Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เปิดไทม์ไลน์ “ผู้ว่าฯ สั้นที่สุด?” 14 วันที่เชียงราย กับบทบาทที่ทิ้งไว้ให้เมืองชายแดนเหนือ

“14 วันในเชียงราย” กับบทบาท–ผลกระทบจากคำสั่งโยกย้ายกลางคันของ “รัฐพล นราดิศร” และโจทย์ใหญ่ที่ทิ้งไว้ให้เมืองชายแดนเหนือ

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — เมื่อเสียงนาฬิกาการเมืองดังขึ้นอีกครั้ง หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 ตุลาคม มีมติแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยระดับสูง 45 ราย ตามข้อเสนอของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หนึ่งในนั้นคือคำสั่งให้ นายรัฐพล นราดิศร พ้นจากตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ที่เพิ่งเข้ารับหน้าที่เมื่อ 1 ตุลาคม 2568 และแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่แทน ขณะที่ นายทศพล เผื่อนอุดม พ้นจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย

ข่าวนี้ทำให้เกิดคำถามพร้อม ๆ กันสองสาย สายแรก—“14 วันในเชียงราย” ผู้ว่าฯ รัฐพล ทำอะไรไว้บ้าง? และสายถัดมา—การเปลี่ยนตัวกลางคันส่งผลอย่างไรต่อโจทย์เร่งด่วนของจังหวัดชายแดนเหนือ ที่กำลังเผชิญทั้งปัญหา “สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก” งานบูรณาการด้านน้ำท่วม และโมเมนตัมเศรษฐกิจ–การท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเป็นไฮซีซัน

บทความนี้ชวนผู้อ่านถอดรหัส “ไทม์ไลน์ 14 วัน” ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนล่าสุดที่กำลังจะกลายเป็น “อดีต” อย่างรวดเร็ว พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อจังหวัด และตั้งคำถามว่า ระบบ” ที่ดีพอจะทำให้งานเดินต่อได้แม้ตัวบุคคลเปลี่ยนหน้า—อยู่ตรงไหน

สัปดาห์ที่ 1: สัญลักษณ์–สื่อสาร–ลงพื้นที่น้ำท่วม

1 ต.ค. 2568 — วันแรกของการปฏิบัติหน้าที่ นายรัฐพล นราดิศร เดินตามธรรมเนียมปฏิบัติ ขึ้นไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญสืบชะตาจวนผู้ว่าฯ ต่อด้วยการเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ รัชกาลที่ 4 และลงพื้นที่ตรวจแนวป้องกันน้ำท่วมที่ อำเภอแม่สาย จุดชายแดนที่ทุกฤดูฝนต้องจับตา—การออกสตาร์ตเช่นนี้สะท้อนแนวทาง “จัดวาระงานพิเศษภาคสนาม” ให้เห็นในวันแรก

2 ต.ค. — เข้าพบกราบนมัสการพระมหาเถระในพื้นที่ เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นสัญลักษณ์การสร้างความไว้วางใจและพลังทางสังคมวัฒนธรรม สำหรับจังหวัดที่ศาสนาและประเพณีคือฐานทุนทางสังคมสำคัญ

3 ต.ค. — เปิดรายการ ผู้ว่าฯ เชียงราย…พบประชาชน” ถือเป็นสัญญาณว่า ผู้บริหารจังหวัดตั้งใจใช้ “แพลตฟอร์มสื่อสารตรง” เพื่ออัปเดตงาน–รับฟังปัญหา การสื่อสารเชิงรุกในช่วงตั้งไข่ของการทำงาน—ยิ่งสำคัญต่อพื้นที่ที่มีหลายวาระเร่งด่วนคาบเกี่ยวหลายหน่วยงาน

4 ต.ค. — ลงพื้นที่ร่วมกับ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามงานและผลักดันการพัฒนาแหล่งน้ำ–การเกษตรที่ อำเภอเชียงแสน อำเภอการค้าที่เป็นประตูเศรษฐกิจชายแดนสู่ลุ่มแม่น้ำโขง การเชื่อมต่อ “นโยบายกลาง–ปฏิบัติการพื้นที่” ตั้งแต่วันแรก ๆ คือจุดแข็งที่ควรจับตาหากไม่มีคำสั่งโยกย้ายกลางคัน

5 ต.ค. — แสดงความยินดีกับ โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี ที่ได้รับรางวัล “Hall of Fame” Thailand Tourism Awards 2025 (กินรี) สะท้อนการให้ความสำคัญกับ ภาคบริการ–การท่องเที่ยว ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลทอง และเป็นเครื่องยนต์รายได้หลักของเชียงรายในช่วงปลายปี

ภาพรวมสัปดาห์แรก วางฐาน “สามมิติ” — (1) พิธีการ–ความชอบธรรมทางสังคม (2) ช่องทางสื่อสารตรงกับประชาชน และ (3) ลงพื้นที่เศรษฐกิจ–น้ำ–ชายแดน เพื่อผูกนโยบายกับพื้นที่จริง

สัปดาห์ที่ 2: บูรณาการ “สารปนเปื้อน–จิตอาสา–บอร์ดนโยบายกลาง” ก่อนชัทดาวน์ด้วยคำสั่งโยกย้าย

6 ต.ค. — พบหารือ รักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และคณะสื่อมวลชนเรื่องแนวทางพัฒนาจังหวัด ยืนยัน “สนามบิน–โลจิสติกส์การบิน” เป็นโครงสร้างขับเคลื่อนนักท่องเที่ยว–การลงทุน และเยี่ยมให้กำลังใจ มิสเตอร์เวอร์นอน แฮร์รี่ อันสเวิร์ธ (หนึ่งในฮีโร่ถ้ำหลวง) ที่รักษาตัวที่ โรงพยาบาลแม่จัน แสดงบทบาท “เจ้าภาพเมือง” ที่ไม่ลืมทุนทางมนุษย์และเครือข่ายโลกที่โยงกับเชียงราย

8 ต.ค. — นำชาวพุทธร่วมพิธี ตักบาตรเทโวโรหณะ วันออกพรรษา เชื่อม “มิติอัตลักษณ์” กับ “มิตินโยบาย” ให้ชัดว่าการพัฒนาจังหวัดบนฐานวัฒนธรรมจะเดินคู่กัน

9 ต.ค. — เข้าร่วมประชุมกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตาม–เร่งรัดการแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก นี่คือวาระเร่งด่วนสูงสุดของเมืองในปีนี้ เพราะส่งผลซ้อนทับทั้ง สุขภาพ–ประปาชุมชน–เศรษฐกิจประมง–ความเชื่อมั่นผู้บริโภค และ ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว การที่ผู้ว่าฯ พาโจทย์นี้ขึ้นโต๊ะนโยบายระดับรองนายกฯ ภายในสัปดาห์สอง สื่อถึงการขยับคันโยกให้ “การเมืองส่วนกลาง” ลงน้ำหนักกับปัญหา

10 ต.ค. — นำกิจกรรม จิตอาสาพัฒนา” ทำความสะอาด สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย ถวายเป็นพระราชกุศล ร.9 และเข้าร่วมประชุมทางไกลโครงการ คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งเกี่ยวพันกับมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ–ท่องเที่ยวภายในประเทศ—ประเด็นที่เชียงรายกำลังรอรับอานิสงส์

11 ต.ค. — ต้อนรับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ เพื่อนำนโยบายลงพื้นที่และรับรายงานปัญหาจังหวัด โดยเฉพาะ สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำ—การบูรณาการแบบ “เกษตร–น้ำ–สุขภาพ” เริ่มปรากฏในรูปของการประชุมร่วมหลายระดับ

13 ต.ค. — เป็นประธานทำบุญตักบาตรและวางพวงมาลาถวายราชสักการะ “วันนวมินทรมหาราช” (ร.9) วันสำคัญของแผ่นดินที่ทุกจังหวัดจัดงานคู่กันทั้งมิติพิธีการและงานสาธารณะประโยชน์

14 ต.ค. — ให้การต้อนรับคณะ นักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 84 บรรยายสรุปภาพรวมและศักยภาพจังหวัด ก่อนคณะลงพื้นที่ศึกษาดูงาน 3 อำเภอชายแดนสำคัญ—ในวันเดียวกันนั้นเองคือ “วันประกาศมติ ครม.” ให้ผู้ว่าฯ รัฐพลย้ายไปเชียงใหม่

ความหมายของสัปดาห์ที่สอง เห็นภาพการ “ล็อกคีย์วาระ” 3 เรื่องใหญ่—(1) สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก (2) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวปลายปี (3) การจัดการทรัพยากร–สาธารณูปโภค—ผ่านการประชุมกับรองนายกฯ สองกระทรวงหลัก และการทำงานกับสนามบิน เมือง ชุมชน

14 วัน…มากพอจะเห็นทิศทาง แต่สั้นเกินจะเห็นผลลัพธ์

การประเมิน “ผลงาน” ภายใต้เวลาจำกัดเพียง 14 วัน ย่อมไม่แฟร์ หากจะตัดสินด้วย “ผลลัพธ์สุดท้าย” เพราะหลายเรื่องเป็น “ระบบ–ข้ามหน่วยงาน” ต้องใช้หลายเดือนจึงจะเห็นผลเชิงประจักษ์ อย่างไรก็ดี จากไทม์ไลน์ที่ปรากฏ เราเห็น ทิศทางการทำงาน ที่วางคานไว้แล้ว ได้แก่

  1. การยกวาระสารปนเปื้อนแม่น้ำกกขึ้นระดับนโยบาย — ภายใต้สถานการณ์ที่ตรวจพบสารโลหะหนักในน้ำประปาหมู่บ้านบางแห่ง ผัก และปลา (แม้หลายตัวอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แต่มีความเสี่ยงสะสม) การขับเคลื่อนที่โต๊ะรองนายกฯ–กระทรวงทรัพยากรฯ ช่วย “ล็อกอำนาจ” ทางงบประมาณ–วิชาการ–บุคลากรจากส่วนกลางให้ลงสู่พื้นที่ได้เร็วขึ้น
  2. เศรษฐกิจท่องเที่ยวปลายปี — การสื่อสารกับสนามบิน–ภาคการท่องเที่ยว และการต่อกุญแจเชื่อมมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ช่วยรักษา “โมเมนตัมไฮซีซัน” ที่เชียงรายต้องการมากที่สุดในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
  3. พื้นที่สาธารณะ–จิตอาสา — บทบาทเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม สร้าง “ทุนทางสังคม” เพื่อแบกงานยาว ๆ เช่น การจัดการขยะ–รักษาพื้นที่สีเขียว–ขับเคลื่อนเมืองน่าอยู่

ผลกระทบจากการเปลี่ยนตัว งานจะสะดุดหรือระบบจะรับได้?

คำถามเชิงโครงสร้าง ที่ต้องตอบไม่ใช่แค่ “ใคร” เป็นผู้ว่าฯ แต่คือ “ระบบจังหวัด” เข้มแข็งพอหรือไม่ที่จะทำให้ 4 ห้องเครื่อง เดินต่อเนื่องแม้ตัวบุคคลเปลี่ยนกลางคัน

  • ห้องเครื่องที่ 1 สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก
    งานนี้ต้องพึ่ง สามมิติแบบสวมซ้อน — (ก) วิทยาศาสตร์–ห้องแล็บ (การตรวจคุณภาพน้ำ/ปลา/ผักแบบเปิดเผยต่อเนื่อง, การคัดกรองสุขภาพกลุ่มเสี่ยง) (ข) ประปาชุมชน–แหล่งน้ำสำรอง (บาดาล/ผิวดินสำรอง, บริหารต้นทุนน้ำ) และ (ค) การทูตข้ามพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องกิจกรรมต้นน้ำ หาก “ห้องแล็บ–แผนสำรอง–กลไกเจรจา” ไม่หยุด งานก็ไปต่อแม้เปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ
  • ห้องเครื่องที่ 2 ป้องกันล่วงหน้าน้ำหลาก–ท่วมซ้ำ
    จังหวัดกำลังเดินหน้า Flood Mark–Mobile Mapping System (MMS) เพื่อทำ Flood Map มาตรฐาน ข้อมูลนี้เป็น “ทรัพยากรไม่ขึ้นกับตัวบุคคล” ขอเพียง ศูนย์ข้อมูล–หน่วยประสาน เดินเอกสาร–งบประมาณ–การติดตั้งหมุด–การอ่านแผนที่ให้ชุมชนเข้าใจต่อเนื่อง
  • ห้องเครื่องที่ 3 เศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว
    ฤดูกาลท่องเที่ยว—โดยเฉพาะงานเทศกาลปลายปี–ปีใหม่—ต้องการ “ความชัดเจน–ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น” พร้อมกัน การสื่อสารเชิงรุกเรื่องคุณภาพน้ำ–อาหาร–สุขอนามัย จะเป็นคีย์เวิร์ดการตลาดของเชียงรายในช่วงนี้มากกว่าภาพสวยเพียงอย่างเดียว
  • ห้องเครื่องที่ 4 พื้นที่สาธารณะ–การมีส่วนร่วม
    โครงการจิตอาสา–พัฒนาพื้นที่ริมน้ำ–สวนสาธารณะ ต้องถูกร้อยเข้ากับ “นโยบายสุขภาวะเมือง” และ “เศรษฐกิจฐานราก” ให้มากกว่าเป็นงานปลุกใจ ความต่อเนื่องของกิจกรรมคือปัจจัยชี้วัดว่าระบบไหลลื่นจริงหรืออิงเฉพาะผู้นำคนใดคนหนึ่ง

สถิติสั้นที่สุด?” ข้อสังเกตที่ยังต้องตรวจทาน

มีการตั้งข้อสังเกตในพื้นที่ว่า หากยึดวันที่เข้ารับตำแหน่ง 1 ต.ค. ถึงวันที่มีมติ ครม. 14 ต.ค. และหากคำสั่งโยกย้ายมีผลปฏิบัติทันที อาจทำให้ นายรัฐพล นราดิศร กลายเป็นหนึ่งในผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย มีการอ้างอิงถึงกรณี นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าฯ เชียงราย ที่ดำรงตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน (1 พ.ค. 2513 – 20 ก.ย. 2513) ก่อนเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่จากเหตุซุ่มโจมตีที่บ้านห้วยกว้าน อ.เชียงแสน

อย่างไรก็ดี การตัดสินว่า “สั้นที่สุด” จำเป็นต้องตรวจทานเอกสารราชการ–เอกสารจดหมายเหตุอย่างเป็นทางการ และนับ “วันที่มีผลคำสั่ง” ตามรูปแบบทางปกครอง ไม่ใช่เพียง “วันที่มีมติ” เท่านั้น เพื่อความถูกต้องเชิงหลักฐาน—จึงควรถือเป็น ข้อสังเกต ที่ต้องให้หน่วยงานวิชาการท้องถิ่น–หอจดหมายเหตุ หรือกระทรวงมหาดไทย ตรวจทานอย่างเป็นทางการ

จากเชียงรายสู่เชียงใหม่ ความหมายในระดับพื้นที่

การโยกย้ายทันทีของผู้ว่าฯ รัฐพลไปเชียงใหม่ ทำให้เกิด “สองเวคเตอร์” ที่ต่างทิศกัน

  • เชียงราย ต้องการความต่อเนื่องของงาน—โดยเฉพาะโครงสร้างข้อมูลน้ำ–สุขภาวะ–เศรษฐกิจชายแดน—ที่ได้เริ่มต้นขยับในสองสัปดาห์แรก
  • เชียงใหม่ กำลังรอผู้ว่าฯ ใหม่ที่เข้าใจโจทย์ของมหานครท่องเที่ยว–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการจัดการปัญหาฝุ่นควัน–คุณภาพอากาศ–การใช้ที่ดิน—ซึ่งต้องการความเป็น “ซีอีโอจังหวัด” สูง

ในทางนโยบายภาพใหญ่ การโยกย้ายระดับสูง 45 ราย ถูกอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดวางกำลัง คน–งาน–พื้นที่” ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์เร่งด่วนของรัฐบาลกลาง—คำถามที่ตามมา คือ ตัวชี้วัด” ที่จะทำให้ประชาชนสัมผัสได้ว่าการโยกย้ายนี้ทำให้งานเดินเร็วขึ้นจริงคืออะไร และจะสื่อสาร “ผลลัพธ์” ให้สังคมตรวจสอบได้อย่างไร

ข้อเสนอเชิงระบบ ทำอย่างไรให้งานเดินแม้ผู้นำเปลี่ยน

  1. ทำ “พิมพ์เขียวงานเร่งด่วนจังหวัด” แบบ 90–120 วัน
    สรุป “4 ห้องเครื่อง”—สารปนเปื้อน–น้ำท่วม–ท่องเที่ยว–มีส่วนร่วม—ใส่ Milestones–KPIs–เจ้าภาพ–คู่ปฏิบัติ ชัดเจน แผนนี้ควรเผยแพร่สาธารณะให้ติดตามได้
  2. ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลน้ำ–สุขภาวะ” จังหวัด
    รวมผลตรวจคุณภาพน้ำ/ปลา/ผัก (แยกชนิดสาร เช่น ตะกั่ว สารหนู ปรอท) และแหล่งน้ำดิบ—อัปเดตรายสัปดาห์ เปิดข้อมูลแบบอ่านง่าย ลดความกำกวมของถ้อยคำทางเทคนิค
  3. เร่ง “Flood Mark–MMS–Flood Map” ให้เสร็จก่อนฤดูฝนหน้า
    แผนที่เฉพาะกิจแสดงเส้นทางน้ำ–จุดวิกฤต–ระดับน้ำสูงสุดที่ผ่านมา ให้ประชาชนและท้องถิ่นใช้วางแผน รับมือเชิงรุก
  4. สื่อสารความปลอดภัย–เศรษฐกิจท่องเที่ยว
    ควบคู่การตลาดปลายปี สิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องรู้คือ “มาตรฐานความปลอดภัยด้านน้ำ–อาหาร–สาธารณสุข” เผยแพร่ลิสต์สถานประกอบการที่ผ่านมาตรฐาน/พื้นที่ริมน้ำที่ได้รับการปรับปรุง–ตรวจสอบแล้ว
  5. กลไกข้ามพรมแดนเรื่องต้นน้ำ
    ผลักดันวงเจรจาไทย–เมียนมาเรื่องการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–การสอบสวนกรณีสารปนเปื้อน ให้มี ช่องทางสื่อสารฉุกเฉิน ระหว่างหน่วยงานปฏิบัติการสองฝั่ง

 “คน” เปลี่ยนได้ แต่ “ระบบ” ต้องเดินหน้า

14 วัน อาจสั้นเกินกว่าจะให้คำว่า “สำเร็จ” แต่ เพียงพอ ที่จะเห็นว่าเชียงรายกำลังจัดวางงานเร่งด่วนอย่างไร การโยกย้ายกลางคันของผู้ว่าฯ รัฐพลจึงเป็นบททดสอบสำคัญว่า “ระบบจังหวัด” มีวุฒิภาวะมากพอหรือยังที่จะพางานเดินต่อ โดยไม่สะดุด—ถ้าพิมพ์เขียว–ข้อมูล–การสื่อสาร–การมีส่วนร่วม เดินไปพร้อมกัน “ตัวบุคคล” จะกลายเป็นตัวเร่ง ไม่ใช่ “คอขวด”

ในฐานะจังหวัดชายแดนที่เป็นทั้ง ประตูการค้า–การท่องเที่ยว–ประตูธรรมชาติ เชียงรายจำเป็นต้องมี ระบบนิเวศการบริหาร ที่ไม่ขึ้นกับชื่อใคร และทั้งหมดนี้เริ่มได้จาก “วันนี้”—วันที่คนเชียงราย–ภาคส่วนต่าง ๆ ยืนยันร่วมกัน ว่า งานสำคัญต้องไปต่อ ไม่ว่าป้ายหน้าจวนผู้ว่าฯ จะเปลี่ยนชื่อเป็นใครก็ตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 ตุลาคม 2568 — กรณีเห็นชอบตามเสนอของกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง–โยกย้ายข้าราชการระดับสูง 45 ราย (อ้างถึงเอกสารชี้แจงอย่างเป็นทางการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/กระทรวงมหาดไทย)
  • กระทรวงมหาดไทย — หนังสือ/ข่าวประชาสัมพันธ์คำสั่งแต่งตั้ง–โยกย้าย นายรัฐพล นราดิศร จากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และการแต่งตั้ง นายทศพล เผื่อนอุดม เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม / กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย
  • กรมประมง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ราคาทรุด! ปลาเศรษฐกิจแม่น้ำกกดิ่งเหว ชุมชนปากน้ำร้องรัฐวางแผนน้ำสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายทะยาน! หลังรัฐใช้มาตรการภาษีท่องเที่ยว เมืองรอง กระตุ้นเงินสะพัด 3.5 หมื่นล้าน

เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” เขย่าดีมานด์ปลายปี—เชียงรายฉวยจังหวะกวาดรายได้ 3.59 หมื่นล้าน ใน 9 เดือนแรก จ่ออัพไซด์อีกระลอกหากมาตรการเดินหน้าเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 15 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวกำลังขยับตัวลงสู่ดอยนางนอน ขณะที่แสงเช้ายังแตะยอดชาเพียงบางส่วน ข่าวดีที่เดินทางมาพร้อมอากาศเย็นคือ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ของเชียงราย เมื่อ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวผ่านสิทธิลดหย่อนภาษี นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้ สูงสุด 20,000 บาท กำหนดช่วงใช้สิทธิ 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ซึ่งพ้องกับหน้าท่องเที่ยวปลายปีโดยตรง

สำหรับ “เมืองรอง” อย่างเชียงราย มาตรการยังให้น้ำหนักเป็นพิเศษด้วย ตัวคูณ 1.5 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เพิ่มแรงดึงดูดให้เงินสะพัดกระจายสู่ชุมชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองรองยังจะได้สิทธินำค่าใช้จ่าย ปรับปรุงโรงแรม” หักภาษีได้ 2 เท่า (เช่น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ปรับปรุงระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์ ฯลฯ) เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและลดต้นทุนในระยะยาว

ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ย.) เชียงรายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 35,926 ล้านบาท เป็น อันดับ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่ที่ 78,249 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงยืนยันศักยภาพของจังหวัดในฐานะ “ดาวเด่นเมืองรอง” หากยังส่งสัญญาณว่ามาตรการลดหย่อนภาษีปลายปีนี้ อาจกลายเป็นตัวเร่ง (catalyst) ให้กราฟรายได้พุ่งขึ้นอีกระลอกในช่วงเวลาเพียง 48 วันของการใช้สิทธิ—ช่วงเวลาสั้นแต่ทรงพลังในปฏิทินท่องเที่ยวไทย

ทำไม “ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” ถึงถูกมองว่าเป็น Quick Big Win

