Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก-เข้มเครื่องชั่ง ปิดช่องกดราคา

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” ช่วยเกษตรกรขายได้เป็นธรรม เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก–เข้มเครื่องชั่ง–ชูกรอบกฎหมาย ปิดช่องกดราคา

เชียงราย,23 ตุลาคม 2568 – สัญญาณเตือนจากทุ่งนา และแผนตอบสนองที่ต้องทันเวลา เสียงสะท้อนจากชาวนาอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวปลายไร่” อีกต่อไป เมื่อความกังวลเรื่องระบายผลผลิตและแรงกดราคาหวนกลับมาในจังหวะผลผลิตเริ่มเทลงตลาด รัฐจึงขยับทันที กรมการค้าภายในประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สหกรณ์การเกษตร และโรงสีในพื้นที่ เพื่อยืนยัน “ช่องทางขายมีจริง–รับซื้อมีต่อเนื่อง–การซื้อขายต้องโปร่งใส” พร้อมเปิดแผน “ตลาดนัดข้าวเปลือก” สองระลอกในเดือนพฤศจิกายน และส่งทีมชั่งตวงวัดลงพื้นที่ ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจนตามกฎหมายที่บังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เพื่อปิดทางเอาเปรียบเกษตรกรอย่างเด็ดขาด

ภาพรวมสถานการณ์ข้าวเหนียวครองสัดส่วน 62%—ตัวเลขที่บอกทั้ง “โอกาส” และ “แรงกดดัน”

ข้อมูล ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดแล้ว 24% หรือ 202,854 ตัน จากประมาณการผลผลิตทั้งหมด 845,225 ตัน โดยเป็นข้าวเหนียวมากที่สุด 539,977 ตัน คิดเป็น 62% ข้าวเจ้า 22% ข้าวหอมมะลิ 14% และข้าวหอมปทุม 2% ด้านราคารับซื้อ “ข้าวเหนียว” ความชื้น 25–30% อยู่ที่ 6.70–7.30 บาทต่อกิโลกรัม ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าความเข้มข้นของข้าวเหนียวในโครงสร้างผลผลิตปีนี้ คือ “ฐานรายได้หลัก” ของครัวเรือนนาในพื้นที่ แต่ก็คือ “แรงกดดันราคา” หากกลไกตลาดไม่โปร่งใสพอหรือการแข่งขันไม่เป็นธรรม

ปฏิบัติการเชิงรุก “ตลาดนัดข้าวเปลือก” + “เข้มงวดเครื่องมือวัด” + “กฎหมายเอาผิด”

เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผ่อนแรงกดดันด้านราคา กรมการค้าภายในร่วมกับจังหวัดกำหนด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” จำนวน 2 ครั้ง

  • ระหว่าง 11–13 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรป่าแดด จำกัด อำเภอป่าแดด
  • และ 18–20 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรแม่สาย จำกัด อำเภอแม่สาย

เวทีนี้เปิดให้ชาวนานำผลผลิตมาพบผู้ซื้อหลากรายมากขึ้น เกิดการแข่งขันราคา โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขนาบด้วยมาตรการ “คุมเข้ม” การชั่งตวงวัด ลงพื้นที่ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และกำกับให้สถานประกอบการติดป้ายราคารับซื้ออย่างชัดเจนตามกฎหมาย ซึ่งหากพบการฝ่าฝืน เช่น ไม่ติดป้ายราคา ติดป้ายไม่ถูกต้อง หรือใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีนี้

“กรมฯ ติดตามสถานการณ์รับซื้ออย่างใกล้ชิด และย้ำให้มั่นใจว่าการรับซื้อเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม หากพบการเอาเปรียบเกษตรกร จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” — นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (สรุปสาระคำให้สัมภาษณ์)

กรอบกฎหมายที่ “ฟันได้จริง” จากป้ายราคา–เครื่องชั่ง สู่บทลงโทษจำคุก

เครื่องมือทางกฎหมายคือฐานความเชื่อมั่นที่ทำให้มาตรการภาคสนาม “กัดได้จริง” โดยเฉพาะ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 69 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดง “ราคารับซื้อสินค้าเกษตร” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2568 กำหนดให้ผู้รับซื้อในห่วงโซ่ต้องแสดงราคารับซื้อให้ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หาก “ไม่ปิดป้ายราคา” หรือ “แสดงราคาไม่ถูกต้อง” มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหาก “กดราคา” หรือ “เอาเปรียบเกษตรกร” เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นสัญญาณ “แดงก้าวข้ามเหลือง” ให้ผู้เล่นในตลาดต้องยึดกติกาอย่างเคร่งครัด

พญาเม็งราย จุดเริ่ม “เสียงกังวล” ที่กลายเป็น “แผนปฏิบัติการ”

กรณีเกษตรกรในอำเภอพญาเม็งรายสะท้อนความห่วงใยเรื่องการขายผลผลิต คือเหตุปัจจัยที่ทำให้หน่วยงานรัฐ “ลงมือทันที” สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเชิญสหกรณ์–โรงสี–ตัวแทนเกษตรกร ประชุมคลี่สถานการณ์ เร่งยืนยัน “สหกรณ์รับซื้อได้ต่อเนื่อง” ไม่มีการหยุดหรือปฏิเสธรับซื้อ และระดมโรงสีในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ารับซื้อเพิ่มในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงราคาถูกกด และทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

ตลาดนัดข้าวเปลือก” เวทีแข่งขันราคาที่เห็นผลเร็ว

ตลาดนัดข้าวเปลือกมิใช่เพียง “อีเวนต์ขายข้าว” แต่เป็นการสร้าง แพลตฟอร์มแข่งขันราคา ในระยะสั้น ให้ชาวนาพบผู้ซื้อได้โดยตรงมากขึ้น รัฐ–สหกรณ์–โรงสี–ผู้ซื้อจากนอกพื้นที่จึงมารวมกันในจุดเดียว ขยายจำนวน “ผู้เสนอราคา” ให้มากกว่าโครงสร้างปกติที่มีผู้ซื้อจำกัด และหากเชื่อมโยงกับระบบตรวจเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคาในพื้นที่ จะทำให้การประกาศราคาในตลาดนัดกลายเป็น “จุดอ้างอิง” ที่กดแรงฮั้วหรือการบิดเบือนราคาได้ในทางปฏิบัติ. ขณะเดียวกัน การรวมผู้ซื้อจำนวนมากไว้ในที่เดียว ยังลดต้นทุนธุรกรรมของชาวนา ทั้งเรื่องการเดินทางและเวลา เป็นผลบวกทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่สะท้อนในกระเป๋าเงินอย่างชัดเจน

 “โครงสร้างผลผลิต” และ “กรอบราคารับซื้อ”

  • ผลผลิตออกสู่ตลาด: 24% หรือ 202,854 ตัน จากรวม 845,225 ตัน (ณ 19 ต.ค. 2568)
  • สัดส่วนข้าวเหนียว: 62% หรือ 539,977 ตัน (ฐานหลักรายได้เกษตรกรนาในพื้นที่)
  • ราคารับซื้อข้าวเหนียว (ความชื้น 25–30%): 6.70–7.30 บาท/กก.

ตัวเลขทั้งสามเส้นนี้สะท้อน “โจทย์กำกับตลาด” ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะยิ่งส่วนแบ่งข้าวเหนียวสูง แรงกดดันด้านราคายิ่งมีแนวโน้มชัด หากการแข่งขันไม่เปิดกว้างพอหรือมาตรฐานการซื้อขายขาดความโปร่งใส

พันธุ์ “กข 22” กับปัญหากลายพันธุ์ จากข้อร้องเรียนสู่กระบวนการพิสูจน์

อีกประเด็นที่รัฐต้องเร่งขานรับ คือข้อเรียกร้องเรื่องพันธุ์ กข 22 ที่เกษตรกรบางส่วนระบุว่า “ไม่ได้คุณภาพ” เพราะเกิดปัญหากลายพันธุ์ จนทำให้ขายได้ราคาไม่ดีดังเดิม กรมการค้าภายในจึงประสานหน่วยงานในพื้นที่และ กรมการข้าว เพื่อ “ลงพื้นที่พิสูจน์พันธุ์” แยกให้ชัดว่าความผิดปกติเกิดที่ใด—เมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูก หรือกระบวนการหลังเก็บเกี่ยว—ก่อนจะกำหนดมาตรการแก้ไขที่ตรงจุดต่อไป นี่คือตัวอย่างของ “ลูปข้อมูล–วิทยาศาสตร์–นโยบาย” ที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้ “ราคา” เป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาเชิงโครงสร้าง

ภูมิทัศน์การแข่งขัน บทบาท “โรงสี–สหกรณ์” และเครือข่ายนอกพื้นที่

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายได้ประสาน ชมรมโรงสีข้าวจังหวัด และเครือข่ายโรงสีในพื้นที่ใกล้เคียง ให้เข้าร่วมรับซื้อในช่วงผลผลิตออกมาก เพื่อเพิ่มคู่แข่งด้านราคาและดึง “ราคาอ้างอิง” ให้สะท้อนอุปสงค์–อุปทานจริงมากขึ้น ขณะเดียวกัน “สหกรณ์การเกษตร” ในจังหวัดยังทำหน้าที่เป็น “กลไกหลัก” ด้านการรับซื้อ–รวบรวม–เชื่อมต่อกับผู้ซื้อปลายน้ำ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้ขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่าน MOU รับซื้อข้าวในราคายุติธรรม เพื่อถัก “เสถียรภาพตลาด” ให้แน่นขึ้นในระยะกลาง

ชุดมาตรการ “รักษาเสถียรภาพราคาข้าว” ระดับประเทศ

ควบคู่ปฏิบัติการภาคสนาม รัฐบาลยังเดินนโยบายเชิงระบบ อาทิ โครงการสินเชื่อชะลอการขายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี 2568/69 เพื่อเสริมสภาพคล่อง–ยืดการขาย และลดแรงเทขายเมื่อผลผลิตออกกระจุกตัว มาตรการชุดนี้ช่วย “คาน” แรงกดราคาจากฝั่งอุปทาน และเชื่อมโยงกับตลาดในระดับจังหวัดอย่างเชียงรายที่กำลังเดินหน้ามาตรการคุมเกมการซื้อขายอย่างใกล้ชิด

กรณีศึกษา “การคุ้มครองเชิงรุก”  เมื่อกฎหมาย + การตรวจสอบ ณ จุดซื้อ ทำงานร่วมกัน

หัวใจสำคัญของการคุ้มครองเกษตรกรคือ “การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก” ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาจึงค่อยแก้ การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดไปยังจุดรับซื้อ ทำให้ “มาตรฐานการซื้อขาย” ถูกยกขึ้นในระดับเดียวกัน ไม่ว่าผู้ซื้อจะเป็นโรงสีรายใหญ่ ผู้รวบรวม หรือผู้ค้ารายย่อย การตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และการบังคับ “ป้ายราคารับซื้อ” ตามประกาศ กกร. ทำให้การเอาเปรียบทำได้ยากขึ้น และหากมีการกดราคาโดยไม่เป็นธรรม ก็จะมี “หลักฐาน” สำหรับดำเนินคดีได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ข้อพิพาทมักจบเพียง “คำต่อคำ”

เสียงจากกรมการค้าภายใน

สาระสำคัญจากคำชี้แจงของ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน สะท้อน 3 ประเด็นหลัก

  1. ความต่อเนื่องของการรับซื้อ—สหกรณ์ในพื้นที่ไม่ได้หยุดหรือปฏิเสธการรับซื้อ เพื่อให้ชาวนามั่นใจว่าขายได้จริง
  2. ตลาดนัดข้าวเปลือก—เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรอง และสร้างสภาพแข่งขันราคาในช่วงผลผลิตล้น
  3. การคุ้มครองตามกฎหมาย—ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคา และพร้อมดำเนินคดีหากพบการเอาเปรียบ

แม้ข้อความที่สื่อออกมาจะกระชับ แต่หาก “แปลความ” สู่งานภาคสนาม นี่คือการส่งสัญญาณ “รัฐอยู่ตรงหน้าไซโล” ไม่ใช่อยู่แค่หลังโต๊ะ

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเกษตรกร ใช้สิทธิ–ลดความเสี่ยง–เพิ่มอำนาจต่อรอง

  • ตรวจสภาพความชื้น ให้ใกล้มาตรฐานที่ตลาดยอมรับ เพื่อไม่ถูกกดราคาระหว่างชั่ง
  • ชั่งน้ำหนักก่อนขาย ที่จุดชั่งอิสระของสหกรณ์ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
  • บันทึกภาพป้ายราคา ณ จุดรับซื้อ พร้อมวัน–เวลา เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง
  • ขายผ่านตลาดนัดข้าวเปลือก ในวันที่กำหนด เพื่อเปิดเวทีแข่งขันราคาหลายราย
  • ร้องเรียน 1569 เมื่อพบพฤติกรรมเอาเปรียบ หรือพบเครื่องมือชั่ง–วัดไม่ได้มาตรฐาน

ข้อปฏิบัติเหล่านี้สอดรับกับกรอบกฎหมายและมาตรการของรัฐ และสำคัญที่สุดคือ “เกษตรกรต้องมีข้อมูลในมือ” ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ

จากฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สู่ “ระเบียบวินัยตลาด” ระยะยาว

ปฏิบัติการในเชียงรายวันนี้ คือภาพจำลองของ “วินัยตลาดสินค้าเกษตร” ที่ควรเกิดทั่วประเทศ—ข้อมูลราคาเปิดเผย ตรวจสอบได้ เครื่องมือวัดได้มาตรฐาน ผู้ซื้อ–ผู้ขายรู้สิทธิ–รู้หน้าที่ และรัฐ “เปิดไฟหน้า–ยืนอยู่ในตลาดจริง” เมื่อทั้งห่วงโซ่ทำงานบนกติกาเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นย่อมมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะจะกลายเป็น “ความคาดหวังใหม่” ของผู้เล่นในตลาด—กติกาที่ชัดเจน ยุติธรรม และทำให้รายได้ของครัวเรือนเกษตร คาดเดาได้มากขึ้น ในทุกฤดูกาล.

 “ขายได้ เป็นธรรม ตรวจสอบได้” ต้องเกิดพร้อมกัน

เรื่องเล่าจากพญาเม็งรายอาจเริ่มจากความกังวลของชาวนา แต่วันนี้กำลังขยายผลเป็นชุดปฏิบัติการเต็มรูปแบบ—สหกรณ์รับซื้อต่อเนื่อง ตลาดนัดข้าวเปลือก 2 ระลอก โรงสีใน–นอกจังหวัดเข้าร่วมแข่งราคา เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดลงพื้นที่ และ “กรอบกฎหมายใหม่” ที่บังคับให้แสดงราคารับซื้อ ตอกย้ำความโปร่งใส พร้อมบทลงโทษชัดเจน การขับเคลื่อนเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงการ “แก้ข่าว” แต่คือการ “แก้ตลาด” ให้เดินได้ด้วยตัวเอง และที่สุดแล้ว “ขายได้–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้” จะไม่ใช่แค่สโลแกน หากทุกข้อกำหนดและการบังคับใช้ดำเนินไปอย่างจริงจังในทุกจุดรับซื้อของจังหวัด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าภายใน
  • สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน! มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” คูณสิทธิ 1.5 เท่า ดันเงินสะพัดชุมชน

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน “เที่ยวดี มีคืน” เมืองรองคูณ 1.5 เท่า เปิดเกมภาษี–MICE–รัฐเร่งเบิกจ่าย หนุนเงินสะพัดชุมชน

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – เชียงรายยืนด่านหน้าฤดูท่องเที่ยวปลายปีอีกครั้ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” ถูกเคาะโดย ครม. เพื่ออัดฉีดกำลังซื้อช่วง 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568. เมืองรองได้คูณสิทธิ 1.5 เท่า. ภาคธุรกิจสัมมนาในเชียงรายหักรายจ่ายได้ 2 เท่า. หน่วยงานรัฐถูกตั้ง KPI เร่งเบิกจ่ายอย่างน้อย 60% ภายในมกราคม 2569. สัญญาณทั้งหมดชี้ว่าเม็ดเงินกำลังมุ่งสู่ชุมชน. ผู้ประกอบการต้องพร้อมรับดีมานด์ และชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี. มาตรการนี้มีเป้าหมายเป็น Quick Big Win เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนทันเวลา. ข้อมูลหลักยืนยันจากหน่วยงานรัฐและสื่อสาธารณะหลากหลายแหล่ง

โครงสร้างมาตรการ 5 คันเร่งหนุนดีมานด์–ซัพพลาย

มาตรการของรัฐแบ่งเป็น 5 แกนหลัก. แกนแรกคือภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับค่าที่พักและร้านอาหาร. วงเงินลดหย่อนตามจ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท. เมืองรองได้คูณ 1.5 เท่า สูงสุด 30,000 บาท. 10,000 บาทแรกใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. ส่วน 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. เงื่อนไขครอบคลุมผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT. ส่วนค่าตั๋วเดินทางและของฝากไม่เข้าเกณฑ์. รายละเอียดออกโดยกรมสรรพากรในเอกสารทางการ

แกนที่สองคือมาตรการภาษีนิติบุคคลด้าน MICE. จัดอบรมหรือสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยว “เมืองรอง” หักรายจ่ายได้ 2 เท่า. พื้นที่อื่นหักได้ 1.5 เท่า. นี่คือแรงจูงใจสำคัญให้บริษัทเลือกเชียงราย. แกนที่สามคือเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ. เป้าหมายการใช้จ่ายฝึกอบรม–ประชุม–สัมมนา ปีงบ 2569 ไม่น้อยกว่า 60% ภายในมกราคม 2569. ทั้งหมดถูกสื่อสารโดยหน่วยงานสื่อสารภาครัฐ

แกนที่สี่คือภาษีสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรม. อนุญาตให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง หรือขยายพื้นที่ได้ 2 เท่า. ช่วงเวลามาตรการคือ 29 ตุลาคม 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569. แกนที่ห้าคือการขยายเวลาลดภาษีกิจการบันเทิงจาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี. ช่วยเพิ่มสีสันท่องเที่ยวกลางคืนและกิจกรรมผ่อนคลาย

ทำไม “เชียงราย” ได้เปรียบ

เชียงรายคือเมืองปลายทางที่มีเอกลักษณ์. ภูมิประเทศหลากหลายและวัฒนธรรมเข้มข้น. โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง. ข้อมูลทางการระบุว่า ปี 2566 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้ท่องเที่ยวทะลุ 46,000 ล้านบาท. ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนศักยภาพฐานลูกค้าจริง. หากผนวกแรงคูณภาษี 1.5 เท่า ดีมานด์ปลายปีนี้จึงมีโอกาสเร่งตัว. หน่วยงานรัฐในพื้นที่ยังยืนยันบทบาทเชียงรายในยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว

เมื่อพิจารณาจากนโยบายรัฐปัจจุบัน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นำคณะขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ. ความเคลื่อนไหวล่าสุดสะท้อนบทบาทเชิงรุกด้านการคลังในเวทีระหว่างประเทศและภายในประเทศ. สอดรับทิศทางนโยบายที่ต้องการผลเร็ว และกระจายโอกาสสู่เมืองรอง

จาก “นโยบาย” สู่ “ชุมชน”

นโยบายจะสำเร็จเมื่อกลไกหน้างานทำงานจริง. ภาพแรกคือครอบครัวจากกรุงเทพฯ. พวกเขาเลือกเชียงรายเพราะต้องการธรรมชาติและศิลปะ. สิทธิภาษีช่วยตัดสินใจเร็วขึ้น. โรงแรมในเมืองรองทำแพ็กเกจที่พักพร้อมอาหารท้องถิ่น. ร้านอาหารเตรียม e-Tax ครบถ้วนเพื่อลูกค้ายื่นภาษีได้ทันที. ทริปสั้นๆ เปลี่ยนเป็น 3 คืน. งบประมาณเฉลี่ยต่อทริปเพิ่ม. เงินกระจายสู่โชห่วยและรถสองแถวในชุมชน.

