Categories
TOP STORIES

รวบ 2 นายช่าง รีดเงิน เวนคืนที่ดิน 2.5 แสน เชียงใหม่

ทุจริตเวนคืน! จับ 2 นายช่าง เรียกเงินชาวบ้าน 2.5 แสน

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – ตำรวจ ปปป. บุกจับ 2 นายช่างโยธาสำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ ฐานเรียกรับผลประโยชน์มิชอบ กรณีเวนคืนที่ดินเชียงดาว พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) และ พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผกก.4 บก.ปปป.) นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวนายปารย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เจ้าหน้าที่นายช่างโยธา สังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 1 และนายชญานนท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี ลูกจ้างสังกัดสำนักงานทางหลวงที่ 1 ณ สำนักงานทางหลวงที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์โดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”

พฤติการณ์แห่งคดี

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้เสียหายรายหนึ่งได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กก.4 บก.ปปป.) เพื่อขอความเป็นธรรมหลังถูกผู้ต้องหาทั้งสองเรียกเงินจำนวน 250,000 บาท โดยอ้างว่าจะดำเนินการช่วยเพิ่มราคาประเมินค่าเวนคืนที่ดินของผู้เสียหายในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จากเดิม 2,700,000 บาท เป็น 3,600,000 บาท

ต่อมา เมื่อผู้เสียหายนำเช็คค่าเวนคืนที่ดินที่ได้รับจากแขวงทางหลวงไปขึ้นเงินที่ธนาคาร ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้งสองรายได้เดินทางไปรอรับเงินค่าดำเนินการดังกล่าวทันที อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ผู้เสียหายตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม จึงพบว่า แท้จริงแล้วที่ดินของตนเองมีการประเมินค่าเวนคืนไว้ที่ 3,600,000 บาท ตั้งแต่แรก และตัวเลข 2,700,000 บาท เป็นเพียงราคาประเมินเฉพาะที่ดินโดยยังไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง

พฤติกรรมดังกล่าวของผู้ต้องหาทั้งสองถือเป็นการหลอกลวงเพื่อเรียกรับเงินจากประชาชนโดยมิชอบ ซึ่งสร้างความเสียหายและความเข้าใจผิดให้แก่ผู้เสียหายเป็นอย่างมาก หลังจากพนักงานสอบสวนได้รับเรื่อง จึงเร่งรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองราย ก่อนนำไปสู่การจับกุมในที่สุด

ผลการสอบสวนเบื้องต้น

ภายหลังการจับกุม ผู้ต้องหาทั้งสองยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากมีหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงการกระทำผิดอย่างชัดเจน เบื้องต้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปปป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

การแถลงข่าวและมาตรการดำเนินคดี

ในวันเดียวกันนี้ เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. และตัวแทนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดของคดีอย่างเป็นทางการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และแนวทางการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองราย

การดำเนินการในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเชิงรุกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยเฉพาะการกระทำผิดเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนและความเป็นธรรมในกระบวนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • คดีทุจริตเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดิน: ในปี 2567 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับรายงานคดีเกี่ยวกับการทุจริตในกระบวนการเวนคืนที่ดิน รวม 42 คดี เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีการรายงานเพียง 30 คดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปัญหาดังกล่าว (ที่มา: สำนักงาน ป.ป.ช., 2567)
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: คดีเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินในปี 2567 มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,200 ล้านบาท (ที่มา: กระทรวงคมนาคม, 2567)
  • อัตราการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีทุจริตภาครัฐ: ตำรวจ ปปป. รายงานว่าในปี 2567 มีการจับกุมผู้ต้องหาคดีทุจริตภาครัฐ เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่มา: กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) /สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) /กระทรวงคมนาคมและกรมทางหลวง /สำนักงานศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชมผ้าไทยล้านนา ‘อัตลักษณ์อาภรณ์ฯ’ โชว์ Soft Power เชียงราย

ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย

วันที่ 19 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกิจกรรมหลักด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

มรดกผ้าทอเชียงราย: จากภูมิปัญญาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายหลักในการ อนุรักษ์และส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ต่อยอดสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น สอดคล้องกับนโยบายผลักดัน Soft Power ไทยสู่ระดับโลก โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่ยูเนสโกยกย่องให้เชียงรายเป็น เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” (City of Design)