ปัญหาตั้งต้นที่ครม.เศรษฐกิจมองเห็น คือ สัญญาณการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวที่ชะลอ โดยมีดัชนีบางตัวติดลบราว 8% เทียบฐานก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ภาคส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งมีงบฝึกอบรมสัมมนาปีละกว่า 3,000 ล้านบาท มักเร่งใช้ในไตรมาสสุดท้ายจน “กระจุกเวลา” และเกิด งบเหลื่อมปี ในสัดส่วนสูงอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นปีที่ผ่านมา

สูตรคลี่คลาย จึงมาพร้อมกัน 3 ชุด

  • หักลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” เพื่อดึงกำลังซื้อประชาชนเข้าสู่ตลาดทันที
  • “Front Load สัมมนา” สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาให้ได้ 60% ภายในเดือนมกราคม เปลี่ยนพฤติกรรม “ไปสิ้นปี” ให้มา “ฉีดเม็ดเงินเร็วขึ้น”
  • แรงจูงใจผู้ประกอบการ” ผ่านหักภาษี 2 เท่า สำหรับการลงทุนปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะในเมืองรอง ที่รัฐต้องการให้เกิดการยกระดับคุณภาพรองรับดีมานด์ใหม่

เมื่อนำ 3 คันโยกนี้ทำงานพร้อมกัน ผลที่คาดหวังคือ ดีมานด์ฝั่งนักท่องเที่ยวเพิ่ม (จากสิทธิลดหย่อน), ดีมานด์ฝั่งสัมมนารัฐเพิ่ม (จากการ front load), และ ซัพพลายคุณภาพเพิ่ม (จากการลงทุนปรับปรุงโรงแรม) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน ไฮซีซันของเชียงราย ที่ปกติมีปริมาณนักท่องเที่ยวหนาแน่นอยู่แล้ว—จึงเป็นเหตุผลที่นโยบายถูกจัดอยู่ในหมวด Quick Big Win ทำช่วงสั้น แต่ให้ผลกว้างและเร็ว

เชียงรายในสมรภูมิแย่งชิงเม็ดเงินท่องเที่ยว “เมืองรอง” ที่ฟอร์มแรง

ข้อมูลรายได้ท่องเที่ยว 17 จังหวัดภาคเหนือ (ม.ค.–ก.ย. 2568) สะท้อนภาพที่น่าสนใจ

  1. เชียงใหม่ 78,249 ล้านบาท
  2. เชียงราย 35,926 ล้านบาท
  3. เพชรบูรณ์ 7,174 ล้านบาท
  4. พิษณุโลก 6,989 ล้านบาท
  5. ตาก 5,913 ล้านบาท
  6. นครสวรรค์ 5,124 ล้านบาท
  7. แม่ฮ่องสอน 4,856 ล้านบาท
  8. ลำปาง 3,991 ล้านบาท
  9. น่าน 3,298 ล้านบาท
  10.  สุโขทัย 2,623 ล้านบาท
  11. แพร่ 2,344 ล้านบาท
  12. อุตรดิตถ์ 1,864 ล้านบาท
  13. พะเยา 1,846 ล้านบาท
  14. ลำพูน 1,481 ล้านบาท
  15. กำแพงเพชร 1,428 ล้านบาท
  16. อุทัยธานี 1,343 ล้านบาท
  17. พิจิตร 1,203 ล้านบาท

สองตัวเลขแรก แสดง “ความต่างเชิงสเกล” ระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง แต่สิ่งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นคือ อัตราเร่งของเม็ดเงิน ที่เติบโตตามโครงสร้างใหม่—ตั้งแต่ สนามบิน–โลจิสติกส์–ที่พัก–สินค้าเชิงวัฒนธรรม–ชายแดนเศรษฐกิจ ไปจนถึงแลนด์มาร์คธรรมชาติ–ศิลปะร่วมสมัย ที่สร้าง “เหตุผลซ้ำ” ให้คนกลับมาเยือน ประเทศไทยเคยพิสูจน์มาแล้วว่า นโยบายภาษีท่องเที่ยว เมื่อออกแบบคมและสื่อสารชัด สามารถสร้างแรงโค้ง (curvature) ให้กราฟรายได้พลิกขึ้นได้ในระยะสั้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหม่จำนวนมาก

สำหรับเชียงราย เมื่อตัวคูณ 1.5 เท่า เปิดใช้งานกับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร บริการนำเที่ยว (ตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศโดยกรมสรรพากร) เม็ดเงินของนักท่องเที่ยวชาวไทย อาจถูก “รีรูต” จากเมืองหลักมาสู่เชียงราย มากขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม “นักเดินทางสายวางแผน” ที่ต้องการเอกสารค่าใช้จ่ายชัดเจนสำหรับยื่นภาษีปลายปี

เสียงนโยบายจากส่วนกลาง “ทำสั้น ทำให้ใหญ่ ประชาชนได้ประโยชน์”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจว่า มาตรการนี้ออกแบบให้ ประชาชนทั่วไปนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท และ ถ้าเดินทางเมืองรองจะหักได้ 1.5 เท่า (เช่น ใช้จ่าย 10,000 บาท หักได้ 15,000 บาท) ขณะเดียวกัน รัฐยังขอให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ front load การสัมมนา-ฝึกอบรม อย่างน้อย 60% ภายในเดือนมกราคม เพื่ออัดฉีดดีมานด์ระยะสั้น ส่วนด้านซัพพลาย มาตรการ หักภาษี 2 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม—โดยเฉพาะงานที่หนุนความยั่งยืน เช่นโซลาร์—ถูกผลักดันเพื่อให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนยกระดับคุณภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น

สาระสำคัญอีกด้านคือ การปรับลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยกรมสรรพสามิตและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันผลักดัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ เข้าระบบ” และได้สิทธิภาษีตามกฎหมาย ควบคู่กับการตั้ง KPI การเบิกจ่ายภาครัฐ ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 93% (และงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 75%) ลดปัญหา “กันเหลื่อมปี” มูลค่าสูง

แกนคิดของนโยบาย  “Quick Big Win ทำสั้น ทำให้ใหญ่ และประชาชนได้ประโยชน์—โดยเฉพาะในช่วงเวลาจำกัดก่อนการยุบสภา” ซึ่งสะท้อนแรงขับเคลื่อนเชิงเวลาอย่างชัดเจน

เชียงรายคว้าโอกาสอย่างไร จาก “สิทธิของคนไทย” สู่ “รายได้ของท้องถิ่น”

  1. ตั้งโต๊ะข้อมูล—ทำโปรแกรม “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี”
    ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ควรทำ ชุดข้อมูลพร้อมใช้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย เส้นทาง–ที่พัก–ร้านอาหาร–กิจกรรม–ค่าใช้จ่ายประมาณการ–จุดรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อม “Checklist เอกสาร” สำหรับยื่นหักภาษี (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน/หลักฐานชำระเงิน) แพ็กเป็นหน้าเดียวดาวน์โหลดได้ เพื่อให้ การตัดสินใจเดินทางเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงเอกสารไม่ครบ
  2. กระตุ้นตลาดสัมมนา (MICE) ด้วย Front Load
    เชียงรายมีความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน, ศูนย์ประชุม, ที่พักหลายระดับราคา) การเน้นขาย แพ็กเกจสัมมนา–ศึกษาดูงาน ที่มีโปรแกรมความยั่งยืน (เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้อาชีพ, กิจกรรม CSR ปลูกป่า–เก็บขยะ, เส้นทางกาแฟ–ชา) จะตอบโจทย์ทั้ง KPI เบิกจ่าย ของหน่วยงานและ ภาพลักษณ์องค์กร ไปพร้อมกัน
  3. สองเท่าเพื่อโรงแรม”—ลงทุนที่ลดต้นทุนระยะยาว
    โอกาสของผู้ประกอบการโรงแรมอยู่ที่ การคัดโครงการลงทุนที่คืนทุนไว และมีเอกสารครบถ้วนตามเกณฑ์ภาษี เช่น โซลาร์รูฟ–ระบบน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์–ประตูคีย์การ์ดประหยัดไฟ–ฉนวนกันความร้อน–ปรับปรุงเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน พร้อมจัดระบบเอกสารเพื่อใช้สิทธิได้เต็มมูลค่า
  4. แผนสื่อสาร “เมืองรอง x 1.5 เท่า” เจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
    กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ฐานภาษีกลาง–บน) คือตลาดหลักของมาตรการนี้ เชียงรายควรสื่อสารแบบ ตรงกลุ่ม ผ่านบริษัท–สมาคมวิชาชีพ–เครือข่าย HR—ด้วยข้อความง่าย ๆ ว่า “พาเพื่อนไปเชียงรายช่วง 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ใช้สิทธิ 1.5 เท่าได้” พร้อมลิงก์ดาวน์โหลด “แพ็กคู่มือภาษีท่องเที่ยวเชียงราย”

คำถาม–คำตอบที่ประชาชนอยากรู้ 

  • ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?
    โดยหลัก “ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว” ครอบคลุมที่พัก บริการท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ต้องรอประกาศหลักเกณฑ์จากกรมสรรพากร ระบุรายการและเอกสารที่ยอมรับอย่างชัดเจน
  • ทำไมต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ?
    เพราะ ภาษีเป็นกฎหมายเอกสาร ใบกำกับภาษี (เต็มรูปแบบ) ตามมาตรา 86/4 เป็นหลักฐานสำคัญในการหักลดหย่อน ภาคเอกชนควรเตรียมระบบออกเอกสารถูกต้อง พร้อม e-Receipt/e-Tax Invoice เพื่อลดปัญหาตกหล่น
  • ถ้าไม่มีภาษีต้องจ่าย (รายได้ต่ำ) ยังได้ประโยชน์ไหม?
    ผู้ที่ไม่มีภาระภาษีปลายปี อาจไม่ได้ประโยชน์ทางภาษีโดยตรง แต่ยังได้ประโยชน์จากโปรโมชันที่ผู้ประกอบการทำตามแคมเปญ ทั้งนี้รัฐอาจมีมาตรการอื่นประกอบในอนาคต—ต้องติดตามมติ ครม. และประกาศทางการ
  • ตัวคูณ 1.5 เท่าใช้กับทุกจังหวัดเมืองรองหรือไม่?
    หลักการคือ “ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในเมืองรอง” จึงได้ตัวคูณ 1.5 เท่า รายชื่อเมืองรอง ต้องยึดตามประกาศทางการ ที่จะออกมาพร้อมหลักเกณฑ์

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ทำเร็ว—แต่ต้องแม่น

  1. ไทม์ไลน์–รายละเอียดกฎหมาย
    แม้มติครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการแล้ว แต่ การบังคับใช้จริงต้องผ่าน ครม. และประกาศกรมสรรพากร ระบุรายการ–เงื่อนไข–ประเภทเอกสาร—หน่วยงานท้องถิ่นและเอกชนต้อง สื่อสารแบบมีเงื่อนไข ว่า “ใช้สิทธิตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศ” เพื่อลดความสับสน
  2. ความพร้อมเอกสารของผู้ประกอบการรายเล็ก
    ร้านอาหาร–โฮมสเตย์–ทัวร์ท้องถิ่นบางแห่ง ยังไม่มีระบบ e-Tax ควรได้รับการช่วยเหลือเชิงเทคนิคอย่างเร่งด่วน เช่น คลินิกภาษีเคลื่อนที่ ร่วมกับสำนักงานสรรพากรพื้นที่–หอการค้าจังหวัด–ททท. เพื่อให้ เม็ดเงินสิทธิภาษีไม่รั่วไหลเพราะเอกสารไม่ครบ
  3. กำลังรองรับไฮซีซัน
    หากดีมานด์พุ่งเร็ว ที่พัก–การคมนาคม–สถานที่ท่องเที่ยวต้อง บริหารสมดุล ระหว่างปริมาณ–คุณภาพ–ความปลอดภัย เช่น แผนจราจร–ที่จอดรถ–การจัดการขยะ–ห้องน้ำสาธารณะ—ทั้งหมดคือ “ประสบการณ์รวม” ที่กำหนดการกลับมาเยือน

มุมมองเศรษฐกิจท้องถิ่น 1 บาทของนักท่องเที่ยว หมุนเป็นกี่บาทในชุมชน

งานวิจัยด้านท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ว่า ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (tourism multiplier) ของเมืองรองมักสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเงินส่วนใหญ่กระจายสู่ SMEs และชุมชน ทั้งร้านอาหารท้องถิ่น–รถเช่า–งานฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น ในเชียงรายซึ่งมีฐานผู้ประกอบการสร้างสรรค์จำนวนมาก (กาแฟ–ชา–ศิลปะ–งานจักสาน–สิ่งทอ) มาตรการที่ ขยับคนให้เดินทาง” จึงเท่ากับ ขยับเศรษฐกิจฐานราก” ในทันที

โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับ ตลาดสัมมนา ที่กำลังถูก front load หากหน่วยงานรัฐเลือกเชียงรายเป็นที่จัดกิจกรรม สกุลเงินที่ไหลเข้ามักมีสัดส่วนใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่า ทริปสั้นของครอบครัว และยังสร้างอุปสงค์ให้ห่วงโซ่อุปทาน บริการคุณภาพ เช่น รถบัสมาตรฐานสูง–ล่าม–ทีมเทคนิค–อุปกรณ์ประชุม—ช่วยยกระดับ ecosystem ท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น

เชียงรายต้อง “ขายอะไร” ใน 48 วันทองของภาษีท่องเที่ยว

  • เส้นทางลมหายใจปลายปี แม่ฟ้าหลวง–ดอยตุง–ไร่ชาฉุยฟง–ดอยผาหมี–สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน—แพ็กเป็น “วันธรรมชาติ x วันวัฒนธรรม” พร้อมจุดซื้อของฝากชุมชนและร้านอาหารที่ออกใบกำกับภาษีได้
  • สายศิลป์–กาแฟ พิพิธภัณฑ์–แกลเลอรี–สตรีทอาร์ต–คาเฟ่กาแฟพิเศษ—เชื่อมเป็น “ถนนศิลปิน” ในเมือง (เดินได้–ถ่ายรูปสวย–เอกสารครบ)
  • MICE x GREEN แพ็กเกจสัมมนาเช้า–บ่ายเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้กาแฟ/ชา/เกษตรอัจฉริยะ–เย็นงานชื่นใจในชุมชน ภายใต้แนวคิด Low-carbon Meeting มีรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นของที่ระลึกองค์กร
  • เส้นทางข้ามพรมแดน เชื่อมด่านพรมแดนเชียงของ–โครงสร้างพื้นฐานใหม่ (เช่น ทางคู่เด่นชัย–เชียงของที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง)—แม้ยังไม่เปิดใช้ แต่การ เล่าอนาคต สร้างแรงจูงใจให้ผู้ลงทุนและนักท่องเที่ยว “มองเชียงรายเป็นฮับ” ระยะยาว

ทำให้ “สิทธิ” กลายเป็น “รายได้” อย่างเที่ยงธรรมและยั่งยืน

มาตรการ เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” ที่ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการ กำลังเปิด หน้าต่างเวลา 48 วัน ที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจเชียงรายอย่างยิ่ง ตัวเลข 35,926 ล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปีคือฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่การจะแปลง สิทธิของผู้เสียภาษี ให้กลายเป็น รายได้ของจังหวัด จำเป็นต้องอาศัย 3 คีย์เวิร์ด เร็ว–ชัด–ครบเอกสาร

  • เร็ว ในการสื่อสารแพ็กเกจ “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี” สู่กลุ่มเป้าหมาย
  • ชัด ในการระบุเงื่อนไขว่าทุกอย่างเป็นไปตาม ประกาศกรมสรรพากร ที่จะออกมา
  • ครบเอกสาร ในฝั่งผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้บริโภค “ใช้สิทธิได้จริง”

หากเชียงรายทำได้ครบ ภาพที่เราจะเห็นหลังสิ้นสุดมาตรการไม่ใช่เพียง คูปองภาษีที่ถูกใช้หมด แต่คือ SMEs ที่แข็งแรงขึ้น—มาตรฐานบริการที่ดีขึ้น—ทรัพยากรท้องถิ่นที่ถูกเล่าอย่างภาคภูมิ และ เมืองรองที่ยืนอย่างสง่างามในสมรภูมิท่องเที่ยวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการคลัง
  • กรมสรรพากร
  • กรมสรรพสามิต & กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) สำนักงานเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ซ่อมคันอ่างเก็บน้ำห้วยสักทันที เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน”

อบจ.เชียงรายเร่งซ่อม “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” หลังเสียหาย เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน” บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร–ชาวบ้าน ต่อยอดสู่แผนฟื้นฟูเชิงระบบก่อนฤดูแล้ง

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอังคารที่ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย จุดรวมสายตาคือ “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” ที่ เกิดการขาดและชำรุดบางส่วน จนถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เร่งซ่อมทันที หลังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รับรายงานสถานการณ์และสั่งการลงพื้นที่ สำรวจ–ประเมิน–แก้ไข แบบ “บูรณาการหน่วยงาน” ตามนโยบาย “7 เรือธง” โดยย้ำหัวใจข้อที่ 1 คือ กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด

ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพียงร่องดินแตกร้าวของคันอ่าง หากคือเงาสะท้อนของ “ระบบน้ำ” ที่หล่อเลี้ยง นาข้าว แปลงพืชผักสวนครัว และน้ำอุปโภคบริโภค ของครัวเรือนใกล้เคียง ซึ่งถ้าการชำรุดลุกลามหรือซ่อมล่าช้า อาจกลายเป็น ความเสี่ยงซ้อน ต่อความมั่นคงน้ำในช่วง ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูแล้ง ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 “คันอ่างขาด–ชำรุด” และแรงกระทบเชิงพื้นที่

ข้อเท็จจริงจากภาคสนาม ระบุว่า คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักเกิดการขาดและชำรุดบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการกักเก็บและส่งน้ำสำหรับ พื้นที่การเกษตร รอบอ่าง รวมถึง น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ของชุมชนใกล้เคียง เหตุการณ์นี้ถูกประเมินให้เป็น ภารกิจเร่งด่วน ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ

  1. ลดความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ถ้ารอยขาด–ชำรุดขยายตัว อาจกระทบเสถียรภาพคันอ่างเป็นวงกว้างขึ้น
  2. ป้องกันการสูญเสียน้ำ ฐานสำคัญต่อฤดูกาลเพาะปลูกถัดไป แม้การรั่วซึมเพียงบางส่วนก็ทำให้เกิดการสูญเสียเชิงปริมาณในระยะยาว
  3. คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านน้ำ น้ำสะอาดสำหรับครัวเรือนคือบริการสาธารณะ ที่รัฐท้องถิ่นต้องประกันความต่อเนื่อง

ความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานโครงสร้างธรรมดา” แต่คือ “งานคุ้มครองความเป็นอยู่” ของประชาชนแบบเป็นรูปธรรม

สั่งการฉับไว ปฏิบัติการ “กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ลงพื้นที่จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย นำคณะปฏิบัติการลงพื้นที่ร่วมกับ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย), ผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าสุด, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และ ตัวแทนประชาชน เพื่อสำรวจจุดชำรุด กำหนดแนวทางแก้ไข และ นำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ทันที ยืนยันเจตนารมณ์ อยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์” โดยเน้น 4 ยุทธวิธีภาคสนามที่ทำคู่ขนานกันอย่างเป็นระบบ

  1. ปักหมุดจุดวิกฤต (Critical Points) ระบุแนวคันอ่างที่เสียหาย จุดเริ่ม–จุดสิ้นสุด ระดับความลึก–ความกว้างของรอยขาด และความเสี่ยงต่อโครงสร้างข้างเคียง
  2. เสริมเสถียรภาพชั่วคราว (Temporary Stabilization) วาง บิ๊กแบ็ก–ดินถมคัดขนาด–หินคลุก ลดแรงน้ำและยึดขอบคันไม่ให้ขยายวง
  3. เชื่อมต่อการใช้งาน (Functional Reconnection) เมื่อคันอ่างกลับมามีเสถียรภาพเบื้องต้น เร่งจัดการ จุดส่งน้ำหลัก ให้สามารถทำงานต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกร
  4. วางแผนซ่อมถาวร (Permanent Repair Plan) เก็บข้อมูลธรณี–อุทกวิทยาหน้างาน เพื่อนำไปออกแบบ คันอ่างเสริม–ระบบระบายน้ำดาดคอนกรีต–ชั้นกรอง ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับ นโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” ที่มุ่งให้ทีมเครื่องจักร–ช่างเทคนิคของ อบจ. เข้าถึงจุดวิกฤตเร็ว–แก้ปัญหาได้ตรงจุด–และลดเวลาหยุดชะงักของบริการสาธารณะ ในพื้นที่จริง

เหตุใด “ความเร็ว” จึงสำคัญในงานซ่อมคันอ่าง

หนึ่งวันที่ล่าช้า อาจเท่ากับ ปริมาณน้ำที่สูญเสีย หลายหมื่น–แสนลูกบาศก์เมตร ขึ้นกับขนาดรอยรั่วและสภาพภูมิประเทศ ยิ่งในช่วงรอยต่อฤดูกาล ปลายฝน–ต้นแล้ง น้ำทุกลูกบาศก์เมตรมีค่าต่อการเพาะปลูกและการใช้น้ำในครัวเรือน การยื้อเวลาให้ระบบกลับมาทำงาน เร็วที่สุดเท่าที่ปลอดภัย จึงเป็นตัวชี้วัด “ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย” อย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ความเร็ว ยังมีนัยต่อ ความเชื่อมั่นของประชาชน ยิ่งเมื่อชาวบ้าน “เห็น–ได้ยิน–สัมผัสได้” ว่ามีเครื่องจักรและคนของรัฐท้องถิ่นเข้ามาอยู่หน้างานอย่างจริงจัง ความกังวลย่อมลดลง และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–สนับสนุนการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

แจกบท–จับมือ–ทำงานคนละส่วน ลดซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เครื่องจักรและช่างเทคนิคของ อบจ. หากยังมี สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ที่ช่วยประสานข้อจำกัดด้านพื้นที่ป่าและแนวเขต, เทศบาลตำบลท่าสุด ที่สนับสนุนด้านการสื่อสารกับชุมชนและการจัดระเบียบพื้นที่ปฏิบัติการ, ขณะที่ ผู้นำท้องที่–ตัวแทนประชาชน เติมข้อมูลประวัติระดับน้ำ–ทิศทางไหล–พฤติการณ์น้ำหลากในอดีต ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์หน้างาน แม่นยำกว่าอ่านแผนที่ และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจโดยอิงแบบจำลองอย่างเดียว

รูปแบบการทำงานเช่นนี้สะท้อน ธรรมาภิบาลเชิงปฏิบัติ ทุกหน่วย มีบท–มีข้อมูล–มีอำนาจตัดสินใจเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การแก้ปัญหาเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดกับขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน

จากฉุกเฉินสู่ยั่งยืน แผนซ่อมถาวรและยกระดับ “ความแกร่ง” ของคันอ่าง

แม้การเสริมชั่วคราวจะคืนฟังก์ชันอ่างเก็บน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ ซ่อมถาวร คือเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าโดยเร็ว แกนหลักของงานระยะกลาง–ยาว มีอย่างน้อย 5 ประเด็น