ภาพต่อมาคือฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทเอกชน. งบสัมมนาปลายปีถูกปรับแผนจากเมืองหลักไปสู่เชียงราย. แพ็กเกจห้องประชุมครึ่งวัน บวกกิจกรรมทีมบิลดิ้งกลางไร่ชา. บริษัทได้หักรายจ่าย 2 เท่า. โรงแรมมีอัตราเข้าพักสูงขึ้น. วิสาหกิจชุมชนได้รับงานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง. ผู้ให้บริการท้องถิ่นมีรายได้เพิ่ม.

ภาพสุดท้ายคือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น. งานอบรมบุคลากรย้ายมาจัดในพื้นที่ตัวเอง. โรงแรมขนาดกลางได้คิวเช่าเต็ม. ผู้ประกอบการรถตู้และร้านอาหารรับอานิสงส์. ระบบ e-Tax เตรียมพร้อม. เมื่อรวมกับ KPI เร่งเบิกจ่าย รายนัดหมายจึงเกิดขึ้นเร็วและถี่. สิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนตัวคูณทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน.

เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้เล่นให้ถูกกติกา ได้สิทธิเต็มจำนวน

ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเก็บใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน. 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. ค่าใช้จ่ายที่นำไปลดหย่อนได้ ครอบคลุมค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารในระบบ VAT. ค่าบริการนำเที่ยวของบริษัททัวร์ที่จดทะเบียนก็เข้าเกณฑ์. ส่วนค่าน้ำมัน ทางด่วน ตั๋วเครื่องบิน และของฝาก ไม่เข้าหลักเกณฑ์. ทั้งหมดอ้างอิงตามประกาศและอินโฟกราฟิกของหน่วยงานรัฐ

นิติบุคคลที่จัดสัมมนาในเชียงราย สามารถหักรายจ่าย 2 เท่า. การวางแผนเอกสารภาษีจึงสำคัญยิ่ง. ฝ่ายบัญชีควรตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษีบนใบกำกับ. โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ให้บริการ ต้องออกเอกสารครบ. การเตรียมระบบ e-Tax ที่ไหลลื่นจะช่วยปิดการขาย. รัฐได้วางเงื่อนไขเวลาชัดเจน จึงควรดำเนินการให้ทันกรอบ

โอกาสของผู้ประกอบการเชียงรายยกระดับสู่มาตรฐานและความยั่งยืน

มาตรการปรับปรุงโรงแรม 2 เท่า เปิดโอกาสลงทุนระยะเร่งด่วน. ผู้ประกอบการควรโฟกัสงานที่ยกระดับประสบการณ์แขก. เช่น ปรับฟังก์ชันห้องพักเพื่อรองรับครอบครัว. พัฒนา Co-working zone สำหรับนักท่องเที่ยวทำงานไกล. ติดตั้งโซลาร์เพื่อลดต้นทุนพลังงานระยะยาว. โรงแรมควรเพิ่มระบบจองตรงพร้อม e-Tax อัตโนมัติ. เมื่อรวมกับส่วนลดภาษีฝั่งลูกค้า ความน่าสนใจจะยิ่งเพิ่ม

ภาคบันเทิงและกิจกรรมกลางคืนได้แรงหนุนจากการลดภาษีเหลือ 5%. ผู้ประกอบการผับ บาร์ และโชว์พื้นเมืองควรจัดตารางการแสดงรองรับไฮซีซัน. ควรประสานงานกับชุมชนเรื่องเสียงและความปลอดภัย. ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตคือหัวใจ. หากบริหารดี เมืองจะ “เที่ยวได้ทั้งปี” อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายมีฐานแข็ง พร้อมสปริงตัว

ตัวเลขปี 2566 สะท้อนศักยภาพหลักของจังหวัด. นักท่องเที่ยวรวมกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้สูงกว่า 46,000 ล้านบาท. อัตราฟื้นตัวหลังวิกฤตเป็นไปอย่างมั่นคง. แนวโน้มปี 2567 ภาคบริการยังขยายตัวเด่น. ปัจจัยคือการกลับมาของกิจกรรมและการเชื่อมโยงคมนาคม. เม็ดเงินท่องเที่ยวช่วยดันค้าปลีกและภาษีมูลค่าเพิ่ม. เมื่อผนวกมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” โอกาสจึงชัดเจน

ข้อมูลระดับประเทศยังชี้ว่าดีมานด์ท่องเที่ยวภายในและต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี. นักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยเที่ยวไทยยังเป็นเสาหลัก. ภาคเหนือได้แรงขับจากเมืองรองที่เติบโต. เชียงรายได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้โดยตรง. ผู้เล่นท้องถิ่นจึงควรวางกลยุทธ์ “ยืดเวลาพำนัก” และ “เพิ่มมูลค่าต่อทริป”

แผนปฏิบัติสำหรับ 8 สัปดาห์ทอง

สัปดาห์ที่ 1–2: โรงแรมจัดแพ็กเกจ “เมืองรอง 1.5 เท่า”. รวมห้องพัก อาหารเช้า เมนูท้องถิ่น และกิจกรรมชุมชน. ออก e-Tax ได้ทันที. ทำสื่อสั้น 15 วินาที เน้นคีย์เวิร์ด “หักภาษีเพิ่มได้”.
สัปดาห์ที่ 3–4: เจาะตลาดองค์กร. เสนอห้องประชุมครึ่งวันพร้อมทีมบิลดิ้ง. จับมือวิสาหกิจชุมชนทำเวิร์กช็อปชา กาแฟ หรืองานคราฟต์. ระบุสิทธิ “หัก 2 เท่า” ให้ชัดเจน.
สัปดาห์ที่ 5–6: จัด “เทศกาลอาหารชุมชน”. โปรโมตผ่านเพจท้องถิ่นและพาร์ตเนอร์ OTA. ทุกบูธออก e-Tax ได้. เชื่อมแผนที่เดินเที่ยวในระยะ 1 กิโลเมตร.
สัปดาห์ที่ 7–8: ผลักดันตลาดครอบครัวและสายสุขภาพ. นำเสนอสปาและออนเซ็นธรรมชาติ. สร้างโปรแกรม “เดินป่าเบาๆ” กับไกด์ชุมชน. ปิดแคมเปญด้วยคอนเสิร์ตท้องถิ่นภายใต้กติกาความปลอดภัย.

เจ้าบ้านที่ดีและกระบอกเสียงที่เชื่อถือได้

ททท. เน้นบทบาท “เจ้าบ้านที่ดี” อย่างต่อเนื่อง. การต้อนรับที่อบอุ่นสร้างประสบการณ์และการกลับมา. ชุมชนควรจัดทำลิสต์แหล่งท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ. สื่อท้องถิ่นช่วยคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้อง. ผู้ประกอบการควรทำคู่มือ “ใช้สิทธิอย่างไร” แจกลูกค้า. เมื่อข้อมูลครบถ้วน นักท่องเที่ยวจะมั่นใจและใช้สิทธิได้จริง

 

คำกล่าวจากภาครัฐ ทิศทาง–เป้าหมาย–กลไก

ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงหลัง ครม. มีมติว่า มาตรการชุดนี้ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจสั้น และเพิ่มขีดความสามารถระยะยาว. นโยบายเน้นการกระจายพื้นที่ โดยโฟกัสเมืองรอง. โครงสร้างภาษีถูกออกแบบให้จูงใจทุกภาคส่วน. ภาครัฐย้ำกรอบเวลาชัดเจน และย้ำการใช้ e-Tax เพื่อความโปร่งใส. สาระสำคัญถูกสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะและเอกสารทางการ

ในมุมการคลังระดับนโยบาย บทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความสำคัญ. ท่าทีเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศย้ำความพร้อมด้านเสถียรภาพ. นี่คือบริบทที่หนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและนักลงทุน. ความมั่นใจคือหัวใจของการใช้จ่ายปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร เอกสาร–ดีมานด์–สมดุลชุมชน

ความเสี่ยงแรกคือเอกสารภาษีไม่ครบ. ผู้ประกอบการต้องกำกับคุณภาพใบกำกับ. ลูกค้าต้องตรวจชื่อ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และวันที่จ่าย. ความเสี่ยงที่สองคือดีมานด์กระจุกในสุดสัปดาห์. โรงแรมควรกระจายโปรโมชันไปวันธรรมดา. เสนอสิทธิพิเศษสำหรับ “สัปดาห์ทำงานยืดหยุ่น”. ความเสี่ยงที่สามคือผลกระทบชุมชนจากการท่องเที่ยวหนาแน่น. ควรจัดการเรื่องเสียงและขยะ. สร้างกติกา “ท่องเที่ยวรับผิดชอบ” ในทุกกิจกรรม.

หน้าต่างเวลาสั้น แต่ผลลัพธ์ยาว

เชียงรายมีฐานท่องเที่ยวแข็งแรงและชุมชนเข้มแข็ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” เติมเชื้อไฟฝั่งดีมานด์. มาตรการภาษี MICE และ KPI เบิกจ่ายภาครัฐ ช่วยย้ำความแน่นอน. ซัพพลายที่ยกระดับมาตรฐานจะรับโอกาสได้เต็มที่. หากทุกฟันเฟืองเดินพร้อมกัน เงินจะหมุนสู่ร้านเล็ก ร้านใหญ่ และครัวเรือน. หน้าต่างเวลา 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568 จึงสำคัญยิ่ง. ผู้เกี่ยวข้องควรลงมือทันที. ทำให้สิทธิถูกใช้จริง ทำให้ประสบการณ์ดีจริง. แล้วผลลัพธ์ระยะยาวจะตกผลึกเป็นความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ “เชียงราย” ทั้งปี.

เช็กลิสต์ “ใช้สิทธิอย่างมืออาชีพ”

  1. วางแผนเดินทางให้ตรงกรอบเวลา.
  2. เลือกผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT.
  3. เก็บใบกำกับภาษีครบถ้วน โดยเฉพาะ e-Tax ส่วนเกิน 10,000 บาท.
  4. หากเป็นองค์กร ให้ขอใบเสนอราคาและเอกสารภาษีที่สอดคล้อง.
  5. ใช้สิทธิเมืองรองคูณ 1.5 เท่าให้คุ้ม.
  6. ยื่นแบบภาษีช่วง ก.พ.–มี.ค. 2569 พร้อมแนบหลักฐาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมสรรพากร
  • กรมการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ทชร. คว้า “แพลทินัม” ต่อเนื่อง 16 ปีซ้อน AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติใน Thailand Safety Award

ทชร. “แพลทินัม” 16 ปีซ้อน—AOT ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติ สำนักงานใหญ่–สนามบิน 4 แห่งกวาดรางวัล Thailand Safety Award ประจำปี 2568

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินที่เข้มข้นและมาตรฐานความปลอดภัยที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวดีของ จังหวัดเชียงราย ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) คว้ารางวัล สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ระดับประเทศ – ระดับแพลทินัม” ต่อเนื่อง ปีที่ 16 ในโครงการ Thailand Safety Award ประจำปี 2568 สะท้อนบทพิสูจน์ความสม่ำเสมอด้านการบริหารความปลอดภัยในสถานปฏิบัติงานที่ไม่ใช่เพียง “ทำได้ครั้งเดียว” แต่ “ทำได้ต่อเนื่องยาวนาน” จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ขณะเดียวกัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT ในฐานะผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ ก็ประกาศผลงานโดดเด่นระดับองค์กรทั้งเครือ โดย สำนักงานใหญ่ AOT ได้รับรางวัลระดับประเทศ (ระดับทอง) ต่อเนื่อง ปีที่ 2 และยังมีสนามบินในกำกับอีก 4 แห่ง ที่กวาดรางวัล ได้แก่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ระดับทอง ปีที่ 5), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ระดับทอง ปีที่ 3) และ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ระดับจังหวัด ปีที่ 2) ตอกย้ำภาพรวมการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของเครือข่ายสนามบิน AOT อย่างรัดกุมและเป็นระบบ

พิธีรับมอบจัดขึ้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2568 โดยมี นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ที่ปรึกษา 10 และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน) เป็นผู้แทน AOT เข้ารับรางวัลจาก นายบุญธรรม ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ณ สำนักงานใหญ่ AOT

เล่าเรื่องจาก “รันเวย์เชียงราย” สู่ “รางวัลระดับชาติ”

ในห้วงเวลาที่เชียงรายกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ภาพของผู้โดยสารที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อสัมผัสลมหนาว ชิมกาแฟดอย และชมดอกไม้ในเทศกาลใหญ่ กลายเป็น “ฉากหลัง” ของงานดูแลความปลอดภัยที่ไม่อาจละสายตาได้แม้แต่วินาทีเดียว—ตั้งแต่เขตลานจอด เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ระบบไฟทางวิ่ง ไปจนถึงการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกฝ่าย ทชร. ต้องรักษามาตรฐานเหล่านี้ให้ “เข้ม” และ “คงเส้นคงวา” เสมอ

การได้รางวัล แพลทินัม 16 ปีซ้อน ของ ทชร. จึงไม่ใช่เพียงเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ แต่เป็นบัญชีสะสมความไว้วางใจที่ชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ “ฝากชีวิต” ไว้กับสนามบินแห่งนี้ตลอดกว่าทศวรรษครึ่ง

สารหลักจากผู้บริหาร AOT (สรุปใจความจากคำชี้แจงหน่วยงาน)

“รางวัลครั้งนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของ AOT ว่า ‘บุคลากร’ คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยึดหลักมาตรฐานวิชาชีพ”

ความปลอดภัย–อาชีวอนามัย” ไม่ใช่เอกสาร แต่คือระบบนิเวศการทำงาน

เบื้องหลังรางวัล Thailand Safety Award คือการประเมินความพร้อมหลายมิติ ทั้งด้านนโยบาย ระบบบริหารความปลอดภัย (Safety Management System: SMS) การประเมินความเสี่ยง การป้องกันอุบัติเหตุ การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉิน การฝึกอบรมและเสริมทักษะบุคลากร ตลอดจนการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบสนามบิน

สำหรับ ทชร. ความโดดเด่นคือ วัฒนธรรมความปลอดภัย” (Safety Culture) ที่ถูกทำให้เห็นเป็นรูปธรรม—เช่น การสื่อสารความเสี่ยงแบบข้ามสายงาน, การซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกับทุกหน่วย (การแพทย์–ดับเพลิง–จราจรอากาศ–ความมั่นคง), การทบทวนบทเรียนจากเหตุการณ์ใกล้เคียงอุบัติเหตุ (Near Miss) เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ และการจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ใส่ใจทั้งความปลอดภัยทางกายภาพและสุขภาพจิตของบุคลากร

ในระดับ AOT ทั้งระบบ ความสำเร็จของสำนักงานใหญ่และสนามบินเครือเดียวกันอีก 3 แห่งบ่งชี้ว่า “นโยบาย” ไม่ได้หยุดอยู่ในเอกสารกลาง แต่ถูกแปลงเป็นแนวปฏิบัติจริง ณ จุดปฏิบัติงาน—ตั้งแต่ลานจอดจนถึงห้องเครื่อง กลายเป็น “โครงข่ายความปลอดภัย” ที่ทำงานสอดประสานกัน

สรุปสถิติรางวัลปี 2568 ภาพรวมความก้าวหน้าของเครือ AOT

องค์กร

ระดับรางวัล

ความต่อเนื่อง

สำนักงานใหญ่ AOT

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 2

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)

ระดับประเทศ (แพลทินัม)

ปีที่ 16

ท่าอากาศยานหาดใหญ่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 5

ท่าอากาศยานเชียงใหม่

ระดับประเทศ (ทอง)

ปีที่ 3

ท่าอากาศยานภูเก็ต

ระดับจังหวัด

ปีที่ 2

ตัวเลขที่ชวนคิด:

  • “16 ปีซ้อน” ของทชร. เท่ากับ เกือบสองทศวรรษ ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงรักษาเสถียรภาพด้านความปลอดภัยอย่างสูงสุด—ยาวนานพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสนามบินหลายยุค
  • การที่ สามสนามบินระดับภูมิภาค (เชียงราย–เชียงใหม่–หาดใหญ่) กวาด ระดับประเทศ พร้อมกัน สะท้อนพลังของเครือข่ายสนามบินนอกกรุงเทพฯ ที่ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ “ดาวเด่นเดี่ยว” แต่ “เติบโตทั้งพอร์ต”

เหตุใด “สนามบินปลอดภัย” จึงสำคัญต่อจังหวัดและเศรษฐกิจชุมชน

  1. ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและสายการบิน – รางวัลความปลอดภัยที่ได้รับต่อเนื่องทำให้เชียงรายมี “ตราประทับความไว้วางใจ” ช่วยดึงดูดสายการบิน–เที่ยวบินพิเศษในฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนถึงความพร้อมของระบบรองรับการเดินทาง
  2. ต้นทุนโลจิสติกส์และความต่อเนื่องของธุรกิจ – อุบัติเหตุหรือเหตุหยุดชะงักที่สนามบินมีต้นทุนสูงกว่าที่คิด ทั้งต่อผู้โดยสาร ผู้ประกอบการ และภาพลักษณ์ปลายทาง การยกระดับความปลอดภัยจึงเท่ากับ “ประกัน” ความต่อเนื่องของเศรษฐกิจจังหวัด
  3. ความปลอดภัยของบุคลากรและชุมชนรอบสนามบิน – ระบบอาชีวอนามัยที่เข้มแข็งลดอุบัติเหตุหน้างาน ลดการเจ็บป่วยจากการทำงาน และลดความเสี่ยงเหตุรุนแรงที่กระทบพื้นที่โดยรอบ ซึ่งตรงกับความคาดหวังของประชาชนในฐานะ “เพื่อนบ้านสนามบิน”

เชียงรายบนเส้นทาง “สนามบินปลอดภัย–เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน”

ความปลอดภัยของสนามบินไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเขตรั้วขององค์กร แต่เชื่อมโยงกับ พฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และ กิจกรรมในชุมชน โดยรอบ เช่น การเฝ้าระวัง โคมลอย–โดรน–พลุ ในช่วงเทศกาลปลายปีที่อาจคุกคามความปลอดภัยการบิน การที่ทชร. มีระบบรณรงค์ร่วมกับหน่วยงานด้านการบินและชุมชนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็น “ภาพต่อเนื่อง” ของวัฒนธรรมความปลอดภัย—จากรันเวย์สู่เมือง

ด้วยเหตุนี้ รางวัลแพลทินัม จึงหมายถึง “ความสำเร็จร่วม” ของทั้งสนามบินและคนเชียงราย ที่ช่วยกันรักษากติกาเพื่อให้การเดินทางปลอดภัยและจังหวัดเดินหน้าสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง

ถอดบทเรียนความสำเร็จ 4 ปัจจัยที่ทำให้รางวัลยาวนาน

  1. ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญ – เมื่อผู้บริหาร AOT ย้ำชัดว่า “บุคลากรคือพลังขับเคลื่อน” งบประมาณ–เครื่องมือ–เวลาในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยจึงถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่โครงการครั้งคราว
  2. มาตรฐานเดียวกันทั้งเครือ – สำนักงานใหญ่ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์มาตรฐาน” ที่ผลักนโยบายสู่สนามบินทุกแห่ง ทำให้รางวัลเกิดในหลายพื้นที่พร้อมกัน
  3. การประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง – วงจร Plan–Do–Check–Act ถูกนำมาใช้จริงในงานภาคสนาม ตรวจสอบช่องโหว่และยกระดับอย่างสม่ำเสมอ
  4. การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติและชุมชน – ความปลอดภัยไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากทุกคนในระบบ ทั้งเจ้าหน้าที่ภาคพื้น นักบิน ผู้โดยสาร ผู้ประกอบการร้านค้า ไปจนถึงชุมชนรอบสนามบิน

มุมมองเชิงยุทธศาสตร์ของ AOT  “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” ต้องยืนบนรากฐานความปลอดภัย

การประกาศวิสัยทัศน์สู่ ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค จะเป็นได้จริงก็ต่อเมื่อสนามบินหลัก–สนามบินภูมิภาคของไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ในระดับสากล รางวัล Thailand Safety Award ที่ได้รับต่อเนื่องหลายปีจึงทำหน้าที่เสมือน “ตัวชี้วัดเงียบ” ว่าองค์กรกำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางนี้อย่างมั่นคง

ในมิติสากล การมีระบบอาชีวอนามัยที่ดี ยังสัมพันธ์กับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยตรง—ทั้งด้านงานที่มีคุณค่า (SDG8) สุขภาพและความปลอดภัย (SDG3) และโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่น (SDG9) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ธุรกิจการบินทั่วโลกจับตามอง

เสียงสะท้อนจากจังหวัด—รางวัลที่ “จับต้องได้”

สำหรับเชียงราย รางวัลของทชร. สะท้อนกลับมาสู่สิ่งที่จับต้องได้ 3 ด้าน

  • ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวฤดูหนาว เที่ยวบินเช่าเหมาลำ–ไฟลต์เสริมมีแนวโน้มตอบรับดีเมื่อสนามบินแสดงศักยภาพด้านความปลอดภัยต่อเนื่อง
  • การเชื่อมต่อการลงทุนท้องถิ่น ผู้ประกอบการโรงแรม–โลจิสติกส์–เกษตรแปรรูป มองเห็น “ความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐาน” ในจังหวัด
  • ความภาคภูมิใจของคนทำงาน บุคลากรสนามบินและหน่วยสนับสนุนมีแรงจูงใจสูงขึ้น เมื่อผลงานด้านความปลอดภัยถูกยอมรับระดับประเทศ

คำถามสุดท้ายที่ควรถามต่อ  “หลังจากแพลทินัมปีที่ 16 แล้ว เราจะพัฒนาอย่างไรต่อ?”