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า งานนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรม และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์อย่างครบวงจร กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การแสดงแบบแฟชั่นโชว์ นำเสนอชุดจากผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์
  • นิทรรศการและสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการทอผ้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • บูธแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ อาทิ ผ้าทอ เครื่องประดับ ของฝาก และของที่ระลึก
  • การประกวดออกแบบแฟชั่น ซึ่งได้รับผลงานเข้าร่วมจากนักออกแบบรุ่นใหม่ 15 ผลงาน

อบจ.เชียงรายร่วมส่งเสริม Soft Power ผ่านวัฒนธรรมผ้าไทย

เวลา 18.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมงาน โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานการจัดงาน ณ ลานจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ สืบสานและส่งต่อมรดกทางภูมิปัญญาการทอผ้าเชียงรายให้คงอยู่ และเผยแพร่อัตลักษณ์การสร้างสรรค์เสื้อผ้าอาภรณ์ของเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยเน้นการนำผ้าไทยมาพัฒนาให้สอดคล้องกับแฟชั่นสมัยใหม่ ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ความสำคัญของอุตสาหกรรมผ้าไทยต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

อุตสาหกรรมผ้าไทยถือเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่มีศักยภาพของประเทศไทย โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า:

  • ตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสร้างมูลค่า กว่า 280,000 ล้านบาทต่อปี
  • ร้อยละ 60 ของผู้ผลิตผ้าไทยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น
  • ผ้าไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดส่งออก ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือ และผ้าชาติพันธุ์
  • อุตสาหกรรมผ้าไทยจ้างงานมากกว่า 500,000 คนทั่วประเทศ

สรุป

การจัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ไม่เพียงแต่เป็นเวทีสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าพื้นเมือง แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทยผ่านการออกแบบและสิ่งทอ งานนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับชุมชนท้องถิ่นและนักออกแบบรุ่นใหม่ในการนำเสนอผลงานสู่ตลาดที่กว้างขึ้น พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมีความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้

ผ้าไทยคือมรดกทางวัฒนธรรม สืบสาน ต่อยอด สู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับโลก”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย /สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 /สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชิมลาบเหนือแท้ ‘เซ็นทรัลเชียงราย’จัดแข่ง ‘ลาบเมือง’ 2 เมษาฯ

การบริโภคลาบเมือง: วิถีวัฒนธรรมอาหารเหนือ กับแนวทางสุขภาพที่ปลอดภัย

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.), วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสมาคมสื่อมวลชนเชียงราย จัดงาน การแข่งขันลาบเมือง” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา ในวันที่ 1-2 เมษายน 2568 ณ ชั้น G โซนทางาเชื่อมจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมการทำลาบพื้นเมืองล้านนา พร้อมทั้งกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารปรุงสุกเพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพ

ประวัติและวิวัฒนาการของลาบเมือง

ลาบเมือง ถือเป็นอาหารพื้นบ้านของภาคเหนือที่มีประวัติยาวนาน นิยมใช้เนื้อสัตว์หลากหลาย เช่น เนื้อควาย เนื้อหมู หรือเนื้อวัว ในการประกอบอาหาร ซึ่งแต่เดิมมีการบริโภคลาบดิบหรือที่เรียกว่า ลาบดิบ” ที่มีสมุนไพรหลายชนิดเป็นส่วนผสม อาทิ มะแขว่น มะแหลบ ตะไคร้ ข่า และพริกลาบ ที่เชื่อกันว่าสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและพยาธิได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้ประชาชนบริโภคลาบแบบปรุงสุก หรือ ลาบคั่ว” เพื่อป้องกันโรคพยาธิและแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

ลาบเหนือ vs. ลาบอีสาน: ความแตกต่างที่สะท้อนวัฒนธรรม

  1. แหล่งที่มาและการใช้เนื้อสัตว์
    • ลาบเหนือมักนิยมใช้ เนื้อควาย เนื่องจากควายเป็นสัตว์ที่เลี้ยงกันมากในภาคเหนือที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์
    • ลาบอีสานนิยมใช้ เนื้อวัว เพราะภาคอีสานเป็นที่ราบสูง มีน้ำน้อย จึงเลี้ยงวัวมากกว่าควาย
  2. รสชาติและเครื่องเทศ
    • ลาบเหนือมีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิด ทำให้รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมจากเครื่องเทศ
    • ลาบอีสานเน้นรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และมักใส่ข้าวคั่วเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
  3. กระบวนการปรุง
    • ลาบเหนือใช้วิธีการสับละเอียดและคลุกเคล้ากับเครื่องเทศหลายชนิด ทำให้มีรสชาติกลมกล่อม
    • ลาบอีสานนิยมปรุงแบบด่วน ใช้เวลาน้อยกว่า สามารถรับประทานได้ทันทีหลังจากปรุงเสร็จ