  1. ตรวจโครงสร้างอย่างละเอียด (Detailed Inspection)
    สำรวจชั้นดิน–ชั้นกรวด–ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน (Permeability) และพฤติกรรมฐานรากของคันอ่าง เพื่อออกแบบการซ่อมให้เหมาะสม ไม่ “ซ่อมเฉพาะหน้า” จนปัญหากลับมา
  2. ออกแบบระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief)
    ติดตั้งท่อระบายน้ำ (Toe Drain)–ชั้นกรอง (Filter)–หินเรียง (Riprap) เพื่อป้องกัน Piping และการพังทลายจากแรงน้ำและฝนหนักในอนาคต
  3. เสริมคันอ่าง–ผิวดาด (Slope Protection)
    เลือกวัสดุและมุมลาดที่เหมาะกับสภาพฝน–ดินของพื้นที่ บางช่วงอาจใช้ ดาดคอนกรีต/หินเรียง ลดการกัดเซาะ โดยไม่ขัดกับระบอบนิเวศท้องถิ่น
  4. อุปกรณ์ตรวจ–เตือน (Monitoring & Early Warning)
    ติดตั้ง Staff Gauge (ไม้เกาะระดับน้ำ)–จุดสังเกตรอยร้าว–กล้องวงจร–เซนเซอร์น้ำฝนในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้ ตาชาวบ้าน” กับ ตาเทคโนโลยี” ทำงานร่วมกัน
  5. คู่มือบำรุงรักษา (O&M Manual)
    ทำตารางตรวจรอบเดือน/ไตรมาส/ก่อน–หลังฤดูฝน พร้อมแบบฟอร์มรายงานที่ลดภาระเอกสาร แต่ส่งสัญญาณไปถึงผู้เกี่ยวข้อง เร็ว–ครบ–ตรวจสอบย้อนกลับได้

แนวทางดังกล่าวจะเปลี่ยน “งานซ่อมครั้งนี้” ให้เป็น “มาตรฐานใหม่” ของการดูแลอ่างเก็บน้ำระดับชุมชนในจังหวัดเชียงราย

มุมเกษตรกร–ชุมชน ทำไม “น้ำ” คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับเกษตรกรในตำบลท่าสุดและพื้นที่ใกล้เคียง อ่างเก็บน้ำห้วยสักไม่เพียงช่วยให้ ฤดูกาลเพาะปลูกเดินต่อได้ หากยังเป็นหลักประกันต่อ รายได้สม่ำเสมอ ของครัวเรือน ทั้งข้าวและพืชผักสวนครัว รวมถึงปศุสัตว์บางส่วนที่ต้องการน้ำประปากลางจากแหล่งต้นทางที่มั่นคง

เมื่อคันอ่างชำรุด การชะลอส่งน้ำแม้เพียง 1–2 สัปดาห์ อาจแปลเป็น ค่าเสียโอกาส ที่เพิ่มสูงในช่วงรอยต่อฤดู ยิ่งหากเกิด คลื่นความร้อน–ฝนทิ้งช่วง ในปีหน้า การมีน้ำสำรองที่เพียงพอจะลดความเสี่ยงของ ผลผลิตเสียหาย ที่มักเกิดแบบรวดเร็วและยากต่อการเยียวยาทีหลัง

ความเคลื่อนไหวของ อบจ.เชียงราย ที่ ลงมือทันที” จึงไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ของรัฐท้องถิ่นที่คล่องตัว แต่เป็น กันชนทางเศรษฐกิจ ให้ครัวเรือนฐานรากในทางปฏิบัติ

เปิดข้อมูล–เปิดหน้างาน–เปิดการมีส่วนร่วม

วิกฤตโครงสร้างสาธารณะบอกเราว่า ข้อมูลที่ดี” สร้าง พลังร่วม” ได้มากแค่ไหน อบจ.เชียงรายสามารถต่อยอดการลงพื้นที่ครั้งนี้ ด้วยการสื่อสารเชิงรุก 3 ระดับ

  • หน้างาน ป้ายข้อมูลสั้น ๆ ณ จุดซ่อม ระบุ “อะไร–ทำไม–ทำอย่างไร–เสร็จเมื่อใด” เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจภาพรวม
  • ออนไลน์ อัปเดตความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ ผ่านช่องทางทางการของ อบจ., เทศบาลตำบลท่าสุด และเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียติดตามความคืบหน้าได้
  • เวทีชุมชน เมื่อเข้าสู่ระยะออกแบบซ่อมถาวร จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทาง–ผลกระทบ–มาตรการป้องกันฝุ่น–เสียง–เวลาเข้าพื้นที่ของเครื่องจักร เพื่อให้ชาวบ้านร่วมกำหนดเงื่อนไขการทำงาน

การ “เปิดข้อมูล” จะช่วยลดข่าวลือ–ข้อกังวล และเปลี่ยนชาวบ้านจาก “ผู้รับผล” เป็น “หุ้นส่วน” ของงานซ่อม

สิ่งที่ประชาชนทำได้ทันที เฝ้าระวัง–แจ้งเหตุ–ร่วมดูแล

  1. แจ้งเหตุผิดปกติ เช่น น้ำขุ่นจัด–ตลิ่งกัดเซาะ–เสียงน้ำไหลผิดธรรมชาติ ผ่านช่องทางของ อบจ. หรือเทศบาลตำบลท่าสุด
  2. เว้นระยะปลอดภัย ขณะเครื่องจักรทำงาน ไม่ลงเล่นน้ำ–ไม่จอดรถกีดขวางแนวขนส่งวัสดุ
  3. รณรงค์ขยะต้นทาง หลีกเลี่ยงทิ้งขยะลงลำห้วย–คูน้ำ เพราะจะอุดตันท่อระบาย–รางน้ำ และซ้ำเติมรอยชำรุด

เครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็ง คือ ด่านหน้า” ของการดูแลโครงสร้างพื้นฐานน้ำให้คงประสิทธิภาพหลังการซ่อม

เชื่อมโยงนโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” ในมิติความมั่นคงน้ำชุมชน

แม้ในรายละเอียด “7 เรือธง” ครอบคลุมหลายด้านของการพัฒนาจังหวัด แต่กรณี อ่างเก็บน้ำห้วยสัก ทำให้เห็นภาพชัดเจนของเรือธงที่ 1 ว่า กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ไม่ใช่สโลแกน หากเป็น ความสามารถเชิงปฏิบัติการ ที่ย่นระยะจาก “รับเรื่อง” ไปสู่ “ลงมือ” ให้สั้นที่สุด

เมื่อนโยบายระดับองค์รวม แตะพื้นดิน กลายเป็นรถแบ็กโฮ–รถบรรทุก–ทีมสำรวจ–ทีมสื่อสาร และ คู่มือความปลอดภัยหน้างาน ความคาดหวังของสังคมก็จะเปลี่ยนจากคำถามว่า “จะทำไหม” ไปเป็น “ทำอย่างไรให้เร็ว–ปลอดภัย–ยั่งยืน” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ท้องถิ่นยุคใหม่ต้องไปให้ถึง

จาก “จุดซ่อม” สู่ “แผนจัดการเขตอ่าง” (Basin-Level Thinking)

การซ่อมคันอ่างครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น จุดเริ่มต้น ของการมองพื้นที่น้ำแบบ ทั้งระบบ” ได้แก่

  • แผนที่เสี่ยง (Risk Map) ระบุแนวคัน–จุดอ่อน–ทางน้ำล้น–แหล่งตะกอน เพื่อกำหนดลำดับการลงทุนซ่อมบำรุงในอนาคต
  • ดัชนีเตือนภัย (Early Indicators) กำหนดเกณฑ์สีเขียว–เหลือง–แดง สำหรับระดับน้ำ–อัตราการซึม–รอยร้าว เพื่อให้ทีมงานและชุมชน พูดภาษาเดียวกัน
  • ปฏิทินงาน (Seasonal Calendar) ผูกตารางตรวจ–ซ่อม–ลอกตะกอน เข้ากับฤดูกาลฝน–แล้ง และรอบเพาะปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบซ้ำซ้อน
  • งบประมาณร่วม วางแบบจำลองค่าใช้จ่าย O&M รายปี พร้อม กองทุนชุมชน สมทบเพื่อการดูแลระยะยาว

เมื่อวาง “ภาษา–เครื่องมือ–งบประมาณ” ครบชุด การบำรุงรักษาอ่างเก็บน้ำจะไม่เป็นงานปะทุเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่เป็น ระบบประจำปี ที่เดินได้ด้วยตัวเอง

วิกฤตคือ “แบบฝึกหัด” ของรัฐท้องถิ่นที่ขยัน–คล่องตัว

คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักชำรุด ทำให้เห็น ความจำเป็น ของความเร็ว–ความแม่น–ความร่วมมือ ในการจัดการโครงสร้างสาธารณะระดับฐานราก อบจ.เชียงราย ตอบสนองด้วยการ กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากรสู่ชุมชน” ตามเรือธงข้อที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อม บูรณาการหน่วยงาน และวางทางไปสู่การ ซ่อมถาวร–ยกระดับมาตรฐานดูแลน้ำ ในระยะยาว

วิกฤตครั้งนี้จะยุติลงอย่างมั่นคง เมื่อเราเปลี่ยนจากคำถามว่า “ซ่อมเสร็จหรือยัง” เป็น “หลังซ่อมแล้วจะ ดูแลอย่างไร ให้ไม่เกิดซ้ำ—และให้ระบบน้ำแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม” คำตอบมีอยู่แล้วในหน้างานวันนี้ ความร่วมมือ คือคำใบ้แรก และ การจัดการเชิงระบบ คือคำตอบสุดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ถอดบทเรียน “แม่ข่า-โอตารุ” สู่การสร้าง “ถนนศิลปิน” ริมคลองเกาะทองอย่างยั่งยืน

คลองเกาะทอง” จะไปให้สุดแบบ “คลองแม่ข่า–โอตารุ” ได้อย่างไร แผนพลิกคลองบำบัดน้ำเสีย สู่ถนนศิลปินและแลนด์มาร์กสีเขียวกลางเมืองเชียงราย

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ถ้าสักเช้าวันหนึ่ง เราได้เห็นเงาน้ำเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ตัดกับแนวไม้ดอกสีสดที่เรียงรายริมตลิ่ง ผู้คนจิบกาแฟ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยานเคียงข้างคลอง และวงดนตรีบรรเลงรับลมเหนือ—ภาพฝันแบบ “โอโตรุเบา ๆ” อยู่กลางเมืองเชียงราย จะเป็นไปได้แค่ไหน?
คำตอบกำลังค่อย ๆ เดินหน้าอยู่ที่ คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง”—พื้นที่ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายและ 3 ชุมชนหลัก (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) กำลังร่วมกันปรับภูมิทัศน์จากคลองลำเลียงน้ำเสียให้กลับมาสะอาด เป็นระเบียบ ร่มรื่น พร้อมวางระบบ น้ำหมุนเวียนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อฟื้นระบบนิเวศอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าผลักดันให้เป็น แลนด์มาร์กสีเขียว แห่งใหม่ของเมือง

ในเวลาไล่เลี่ยกัน โซเชียลมีเดียต่างบันทึกความฮอตของ คลองแม่ข่า” เชียงใหม่—พื้นที่ฟื้นฟูที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ เดินสบายด้วยแนวซีรีนบล็อกริมขอบน้ำ ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–สตูดิโอศิลปินผุดขึ้นรายทาง กลายเป็นจุดเช็กอินใหม่ที่ชวนให้คนไปสัมผัสบรรยากาศชิล ๆ ได้แทบทุกฤดู ขณะที่ภาพจำต้นแบบระดับโลกอย่าง คลองโอตารุ (Otaru Canal) ในฮอกไกโด—ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือสินค้า แต่วันนี้เป็นย่านพิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–งานศิลป์ มีไฟระยิบยามค่ำคืนและเทศกาลฤดูหนาว—ก็ย้ำให้เห็นว่า “คลองในเมือง” สามารถแปลงร่างเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริง หากออกแบบ “ประสบการณ์” และ “ระบบจัดการน้ำ” ได้ลงตัว

บทความเชิงข่าว–วิเคราะห์ชิ้นนี้ชวนผู้อ่านเจาะลึกว่า คลองเกาะทองของเชียงราย จะ ก้าวจากโครงสร้างพื้นฐานสิ่งแวดล้อม ไปสู่ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบบ “แม่ข่า–โอตารุโมเดล” ได้อย่างไร พร้อมร้อยเรียงข้อเท็จจริง แผนงานที่มีอยู่ กลไกเทคนิค อนาคตเศรษฐกิจชุมชน และ “จุดเปลี่ยน” ที่จะทำให้เส้นทางนี้ไปถึงปลายทางอย่างยั่งยืน

จากคลองลำเลียงน้ำเสีย สู่ “ระเบียงสีเขียว” ของคนทั้งสามชุมชน

บริบทพื้นที่ คลองเกาะทองคือเส้นทางนำน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดเดิมในย่านชุมชนหนาแน่นของเมืองเชียงราย ปัญหาที่สะสมมายาวนานคือ น้ำชะงัก–ตะกอน–กลิ่น–ขยะล่องลอย และสภาพภูมิทัศน์ที่ไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ เทศบาลนครเชียงรายจึงวางแผน ปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งระบบ—ตั้งแต่งานสะสาง–จัดระเบียบ–ปลูกไม้ดอก (เช่น พุทธรักษา ยี่โถสีม่วง) ตลอดแนวคลอง ไปจนถึงการออกแบบทางเดิน–พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับทุกวัย พร้อม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เพื่อเร่งการไหล–เติมน้ำดี–ผลักน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดอย่างเป็นระบบ

หมุดหมายและแรงขับ วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ผู้บริหารเทศบาลลงพื้นที่ร่วมปลูกต้นไม้และจัดระเบียบทางกายภาพ—เป็นสัญญาณว่าช่วง “ก่อรูป” เริ่มปรากฏให้เห็นจริงบนพื้นดิน ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ เป้าประสงค์ชัดเจนสองชั้น (1) แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลน้ำเสียแบบยั่งยืนด้วยโซลูชันพลังงานสะอาด และ (2) เปลี่ยนพื้นที่ริมคลองให้เป็น สาธารณูปการเพื่อสุขภาวะ—เดิน–วิ่ง–ปั่นได้ ปลอดภัย สวยงาม ใช้งานได้ทุกวัน

ทุนสังคมที่พร้อม ความร่วมมือของ 3 ชุมชน (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) เป็น “แรงขับนุ่ม” ที่สำคัญ เพราะพื้นที่นี้เคยเผชิญข้อจำกัดด้านน้ำและอุทกภัยร่วมกัน การรวมพลังดูแล “คลองบ้านเรา” จึงไม่ใช่กิจกรรมสวยงามชั่วคราว แต่เป็น ผลประโยชน์ร่วม ของคนในละแวกโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนเกาะทองเองเคยได้รับการยอมรับเป็น แหล่งเรียนรู้ต้นแบบ จากการขับเคลื่อนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง—ทุนทางสังคมแบบนี้เป็น “เงื่อนไขสำเร็จ” ของงานพัฒนาเมืองที่ใช้เวลานาน

ถอดบทเรียน “คลองแม่ข่า–เชียงใหม่” ทำไมฟีลญี่ปุ่นจึงเวิร์ก และเราจะยกมาปรับใช้ที่เชียงรายอย่างไร

บรรยากาศและการออกแบบ คลองแม่ข่าในสายตาผู้มาเยือนคือแถวทางเดินที่ สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียบง่าย เสริมด้วย ซีรีนบล็อกคอนกรีต รับเส้นสายตลิ่งที่ชัด และเปิดมุมมองให้เห็นสายน้ำอย่างปลอดโปร่ง ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–งานคราฟต์เรียงตัวพองามโดยไม่บีบพื้นที่สาธารณะ ผลรวมทั้งหมดส่ง “กลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ” ที่คุ้นตาในงานออกแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่—น้อยแต่พอดี เน้นผิวสัมผัสวัสดุและสัดส่วนที่เดินสบาย

กิจกรรมคือหัวใจ แม่ข่าประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้มีแค่ “พื้นที่” แต่มี กิจกรรมที่ไหล—ศิลปินข้างคลอง ตลาดน้อย ๆ ช่วงบ่าย–เย็น มุมดนตรีสด งานแสดงชั่วคราว และคาแรกเตอร์ร้านที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้คนมีเหตุผลกลับมาอีกบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วจบ

บทเรียนสู่เชียงราย

  • 1. มาตรฐานน้ำและความสะอาด ความสวยงามอยู่ไม่ได้ถ้าน้ำมีกลิ่นหรือขยะลอย นี่คือ “ชั้นฐาน” ที่ต้องทำให้เสถียรก่อน—ซึ่งแผนโซลาร์ปั๊มของเชียงรายตอบโจทย์นี้ตรงจุด
  • 2. ผังใช้ประโยชน์พื้นที่ (Zoning) จัดสรรแนว Walkway–Green–Water Edge ให้เดินต่อเนื่อง ไม่เบียดล้ำทางน้ำ ร้านค้าควรตั้งถอยหลังพอสมควรเพื่อคง “ขอบน้ำ” ให้โปร่งและเป็นของส่วนรวม
  • 3. คัดสรร–คัดคุณภาพกิจกรรม แทนการเปิดเสรีทุกอย่าง ควรตั้ง เกณฑ์คุณภาพ และเลือกกิจกรรม–ร้านค้าที่สอดคล้องอัตลักษณ์เชียงราย (งานศิลป์–ช่างฝีมือ–กาแฟ–อาหารพื้นถิ่น) เพื่อหลีกเลี่ยง สตรีทของก๊อบปี้”
  • 4. ดูแลตลอดชั่วโมงใช้งาน ทีม Operation & Maintenance (O&M) ต้องทำงานเงียบ ๆ แต่เข้มข้น—ล้างทาง–เก็บขยะ–ตรวจน้ำ–ดูไฟ—เพราะความประทับใจของเมืองอยู่ที่ “จุดเล็ก ๆ” ที่ไม่สะดุด
Hokkaido: Otaru Canal Cruise and Seal Engraving Experience

แบบฝันที่จับต้องได้ “โอตารุโมเดล” กับถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง

แรงบันดาลใจจากโอตารุ โอตารุเคยเป็น คลองขนส่งสินค้า ก่อนปรับบทบาทเป็น พิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–ร้านอาหาร ย่านเดียวกันในตอนกลางวันจะมี ศิลปิน–นักวาด–นักดนตรี สลับคิว โคมไฟสไตล์วิกตอเรียนและการประดับไฟยามค่ำทำให้ภาพรวม “โรแมนติก” และ เทศกาล Otaru Snow Story ช่วงกลาง พ.ย.–ต้น ก.พ. ก็ช่วยยืดฤดูกาลท่องเที่ยว

พิมพ์เขียวที่เข้ากับเชียงราย

  • คอนเซ็ปต์ “ถนนศิลปินกลางเมือง” เชียงรายเป็นเมืองศิลป์โดยสายเลือด—จากงานจิตรกรรม–ประติมากรรม–คราฟต์พื้นถิ่นสู่ศิลปะร่วมสมัย ริมคลองเกาะทองสามารถกำหนดแนวยาว “Artist Strip” ที่มีซุ้มงานวาด/งานปั้น/เป่าแก้ว/สกรีนพิมพ์—เชื่อมกับสตูดิโอขนาดเล็กและแกลเลอรีในระยะเดินถึง
  • คืนชีวิตให้ “น้ำ” ยามค่ำ ใช้ แสง–เงา–ไฟ เป็นภาษาของพื้นที่ เช่น โคมไฟย้อนยุคเรียงช่วง–งาน Projection Mapping บางเทศกาลบนผนังที่จัดทำเฉพาะกิจ—ทำให้ “คืนเชียงราย” ชวนเดินปลอดภัยและน่าจดจำ
  • เทศกาลตามวาระ วางปฏิทิน คลองศิลป์เชียงราย” ฤดูหนาว–ฤดูร้อน–ฤดูฝน แต่ละวาระมีธีมกิจกรรมต่างกัน (ตลาดงานพิมพ์, ดนตรีฟังสบาย, ศิลปะกับเด็ก, งานอาหารพื้นถิ่นในคืนลมหนาว) เพื่อกระจายคนและยืดการใช้งานทั้งปี
  • เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ Pop-up ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และ วิสาหกิจชุมชน เข้าถึงหน้าเช่าราคายุติธรรม แลกกับการรักษามาตรฐานและร่วมดูแลพื้นที่ร่วมกัน

โครงสร้างเทคนิค–การบริหารน้ำ หัวใจที่มองไม่เห็น แต่ทำให้ทุกอย่าง “อยู่ได้”

ทำไม “น้ำหมุนเวียน” สำคัญ คลองบำบัดน้ำเสียจะมีกลิ่นและเกิดตะกอนหากน้ำ นิ่ง การวางระบบ Solar Pump เพื่อจ่าย “น้ำดี” เข้า—ให้เกิด Flow ต่อเนื่อง—ช่วยสองเรื่องพร้อมกัน (1) ไล่น้ำเสีย ลงสู่ระบบบำบัด และ (2) เติมออกซิเจน ฟื้นระบบนิเวศทางน้ำ เมื่อหน้าร้อนยาวหรือหน้าแล้งมา น้ำยัง เคลื่อน จึงลดโอกาสเกิดกลิ่นได้มาก

ข้อควรระวัง

  • วาง เกณฑ์คุณภาพน้ำเป้าหมาย รายเดือน (เช่น ค่าความขุ่น–กลิ่น–การเกิดตะกอนริมตลิ่ง) และเผยแพร่เป็น Dashboard สาธารณะ ให้ชุมชนตรวจสอบได้
  • นอกจากปั๊ม ควรมี กระบวนการกรองหยาบ–ตะแกรงขยะ ที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ทีมชุมชนช่วยยก–เก็บได้ในกิจกรรมประจำสัปดาห์
  • ผนวก พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ากับ แบตเตอรี่สำรอง ในจุดสำคัญ เพื่อรักษาการไหลยามฟ้าปิด–ฝนต่อเนื่อง
  • ทำ คู่มือ O&M ที่ชัดเจน ตารางตรวจ–จุดทดสอบน้ำ–การแจ้งเหตุซ่อม–เวลาแก้ปัญหามาตรฐาน (SLA) ระหว่างเทศบาล–ชุมชน–ผู้รับจ้างบำรุงรักษา

ทั้งหมดนี้คือ “เครื่องจักรเงียบ” ที่ทำให้หน้าบ้าน (ทางเดิน–ร้าน–ศิลปะ) สวยและไม่สะดุด—ถ้าใจกลางระบบน้ำทำงานไม่ล้ม ความน่าเชื่อถือของแลนด์มาร์กก็ยืนระยะ

คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam
คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam

เศรษฐกิจย่านและผลประโยชน์สังคม ตัวเลขที่ควรมองและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผลต่อคุณภาพชีวิต