รางวัลต่อเนื่องยาวนานคือความสำเร็จ แต่ก็ท้าทายให้คิดต่อว่าจะ “ยกระดับ” อย่างไรในก้าวต่อไป ประเด็นที่น่าจับตา ได้แก่

  • เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก (เช่น เซนเซอร์ IoT ตรวจสอบสภาพเครื่องมือภาคพื้นแบบเรียลไทม์, AI วิเคราะห์ความเสี่ยงการปฏิบัติงาน)
  • การจัดการความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศสุดขั้ว ที่อาจกระทบการปฏิบัติการบิน
  • การสร้างทักษะคนรุ่นใหม่ ในสายงานความปลอดภัยการบินที่ต้องผนวกระบบดิจิทัลและการสื่อสารข้ามหน่วยงาน

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็น “ฐานรากของปีที่ 17–18–19” และต่อ ๆ ไป ให้ทชร. และเครือ AOT ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้เหนือความคาดหวัง

สรุปเชิงบรรณาธิการ

  1. ข่าวดีของเชียงราย: ทชร. คว้า แพลทินัม 16 ปีซ้อน—นานพอจะสะท้อน “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ที่ฝังรากจริง
  2. ข่าวดีของประเทศ: AOT ทั้งเครือ “กวาดรางวัล” ทั้งสำนักงานใหญ่และสนามบินภูมิภาคหลัก ยืนยันระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ
  3. ความหมายต่อเศรษฐกิจ–สังคม: ความปลอดภัยสนามบินคือ “โครงสร้างพื้นฐานทางความเชื่อมั่น” ที่หนุนท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การลงทุน
  4. โจทย์ต่อไป: รักษามาตรฐานพร้อมยกระดับเทคโนโลยี–ทักษะ เพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ ๆ และสนับสนุนวิสัยทัศน์ศูนย์กลางการบินภูมิภาค

เมื่อความปลอดภัยไม่ใช่แค่ “เกณฑ์สอบผ่าน” แต่เป็น “คุณค่าหลักขององค์กร” รางวัลจึงกลายเป็นเพียงผลลัพธ์ปลายทาง ส่วนสิ่งที่คนเชียงรายและผู้โดยสารทุกคนได้รับจริง ๆ คือ ความอุ่นใจบนทุกเที่ยวบินที่ขึ้น–ลง ณ รันเวย์แห่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT
  • สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (Mae Fah Luang – Chiang Rai International Airport)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดไทยแรง เงินลงทุนพุ่ง 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี”

ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดก่อสร้างไทยแรง—เงินลงทุนพุ่งเฉลี่ยปีละ 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี” สร้างสมดุลเปิดรับต่างชาติปกป้องผู้ประกอบการไทย

ประเทศไทย, 22 ตุลาคม 2568 – กระแสเงินทุนและแรงงานก่อสร้างจากจีนกำลังไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นชัดคือป้ายโครงการขนาดกลางใหญ่จำนวนมากที่มีรายชื่อบริษัทจีนในฐานะคู่ร่วมทุนหรือผู้รับเหมาหลัก ขณะที่ผู้รับเหมาไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า “การแข่งขันยุติธรรมเพียงใด” และ “กติกาบ้านเราปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศมากพอหรือยัง”


รายงานล่าสุดของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ยืนยันแนวโน้มดังกล่าวด้วยตัวเลข การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) 21% ตลอดปี 2020–2024 และเฉพาะปี 2567 (2024) มีมูลค่า 3,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การร่วมลงทุนของผู้รับเหมาจีนในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย คิดเป็น 34% ของมูลค่าร่วมทุนผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569 และยังเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

เมื่อจีน “อ่อนแรงในบ้าน” จึง “มองนอกบ้าน” — ไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ

วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ลากยาวตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทำให้กิจกรรมก่อสร้างภายในประเทศจีนชะลอตัว รัฐบาลจีนจึงเร่ง “ทางออกนอกบ้าน” ทั้งผ่านการผลักดันโครงการต่างประเทศภายใต้แนวคิด Belt and Road Initiative (BRI) การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก่อสร้างให้ไปลุยตลาดต่างแดน และการสนับสนุนทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผู้รับเหมาของตน


ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทย อยู่ในช่วงเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่ระบบราง รถไฟฟ้าภูมิภาค สนามบิน ท่าเรือ คลังสินค้า ไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่—จึงไม่แปลกที่ผู้รับเหมาจีนจะ “ปักหมุด” ประเทศไทยเป็นสนามแข่งขันสำคัญ

รูปแบบที่นิยม ตามรายงาน SCB EIC คือ การร่วมลงทุน (Joint Venture) กับบริษัทไทย โดยเฉพาะกลุ่ม อาคารเพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงงาน อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ท่าอากาศยาน และคลังสินค้า เหตุผลหลักคือผู้รับเหมาจีนต้องการพันธมิตรที่รู้กติการะบบอนุญาตในไทย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องการเงินทุน ความเร็ว และเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เพื่อแข่งขันในตลาดที่ตึงตัว

ภาพใหญ่ของตัวเลข การเงินโต…แต่ “คุณภาพการแข่งขัน” ต้องถูกตั้งคำถาม

ตัวเลขเติบโต 21% CAGR ในช่วง 5 ปี และการขยายตัว 14% ในปีล่าสุด สะท้อนว่า “เค้กก่อสร้าง” ของไทยมีความน่าดึงดูดและยังขยายได้ แต่การเติบโตดังกล่าวก็มาพร้อมคำถามใหญ่ 3 ข้อที่ SCB EIC กระตุกเตือน

  1. การแข่งขันยุติธรรมหรือไม่  มีสัญญาณ “เสนอราคาต่ำผิดปกติ” เพื่อชนะงาน จากนั้นค่อยบริหารความเสี่ยงด้วยการลดสเปกหรือกดต้นทุนแรงงาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาคุณภาพงาน ความปลอดภัย และความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาช่วง
  2. การใช้ “นอมินี” บางกรณีมีการอาศัยผู้ประกอบการไทยเป็นเพียง “นอมินี” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายและความรับผิดชอบจริงในโครงการ เมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องมาตรฐานวัสดุ อุบัติเหตุ ความล่าช้า ผู้ว่าจ้างและรัฐกลับหาตัว “ผู้รับผิดชอบจริง” ยากกว่าที่ควร
  3. ความเสี่ยงทิ้งงาน ค้างจ่าย  การเสนอราคาระดับต่ำมากอาจทำให้โครงการเผชิญภาวะขาดทุน สภาพคล่องตึงจนเกิด การทิ้งงาน หรือ ค้างจ่ายค่าจ้าง แก่แรงงานและผู้รับเหมาช่วง สร้าง “ต้นทุนทางสังคม” ที่สูงกว่ามูลค่าโครงการเดิม

ประโยคชวนคิด “ราคาถูกวันนี้ อาจหมายถึงค่าซ่อม ค่าชดเชยที่แพงกว่าในวันหน้า” — แก่นปัญหาที่รายงานของ SCB EIC ต้องการชี้ให้เห็น

เจาะโครงสร้างความเสี่ยง จากไซต์งานถึงระบบนิเวศก่อสร้าง

  • ความปลอดภัยและมาตรฐานวัสดุ
    เมื่องานถูกกดราคาไม่สมเหตุสมผล ความเสี่ยงแรกคือ “ลดสเปก” วัสดุโครงสร้างและระบบความปลอดภัย รายงานเตือนว่ากรณีลักษณะนี้อาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุที่ไม่ควรเกิด” ทั้งกับแรงงาน ผู้สัญจร และทรัพย์สินรอบโครงการ
  • ระบบแรงงานและผู้รับเหมาช่วง
    การกดราคาต้นทางส่งผลต่อห่วงโซ่ทั้งระบบ ผู้รับเหมาช่วง แรงงานมักเป็นผู้ “รับแรงกระแทก” ทั้งจากการเจรจาต่อราคาหนัก การค้างจ่าย และภาระความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในไซต์งาน
  • ความรับผิดชอบตามกฎหมาย
    โครงสร้าง “นอมินี” ทำให้การติดตามความรับผิดหลังเกิดเหตุทำได้ยาก ผลคือการเยียวยา ซ่อมแซมล่าช้า และความเชื่อมั่นของตลาด ชุมชนโดยรอบลดลง

ทางรอดฝั่งไทย แข่งด้วย “คุณภาพ+เทคโนโลยี” และสร้าง “กติกาแฟร์”

รายงานของ SCB EIC ไม่ได้หยุดที่การเตือน แต่เสนอ สองแกนยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพผู้รับเหมาไทยด้วยเทคโนโลยี และ (2) ให้ภาครัฐวางกติกาที่สร้างสมดุลระหว่างการดึงดูดต่างชาติและการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ

1) ยกระดับเทคโนโลยี—ขยับ Productivity ให้ชนะ “สงครามราคา”

เครื่องมือที่ถูกชี้เป้าชัด ได้แก่

  • BIM (Building Information Modeling)  ทำให้การออกแบบปริมาณงานการประสานแบบของทุกวิชาเป็นแพลตฟอร์มเดียว ลดความผิดพลาดหน้างานและเคลมงาน
  • Prefabrication / Modular Construction   ย้ายงานจากไซต์ไปโรงงาน ลดเวลา ของเสีย ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • AI / Data Analytics   วางแผนทรัพยากร ควบคุมตารางงาน และคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
  • Drone / LiDAR / เซนเซอร์ความปลอดภัย   ตรวจความก้าวหน้า คุณภาพความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
  • 3D Printing / หุ่นยนต์ก่อสร้าง  สำหรับชิ้นงานซ้ำ ๆ และพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน

ประโยชน์ตรงคือ เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนผิดฝั่ง (ของเสีย/งานแก้/ดีเลย์) จนทำให้ผู้รับเหมาไทย “แข่งขันแบบคุณภาพ” ได้ ไม่ต้อง “ตัดราคา” เพื่อแย่งงาน

2) กติกาภาครัฐ—รับต่างชาติอย่างมี “เงื่อนไขถ่ายทอด”

SCB EIC ชี้ว่ารัฐควรสร้าง “สมดุล” ระหว่างการเปิดรับผู้รับเหมาต่างชาติที่นำเงินเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่เข้ามา กับการ ปกป้องฐานอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านมาตรการเชิงหลักการ 5 ข้อ

  1. บังคับ JV อย่างมีความหมาย  โครงการระดับหนึ่งควรกำหนดการ ร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาไทย ไม่ใช่เพียง “ชื่อ” แต่ต้องมีสัดส่วนงานจริงและถ่ายทอดองค์ความรู้
  2. ข้อกำหนดถ่ายทอดเทคโนโลยี  ผูก “ตัวชี้วัดการถ่ายทอด” เข้ากับสัญญา เช่น จำนวนช่างเทคนิคที่ได้รับอบรม BIM/Prefabrication/มาตรฐานความปลอดภัย
  3. การใช้แรงงานไทยและวัสดุภายในประเทศ  สร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ไทย พร้อมเงื่อนไขยืดหยุ่นตามความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
  4. เข้มงวดโครงสร้าง “นอมินี” ตรวจสอบผู้รับผิดชอบแท้จริง ตั้ง “บทลงโทษ” ชัดเจน และให้ผู้ควบคุมงาน/ที่ปรึกษาไทยมีอำนาจรายงานสั่งแก้
  5. คุมข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  นำแนวทาง “Abnormally Low Bid” มาใช้จริงจัง กำหนดหลักฐานต้นทุนวิธีการก่อสร้างรองรับก่อนให้เซ็นสัญญา

เปิดรับต่างชาติได้—แต่ต้อง “รับอย่างฉลาด” ให้เกิด การยกระดับ อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการว่าจ้างราคาถูก

เลนส์ระดับพื้นที่ โอกาสความเสี่ยงในจังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองอุตสาหกรรม

แม้ตัวเลขการลงทุนเป็นภาพระดับประเทศ แต่ผลกระทบ “ตกตะกอน” ลงสู่ หัวเมืองชั้นสอง–สาม ที่กำลังขยายตัวแรง ทั้งเมืองท่องเที่ยวโลจิสติกส์ชายแดน และนิคมอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ตัวอย่างเช่น

  • ภาคเหนือ เมืองท่องเที่ยว/ชายแดนบางแห่งเริ่มมีโครงการโรงแรมคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ที่ใช้ผู้รับเหมาจีนร่วมกับผู้ประกอบการไทย
  • ภาคตะวันออก/อีอีซี โครงการโรงงาน คลังสินค้าอัจฉริยะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสำเร็จรูปและผู้รับเหมาจากต่างชาติที่เชี่ยวชาญระบบอัตโนมัติ

โอกาสคือ เทคโนโลยี มาตรฐานใหม่ จะเข้ามาเร็วขึ้นพร้อมเงินทุน แต่ความเสี่ยงคือ ระบบกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องตามทัน ทั้งด้าน ความปลอดภัยไซต์งาน สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์แรงงาน หากปล่อยให้โครงการขยายตัวโดยกติกาหลวม บังคับใช้ไม่ทั่วถึง ปัญหาทิ้งงาน ค้างจ่าย ความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานจะตามมาในที่สุด

เคสตัวอย่างเชิงนโยบาย (จากข้อเสนอของรายงาน) ทำให้ “กติกามีฟัน”

เพื่อให้ข้อเสนอไม่หยุดอยู่บนกระดาษ รายงานเสนอ “เครื่องมือปฏิบัติ” ที่รัฐและผู้ว่าจ้าง (โดยเฉพาะภาครัฐ) สามารถหยิบใช้ได้ทันที ได้แก่

  • สเปกสัญญาแบบผูก KPI การถ่ายทอด  ระบุจำนวนชั่วโมงอบรม/ตำแหน่งงานเทคนิคของคนไทยที่ต้องถูกยกระดับทักษะ พร้อมกลไกตรวจรับ
  • ระบบ e-Procurement ตรวจข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ  หากราคาต่ำกว่าเกณฑ์ ให้ผู้เสนอแนบ “แผนเทคนิค ทรัพยากร ตารางงาน ที่มาของวัสดุ” เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้
  • บัญชีรายชื่อผู้รับเหมาช่วงที่ผ่านคุณสมบัติ   ลดการว่าจ้าง “ผู้รับเหมาช่วงลับ” ที่ไม่มีมาตรฐานและทำให้การควบคุมปลายทางล้มเหลว
  • กองทุนค้ำประกันแรงงาน/ผู้รับเหมาช่วง  สำรองเพื่อจ่ายกรณีค้างค่าจ้างจากการทิ้งงาน แล้วไปไล่เบี้ยกับผู้รับเหมาหลักภายหลัง
  • บูรณาการตรวจไซต์ร่วม ระหว่าง ผู้ว่าจ้าง วิศวกรรมสถาน หน่วยงานท้องที่ ผูกกับแผนความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อมเชิงรุก

มุมของผู้ประกอบการไทย “ปรับก่อนถูกปรับออกข้างสนาม”

แม้การแข่งขันจะเข้มขึ้น แต่ทางรอดของผู้รับเหมาไทยไม่ได้ปิดตาย รายงานชี้ “สามทิศทาง” ที่ควรปรับโดยเร็ว

  1. เชี่ยวชาญเฉพาะทาง   เลือกนิชที่มีความต้องการสูง เช่น ระบบอาคารประหยัดพลังงาน งานคลีนรูม โรงงานอัตโนมัติ โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป
  2. มาตรฐาน ความปลอดภัย ความตรงเวลา   ทำให้เป็น “จุดขาย” ด้วยการรับรองมาตรฐานสากลและการใช้ดิจิทัลไซต์
  3. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์   หากต้อง JV ให้เลือกคู่ที่เสริมกันจริง มีสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีและเปิดพื้นที่ให้ทีมไทยได้ลงมือ ไม่ใช่เพียงถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์

ผลที่ได้คือ ความสามารถชนะงานคุณภาพ ไม่ต้องพึ่งการกดราคา และลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว

สรุปภาพรวม “เปิดประเทศได้ แต่ต้องเปิดอย่างรู้เท่าทัน”

  • ข้อเท็จจริง: เงินลงทุนผู้รับเหมาจีนในไทย โตแรงและยังโตต่อ   21% CAGR (2020–2024), ปี 2567 อยู่ที่ 3,052 ล้านบาท (+14%YoY), สัดส่วน JV ในอาคารไม่ใช่ที่พักอาศัย 34% ณ ก.ย. 2568/2569
  • ข้อท้าทาย: ความเสี่ยง นอมินี ข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ คุณภาพงาน ทิ้งงาน ค้างจ่าย
  • ทางออก: รัฐ ออกกติกา “ถ่ายทอด ใช้แรงงานไทย วัสดุไทย คุม ALB ปราบนอมินี” / เอกชนไทย ยกระดับด้วย BIM Prefab AI หุ่นยนต์ Drone และเลือก JV ที่มีความหมาย

ถ้าทำได้ “เม็ดเงินต่างชาติ” จะกลายเป็น “เครื่องเร่งการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” แทนที่จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยถอยหลัง

ตัวเลขสำคัญจากรายงาน SCB EIC (เผยแพร่ 18 ต.ค. 2568)

  • การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทย (2020–2024): CAGR 21%
  • ปี 2567 (2024): 3,052 ล้านบาท เพิ่ม 14% จากปี 2566
  • สัดส่วนมูลค่า JV ของผู้รับเหมาจีน ในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย เมื่อเทียบกับผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569: 34% (+21% จากปีก่อน)
  • ความเสี่ยงหลัก: การใช้ “นอมินี”, เสนอราคาต่ำผิดปกติ, ทิ้งงานค้างจ่าย, มาตรฐานวัสดุความปลอดภัย

 

