศัพท์ หรือ Simbox จำนวน  6เครื่อง เร้าเตอร์ wifi แบบใส่ซิมการ์ด 6 เครื่อง กล้องวงจรปิด 7 ตัว โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง  

พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5  เปิดเผยว่า ตนได้ไปกู้เงินสหกรณ์ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวนหนึ่งเพื่อที่จะนำเงินไปซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่หลังจากที่เรื่องอนุมัติและมีเงินโอนเข้าบัญชีของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบัญชีของตนเอง พอวันรุ่งขึ้น ก็มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เบอร์ลงท้ายด้วยเลข 4986 โทรเข้ามา ทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ที่รู้ว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีจำนวนหนึ่ง ได้แจ้งว่า บัญชีมีความผิดปกติมีเงินเข้าจำนวนมาก จึงให้ตนนั้นดำเนินการตามขั้นตอนและกรอกข้อมูลส่วนตัวลงไป  

ตนจึงเกิดคำถามว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เหล่านี้ จะรู้เรื่อง เงินเข้าออกบัญชีส่วนตัวเราได้อย่างไร ซึ่งจากพฤติกรรมดังกล่าวเชื่อได้ว่า เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรมาหลอกลวง จึงมีการสั่งการให้ นำหมายเลขโทรศัพท์ ที่โทรเข้ามา ไปตรวจสอบด้วยเครื่องพิเศษในการติดตาม และเช็กสัญญานชัดเจนว่า มีการออนระบบในพื้นที่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จึง ได้ทำการสืบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดเชียงรายที่ ค.206/2567  เพื่อขอหมายค้น 

โดยได้ตรวจค้น อาคาร G ห้องG03 โดยได้ตรวจพบ กล้อง ip camera ยี่ห้อ tp-link model: tapo C200 จำนวน 1 เครื่อง  เครื่องกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ต ยี่ห้อ tp-link model:Archer MR600 จำนวน 1 เครื่อง  และสามารถจับกุม นายโสภณ  และ นายหลิน ชุน หง ได้

สอบสวนทราบว่า นายหลิน ชุน หง ได้นำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาติดตั้ง เพื่อกระจายสัญญาณโทรศัพท์ โดยเป็นการสุ่มหมายเลขออกไปเพื่อให้ปลายทาง ที่รับสายไม่สามารถระบุได้ว่าปลายทางของสายเป็นใคร และมาจากประเทศอะไร โดยได้จ้างวานนายโสภณ ให้เป็นล่ามในการช่วยประสานงานการทำงานวันละ 1,000 บาท  ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลบเลี่ยงการตรวจจับสัญญานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะได้ขยายผลหากลุ่มผู้ร่วมขบวนการต่อไป 

สำหรับการตรวจยึด Sim Box หรือเครื่องกระจายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งโดยทั่วไปไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปติดตั้ง ใช้ส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ซึ่งขณะตรวจค้นพบว่า มีการติดตั้งและเปิดทำงานอยู่ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการขอหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองตาม จ.289/67 และ จ.290/67 ของศาลจังหวัดเชียงราย และได้ดำเนินการจับกุมตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ ดำเนินการตามกฎหมายในข้อหา ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

พบสายส่ง ถูกฝังดินชายแดนเชียงราย ใกล้เขตว้า 11.5 กิโล จุดเริ่มต้นจากไทย

 

เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2567 ความคืบหน้ากรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.) ตร.มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศปอส.ตร.ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมาย สำนักงาน กสทช.และตำรวจ ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.มานพ เสนากุล ผบก.ภ.จว.เชียงราย ทหารกองกำลังผาเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบการส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงพื้นที่ชายแดน จ.เชียงราย เพื่อป้องกันการลักลอบส่งสัญญาณไปให้กับขบวนการหลอกลวงหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น