  • พื้นที่สีเขียวและทางเดิน–วิ่ง–ปั่น ช่วยเพิ่ม กิจกรรมทางกาย ของคนเมืองแบบ “เดินได้ทุกวัน”
  • ความปลอดภัย ดีขึ้นจากระบบไฟ–กล้อง–การออกแบบพื้นที่เปิดโล่ง ลด “มุมอับ”
  • ทุนสังคม แข็งแรงขึ้นเมื่อชุมชนมี “งานกลางแจ้งร่วมกัน” อย่างสม่ำเสมอ

ผลต่อเศรษฐกิจในรัศมีเดินเท้า

  • โอกาสของ SMEs/วิสาหกิจชุมชน คาเฟ่–ของที่ระลึก–สตูดิโอเวิร์กช็อป–เช่าจักรยาน—รายได้กระจายสู่คนในพื้นที่โดยตรง
  • ผลทวีคูณ (Multiplier) เมื่อย่านมีเหตุผลให้มาเยือน ทั้งเช้า–บ่าย–ค่ำ ร้านค้าในตรอกใกล้เคียงจะได้ลูกค้าต่อเนื่อง เกิด เศรษฐกิจย่อยรายรอบคลอง
  • การตลาดเมือง (City Branding) ภาพ “คลองสวย–สะอาด–ศิลปะ” เสริมแบรนด์ “นครแห่งความสุข” ของเชียงราย เชื่อมกับสินทรัพย์ท่องเที่ยวหลักของเมือง (วัด–พิพิธภัณฑ์–ย่านเก่า–คาเฟ่) และ ปั่นต่อ ไปยังแลนด์มาร์กใหม่ ๆ ได้ในแนวทาง เที่ยวระยะสั้น–หลายจุด

ชวนคิด แม่ข่าพิสูจน์แล้วว่า “บรรยากาศดี + เดินง่าย + ร้านมีเอกลักษณ์” = คนอยากกลับมาอีก ส่วนโอตารุสอนว่า “เทศกาล + แสงยามค่ำ” = ยืดเวลาการใช้งานพื้นที่ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้น หากคลองเกาะทองเดินตามนี้อย่างมีวินัย ตัวเลขผู้มาเยือนและรายได้ชุมชนจะ “ไหล” ตามสายน้ำที่หมุนเวียนไม่หยุด

ธรรมาภิบาล–กติกาย่าน–การมีส่วนร่วม ทำให้ย่าน “สวยและเป็นธรรม” พร้อมเติบโต

ตั้งกติกาให้ชัดตั้งแต่ต้น

  • Zoning & Design Code ความกว้างทางเดิน–ระยะร่นอาคาร–ความสูง–วัสดุริมตลิ่ง–สีและป้าย—เพื่อให้ภาพรวมเรียบ งาม และเดินสบาย
  • Vendor & Activity Curation ระบบคัดสรรผู้ค้า/ศิลปินที่คุมคุณภาพสินค้า–บริการ และร้อยกับอัตลักษณ์เชียงราย ลดโอกาส “สตรีทซ้ำแบบทุกเมือง”
  • เสียงของชุมชน เวทีรับฟังความเห็นสม่ำเสมอ (รายไตรมาส) เพื่อปรับแผนกิจกรรม–เวลาเปิด–ระบบดูแลพื้นที่ ไม่ให้ย่าน “เหนื่อยล้า” จากความนิยม
  • ค่าตอบแทนเป็นธรรม อัตราหน้าร้าน/การใช้พื้นที่สาธารณะควรมี Rate พิเศษ สำหรับชุมชนรอบคลอง–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่–ผู้พิการ/ผู้สูงอายุ–กิจกรรมสาธารณะ เพื่อให้ เศรษฐกิจย่านเติบโตแบบไม่ทิ้งกัน

โครงสร้างบริหารร่วม (Joint Operations)
สร้างกลไก คณะกรรมการคลองเกาะทอง” มีตัวแทนเทศบาล–สามชุมชน–ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม–ตำรวจ–นักท่องเที่ยว–ภาคธุรกิจในรัศมี เดินงานร่วมกัน 3 วงหลัก

  1. น้ำและสิ่งแวดล้อม (วัดคุณภาพน้ำ–ดูแลปั๊ม–เก็บขยะ–ความสะอาด)
  2. กิจกรรมและย่าน (ปฏิทินเทศกาล–คัดสรรผู้ค้า–มาตรฐานร้าน–ความปลอดภัยยามค่ำ)
  3. การสื่อสารและการตลาดเมือง (แบรนด์คลอง–สื่อสารภาพเดียว–ข้อมูลผู้มาเยือน–สำรวจความพึงพอใจ)

แผนเดินหน้า 12–18 เดือน จาก “งานกายภาพ” สู่ “ย่านที่มีชีวิต”

เฟส 1: งานฐานราก (0–6 เดือน)

  • เดินเครื่อง Solar Pump และระบบกรองหยาบ/ตะแกรงขยะ
  • ปรับขอบคลอง–ปรับผิว–วาง Walkway ต่อเนื่อง–เพิ่มไฟส่องสว่าง–จุดนั่งพัก
  • ปลูกไม้ดอก–ไม้พุ่ม–เพิ่มร่มเงาบางช่วง—เลือกชนิดดูแลง่าย ทนสภาพอากาศเหนือ
  • ทดลอง กิจกรรมความถี่ต่ำ (เสาร์–อาทิตย์/รายเดือน) เพื่อเทสต์การจัดการฝูงชน–จุดขาย–จุดเสี่ยง

เฟส 2: กติกาและคัดสรร (6–12 เดือน)

  • ออก Design Code–Vendor Code พร้อมประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
  • เปิดรับผู้ค้า/ศิลปินรอบแรก—คละประเภท เพื่อสร้างประสบการณ์หลากหลาย
  • ตั้งทีม O&M ประจำคลอง (เทศบาล + อาสาชุมชน + ผู้รับจ้าง) พร้อม SLA ชัดเจน

เฟส 3: เทศกาลและแสงเมือง (12–18 เดือน)

  • เปิดตัวเทศกาล คลองศิลป์เชียงราย” ครั้งที่ 1 (ธีมฤดูหนาว) พร้อมงานไฟ–ดนตรี–เวิร์กช็อปเด็ก
  • เชื่อมเส้นทางจักรยาน/เดินต่อไปย่านใกล้เคียง—ทำ Map เมืองเดินได้
  • เริ่มเก็บข้อมูลผู้มาเยือน–การใช้จ่าย–ความพึงพอใจ (แบบสอบถาม/นับคน) เพื่อปรับแผนปีถัดไปอย่างมีข้อมูล

ความเสี่ยงและทางกันคลื่น เมืองที่งามอย่างยั่งยืนต้อง “เอาชนะความเคยชิน”

  • เสน่ห์หายเพราะล้น ถ้ากิจกรรม–ร้าน–คนแน่นเกินไปจนเดินไม่สบาย–ขยะสะสม–เสียงดัง–จราจรรอบย่านตึง ภาพจำจะเปลี่ยนเร็ว ต้องใช้ เพดานการใช้พื้นที่ (Carrying Capacity) ที่ประเมินจากความกว้างทางเดิน–จำนวนจุดนั่ง–ทางหนีไฟ และหมุนเวียนกิจกรรมไม่ให้หนาแน่นเกินไป
  • ราคาที่ดิน–ค่าเช่าไหลแรง ตั้ง โควต้า/เพดานค่าเช่าพื้นที่สาธารณะ ฝั่งชุมชน เพื่อคง สมดุลสังคม ไม่ให้คนดั้งเดิมถูกเบียดออก
  • ระบบน้ำสะดุด = ความเชื่อมั่นหาย กำหนด ทีมฉุกเฉิน ซ่อมบำรุงภายในเวลามาตรฐาน พร้อม สื่อสารโปร่งใส กรณีเกิดเหตุ—รักษาความเชื่อใจของสาธารณะ
  • ความสับสนภาพลักษณ์ วาง แบรนด์คลองเกาะทอง ให้ชัด (โลโก้–โทนสี–ป้าย–ภาษาภาพ) และสร้าง คู่มือใช้แบรนด์ สำหรับผู้ค้า/กิจกรรม เพื่อให้ภาพรวม “พูดภาษาเดียวกัน”

มองไกล “โครงสร้างพื้นฐานของความสุข” ที่พาคนทั้งเมืองเดินไปด้วยกัน

“คลองในเมือง” ไม่ควรเป็นเพียง แนวระบายน้ำ แต่เป็น ที่ว่างของความสุขร่วมกัน คลองเกาะทองกำลังเดินหน้าในทางนี้ด้วยชุดเครื่องมือครบมือ—ระบบน้ำหมุนเวียนสะอาด + ทางสาธารณะเดินสบาย + ชุมชนเข้มแข็ง + วิสัยทัศน์เมืองแห่งความสุข หากเรียนรู้จากแม่ข่าและดึงแรงบันดาลใจบางส่วนจากโอตารุ (ในแบบที่เป็นเชียงรายเอง) การเกิดขึ้นของ ถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

และเมื่อทุกอย่างเข้าที่—ตั้งแต่กลิ่นน้ำที่หายไปจนถึงไฟยามค่ำที่อบอุ่น—ชื่อของคลองเกาะทองจะค่อย ๆ ถูกเรียกขานด้วยคำใหม่ หมุดหมายใหม่ของเชียงราย” ที่คนอยากกลับมาซ้ำ เพียงเพราะที่นั่น เดินแล้วสบายใจ

ข้อเสนอฉบับย่อ “คลองเกาะทองสไตล์เชียงราย”

  • หัวใจเทคนิค เดินเครื่อง Solar Pump + ระบบกรองหยาบ + Dashboard คุณภาพน้ำสาธารณะ
  • หัวใจพื้นที่ Walkway ต่อเนื่อง–ไฟทาง–ที่นั่ง–ไม้ดอก–ร่มเงา–ขอบน้ำโปร่ง
  • หัวใจกิจกรรม ถนนศิลปิน–ตลาดงานคราฟต์–ดนตรีรับลม–เทศกาลไฟฤดูหนาว
  • หัวใจธรรมาภิบาล Zoning & Design Code + Vendor Code + เพดานใช้พื้นที่ + ส่วนร่วมชุมชน
  • หัวใจยั่งยืน ทีม O&M เฉพาะ–SLA ซ่อมไว–เผยแพร่ข้อมูลโปร่งใส–แบบสำรวจผู้ใช้พื้นที่สม่ำเสมอ

 

ทำไม “คลองเกาะทองเวอร์ชันญี่ปุ่นเบา ๆ” จึงคุ้มค่าเมือง

  1. สุขภาวะประชาชน เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมกายภาพประจำวัน—เมืองสุขภาพดี “ลดค่ารักษา” ในระยะยาว
  2. ศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้น—รายได้จ่อเข้าคนท้องถิ่น–ผู้ประกอบการรายเล็ก
  3. แบรนด์เมือง แข็งแรง—เชียงรายไม่ได้มีดีแค่แลนด์มาร์กดังเดิม แต่มี “คลองสีเขียวสายใหม่” ใจกลางเมือง
  4. การเรียนรู้ของเมือง—ชุมชนได้ทักษะดูแลพื้นที่สาธารณะและระบบเทคนิค (น้ำ–ไฟ–ความปลอดภัย) อย่างแท้จริง

สิ่งที่เชียงรายทำอยู่ไม่ใช่เพียง “ปรับภูมิทัศน์” แต่คือการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของความสุข ให้คนเมือง—และถ้าหัวใจเทคนิค–การจัดการ–กิจกรรม–ธรรมาภิบาล วิ่งไปพร้อมกัน คลองเกาะทองจะไม่ใช่แค่ “ที่สวย” แต่จะเป็น “ที่ที่อยากอยู่และอยากกลับมา” เหมือนที่แม่ข่าทำได้ และโอตารุเล่าเรื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ

จาก “คลองบำบัดน้ำเสีย” สู่ “ถนนศิลปินริมคลอง”—เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเรียก แต่คือ การสร้างระบบ ให้คน เดิน–ดู–ดื่มด่ำ–และดูแลร่วมกัน เมื่อระบบน้ำไหลอย่างมีชีวิต ทางเดินต่อเนื่องอย่างพอดี ร้านค้า–งานศิลป์มีตัวตนของเชียงราย และกติกาย่านทำให้เติบโตอย่างเป็นธรรม วันนั้น “คลองเกาะทอง” จะไม่ใช่เพียงทางผ่านของน้ำ แต่เป็น ทางผ่านของความสุข ที่คนทั้งเมืองภูมิใจ และนักเดินทางอยากแวะซ้ำ—เหมือนที่เราเคยเห็นที่แม่ข่า และตกหลุมรักที่โอตารุมาแล้ว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กลยุทธ์ Fixed Rate One Budget Hotel สร้างความแตกต่างในตลาดโลว์คอสต์เชียงราย

“One Budget Hotel” ปักหมุดแม่สาย รับศึกโลว์คอสต์เชียงราย—ชู “Fixed Rate ราคาเดียวทั้งปี” เร่งขยายให้ครบ 10 สาขาในจังหวัดภายในปี 2568

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ในวันที่ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดแข่งขันดุเดือดและค่าครองชีพกดดันการตัดสินใจของนักเดินทาง “ราคาที่คาดเดาได้” กลายเป็นคำตอบของตลาดมากกว่าที่เคย นี่คือโจทย์ที่ โรงแรมวัน บัดเจท (One Budget Hotel) ภายใต้การขับเคลื่อนของ บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด เลือกหยิบขึ้นมาสร้างความแตกต่าง ผ่านยุทธศาสตร์ Fixed Rate ราคาเดียวทั้งปี พร้อมประกาศปักธงสาขาน้องใหม่ วัน บัดเจท เชียงราย—สาขาแม่สาย” ชายแดนเหนือสุดของไทย และตั้งเป้า “ปิดดีล” ให้ครบ 10 สาขาในจังหวัดเชียงรายภายในปี 2568 ควบคู่กับแผนขยายเครือข่ายไปยังหัวเมืองรองทั่วประเทศ

เสียงเล่าของผู้บริหารบอกตรงกันว่า ถูกและดี” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกน แต่เป็น “สัญญา” ต่อผู้บริโภคที่ต้องการที่พักสะอาด ปลอดภัย มีฟังก์ชันจำเป็นครบ และราคาที่ไม่เหวี่ยงขึ้นตามฤดูกาล—จุดยืนที่ส่งผลให้หลายสาขา ทำอัตราการเข้าพักเฉลี่ยมากกว่า 90% อย่างต่อเนื่อง นับจากเปิดสาขาแรกช่วงปี 2563 ท่ามกลางพายุโควิด-19 จนถึงวันที่แบรนด์กำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มกำลัง

จากหอพักสู่เครือข่ายโรงแรม—บทเรียนที่กลั่นเป็น “สูตรลับคุมต้นทุน”

เบื้องหลังความคึกคักของการเปิดสาขาแม่สาย คือภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ เริ่มต้นจากธุรกิจ หอพักและอาคารพาณิชย์ให้เช่า ก่อนจะต่อยอดความชำนาญด้านการบริหารสินทรัพย์และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) มาสู่โรงแรมราคาประหยัดแบบ Asset-Light ที่เน้นการควบคุมต้นทุนอย่างละเอียดในทุกห่วงโซ่ ตั้งแต่การเลือกทำเล การออกแบบห้องมาตรฐาน ไปจนถึงระบบซักรีดภายในเครือและการจัดซื้อรวมเพื่อให้ต้นทุนผันแปรต่อห้องต่ำที่สุด

ช่วงโควิด-19 ที่หลายธุรกิจสะดุด “วัน บัดเจท” เลือก กระจายความเสี่ยง ด้วยการปรับหอพักบางแห่งเป็นสถานที่กักตัว ASQ และรักษากำลังคนไว้ พร้อมอาศัย กระแสเงินสดสำรองอย่างน้อย 1 ปี เป็นกันชน พอกลับสู่ภาวะปกติ การดีดตัวของดีมานด์ในเมืองรองและหัวเมืองธุรกิจยิ่ง “ปลุกแบรนด์” ให้ติดตลาดไว ผู้เข้าพักจำนวนมากกลับมาใช้ซ้ำและ บอกต่อ ด้วยคอนเทนต์รีวิวจากผู้ใช้จริง (User Generated Content) บนแพลตฟอร์มโซเชียล

กลยุทธ์ “ราคาเดียวทั้งปี” ยอมแลกส่วนต่างกำไร เพื่อครอง “Top of Mind”

หัวใจของแบรนด์คือ Fixed Rate — ราคา เริ่มต้น 550 บาท/คืน ในหลายสาขา (บางสาขาในเมืองหลัก 600 บาท) ไม่เปลี่ยน แม้วันหยุดยาว ไฮซีซัน หรือเทศกาลใหญ่ ข้อเสนอที่ดูเรียบง่ายนี้ ทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “คีย์เวิร์ด” ติดหัว—เมื่อลูกค้าคิดถึงที่พักประหยัด “One Budget = ราคาเดิม” กลายเป็นภาพจำที่ชัดเจน

  • เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ราคาไม่แกว่ง สร้าง ความแน่นอน ให้ผู้บริโภค และช่วยปิดการขายล่วงหน้าในช่วงเทศกาลที่โรงแรมอื่นๆ ขยับราคาสูงขึ้น
  • ตัวอย่างสาขาพรีเมียม สาขา เชียงแสน ทดลองโมเดล “วิวริมน้ำโขง” ห้อง River View 850 บาท/คืน และ Deluxe River View ~1,400 บาท/คืน เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์มากขึ้น โดยยังยึดหลัก “ถูกและดี” เมื่อเทียบกับตลาดพื้นที่เดียวกัน

แทนที่จะวิ่งหา ADR สูงสุด (อัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อคืน) แบรนด์เลือกตั้งโจทย์ที่ยากกว่า—รักษา Occupancy Rate ให้สูงสม่ำเสมอ และยกเครื่องประสิทธิภาพการดำเนินงาน (จากห้องพักมาตรฐาน การบำรุงรักษารายวัน ไปจนถึงการบริหารสาธารณูปโภค) เพื่อขับเคลื่อน กระแสเงินสด ให้เสถียรในจุดราคาต่ำ นี่คือ “สูตรลับ” ที่ผู้บริหารลงมือทำเองจนเกิดวินัย

ทำเลคือทุกอย่าง สนามบิน—มหาวิทยาลัย—สามเหลี่ยมทองคำ—และ “แม่สาย”

เส้นทางขยายของ “วัน บัดเจท” เริ่มจากการปักหมุด เชียงราย เป็นฐาน และค่อยๆ เติมเครือข่ายไปตาม แหล่งดีมานด์คงที่ ใกล้สนามบิน มหาวิทยาลัย สถานกีฬา รวมถึงทำเลท่องเที่ยวชายแดน เช่น เชียงแสน–สามเหลี่ยมทองคำ และล่าสุดคือ แม่สาย ที่มีทั้งการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

  • ฐานที่มั่นเชียงราย เดินหน้าสู่ 10 สาขาในจังหวัด ภายในปี 2568 เพื่อสร้าง เครือข่ายหนาแน่น ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย (ลูกค้าทำธุระ–เซลส์–นักเดินทางต่างชาติ–กรุ๊ปทัวร์–หน่วยงานรัฐฯ)
  • หัวเมืองรองอื่น กำลังก่อสร้างใน พะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุพรรณบุรี พิษณุโลก แม่สอด (ตาก) พัทยา (ชลบุรี) และกรุงเทพฯ รวมแล้ว 19 สาขา (เปิดแล้ว+อยู่ระหว่างก่อสร้าง) เพื่อยึดพื้นที่ โลว์คอสต์ ที่ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่

ทำเลที่ดีประกอบกับ ที่จอดรถเพียงพอ ระบบคีย์การ์ดความปลอดภัย Wi-Fi ฟรี น้ำอุ่นแรง เครื่องดื่มยามเช้า และบางสาขามี ห้องฟิตเนส/ห้องประชุม ทำให้โรงแรมตอบโจทย์ “ลูกค้ามีภารกิจ” ไม่ว่าจะเป็นผู้เดินทางทำงาน หน่วยงานรัฐ/รัฐวิสาหกิจ และนักท่องเที่ยวที่ระมัดระวังงบประมาณ

โครงสร้างการเงิน–การบริหาร วินัยคือ “กำแพงกันคลื่น”

แม้ไม่เปิดเผยงบการเงินต่อสาธารณะ ผู้บริหารยืนยันว่ากิจการสามารถ ผ่านวิกฤติด้วยเงินสำรอง และ เครื่องมือสินเชื่อ ที่เหมาะสม โดยได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารกรุงไทย ทั้งสินเชื่อระยะยาวและวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) สำหรับการลงทุนซื้อที่ดินและก่อสร้างสาขาใหม่ ขณะเดียวกัน บริษัทเลือก “คุมเกม” ต้นทุนด้วยการทำ ซักรีดในเครือ การซื้อรวม และ ตารางบำรุงรักษาเข้ม—ห้องไหนมีปัญหา “ปิดซ่อมทันที” ไม่ปล่อยค้างจนกลายเป็นก้อนใหญ่ให้ต้องรีโนเวตยกชั้นภายหลัง

การเดินเกมแบบนี้สะท้อน “ความเป็นผู้ประกอบการเชิงวินัย” มากกว่าการไล่ตัวเลขสวยงามระยะสั้น เมื่อรวมกับ ราคาที่คงที่ และ อัตราการเข้าพักสูง ทำให้ภาพรวม กระแสเงินสด ไหลลื่นเพียงพอที่จะรับมือวงจรโลว์/ไฮซีซัน และ ดอกเบี้ยเงินกู้ ที่เป็นภาระต้นทุนทางการเงินสำคัญของธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดในยามเศรษฐกิจผันผวน

ตลาดโลว์คอสต์ที่ยังโต เมืองรอง–ท้องถิ่น–ท่องเที่ยวใกล้ตัว

บริบทมหภาคสนับสนุนแผนของ One Budget อย่างชัดเจน—หัวเมืองรอง และ แหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น กลับมาคึกคักตามจังหวะเศรษฐกิจและกิจกรรมระดับจังหวัด/ภูมิภาค ประกอบกับนิยาม “คุ้มค่า” ที่จับต้องได้มากกว่าเดิมในสายตาผู้บริโภคหลังโควิด ผู้เล่นโลว์คอสต์ที่มี มาตรฐานความสะอาด–ความปลอดภัย–ที่จอดรถ–อินเทอร์เน็ต และที่สำคัญคือ ราคาไม่ทำร้ายกระเป๋า จึง “ขึ้นแท่น” ตัวเลือกแรกในหลายทริป

ในระดับภูมิภาคเหนือ โครงการ รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ (กำหนดเปิดปี 2571) จะยิ่งเพิ่มการเข้าถึงพื้นที่ชายแดน และหนุนการเดินทางระหว่างจังหวัดแบบ Multi-City ซึ่งเป็น “โอกาสลำดับถัดไป” ของผู้ประกอบการโรงแรมราคาประหยัดที่วางเครือข่ายไว้ล่วงหน้าแล้ว