การเข้ามาของผู้รับเหมาจีนเป็น “ความจริงใหม่” ของตลาดก่อสร้างไทย จะปิดประเทศก็ไม่ได้ จะปล่อยเสรีจนระบบเสียสมดุลก็ไม่ควร ทางออกมีเพียง การออกแบบกติกาที่ทันยุค และ ยกระดับผู้เล่นในประเทศ ให้แข่งขันได้ในสนามสากล
หากรัฐทำให้ “ทุกบาทของเงินลงทุนจากต่างชาติ” ผูกกับ “การถ่ายทอดความรู้ให้คนไทย” และ “การสร้างมูลค่าในห่วงโซ่ไทย” ในขณะที่เอกชนไทย “ลงทุนในเทคโนโลยีมาตรฐานคน” อย่างจริงจัง ภาพฝัน “อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยคุณภาพสูง ปลอดภัย ตรงเวลา ต้นทุนเหมาะสม” ก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคามมูลค่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตการณ์ข้ามพรมแดน แม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคาม 1.3 พันล้านบาท และคำถามถึงความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 –  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘แร่หายาก’ (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การเร่งรัดการทำเหมืองแร่หายากอย่างขาดการควบคุมดูแลในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของประเทศเมียนมา ได้ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักของชาติ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปนเปื้อนด้วยสารพิษและโลหะหนักในระดับอันตราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำมาซึ่งความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนปลายน้ำในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้ จะพาไปสำรวจถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่กำลังคุกคามชีวิตและระบบนิเวศในอนุภูมิภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงแรงกดดันจากภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทยที่ยังคง “ไร้ความคืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

การขยายตัวของภัยพิบัติที่พุ่งสูง 513 แหล่งเหมืองที่คุกคามลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัย Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองที่ไม่แสวงหาผลกำไร เผยให้เห็นภาพความรุนแรงของการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมระบุว่า ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบ แหล่งเหมืองแร่หายากมากถึง 513 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลุ่มน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 เพียงปีเดียว มีการประเมินว่ามีแหล่งเหมืองใหม่เปิดเพิ่มขึ้นถึง 40 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก และสะท้อนถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขยายตัวของเหมืองแร่เหล่านี้มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการแร่หายากของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลจีนต่อเหมืองภายในประเทศ ทำให้เมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะความขัดแย้งและการกำกับดูแลที่หย่อนยานนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในห่วงโซ่อุปทานของจีน

ต้นทุนที่มองไม่เห็น ของเสียพิษ 2,000 ตันต่อแร่ 1 ตัน

กระบวนการสกัดแร่หายากในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีที่เรียกว่า การชะล้างเฉพาะที่ (in-situ leaching) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำแฟรกกิง (fracking) คือการฉีดสารละลายเคมีเข้มข้นลงไปใต้ดินผ่านบ่อชะล้าง เพื่อละลายแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในดินให้กลายเป็นสารละลายแล้วจึงสูบขึ้นมาเก็บไว้

กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้

  • มีรายงานที่น่าตกใจว่า การสกัดแร่หายากทุก 1 ตัน จะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษโดยเฉลี่ย 2,000 ตัน ซึ่งรวมถึงน้ำเสียที่เป็นกรดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตร (ราว 53,000 แกลลอน) หรือ 75 ลูกบาศก์เมตร (เกือบ 20,000 แกลลอน) และกากของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีได้ถึง 1–1.4 ตัน
  • เมื่อการทำเหมืองในภูเขาลูกหนึ่งเสร็จสิ้นลงในระยะเวลาประมาณสามปี บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายเหล่านี้ก็จะถูกทอดทิ้งไว้ ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำเสียล้นออกจากบ่อและไหลเข้าสู่ลำธารและแม่น้ำสายหลักในบริเวณด้านล่าง มลพิษเหล่านี้จึงถูกพัดพาข้ามพรมแดนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  • สารพิษที่ถูกตรวจพบ ได้แก่ สารหนู (Arsenic), ไซยาไนด์ (Cyanide), ปรอท (Mercury), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium) และโลหะหนักอื่น ๆ

นายไบรอัน ไอยเลอร์ (Brian Eyler) ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงอันตรายของการปนเปื้อนในพื้นที่ภาคเหนือของไทยว่า “โคลนเหนียว ๆ ที่ท่วมพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือของไทยหลังฝนตกหนัก คือสิ่งแรกที่ทีมของผมพบว่ามีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก” และเสริมว่า แม่น้ำสายมีระดับมลพิษที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับแม่น้ำกก

แผลพุพองและปลาตาย ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในเชียงราย

ผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากเหมืองเมียนมาได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตสาธารณสุขและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในชุมชนไทย

วิกฤตน้ำอุปโภคบริโภค ชุมชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภคและใช้ในครัวเรือน การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากการตรวจสอบน้ำเมื่อช่วงต้นปี 2568 ว่า ผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนูในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดตามกฎหมายในทุกจุดที่เก็บตัวอย่าง โดยบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 19 เท่า แม้ว่าภายหลังโรงงานผลิตน้ำประปาในเชียงรายหลายแห่งจะต้องหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในประเทศที่สะอาดกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำกก แต่ชุมชนที่ไม่ได้อยู่ในเขตประปาหลักยังคงต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อดื่ม ล้าง และว่ายน้ำ ซึ่งนำไปสู่รายงานการเกิด ผื่นคันตามผิวหนัง รวมถึงมีรายงาน ปลาตาย และปลาในแม่น้ำกกมีบาดแผลตามผิวหนัง

ภัยเงียบต่อสุขภาพระยะยาว ดร. สืบสกุล ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ทางการอาจมองข้าม นั่นคือ การสะสมของสารพิษในร่างกายมนุษย์ “ทางการไทยยึดตามค่าสูงสุดที่อนุญาตให้มีสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ในน้ำได้ หากค่าต่ำกว่าก็ถือว่าปลอดภัย แต่สารหนู ปรอท และตะกั่ว สามารถสะสมในร่างกายและในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งและโรคอันตรายอื่น ๆ ได้”

การทำลายฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น มลพิษได้สร้างผลกระทบอย่างตรงไปตรงมาต่อเสาหลักทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมการประมง นายเดช นวลใส (Det Nuansai) ชาวประมงวัย 57 ปีในบ้านปากอิง ริมแม่น้ำโขง กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “ผมอาจจะพูดได้ว่า ‘ผมเคยขายปลาของเขา’ ปลาแม่น้ำโขงเคยเป็นปลาที่คนต้องการมากที่สุดและแพงที่สุด แต่ ไม่มีใครอยากซื้อปลาจากแม่น้ำสายนี้อีกแล้ว ทุกคนกลัวว่าปลาจะเต็มไปด้วยสารหนูและสารเคมี”
  • ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร สารเคมีได้ไหลเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 100,000 ไร่ในจังหวัดเชียงราย ที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก มีความกังวลว่าโลหะหนักจะปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวนาปี ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้
  • ผลกระทบต่อการส่งออก ญี่ปุ่นได้ดำเนินการสั่งห้ามนำเข้า ถั่วแระญี่ปุ่น (Edamame) ที่มาจากพื้นที่นี้เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารเคมี และ พริกแดง ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน

ภาครัฐกับความนิ่งเฉย เสียงเรียกร้อง 10 ข้อที่ยังไร้การตอบสนอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ภาคประชาชนโดยการนำของ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ได้ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่รัฐบาลยังคงตอบสนองต่อปัญหาอย่างล่าช้าและขาดการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้รับทราบปัญหาอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความนิ่งเฉย” และ “ความไม่คืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทม์ไลน์คำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริง

เครือข่ายประชาชนฯ ได้ส่งข้อเสนอ 10 ข้อให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการภายใน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568

  1. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา
  2. วันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ. ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน และจะนำประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน (21 ตุลาคม 2568) อาจารย์สืบสกุลชี้ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐยังจำกัดวงแคบเกินไป โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ทั้งที่ปัญหาแผ่ขยายไปยังจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

ข้อเรียกร้องเชิงยุทธศาสตร์ หยุดนำเข้าแร่และเปิดโต๊ะเจรจาจีน

ในบรรดาข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน มีประเด็นเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

  1. ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา (ข้อ 5) เครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่ดังกล่าวไม่ได้มาจากเหมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องนี้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 เผยตัวเลขที่น่าฉงนว่า ในปี 2568 เอกชนไทยกว่า 40 ราย ได้นำเข้าสินแร่ผ่านด่านชายแดนภาคเหนือ 4 จังหวัด รวมมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7,714.31 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกลางเมียนมาอ้างว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ในรัฐฉานเลย คำถามคือ แร่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนหรือไม่ และผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
  2. เจรจาระดับภูมิภาค (ข้อ 8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศตระหนักและรับผิดชอบต่อมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย

“ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อกดดันมหาอำนาจโลก

นักวิชาการหลายฝ่ายต่างชี้ตรงกันว่า กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่ ประเทศจีน เนื่องจากจีนครอบงำตลาดแร่หายากของโลกอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเป็นผู้สกัดแร่แรร์เอิร์ธร้อยละ 60 และเป็นผู้แปรรูปหรือกลั่นแร่ขั้นสุดท้ายถึง ร้อยละ 87 ของปริมาณแรร์เอิร์ธทั่วโลก

มีการเสนอแนะให้รัฐบาลไทยใช้ ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) เพื่อใช้เวทีการเจรจาระดับภูมิภาค เช่น การประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Leaders’ Meeting) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ปลายปี 2568 นี้ ในการกดดันจีนให้ตรวจสอบความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

แม้จีนจะปฏิเสธการเกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่เหมืองที่ไร้การควบคุมของเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์คือ แร่แรร์เอิร์ธจำนวนมหาศาลที่ถูกขุดจากเมียนมานั้น จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปกลั่นขั้นสุดท้ายในประเทศจีน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีศักยภาพทางเทคนิคในการแปรรูปแร่ให้กลายเป็นออกไซด์ที่พร้อมใช้งานได้

ความพยายามของจีนในการกุมอำนาจในห่วงโซ่อุปทานนี้ถูกตอกย้ำด้วยการที่จีนประกาศห้ามการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่เหล่านี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 การใช้ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าวของไทยในการเรียกร้องให้จีนรับผิดชอบในฐานะผู้ครอบงำตลาด (concentration risk) จึงเป็นแนวทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี

บทสรุปและความเร่งด่วน

วิกฤตมลพิษเหมืองแร่หายากในเมียนมามิใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นโจทย์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำถึง “ด้านมืด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่โลกต้องพึ่งพา การทำเหมืองแบบไร้การควบคุมได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของรัฐกะฉิ่นให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปากท้องและสุขภาพของประชาชนในไทย

นางสาวเพียรพร ดีเทศ (ป้าใฝ่) ผู้อำนวยการองค์กรแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) ได้เตือนว่า สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในระบบนิเวศนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี ในการย่อยสลายโดยธรรมชาติ หากรัฐบาลไทยยังคงประวิงเวลาในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ การตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมกว่าแสนไร่ และการเปิดเวทีเจรจาอย่างจริงจังกับเมียนมาและจีน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่สังคมไทยต้องแบกรับไปอีกหลายชั่วอายุคน และเป็นการยอมจำนนต่อภัยพิบัติข้ามพรมแดนที่คุกคามชีวิตคนหลายล้านคนในลุ่มน้ำโขง

การป้องกันการปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเหนือกว่าการแก้ไขเยียวยา โดยมีหลักฐานชวนคิดถึงความรุนแรงของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ เช่น โรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถวของจีน ที่สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนเกิดทะเลสาบตะกอนพิษขนาดใหญ่ และส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Stimson Center
  • Mongabay
  • อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร
  •  เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • United States Geological Survey (USGS)
  • องค์กร River & Rights (Pianporn Deetes)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” ลุยนโยบาย ขยาย “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” กู้ชีพหนองหลวงรับฤดูกาลท่องเที่ยว

นายกนก” ลุยนโยบายท่องเที่ยวทั้งจังหวัด อบจ.เชียงรายจับมือเวียงชัย จัด “มหกรรมไม้ดอกโซนอำเภอ” ควบคู่ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” เร่งเคลียร์ผักตบ 40% ภายใน 28 วัน รับฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อเสียงลมหนาวกระทบยอดดอยและแม่น้ำกกเริ่มนิ่งสงบ เมืองเชียงรายก็กำลังเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลปลายปีด้วย “สองภารกิจใหญ่” ที่เดินหน้าไปพร้อมกันอย่างมีทิศทาง—ภารกิจแรกคือการ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย ออกจากตัวเมืองสู่ระดับ “โซนอำเภอ” โดยเลือก อำเภอเวียงชัย เป็นจุดเริ่มต้น เพื่อแผ่รัศมีเศรษฐกิจสร้างสรรค์และท่องเที่ยวไปให้ถึงชุมชนฐานราก; ภารกิจที่สองคือ ปฏิบัติการกู้ชีพ “หนองหลวง” แหล่งน้ำสำคัญของเวียงชัยที่ถูกวัชพืชน้ำรุกคืบยาวนาน—วันนี้เริ่มเห็นทางออกด้วยตัวเลขก้าวกระโดด กำจัดผักตบชวาแล้วกว่า 40% ภายใน 28 วัน

การขับเคลื่อนครั้งนี้นำโดย อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากเรียกว่า “นายกนก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งย้ำทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ว่าต้องไปไกลกว่า “อีเวนต์สวยงาม” และต้องลงถึง “พื้นที่จริง” เพื่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้

มหกรรมไม้ดอก “โซนอำเภอ” จุดติดเศรษฐกิจฐานราก

ภาพจำของงานไม้ดอกเชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมามักผูกอยู่กับพื้นที่ใจกลางเมือง—สวนไม้งามริมน้ำกก—ซึ่งจะยังคงเป็น “เวทีหลัก” ของเทศกาลปลายปีนี้ ระหว่าง 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 แต่ปีนี้ อบจ.เชียงรายเพิ่มเดิมพันด้วยการ “แตกจุดจัด” ไปยัง อำเภอเวียงชัย เปิดโซนใหม่ภายใต้ชื่อ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย โซนอำเภอ เวียงชัย” ในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อกระจาย “นักท่องเที่ยว–รายได้–โอกาส” ออกจากตัวเมืองสู่ชุมชน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ของการย้ายบางกิจกรรมไปโซนอำเภอมีอย่างน้อย 3 ข้อ

  1. กระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น—ตั้งแต่โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ไปจนถึงสินค้าชุมชน
  2. เพิ่มจุดหมาย สำหรับนักท่องเที่ยวให้เดินทาง “วนรอบจังหวัด” แทนการเที่ยวเพียงย่านเดียว ลดการแออัดของเมือง
  3. ต่อยอดทรัพยากรพื้นที่ โดยเฉพาะ “หนองหลวง” ให้กลับมาเป็นเวทีท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พร้อมพื้นที่กิจกรรมริมน้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเวียงชัย

การตัดสินใจเชิงนโยบายนี้ถูกแปรรูปเป็นงานปฏิบัติเมื่อ 20 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา—นายกนก พร้อม สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย (ส.อบจ.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงนั่งโต๊ะประชุมกับผู้นำ ท้องที่–ท้องถิ่น อ.เวียงชัย ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 อบจ.เชียงราย เพื่อ ล็อกแผนภูมิทัศน์–พื้นที่กิจกรรม–ผลประโยชน์ชุมชน ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

“งานใหญ่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อชาวบ้านมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จริง—เราจะทำให้ ทุกอำเภอมี ‘เรื่องเล่า’ ของตัวเอง และนำเสนอเชียงรายในแบบที่หลากหลายตลอดทั้งปี” – แนวคิดที่ทีมงานอ้างถึง นายกนก ในที่ประชุม

 “หนองหลวง” แหล่งน้ำใหญ่กำลังขอความช่วยเหลือ

เบื้องหลังการขยับขยายงานไม้ดอกไปเวียงชัย มี “เงื่อนไขสำคัญ” ที่ทีมงานต้องเร่งแก้ไขให้ได้ก่อน—คือการฟื้นฟู หนองหลวง” แหล่งน้ำขนาดใหญ่ของอำเภอที่ ผักตบชวาและวัชพืชน้ำ บุกรุกหนาแน่นมานาน ส่งผลให้ทิวทัศน์เสื่อมโทรม ระบบนิเวศอ่อนแอ และประโยชน์ใช้สอยของชุมชนลดลง

Storytelling ของหนองหลวง—ในความทรงจำของคนเวียงชัย หนองหลวงเคยเป็นพื้นที่ทอดสายลมเย็น มีแพประมงและเส้นทางจักรยานเลียบฝั่งน้ำ เด็ก ๆ ลงเล่นน้ำช่วงปิดเทอม ผู้เฒ่าผู้แก่พายเรือวางอีจู้ดักปลา เมื่อเวลาผ่านไป วัชพืชก็มากับน้ำดีและตะกอน ทับถมจนผิวหนองแน่นขึ้นทุกปี ความงามค่อย ๆ ถูกบัง—และเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึง กลายเป็น “แรงผลัก” ให้การฟื้นฟูครั้งใหญ่ต้องเริ่มต้นอย่างจริงจัง

หน่วยปฏิบัติการ ของ อบจ.เชียงราย จึงถูกส่งเข้าแนวหน้า—นำโดย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเปิดเผยความคืบหน้าว่า ตลอด 28 วันของการทำงานต่อเนื่อง สามารถเคลียร์พื้นที่วัชพืชแล้วกว่า 40% ของเป้าหมาย ตัวเลขนี้ไม่เพียงหมายถึงทิวทัศน์ที่โปร่งตา หากยังส่งผลเชิงโครงสร้าง 3 ประการ ได้แก่

  • ด้านท่องเที่ยว เปิดฉากให้กิจกรรมริมน้ำและเส้นทางเดิน–ปั่นจักรยานกลับมาเป็นไฮไลต์ของเวียงชัย
  • ด้านป้องกันภัย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดจุดอุดตัน ลดความเสี่ยงน้ำท่วมเฉียบพลัน
  • ด้านคุณภาพชีวิต คืนความสะอาดให้แหล่งน้ำชุมชน สร้างโอกาสต่อยอด เกษตร–ประมงพื้นบ้าน อย่างปลอดภัย

ทีมงานเดินแผน เร่ง–รัด–ละเอียด” ควบคู่กัน—ใช้งานเครื่องจักรหนักกำจัดผักตบชวาเป็นตอตั้ง จากนั้นเก็บเศษซากขึ้นฝั่งเพื่อขนย้ายไปกำจัดอย่างถูกวิธี ปิดท้ายด้วยการปรับสโลป–เกลี่ยตลิ่งให้เป็นแนวทางเดินเล่น–ปั่นจักรยานที่เชื่อมพื้นที่กิจกรรมหลักของงานไม้ดอก

 “สวนไม้งามริมน้ำกก” กับ “โซนเวียงชัย” – สองเวที หนึ่งประสบการณ์

งานมหกรรมไม้ดอกปลายปีนี้ถูกวางตำแหน่งเป็น “ของขวัญส่งท้ายปี” ให้คนเชียงรายและนักท่องเที่ยว ทั้งในเชิง ภาพลักษณ์เมืองงาม และ แรงส่งเศรษฐกิจท่องเที่ยว โดย อบจ.เชียงรายกำหนดให้ สวนไม้งามริมน้ำกก ทำหน้าที่เป็น “เวทีหลัก” ที่ผู้คนคุ้นเคย—เนรมิตทุ่งดอกไม้หลากสีพร้อมโครงสร้างศิลป์ร่วมสมัย ขณะเดียวกัน โซนเวียงชัย จะเป็น “เวทีย่อย” ที่โดดเด่นด้วย เรื่องเล่าท้องถิ่น และ กิจกรรมริมน้ำ เช่น ตลาดชุมชน โซนชิม–ช็อป–เช็กอิน และพื้นที่เดิน–ปั่นชมวิวหนองหลวงที่เพิ่งรีเฟรช