ล่าสุดนอกจากจะพบการส่งสัญญาณไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้ามแม่น้ำโขงกับ อ.เชียงแสน แล้ว พบว่าทางเจ้าหน้าที่ทหารพรานกองกำลังผาเมือง ได้ตรวจพบชุดสายส่งสัญญาณที่ฝังดินบริเวณชายแดนด้าน อ.แม่จัน ติดกับประเทศเมียนมา และใกล้กับเขตปกครองพิเศษที่ 2 (สหรัฐว้า) ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของว้าแดงที่มีการสร้างเมืองต่างๆ ในเขตของตัวเองอย่างใหญ่โต โดยมีเครื่องส่งสัญญาณเพียงชุดเดียว แต่มีสายส่งที่ยาวรวมกันกว่า 11.5 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นมีในฝังไทยแต่ได้ข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและ กสทช.จะได้นำไปชยายผลว่าเครื่องและสายส่งสัญญาณดังกล่าว มีผู้ขออนุญาตใช้เป็นใครเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.ธัชชัย ได้แถลงข่าวหลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน จ.เชียงราย เพื่อร่วมป้องกันการลักลอบส่งสัญญาณไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยผิดกฎหมายว่า ปฏิบัติการทั้งหมดเรียกว่าปฏิบัติการ “ระเบิดสะพานโจร” โดยเป็นตัดสัญญาณไม่ให้นำไปใช้โดยผิดกฎหมายโดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้วางมาตรการ 4 ข้อ คือ 
 
1.เริ่มทำการตัดสัญญาณข้ามประเทศทุกชนิด โดย กสทช. จะร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดำเนินการ
2.ทาง ตำรวจจะตรวจสอบในระบบแจ้งความว่ามีการแจ้งความว่าถูกหลอกลวงมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านจุดใด
3.จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและระหว่างตำรวจ และ กสทช.ว่ามีการใช้สัญญาณข้ามประเทศอย่างไร ทั้งระบบ ซิม สาย เสา หากมีการทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการทันที และ
4.จะมีการเข้มงวดของตรวจคนเข้าเมืองเพื่อป้องกันการเข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
 
ทางด้าน พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้นทราบกันดีว่าอยู่ในต่างประเทศ ทำให้ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีกับผู้ลักลอบติดตั้งเสาและสายส่งสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดนเพื่อส่งไปให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว 33 ราย ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ระงับการส่งสัญญาณโทรคมนาคม และถอดสายสัญญาณและอุปกรณ์ (ล้มเสา) จำนวน 179 จุด ใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด.
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ครู-ผู้บริหาร ร้องศูนย์ดำรงธรรม ขอย้ายผู้บริหารออกจากตำแหน่ง

 

เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 67 ที่ผ่านมศูนย์ดำรงค์ธรรม จ.เชียงราย นายสุรพงค์ สันติพงค์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนากิจการนักเรียนนักศึกษา วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารอีกหลายคนได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย เพื่อขอให้พิจารณาย้าย ดร.ศรากร บุญปถัมภ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ออกไปอย่างเร่งด่วน โดยนายสุรพงศ์ และคณะได้ยื่นหนังสือมีเนื้อหาว่าผู้อำนวยการได้ย้ายมาจาก จ.สุพรรณบุรี ไปอยู่ที่ จ.เชียงราย เมื่อเดือน ต.ค. 2565 หรือได้ 1 ปีกว่าแล้ว แต่เพราะเป็นผู้บริหารมือใหม่ที่ไม่มีฝีมือในการบริหารและทำงานล่าช้า


       หนังสือยังระบุอีกว่า ผู้อำนวยการทำงานไม่ตอบสนองนโยบายของวิทยาลัย เช่น ไม่อนุมัติเงินเพื่อทำกิจกรรมของชมรมวิชาชีพต่างๆ ไม่ส่งเสริมการทำกิจกรรม ฯลฯ ทั้งๆ ที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้ทำกิจกรรมจึงทำให้การเด็ดขาดการพัฒนาไม่ตอบสนองการพัฒนาทักษะวิชาชีพแต่กลับเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองและนักเรียนด้วยการเก็บเงินคนละ 500 บาท ได้ภาคเรียน 1 ล้านกว่าบาท เพื่อจ้างคนต่างชาติเพียง 1 คน และนักเรียนไม่ได้เรียนกับครูต่างชาติทุกคนทำให้เสียโอกาส ไม่ลงนามอนุญาตให้ดำเนินโครงการของนักเรียน นักศึกษาองค์การวิชาชีพในอนาคตแห่งประเทศไทย (อวท.) และชมรมต่างๆ โดยอ้างว่าเอกสารไม่ถูกต้องและไม่ชัดเจน ไม่มีการแก้ปัญหาที่จอดรถของนักเรียน อนุมัติการใช้รถราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตน เช่น ให้รถไปราชการที่ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อรับส่งบุคคลภายนอก ฯลฯ การเดินทางไปราชการกลับไม่สนับสนุนเท่าที่ควร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อร้องเรียนต่างๆ อีกมากมาย