แนวทางส่งเสริมการบริโภคอาหารปลอดภัย

เพื่อสนับสนุนการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและปราศจากเชื้อโรค องค์กรสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงสุก พร้อมทั้งแนะนำแนวทางดังต่อไปนี้:

  • บริโภคลาบคั่วแทนลาบดิบ เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและพยาธิ
  • เลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ปลอดภัย และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ
  • ใช้เครื่องเทศและสมุนไพรที่สดใหม่ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและลดการปนเปื้อนของเชื้อโรค
  • หลีกเลี่ยงการใช้เลือดสดที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอไรซ์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับในประเทศไทยเกิดจากการบริโภค อาหารดิบ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มี อัตราผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับสูงที่สุด ในประเทศ
  • การบริโภคลาบดิบมี ความเสี่ยงต่อโรคพยาธิและโรคติดเชื้อทางเดินอาหารมากกว่าการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกถึง 5 เท่า

สรุป

การแข่งขันลาบเมืองในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านล้านนา แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย ผ่านแนวคิด กินสุก เป็นสุข” ซึ่งเน้นการปรุงอาหารให้สุกก่อนบริโภคเพื่อลดความเสี่ยงของโรคพยาธิและแบคทีเรีย โดยยังคงความอร่อยของรสชาติลาบเหนือไว้ได้เช่นเดิม

ลดเสี่ยง เลี่ยงโรค อร่อยได้ ไม่ต้องดิบ” เป็นแนวคิดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนหันมารับประทานอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ พร้อมทั้งรักษาวัฒนธรรมการกินลาบแบบดั้งเดิมให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / รวมที่เที่ยวเชียงราย – chiangrai travel / ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข, 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 รับรองคุณภาพ รพ.ค่ายเม็งรายฯ ก้าวสู่มาตรฐานสากล

คุณภาพเยี่ยม! รพ.ค่ายเม็งรายฯ รับรองมาตรฐาน HA ปี 2568

กรุงเทพฯ, 18 มีนาคม 2568 – โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชเข้ารับรองคุณภาพสถานพยาบาลในงานประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25 นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 25 ของ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. พร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตรการรับรองคุณภาพให้แก่สถานพยาบาลที่ผ่านการรับรอง 446 แห่ง และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Building Quality and Safety Culture for the Future Sustainability” (สร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อความยั่งยืนในอนาคต)

ในเวลา 14.00 น. พ.อ.โกสินทร์ ชัยชำนาญ และ ตัวแทนทีมนำคุณภาพของโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้เข้ารับประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพสถานพยาบาลประจำปี 2568 จาก นายเดชอิศม์ ขาวทอง และเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการระดับประเทศภายใต้ธีม “Building Quality & Safety Culture for the Future Sustainability” โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

การเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขและความสำคัญของมาตรฐาน HA

นายเดชอิศม์ ขาวทอง กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย อาทิ:

  • การเพิ่มขึ้นของประชากรและภาวะสังคมสูงวัย
  • จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลต่อระบบบริการสุขภาพ

จากปัจจัยเหล่านี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ และสามารถพัฒนาระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคตได้

การรับรองมาตรฐาน HA และความสำคัญต่อระบบสุขภาพไทย

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพ HA ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก The International Society for Quality in Health Care External Evaluation Association (ISQuaEEA) ตลอดจนมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น:

  • มาตรฐานระบบสุขภาพระดับอำเภอ
  • มาตรฐานศูนย์บริการสาธารณสุข
  • มาตรฐานสถานพยาบาลปฐมภูมิ

มาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงสุด

สาระสำคัญของการประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25

พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า การประชุมวิชาการในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อ:

  • สร้างการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาล
  • เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพในสถานพยาบาลทั่วประเทศ

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การนำเสนอผลงานวิชาการจากสถานพยาบาลกว่า 900 เรื่อง โดยคัดเลือก 21 ผลงานเด่น แบ่งเป็น โปสเตอร์ 18 เรื่อง และ งานวิจัย 3 เรื่อง
  • การประชุมออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์จากทุกพื้นที่ได้เข้าร่วมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม และผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย

มีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจากหลายสาขาวิชาชีพเข้าร่วมกว่า 7,500 คน ได้แก่: แพทย์ ,ทันตแพทย์ ,พยาบาล,เภสัชกร ,นักกายภาพบำบัด, นักเทคนิคการแพทย์ ,นักรังสีการแพทย์,เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากทั้งภาครัฐและเอกชน

รวมถึงองค์กรวิชาชีพและภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันคุณภาพสถานพยาบาลให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพสถานพยาบาลในประเทศไทย

ข้อมูลจาก สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ปี 2567 ระบุว่า:

  • มีโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน HA จำนวน 1,243 แห่งทั่วประเทศ
  • มีสถานพยาบาลปฐมภูมิและศูนย์บริการสาธารณสุขที่ผ่านการรับรองกว่า 3,000 แห่ง
  • ร้อยละ 85 ของโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมีอัตราการลดอุบัติการณ์ของความคลาดเคลื่อนทางการแพทย์ (Medical Errors) ลงอย่างมีนัยสำคัญ

สรุป

โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช (มทบ.37) ได้รับการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลประจำปี 2568 ในงานประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ส่งเสริมมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยของระบบบริการสุขภาพไทย การประชุมครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้สถานพยาบาลทั่วประเทศแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อพัฒนาโรงพยาบาลให้มีมาตรฐานสูงขึ้น นำไปสู่การสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.), 2567 ,ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มอบแสงสว่าง โครงการแว่นตา ช่วย 400 ผู้สูงวัยเชียงราย

 กระทรวง พม. ร่วมมือกับมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และห้างแว่นท็อปเจริญ มอบแว่นสายตาให้ผู้สูงวัยด้อยโอกาส

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – หอประชุมภูชี้ฟ้า โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 62 จังหวัดเชียงราย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นให้แก่ผู้สูงวัยที่อยู่ในสภาวะยากลำบากและมีปัญหาด้านสายตา

โดยมีผู้เข้าร่วมงานสำคัญ ได้แก่

  • นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • รศ.พญ.นวลจันทร์ ปราบพาล กรรมการอำนวยการและเลขาธิการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย
  • นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
  • นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร ห้างแว่นท็อปเจริญ
  • นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย

พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการนี้

เป้าหมายของโครงการ และการดำเนินการ

นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม., มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย และห้างแว่นท็อปเจริญ เพื่อให้บริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุ ตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ที่มีปัญหาด้านสายตา โดยในครั้งนี้มีจำนวน 400 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจาก ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดเชียงราย เพื่อเข้ารับบริการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นจาก ทีมผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัยของห้างแว่นท็อปเจริญ

โครงการนี้ ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ และเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2552 โดยมีการต่อระยะเวลาดำเนินโครงการทุก 5 ปี เพื่อเป็นพระราชกุศล ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 5 ของโครงการ (1 มกราคม 2568 – 31 ธันวาคม 2572)

ประโยชน์ของโครงการและผลกระทบเชิงบวก

โครงการนี้มุ่งเน้นให้ผู้สูงวัยที่อยู่ในภาวะยากลำบาก สามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • สุขภาพและความเป็นอยู่ – สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น ลดอุบัติเหตุจากการมองเห็นไม่ชัดเจน
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – ผู้สูงวัยสามารถกลับมาทำงานได้บางส่วนหรือช่วยเหลือครอบครัวได้มากขึ้น
  • สังคมและจิตใจ – ทำให้ผู้สูงวัยมีความมั่นใจในตนเอง ลดภาวะซึมเศร้าและความโดดเดี่ยว

โครงการนี้สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงห่วงใยสุขภาพสายตาของประชาชนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่ขาดโอกาส” นายวราวุธ กล่าว

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ในมุมของภาครัฐ กระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายต่างเห็นพ้องว่าโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรการกุศล ที่สามารถช่วยเหลือประชาชนในระดับชุมชนได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตบางส่วน มองว่าโครงการนี้ยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงในระดับประเทศ และอาจต้องมีการขยายโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น พร้อมทั้ง เพิ่มจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ให้มากขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสายตาในผู้สูงวัย