การจัด สองเวทีคู่ขนานในช่วงเวลาเดียวกัน มีเป้าหมายให้ผู้มาเยือนใช้เวลาในจังหวัดนานขึ้น—จาก “ทริปเช้าเย็นกลับ” กลายเป็น ค้างคืน 2–3 คืน กระจายการจับจ่ายในวงกว้างขึ้น โดยผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ตรง ได้แก่ ที่พักขนาดเล็ก โฮมสเตย์ ร้านอาหารชุมชน ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมือง และผู้ให้บริการนำเที่ยวท้องถิ่น

โครงสร้างการทำงาน ผนึกกำลัง “ท้องที่–ท้องถิ่น–ท้องถิ่นใหญ่”

เพื่อให้ระบบเดินหน้าอย่างไร้รอยต่อ อบจ.เชียงรายขับเคลื่อนผ่าน สามวงแหวนความร่วมมือ

  1. วงใน – ทีมปฏิบัติการ อบจ. ฝ่ายปกครอง, สำนักช่าง, ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ทำหน้าที่วางแบบ–เร่งงาน–กำกับมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม
  2. วงกลาง – อำเภอเวียงชัยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล/อบต. ร่วมกำหนดพื้นที่ เวลาจัดกิจกรรม ระบบจราจร–ที่จอดรถ และเงื่อนไขการใช้พื้นที่ของชุมชนเพื่อให้ “คนในพื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด”
  3. วงนอก – ภาคีเครือข่ายเศรษฐกิจและสังคม ภาคธุรกิจท่องเที่ยว, โรงแรม, กลุ่มอาชีพ, ภาคประชาสังคม ทำบทบาท “สื่อสาร–ต้อนรับ–ดูแลนักท่องเที่ยว” ให้ประสบการณ์โดยรวมของผู้มาเยือนราบรื่น

ในเชิงธรรมาภิบาล ทีมงานย้ำหลัก โปร่งใส–ตรวจสอบได้–มีส่วนร่วม” เช่น การชี้แจงข้อมูลการปรับภูมิทัศน์และการใช้พื้นที่สาธารณะต่อชุมชนรอบหนองหลวง การเปิดช่องทางรับฟังข้อเสนอแนะก่อนปิดแบบพื้นที่กิจกรรม และการตั้งคณะทำงานร่วมติดตามความคืบหน้ารายสัปดาห์จนถึงวันเปิดงาน

ตัวเลขเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่ของเมือง

  • 28 วัน – 40%: คือความคืบหน้ากำจัดวัชพืชน้ำในหนองหลวงภายใต้การนำของฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย—ตัวเลขที่ไม่เพียงสะท้อน “ความเร็ว” แต่หมายถึง “ความตั้งใจ” ที่ถูกแปลงเป็นผลลัพธ์จริงบนพื้นที่
  • 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569: เป็น “ช่วงโกลเดนไทม์” ของการท่องเที่ยวปลายปี—การเลือกจัดงานไม้ดอกในช่วงนี้คือการกดปุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยจังหวะเวลา
  • เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”: สโลแกนที่กำลังถูกพิสูจน์ผ่านการลงมือในเวียงชัย—หากโมเดลโซนอำเภอสำเร็จ สามารถขยายไปสู่อำเภออื่น ๆ ได้ทันที ทั้งแม่จัน แม่สาย พาน เชียงของ ฯลฯ โดยปรับ “เรื่องเล่า–สินค้า–กิจกรรม” ให้เหมาะกับบริบทพื้นที่

ทำอย่างไรให้ “โซนอำเภอ” เป็นมากกว่าพื้นที่เสริม

เพื่อให้การจัดมหกรรมไม้ดอกในระดับอำเภอไม่ใช่เพียง “สีสันตามเทศกาล” แต่เป็น โครงสร้างการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ยืนระยะได้ ข่าวชิ้นนี้สรุป ข้อเสนอเชิงระบบ 5 ประการจากการแลกเปลี่ยนในที่ประชุมและภาคสนาม ดังนี้

  1. วางผังประสบการณ์ (Experience Mapping) – กำหนดจุดเริ่ม–จบ เส้นทางเดิน–ปั่น จุดถ่ายรูป จุดชิม–ช็อป และจุดพัก เพื่อควบคุมโฟลว์นักท่องเที่ยวและลดคอขวด
  2. โควตาพื้นที่ขายสำหรับชุมชน – กันสัดส่วนพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้วิสาหกิจชุมชน–OTOP–เกษตรแปรรูปในเวียงชัย เพื่อให้รายได้ตกสู่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง
  3. กฎสิ่งแวดล้อมเข้ม–สื่อสารเป็นสากล – กำหนดมาตรฐานขยะ แยกถัง จุดรับคืนบรรจุภัณฑ์ พร้อมสื่อสาร 2 ภาษา (ไทย–อังกฤษ) อย่างชัดเจน
  4. ความปลอดภัยน่านฟ้า–ภาคพื้น – ประสานท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ตำรวจ–ท้องถิ่น ย้ำมาตรการ งดโคม–ควบคุมโดรน ในช่วงกิจกรรมเพื่อความปลอดภัยของการบินและผู้ร่วมงาน
  5. ระบบติดตามหลังงาน (After Action Review) – เก็บข้อมูลผู้เข้าร่วม ยอดใช้จ่าย ปัญหา–ข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงโมเดลโซนอำเภอในปีถัดไป

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ งานใหญ่ที่ชาวบ้านต้องเป็น “เจ้าของร่วม”

แม้ข่าวนี้จะเป็นการรายงานจากฝั่งนโยบายและการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย แต่หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ การมีส่วนร่วมของชุมชน—ทั้งในบทบาทผู้จัด ผู้ต้อนรับ และผู้เก็บรักษาพื้นที่หลังงานเลิก “งานของเมือง” จะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “เป็นงานของชุมชน” ด้วย

เวทีหารือกับผู้นำท้องที่–ท้องถิ่นเวียงชัยจึงเน้นคำถามพื้นฐานที่สำคัญ เช่น จะทำอย่างไรให้ตลาดชุมชนต่อยอดได้หลังเทศกาล? จะเก็บรักษาหนองหลวงให้สะอาดต่อเนื่องอย่างไร? และ จะใช้เรื่องเล่าท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวได้อย่างไร?—คำถามเหล่านี้ไม่ได้ต้องการ “คำตอบสวยงามในห้องประชุม” แต่ต้องการ “การลงมือจริง” ร่วมกันของทุกฝ่าย

จากเมืองสวย…สู่เมืองน่าอยู่ ความหมายของ “ทุ่งดอกไม้” ที่มากกว่าความงาม

เมื่อย้อนมองภาพรวม “มหกรรมไม้ดอก” อาจเริ่มต้นจากความงามทางสายตา แต่ปลายทางที่ อบจ.เชียงราย พยายามมุ่งให้ถึงคือ คุณภาพชีวิต—ท้องถิ่นที่สะอาด สวยงาม ปลอดภัย มีรายได้หมุนเวียน และมีพื้นที่สาธารณะที่ชุมชนใช้ได้จริงตลอดปี ไม่ใช่เพียงช่วงเทศกาล

หนองหลวง ที่กำลังกลับมาหายใจได้ จึงไม่ใช่เพียงฉากหลังของงานอีเวนต์ แต่คือ สัญลักษณ์ของการฟื้นฟูร่วมกัน ระหว่างรัฐท้องถิ่นและชุมชน—วันนี้ตัดผักตบชวา วันหน้าอาจปลูกต้นไม้ริมน้ำ สร้างเส้นทางจักรยาน และจัดกิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เรียนรู้ธรรมชาติที่ลูกหลานเวียงชัยภูมิใจ

Roadmap ต่อจากนี้ นับถอยหลัง 60 วัน ก่อนดอกไม้บาน

หลังประชุม 20 ตุลาคม 2568 ทีมงานตั้งกรอบเวลาทำงาน รายสัปดาห์ จนถึงวันเปิดงาน (18 ธ.ค.) โดยมีหมุดหมายสำคัญ ได้แก่

  • สัปดาห์ที่ 1–2: เก็บกวาดวัชพืชคงค้าง, ปรับสโลปตลิ่ง, วางแบบพื้นที่เดิน–ปั่น
  • สัปดาห์ที่ 3–4: ติดตั้งโครงสร้างชั่วคราว (ลานกิจกรรม/ตลาดชุมชน), จัดระบบไฟ–น้ำ–สุขา
  • สัปดาห์ที่ 5–6: ซ้อมเสมือนจริง (Dry Run) ระบบจราจร–ที่จอดรถ–จุดคัดแยกขยะ, อบรมอาสาสมัครต้อนรับ
  • ก่อนงาน 7 วัน: ตรวจความพร้อมขั้นสุดท้ายร่วมกับอำเภอ–ท้องถิ่น–ตำรวจ–หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

ระหว่างทาง อบจ.เชียงรายจะออกเอกสารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนรับรู้ความคืบหน้า พร้อมเปิดช่องทางสื่อสารสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้าและบริการในพื้นที่งาน

 “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จากคำขวัญสู่การลงมือ

เชียงรายกำลังทดลอง “แบบฝึกหัดสำคัญ” ของเมืองท่องเที่ยวยุคใหม่—ไม่ปล่อยให้ความงามกระจุกอยู่เพียงในเมือง ไม่ปล่อยให้เทศกาลเป็นเพียงภาพถ่าย แต่แปลง “งานวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “เครื่องมือพัฒนาเชิงพื้นที่” ที่สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตไปพร้อมกัน

การ ขยายงานมหกรรมไม้ดอกไปเวียงชัย และ เร่งกู้ชีพหนองหลวง คือภาพสะท้อนการเดินหมากเชิงยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ให้สัมผัสได้จริง—ถ้างานนี้สำเร็จ “โซนอำเภอ” ถัดไปก็มีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเชียงรายจะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมาย “เมืองท่องเที่ยวที่งดงามและยั่งยืน”

สารที่อยากชวนจำ ตัวเลข 40% ใน 28 วัน ไม่ใช่เพียงสถิติของการกำจัดผักตบ แต่คือ “ความเชื่อ” ว่าเมื่อ รัฐท้องถิ่น–ชุมชน–ภาคธุรกิจ ร่วมมือกัน เมืองทั้งเมืองก็ขยับได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง สั่งเข้มงดโคม-คุมโดรน ฝ่าฝืนโทษหนัก

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึก 3 หน่วยงานการบิน ดึงชุมชนรอบสนามบินเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สั่งเข้ม “งดโคม-คุมโดรน” ฝ่าฝืนโทษหนัก สูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อแสงเทียนและโคมลอยกำลังจะปลิวไสวบนท้องฟ้าในช่วง “ยี่เป็ง–ลอยกระทง” ของล้านนา สีสันของเทศกาลที่งดงามก็ทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงบนท้องฟ้า” ที่จับต้องได้มากขึ้นทุกปี ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) จึงเปิดปฏิบัติการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางการบินแบบเชิงรุก ผนึกกำลัง บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความรู้ กำชับกฎหมาย และสร้างเครือข่ายชุมชนรอบสนามบินในการเฝ้าระวังวัตถุบินที่รุกล้ำเขตปลอดภัย โดยเน้นสองโจทย์หลักช่วงเทศกาลคือ โคมลอย–พลุ–ตะไล และ โดรน

พิธีเปิดโครงการ “รณรงค์ส่งเสริมการป้องกันอันตรายจากโคมลอย โคมไฟ โคมควัน และการใช้งานโดรน ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2569” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมไชยนารายณ์ริเวอร์ไซด์ โดยมี นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล ผู้เชี่ยวชาญ 9 และรักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้แทนจาก ฝูงบิน 416 เชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย, สมาคมโรงแรมจังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, มณฑลทหารบกที่ 37, ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากชุมชนรอบสนามบิน เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างคึกคัก

“เราขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย งดการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้โดยสาร และชุมชนของเราเอง” – นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล เน้นย้ำในเวทีรณรงค์

จุดตั้งต้นของยุทธการ เทศกาลสวยงามที่ซ่อน ‘ความเสี่ยงร้ายแรง’

ปีนี้ประเพณียี่เป็ง/ลอยกระทงตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งตามสถิติการเดินทาง มักเป็นช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน “โคมลอย–พลุ–ตะไล” และกิจกรรมโดรนเพื่อถ่ายภาพ ก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นรอบพื้นที่สนามบิน หากปล่อยโดยไม่ควบคุม อาจก่อเหตุ ร้ายแรงต่ออากาศยาน และ “ชีวิต” ได้โดยตรง

แผ่นพับรณรงค์ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ชัดถึง 4 มิติความเสี่ยงจากโคมลอย ที่สาธารณชนควรตระหนัก

  1. ความปลอดภัยต่อการเดินอากาศ – โคมลอยสามารถถูกดูดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้เกิดการ ระเบิด หรือสูญเสียการควบคุม
  2. การรบกวนการบิน – แสงจากโคมหรือเลเซอร์ในอากาศอาจบดบังวิสัยทัศน์นักบิน กระทบการนำร่อนและการสื่อสาร
  3. ผลกระทบต่อสนามบิน – ซากโคมที่ตกใกล้รันเวย์เป็นสิ่งกีดขวาง ทำให้ต้อง ชะลอหรือยกเลิกเที่ยวบิน
  4. อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินภาคพื้น – โคมลอยตกใส่หลังคา สายไฟแรงสูง หรือพื้นที่แห้งแล้งอาจก่อ ไฟไหม้ลุกลาม

คำเตือนดังกล่าวไม่ใช่การคาดเดา เพราะในโลกความจริง เหตุ “วัตถุแปลกปลอมในอากาศ” (FOD) และ การชนกับนก (Bird Strike) ก็เป็นความเสี่ยงคู่ขนานที่ต้องบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง อินโฟกราฟิกของท่าอากาศยานฯ ยังอธิบายภาพจำง่าย ๆ ว่า หากเครื่องบินวิ่งที่ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ชนวัตถุหนัก 5 กิโลกรัม แรงปะทะที่เกิดขึ้น “เทียบเท่าชนช้างหนึ่งตัว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชนกับนกขนาดกลาง–ใหญ่ สามารถสร้าง แรงกระแทกมหาศาล ต่อโครงสร้างอากาศยานได้

ในทุ่งนารอบเชียงรายยังพบ “นกเป้าหมาย” เป็นประจำ เช่น นกปากห่าง (หนัก 1–3 กก.), นกยางควาย/นกยางกรอก (หนักประมาณ 0.2–0.5 กก.) และ นกเอี้ยง หลายชนิดซึ่งแม้ตัวเล็กแต่รวมฝูงได้ง่าย ทชร. จึงทำงานร่วมกับชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดปัจจัยดึงดูด (เช่น แหล่งอาหารและแหล่งพักนก) ใกล้เขตการบิน

เขตปลอดภัยการเดินอากาศ เส้นขีดที่ไม่ควรถูกละเมิด

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ เผย แผนที่เขตห้าม จุด/ปล่อยโคมลอย โคมควัน พลุ ตะไล และวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน “รอบสนามบินโดยเด็ดขาด” ตาม ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องกำหนดเขตบริเวณใกล้เคียงสนามบินเชียงรายเป็นเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ พ.ศ. 2535 ครอบคลุมพื้นที่ใน อำเภอเมืองเชียงราย หลายตำบล รวมถึง อำเภอเวียงชัย (ตำบลเวียงชัย, เวียงเหนือ) และ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง (ตำบลดงมหาวัน, ตำบลทุ่งก่อ) เป็นต้น

สาระสำคัญคือ ผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอยในพื้นที่ นอกเขตห้าม ก็ยังต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด เช่น ยื่นขออนุญาตต่อผู้อำนวยการเขตหรืออำเภอ ระบุวัน–เวลา–สถานที่–จำนวนที่จะปล่อย พร้อมแจ้งท่าอากาศยานหรือศูนย์ควบคุมการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ทั้งนี้ ห้าม จัดกิจกรรมในแนวขึ้น–ลงของอากาศยานหรือพื้นที่ที่อาจส่งผลต่อการนำร่อนโดยตรง

สำหรับ โคมลอยมาตรฐาน ที่ทางการอนุญาต ต้องมีลักษณะตามนี้

  • สูงไม่เกิน 140 ซม. และ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 90 ซม.
  • ทำจากวัสดุธรรมชาติ
  • ใช้เชื้อเพลิงจากกระดาษซับเทียนหรือพาราฟิน น้ำหนักไม่เกิน 55 กรัม และ เผาไหม้ไม่เกิน 8 นาที
  • ห้ามผูกลูกดอก/พลุ/ไฟตก ใต้ท้องโคมลอยโดยเด็ดขาด

กฎหมาย–บทลงโทษ “เข้มกว่าที่คิด” เพื่อยับยั้งความเสี่ยง

การปล่อยโคมลอยหรือจุดพลุในเขตปลอดภัยการเดินอากาศ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โทษสูงสุด “หนักและชัด” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้โดยสารและสาธารณชน

  • ฝ่าฝืนจุด/ปล่อยในเขตปลอดภัย จำคุกไม่เกิน 5 ปี, ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • กรณีทำให้เกิดความเสียหาย/อันตรายต่ออากาศยาน สูงสุดถึง ประหารชีวิต, จำคุกตลอดชีวิต, หรือจำคุก 5–20 ปี และปรับ 600,000–800,000 บาท

กับ “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับ การควบคุมก็เข้มงวดไม่แพ้กัน ตามกรอบของ กพท. และ กสทช.