ความท้าทายที่รออยู่ ต้นทุนการเงิน–แรงงาน–มาตรฐานแบรนด์ และ “ชื่อคล้ายในบางพื้นที่”

แม้เส้นกราฟการเติบโตจะชี้ขึ้น แต่เส้นทางข้างหน้ามีโจทย์ท้าทายชัดเจน

  1. ต้นทุนการเงินและดอกเบี้ย — โมเดลที่ผลักดันการเติบโตด้วยการลงทุนสาขาใหม่ จำเป็นต้องรักษาวินัยการเงินอย่างเข้มข้น พร้อมสร้าง Economy of Scale ให้เกิดผลจริง เพื่อต้านแรงกดดันต้นทุน
  2. แรงงานบริการ — โรงแรมราคาประหยัดมักใช้สัดส่วนแรงงานต่อห้องจำกัด การรักษามาตรฐานงานทำความสะอาด–ซ่อมบำรุง–ฟรอนต์–ความปลอดภัย ให้คงเส้นคงวาขณะขยายสาขา “รวดเร็ว” เป็นโจทย์ที่ต้องลงทุนกับ ระบบฝึกอบรม–คู่มือปฏิบัติงาน และ การตรวจคุณภาพ (QA) แบบเข้มงวด
  3. มาตรฐานแบรนด์ในหลายสาขา — เมื่อแบรนด์โตเร็ว ความเสี่ยงเรื่อง คุณภาพไม่เท่ากัน ระหว่างสาขาเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสาขาแฟรนไชส์/พาร์ตเนอร์ในพื้นที่ที่ผู้ลงทุนท้องถิ่นเป็นผู้สร้างทรัพย์สินเอง จำเป็นต้องมี ข้อตกลงมาตรฐาน (SLA/Brand Standard) ชัดเจน เพื่อไม่ให้ “ของไม่ดี” กระทบภาพรวม
  4. ความสับสนจากชื่อคล้าย — ในตลาดยังพบผู้ประกอบการ ใช้นามทางการค้าคล้ายคลึง กันในบางพื้นที่นอกเชียงราย ซึ่งอาจสร้าง “เสียงสะท้อนด้านแบรนด์” หากคุณภาพและการสื่อสารไม่ไปในทางเดียวกัน การสร้าง ตราสัญลักษณ์–โดเมน–ช่องทางทางการ ที่สื่อสารชัดเจนว่า “One Budget Hotel ภายใต้ KS Group Residence (เชียงราย)” จึงเป็นเกราะป้องกันความสับสนที่ควรเร่งทำ
คุณผนิสา คงอ่ำ กรรมการบริหาร บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด เครดิต : krungthai-update วันที่ 25 ก.ค. 2567

เสียงจากทีมบริหาร บทเรียนจากสนามจริง

สาระสำคัญที่ทีมบริหารสรุปไว้—และถูกใช้เป็น “คู่มือภายใน”—มีดังนี้

  • เข้มกับรายละเอียด อยู่ใกล้ปัญหาหน้างาน รับรู้จากพนักงานด่านหน้า แก้ให้ไว ปัญหาเล็กจะไม่ลาม
  • มีอัตลักษณ์ชัด โปรดักต์ต้อง “ดีจริง” แล้วลูกค้าจะเป็นกระบอกเสียงให้เอง
  • ซ่อมเป็นวินัย ไม่ใช่เป็นเทศกาล มีตารางบำรุงรักษาถี่—เช่น ล้างแอร์ทุก 2–3 เดือน—ห้องเสียปิดซ่อมทันที
  • ปรับให้เข้าทำเล หากคู่แข่งรอบข้างบริการอาหารเช้าแบบครบ “เราต้องมี” เพื่อรักษาความคุ้มค่าโดยไม่ทำลายโครงสร้างราคา

ในมุมรายได้ ผู้บริหารยอมรับว่าเคย ปรับราคาพื้นฐาน จาก 500 เป็น 550 บาท/คืน เมื่อปลายปีที่ผ่านมาเพราะต้นทุนดอกเบี้ยและค่าสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น แต่ยัง “คงแกน” Fixed Rate เพื่อรักษาภาพจำและความภักดีของลูกค้า—แนวทางที่ลูกค้าส่วนใหญ่ “เข้าใจและยอมรับได้” เพราะยังอยู่ในจุดราคาที่รู้สึกว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น

แม่สาย” มากกว่าสาขาใหม่ คือบททดสอบการยึดฐานชายแดน

สาขาแม่สายไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายเชิงจำนวนสาขา แต่คือ บททดสอบเชิงกลยุทธ์ ของแบรนด์ในพื้นที่ชายแดนที่มี ดีมานด์หลากหลาย—นักท่องเที่ยวเดินทางไป–กลับ, ผู้ค้าชายแดน, หน่วยงานรัฐฯ และกรุ๊ปงานบุญ/งานเทศกาล การผสมผสาน ราคาที่แน่นอน กับ แฟซิลิตีสำคัญ (ที่จอดรถกว้าง คีย์การ์ดสองชั้น Wi-Fi เร็ว) จะเป็นตัวชี้วัดว่าคอนเซ็ปต์ “ถูกและดี” ของ One Budget เหมาะกับ “ดีมานด์จริง” ในเมืองชายแดนเพียงใด

ถ้าแม่สาย “ติดตลาด” ตามจังหวะเชียงแสน สนามบิน และย่านพาณิชยกรรมในตัวเมือง เชียงราย 10 สาขาภายในปี 2568 ก็ไม่ใช่เพียงตัวเลขสวย แต่คือ ฐานราก ของการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า—ขยายสู่หัวเมืองรองทั่วประเทศ และเปิดทางสู่ แผนเข้าจดทะเบียน ในอนาคตเมื่อระบบธรรมาภิบาลพร้อม

ไฮไลต์ธุรกิจ (Business Highlights)

  • Positioning: โรงแรมราคาประหยัด (2–3 ดาว) เน้น “ถูกและดี”
  • Pricing: Fixed Rate ราคาเดียวตลอดปี หลายสาขาเริ่ม 550 บาท/คืน (สาขาเมืองหลักบางแห่ง 600 บาท)
  • Product: เตียงคิง 6 ฟุต/ทวิน 3 ฟุต, แอร์เย็นฉ่ำ, ฝักบัวน้ำอุ่นแรง, Wi-Fi ฟรี, คีย์การ์ด 2 ชั้น, ที่จอดรถ, เครื่องดื่มยามเช้า; บางสาขามี ฟิตเนส/ห้องประชุม
  • Premium Trial: เชียงแสน—River View 850 บาท, Deluxe River View ~1,400 บาท
  • Occupancy: ผู้บริหารระบุหลายสาขา >90% ต่อเนื่อง
  • Network: รวมเปิดแล้ว+ก่อสร้าง 19 สาขา ทั้งประเทศ; ตั้งเป้า 10 สาขาในเชียงราย ปี 2568
  • Finance: สนับสนุนโดย ธนาคารกรุงไทย (O/D + สินเชื่อระยะยาว); เน้น เงินสำรอง + ควบคุมต้นทุน
  • Risk Control: บำรุงรักษาเชิงป้องกัน–QA เข้ม–มาตรฐานแบรนด์–สื่อสารตราสัญลักษณ์เพื่อลดความสับสนชื่อคล้าย

ราคาที่คาดเดาได้ + วินัยปฏิบัติการ = สูตรโค้งยาวของโลว์คอสต์

ในตลาดที่ผู้บริโภค “คิดคุ้ม” มากขึ้น One Budget Hotel กำลังพิสูจน์ว่ากลยุทธ์ Fixed Rate สามารถสร้าง “ความไว้ใจ” ที่ต่อยอดเป็น การเข้าพักซ้ำ และ การบอกต่อ ได้จริง เมื่อประกอบกับโครงสร้างการบริหารที่ “เข้มกับวินัย–เบากับทรัพย์สิน–หนักแน่นกับเงินสด” แบรนด์จึงกลายเป็นผู้เล่นโลว์คอสต์ที่ “วิ่งโค้งยาว” ได้ ไม่ใช่แค่ “สปรินต์” ระยะสั้น

อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่เครือข่ายระดับประเทศและแผนตลาดทุนต้องอาศัย ธรรมาภิบาลแบรนด์ และ มาตรฐานบริการ ที่คงเส้นคงวาในทุกสาขา โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ประกอบการใช้นามคล้ายในบางพื้นที่ การสื่อสารให้ชัดว่ากลุ่มเชียงรายอยู่ภายใต้ KS Group Residence และการวาง “มาตรฐานกลาง” ที่ตรวจวัดได้ จะเป็นหัวใจในการป้องกันความสับสนและยกคุณภาพทั้งเครือ

สาขาแม่สายคือบททดสอบสำคัญ ถ้าทำได้ตาม “สูตรเชียงราย” เมืองรองอื่นที่กำลังสร้างก็น่าจะ “ติด” เช่นกัน และเมื่อรถไฟทางคู่เปิดเดินรถในปี 2571 เครือข่ายที่ปักไว้ล่วงหน้าจะรับแรงดีดของดีมานด์ได้เต็มประสิทธิภาพ—ถูกและดี จึงไม่ใช่เพียงคำขวัญ แต่เป็น กลยุทธ์การลงทุน ที่วางบนความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและวินัยการดำเนินงานอย่างถึงแก่น

คำกล่าว/มุมมองจากผู้บริหาร (อ้างอิงจากการให้ข้อมูลสาธารณะ)

  • คุณผนิสา คงอ่ำ – กรรมการบริหาร บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด
    “เราตั้งใจให้ ราคาคงที่ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจง่าย—จะมาวันไหนก็ ราคาเดียว ช่วงเทศกาลห้องมักเต็มล่วงหน้า เพราะที่อื่นราคาพุ่ง แต่เรายังยึดหลัก ‘ถูกและดี’ และชดเชยด้วยประสิทธิภาพหน้างาน ทั้งตารางบำรุงรักษาและการควบคุมต้นทุนเชิงระบบ”
  • แนวทางบริหารความเสี่ยง
    “ในโควิดเราไม่เลย์ออฟ ใช้เงินสำรอง–ปรับหอพักเป็น ASQ และลดราคาชั่วคราวเพื่อดึงลูกค้าให้มาสัมผัสประสบการณ์จริง วันนี้แม้ต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น เราก็ยังรักษา Fixed Rate เป็นแกน เพื่อความเชื่อมั่นระยะยาว”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท เคเอส กรุ๊ป เรสซิเดนซ์ จำกัด / One Budget Hotel
  • ธนาคารกรุงไทย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา อุโมงค์แม่กาพลิกเกม เร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่สู่เชียงของ

รถไฟทางคู่ภาคเหนือ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” เดินหน้าครบครึ่งทาง เจาะทะลุอุโมงค์แม่กาเร็วกว่าแผน 10 เดือน สู่ฤดูกาลเร่งเครื่องก่อนเปิดใช้ปี 2571

เชียงราย/พะเยา, 14 ตุลาคม 2568 — แสงไฟสาดสะท้อนปลายโพรงหิน ก่อนเสียงปรบมือดังพร้อมเสียงหวูดเครื่องจักรดังก้องในหุบเขา… “แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา” ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง หากคือจุดพลิกเกมของ โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ เมื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประกาศ เจาะทะลุอุโมงค์แม่กา ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา ได้ เร็วกว่าแผนถึง 10 เดือน ท่ามกลางภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินและฤดูกาลฝนที่ทดสอบวินัยของวิศวกรไทยกว่าหนึ่งปีเต็ม

ในพิธีบวงสรวงเพื่อความเป็นสิริมงคลเมื่อ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งมี นายอรรถพล เก่าประเสริฐ วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง รฟท. เป็นประธาน พร้อมคณะวิศวกรโครงการ นำโดย นายธีระ รุ่งโรจน์สุวรรณ และ นายปัฐตพงษ์ บุญแก้ว ตลอดจนกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา CSDCC และผู้รับจ้าง กิจการร่วมค้าซีเคเอสที ดีซี 2 ความคืบหน้าชิ้นนี้ถูกยืนยันด้วยตัวเลขหน้างาน อุโมงค์แม่กา ยาว 2,700 เมตร (ขุดสองทิศรวม 5,400 เมตร) เดินหน้าแล้ว 59.76% เร็วกว่าเป้า 2.60% และช่วยผลักดันสถานะรวมทั้งโครงการให้ คืบหน้าเฉลี่ย 43.984% ณ กลางเดือนตุลาคม

การเจาะทะลุ “แม่กา” คือหมุดหมายสำคัญของ สัญญาที่ 2 (ช่วงงาว–เชียงราย) และเป็นสัญญาณว่าคอขวดด้านอุโมงค์—งานที่เสี่ยงและใช้เวลานานที่สุด—กำลังผ่านจุดหักเห เพื่อเปิดทางให้ “งานบนดิน” เร่งก่อสร้างราง ทางยกระดับ และสถานี รวม 26 สถานี ตลอดระยะทางกว่า 323 กิโลเมตร จาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน จ.พะเยา–จ.เชียงราย สิ้นสุดที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งถูกออกแบบให้มีทั้ง ทางระดับดิน ทางยกระดับ และอุโมงค์ 4 แห่ง รวมความยาวอุโมงค์ กว่า 27 กิโลเมตร โดยเฉพาะ อุโมงค์งาว จ.ลำปาง ที่มีความยาว กว่า 6 กิโลเมตร เตรียมขึ้นแท่น อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดแห่งใหม่ของไทย

โครงเรื่องใหญ่ของรางเหล็ก ทำไม “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” จึงสำคัญ

รถไฟสายใหม่นี้มิใช่แค่บรรทัดหนึ่งในแผนแม่บทคมนาคม หากคือ “เส้นเลือดฝอยเชื่อมเส้นเลือดใหญ่” ของเศรษฐกิจเหนือ จากแพร่–ลำปาง–พะเยา–เชียงราย ไปถึง ด่านพรมแดนเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อ สปป.ลาว และเครือข่ายโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) อย่างมีนัยสำคัญ

  • ระยะทางรวม: ~323 กม.
  • สถานี: 26 สถานี (ออกแบบรองรับทั้งผู้โดยสารและสินค้าในบางสถานี)
  • รูปแบบเส้นทาง: ทางระดับดิน ทางยกระดับ และอุโมงค์ 4 แห่ง (รวมยาว >27 กม.)
  • อุโมงค์ไฮไลต์: อุโมงค์งาว >6 กม. (ลำปาง) ว่าที่อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในไทย
  • แผนเปิดใช้: ภายใน ปี 2571 (นับจากสถานะคืบหน้า 43.984% ณ ต.ค. 2568)

การมีรางคู่สายใหม่ที่ “สอดเข้าไป” กลางภูมิประเทศภูเขาสลับซับซ้อน หมายถึง การร่นเวลาเดินทาง–ขนส่ง, ลดต้นทุนโลจิสติกส์, เพิ่มความถี่และความตรงเวลา, และ เพิ่มความปลอดภัย เมื่อเทียบกับการขนส่งถนนบนทางลาดชัน ทั้งยังช่วยแบ่งเบาความแออัด–การสึกหรอสาธารณูปโภคทางหลวงสายหลักในฤดูกาลท่องเที่ยวและฤดูผลผลิต

จากปลายสว่านถึงปลายราง อุโมงค์คือ “ตัวตั้งเวลา” ของทั้งโครงการ

โครงการทางยาวในภูมิประเทศเป็นเทือกเขา วาระสำคัญคือ “จังหวะอุโมงค์” เพราะเป็นงานเสี่ยงสูง ใช้เครื่องจักรเฉพาะและทีมงานที่ต้องเดินหน้า 24 ชั่วโมง ภายใต้กรอบ ความปลอดภัย–ธรณีวิทยา–สภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

อุโมงค์แม่กา ที่เจาะทะลุได้เร็วกว่ากำหนดถึง 10 เดือน จึงเป็น “ตัวเร่งเวลา” ให้สัญญาที่ 2 สามารถโยกกำลังคน–เครื่องจักรไปหน้างานโครงสร้างอื่นได้เร็วขึ้น ในขณะที่ อุโมงค์งาว (ยาว >6 กม.) และอุโมงค์อื่นในแนวเส้นทางยังคงเป็น สมการหลัก ที่ผู้รับจ้างและ รฟท. ต้องบริหารความเสี่ยงแบบวันต่อวัน—ความสำเร็จของแม่กาเป็นทั้ง สัญญาณความพร้อม และ แรงใจ ของทีมวิศวกรด้านอุโมงค์ทั่วแนวเส้นทาง

แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา” ภาพจำ–พลังใจ–ความเป็นเจ้าของร่วม

เบื้องหลังความเร็วกว่าแผน 10 เดือน ไม่ใช่แค่ความสามารถของเครื่องจักร แต่คือ การวางแผนเชิงรุก การจัดลำดับงาน (sequencing) และ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ–ที่ปรึกษา–ผู้รับจ้าง–ชุมชน การจัดพิธีบวงสรวง ณ ปากอุโมงค์แม่กา นอกจากเพื่อความเป็นสิริมงคล ยังสะท้อน “การสื่อสารสาธารณะ” ว่านี่คือ โครงการของชุมชน ไม่ใช่ “โครงการของรัฐฝ่ายเดียว” เสียงและสายตาของคนพะเยาที่เห็นแสงแรกในอุโมงค์ จึงเทียบได้กับการเห็น โครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้ กำลังพุ่งเข้ามาในเมืองของตน

ภาพรวมความคืบหน้า 43.984% “ตัวเลขเดียว” ที่ซ่อนหลายสมการ

ตัวเลขรวม 43.984% บอกความจริงได้เพียงส่วนหนึ่ง โครงการใหญ่ที่ยาว 323 กม. มี ความต่างทางเทคนิค ระหว่างสัญญา/ตอน เช่น ตอนที่เป็นที่ราบ (งานดิน–คันทาง–สะพาน) จะเดินหน้าเร็วกว่าตอนที่มีอุโมงค์ยาวหรือทางยกระดับยาว ขณะเดียวกัน “งานระบบ” (ราง–สัญญาณ–โทรคมนาคม–ไฟฟ้า) มักไล่ตามหลังงานโยธา และจะเร่งตัวแรงมากในช่วง ปีสุดท้ายก่อนเปิดบริการ นั่นหมายความว่า แม้นาทีนี้จะยังไม่ถึง “ครึ่งหลัง” ของเวลาโครงการ แต่ ความเร็วเฉลี่ย ใน 12–18 เดือนข้างหน้าอาจสูงขึ้นอย่างชัดเจน หากอุโมงค์หลักคืบตามแผน

เศรษฐกิจที่รอราง จากฟาร์ม–โรงงาน–ด่านชายแดน สู่ตลาดใหม่

แม้ผู้สื่อข่าวจะยังไม่มีตัวเลขทางการเรื่อง เวลาที่ร่นลง หรือ ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง สำหรับสายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ (ตัวเลขดังกล่าวโดยปกติจะมาพร้อมรายงานประเมินผลหลังเปิดใช้) แต่ตรรกะพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และประสบการณ์จากสายทางคู่อื่นในไทยชี้ว่า ผลกระทบเชิงบวกจะเกิด สามชั้น

  1. ชั้นจังหวัด — การเคลื่อนย้ายคน–ของระหว่างเมืองหลัก (แพร่–พะเยา–เชียงราย) รวดเร็วขึ้น เกิดอานิสงส์กับ ท่องเที่ยว (เมืองรอง), เกษตรแปรรูป, ผู้ประกอบการ SMEs และ นิคมอุตสาหกรรม/เขตส่งเสริม ที่อาจเกิดขึ้นตามสถานีขนาดใหญ่
  2. ชั้นภูมิภาคเหนือ–GMS — เชื่อม เชียงของ เข้ากับเครือข่ายสะพานข้ามโขง–สปป.ลาว เพิ่มทางเลือกขนส่งสินค้าออกนอกประเทศผ่านแดนตะวันออกเฉียงเหนือของภาคเหนือ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรสด/แช่เย็น/แปรรูปที่ต้องการ เวลา–ความเสถียร มากกว่าความเร็วสูงสุด
  3. ชั้นประเทศ — กระจายโครงสร้างพื้นฐานออกจาก คอขวดภาคกลาง ช่วยยืดอายุการใช้งานถนน–สะพานหลัก ลด externalities (การชน–มลพิษ–การสึกหรอ) และวางฐานให้ ตู้สินค้า–ขบวนรถ กลายเป็น “โครงกระดูก” ของระบบขนส่งที่ไทยพยายามสร้างสมดุลระหว่าง Road–Rail–River–Air

วิศวกรรม–ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม สามเหลี่ยมที่ต้องสมดุล

งานอุโมงค์ในภูมิประเทศภาคเหนือบังคับให้โครงการต้อง เข้มข้นเรื่องความปลอดภัย ตั้งแต่การสำรวจธรณีวิทยา (ชั้นหิน–รอยเลื่อน–น้ำใต้ดิน), การออกแบบค้ำยัน, ระบบระบายอากาศ, ไปจนถึง การซ้อมอพยพฉุกเฉิน เมื่อทะลุทั้งสองปากแล้ว ยังต้องงาน “รองรับการเดินรถ” เช่น ช่องหลบภัย, ระบบดับเพลิง, ระบบตรวจจับควัน–กล้อง, และ การเชื่อมต่อสื่อสาร กับศูนย์ควบคุมการเดินรถ (OCC)

ด้านสิ่งแวดล้อม การเปิดหน้าดิน–ขุดอุโมงค์–ทำทางยกระดับในภูเขา ต้อง บริหารตะกอน–ดิน–น้ำ อย่างเคร่งครัด ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ร่วมกับการปลูกป่าทดแทน–คืนผิวหน้าดิน–กำแพงกันดิน–ระบบระบายน้ำถาวร ก่อน–ระหว่าง–หลังงาน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแหล่งน้ำสาธารณะและชุมชนลุ่มน้ำใกล้เคียง โดยเฉพาะช่วงพะเยา–เชียงรายที่ประชาชน ใช้แม่น้ำ–ลำห้วย เป็นฐานเศรษฐกิจชุมชน

สถานี–เมือง–พื้นที่รอบสถานี โอกาสและโจทย์ของ “การพัฒนาเชิงที่ดิน”

รถไฟสร้าง สถานี และสถานีสร้าง เมืองย่อย นี่คือสมการที่ไทยต้องวางแผน “TOD—Transit Oriented Development” ตั้งแต่วันนี้ เขตเมืองที่สถานีตั้งอยู่ (โดยเฉพาะสถานีหลักใน พะเยา–เชียงราย) ควรเตรียม ผังเมือง–ผังแม่บท รอบสถานีให้รองรับ ที่อยู่อาศัย–พาณิชยกรรม–บริการสาธารณะ–ลานเชื่อมต่อรถ–จักรยาน–คนเดิน พร้อมมาตรการคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อไม่ให้ การเก็งกำไร ทำลายความสมดุลราคาและคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น

เปิดปี 2571” เส้นตายที่ต้องวิ่งด้วย “ความร่วมมือ”