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • ประชากรสูงวัยในประเทศไทย (60 ปีขึ้นไป) มีจำนวนกว่า 13 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของประชากรทั้งประเทศ
  • ประมาณ 45% ของผู้สูงวัยมีปัญหาด้านสายตา โดยเฉพาะภาวะสายตายาวตามวัย
  • ผู้สูงวัยในพื้นที่ชนบทมีโอกาสเข้าถึงบริการตรวจวัดสายตาเพียง 30% เท่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านรายได้และการเดินทาง

สรุป

โครงการแว่นตาผู้สูงวัยในสมเด็จพระเทพรัตนฯ เป็นโครงการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก การให้บริการตรวจวัดสายตาและแจกแว่นฟรี ช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นและไม่เป็นภาระของครอบครัว อย่างไรก็ตาม การขยายโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นประเด็นที่ควรพิจารณาต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ ช่วยผู้ประสบภัยพายุแม่ลาว

เชียงรายวิกฤต พายุถล่มหนัก รพ.เสียหาย ผู้ว่าฯ เร่งช่วยเหลือ


เชียงราย, 19 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนพัดถล่มหลายอำเภอในเชียงราย ส่งผลให้บ้านเรือนและสถานที่ราชการเสียหายหนัก นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากเหตุพายุฤดูร้อนที่พัดถล่ม อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้น การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เสียหายและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน รวมถึงสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียนอนุบาลป่าก่อดำ ตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาคารอเนกประสงค์และอาคารเรียนได้รับความเสียหายหลายจุด

พายุที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.20 น. ทำให้เกิดฝนตกหนักและพายุลูกเห็บพัดถล่มในพื้นที่อย่างรุนแรง หลายครอบครัวกำลังเร่งซ่อมแซมหลังคาบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากแรงลมที่พัดกระหน่ำ

ผู้ว่าฯ เชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม โรงพยาบาลแม่ลาว ซึ่งได้รับความเสียหายหนักจากพายุ อาคารผู้ป่วยในไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้ โครงสร้างหลังคาของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (ห้องแล็บ) เสียหายจนไม่สามารถให้บริการได้ และมีน้ำรั่วซึมในหลายจุด

มาตรการเร่งด่วนของโรงพยาบาลแม่ลาว

เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โรงพยาบาลแม่ลาวได้ออกประกาศให้ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นสามารถกลับบ้านได้ก่อนกำหนด พร้อมทั้ง ประสานโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อรองรับผู้ป่วย ดังนี้:

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน
  • โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร รับผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาตัวและมีอาการคงที่
  • โรงพยาบาลพาน ให้บริการตรวจเลือดเร่งด่วน

ทางโรงพยาบาลยังได้เคลื่อนย้าย อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำฝนและไฟฟ้าลัดวงจร พร้อม ประสานเทศบาลตำบลป่าก่อดำ ในการจัดการกับสิ่งกีดขวางที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้าออกโรงพยาบาล ทั้งนี้ ได้มีการ ตั้งศูนย์รายงานการบาดเจ็บ ณ ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแม่ลาว เพื่อรับแจ้งเหตุและดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บจากพายุฤดูร้อน

แผนฟื้นฟูและการช่วยเหลือจากภาครัฐ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักที่สุด และทางจังหวัดพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ โดยได้สั่งการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจความเสียหายและดำเนินการแจกจ่ายวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องและอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือน ให้แก่ผู้ประสบภัย

ในส่วนของ โรงพยาบาลแม่ลาว จะเสนอของบประมาณจาก เขตตรวจสุขภาพ เพื่อเร่งซ่อมแซม ขณะที่ สถานศึกษา จะเสนอของบประมาณจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ วัดที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนผู้ประสบภัยผ่านแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก สภากาชาดไทย

รายงานความเสียหายจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) รายงานว่าพายุครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ อำเภอแม่ลาว เป็นหลัก ครอบคลุม 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ โดยส่งผลกระทบต่อ:

  • โรงพยาบาลแม่ลาว เสียหายหนักในหลายจุด
  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว หลังคาหอประชุมพังเสียหาย
  • ศาลาการเปรียญวัดดอนจั่น และห้องน้ำวัด ได้รับความเสียหาย
  • ป้ายปั๊ม ปตท. ถูกแรงลมพัดจนได้รับความเสียหาย

มี ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จากการถูกป้ายเวทีล้มทับบริเวณหัวไหล่