  • ห้ามบินในระยะ 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือบริเวณขึ้น–ลงชั่วคราวของอากาศยาน เว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินเหนือสถานที่ราชการ โรงพยาบาล เขตหวงห้าม หรือสูงเกิน 90 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • บทลงโทษพื้นฐาน (ฝ่าฝืนเขตห้าม) จำคุกไม่เกิน 1 ปี, ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านการขึ้นทะเบียน

  • กสทช. โดรนน้ำหนัก 2–25 กก. ต้องขึ้นทะเบียนตัวเครื่อง พร้อมเอกสารบัตรประชาชน ภาพ Serial Number และ ประกันภัยบุคคลที่สามไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
  • กพท. (CAAT) โดรน ติดกล้อง หรือ ใช้เชิงพาณิชย์ ต้องขึ้นทะเบียนผ่านระบบ UAS Portal รวมถึงการขึ้นทะเบียน ผู้บังคับ สำหรับโดรนน้ำหนัก ตั้งแต่ 25 กก. ขึ้นไป

ข้อควรรู้ ที่ทชร. ย้ำกับผู้ใช้โดรนทุกคน

  1. โดรน น้ำหนักน้อยกว่า 2 กก. และ ไม่ติดกล้อง เพื่อการใช้งานอดิเรก อาจ ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ยังต้องบินอย่างปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎระยะห่าง/ความสูง
  2. โดรน 2–25 กก. หรือ ติดกล้อง ต้องขึ้นทะเบียนทั้งกับ กสทช. (ตัวเครื่อง) และ กพท. (การใช้งาน/ผู้บังคับ)
  3. ขณะบินต้อง “มองเห็นด้วยตาเปล่า” ตลอดเวลา ห้ามบังคับโดยอาศัยภาพจากกล้องอย่างเดียว

จากเวทีความรู้สู่เครือข่ายเฝ้าระวัง ทำอย่างไรให้ “น่านฟ้าเชียงราย” ปลอดภัยยิ่งขึ้น

สาระการบรรยายของ บวท., กสทช. และ กพท. ในเวทีรณรงค์ 20 ต.ค. ครอบคลุมตั้งแต่ “หลักการจัดการความปลอดภัยด้านการบิน (Safety Management)” การประสานงานการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ไปจนถึง “แนวทางปฏิบัติ” ของชุมชนรอบสนามบินเมื่อพบเห็นวัตถุในอากาศ โดยทชร. เผย QR Code สองรายการสำหรับประชาชน ได้แก่

  • กฎหมาย/ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวัตถุในอากาศ (รวมถึงโคมลอย–โดรน)
  • ช่องทางแจ้งเหตุ หากพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย

ในการปฏิบัติจริง ทชร. เน้น 4 กลไกเฝ้าระวัง ที่ทำงานคู่กับมาตรการเชิงกฎหมาย

  1. เครือข่ายชุมชน – แต่งตั้งอาสาสมัคร/ตัวแทนชุมชนรอบสนามบินเป็น “จุดสังเกตการณ์” แจ้งเบาะแสรวดเร็ว
  2. ประสานท้องถิ่น–ท้องที่ – อบต./เทศบาล/กำนันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมออกประกาศย้ำเตือนก่อนเทศกาล และนัดหมาย “เวลาปลอดภัย” หากจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต
  3. การสื่อสารสาธารณะ – ป้ายรณรงค์ อินโฟกราฟิก และโพสต์สาระย่อยง่าย เช่น ภาพ “โคมลอยอาจเท่ากับชนช้างหนึ่งตัว” เพื่อกระตุ้นการรับรู้
  4. ลาดตระเวน–เฝ้าระวังเชิงรุก – ทีมงานสนามบินตรวจพื้นที่เสี่ยงรอบรันเวย์/แนวขึ้นลงก่อน–ระหว่างเทศกาล

เชียงราย 70% บทพิสูจน์ของเมืองท่องเที่ยว–ฮับการบิน ที่ต้องอยู่ร่วมกับประเพณีอย่างปลอดภัย

เชียงรายกำลังเดินหน้าเป็น “เมืองท่องเที่ยวสุขภาพ–วัฒนธรรม” เทศกาลยี่เป็งคือเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดผู้มาเยือน แต่สนามบินแม่ฟ้าหลวงฯ ก็เป็น “โครงข่ายชีวิต” ของเศรษฐกิจจังหวัด ความสมดุลระหว่าง ความงดงามของประเพณี กับ ความปลอดภัยของน่านฟ้า จึงเป็นโจทย์ยุคใหม่ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้

เวทีรณรงค์ครั้งนี้สะท้อน “บทเรียนเชียงราย” อย่างน้อย 3 ประการ

  • ความรู้เท่าทัน คือเส้นแบ่งระหว่างงานรื่นเริงกับความเสี่ยง – ประชาชนจำนวนมาก “เพิ่งรู้” ว่าการปล่อยโคมลอยบางประเภทมีโทษสูงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หากก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยาน
  • การมีส่วนร่วม ของภาคธุรกิจ–โรงแรม–ชุมชน มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ – โรงแรมและผู้จัดทัวร์คือด่านหน้าในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างจังหวัด/ต่างชาติ
  • มาตรการเชิงระบบ ต้องทำก่อนเทศกาล – การแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วัน การกำหนดพื้นที่–เวลา (ในกรณีที่ได้รับอนุญาต) และการเชื่อมต่อข้อมูลกับหอบังคับการบิน คือหัวใจของการลดความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ

ประเทศไทย 20% กฎเดียวกันใช้ทั้งประเทศ แต่พื้นที่รอบสนามบิน “เข้มเป็นพิเศษ”

แม้มาตรการรณรงค์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในเชียงราย แต่กฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497, ข้อกำหนดของ กพท. และ กสทช. มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสนามบินหลัก–รอง และพื้นที่ที่ประกาศเป็น “เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ” ช่วงเทศกาลลอยกระทง ภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรมปล่อยโคม–พลุ จึงต้องประสานงานกับสนามบินในพื้นที่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ใช้ โดรน ทั่วประเทศ กรอบคิดที่ควรยึดไว้เสมอคือ “มองเห็น–ควบคุมได้–รับอนุญาต” หากบินใกล้สนามบินหรือในพื้นที่อ่อนไหว และ “ขึ้นทะเบียน–ทำประกัน” ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

ต่างประเทศ 10% เวทีโลกก็เผชิญโจทย์เดียวกัน – วัตถุเล็ก ความเสี่ยงใหญ่

หลายประเทศเข้มงวดกับ โคมลอย และ โดรน ใกล้สนามบินอย่างมาก เพราะอุบัติการณ์ “วัตถุเล็ก–ผลกระทบใหญ่” เกิดขึ้นจริง ทั้งกรณีโดรนรุกล้ำเขตห้ามบินจนสนามบินต้อง ปิดรันเวย์ชั่วคราว, หรือเหตุไฟไหม้จากโคมลอยที่ลอยไกลควบคุมไม่ได้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ตอกย้ำว่าแนวนโยบายของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ที่เลือกใช้ “ป้องกันไว้ก่อน” คือทางเลือกที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะยาว

จาก “ความงดงาม” สู่ “ความรับผิดชอบร่วมกัน”

เทศกาลยี่เป็ง–ลอยกระทงคือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเชียงรายและชาวล้านนา การรักษาเสน่ห์นั้นไว้คู่กับการเดินอากาศที่ปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกคน

  • หากต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอย ต้องยื่นขออนุญาต แจ้งวัน–เวลา–สถานที่–จำนวน และประสานสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
  • เลือกใช้ โคมมาตรฐาน ขนาดตามเกณฑ์ และ ห้าม ผูกพลุ/ลูกไฟตก
  • ผู้ใช้ โดรน ต้อง ขึ้นทะเบียน ตามเกณฑ์ของ กสทช.–กพท., ทำประกันบุคคลที่สาม, บินในพื้นที่ปลอดภัย ห่างสนามบินอย่างน้อย 9 กม., ความสูงไม่เกิน 90 เมตร, และมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอ
  • เมื่อพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย แจ้งท่าอากาศยาน ผ่านช่องทางที่ประกาศ (QR Code) ทันที

เสียงปิดท้ายจากเวทีรณรงค์ของเชียงรายชัดเจน น่านฟ้าปลอดภัย คือความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งเมือง” หากทุกภาคส่วนขยับพร้อมกัน เชียงรายจะคงไว้ซึ่งทั้ง ความงามของประเพณี และ ความมั่นคงของเส้นทางบิน ที่เชื่อมผู้คน เศรษฐกิจ และอนาคตของเมืองเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (AOT Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport)
  • บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • ประกาศกระทรวงคมนาคม
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มูลค่ากว่า 2.2 แสนล้าน! ภาคเหนือเร่ง “ลดเสี่ยงแม่สาย-เร่งเครื่องเชียงของ” สร้างเสถียรภาพการค้า

การค้าชายแดนภาคเหนือสุดผันผวน! ด่านแม่สายเสี่ยงสูงจากเมียนมา แต่ “เชียงของ” แบกรับมูลค่ามหาศาลจากทุเรียนสู่จีน

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าที่เวียงแก่นหมอกบางแตะไหล่เขา เสียงเครื่องยนต์หัวลากค่อยๆ ไล่คิวหน้าด่านศุลกากรเชียงของ รถผลไม้หุ้มคลุมอย่างแน่นหนารอชั่ง–สแกน–ปล่อยผ่าน เส้นเลือดโลจิสติกส์ R3A ซึ่งพุ่งขึ้นเหนือไปคุนหมิงทำงานไม่เคยหยุด และนั่นคือ “หัวใจเต้น” ของการค้าผ่านแดนเชียงรายในปีงบประมาณ 2568 ที่ตัวเลขรวมภาคเหนือแตะ 224,215.423 ล้านบาท โดยมูลค่าส่งออกคิดเป็น 150,860.635 ล้านบาท ตามรายงานของสำนักงานศุลกากรภาค 3

เมื่อส่องเฉพาะ “สามด่านหลัก” ของเชียงราย—เชียงของ, แม่สาย และเชียงแสน—ภาพความต่างปรากฏชัด

  • เชียงของ คือ “ประตูสู่จีนตอนใต้” แบกสัดส่วนการค้ารวมของเชียงรายถึง 73.5% ด้วยมูลค่าส่งออก 42,099.333 ล้านบาท และฐานสินค้าหลักคือผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียน—ราชาผลไม้ที่ขึ้นรถจากภาคตะวันออก–ภาคใต้ของไทยแล้วเร่งทำเวลาผ่านแดนไปยังยูนนาน
  • แม่สาย คือ “ตลาดปลายแดน” ของเมียนมา ส่งออกโดยตรง 11,462.327 ล้านบาท แต่เปราะบางต่อประกาศ–การสู้รบ–ข้อกำหนดชั่วคราวของฝ่ายเมียนมาที่พลิกเกมการค้าได้ภายใน “สัปดาห์เดียว”
  • เชียงแสน คือ “ท่าขึ้น–ลงทางน้ำ” มูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ใช้ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 เป็นเข็มขัดพยุงสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก เชื่อมจีน–ลาว–เมียนมาบนลุ่มโขงตอนบน

เชียงของ 73.5% ของเค้กทั้งก้อน—R3A พยุงค้าผ่านแดน ผลไม้คือ “ทองคำที่ต้องรักษาความเย็น”

ตัวเลขที่โดดเด่นที่สุดของเชียงรายปีนี้มาจาก ด่านศุลกากรเชียงของ—ด่านชายแดนที่ทำหน้าที่ “โหนฉลุย” ให้ขบวนคอนวอยสินค้าเกษตรไทยวิ่งผ่าน สปป.ลาว ไปจีนตอนใต้ตามเส้นทาง R3A ด้วยความรวดเร็ว ตัวเลขสัดส่วน 73.5% ของมูลค่าการค้าจังหวัดที่เกิดจาก “การค้าผ่านแดน (Transit Trade)” บอกชัดว่าเชียงของคือ “จุดคอขวดดีมานด์” ไปจีน

สินค้าเอก คือผลไม้สด ทุเรียน–ลำไย–มะขาม โดยเฉพาะทุเรียนที่ครองสัดส่วนมูลค่าโดดเด่น ฤดูกาลพีคทำให้ภาพรถห้องเย็นต่อคิวเป็นเรื่องปกติ สำนักงานศุลกากรภาค 3 ระบุว่าเฉพาะผลไม้สดที่ไหลผ่านภาค 3 รวมกันมีน้ำหนักกว่า 439 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าราว 38,669 ล้านบาท การรักษา โซ่ความเย็น (cold chain) ตั้งแต่สวน–ล้ง–ด่าน–ปลายทาง จึงไม่ใช่ “ดีต่อภาพลักษณ์” แต่คือ “ชีวิตของมูลค่า” ที่ต้องไม่สะดุด ทั้งฝั่งเอกชนและรัฐจึงต้องจัดการคิว–ห้องเย็น–การตรวจปล่อยให้ เร็ว–แม่น–ปลอดภัย

ด้านนำเข้า เชียงของมีบทบาทรับไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านคิดเป็นมูลค่าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท และผัก–ผลไม้จากจีน เช่น องุ่นสด–ส้มแมนดาริน—สะท้อนความเป็น Fruit Corridor สองทิศทางของด่านนี้อย่างชัดเจน

จุดท้าทายที่ต้องเร่งแก้ แรงกดดันทางกายภาพของ R3A (หลุมบ่อ, ระยะหยุดรอ, ความหนาแน่นหน้าด่าน, เอกสารด่านคู่) และความแปรปรวนตามฤดูกาลของผลผลิตเป็นต้นเหตุ “คอขวด” ที่ทำให้ความเสี่ยงเสียโซ่ความเย็นเพิ่มขึ้นทันทีที่เกิดความล่าช้า

แม่สาย ส่งออกแรง แต่ “เปราะบางที่สุด”—เมียนมาสะเทือน ตลาดไทยสั่นตาม

ด่านแม่สาย เป็นจุดค้าชายแดนโดยตรงกับ ท่าขี้เหล็ก–เมียนมา ซึ่งในทางสถิติคือ “ตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของภาคเหนือ” ในหลายเดือนที่ผ่านมา ทว่าปี 2568 ความไม่แน่นอนกลับเด่นชัด—ตั้งแต่ประกาศฝ่ายเมียนมาวันที่ 1 กันยายน 2568 ให้เข้มงวดการนำเข้าสินค้าไทย (ก่อนจะผ่อนคลายภายในราวหนึ่งสัปดาห์) ไปจนถึงเหตุสู้รบในพื้นที่ต่างๆ ที่โยงกับเส้นทางขนส่งหลักทางฝั่งเมียวดี/แม่สอด ทั้งหมดนี้กดให้ด่านแม่สาย “ผันผวนสูงกว่าค่าเฉลี่ย” อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ภาพรวมทั้งปี แม่สาย ยังทำมูลค่าส่งออก 11,462.327 ล้านบาท และสินค้าหลักอย่าง น้ำมันดีเซล มีรายงานมูลค่าส่งออกประมาณ 14,308 ล้านบาท ประกอบกับสินค้าอุปโภค–บริโภคอย่างเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังมีดีมานด์ต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยง “ปิด–เปิดกะทันหัน” คือปัจจัยที่ผู้ประกอบการควบคุมไม่ได้

ผลสั่นคลอนระดับภูมิภาค แม้มีเหตุสู้รบ เมืองคู่แฝดอย่าง แม่สอด–เมียวดี ยังทำมูลค่าส่งออกสูงถึง 53,470.825 ล้านบาท ยืนยันว่า “ดีมานด์มีจริง” แต่ “เสถียรภาพของเส้นทาง” คือปัจจัยตัดสินใจอันดับต้นๆ ของผู้ส่งออก

เชียงแสน ท่าเรือพาณิชย์แห่งที่ 2 ถือหาง—ทางน้ำคือ “กันชน” ของระบบ

หากเชียงของคือหัวรถจักรทางบก เชียงแสน ก็เป็น กันชนทางน้ำ ที่ช่วยเฉลี่ยภาระระบบ ด้วยมูลค่าส่งออก 9,285.396 ล้านบาท ผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 ที่เชื่อม จีน–ลาว–เมียนมา บนลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เส้นทางน้ำมีจุดแข็งที่การรองรับสินค้าน้ำหนักมาก/ปริมาณมาก แต่ก็มี “ฤดูกาลของน้ำโขง” เป็นเงื่อนไขเชิงธรรมชาติ ดังนั้น ประสิทธิภาพของท่าเรือ–การจัดตารางเรือ–การบริหารคิวขนถ่าย–การเชื่อมต่อถนนหน้าเทอร์มินัลคือหัวใจ

บทบาทที่เริ่มชัด คือการเป็นทางเลือกสำหรับสินค้า Bulk/General Cargo และรองรับจังหวะที่ทางบกแน่น (เช่น ช่วงผลไม้พีค) ทำให้เชียงแสนเป็น ตัวปรับสมดุล” (balancer) ของระบบการค้าจังหวัดในมิติการเดินทางของสินค้า

โครงสร้างสินค้า “เกษตรสด–พลังงาน–อุปโภคบริโภค” กำหนดทิศ และ “ไฟฟ้า–แร่–ผักผลไม้จีน” คือฝั่งนำเข้า

เมื่อถอดรหัสโครงสร้างสินค้า

  • ส่งออก ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม, มังคุด), น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • นำเข้า พลังงานไฟฟ้า (≈ 26,013.7 ล้านบาท), โลหะพลวงและแร่พลวง (รวมกว่า 14,900 ล้านบาท โดยประมาณ), องุ่นสด (≈ 5,186.4 ล้านบาท), ส้มแมนดาริน (≈ 2,159.7 ล้านบาท), ผักกาดขาว–ฮ่องเต้ (≈ 1,867.3 ล้านบาท), ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (≈ 1,743.7 ล้านบาท)

ภาพนี้ตอกย้ำว่าเชียงรายทำหน้าที่ ศูนย์รวม–กระจายสินค้าเกษตรสด ของไทยสู่จีน ขณะเดียวกันก็เป็น ประตูรับพลังงานและวัตถุดิบ สู่ไทย—โมเดล “สองทิศ–สองระบบ” ที่ต้องการทั้ง คุณภาพสินค้า และ ความพร้อมโลจิสติกส์

ภาคเหนือในกระจก เมียนมาคือ “เครื่องยนต์ส่งออก” จีน–ลาวคือ “เครื่องดูดนำเข้า”

การอ่านภาพทั้งภาคเหนือ (น้ำหนัก 20%) ตามกรอบสถิติรายเดือนของธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง ส.ค. 2568 สะท้อนว่า การค้าชายแดนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98% ของการค้าในภูมิภาค โดย เมียนมา คือตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง (ประมาณ 157.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนดังกล่าว) ทำให้ภาคเหนือ เกินดุล เด่นกับเมียนมา ขณะที่ จีนตอนใต้ และ สปป.ลาว เป็นคู่ค้าฝั่งนำเข้าที่ใหญ่กว่า ส่งผลให้เกิดดุลการค้าแบบ “เกินดุลกับเมียนมา–ขาดดุลกับจีน/ลาว” ตามโครงสร้างสินค้าและบทบาทเส้นทางผ่านแดน

บทเรียนสำหรับเชียงราย ดุลการค้าบวก–ลบเหล่านี้ไม่ใช่ “ผิดปกติ” หากสะท้อน บทบาทหน้าที่เฉพาะ ของแต่ละด่าน—แม่สายเน้นซัพพลายสินค้าบริโภค–พลังงานให้เมียนมา, เชียงของ–เชียงแสนเน้น “ระเบียงผลไม้–วัตถุดิบ” เชื่อมจีนและลาว

ปัจจัยเสี่ยง ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา–คอขวด R3A–น้ำโขง–เอกสารข้ามแดน

  1. เมียนมา — ความไม่สงบ–มาตรการเฉียบพลัน ทำให้แม่สาย “เปิด–ปิด–ผ่อน–เข้ม” ได้ภายในไม่กี่วัน กระทบ ต้นทุนถือสต็อก, ต้นทุนความเสี่ยง, สภาพคล่องผู้ประกอบการ
  2. R3A — ความพร้อมของผิวทาง–ด่านคู่–ช่องจอด–ระบบสแกน–ห้องเย็น เป็นปัจจัยชี้ชะตาโซ่ความเย็นผลไม้สด
  3. แม่น้ำโขง — ระดับน้ำเปลี่ยนตามฤดูกาลจำกัดโควตาความถี่/น้ำหนักบรรทุกของเรือ กระทบแผนขนส่งระยะกลาง–ยาว
  4. พิธีการ–เอกสาร — ความต่างมาตรฐานการตรวจของด่านคู่/ช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้ เวลาวงรอบ (cycle time) บวมง่าย

ข้อเสนอเชิงนโยบาย–เชิงปฏิบัติ “ลดเสี่ยงแม่สาย–เร่งเครื่องเชียงของ–เสริมเข็มขัดเชียงแสน”

De-risking แม่สายแบบแผนที่เดินได้จริง

  • จัดทำ แผนฉุกเฉินโลจิสติกส์ (contingency plan) สำหรับสินค้าที่วิ่งออกแม่สาย เส้นทางสำรองผ่านแม่สอด/เชียงของ/เชียงแสน ตามประเภทสินค้า
  • ประกันความเสี่ยงการค้า รายย่อย ผลักดันสินเชื่อเฉพาะกิจ/รับประกันความเสี่ยงระยะสั้นให้ผู้ส่งออก SMEs ที่พึ่งพาแม่สาย
  • ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเตือนภัยการค้าเมียนมา แบบเรียลไทม์ รวบรวมประกาศ–เงื่อนไขใหม่–จุดคัดกรอง–เวลาเฉลี่ยข้ามแดน

ยกระดับ R3A–เชียงของ จาก “คอขวด” เป็น “ทางด่วนผลไม้”

  • ลงทุน จุดรอ–ที่จอด–สถานีตรวจ–ห้องเย็น หน้า–หลังด่าน เพิ่ม throughput และลด dwell time สำหรับรถห้องเย็น
  • อัปเกรด เอกสารดิจิทัล–ชิปติดตาม–นัดหมายคิว (slot booking) เชื่อมระบบด่านคู่ให้ตรวจปล่อย “ไร้กระดาษ–ไร้คิวล่องหน”
  • สนับสนุน มาตรฐานโซ่ความเย็น ตั้งแต่สวน–ล้ง–ขนส่ง–ด่าน (audit + incentive) เพื่อคงคุณภาพจนถึงแดนจีน