เป้าหมาย เปิดบริการปี 2571 คือเส้นตายที่นับถอยหลังแล้ว นอกจากอุโมงค์ที่เป็นคอขวด ยังมี “งานระบบ” (ราง–อาณัติสัญญาณ–ไฟ–สื่อสาร), “จัดขบวนรถ–ทดสอบ”, “ความพร้อมฝ่ายเดินรถ–ซ่อมบำรุง”, และ “ความปลอดภัยอุโมงค์” ที่ต้องผ่านเกณฑ์ทดสอบหลายชั้น ก่อนเปิดเดินรถพาณิชย์จริง การรักษาโมเมนตัมหลัง “แม่กา” จึงต้องอาศัย สี่ขา เดินพร้อมกัน—รฟท. ในฐานะเจ้าของโครงการ, ผู้รับจ้าง ในฐานะมือปฏิบัติ, ที่ปรึกษา ในฐานะผู้พิสูจน์คุณภาพ และ ชุมชน–ท้องถิ่น ในฐานะเจ้าของพื้นที่ตัวจริง

เมื่อรถไฟมาถึง เราพร้อมหรือยัง

รถไฟคือโครงสร้างพื้นฐาน แต่ผลลัพธ์คือ วิถีชีวิตใหม่ เมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย–พะเยาอาจเห็น แพ็กเกจเที่ยว 2–3 วัน ที่ยึด “สถานีรถไฟ” เป็นจุดตั้งต้น โรงงานแปรรูป–คลังสินค้าอาจขยับตามแนวทางคู่ และ โลจิสติกส์ชายแดนเชียงของ อาจมีกรอบความร่วมมือใหม่กับฝั่งลาว เพื่อให้ “ของไหลลื่น” ต้นทุนบีบลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ขณะเดียวกัน ความปลอดภัยชุมชน–สิ่งแวดล้อม–เสียง–ฝุ่น–จราจรหน้าสถานี ต้องถูกคิดล่วงหน้าและบริหารแบบ ร่วมออกแบบ กับคนพื้นที่

“แสงสำเร็จแห่งเมืองพะเยา” จึงไม่ใช่จุดจบของงานอุโมงค์ แต่เป็น ไฟสัญญาณ ว่าโครงการเข้าโค้งครึ่งหลังแล้ว ความคืบหน้า 43.984% คือสัญญาว่าถ้าเรารักษาจังหวะงาน ควบคู่กับการสื่อสาร–มีส่วนร่วม–ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ จะกลายเป็น กระดูกสันหลังโครงสร้างพื้นฐานภาคเหนือ ที่จับต้องได้ใน ปี 2571 ตามที่สังคมคาดหวัง

สรุปสถานะและสาระสำคัญ (เพื่อการตัดสินใจ/การทำงาน)

  • สถานะโครงการ (ต.ค. 2568): คืบหน้าเฉลี่ย 43.984%
  • เหตุการณ์เด่น: เจาะทะลุอุโมงค์แม่กา ได้เร็วกว่าแผน 10 เดือน ความก้าวหน้างานอุโมงค์ 59.76% เร็วกว่าเป้า 2.60%
  • องค์ประกอบโครงสร้างหลัก: ทางระดับดิน–ยกระดับ–อุโมงค์ 4 แห่ง (รวมยาว >27 กม.), สถานีรวม 26 แห่ง, ระยะทางรวม ~323 กม.
  • อุโมงค์ยาวที่สุด: อุโมงค์งาว จ.ลำปาง ยาว >6 กม. (ว่าที่อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในไทยแห่งใหม่)
  • กำหนดเปิดใช้: ปี 2571 (ภายใต้เงื่อนไขงานโยธา–ระบบ–ทดสอบเป็นไปตามแผน)
  • ประโยชน์คาดหมาย ร่นเวลาเดินทาง, ลดต้นทุนโลจิสติกส์, เสริมโอกาสเมืองรอง–ท่องเที่ยว–สินค้าเกษตร–โลจิสติกส์ชายแดน, กระจายความหนาแน่นจากถนนสายหลัก
  • ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร ธรณีวิทยาอุโมงค์–ความปลอดภัย, สิ่งแวดล้อม–น้ำ–ตะกอน, การส่งมอบพื้นที่, จังหวะผังเมืองรอบสถานี (TOD), กำลังคนเดินรถ–ซ่อมบำรุง

บันทึกชื่อบุคคล/หน่วยงานจากเหตุการณ์ 10 ตุลาคม 2568 

  • ประธานพิธีบวงสรวง: นายอรรถพล เก่าประเสริฐ — วิศวกรใหญ่ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • คณะวิศวกรโครงการ: นายธีระ รุ่งโรจน์สุวรรณ, นายปัฐตพงษ์ บุญแก้ว
  • กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา: CSDCC
  • ผู้รับจ้าง: กิจการร่วมค้าซีเคเอสที ดีซี 2
  • เหตุการณ์: เจาะทะลุอุโมงค์แม่กา (พะเยา) เร็วกว่าแผน 10 เดือน; ความก้าวหน้ารวมของโครงการ 43.984%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข./OTP)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ./ONEP)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ผู้ว่าฯ เชียงราย ประหยัด สมานมิตร วาระสั้นสุด 4 เดือน 20 วัน

“4 เดือน 20 วัน” ที่เปลี่ยนความทรงจำของเมือง ไขปริศนา ‘ผู้ว่าฯ วาระสั้นที่สุด’ แห่งเชียงราย กับเหตุซุ่มโจมตีกลางยุคคอมมิวนิสต์ และความหมายของคำว่า ‘เสียสละ’ บนพรมแดนลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 13 ตุลาคม 2568 — หากนับรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจากอดีตถึงปัจจุบัน มีทั้งผู้ว่าฯ ที่พาเมืองผ่านยุคเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจชายแดน GMS ยุคท่องเที่ยวเฟื่องฟู จนถึงยุคภัยพิบัติและโรคระบาด แต่มีเพียง “หนึ่งชื่อ” ที่ทำให้คนท้องถิ่นเมื่อเอ่ยถึงแล้วเงียบลงชั่วอึดใจ—นายประหยัด สมานมิตร” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายซึ่งดำรงตำแหน่ง สั้นที่สุด เท่าที่บันทึกโดยละเอียดระบุไว้ 4 เดือน 20 วัน ก่อนจะจากไป ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 20 กันยายน 2513

นี่ไม่ใช่สถิติเพื่อจดจำ “ความสั้น” ของวาระทำงาน แต่เป็น แผลเป็นร่วมของเมือง ที่เชื่อมคำว่า “ผู้ว่าฯ” เข้ากับคำว่า ชีวิตและความเสี่ยง”—ภาพซุ่มโจมตีที่ บ้านห้วยกว้าน อ.เชียงแสน เมื่อ 50 กว่าปีก่อน มิใช่เพียงเรื่องเล่าริมฝั่งโขง แต่แปรสภาพเป็น อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า สำหรับผู้คนที่ยังคงสัญจรผ่าน เพื่อทบทวนว่าบทบาทผู้ว่าฯ นอกเหนือจากการอนุมัติโครงการและประชุมส่วนราชการ คือการ นำหน้า ในพื้นที่ที่ ไม่แน่นอน และพร้อม “เดินเข้าไป” เมื่อรัฐต้องเจรจากับความขัดแย้ง

ทำไม “วาระสั้น” จึงสำคัญต่อประวัติศาสตร์เมือง

เชียงรายไม่ใช่เพียงเมืองท่องเที่ยวหรือประตูการค้า แต่เป็น พื้นที่ประวัติศาสตร์ความมั่นคง มีพรมแดนติดลาวและใกล้พม่า อยู่ในเครือข่ายลุ่มน้ำโขงที่วัฒนธรรม เศรษฐกิจนอกระบบ และความขัดแย้งเคยปะทะกันอย่างซับซ้อน การ “ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด” ของผู้ว่าฯ จึงไม่ใช่เรื่องหมุนเวียนตำแหน่งธรรมดา แต่เป็น จุดยอดสามเหลี่ยม ของระบบราชการ—ตำแหน่งบริหารสูงสุดระดับจังหวัดที่ ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อให้กระบวนการรัฐเดินหน้าบนพื้นที่จริง

ข้อมูลลำดับรายชื่อผู้ว่าฯ ที่เรียงต่อกันจาก ยุค “เจ้าเมือง” สู่ ยุค “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เผย “พิกัดเวลา” ของเมืองแห่งนี้ ตั้งแต่ เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386–2407) สู่ พระยารัตนาณาเขต (พ.ศ. 2433–2442) จนถึงผู้ว่าฯ ในระบอบปกครองสมัยใหม่หลายสิบคน—บางคนอยู่ครบวาระยาว บางคนหมุนเวียนรวดเร็วด้วยเหตุผลด้านโยกย้ายราชการ แต่ กรณีปี 2513 มี “เงื่อนไขพิเศษ” ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก ผู้ว่าฯ เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ใน ยุคความรุนแรงซ่อนเร้น ของขบวนการคอมมิวนิสต์ภาคเหนือ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนที่ 28 นายประหยัด สมานมิตร 1 พ.ค. พ.ศ. 2513 - 20 ก.ย. พ.ศ. 2513 (1 พ.ค. 1970 - 20 ก.ย. 1970)

รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายตั้งแต่อดีต

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2386 – 2407 (ค.ศ. 1843 – 1864)
  2. เจ้าหลวงฮุนเรือน (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2407 – 2419 (ค.ศ. 1864 – 1876)
  3. เจ้าหลวงสุริยะ (ตำแหน่งเจ้าเมือง) พ.ศ. 2419 – 2433 (ค.ศ. 1876 – 1890)
  4. พระยารัตนาณาเขต (ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด) พ.ศ. 2433 – 2442 (ค.ศ. 1890 – 1899)
  5. พระพลอาษา พ.ศ. 2442 – 2445 (ค.ศ. 1899 – 1902)
  6. หลวงอาษาภูธร พ.ศ. 2445 – 2446 (ค.ศ. 1902 – 1903)
  7. พระยารามราชภักดี พ.ศ. 2447 – 2450 (ค.ศ. 1904 – 1907)
  8. พระยาอุดรกิจภูบาล พ.ศ. 2450 – 2453 (ค.ศ. 1907 – 1910)
  9. พระยารามราชเดช (ศุข ดิษยบุตร) พ.ศ. 2453 – 2458 (ค.ศ. 1910 – 1915)
  10. พระราชยา (เจิม ปันยารชุน) พ.ศ. 2458 – 2460 (ค.ศ. 1915 – 1917)
  11. พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) พ.ศ. 2460 – 2479 (ค.ศ. 1917 – 1936)
  12. พระพนมครานุรักษ์ (ฮกไถ่ พิศาลบุตร) พ.ศ. 2479 – 2482 (ค.ศ. 1936 – 1939)
  13. พ.ต.อ. พระยานรากรบริรักษ์ พ.ศ. 2482 – 2485 (ค.ศ. 1939 – 1942)
  14. หลวงรักษ์นราธร (โชค ชมธวัช) พ.ศ. 2485 – 2487 (ค.ศ. 1942 – 1944)
  15. ขุนไตรกิตยานุกูล (อัมพร กิตยานุกุล) พ.ศ. 2487 – 2489 (ค.ศ. 1944 – 1946)
  16. นายชลอ จารุจินดา พ.ศ. 2489 – 2490 (ค.ศ. 1946 – 1947)
  17. ขุนวิสิฐอุดรการ (กรี วิสิฐอุดรการ) พ.ศ. 2490 – 2491 (ค.ศ. 1947 – 1948)
  18. ขุนสนิทประชาราษฎร์ พ.ศ. 2491 – 2491 (ค.ศ. 1948 – 1948)
  19. นายชลอ จารุจินดา พ.ศ. 2491 – 2492 (ค.ศ. 1948 – 1949)
  20. พ.ต.ท.ขุนวีรเดชกำแหง (ชม จารุสิทธิ์) พ.ศ. 2492 – 2493 (ค.ศ. 1949 – 1950)
  21. พ.ต.เล็ก ทองสุนทร พ.ศ. 2493 – 2497 (ค.ศ. 1950 – 1954)
  22. พ.อ.จำรูญ จำรูญรณสิทธ์ พ.ศ. 2497 – 2498 (ค.ศ. 1954 – 1955)
  23. พ.ต.อ.เลื่อน กฤษณามระ พ.ศ. 2498 – 2500 (ค.ศ. 1955 – 1957)
  24. พ.ต.อ.เนื่อง รายะนาค พ.ศ. 2500 – 2501 (ค.ศ. 1957 – 1958)
  25. นายเครือ สุวรรณสิงห์ พ.ศ. 2501 – 2504 (ค.ศ. 1958 – 1961)
  26. นายชูสง่า ไชยพันธุ์ (ฤทธิประศาสน์) พ.ศ. 2504 – 2512 (ค.ศ. 1961 – 1969)
  27. นายสิทธิ์ สงวนน้อย 20 พ.ค. พ.ศ. 2512 – 30 เม.ย พ.ศ. 2513 (20 พ.ค. 1969 – 30 เม.ย. 1970)
  28. นายประหยัด สมานมิตร 1 พ.ค. พ.ศ. 2513 – 20 ก.ย. พ.ศ. 2513 (1 พ.ค. 1970 – 20 ก.ย. 1970)
  29. นายศรศักดิ์ สุวรรณเทศ 1 ต.ค. พ.ศ. 2513 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2514 (1 ต.ค. 1970 – 30 ก.ย. 1971)
  30. พล.ต.วิทย์ นิ่มนวล 1 ต.ค. พ.ศ. 2514 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2516 (1 ต.ค. 1971 – 30 ก.ย. 1973)
  31. นายชุม บุญเรือง 1 ต.ค. พ.ศ. 2516 – 27 ส.ค. พ.ศ. 2522 (1 ต.ค. 1973 – 27 ส.ค. 1979)
  32. นายศักดา อ้อพงษ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2522 – 30 ก.ค. พ.ศ. 2525 (1 ต.ค. 1979 – 30 ก.ค. 1982)
  33. นายมนตรี ตระหง่าน 1 ต.ค. พ.ศ. 2524 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2528 (1 ต.ค. 1981 – 30 ก.ย. 1985)
  34. นายอร่าม เอี่ยมอรุณ 1 ต.ค. พ.ศ. 2528 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2531 (1 ต.ค. 1985 – 30 ก.ย. 1988)
  35. นายบรรณสิทธิ์ สลับแสง 1 ต.ค. พ.ศ. 2531 – 30 เม.ย พ.ศ. 2534 (1 ต.ค. 1988 – 30 เม.ย. 1991)
  36. นายคำรณ บุณเชิด 1 ต.ค. พ.ศ. 2534 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2539 (1 ต.ค. 1991 – 30 ก.ย. 1996)
  37. นายวิจารณ์ ไชยนันทน์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2539 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2542 (1 ต.ค. 1996 – 30 ก.ย. 1999)
  38. นายสำเริง ปุณโยปกรณ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2542 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2544 (1 ต.ค. 1999 – 30 ก.ย. 2001)
  39. นายรุงฤทธิ์ มกรพงษ์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2544 – 27 ต.ค. พ.ศ. 2545 (1 ต.ค. 2001 – 27 ต.ค. 2002)
  40. นายนรินทร์ พานิชกิจ 28 ต.ค. พ.ศ. 2545 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2547 (28 ต.ค. 2002 – 30 ก.ย. 2004)
  41. นายวรเกียรติ สมสร้อย 1 ต.ค. พ.ศ. 2547 – 28 ก.พ. พ.ศ. 2549 (1 ต.ค. 2004 – 28 ก.พ. 2006)
  42. นายอุดม พัวสกุล 5 มิ.ย. พ.ศ. 2549 – 12 พ.ย. พ.ศ. 2549 (5 มิ.ย. 2006 – 12 พ.ย. 2006)
  43. นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ 13 พ.ย. พ.ศ. 2549 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2550 (13 พ.ย. 2006 – 30 ก.ย. 2007)
  44. นายปรีชา กมลบุตร 1 ต.ค. พ.ศ. 2550 – 5 พ.ค. พ.ศ. 2551 (1 ต.ค. 2007 – 5 พ.ค. 2008)
  45. นายไตรสิทธิ์ สินสมบูรณ์ทอง 6 พ.ค. พ.ศ. 2551 – 15 มีนาคม พ.ศ. 2552 (6 พ.ค. 2008 – 15 มี.ค. 2009)
  46. นายสุเมธ แสงนิ่มนวล 16 มี.ค. พ.ศ. 2552 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2553 (16 มี.ค. 2009 – 30 ก.ย. 2010)
  47. นายสมชัย หทยะตันติ 1 ต.ค. พ.ศ. 2553 – 27 พ.ย. พ.ศ. 2554 (1 ต.ค. 2010 – 27 พ.ย. 2011)
  48. นายธานินทร์ สุภาแสน 29 ธ.ค. พ.ศ. 2554 – 5 ต.ค. พ.ศ. 2555 (29 ธ.ค. 2011 – 5 ต.ค. 2012)
  49. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ 8 ต.ค. พ.ศ. 2555 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2558 (8 ต.ค. 2012 – 30 ก.ย. 2015)
  50. นายบุญสง เตชะมณีสถิตย์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2558 – 4 เม.ษ. พ.ศ. 2560 (1 ต.ค. 2015 – 4 เม.ย. 2017)
  51. นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร 5 เม.ษ. พ.ศ. 2560 – 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 (5 เม.ย. 2017 – 29 มิ.ย. 2018)
  52. นายประจญ ปรัชญ์สกุล 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 (29 มิ.ย. 2018 – 30 ก.ย. 2021)
  53. นายภาสกร บุญญลักษม์ 1 ต.ค. พ.ศ. 2564 – 1 ธ.ค. พ.ศ. 2565 (1 ต.ค. 2021 – 1 ธ.ค. 2022)
  54. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ 2 ธ.ค. พ.ศ. 2565 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2567 (2 ธ.ค. 2022 – 30 ก.ย. 2024)
  55. นายชรินทร์ ทองสุข นายรัฐพล นราดิศร 17 พ.ย. พ.ศ. 2567 – 30 ก.ย. พ.ศ. 2568 (17 พ.ย. 2024 – 30 ก.ย. 2025)
  56. นายรัฐพล นราดิศร 1 ต.ค. พ.ศ. 2568 – ปัจจุบัน (1 ต.ค. 2025 – ปัจจุบัน)

20 กันยายน 2513 นาทีปะทะและ “ความทรงจำสาธารณะ” ที่ก่อตัว

เอกสารบันทึกและคำบอกเล่าที่ถูกรวบรวมภายหลังระบุว่า นายประหยัด สมานมิตร พร้อมด้วย พตท.ศรีเดช ภูมิประหมัน (อดีตผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย) และ พ.อ.จำเนียร มีสง่า (อดีตผู้ช่วยหัวหน้ากองข่าว กองทัพภาคที่ 3) เดินทางเพื่อ ภารกิจเจรจา ให้อดีตผู้ก่อการยอมมอบตัวและคืนสู่สังคมตามนโยบายภาครัฐ แต่ระหว่างทาง ถูกซุ่มยิง ที่บ้านห้วยกว้าน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงปลิดชีพเจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 นาย หากยังกลายเป็น จุดหักเห ในความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ–พื้นที่” ให้จำเป็นต้อง ปรับยุทธศาสตร์ การทำงานชายแดนจาก “การปราบปราม” สู่ การพัฒนาและมีส่วนร่วมของชุมชน ในระยะยาว

เพื่อ ไม่ให้ความทรงจำสูญหาย ชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกันจัดสร้าง อนุสรณ์สถาน 3 ผู้กล้า ณ จุดเกิดเหตุ ให้กลายเป็น “ห้องเรียนเปิด” สำหรับคนรุ่นหลัง—เตือนความจำว่าความเปราะบางของชายแดนไม่ได้เป็นเพียงแผนที่ หากเป็น ชีวิตของคนทำงานภาครัฐ ที่ต้องเดินเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงเพื่อปิด “รอยรั่ว” ของสังคม

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนที่ 56. นายรัฐพล นราดิศร 1 ต.ค. พ.ศ. 2568 - ปัจจุบัน (1 ต.ค. 2025 - ปัจจุบัน)

บทบาทผู้ว่าราชการจังหวัด มากกว่าผู้บริหารบนโต๊ะประชุม

ตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ผู้ว่าราชการจังหวัดคือ หัวหน้าบังคับบัญชาราชการส่วนภูมิภาค ในเขตจังหวัด มีหน้าที่รับนโยบายจากคณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม และนายกรัฐมนตรี นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ (มาตรา 54) พร้อมอำนาจกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย และมีบทบาทสำคัญด้าน ความมั่นคง–สาธารณภัย ในฐานะ ผู้อำนวยการจังหวัด ตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง—ผู้ว่าฯ ไม่ได้ยืนอยู่บน แผนพัฒนา อย่างว่างเปล่า แต่ยืนอยู่บน สนามจริง ที่ต้องกลั่นนโยบายผ่าน ภูมิศาสตร์–ชุมชน–การเมือง–ความมั่นคง เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ “ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง” ของผู้ว่าฯ แต่ละคน ไม่ได้สะท้อน ประสิทธิภาพเชิงผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว หากสะท้อน บริบทการทำงาน ณ เวลานั้น ๆ ด้วย

สถิติวาระ ภาพรวม “สั้น–ยาว” ที่ฉายพัฒนาการเมืองเชียงราย

เมื่อนับรายชื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในห้วง พ.ศ. 2536–2566 จำนวน 19 คน ที่ผู้ร้องขอข่าวสรุปไว้ จะเห็นภาพดังนี้

  • วาระ 1 ปี พบมากที่สุด 9 คน
  • วาระไม่ถึง 1 ปี 5 คน
  • วาระ 2 ปี 2 คน
  • วาระ 3 ปี 2 คน
  • วาระมากกว่า 4 ปี 1 คน

ขณะเดียวกัน ในจำนวนนี้มีผู้ว่าฯ ที่เป็น คนเชียงราย เองเพียง 2 คน (คิดเป็น 10.5%) คือ นายวรเกียรติ สมสร้อย และ นายประจญ ปรัชญ์สกุล ซึ่งสะท้อนภาพ “ระบบโยกย้ายกลาง–ภูมิภาค” ของไทยที่เน้น หมุนเวียนกำลังคน ตามความเหมาะสมเชิงระบบ มากกว่าการจำกัดผู้บริหารระดับจังหวัดให้มาจากท้องถิ่นเสมอไป

ในมิติ “วาระสั้นที่สุด” ที่ คำนวณได้จากวัน–เดือน–ปี ชัดเจน ข้อมูลยืนยันว่า นายประหยัด สมานมิตร อยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน ขณะที่กรณีอื่น ๆ ที่ “สั้นมาก” เช่น นายอุดม พัวสกุล (5 มิ.ย. 2549 – 12 พ.ย. 2549) ก็ยังยาวกว่า และกรณี ขุนสนิทประชาราษฎร์ (พ.ศ. 2491 – 2491) แม้ดูสั้นแต่ขาดข้อมูลวัน–เดือน จึงไม่อาจฟันธงเทียบได้อย่างเป็นธรรม