      ท้ายหนังสือแจ้งว่าคณะผู้บริหาร คณะครูและบุคลากรรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นข่าวจนสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ก็ทนเห็นพฤติกรรมในการบริหารเช่นนี้ไม่ได้ โดยได้พากันอดทนมานาน 1 ปีกว่าแล้ว จึงขอทางผู้บริหารจังหวัดได้เร่งพิจารณาเพื่อให้เกิดการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป เพราะผู้อำนวยการจะต้องเป็นผู้สนับสนุนไม่ใช่ถ่วงเวลาในการพัฒนา ฯลฯ ลงนามโดยนายสุรพงค์ สันติพงค์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนากิจการนักเรียนนักศึกษา วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ซึ่งทางศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย โดยนายลิขิต มีเสรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย ได้รับเรื่องไว้เพื่อพิจารณา ต่อไป


       ด้าน นายสุรพงศ์ กล่าวว่า คณะครูและนักเรียนนักศึกษา ไม่ได้รับการอนุเคราะห์จากผู้อำนวยการเลยทำให้ตนเป็นตัวแทนของผู้บริหารเข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย เพื่อแสดงจุดยืน เพราะที่ผ่านมาเกิดปัญหาเกือบทุกๆ เรื่อง ที่คณะครูอาจารย์แจ้งถึงตนว่าไม่ได้รับการสนับสนุน จึงหวังว่าศูนย์ดำรงค์ธรรมจังหวัดเชียงรายจะช่วยพิจารณาให้ย้ายผู้อำนวยการคนนี้ออกไปอยู่ที่อื่นเสียเพื่อจะได้กลับมาพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป โดยคนใหม่ที่จะเข้ามาขอให้เป็นคนดี เห็นอกเห็นใจและให้เกียรติครูอาจารย์ ไม่ลุแก่อำนาจ เห็นใจนักเรียนนักศึกษา และมีความโปร่งใส ซึ่งก่อนหน้านี้วงการการศึกษาโดยเฉพาะสังกัดกรมอาชีวศึกษาใน จ.เชียงราย ไม่เคยเกิดปัญหาการร้องเรียนถึงขั้นที่ผู้บริหารหรือคณะครูออกมาเรียกร้องให้ย้ายผู้บริหารระดับสูงออกจากตำแหน่งเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะวิทยาลัยเทคนิคเชียงรายถือเป็นองค์กรการศึกษาที่อยู่คู่กับ จ.เชียงราย และมีประวัติความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับชาวเชียงรายมาช้านาน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เช็ก 93 ประเทศ “ฟรีวีซ่า” อยู่ไทยได้ไม่เกิน 60 วัน ทั้งหมดที่นี่

 

เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทย กำหนดรายชื่อประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ทำงาน หรือการติดต่อธุรกิจระยะสั้น ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ

โดยประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้การส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ของนักธุรกิจและภาคการท่องเที่ยวถดถอย

เมื่อภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการค้าการลงทุน เป็นกลไกหนึ่งที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของไทย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และส่งเสริมให้นักธุรกิจจากต่างประเทศซี่งมีศักยภาพด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยสูง ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้นในการเดินทางเข้าราชอาณาจักรเพื่อการท่องเที่ยว ทำงาน หรือการติดต่อธุรกิจระยะสั้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 87/25657 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป

ข้อ 2 ให้กำหนดรายชื่อประเทศและดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทน หนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินหกสิบวัน ดังนี้

 