เสริมบทบาทเชียงแสน กันชนทางน้ำ–ทางเลือกสินค้าหนัก

  • เพิ่มประสิทธิภาพ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 กำลังขนถ่าย, พื้นที่พักตู้/พักของ, ระบบจองคิวเรือ
  • ทำ แผนบูรณาการถนน–ท่าเรือ รองรับ peak season ของผลไม้/สินค้าปริมาณมาก ลดซ้อนทับกับ R3A

เกษตรเพื่อการค้า “เร็ว–สะอาด–ตามเกณฑ์คู่ค้า”

  • ชุดมาตรการ ผลไม้พร้อมส่ง” ตรึงมาตรฐาน GAP/GMP, ระบบตรวจย้อนกลับ, ห้องเย็นเชิงเครือข่าย, ประกันราคาฤดูกาลพีค
  • จัด เวิร์กช็อปกฎจีน สำหรับผู้ประกอบการชายแดน ฉลาก, พิธีการใหม่, มาตรการสุ่มตรวจ, การตอบกลับเมื่อเคลม

 “หนึ่งนาทีที่ด่าน เท่ากับหนึ่งชั่วโมงของโซ่ความเย็น”

“ไฟห้องเย็นต้องไม่ดับ—คิวต้องไม่ค้าง—เอกสารต้องไม่ตกหล่น” คือสามคำสั้นๆ ที่คนขับรถห้องเย็นพูดตรงกัน เมื่อคิวข้ามแดน “สั้นลงหนึ่งนาที” ก็เท่ากับ “อุณหภูมิในตู้” เสถียรขึ้นอีกขั้น ลดโอกาสคัดทิ้งหน้าปลายทางจีนที่ราคาเข้มงวดกว่าตลาดในประเทศหลายเท่า ในมุมกลับกัน รถที่ “หลุดคิว–จอดตากแดด–รอตรวจ” คือ กำไรที่ระเหย เพราะผลไม้สดไม่รอใคร

ด่านเชียงของจึงไม่ใช่แค่ “เสาเขตแดน” แต่เป็น พื้นที่เวลา ที่ต้องบริหารอย่างแม่นยำ—ความต่างระหว่าง “ขายได้ราคา” กับ “เสียทั้งล็อต” อยู่ที่ วงจรคิวและเอกสาร ล้วนๆ

เชื่อมโยงต่างประเทศ 10% จีน–ลาว–เมียนมา—สามคู่ค้า สามโจทย์

  • จีนตอนใต้ เป็นทั้งตลาดรับผลไม้ไทยและแหล่งผัก–ผลไม้เข้าไทย—มาตรฐานตรวจ–ความเร็วพิธีการคือปัจจัยชี้อนาคตมูลค่าการค้า
  • สปป.ลาว พันธมิตร “ทางผ่าน” สำคัญ—ความคล่องตัวพิธีการ–ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานฝั่งลาวช่วยให้ R3A ไหลลื่น
  • เมียนมา ตลาดส่งออกสำคัญของภาคเหนือ—แต่เสถียรภาพการเมืองคือปัจจัยความเสี่ยงหมายเลขหนึ่งที่กระทบแม่สายโดยตรง

 “แยกบทบาท–ลดเสี่ยง–เร่งประสิทธิภาพ” คือทางรอดเชียงราย

  1. ยอมรับข้อเท็จจริงเชิงบทบาท แม่สาย = ตลาดเมียนมาที่ผันผวนสูง, เชียงของ = ทางด่วนผลไม้สู่จีน, เชียงแสน = กันชนทางน้ำ/สินค้าหนัก
  2. ลดการพึ่งด่านเดียว วางแผนเส้นทางสำรองสำหรับทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเน่าเสียง่าย
  3. ลงทุนจุดคอขวด ห้องเย็น–คิวดิจิทัล–ลานจอด–ช่องตรวจ–คน–ระบบเชื่อมด่านคู่
  4. ยกระดับมาตรฐานสินค้า ผลไม้พร้อมส่ง—ตรึงคุณภาพและการตรวจย้อนกลับให้สอดรับเกณฑ์จีน
  5. กลไกการเงิน–ประกันความเสี่ยง เพื่อให้ SMEs ชายแดนรับมือเหตุฉุกเฉินได้โดยไม่สะดุดเงินทุนหมุนเวียน

เชียงรายในปี 2568 จึงไม่ได้มีเพียง “ข่าวดีมูลค่าโต” หรือ “ข่าวร้ายด่านผันผวน” หากคือ บทสอบการบริหารสมดุล ระหว่าง “ความเร็ว” กับ “ความเสถียร”—ระหว่าง “ผลไม้สด” ที่ต้องการเวลาและอุณหภูมิ กับ “เส้นทางชายแดน” ที่ถูกกำหนดโดยการเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อรู้บท–รู้เสี่ยง–รู้จะลงทุนตรงไหน เมืองชายแดนเหนือสุดของไทยย่อมกลายเป็น ฮับการค้า GMS ที่แข็งแรงกว่าที่เคย

สรุปตัวเลขชวนคิด

  • มูลค่ารวมการค้าชายแดน/ผ่านแดนภาคเหนือ ปีงบฯ 2568 224,215.423 ล้านบาท (ส่งออก 150,860.635 ล้านบาท, นำเข้า 73,354.788 ล้านบาท)
  • เชียงของถือ 73.5% ของเค้กการค้าเชียงราย—ส่งออก 42,099.333 ล้านบาท; สินค้าเด่น ผลไม้สด (ทุเรียน, ลำไย, มะขาม)
  • แม่สายส่งออก 11,462.327 ล้านบาท—เสี่ยงสูงต่อเหตุการณ์ฝั่งเมียนมา; สินค้าเด่น น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มชูกำลัง
  • เชียงแสนส่งออก 9,285.396 ล้านบาท—บทบาททางน้ำผ่านท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • ผลไม้สดผ่านภาค 3 น้ำหนักรวมกว่า 439 ล้านกก., มูลค่าประมาณ 38,669 ล้านบาท
  • นำเข้าหลัก พลังงานไฟฟ้าประมาณ 26,013.7 ล้านบาท, แร่/โลหะพลวงรวมกว่า 14,900 ล้านบาท, องุ่นสด ≈5,186.4 ล้านบาท, ส้มแมนดาริน ≈2,159.7 ล้านบาท เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ผู้จัดการออนไลน์
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักเศรษฐกิจภาคเหนือ)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมศุลกากร
  • กรมเจ้าท่า/ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย/หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยงานความมั่นคง/ประกาศภาครัฐเมียนมา
  • ข้อมูลสถิติสินค้าเฉพาะรายการ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

SME ไทยต้องรอด! finbiz by ttb เปิดคู่มือ 6 เทรนด์ ปรับตัวสู้ De-globalization และ Decarbonization

4D Syndrome เขย่าโลกธุรกิจ: เปิด 6 เทรนด์ปี 2026—โอกาสทอง SME ไทยสู่ยุค “ฉลาดขึ้น-เขียวขึ้น-เข้าใจมนุษย์”

ประเทศไทย, 21 ตุลาคม 2568 — เมื่อโลกธุรกิจหมุนเข้าสู่เกียร์เปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ “4D Syndrome” กำลังกลายเป็นสมการพื้นฐานของการแข่งขันยุคใหม่—De-globalization, Decarbonization, Digitalization, Demographics Challenges ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์เทคนิคในห้องสัมมนาอีกต่อไป แต่กำลังแทรกซึมอยู่ในทุกใบสั่งซื้อและทุกแผนซัพพลายเชนของผู้ประกอบการไทย

บนเวที Future Forum 2025: Great Transformation ซึ่งจัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) นักคิด นักกลยุทธ์ และซีอีโอต่างเห็นพ้องว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่ตลาด “เปิดหน้าไพ่ใหม่” ผ่านกติกาที่บังคับให้ธุรกิจ ฉลาดขึ้น (Smart) เขียวขึ้น (Green) และ เข้าใจมนุษย์มากขึ้น (Human-Centric) ขณะที่ finbiz by ttb ร้อยเรียงภาพใหญ่นี้ให้เป็น “คู่มือโอกาส” สำหรับ SME ไทย ด้วย 6 เทรนด์สำคัญ ที่ปฏิบัติได้จริงและรองรับ 4Ds อย่างครบถ้วน

สัญญาณร่วมที่ชัด การค้าโลกกำลังกลับสู่ภูมิภาค (de-globalization) ซัพพลายเออร์ถูกขอให้เปิดเผยมลคาร์บอนและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (decarbonization) การทำงาน–การขาย–การจ่ายเงินย้ายสู่ดิจิทัล (digitalization) ขณะที่โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยและครัวเรือนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย (demographics)

ภาพรวมเช่นนี้ทำให้ ทำเหมือนเดิม” ไม่ใช่ทางเลือก สำหรับ SME ไทยอีกต่อไป ขณะเดียวกัน มันก็เปิด หน้าต่างโอกาส ขนาดใหญ่ให้ผู้ประกอบการที่กล้าปรับตัวได้ “ข้ามชั้น” อย่างก้าวกระโดด

จากหอประชุมสู่หน้าร้าน—เมื่อ 4Ds หลอมรวมสู่แผนทำจริง

ลองจินตนาการถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก—ปี 2569 เขาจำเป็นต้องมี ระบบรับออเดอร์ดิจิทัล, เครื่องมือ AI ช่วยคัดคำถามลูกค้าและจัดลำดับสต๊อก, หลักฐานคาร์บอน สำหรับคู่ค้าต่างประเทศ, และ การออกแบบบริการ ให้รองรับทั้งผู้สูงวัยและครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์แบบ “สมาชิกในบ้าน”

ทั้งหมดนี้ดูเยอะ แต่เมื่อแยกออกเป็น 6 คันโยก ที่ “หมุนแล้วเห็นผล” ภาพจะชัดขึ้น

เทรนด์ที่ 1: AI x Digital — จากเครื่องมือสู่ผู้ช่วยตัดสินใจ

สาระสำคัญ: AI ก้าวจาก “ของเล่น” สู่ “ผู้ช่วยงานหลังบ้านและหน้าร้าน” ตั้งแต่แชตตอบลูกค้าอัตโนมัติ, การคาดการณ์ยอดขาย, ไปจนถึงการวางสต๊อกแบบเรียลไทม์ โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินแบบดิจิทัล เช่น ระบบพร้อมเพย์ที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากและธุรกรรมต่อวันระดับหลายสิบล้านรายการ ช่วยเร่งการปิดการขายและลดเงินค้างรับ ในภาพรวม SME ไทยกว่า 70% กำลัง ใช้/ทดลองใช้ AI และในกลุ่มที่ใช้จริง ราว 90% รายได้เพิ่มขึ้น (ตามชุดข้อมูลที่รวบรวมโดย finbiz by ttb อ้างอิงงานสำรวจและหน่วยงานด้านดิจิทัล)

ภาครัฐขับเคลื่อน: DEPA เดินหน้ากลไก “One Tambon, One Digital” หนุน SME และเกษตรกรจำนวนมาก (เป้าหมายรวมถึงปี 2026) ผ่านแพ็กเกจทดลองใช้ฟรีและร่วมจ่ายสำหรับเครื่องมือดิจิทัล ลดอุปสรรคต้นทุนเริ่มต้น และเชื่อมผู้ให้บริการโซลูชันกับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างเป็นระบบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เริ่มที่ งานซ้ำ–งานข้อมูล: chatbot/FAQ, ระบบจอง, ระบบ CRM ที่เชื่อม POS/ร้านค้าออนไลน์
  • ใช้ แดชบอร์ดรวม มอง “ปลายทางยอดขาย–กลางทางสต๊อก–ต้นทางสั่งซื้อ” ในจอเดียว เพื่อลดสต๊อกค้างและหมดสต๊อก
  • วาง กติกาใช้ข้อมูลลูกค้า ให้โปร่งใส ตั้งค่าความยินยอม (consent) และสื่อสารสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—นี่คือฐานของ “ความไว้วางใจ” (โยงสู่เทรนด์ที่ 4)

เทรนด์ที่ 2: Smart Mobility/EV — โลจิสติกส์ฉลาด ประหยัดคาร์บอน

เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ: แอปวางเส้นทางและระบบติดตามรถสามารถ ลดต้นทุนน้ำมัน–เวลา–อุบัติเหตุ ได้สูง (มีกรณีศึกษาอ้างถึงตัวเลขลดได้ถึง ~30%) ผนวกกับ แรงจูงใจรัฐด้าน EV (เช่น ช่วยซื้อและลดภาษีสรรพสามิตในเฟส EV 3.0/3.5) ทำให้ต้นทุนรวมต่อกิโลเมตรของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ภาพลักษณ์องค์กร “สีเขียว” ช่วยปิดดีลคู่ค้า B2B ได้ง่ายขึ้น

สัญญาณตลาด: ประเทศไทยคาดจำนวน EV แตะหลายแสนคันภายในปี 2027 ระบบชาร์จเริ่มหนาแน่นขึ้นและผู้ผลิตในประเทศเพิ่มไลน์การผลิต–ประกอบ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • เลือก ยานพาหนะ EV สำหรับเส้นทางในเมือง/ระยะสั้น และวางแผนชาร์จในช่วงโหลดไฟต่ำ
  • ใช้ ซอฟต์แวร์วางแผนเส้นทาง + ข้อมูลคอขวดจราจรแบบเรียลไทม์
  • คำนวณ ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (TCO) แทนการเทียบราคาซื้ออย่างเดียว
  • เก็บ ข้อมูลคาร์บอนต่อการส่ง 1 ออร์เดอร์ เพื่อใช้ตอบแบบสอบถาม ESG ของคู่ค้า

เทรนด์ที่ 3: Green Mandate — จากสมัครใจสู่ “เงื่อนไข” การค้า

สาระสำคัญ: การลดคาร์บอนและความโปร่งใสด้านสิ่งแวดล้อมกำลังก้าวจาก “ดีมี” สู่ ต้องมี” ผ่านกรอบกฎหมาย–นโยบายที่ไทยเตรียมใช้ เช่น Climate Change Bill (วางกรอบการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และ Clean Air Management Bill (การจัดการอากาศสะอาด) ที่คาดหมายบทบัญญัติให้ เปิดเผยข้อมูลคาร์บอน/ความเสี่ยง ของธุรกิจ โดยยึดเป้าหมายประเทศ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero 2065 พร้อมการผลักดันเครื่องมือเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดย TGO และ ONEP เช่น Emissions Trading System (ETS), การตั้งต้น ภาษีคาร์บอน/CBAM สำหรับบางหมวดสินค้า

ผลกระทบเชิงปฏิบัติ: ซัพพลายเออร์ไทยในโซ่คุณค่าข้ามชาติถูกขอให้ เผยตัวเลขคาร์บอนฟุตพรินต์ และ แผนลดปล่อย มากขึ้น หากทำไม่ได้ เสี่ยงตก shortlist การจัดซื้อ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ทำ พลังงาน/คาร์บอนบุกเบิก: audit พลังงาน, เปลี่ยนมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง, โซลาร์รูฟ/ซื้อไฟหมุนเวียน (REC)
  • เก็บข้อมูล Scope 1–2–3 แบบ “เท่าที่ทำได้” เริ่มจากไฟฟ้า น้ำมัน ยาแนววัตถุดิบหลัก
  • ใช้ มาตรฐานฉลาก/การรับรอง (เช่น Thai Green Label, ISO 14064/14067) เป็นภาษากลางคุยกับคู่ค้าต่างชาติ
  • ผูก แรงจูงใจภายใน: ประหยัดค่าไฟ=โบนัสทีม, ของเสียลด=ส่วนแบ่งกำไร

เทรนด์ที่ 4: Trust Economy — ความน่าเชื่อถือคือทุน

บริบทยุคดิจิทัล: ในโลกที่ข้อมูลไหลเร็วและข่าวปลอมแพร่ไว ผู้บริโภคจำนวนมาก (งานศึกษาหลายชิ้นชี้สัดส่วนกว่า สองในสาม) ใช้ “ความไว้วางใจด้านการชำระเงิน” เป็นตัวแปรตัดสินใจซื้อ ขณะเดียวกัน รีวิวปลอม และ ข้อมูลบิดเบือน ทำให้ลูกค้ากว่า 60% ลังเลในการตัดสินใจ

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • ใช้ ช่องทางจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ พร้อม 2FA/แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
  • สร้าง นโยบายคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ที่ชัดและเป็นธรรม—เขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ฟอนต์เล็ก
  • ตั้ง ระบบรีวิวตรวจสอบได้ (ซื้อจริงเท่านั้น, เชื่อมหมายเลขคำสั่งซื้อ) และ ตอบรีวิว ภายใน 24–48 ชม.
  • ธุรกิจอาหาร/สุขภาพ พิจารณา บล็อกเชนติดตามย้อนกลับ (lot–วันผลิต–ใบรับรอง) ให้สแกนดูได้จาก QR
  • กำหนด นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) ที่ระบุสิทธิ์ลูกค้าอย่างชัดเจน—ยิ่งโปร่งใส ยิ่งเพิ่ม conversion

เทรนด์ที่ 5: Longevity Economy — ตลาดสูงวัย = ตลาดคุณภาพชีวิต

โครงสร้างประชากร: ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้มีอายุ 60+ ประมาณ 13.2 ล้านคน (~20%) และมีแนวโน้มแตะ ~31% ภายในปี 2583 ตลาดนี้ขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะบริการสุขภาพที่บ้าน อุปกรณ์ช่วยพึ่งพา และท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะ

โอกาสผลิตภัณฑ์/บริการ:

  • AgeTech/HealthTech: อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพ แอปนัดพบแพทย์–เวชโทรคมนาคม
  • บ้านและสถานที่เป็นมิตร: Universal Design—พื้นกันลื่น ราวจับ ป้ายตัวใหญ่ ความสูงเคาน์เตอร์เหมาะสม
  • ท่องเที่ยววัยเกษียณ: โปรแกรมค่อยเป็นค่อยไป, ประกันเหมาจ่าย, ที่พักเข้าถึงวีลแชร์
  • โภชนาการเฉพาะวัย: โปรตีนย่อยง่าย, เสริมใยอาหาร/แคลเซียม, บรรจุภัณฑ์เปิดง่าย

ทางปฏิบัติสำหรับ SME: เริ่มจาก การออกแบบเชิงมนุษย์ (human-centered design)—ไปคุยกับลูกค้าสูงวัยจริง ๆ ทดสอบต้นแบบในบ้าน/ร้าน/สถานพยาบาล และ ร่วมมือโรงพยาบาล–ชมรมผู้สูงอายุ เพื่อยืนยันคุณค่า

เทรนด์ที่ 6: Pet Humanization — “น้องคือลูก” ตลาดทะลุแสนล้าน

พฤติกรรมผู้บริโภค: ครัวเรือนไทยจำนวนมากมองสัตว์เลี้ยงเป็น “สมาชิกครอบครัว” ยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพและความสุขของ “น้อง” มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจของสถาบันการเงินชี้ว่าปี 2026 มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยมีโอกาส ทะลุ 100,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายแบบ Pet Humanization สูงถึง ~50,500 บาท/ตัว/ปี มากกว่าแบบทั่วไปหลายเท่า ขณะเดียวกันไทยยังเป็น ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงลำดับต้น ๆ ของโลก

ทางปฏิบัติสำหรับ SME:

  • อาหารพรีเมียม/ฟังก์ชันนัล (grain-free, sensitive stomach, joint care) พร้อม ตรรกะโภชนาการโปร่งใส
  • บริการ: grooming ทางการแพทย์, pet hotel มาตรฐานสูง, คาเฟ่/ที่พัก pet-friendly
  • แฟชั่น/อุปกรณ์: ปลอกคอ–สายจูงอัจฉริยะ, รถเข็นสัตว์เลี้ยง, เสื้อผ้าตามฤดูกาล
  • สร้าง แบรนด์เชิงอารมณ์ เล่าเรื่อง “สุขภาพ–ความผูกพัน–ความปลอดภัย” และ รับรองคุณภาพ (โรงงานมาตรฐาน, สูตรสัตวแพทย์)