พายุยังส่งผลกระทบในพื้นที่ อำเภอพาน, อำเภอป่าแดด, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอเมืองเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย โดยมีบ้านเรือนเสียหาย รวมอย่างน้อย 15 หมู่บ้านใน 8 ตำบล และมีหน่วยงานราชการเสียหาย 2 แห่ง รวมถึงวัดอีก 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน
  • เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยที่สุดในภาคเหนือ โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาททั่วประเทศ

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ อำเภอแม่ลาว ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทางจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนและดำเนินมาตรการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวงปลื้มปีติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานปริญญา

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประจำปีการศึกษา 2566 รุ่นที่ 22 พร้อมทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระรูป

 
เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประจำปีการศึกษา 2566 รุ่นที่ 22 โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดี ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัย (อธิการบดีผู้ก่อตั้ง) กราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
 
สำหรับปีนี้ มีผู้สำเร็จการศึกษาเข้ารับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิต เป็นจำนวนกว่า 2,600 คน จากสำนักวิชา แพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ นวัตกรรมสังคม จีนวิทยา การแพทย์บูรณาการ ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การจัดการ เทคโนโลยีดิจิทัลประยุกต์ อุตสาหกรรมเกษตร นิติศาสตร์ วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง วิทยาศาสตร์สุขภาพ พยาบาลศาสตร์ และเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ เป็นบัณฑิตชาวต่างชาติ จำนวน 73 คน จากชาวต่างชาติที่สำเร็จการศึกษาในปีนี้ทั้งหมด 116 คน จากหลายประเทศ เช่น จีน, เมียนมา, ศรีลังกา, ภูฏาน, เกาหลี, กัมพูชา, ออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้, ญี่ปุ่น, อเมริกา, อินโดนีเซีย, โซมาเลีย เป็นต้น
 
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเปิดสอน 67 หลักสูตร ใน 15 สำนักวิชา ทั้งระดับอนุปริญญา ปริญญาตรี โท และ เอก จัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง และมีภาษาที่สองเป็นภาษาจีน ตลอดมานั้น ทำให้บัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมีทักษะและความสามารถ ที่จะร่วมพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า การรับรู้ในวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นพลเมืองโลกได้อย่างสมบูรณ์ โดยปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษากว่า 40,000 คน กระจายการทำงานอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
โอกาสนี้ พระราชทานพระราโชวาทความว่า…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพเจ้ามาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงประจำปีการศึกมา 2566 ในวันนี้. ขอแสดงความชื่นชมต่อผู้ทรงคุณวุฒิและบัณฑิตทุกคนที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ.
 
บัณฑิตทั้งหลายต่างก็สำเร็จการศึกษา สมกับที่ได้ตั้งใจพากเพียรมาโดยตลอดเเล้ว ต่อไปก็ถึงวาระที่จะต้องออกไปทำงาน และดำเนินชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น. การที่จะดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงาน ให้สำเร็จผลที่ดีที่เจริญได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความคิดที่ดีที่ถูกต้องเป็นพื้นฐาน. ในเรื่องนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทไว้ ความว่า “ความคิดนั้นสำคัญมากถือได้ว่าเป็นแม่บทใหญ่ของคำพูดและการกระทำทั้งปวง. กล่าวคือ ถ้าคนเราคิดดี คิดถูกต้องทั้งตามหลักวิชาและคุณธรรม คำพูดและการกระทำก็เป็นไปในทางที่ดีที่เจริญ. แต่ถ้าคิดไม่ดีไม่ถูกต้อง คำพูดและการกระทำก็อาจก่อก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหาย ทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวมได้. ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บุคคลจะพูดจะทำสิ่งใด จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อนว่า กิจที่จะทำ คำที่จะพูดนั้นผิดหรือถูก เป็นคุณประโยชน์หรือเป็นโทษเสียหาย เป็นสิ่งที่ควรพูด ควรกระทำ หรือควรงดเว้น. เมื่อคิดพิจารณาได้ดังนี้ ก็จะสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พูดและทำแต่สิ่งที่จะสัมฤทธิ์ผลเป็นคุณ เป็นประโยชน์ และเป็นความเจริญ.” จึงขอให้บัณฑิตทุกคน น้อมนำพระบรมราโชวาทที่ได้เชิญมานี้ ไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงานสืบไป.
 
ในพระปรมาภิไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขออวยพรให้บัณฑิตทุกคนและผู้ที่มาร่วมในพิธีนี้ทุกท่าน ประสบความสุขสวัสดี และมีความเจริญรุ่งเรืองโดยทั่วกัน.
 
จากนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระรูปสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ประทับคู่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ มณฑลพิธีลานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรฯ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อีกทั้งเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของบุคลากรทางการแพทย์และผู้มารับบริการที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจะประดิษฐาน ณ บริเวณด้านหน้าอาคารโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เหมืองทองคำต้นน้ำกก กมธ.วอนรัฐ เร่งแก้ปัญหา

วิกฤตแม่น้ำกก เหมืองทองคำ ผลกระทบข้ามแดน

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – กมธ.การที่ดินฯ เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเหมืองทองคำ

เมื่อวันพุธที่ 19 มีนาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายสมดุลย์ อุตเจริญ ส.ส.พรรคประชาชน และคณะ ได้ร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับ วิกฤตสิ่งแวดล้อมและผลกระทบข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองทองคำ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำกก

ชาวบ้านตำบลท่าตอนรวมตัวเรียกร้องปกป้องแม่น้ำกก

ปัจจุบัน ประชาชนกว่า 700 คน ในพื้นที่ตำบลท่าตอน ได้ออกมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปกป้อง แม่น้ำกก จากผลกระทบที่เกิดจากเหมืองแร่ทองคำที่อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอำเภอแม่อาย นอกจากนี้ ดินโคลนจากกระบวนการทำเหมืองแร่ ได้ทำให้น้ำในแม่น้ำกกขุ่นข้น อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่ใช้สกัดแร่ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศถูกทำลาย มีปลาตายจำนวนมาก ประชาชนไม่มีน้ำสะอาดใช้ และเด็กในพื้นที่ต้องเติบโตท่ามกลางปัญหามลพิษ

ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

นอกจากปัญหามลพิษทางน้ำแล้ว ยังมีข้อสังเกตว่าช่วงฤดูน้ำหลากที่ผ่านมา หมู่บ้านทั้งสองฝั่งแม่น้ำกกถูกน้ำท่วมและมีโคลนตมจำนวนมาก เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายสิบปี สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในพื้นที่ ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ทองคำ

กมธ.การที่ดินฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการเร่งด่วน

นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี กล่าวว่า การทำเหมืองแร่ทองคำไม่เพียงแต่สร้างความร่ำรวยให้แก่บริษัทไม่กี่แห่ง แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อสิทธิของชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดย คณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอให้รัฐบาลไทย เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ ในแม่น้ำกก พร้อมส่งคณะทำงานลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ กมธ. ยังเสนอให้รัฐบาลผลักดัน มาตรการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการทำลายลุ่มน้ำข้ามพรมแดน รวมถึงปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศในขณะนี้

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและขยายการสืบสวนไปยังพื้นที่แม่สาย

นอกจากการตรวจสอบลุ่มน้ำกกแล้ว คณะกรรมาธิการฯ ยังได้ขอมติให้ตรวจสอบพื้นที่ อำเภอแม่สาย ซึ่งมีข้อห่วงกังวลจากภาคประชาชนว่า ต้นน้ำแม่สายอาจได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ทองคำเช่นกัน โดยประเด็นนี้มีการหารือกับ กรมควบคุมมลพิษ เพื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบให้เร็วที่สุด พร้อมชี้แจงต่อสาธารณชนเพื่อสร้างความกระจ่างและลดความตื่นตระหนกของประชาชน

ความสำคัญของมาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

นายพูนศักดิ์ยังเน้นว่า ประเด็น มลพิษข้ามแดน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหามลพิษทางน้ำ ซึ่งประเทศไทย ในฐานะประเทศหลักของลุ่มน้ำโขง ควรดำเนินการเพื่อจัดทำ มาตรฐานหรือระเบียบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในประเทศไทย

ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ประเทศไทยมีเหมืองแร่ทองคำที่เปิดดำเนินการกว่า 12 แห่งทั่วประเทศ
  • มากกว่า 60% ของพื้นที่ลุ่มน้ำในภาคเหนือมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนโลหะหนักจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่
  • ประชาชนกว่า 1.2 ล้านคนในพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเสียและมลพิษทางน้ำ

สรุป

การทำเหมืองแร่ทองคำส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่สาย กมธ.การที่ดินฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ และผลักดันความร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อปกป้องทรัพยากรข้ามพรมแดน ประชาชนในพื้นที่ยังคงเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิในชุมชนของตนเอง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในการร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่ออนาคตของสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมมลพิษ, 2567 / คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้ใหญ่สูบ เด็กป่วย! อันตรายควันมือ 2-3 บุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้าภัยร้าย! เด็กปอดพัง IQ ลด