  1. สาธารณรัฐแอลเบเนีย
  2. ราชรัฐอันดอรร์รา
  3. เครือรัฐออสเตรเลีย
  4. สาธารณรัฐออสเตรีย
  5. ราชอาณาจักรบาห์เรน
  6. ราชอาณาจักรเบลเยียม
  7. ราชอาณาจักรภูฏาน
  8. สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล
  9. บรูไนดารุสซาลาม
  10. สาธารณรัฐบัลแกเรีย
  11. ราชอาณาจักรกัมพูชา
  12. แคนาดา
  13. สาธารณรัฐประชาชนจีน (รวมทั้งฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน)
  14. สาธารณรัฐโคลอมเบีย
  15. สาธารณรัฐโครเอเชีย
  16. สาธารณรัฐคิวบา
  17. สาธารณรัฐไชปรัส
  18. สาธารณรัฐเช็ก
  19. ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
  20. เครือรัฐดอมินีกา
  21. สาธารณรัฐโดมินิกัน
  22. สาธารณรัฐเอกวาดอร์
  23. สาธารณรัฐเอสโตเนีย
  24. สาธารณรัฐฟีจี
  25. สาธารณรัฐฟินแลนด์
  26. สาธารณรัฐฝรั่งเศส
  27. จอร์เจีย
  28. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
  29. สาธารณรัฐกัวเตมาลา
  30. สาธารณรัฐเฮลเลนิก
  31. ฮังการี
  32. สาธารณรัฐไอซ์แลนด์
  33. สาธารณรัฐอินเดีย
  34. สาธารณรัฐอินโดนีเชีย
  35. ไอร์แลนด์
  36. รัฐอิสราเอล
  37. สาธารณรัฐอิตาลี
  38. จาเมกา
  39. ญี่ปุ่น
  40. ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
  41. สาธารณรัฐคาซัคสถาน
  42. สาธารณรัฐเกาหลี
  43. สาธารณรัฐคอซอวอ
  44. รัฐคูเวต
  45. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
  46. สาธารณรัฐสัตเวีย
  47. ราชรัฐลิกเตนสไตน์
  48. สาธารณรัฐลิทัวเนีย
  49. ราชรัฐลักเชมเบิร์ก
  50. มาเลเซีย
  51. สาธารณรัฐมัลดีฟส์
  52. สาธารณรัฐมอลตา
  53. สาธารณรัฐมอริเชียส
  54. สหรัฐเม็กซิโก
  55. ราชรัฐโมนาโก
  56. มองโกเลีย
  57. ราชอาณาจักรโมร็อกโก
  58. ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
  59. นิวซีแลนด์
  60. ราชอาณาจักรนอร์เวย์
  61. รัฐสุลต่านโอมาน
  62. สาธารณรัฐปานามา
  63. รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี
  64. สาธารณรัฐเปรู
  65. สาธารณรัฐฟิลิปปีนส์
  66. สาธารณรัฐโปแลนด์
  67. สาธารณรัฐโปรตุเกส
  68. รัฐกาตาร์
  69. โรมาเนีย
  70. สหพันธรัฐรัสเซีย
  71. สาธารณรัฐซานมารีโน
  72. ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
  73. สาธารณรัฐสิงคโปร์
  74. สาธารณรัฐสโลวัก
  75. สาธารณรัฐสโลวีเนีย
  76. สาธารณรัฐแอฟริกาใต้
  77. ราชอาณาจักรสเปน
  78. สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
  79. ราชอาณาจักรสวีเดน
  80. สมาพันธรัฐสวิส
  81. ราชอาณาจักรตองกา
  82. สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก
  83. สาธารณรัฐตุรกี
  84. ยูเครน
  85. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  86. สหราชอาณาจักร
  87. สหรัฐอเมริกา
  88. สาธารณรัฐโอเรียนทัลอุรุกวัย
  89. สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน
  90. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

ข้อ 3 ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติตามที่กำหนดไว้ในข้อ 2 ซึ่งจะเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เพื่อทำงานหรือติดต่อธุรกิจระยะสั้นตามที่กำหนดไว้ในประกาศกรมการจัดหางานว่าด้วยการกำหนดงานอันมีลักษณะจำเป็นหรือเร่งด่วนหรืองานเฉพาะกิจให้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน

ข้อ 4 ในกรณีที่คนต่างด้าวประสงค์จะขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปภายหลังจากที่ครบกำหนดเวลาอนุญาตตามประกาศนี้แล้ว ก่อนครบกำหนดเวลาอนุญาต ให้คนต่างด้าวดำเนินการยื่นขอขยายระยะเวลาอนุญาตตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนด และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองประทับตราขยายระยะเวลาอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรต่อไปได้อีกไม่เกิน 30 วัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คาด ร่างพ.ร.บ.ชาติพันธุ์ จบเดือนนี้ ใช้เวลาพิสูจน์สัญชาติ 180 วัน เหลือ 5 วัน

 