จาก “ค่าใช้จ่าย” สู่ “การลงทุนที่พิสูจน์ได้”

หลาย SME กังวลว่าการลงเทคโนโลยี–สีเขียว–มาตรฐาน จะเพิ่มต้นทุนในยามกำไรบาง แต่เมื่อวางในกรอบ TCO + ความเสี่ยงตก shortlist ภาพกลับชัด—ต้นทุนที่ไม่ลงทุน อาจแพงกว่า ทั้งโอกาสหลุดดีล, เวลาเสียไปกับงานซ้ำ, ค่าไฟที่รั่วไหล, และความเสียหายจากคำร้องเรียนคุณภาพ/ความปลอดภัย

“คีย์เวิร์ด” ของปี 2026 จึงไม่ใช่แค่ เร็ว” แต่คือ เร็วอย่างมีระบบและน่าเชื่อถือ” ธุรกิจที่ทำให้เห็น ข้อมูล–มาตรฐาน–กติกาชัด จะได้ ส่วนเพิ่มความไว้วางใจ ที่กลายเป็นคะแนนนำถาวรในสนามแข่งขันที่แออัด

ปี 2026—ปีที่ธุรกิจไทยต้อง “ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์”

4Ds คือพายุใหญ่ แต่ทุกพายุล้วนมี กระแสลมยกตัว ให้คนที่กล้าโต้ลม—AI x Digital ทำให้เล็กสู้ใหญ่ได้ Smart Mobility/EV ลดต้นทุนพร้อมยกระดับภาพลักษณ์ Green Mandate แปลงความยั่งยืนเป็นตั๋วผ่านด่าน Trust Economy ทำให้ยอดขายยั่งยืนกว่ายอดวิว Longevity Economy เปิดตลาดคุณภาพชีวิต และ Pet Humanization แปรความผูกพันเป็นธุรกิจแสนล้าน

สำหรับ SME ไทย บทเรียนเชิงข่าวชิ้นนี้ชี้ชัด: อย่ารอให้กติกาบังคับ—เริ่มนับหนึ่งวันนี้ แล้วปี 2026 จะกลายเป็น ปีแห่งโอกาส มากกว่าปีแห่งแรงกดดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
  • finbiz by ttb
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)
  • องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ONEP)
  • ทิศทางกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Bill)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อาจารย์เฉลิมชัย-เซ็นทรัลเชียงราย! มอบเงิน 4 แสน มทบ.37 ส่งต่อกำลังใจทหารกองทัพภาคที่ 2

ศิลปะส่งแรงใจข้ามพรมแดน “ขัวศิลปะ–เชียงราย” มอบรายได้ 417,336 บาท หนุนภารกิจชายแดนภาคอีสาน สะท้อนพลังเครือข่ายศิลปิน–ชุมชน–เอกชน ร่วมค้ำจุนขวัญกำลังใจทหารหาญ

เชียงราย, 20 ตุลาคม 2568 — ท่ามกลางภูมิทัศน์ชายแดนที่ยังคงต้องอาศัยความพร้อมทางยุทธศาสตร์และกำลังใจจากสังคมพลเรือน เสียงกลองสะบัดชัยอีกระลอกดังขึ้นจากเวทีศิลปะเมืองเหนือ เมื่อ “ขัวศิลปะ” (Art Bridge Chiang Rai) นำโดยเครือข่ายศิลปินเชียงราย จัดมอบรายได้จากนิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จำนวน 417,336 บาท ให้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อส่งต่อไปยัง กองทัพภาคที่ 2 สนับสนุนภารกิจชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ—ภาพสะท้อนความร่วมแรงร่วมใจของเมืองศิลปะที่ใช้ “พู่กันและผืนผ้าใบ” แปลงเป็นพลังใจให้แนวหน้า

จากสตูดิโอถึงแนวหน้า เรื่องเล่าที่เชื่อมโลกศิลปะกับโลกทหาร

เย็นวันหนึ่งของต้นฤดูหนาวภาคเหนือ บริเวณ ค่ายเม็งรายมหาราช เมืองเชียงราย พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 พร้อมคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ยืนรับมอบเช็คและรายการบัญชีรายได้จากผู้แทน “ขัวศิลปะ” และตัวแทน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ รายได้ที่ระดมจากผู้มีจิตศรัทธาและนักสะสมศิลปะทั้งในและนอกจังหวัดถูกประกาศอย่างโปร่งใสเป็นสามส่วนชัดเจน

  • ภาพพิมพ์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ 150,000 บาท
  • รายได้จำหน่ายเสื้อที่ระลึก ลวดลายจากผลงานศิลป์ 73,018 บาท
  • รายได้จากการจำหน่ายผลงานศิลปะ (หลังหักค่าใช้จ่าย) 194,318 บาท

เมื่อรวมทั้งหมด จึงเป็นตัวเลข 417,336 บาท — ตัวเลขที่ไม่ได้สะท้อนเพียง “มูลค่า” หากแต่สะท้อน “คุณค่า” ของการห่วงใยที่ข้ามพรมแดนภาคเหนือไปยังกำลังพลแนวหน้าภาคอีสาน

อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ศิลปินผู้ประสานงานหลักของโครงการให้ถ้อยคำสั้น กระชับ แต่หนักแน่นว่า การมอบเงินในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งกำลังใจจากศิลปินทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อแรงใจให้กับเหล่าทหารหาญที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ประเทศ” ขณะที่ พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวขอบคุณแทนพี่น้องทหาร โดยย้ำว่าเงินดังกล่าว จะถูกส่งต่อผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อมอบให้ กองทัพภาคที่ 2 นำไปสนับสนุนภารกิจป้องกันชายแดน โดยเน้นเขตพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” จากแรงบันดาลใจสู่การลงมือทำ

นิทรรศการ ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” ถือกำเนิดจากแนวคิดของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ผู้ผลักดันให้ศิลปะทำบทบาทมากกว่าความงาม—แต่เป็น “เครื่องมือ” สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้รักษาอธิปไตยของชาติ แนวคิดนี้แปรรูปเป็นการลงมือทำ ผ่านการระดมศิลปินหลากรุ่นทั่วประเทศ โดยมี “ขัวศิลปะ” เป็นแกนกลางประสานพลัง และได้รับการสนับสนุนสถานที่จาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ตลอดจนร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าที่ระลึกเพื่อการกุศล

รายละเอียดเชิงปฏิบัติการก็ถูกออกแบบอย่างตั้งใจ—เสื้อยืดลวดลายจากผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย ผลิตสองสี (ขาว–ดำ) ผ้า Cotton นุ่ม สวมใส่สบาย มีตั้งแต่ขนาด S ถึง 3XL ราคา 350 บาท (2XL/3XL เพิ่ม 20 บาท) โดยเปิดจุดจำหน่ายหน้าร้าน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย และ เซ็นทรัล เชียงราย (ชั้น G ข่วงล้านนา) ขณะเดียวกันยังมีช่องทางสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเพจ ขัวศิลปะ, พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, และ Art bridge shop เพื่อลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา

วิธีการดังกล่าวสะท้อนภาพ “Soft Power เชียงราย” ที่ก่อรูปจากฐานวัฒนธรรมและเครือข่ายศิลปะเข้มแข็ง—เมืองที่มีทั้ง วัดร่องขุ่น อันเป็นแลนด์มาร์กสากล เครือข่ายศิลปินร่วมสมัยที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และภาคเอกชนที่เข้าใจบทบาทสาธารณะของศิลปะ เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้เชื่อมเข้าด้วยกัน ศิลปะจึงกลายเป็น “สื่อกลาง” ที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในภารกิจชาติได้อย่างจับต้องได้

ทำไม “กำลังใจ” จึงเดินทางจากเชียงรายไปชายแดนภาคอีสาน

แม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดเหนือสุด ติดกับเมียนมาและลาว แต่ “วงจรน้ำใจ” ครั้งนี้มุ่งตรงสู่ กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันมีแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นสมรภูมิภารกิจหลักในช่วงที่ผ่านมา สะท้อน “แนวคิดเครือข่ายชาติเดียวกัน”—ที่ไม่แบ่งแยกเหนือ–อีสาน–กลาง–ใต้ หากแต่เห็นว่าทุกแนวหน้าคือ “ฉันทามติร่วมของสังคมพลเรือน” ที่ต้องประคับประคอง

การเดินทางของกำลังใจในห้วงเวลานี้มิใช่ครั้งแรก เมื่อ 14 สิงหาคม 2568 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้ขับเคลื่อนโครงการ ลำไยไปแนวหน้า” ขนส่งผลผลิต ลำไยคุณภาพกว่า 2,300 กิโลกรัม โดยสายการบินนกแอร์ (DD101 เชียงราย–ดอนเมือง และเชื่อมต่อ DD324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี) เพื่อนำไปเป็นเสบียงและสัญลักษณ์กำลังใจให้กำลังพล กองบิน 21 อุบลราชธานี และหน่วยที่ปฏิบัติงานตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โครงการนี้กลายเป็น “ต้นแบบ” ว่าจังหวัดเมืองรอง สามารถเป็นศูนย์กลางการส่งต่อพลังใจได้จริง หากมีการจัดการและเครือข่ายที่ดี

เมื่อ “พู่กัน” สานต่อ “ปลายกระบอกปืน”

ภาพของศิลปินในสตูดิโอที่ก้มหน้าละเลียดลายเส้น บางทีอาจดูห่างไกลจากภาพของทหารที่เดินลาดตระเวนในพื้นที่ทุรกันดาร แต่ในความเป็นจริง ทั้งสอง “ยืนอยู่ขอบฟ้าเดียวกัน”—ศิลปินสร้าง “ความหมายและความหวัง” ส่วนทหารสร้าง “ความปลอดภัยและความมั่นใจ” ให้สังคมดำเนินไปได้อย่างปกติ

บนเวทีรับมอบครั้งนี้ จึงไม่แปลกที่ พลตรีจักรวีร์ จะเอ่ยขอบคุณ “อาจารย์เฉลิมชัย–อาจารย์สุวิทย์–และคณะศิลปิน” ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะเงินทุกบาท คือสัญลักษณ์ของสังคมที่รับรู้ “ความเหน็ดเหนื่อยของแนวหน้า”—เงินจำนวนสี่แสนเศษนี้อาจไม่ใช่งบประมาณก้อนใหญ่เมื่อเทียบกับระบบราชการ แต่มี “พลังทางสัญลักษณ์” สูงยิ่ง เพราะสะท้อนความร่วมมือของ ศิลปิน–ชุมชน–เอกชนท้องถิ่น ที่ตั้งใจ “ระดมและลงมือทำ” โดยสมัครใจ

มองผ่านเลนส์ข้อมูล พลังระดมทุนเชิงสัญลักษณ์ที่ส่งผลจริง

ตัวเลข 417,336 บาท หากแยกโครงสร้างจะเห็น “บทบาทแต่ละภาคส่วน” ชัดเจน

  • งานศิลป์ระดับไอคอน (ภาพพิมพ์อาจารย์เฉลิมชัย) สร้าง “แรงดึงดูด” ให้ตลาดศิลปะและนักสะสม พร้อม “ยกระดับราคา” เพื่อการกุศล
  • สินค้าที่ระลึก (เสื้อยืด) เปิดช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนวงกว้างในราคาที่เข้าถึงได้
  • การขายผลงานรวม (หลังหักค่าใช้จ่าย) คือสนามของศิลปินหลากรุ่น ที่ได้ “ร่วมส่งพลัง” ผ่านงานของตน

การทำงานเช่นนี้เท่ากับนำ “เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (creative economy)” มาประสาน “ความมั่นคงเชิงมนุษย์ (human security)” อย่างกลมเกลียว—ทั้งยังเกิด ผลคูณ” (multiplier) ต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ผู้ผลิตเสื้อ–ผู้ให้บริการสถานที่–แรงงานติดตั้งนิทรรศการ–สื่อท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย ล้วนได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจพร้อมกับการทำความดีร่วมกัน

บทบาทของเอกชนท้องถิ่น พื้นที่ที่กลายเป็น “เวทีสาธารณะ”

การสนับสนุนสถานที่จัดงานโดย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ทำให้เกิด “เวทีสาธารณะ” ที่ประชาชนเข้าถึงง่าย มีที่จอดรถ มีระบบรักษาความปลอดภัย และมีสื่อสารผ่านช่องทางของห้างฯ เอง ช่วยขยายการรับรู้ให้กว้างไกลกว่าการจัดในแกลเลอรีเฉพาะทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่ ยอดจำหน่ายเสื้อ และ ผลงานศิลปะ จะทำได้ดีในเวลาอันจำกัด—แบบอย่างเช่นนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเอกชนท้องถิ่นมองบทบาทของตนมากกว่าแค่ “พื้นที่เชิงพาณิชย์” แต่เป็น “พื้นที่สาธารณะของเมือง” เมืองนั้นย่อมเข้มแข็งขึ้น

เชื่อมร้อย “Soft Power เชียงราย” เข้ากับ “ขวัญกำลังใจชาติ”

ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายสถาปนาตัวเองชัดเจนในฐานะ “นครศิลปะร่วมสมัยของล้านนา”—มีทั้งพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ มีโรงเรียนศิลป์รุ่นใหม่ และมีเทศกาล–งานแสดงอย่างสม่ำเสมอ เมื่อรวมเข้ากับ เครือข่ายคมนาคม ที่สะดวก (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง, ทางหลวงเชื่อมพรมแดน, โลจิสติกส์เอกชน) เมืองนี้จึงสามารถพลิก “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น “ทุนทางสังคม” และ “ทุนทางความมั่นคง” ได้อย่างเป็นรูปธรรม

โครงการ ลำไยไปแนวหน้า” เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 เป็นตัวอย่างชัด—ระบบโลจิสติกส์ทางอากาศที่จัดวางร่วมกับสายการบินพาณิชย์ สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าการเกษตรไปยังหน่วยปฏิบัติการได้ตรงเวลา พร้อมสร้างมูลค่าเชิงสัญลักษณ์ว่า “ชุมชนเกษตรกร” ก็เป็นส่วนหนึ่งของขวัญกำลังใจทหารได้ เช่นเดียวกับที่ครั้งนี้ “ชุมชนศิลปิน” ทำให้เห็นว่าแปรพลังสร้างสรรค์เป็นพลังใจได้เช่นกัน

มุมมองเชิงนโยบาย เมื่อ “การให้” มีระบบและตรวจสอบได้

แม้โครงการจะเกิดจากภาคประชาสังคมและเอกชนท้องถิ่น แต่กลไกการมอบ–รับ–ส่งต่อยังคงดำเนินไปอย่างมีระบบ—มทบ.37 รับมอบในฐานะหน่วยประสานงานพื้นที่ ก่อน ส่งผ่านแม่ทัพภาคที่ 3 ไปยัง กองทัพภาคที่ 2 เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจชายแดนตามความเหมาะสม ขั้นตอนเช่นนี้ทำให้การใช้จ่าย “เงินสาธารณะจากการบริจาค” มี ความน่าเชื่อถือ และ ตรวจสอบย้อนกลับ ได้

ขณะเดียวกัน การประกาศ ยอดรายได้แยกรายการ (ภาพพิมพ์/เสื้อ/ผลงานอื่น) และการแสดง รายการบัญชีผลงาน ต่อสาธารณะ ก็ช่วยสร้างมาตรฐานโปร่งใส—ย้ำว่าศิลปะมิได้ห่างจากธรรมาภิบาล หากตรงกันข้าม “ยิ่งเป็นศิลปะเพื่อสาธารณะ ยิ่งต้องโปร่งใส”

ถ้อยคำที่ทิ่มใจ แต่อบอุ่น “ศิลปิน” ขอบคุณ “ทหาร” และ “ทหาร” ขอบคุณ “ศิลปิน”

ในพิธีรับมอบ อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ยืนยันบทบาทของศิลปินว่าไม่ได้อยู่แค่หน้าผืนผ้าใบ หากแต่ยืนอยู่รวมแถวกับสังคมเวลาเกิดภารกิจชาติ ส่วน พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวอย่างสะเทือนใจว่าแรงสนับสนุนจากพลเรือนทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ชายแดน “รู้สึกไม่โดดเดี่ยว” และเป็น “พลังเงียบ” ที่ผลักให้ภารกิจยากลำบากเดินหน้าต่อ

คำกล่าวสองฝั่งนี้คือตัวอย่าง “การสื่อสารสองทาง” ที่ควรเกิดในสังคมประชาธิปไตย—ศิลปินยืนยันว่าจะสร้างผลงานเพื่อประเทศได้อย่างไร และทหารยืนยันว่าจะใช้งบที่ได้รับเพื่อความปลอดภัยของประชาชนได้อย่างไร เมื่อบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ความไว้วางใจสาธารณะก็จะหนาขึ้นเรื่อย ๆ

ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้ “โครงการดี” ขยายผลได้จริง

จากบทเรียนครั้งนี้ มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถพิจารณา

  1. ปฏิทินนิทรรศการประจำปี ขัวศิลปะและเครือข่ายควรวาง “คิวประจำ” สำหรับนิทรรศการเพื่อสาธารณะ—อาจหมุนเวียนธีม (กำลังใจทหาร, ทุนการศึกษา, ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม) เพื่อให้ผู้สนับสนุนเลือกสมทบตามความสนใจ
  2. ดิจิทัลแพลตฟอร์มโปร่งใส สร้างหน้าเว็บ/แดชบอร์ดแสดงยอดบริจาคแบบเรียลไทม์เชื่อมกับเพจขัวศิลปะ–หอศิลป์–เซ็นทรัลเชียงราย เพื่อให้ประชาชนติดตามยอดและเส้นทางเงินจนถึงหน่วยปลายทาง
  3. เครือข่ายภาคธุรกิจท้องถิ่น นอกจากศูนย์การค้า อาจเชิญโรงแรม–ร้านอาหาร–สตูดิโอพิมพ์–โลจิสติกส์ เข้าร่วมเป็น “พันธมิตรการกุศล” เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายและลดต้นทุนการจัดงาน
  4. คู่มือ “ศิลป์เพื่อสาธารณะ” บันทึกกระบวนการทำงานเป็น “Playbook” ตั้งแต่องค์ความคิด–งานภัณฑารักษ์–งานการตลาด–งานการเงิน–งานบัญชี–งานมอบ/รับ/ส่งต่อ เพื่อให้จังหวัดอื่นหยิบไปปรับใช้ได้ทันที

จากแรงบันดาลใจ สู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

จุดตั้งต้นของเรื่องนี้คือ “แรงบันดาลใจ” ของศิลปินชั้นครู—อาจารย์เฉลิมชัย ที่อยากเห็นศิลปะทำสิ่งมากกว่าการประดับผนัง จากนั้นเครือข่ายศิลปิน–ภัณฑารักษ์–เอกชน–สื่อท้องถิ่น จึงร่วมกัน “จัดเวที” ให้แรงบันดาลใจกลายเป็น “งานนิทรรศการ” และกลายเป็น “ยอดระดมทุน” ที่ส่งต่อไปยังแนวหน้าอย่างมีระบบ เมื่อ มทบ.37 รับมอบและ แม่ทัพภาคที่ 3 ส่งต่อไป กองทัพภาคที่ 2 เส้นเรื่องจึงคลี่คลายด้วยผลลัพธ์ที่จับต้องได้—417,336 บาท ที่ห่อด้วยกำลังใจของผู้คนทั้งเมือง

หากจะสรุปบทเรียนสั้น ๆ เรื่องนี้สอนเราว่า เมืองที่มีวัฒนธรรมเข้มแข็ง ย่อมสร้าง “ทุนสังคม” ได้รวดเร็วในยามต้องการ และเมื่อทุนสังคมนั้นไหลไปสู่แนวหน้าที่ต้องการกำลังใจ—ความมั่นใจของทั้งสังคมก็จะไหลกลับคืนมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย
  • ขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • เซ็นทรัล เชียงราย
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย
  • วัดร่องขุ่น Shop ศิลปินเชียงราย
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News