กรุงเทพฯ, 18 มีนาคม 2568 – วงเสวนาเตือนภัยควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลร้ายแรงต่อเด็ก

พญ.พิมพ์ชนก จันทร์สวัสดิ์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) กล่าวในวงเสวนา ร่วมป้องกันเด็กเล็กจากควันบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งจัดโดย มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) และได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ โดยเน้นถึงอันตรายของ ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กเล็กและทารกในครรภ์

บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายกว่าที่คิด

พญ.พิมพ์ชนก อธิบายว่า บุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าล้วนมีสารนิโคติน ซึ่งทำให้เกิดการเสพติด โดยนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามักเป็น นิโคตินสังเคราะห์ ที่สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้มากกว่าบุหรี่มวน นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารโลหะหนัก เช่น เหล็ก นิกเกิล และแคดเมียม ที่เกิดจากขดลวดภายในอุปกรณ์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรง

การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนกับการสูดโลหะหนักเข้าไปเต็ม ๆ ไม่ต่างจากการเดินผ่านร้านอ็อกเหล็กแล้วหายใจเอาสารพิษเข้าไปในปอด” พญ.พิมพ์ชนกกล่าว

บุหรี่ไฟฟ้าซอมบี้ และอันตรายจากสารเสพติดแฝง

อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถผสมสารเสพติด เช่น เอโทมีเดท (Etomidate) และเคตามีน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ ทำให้เกิดอาการมึนเมาหรือถึงขั้นหมดสติ ทั้งนี้ บุหรี่ไฟฟ้าหลายรูปแบบยังถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายของเล่น (Toypod) เพื่อจูงใจให้เด็กและเยาวชนทดลองใช้

ผลกระทบของควันบุหรี่ต่อเด็กและทารก

เด็กมี อัตราการหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายมากกว่า นอกจากนี้ ปอดของเด็กมีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ถึง 100 เท่า ทำให้ได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า กรณีของเด็ก 12 ปี ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพียงไม่กี่เดือนจนปอดพังและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเป็นตัวอย่างของอันตรายที่เกิดขึ้นจริง

หากเด็กจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะปอดล้มเหลว แต่ยังไม่มีการรักษาที่เหมาะสม เช่น การปลูกถ่ายปอด ประเทศอาจเผชิญปัญหาสุขภาพในระดับวิกฤติ” พญ.พิมพ์ชนกกล่าว

ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ภัยเงียบที่เลี่ยงไม่ได้

ควันบุหรี่มือสอง คือควันที่ผู้ไม่สูบต้องสูดดมจากผู้ที่สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เช่นเดียวกับ ควันบุหรี่มือสาม ซึ่งหมายถึงสารพิษที่ตกค้างตามเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และในอากาศภายในบ้านหรือรถยนต์

กรณีตัวอย่าง คุณตาผู้สูบบุหรี่ ซึ่งพาหลานเข้ารักษาในห้อง ICU เนื่องจากอาการหอบหืดกำเริบอย่างรุนแรง เมื่อแพทย์ขอให้เลิกบุหรี่ ผู้ตาตอบว่า ‘เดี๋ยวก็แก่ตายแล้ว’ แต่เมื่อแพทย์อธิบายว่า หลานอาจเสียชีวิตก่อนเพราะผลกระทบจากควันบุหรี่ สุดท้ายจึงยอมเลิกสูบ และสุขภาพของเด็กดีขึ้น

เราไม่มีทางสูบบุหรี่โดยไม่ทำร้ายผู้อื่นได้ เพราะสารพิษจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงตกค้างและกระจายอยู่ในอากาศที่ทุกคนต้องสูดดม” พญ.พิมพ์ชนกกล่าวทิ้งท้าย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • เด็กไทยกว่า 30% อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีผู้สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า
  • จำนวนเด็กที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจากควันบุหรี่เพิ่มขึ้น 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ควันบุหรี่มือสองเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่า 65,000 รายต่อปีในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก

สรุป

การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงเป็นอันตรายต่อตัวผู้สูบเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะควันบุหรี่มือสองและมือสามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้และการออกมาตรการป้องกันที่เข้มงวด จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับเด็กไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข, 2567 / คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News