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 67  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวจิราพร  สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  พร้อมคณะ และน.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย ลงพื้นที่ บ้านโป่งป่าแขม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยทันทีที่มาถึงตัวแทนชนเผ่าได้มอบเสื้อชนเผ่าอิ้วเมี่ยน หรือ เย้า ให้กับนายกฯ ซึ่งนายกฯได้สวมเสื้อดังกล่าวทันที จากนั้น ผู้นำชุมชนได้ต้อนรับตามประเพณีของชนเผ่า พร้อมเชิญนายกฯ และคณะ เข้าบ้านเพื่อจิบชาต้อนรับตามประเพณี ซึ่งอาหารที่ต้อนรับประกอบด้วยข้าวปุกงาหรือโมจิดอยซึ่งถือเป็นขนมจากสวรรค์ โดยผู้นำชุมชนหรือพ่อหลวง กล่าวว่า เป็นเกียรติซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่มา 70 ปี เพิ่งมีผู้นำมาเยี่ยมถึงหมู่บ้าน และขออวยพรให้เป็นนายกฯไปนานๆ อยู่กับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ไปนานๆ และขอให้เดินทางปลอดภัยมีสวัสดิภาพ ขณะที่นายกฯ ระบุว่า เป็นเกียรติที่ได้รับการต้อนรับ โดยบอกว่ามาในฐานะคนไทยไม่ได้มาในฐานะนายกฯ หรือคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้พร้อมรับฟังปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไข 

 

     จากนั้น นายกฯ ได้พบปะแลกเปลี่ยนปัญหาในพื้นที่ โดย ผู้นำชุมชนได้สะท้อนถึงปัญหาว่าชนเผ่าชาติพันธุ์ในพื้นที่ 77,729 ราย มี 19,432 ราย ไม่มีสัญชาติทำให้ถูกจำกัดสิทธิ์ ขณะที่เรื่องของสาธารณูปโภคพบว่าบางหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ส่วนระบบสาธารณสุข ในส่วนของโรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง อยากให้มีการเพิ่มบุคลากรโรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง เพราะไม่เพียงพอต่อการบริการประชาชน 

 

ด้าน นายกรัฐมนตรี กล่าวกับชาวบ้านว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือน ซึ่งได้การต้อนรับที่อบอุ่นได้เข้าบ้านของผู้นำชุมชน ประเพณีไทยถือว่าการต้อนรับให้เข้ามาอยู่ในบ้านถือเป็นเกียรติสูงสุด และถือว่าเราเป็นพวกเดียวกัน สำหรับปัญหาหลักเรื่องความไม่เสมอภาคเท่าเทียมที่พี่น้องชาติพันธุ์ถูกดูแลอย่างไม่ทั่วถึงมาโดยตลอด แต่ภายใต้การผลักดันของสส.ปิยะรัฐชย์ ที่มีความมุ่งมั่นในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ชาติพันธุ์ที่ให้ความสำคัญเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานเรื่องของสัญชาติ เพราะหากได้สัญชาติแล้วก็จะได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุข การศึกษา และเรื่องต่างๆ ซึ่งรัฐบาลสัญญาว่าจะให้การพิสูจน์ทราบสัญชาติให้จบภายใน 5 วัน ไม่ใช่ 180 วัน แต่ขอเวลาอีกสักระยะและคาดว่าจะพิจารณาจบได้ภายในเดือน ก.ค.นี้ 

 

    นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนโรงพยาบาลที่ไม่เพียงพอแน่นอนว่าทุกที่ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือภาคใต้หรืออีสาน โรงพยาบาลก็ไม่พออยู่แล้ว รัฐบาลพยายามจัดสรรงบประมาณดูแลให้ทั่วถึง ส่วนเรื่องของไฟฟ้าสามารถยืนยันได้เลยว่าจะจัดการให้ เพราะถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทุกคนพึงจะได้รับ เรื่องของการบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเกษตรเป็นเรื่องปัจจัยปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งจากการบริโภคและการค้าขาย วันนี้มีหน่วยงานราชการมาเยอะก็ขอฝากให้ดูแลพี่น้องชาติพันธุ์ให้มีความเสมอภาค และเท่าเทียมกับพี่น้องคนไทยทุกคน ขอย้ำว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และคิดว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะได้มา หวังว่าในระยะเวลาอันสมควรจะได้กลับมาอีกเพื่อมาดูความก้าวหน้า แต่ตอนนี้ให้พี่น้องข้าราชการปฏิบัติงานกันไปก่อน และหวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเหมือนที่เคยมา 