ในอีกฟากหนึ่งของสเปกตรัม “ผู้ว่าฯ วาระยาว” ที่สุดในรายการ คือ เจ้าหลวงธรรมลังกา (หากนับสมัย “เจ้าเมือง”) รวม ประมาณ 21 ปี ตามผลต่างปี พ.ศ. 2386–2407 ส่วนห้วงสมัยระบบราชการสมัยใหม่ ผู้ว่าฯ ที่อยู่ยาวในยุคหลังคือ พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) 19 ปี (พ.ศ. 2460–2479) และในยุคร่วมสมัยหลังปี 2536 ชื่อที่โดดเด่นด้านความต่อเนื่องคือ นายประจญ ปรัชญ์สกุล รวม 3 ปี 94 วัน—ตัวเลขที่บอกเล่าว่า “เสถียรภาพของนโยบายจังหวัด” มักมาจาก ความต่อเนื่องของคน ไม่ต่างจากความต่อเนื่องของงบประมาณ

เมื่อนับตั้งแต่ปี 2536 – 2566 มีผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นคนเชียงราย วรเกียรติ สมสร้อย ผู้ว่าราชการเชียงราย คนที่ 41 ดำรงตำแหน่ง 1 ต.ค. พ.ศ. 2547 - 28 ก.พ. พ.ศ. 2549 (1 ต.ค. 2004 - 28 ก.พ. 2006)

สั้นที่สุดเพราะเสียสละ” บทเรียนจากบ้านห้วยกว้าน

เคสของ นายประหยัด สมานมิตร แตกต่างจากการโยกย้ายธรรมดา—วาระสั้นเกิดจาก การพลีชีพระหว่างหน้าที่ ในการนำข้อตกลงนโยบายรัฐไปสู่การเจรจาในพื้นที่ขัดแย้ง โดยมี พตท. ศรีเดช และ พ.อ.จำเนียร เป็นแนวร่วม การลอบโจมตีไม่เพียงพรากชีวิต 3 ผู้บังคับบัญชา แต่สะท้อน รอยเลื่อนความไว้วางใจ ระหว่างรัฐ–ขบวนการในเวลานั้น และชี้ให้เห็น “เส้นบาง ๆ” ของภาวะผู้นำผู้ว่าฯ ที่ต้องแบกรับทั้ง การปกป้องชีวิตประชาชน และ ชีวิตของตนเอง

อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า จึงมิใช่เพียงก้อนหินแกะสลัก แต่มันคือ นโยบายความทรงจำ (policy of memory) ที่ชุมชนร่วมกันตระหนักว่า “ผู้ว่าฯ” ในพื้นที่ชายแดน ไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะการอนุมัติโครงการหรือเร่งงบจังหวัด แต่ยังเป็น ผู้นำภาคสนาม ที่พร้อมเผชิญหน้าความไม่แน่นอนเพื่อ “เปิดประตูสู่สันติวิธี” ยุคต่อมา แม้โมเดลการจัดการความขัดแย้งจะค่อย ๆ เปลี่ยนทิศไปสู่ การพัฒนา–การสื่อสาร–การกระจายอำนาจ มากขึ้น แต่ ราคาที่ต้องจ่ายในอดีต ทำให้ทุกย่างก้าวของนโยบายชายแดนวันนี้ ระมัดระวังและฟังเสียงพื้นที่ มากกว่าเดิม

ผู้ว่าฯ ในโครงสร้างกฎหมาย อำนาจ–ข้อจำกัด และ “ความเสี่ยงส่วนบุคคล”

บทบาทผู้ว่าฯ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 วางกรอบชัดเจนว่าเป็น ตัวแทนรัฐส่วนกลาง ในพื้นที่ มีหน้าที่ รับนโยบาย–สั่งการ–กำกับดูแล และในสถานการณ์ฉุกเฉินยังมีบทบาทพิเศษตาม กฎหมายสาธารณภัย ในการออกคำสั่งจำกัดพื้นที่หรือกำชับภารกิจช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี โครงสร้างราชการไทยยังคงมี สายบังคับบัญชาซ้อนทับ (หน่วยงานภูมิภาคขึ้นตรงต่อกระทรวงต้นสังกัดด้านงานบุคคล) ทำให้ผู้ว่าฯ ต้องบริหารด้วย อิทธิพลเชิงบูรณาการ มากกว่าคำสั่งฝ่ายเดียว และเมื่อการตัดสินใจต้อง “เร็ว–เด็ดขาด” ในวิกฤต ผู้ว่าฯ ก็เผชิญ ความเสี่ยงทางกฎหมายส่วนบุคคล มากกว่าตำแหน่งบริหารพลเรือนทั่วไป

เคสปี 2513 จึงเป็น สัญลักษณ์สองชั้น—ชั้นแรกคือ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ของผู้ว่าฯ ในพื้นที่ขัดแย้ง ชั้นที่สองคือ ความรับผิดชอบเชิงโครงสร้าง ที่ย้ำว่า “ผู้ว่าฯ คือด่านหน้า” ในการจับคู่นโยบายชาติกับภูมิสังคมของจังหวัด เมื่อพันธกิจเช่นนี้สืบทอดมาในยุคปัจจุบัน เทียบกับโจทย์ชายแดนที่เปลี่ยนจาก ความมั่นคงแบบเข้ม สู่ ความมั่นคงแบบใหม่ (อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ มลพิษข้ามแดน) บทบาทผู้ว่าฯ จึงยัง ยืนอยู่แถวหน้า—แต่เครื่องมืออาจเปลี่ยนจาก “ปืน–ค่าย” เป็น “ข้อมูล–เครือข่าย–การสื่อสารสาธารณะ”

เมื่อนับตั้งแต่ปี 2536 – 2566 มีผู้ดำรงตำแหน่ง เป็นคนเชียงราย ประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการเชียงราย คนที่ 52 ดำรงตำแหน่ง 29 มิ.ย. พ.ศ. 2561 - 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 (29 มิ.ย. 2018 - 30 ก.ย. 2021)

5 ผู้ดำรงตำแหน่งที่สั้นที่สุด

  1. นายประหยัด สมานมิตร (พ.ศ. 2513): ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดคือ 4 เดือน 20 วัน (1 พฤษภาคม 2513 ถึง 20 กันยายน 2513)
  2. นายอุดม พัวสกุล (พ.ศ. 2549): ดำรงตำแหน่ง 5 เดือน 8 วัน (5 มิถุนายน 2549 ถึง 12 พฤศจิกายน 2549)
  3. ขุนสนิทประชาราษฎร์ (พ.ศ. 2491): ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2491 เพียงปีเดียว ทำให้มีวาระไม่เกิน 1 ปี (ไม่ระบุวันและเดือนที่แน่นอน)
  4. หลวงอาษาภูธร (พ.ศ. 2445 – 2446): ดำรงตำแหน่งในช่วง 2 ปีปฏิทิน ซึ่งมีผลต่างปี 1 ปี (วาระไม่เกิน 2 ปี)
  5. นายรุงฤทธิ์ มกรพงษ์ (พ.ศ. 2544 – 2545): ดำรงตำแหน่ง 1 ปี 27 วัน (1 ตุลาคม 2544 ถึง 27 ตุลาคม 2545)

5 ผู้ดำรงตำแหน่งที่ยาวนานที่สุด

การคำนวณในกลุ่มนี้ใช้ผลต่างของปี พ.ศ. เนื่องจากข้อมูลในช่วงแรกไม่มีวันและเดือนที่ชัดเจน

  1. เจ้าหลวงธรรมลังกา (พ.ศ. 2386 – 2407): ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยมีช่วงระยะเวลาครอบคลุมถึง 21 ปี
  2. พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) (พ.ศ. 2460 – 2479): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 19 ปี
  3. เจ้าหลวงสุริยะ (พ.ศ. 2419 – 2433): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 14 ปี
  4. เจ้าหลวงฮุนเรือน (พ.ศ. 2407 – 2419): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 12 ปี
  5. พระยารัตนาณาเขต (พ.ศ. 2433 – 2442): ดำรงตำแหน่งครอบคลุมช่วงระยะเวลา 9 ปี

ตัวเลขชวนคิด เมื่อวาระเปลี่ยน นโยบายเปลี่ยนหรือไม่?

ในทางบริหาร “วาระ” ของผู้ว่าฯ ที่สั้นกว่าหนึ่งปีซึ่งพบมากในช่วงสามทศวรรษหลัง สะท้อนวัฏจักรโยกย้ายที่เร็วและการปรับตัวต่อบริบทประเทศ แต่คำถามที่ผู้อ่านเชิงลึกอยากรู้คือ แล้วนโยบายจังหวัดเสียความต่อเนื่องหรือไม่?” ประสบการณ์หลายพื้นที่ชี้ว่าความต่อเนื่องขึ้นกับ สามสิ่ง:

  1. แผนพัฒนาจังหวัด ที่เขียนดีและมีฉันทามติ
  2. ทีมราชการประจำจังหวัด (รองผู้ว่าฯ, หัวหน้าส่วน) ที่รักษาเกมยาว
  3. ความร่วมมือท้องถิ่น–เอกชน–ภาคประชาสังคม ที่ “กว้างและแน่น” พอจนผู้ว่าฯ ใหม่เข้ามาแล้ว “สวมบทได้ทันที”

เชียงรายในช่วงหลังมีจุดแข็งด้าน เครือข่ายภาคส่วน และ บทบาทชายแดนเศรษฐกิจ ที่ชัดเจน ทำให้การเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ ไม่ทำให้นโยบายหยุด แต่แน่นอนว่าการมีผู้ว่าฯ ที่อยู่ ยาวพอ ย่อมช่วยให้ การประสานงบ–การเจรจานโยบาย กับส่วนกลางสะดวกขึ้น—ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมชื่ออย่าง นายประจญ ปรัชญ์สกุล (3 ปี 94 วัน) จึงปรากฏในความทรงจำของภาคธุรกิจ–ท้องถิ่นในฐานะ “ตัวกลางความต่อเนื่อง” ของยุคหนึ่ง

ความหมายร่วมสมัยของ “สามผู้กล้า” จากสนามรบสู่สนามเรียน

ทุกเดือนกันยายนที่เวียนมาถึง อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า ณ บ้านห้วยกว้าน ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่วางพวงมาลัย แต่เป็น บทเรียนพลเมือง ให้กับนักเรียน–ครู–ข้าราชการรุ่นใหม่ ว่าความมั่นคงของจังหวัดที่เราเห็นในวันนี้วางอยู่บน การเลือกรับความเสี่ยง ของคนรุ่นก่อน เราอาจไม่ต้องเดินเข้าป่าเพื่อเจรจาอีกแล้ว แต่เราต้อง กล้าเดินเข้าหากัน เมื่อความเห็นต่างในชุมชนทำให้โครงการพัฒนา “ชะงักงัน” การเชื่อม ข้อมูล–เหตุผล–ความไว้วางใจ คือ “อาวุธ” ของยุคใหม่ที่ผู้ว่าฯ ต้องใช้แทนปืนและเครื่องแบบหนัก

ทำไมเรื่องนี้ควรถูกเล่า “วันนี้”

ในขณะที่เชียงรายกำลังเผชิญโจทย์ยุคใหม่—ตั้งแต่ มลพิษข้ามแดนในแม่น้ำกก–โขง, การท่องเที่ยวสีเขียว, เศรษฐกิจชายแดนหลังโควิด, จนถึง การจัดการภัยพิบัติ—บทเรียนปี 2513 เตือนให้เรารู้ว่าการบริหารจังหวัดไม่เคยเป็น “งานเอกสาร” แต่เป็น งานสนามจริง ที่ยืนอยู่ตรงรอยต่อของ อำนาจรัฐ–ชีวิตคน–ภูมิประเทศ

เมื่อมีคนถามว่า “ใครคือผู้ว่าฯ เชียงรายที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด และเพราะอะไร”—คำตอบที่ตรงที่สุดคือ นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าฯ ที่อยู่ในตำแหน่ง 4 เดือน 20 วัน เพราะ สละชีวิต บนเส้นทางไปปิดรอยร้าวของสังคม 20 กันยายน 2513 และคำตอบที่ “สำคัญกว่า” คือ เรา ในฐานะประชาชน–ชุมชน–สื่อ–นักการเมือง—จะทำอย่างไรให้ การสละชีวิตครั้งนั้นไม่สูญเปล่า โดยแปลง “ความทรงจำ” ให้เป็น “วัฒนธรรมการคุยกัน” ที่แข็งแรง และแปลง “บทเรียนความเสี่ยง” ให้เป็น “การออกแบบนโยบาย” ที่ฟังเสียงพื้นที่มากขึ้น

เส้นเวลาและรายละเอียดสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • วาระสั้นที่สุด (คำนวณได้จากวัน/เดือน/ปีแน่ชัด):
    นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
    เริ่ม 1 พ.ค. 2513 – สิ้นสุด 20 ก.ย. 2513 = 4 เดือน 20 วัน
    เสียชีวิตจากเหตุซุ่มโจมตีระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ บ้านห้วยกว้าน ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน
  • เหตุการณ์ 20 ก.ย. 2513:
    ผู้เสียชีวิตร่วมเหตุการณ์: พตท.ศรีเดช ภูมิประหมัน และ พ.อ.จำเนียร มีสง่า
    ภายหลังมีการจัดสร้าง อนุสรณ์สถานสามผู้กล้า ณ จุดเกิดเหตุ
  • สถิติช่วง พ.ศ. 2536–2566 (19 คน):
    วาระ 1 ปี = 9 คน / วาระ < 1 ปี = 5 คน / วาระ 2 ปี = 2 คน / วาระ 3 ปี = 2 คน / วาระ > 4 ปี = 1 คน
    ผู้ว่าฯ “คนเชียงราย” = 2 คน (10.5%)
  • วาระยาวในยุคประวัติศาสตร์:
    เจ้าหลวงธรรมลังกา ~ 21 ปี (พ.ศ. 2386–2407)
    พระยาราชดำรง (ผล ศรุตานนท์) 19 ปี (พ.ศ. 2460–2479)
  • ฐานะตามกฎหมาย (สรุปย่อ):
    ผู้ว่าฯ เป็นหัวหน้าบริหารราชการส่วนภูมิภาค (มาตรา 54) รับนโยบายจากส่วนกลาง–กำกับดูแล อปท.–มีอำนาจพิเศษเมื่อเกิดสาธารณภัยตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องพตท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  •  ข้อมูลจังหวัดเชียงราย https://www.chiangrai.go.th/
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเกาะทองพลิกฟื้น! ใช้โซลาร์ปั๊ม-น้ำหมุนเวียน สร้างคลองแห่งความสุขแบบยั่งยืน

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส นครเชียงรายเนรมิต ‘คลองบำบัดน้ำเสีย’ สู่แลนด์มาร์คสีเขียว ติดตั้งโซลาร์เซลล์–ระบบน้ำหมุนเวียน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนเกาะทอง

เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — พื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น “รอยแผลของเมือง” กำลังถูกเยียวยาด้วยมือของคนในชุมชนและเทศบาล เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย เดินหน้าโครงการปรับภูมิทัศน์ “คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง” เปลี่ยนเส้นทางนำน้ำเสียสู่บ่อบำบัดให้กลับมามีความสวยงาม สะอาด เป็นระเบียบ พร้อมพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็น สวนสาธารณะ–ลานกีฬากลางแจ้ง และเตรียม ติดตั้งเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสร้าง “ระบบน้ำหมุนเวียน” ให้น้ำไหลตลอดเวลา ลดการค้างเน่า สร้างสภาวะเหมาะสมแก่พืชน้ำ–สัตว์น้ำ และดึงชุมชนเข้ามาเป็น เจ้าของพื้นที่ร่วม อย่างแท้จริง

“เราเริ่มจากการลงพื้นที่ ฟังเสียงคนริมคลอง ไม่ใช่เดินเข้าไปด้วยคำตอบสำเร็จรูป” แนวทางของโครงการถูกสรุปสั้น ๆ ผ่าน ไทม์ไลน์ ที่จับต้องได้ 26 มิถุนายน 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะและสมาชิกสภาเทศบาล ลงพื้นที่ ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการ ก่อนจะขยับจากแผนสู่การปฏิบัติ 10 ตุลาคม 2568 ด้วยกิจกรรม “ปลูกดอกไม้ริมคลอง พุทธรักษา และ ยี่โถสีม่วง เพื่อสร้างสีสันและความรู้สึกเป็นเจ้าบ้านร่วมกัน

จาก “คลองน้ำเสีย” สู่ “คลองแห่งความสุข” ภาพจำใหม่ของเมือง

หากเดินเท้าตามแนวคลองวันนี้ ภาพแรกที่เปลี่ยนไปคือ ความเป็นระเบียบและความสะอาด ริมตลิ่งถูกจัดรูปใหม่ ลดเศษวัชพืช–ขยะลอยน้ำ จุดคอขวดที่น้ำเคยค้างเน่าได้รับการแก้ไขเชิงกายภาพ พื้นที่เปิดโล่งกลายเป็น เส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยาน ที่เชื่อมย่านที่อยู่อาศัยกับ ลานออกกำลังกายกลางแจ้ง เด็ก ๆ ได้พื้นที่วิ่งเล่น ผู้สูงวัยมีพื้นที่ยืดเหยียดร่มรื่น ผู้ค้าชุมชนเริ่มวางแผงกิจกรรมยามเย็นแบบไม่รุกล้ำทางน้ำ

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญไม่ใช่เพียงภูมิทัศน์ภายนอก คือ ระบบน้ำหมุนเวียน ที่เทศบาลเตรียมติดตั้งผ่าน เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เติม “น้ำดี” ไล่ “น้ำเสีย” ลงสู่บ่อบำบัดให้เร็วขึ้น ลดการตกค้าง–หมักหมม ของสารอินทรีย์และตะกอน ช่วยให้น้ำในคลอง เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นหัวใจของการฟื้นฟูคุณภาพน้ำเบื้องต้นในพื้นที่เปิดโล่งของเมือง ทั้งหมดใช้ พลังงานสะอาด ลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว และทำงานประจำได้แม้ในวันที่ภารกิจของเทศบาลหนาแน่น

ฟัง–ร่วมคิด–ร่วมทำ เครื่องมือทางสังคมที่ซ่อมทั้งคลองและความรู้สึกเป็นเจ้าของ

โครงการนี้ไม่ใช่ “งานโครงสร้าง” อย่างเดียว หากแต่ย้ำ กระบวนการสังคม ที่สำคัญ ตั้งแต่การลงพื้นที่ 26 มิถุนายน 2568 เพื่อรับฟังความเห็นชุมชน 3 ย่าน ไปจนถึงกิจกรรม 10 ตุลาคม 2568 ที่ชักชวนคนทุกวัยมาปลูกดอกไม้ริมคลอง การมีส่วนร่วมทำให้ “คลอง” เปลี่ยนจาก “พื้นที่ของเทศบาล” เป็น “พื้นที่ของเรา” และเมื่อคนรู้สึกเป็นเจ้าของ พฤติกรรมการทิ้งขยะ การดูแลความสะอาด การเฝ้าระวังน้ำผิดปกติ ก็เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ

เทศบาลยังจับมือกับ กรมโยธาธิการ เพื่อวางรูปแบบ ทางเท้า เขื่อน พื้นที่ชะลอน้ำ ให้รองรับทั้งการใช้งานและการระบายน้ำยามฝน รวมถึง จุดทางเชื่อม ที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยและคนใช้วีลแชร์ ซึ่งล้วนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต ของเมืองได้จริง

นวัตกรรมที่พอดีเมือง ทำไมต้อง “เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ + น้ำหมุนเวียน”?

หัวใจของคลองบำบัดน้ำเสีย คือ “อย่าให้น้ำหยุดนิ่ง” เพราะเมื่อน้ำหยุด สารอินทรีย์สะสม เกิด กลิ่น สีน้ำ ความขุ่น ที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนรอบคลอง การใช้ Solar Pump จึงเหมาะกับเมืองที่มี แดดจัด ฝนสลับ อย่างเชียงราย สามารถเดินเครื่องกลางวันด้วยไฟแสงอาทิตย์ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่าย ช่วย “ปั่นระบบ” ให้ น้ำไหล ต่อเนื่อง พร้อมกับการ “ปล่อยน้ำดี” เป็นช่วง ๆ เพื่อเร่งให้น้ำเสียในคลองเลื่อนไหลลงสู่บ่อบำบัดได้เร็วขึ้น เมื่อน้ำหมุนเวียน ออกซิเจนละลายน้ำ (DO) มีแนวโน้มดีขึ้น ระบบนิเวศริมคลองจะฟื้นตัวได้ง่ายกว่า เด็ก ๆ มีพื้นที่ชุมชนที่ รับกลิ่น รับลม ได้โดยไม่ต้องเบือนหน้าหนี

แม้กระนั้น เทศบาลย้ำว่าคุณภาพน้ำที่ดี “ต้องวัด ต้องติดตาม” ไม่ใช่แค่ มองด้วยตา จึงมีแผนเฝ้าระวัง ตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น BOD (ค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี), COD, DO, ความขุ่น, สี, กลิ่น และ ชีวภาพเบื้องต้น เช่น พืชน้ำ/สัตว์น้ำที่ทน ไม่ทนมลพิษ เพื่อดู เทรนด์การฟื้นตัว มากกว่าการตัดสินจากภาพช่วงเปิดงานเพียงครั้งเดียว

พื้นที่สาธารณะคือวัคซีนใจ ฟังก์ชันสุขภาพ เศรษฐกิจ การเรียนรู้

เมื่อริมคลองสะอาดและปลอดภัยขึ้น เมืองก็ได้ วัคซีนป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ไปพร้อมกันคนเดินมากขึ้น หัวใจแข็งแรงขึ้น ระดับน้ำตาล ไขมันดีขึ้น ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขในระยะยาวก็ผ่อนเบา นอกจากนั้น พื้นที่สาธารณะยังเชื่อม เศรษฐกิจชุมชน ร้านน้ำสมุนไพร รถเข็นอาหาร สินค้าทำมือสามารถตั้งขายแบบ ไม่รุกล้ำทางเท้าและตลิ่ง ตามหลักเกณฑ์เทศบาลที่ชัดเจน กลายเป็น “เศรษฐกิจริมทาง” ที่สุภาพและปลอดภัย

ด้านการเรียนรู้ โรงเรียน มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถใช้คลองเป็น “ห้องทดลองมีชีวิต” สอนวงจรน้ำ เมือง สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ให้นักเรียนเก็บตัวอย่างน้ำเบื้องต้น สังเกตการเปลี่ยนแปลง ระหว่างก่อน หลังเปิดระบบน้ำหมุนเวียน ฝึกตั้งคำถามและสะท้อนผลด้วยภาษาเข้าใจง่ายนี่คือ ทุนสังคม ที่จะทำให้โครงการอยู่ยาว ไม่ใช่ “สวยเฉพาะวันเปิด”

ความท้าทายที่ต้องบอกกันตรง ๆ เมืองจะรักษาคุณภาพอย่างไรเมื่อปีงบฯ เปลี่ยน?

ทุกโครงการสาธารณะมี วัฏจักรงบประมาณ การบำรุงรักษา เป็นเงื่อนไขความยั่งยืน จุดแข็งของการใช้ Solar Pump คือ ต้นทุนพลังงานต่ำ ระยะยาว แต่ยังต้อง ดูแลอุปกรณ์–ทำความสะอาดตะแกรง–ตรวจมอเตอร์/อินเวอร์เตอร์–ไล่ตะกอน เป็นประจำ ด้านภูมิทัศน์ก็ต้อง ตัดหญ้า–ตัดแต่งพืช ต่อเนื่อง หนึ่งความเสี่ยงที่เทศบาลและชุมชนรับรู้ตรงกันคือ “เมื่อปีงบฯ เปลี่ยน คนเปลี่ยน งานจะตกหล่นไหม?” คำตอบของโครงการนี้คือ กำหนด “บทบาทชุมชน” ให้ชัด ชุดจิตอาสา/คณะกรรมการคลองทำหน้าที่ แจ้งเตือน–ร่วมดูแลเบื้องต้น–เป็นหูเป็นตา ให้เทศบาล และช่วย สื่อสารมารยาทการใช้พื้นที่ (เช่น ห้ามทิ้งเศษอาหารลงคลอง, พื้นที่ใดตั้งร้านได้ ไม่ได้) ลดแรงเสียดทานและค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็น

เมืองแห่งความสุขแบบยั่งยืน นโยบายใหญ่ต้องลงบน “งานเล็กที่ทำจริง”

วิสัยทัศน์ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” จะเป็นเพียงคำสวยหากไม่ถูก แปลงเป็นงานพื้นที่ โครงการคลองเกาะทองจึงทำหน้าที่เป็น Prototype ของงานสิ่งแวดล้อมเมืองที่ จับต้องได้ จุดเล็ก ๆ แต่ต่อท่อไปสู่ สุขภาพ–เศรษฐกิจ–การเรียนรู้ และ ความภูมิใจร่วม ของคนเชียงราย

เพื่อให้เป้าหมายไม่หลุดกรอบ ข่าวนี้สรุป “สมการความสำเร็จ” ของคลองบำบัดน้ำเสียเกาะทองไว้ 4 ข้อ

  1. โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับบริบท  แก้คอขวดทางกายภาพ + Solar Pump + ระบบน้ำหมุนเวียน
  2. การมีส่วนร่วมของชุมชน  ตั้งแต่ร่วมคิด, ลงมือปลูก, ดูแลประจำวัน
  3. ตัวชี้วัด–การสื่อสารข้อมูล  เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและรายงานผลเป็นระยะ ด้วยภาษาที่ประชาชนอ่านเข้าใจ
  4. ระเบียบพื้นที่สาธารณะชัดเจน  เปิดโอกาสเศรษฐกิจริมคลองอย่างปลอดภัย ไม่รบกวนการระบายน้ำและการสัญจร

ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ติดตามได้ (ไม่ใช่ความรู้สึก)

เพื่อให้สังคมตรวจสอบได้ โครงการควรกำหนด “ตัวเลขเป้าหมายเชิงผลลัพธ์” ที่สอดคล้องกับมาตรฐานงานเมือง/สิ่งแวดล้อม เช่น

  • ความถี่การสูบ–แลกเปลี่ยนน้ำ (ครั้ง/วัน) และ ชั่วโมงเดินเครื่อง Solar Pump (ชม./วัน)
  • แนวโน้ม ค่า DO–BOD–COD–ความขุ่น สี กลิ่น (รายเดือน/รายไตรมาส)
  • ปริมาณขยะที่เก็บได้ ริมคลอง (กก./เดือน) และ สัดส่วนขยะที่คัดแยกสำเร็จ
  • อัตราการใช้งานพื้นที่สาธารณะ (คน–ครั้ง/วันหยุด, วันธรรมดา) และ กิจกรรมชุมชน (ครั้ง/เดือน)
  • เหตุร้องเรียน/แจ้งเหตุ ที่เกี่ยวกับกลิ่น–น้ำค้างเน่า–การทิ้งขยะ (ครั้ง/เดือน) ที่ลดลง

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะทำให้การสื่อสารต่อสาธารณะ ตรงไปตรงมา ถ้าดีขึ้นเห็นจากตัวเลข ถ้ายังไม่ดีกำหนด แผนแก้ไขรอบถัดไป และเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบได้

เศรษฐกิจริมคลองกับ “เงื่อนไขสุขาภิบาลที่ไม่ต่อรอง”

การเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจย่อมตามมาด้วย ความรับผิดชอบด้านสุขาภิบาล เทศบาลควรกำหนด เงื่อนไขไม่ต่อรอง น้ำทิ้งจากร้านต้องไม่ลงคลองโดยตรง มี จุดล้าง ดักไขมัน ที่ถูกสุขลักษณะ พื้นที่ขายต้อง ไม่ล้ำเขตน้ำ และ ไม่กีดขวางเส้นทางหนีไฟ/การสัญจรผู้ใช้รถเข็น มี ถังขยะคัดแยก เพียงพอ และกำหนด ช่วงเวลาขายเก็บร้าน ชัดเจน พร้อมกลไก เตือน ปรับ งดใช้พื้นที่ชั่วคราว เมื่อฝ่าฝืนซ้ำ เพื่อคงสมดุลระหว่าง “สง่าราศีของคลองใหม่” กับ “ความคึกคักของเศรษฐกิจชุมชน”

บทเรียนสำหรับเมืองอื่น เริ่มจาก “ปมเล็ก” ที่คนแตะได้ทุกวัน

หลายเมืองมี “คลองน้ำเสีย” หรือ “คูระบาย” เป็นจุดอับของภาพลักษณ์ แต่บทเรียนเชียงรายชี้ว่า ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ราคาแพง เสมอไป การเลือก “ปมเล็ก” ที่คนเห็นทุกวัน และใช้ เทคโนโลยีพอดี พลังงานสะอาด–การมีส่วนร่วม สามารถสร้าง วงจรไว้วางใจ ระหว่างเมืองกับประชาชนได้เร็วกว่า เมื่อความเชื่อมั่นเกิดขึ้น เมืองจะขยายโครงข่าย คลองดี–ทางเท้าดี–สวนดี ไปย่านอื่นได้ง่ายขึ้น

คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทองจากปัญหาสุขาภิบาลและภาพลักษณ์สู่ “แลนด์มาร์คสีเขียว” ด้วยเครื่องมือสามอย่าง ปรับภูมิทัศน์, ระบบน้ำหมุนเวียนพลังงานแสงอาทิตย์, และ การมีส่วนร่วมของชุมชน เมืองไม่ได้หวังภาพสวยชั่วคราว แต่กำลังวางกรอบ ตัวชี้วัด, การบำรุงรักษา, และ บทบาทชุมชน ให้คลองอยู่ได้ยาวคนใช้จริง สุขภาพดีขึ้น เศรษฐกิจริมคลองเดินไปกับกติกาที่ชัดเจน นี่คือภาพจำใหม่ของนครเชียงรายในฐานะ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” ที่ลงมือทำจริงในระดับคลองหนึ่งเส้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กรมโยธาธิการ (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุณภาพวิจัย-นานาชาติ! มฟล. อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน ขยับสู่ Top 1200 โลก

มฟล. ผงาดเวทีโลก คว้า “ดับเบิลแชมป์ไทย” ด้านคุณภาพงานวิจัย–ความเป็นนานาชาติ ขยับกลุ่ม 1001–1200 ของโลก ตอกย้ำเชียงรายสู่ศูนย์กลางวิชาการนานาชาติ

เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เช้าวันฝนพรำที่ดอยแม่ฟ้าหลวง ลมหอบกลิ่นดินชื้นพัดผ่านสวนสวยและอาคารเรียนทรงร่วมสมัย นักศึกษาต่างชาติกลุ่มเล็กกำลังยืนถ่ายภาพกับชุดครุยจำลองหน้าป้ายมหาวิทยาลัย ขณะที่นักวิจัยรุ่นใหม่ผลัดกันหิ้วกล่องตัวอย่างขึ้นตึกทดลอง บนสันเขาที่ทอดยาวนี้ “เมืองมหาวิทยาลัย” กำลังขยับตัว—และในสัปดาห์นี้การขยับตัวนั้นก้องไกลไปถึงแวดวงอุดมศึกษาทั่วโลก เมื่อ Times Higher Education (THE) ประกาศผล THE World University Rankings 2026 ให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ขึ้นไปอยู่ในช่วง 1001–1200 ของโลก ขยับจากปีที่ผ่านมา และก้าวขึ้นเป็น อันดับ 4 ร่วมของประเทศไทย ในภาพรวม

มากกว่าตัวเลขอันดับโลก สอง “คะแนนยุทธศาสตร์” ยืนยันความก้าวกระโดดของ มฟล. แบบมี “ฐาน” และ “ความต่อเนื่อง” คือ
(1) Research Qualityอันดับ 1 ของประเทศ คะแนน 61.4 พุ่งจาก 49.3 และ
(2) International Outlookอันดับ 1 ของไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 คะแนน 64.1 เพิ่มจาก 58.2

ทั้งสองแกนชี้ชัดว่า มฟล. มิได้เพียง “สวยงาม” ในเชิงภูมิทัศน์ หาก “เข้มแข็ง” ในระบบวิจัยและเครือข่ายนานาชาติที่ปลี่ยนเป็น “ทุนเชิงยุทธศาสตร์” ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

“การเติบโตของคะแนน ‘คุณภาพงานวิจัย’ สะท้อนการยกระดับมาตรฐานเชิงวิชาการที่วัดผลได้ และการครองที่หนึ่งด้าน ‘ความเป็นนานาชาติ’ ต่อเนื่องหลายปี คือหลักฐานของโครงข่ายความร่วมมือที่ขยายตัวจริง” — ความเห็นเชิงวิเคราะห์จากแหล่งวิชาการในพื้นที่

เมื่อคะแนนไม่ใช่แค่คะแนน สัญญะของ “คุณภาพงานวิจัย” และ “ความเป็นนานาชาติ”

การจัดอันดับของ THE วัดสมรรถนะหลักผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่ Teaching, Research Environment, Research Quality, International Outlook, และ Industry (การเชื่อมกับภาคอุตสาหกรรม) ในมิตินี้ การที่ มฟล. ครองที่หนึ่งของไทยด้าน Research Quality พร้อมกับยืนหนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง สื่อถึงสองพลังคู่ขนาน

  1. คุณภาพงานวิจัย—ไม่ใช่แค่จำนวนบทความ แต่รวมถึงผลกระทบเชิงวิชาการ (citation/field-weighted impact) ความเข้มแข็งของ peer recognition และมาตรฐานการตีพิมพ์ที่สม่ำเสมอ การขยับจาก 49.3 เป็น 61.4 คะแนน ภายในรอบปี คือการไต่ระดับที่ต้องมี “ฐานข้อมูล–ฐานคน–ฐานห้องปฏิบัติการ” รองรับ
  2. ความเป็นนานาชาติ—สะท้อนความร่วมมือข้ามพรมแดนในมิติการร่วมวิจัย (co-publication) ความหลากหลายของคณาจารย์–นักศึกษา การเคลื่อนย้ายนักวิชาการ และศักยภาพการดึงดูดทุนวิจัยต่างประเทศ คะแนนที่เพิ่มจาก 58.2 เป็น 64.1 พร้อมสถิติ อันดับ 1 ของไทย 6 ปีซ้อน คือหลักฐานของเครือข่ายที่หนาแน่นขึ้น ไม่ใช่ความสำเร็จเฉพาะกิจ

หากพิจารณาเชิงระบบ การขยับจากช่วง 1201–1500 ไปสู่ 1001–1200 ในปี 2026 (ในบริบทที่ THE จัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ) แปลว่า มฟล. แข่งขันได้ในสนามที่ “แน่นขึ้นและยากขึ้น” กว่าทุกปี—การติด “ดับเบิลแชมป์ไทย” จึงให้สัญญะว่า “เชียงราย” ไม่ได้เป็นแค่เมืองปลายทางท่องเที่ยว แต่กำลังก้าวเป็น เมืองฐานความรู้” ในเชิงปฏิบัติ

เชียงรายในแผนที่อุดมศึกษาโลก เมื่อ “ภูมิศาสตร์ชายแดน” กลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์ความรู้”

ผลการจัดอันดับมาถึงพร้อมข่าวใหญ่อีกชิ้น เชียงราย ถูกเลือกเป็นเจ้าภาพประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 (4–7 พ.ย. 2568) ของ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหมายความว่า เมืองมหาวิทยาลัยบนภูเขาแห่งนี้จะต้อนรับผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขจากทั่วภูมิภาค ในหัวข้อ “ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

ในแง่เศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) และงานประชุมสัมมนานานาชาติ (MICE) การมี มหาวิทยาลัยที่มีอันดับโลกขยับขึ้น และ ถือธงความเป็นนานาชาติ เป็นตัวดึงดูดสำคัญทั้งวิทยากร–ทุนวิจัย–ผู้เข้าร่วมระดับผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งท้ายที่สุดจะเปลี่ยนเป็น การจับจ่าย–การจ้างงาน–และชื่อเสียงเมือง ในระยะกลาง–ยาว

ทำไม “Research Quality” ถึงสำคัญต่อจังหวัด?

ในระดับมหภาค “คุณภาพงานวิจัย” คือสมการที่แปลงเป็น ทุนทางปัญญา–นวัตกรรม–และอุตสาหกรรมใหม่ ได้จริง ยิ่งในพื้นที่ชายแดนที่มีเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เกษตรมูลค่าสูง ชีวเวชภัณฑ์ และ BCG เป็นโอกาส มฟล. ที่มีคะแนนวิจัยขยับเด่นจึงเป็น “เข็มทิศ” ให้จังหวัดจัดวางยุทธศาสตร์ จับคู่ ห้องปฏิบัติการ–ศูนย์วิจัย–สตาร์ทอัพ–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

  • เกษตร–อาหาร–สุขภาพ งานวิจัยด้านสมุนไพร การแปรรูปอาหารฟังก์ชัน การแพทย์แม่นยำ และสาธารณสุขชายแดน สามารถเชื่อมกับห่วงโซ่คุณค่าในพื้นที่
  • ท่องเที่ยวคุณภาพสูง ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ/สิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มมาตรฐาน “ปลายทางสุขภาพ–ธรรมชาติ–วัฒนธรรม” ของเชียงรายให้ต่างชาติมั่นใจ
  • ความร่วมมือ GMS ฐานวิชาการนานาชาติของ มฟล. ทำให้เชียงรายเป็นจุดนัดหมายใหม่ของนักวิจัย–ผู้กำหนดนโยบายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง จากคะแนน…สู่ความหมายเชิงระบบ

  • กลุ่มอันดับโลกของ มฟล.: จาก 1201–1500 (ปีก่อน) → 1001–1200 (ปี 2026)
  • อันดับในไทย (รวม): อันดับ 4 ร่วม (ในบรรดา 21 สถาบัน ที่ติดอันดับปีนี้)
  • Research Quality: ที่ 1 ของไทย คะแนน 61.4 (↑ จาก 49.3)
  • International Outlook: ที่ 1 ของไทย ต่อเนื่องปีที่ 6 คะแนน 64.1 (↑ จาก 58.2)
  • กรอบการแข่งขันโลก: มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับ 2,191 แห่ง จาก 115 ประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้แปลว่าอะไร? ในภาษาที่เข้าใจง่าย—งานวิจัยของ มฟล. ถูกอ่าน อ้างอิง และยอมรับมากขึ้น ในขณะที่ ความสัมพันธ์กับโลกภายนอกแน่นแฟ้นขึ้น ทำให้การชวน “พันธมิตรต่างชาติ” มาร่วมทดลอง–ลงทุน–หรือเปิดหลักสูตรร่วม มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น และนี่เองคือ “ทุนมองไม่เห็น” ที่เมืองมหาวิทยาลัยต้องใช้เป็นคันโยก

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ นักศึกษาต่างชาติ–อาจารย์–ผู้ประกอบการท้องถิ่น

แม้รายงานอันดับไม่ได้รวบรวมคำให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณในพื้นที่สะท้อนคล้ายกัน—นักศึกษาต่างชาติ ให้ความสนใจหลักสูตรที่บูรณาการ “สุขภาพ–ความยั่งยืน–ธุรกิจ” มากขึ้น ขณะที่ อาจารย์–นักวิจัย เห็นโอกาสยื่นทุนข้ามพรมแดนชัดเจนขึ้น เช่น กองทุนวิจัยร่วมในอาเซียนและ GMS ส่วน ผู้ประกอบการท้องถิ่น เริ่มจับมือมหาวิทยาลัยพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ–อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง เพื่อสร้างแบรนด์สู่ตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่สนามจริง “The University for Well-being and Sustainable Future”

คำประกาศวิสัยทัศน์ของ มฟล.—“The University for Well-being and Sustainable Future”—มองเผินๆ อาจเป็นเพียงถ้อยคำสวยงาม แต่เมื่อเทียบกับคะแนนที่พุ่งใน Research Quality และการครองเบอร์หนึ่งด้าน International Outlook ต่อเนื่อง หลายโครงการของมหาวิทยาลัยเริ่มมี “ฟันเฟือง” ที่หมุนจริง เช่น

  • การบูรณาการทุนวิชาการกับทุนท้องถิ่น โครงการวิจัยที่ดึงผู้ประกอบการและชุมชนเข้ามาร่วมตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ผลวิจัยต่อยอดได้จริง
  • จับมือภาคอุตสาหกรรม ยกระดับงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์/บริการ เชื่อมโยงกับแนวทาง BCG (Bio–Circular–Green) ที่สอดคล้องกับภูมิประเทศเชียงราย
  • หลักสูตรสอดรับความยั่งยืน สอดแทรกประเด็นสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–ดิจิทัล เข้าในรายวิชา เพื่อผลิตบัณฑิตที่พร้อมตอบโจทย์ตลาดแรงงานสมัยใหม่

APACPH 2025 เวทีพิสูจน์ “บทบาทชายแดน” ในสาธารณสุขโลก

การที่ APACPH เลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมครั้งที่ 56 ภายใต้หัวข้อ “Public Health Challenges in a Disruptive World” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตำแหน่งที่ตั้งของเชียงราย—บรรจบเมียนมา–ลาว อยู่ในหัวใจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง—ทำให้ประเด็น สุขภาพข้ามพรมแดน–ชนกลุ่มน้อย–ผู้อพยพ–ระบบสุขภาพชายแดน–ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะเจรจาโดยมี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็น “เวทีวิชาการกลาง” การมีอันดับและคะแนนที่สะท้อนศักยภาพด้านวิจัย–นานาชาติ จึงเป็น “ตราประทับความน่าเชื่อถือ” เพิ่มเติม

ในทางปฏิบัติ เมืองเจ้าภาพอย่างเชียงรายต้องจัดการ โลจิสติกส์–ความปลอดภัย–การสื่อสารสองภาษา–โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้พร้อม การมีมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคยกับความร่วมมือข้ามชาติอยู่แล้วช่วยลดแรงเสียดทานและยกระดับมาตรฐานงานประชุมโดยรวม

เงื่อนไขความยั่งยืน จากปีแห่ง “ชัยชนะ” สู่ “ระบบที่ชนะต่อเนื่อง”

คำถามสำคัญหลังเสียงปรบมือคือ “จะรักษา–และขยาย–ความสำเร็จอย่างไร” นักวิเคราะห์ชี้ 4 เงื่อนไขสำคัญ

  1. ทุนวิจัยที่ต่อเนื่องและพอเพียง คะแนน Research Quality จะทรุดเร็วหากแหล่งทุนสะดุด ต้องวางพอร์ตโฟลิโอทุนในประเทศ–ต่างประเทศที่หลากหลาย และใช้ระบบ guidance/mentoring ให้นักวิจัยรุ่นใหม่ยื่นขอทุนได้สำเร็จ
  2. คน–โครงสร้าง–อุปกรณ์ ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน เครื่องมือซ่อมบำรุงเร็ว และการเติมคนรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ คือฐานที่ทำให้งานวิจัย “วิ่ง” ต่อ
  3. พันธมิตรนานาชาติที่ลึกขึ้น จาก MOU สู่ co-author และจาก co-author สู่ co-fund/co-lab—เอาความเป็นอันดับ 1 ด้านนานาชาติมาแปลงเป็นโครงการที่วัดผลได้
  4. การสื่อสารสาธารณะ ดึงผลวิจัยออกไปสู่สังคมและตลาด—สร้าง “วงจรศรัทธา” ให้คนเชียงรายเห็นว่างานวิจัยช่วยชีวิต–ช่วยอาชีพอย่างไร

เมืองมหาวิทยาลัยที่ “จับต้องได้” เชียงรายในสายตานักลงทุนและนักวิจัยต่างชาติ

ด้วยสนามบินนานาชาติและความพร้อมของเมือง (โรงแรม ศูนย์ประชุม โครงข่ายการเดินทาง) การประกาศอันดับ THE ปีนี้เป็น “สัญญาณเชิญชวน” อย่างไม่เป็นทางการสำหรับ บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพ–อาหาร–ท่องเที่ยวคุณภาพ–ดิจิทัลคอนเทนต์ ที่มองหา “ฐานวิจัย–ทดลองตลาด–ทดสอบผลิตภัณฑ์” ในเมืองที่ค่าใช้จ่ายเหมาะสมและมีบุคลากรพร้อม เชียงราย–มฟล. จึงมีโอกาสก่อรูปเป็น เขตนวัตกรรมระดับภูมิภาค ที่อิงศาสตร์สุขภาพและความยั่งยืนได้จริง

จากคะแนนบนกระดาษ…สู่การเปลี่ยนชีวิตผู้คนบนภูเขา

ท้ายที่สุด การได้ “ดับเบิลแชมป์ไทย” ของ มฟล. ไม่ใช่เพียงกล่องเช็คในเอกสารรับรองคุณภาพ หากคือ จุดเริ่มต้นของการใช้มหาวิทยาลัย “ขับเคลื่อนเมือง”—เมื่อห้องทดลองเชื่อมกับไร่กาแฟ–ไร่ชา–ชุมชนบนดอย งานประชุมวิชาการนานาชาติเดินทางมาที่ชายแดน และนักศึกษาไทย–ต่างชาติร่วมกันสร้างนวัตกรรมเล็กๆ ทุกวัน เมืองมหาวิทยาลัยบนสันเขาแห่งนี้จะค่อยๆ สะสม “ทุนความเชื่อมั่น” จนกลายเป็น ศูนย์กลางวิชาการระดับสากลของภาคเหนือ อย่างสมบูรณ์

ปีนี้ มฟล. ได้พิสูจน์ว่าคะแนนวิจัยและความเป็นนานาชาติ “แปล” เป็นความหมายที่จับต้องได้แล้ว ขั้นต่อไปคือการทำให้ความสำเร็จนี้ สถิต อยู่ในระบบ—ไม่ใช่เพียง สถิติ ในรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News