 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ รับฟังปัญหาในพื้นที่อำเภอแม่จัน และพบปะประชาชน ณ บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย พร้อมเน้นย้ำให้ดูแลกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียม 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผู้เสียหาย “สินมั่นคงประกันภัย” แจ้งกองทุนประกันวินาศภัย ใน 60 วัน

 

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เซ็นลงนามคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1364/2567 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ “บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)” โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป 

 

ซึ่งถือว่าเป็นการปิดฉากบริษัทประกันวินาศภัยของประเทศไทยรายที่ 5 ที่ปิดกิจการจากผลกระทบจากการขายประกันภัยโควิด โดย 4 บริษัทก่อนหน้านี้ที่ปิดตัวไป ประกอบด้วย

1.บริษัทเอเชียประกันภัย

2.บริษัทเดอะวันประกันภัย

3.บริษัทไทยประกันภัย

4.บริษัทอาคเนย์ประกันภัย

 

 

โดยคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คณะกรรมการ คปภ.) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 19/2567 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 แต่งตั้งกองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเป็นมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดจนการเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับไม่ให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

 

เนื่องจากปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ดังปรากฏข้อเท็จจริง ตามที่นายทะเบียนได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) “บริษัท” แก้ไขฐานะและการดำเนินการตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยกำหนดให้บริษัทเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันและให้มีอัตราส่วนของเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 1 ปี 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ดำเนินการเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าว แต่กลับอาศัยกระบวนการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทุกฝ่ายทราบผลคำสั่งตามกฎหมายแล้ว อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สิน จึงกลับไปเป็นของผู้บริหารของบริษัท และผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้บริษัทสามารถเคลื่อนย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทได้ ประกอบกับบริษัทมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

 

บริษัทจึงมีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน คณะกรรมการ คปภ. จึงเห็นชอบให้นายทะเบียนใช้อำนาจตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 สั่งให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 48/2566 เรื่อง ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2566

นอกจากนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 ไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และจัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพันตามมาตรา 27/4 ไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด มีสินทรัพย์สภาพคล่องไม่เพียงพอสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ต่ำกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีฐานะการเงินไม่มั่นคงและไม่เพียงพอต่อภาระผูกพัน

 

รวมถึงบริษัทไม่มีแนวทางในการแก้ไขฐานะการเงิน มีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันทำให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายประการ บริษัทไม่มีความสามารถและความพร้อมที่จะรับประกันภัยและประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยได้ต่อไป 

 

ทั้งนี้ หากให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1) (2) (4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 มีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

 

เนื่องจาก การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นปัญหาฐานะการเงินและการจัดการภายในของบริษัทจึงจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินหรือสภาพคล่องของบริษัทประกันวินาศภัยอื่น หรือธุรกิจประกันภัยในภาพรวมแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับมิให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบแล้ว

 

ทั้งนี้ ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยของบริษัท และเจ้าหนี้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยให้ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ภายใน 60 วันนับแต่วันที่กองทุนประกันวินาศภัยประกาศกำหนด โดยการยื่นจะดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ทั้งนี้ กองทุนประกันวินาศภัยในฐานะผู้ชำระบัญชี จะประกาศแจ้งให้ทราบถึงกำหนดวัน เวลา และวิธีการยื่นคำทวงหนี้อีกครั้ง เพื่อให้บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำทวงหนี้ต่อผู้ชำระบัญชีตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 61/3 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

 

ดังนั้น จึงขอให้บรรดาเจ้าหนี้ของบริษัทโปรดติดตามประกาศของกองทุนประกันวินาศภัยอย่างใกล้ชิด ได้ที่เว็บไซต์กองทุนประกันวินาศภัย www.gif.or.th  และ Facebook Fanpage “กองทุนประกันวินาศภัย” โดยการจัดตั้งกองทุนประกันวินาศภัยขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัย ในกรณีที่บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย โดยเจ้าหนี้ฯ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากสัญญาประกันภัยจากกองทุนประกันวินาศภัย ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนที่ได้รับการเฉลี่ยจากหลักทรัพย์ประกันและเงินสำรองที่วางไว้กับนายทะเบียนแล้ว ไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News