Categories
SOCIETY & POLITICS

คุรุสภายกเลิกสอบ “วิชาเอก” คงเหลือสอบ “วิชาครู” เร่งป้อนกำลังคนเข้าสู่วิชาชีพ

สรุปประเด็นสำคัญ (Key Takeaways)

  • ประชาชนเรียกร้องเร่งด่วนที่สุด: ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย-ใช้ได้จริง (44.27%), ลดค่าใช้จ่ายให้เรียนฟรีจริงถึง ม.6 (44.05%), เน้นทักษะกับงานจริง (37.86%), ยกระดับความเท่าเทียม (35.95%)
  • ลดภาระครูคือคันโยกใหญ่: 57.40% มองว่าครูมีภาระงานที่ไม่ใช่งานสอนมากเกินไป และกว่า 80% เชื่อว่าการลดภาระช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริง
  • ก.ค.ศ. ปรับเกณฑ์วิทยฐานะ: ยึด “ผลงานเชิงประจักษ์” แทนงานวิจัยในหลายกรณี, ยกระดับกระบวนการประเมินผ่านระบบ DPA, กำหนดมาตรฐานงานวิจัยเชี่ยวชาญพิเศษให้พิมพ์ในวารสารที่มี peer-review
  • TRS ยืดหยุ่น-ลดต้นทุน: เปิดให้ระบุได้ 3 วิชาเอกต่อ 1 อัตราว่าง ลดค่าใช้จ่ายเอกสารรวมครูราว 14–21 ล้านบาท/ปี
  • คุรุสภา “ยกเลิกสอบวิชาเอก”: คงสอบเฉพาะ “วิชาครู”, เปิด “7 โมดูล” ขอ P-License ชั่วคราวให้ครูใหม่เข้าสู่ระบบเร็วขึ้น แต่ต้องออกแบบการเปลี่ยนผ่านให้เป็นธรรมต่อผู้ที่เคยสอบผ่านเกณฑ์เดิม

ปฏิรูปการศึกษาไทยเร่งเครื่อง นิด้าโพลชี้ “หลักสูตรล้าสมัย–ค่าใช้จ่ายแฝง” ขณะแกนกลางนโยบายขยับพร้อมกัน—ก.ค.ศ. ลดภาระครู–ยกระดับวิทยฐานะเชิงประจักษ์ คุรุสภายกเลิกสอบวิชาเอก จัด 7 โมดูล P-License

ประเทศไทย, 30 ตุลาคม 2568 — เสียงประชาชนต้องการ “ปรับหลักสูตร–ลดค่าเทอม” ทำทันที มากกว่า 44% สอดรับมติสำคัญ 30 ต.ค. 2568 ที่ขยับทั้งสมรรถนะครู ระบบย้ายครู และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แนวทางใหม่ถูกยกให้ลดภาระและเพิ่มความคล่องตัว แต่สังคมยังถกเถียงเรื่องมาตรฐานทางวิชาการและมาตรการเยียวยาผู้ที่ผ่านการสอบวิชาเอกเดิม

 สัญญาณการปฏิรูปการศึกษาไทยเดินหน้าเป็นรูปธรรม เมื่อผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดย “นิด้าโพล ร่วมกับ Thailand Education Partnership (TEP)” ระหว่างวันที่ 17–21 ตุลาคม 2568 ชี้ชัด “หลักสูตรไม่ทันสมัย” และ “ขาดทักษะทำงาน” เป็นปัญหาเร่งด่วน ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การนำของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เร่งเครื่องสองแนวรุกพร้อมกัน—คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ปรับเกณฑ์วิทยฐานะแบบยึดผลงานเชิงประจักษ์และลดภาระเอกสาร พร้อมยกระดับระบบย้ายครู (TRS) ให้ยืดหยุ่น ส่วนคุรุสภา “ยกเลิกสอบวิชาเอก” คงเฉพาะ “วิชาครู” และจัดหลักสูตร 7 โมดูลเพื่อขอใบอนุญาตชั่วคราว (P-License) เพื่อเปิดทางให้ครูรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบเร็วขึ้น

เสียงของประชาชนต่อการศึกษาไทย

ผลสำรวจ “ต้อนรับรัฐบาลใหม่ แก้ปัญหาการศึกษาไทย” จากกลุ่มตัวอย่าง 1,310 คนทั่วประเทศ สะท้อนภาพความคาดหวังที่ชัดเจนต่อรัฐบาลชุดใหม่ โดยปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) หลักสูตรล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ร้อยละ 49.31 (2) หลักสูตรขาดการฝึกทักษะและประสบการณ์สำหรับการทำงานจริง ร้อยละ 48.09 และ (3) ความปลอดภัยในโรงเรียน (บูลลี่ การล่วงละเมิด ยาเสพติด แก๊งเด็กเกเร) ร้อยละ 38.78 ขณะเดียวกัน ประเด็น “คุณภาพโรงเรียน/ครูไม่เท่ากัน” (ร้อยละ 37.33) และ “เรียนฟรีไม่มีจริงเพราะมีค่าใช้จ่ายแฝง” (ร้อยละ 31.30) ถูกยกเป็นปัญหาหนักต่อความเสมอภาคและภาระครัวเรือน

สิ่งที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลทำ “ทันที” สะท้อนความเป็นรูปธรรมสองด้าน ได้แก่ “ปรับหลักสูตร–การเรียนรู้ให้ทันสมัย ใช้ได้จริง” ร้อยละ 44.27 และ “ลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ให้เรียนฟรีจริงถึง ม.6” ร้อยละ 44.05 ตามด้วย “เน้นฝึกทักษะเพื่อการทำงานจริง” ร้อยละ 37.86 และ “เพิ่มโอกาส–ความเท่าเทียมทางการศึกษา” ร้อยละ 35.95 ประชาชนกว่าร้อยละ 80 เชื่อว่าการลดภาระงานที่มิใช่งานสอนของครูจะช่วยขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา โดยร้อยละ 55.19 ระบุ “ช่วยได้มากแน่นอน” และร้อยละ 25.50 ระบุ “ค่อนข้างช่วยได้”

ด้านความรู้สึกต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการแก้ปัญหาการศึกษา สังคมยัง “หวังแบบระแวดระวัง” ร้อยละ 30.84 ระบุ “กังวลแต่ยังมีความหวัง” ขณะที่ร้อยละ 25.11 ระบุ “ไม่กังวลแต่ไม่มีความหวัง” และร้อยละ 21.99 ระบุ “ไม่กังวลและมีความหวัง” สัญญาณนี้ชี้ว่าประชาชนพร้อม “ให้โอกาส” แต่จะติดตาม “ผลลัพธ์จริง” อย่างใกล้ชิด

มติก.ค.ศ.—วิทยฐานะเชิงประจักษ์ ลดภาระงานครู และ TRS ยืดหยุ่น

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมก.ค.ศ. ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน มีมติสำคัญเพื่อลดภาระงาน บูรณาการเกณฑ์วิทยฐานะให้ยึด “ผลการปฏิบัติหน้าที่/ผลงานเชิงประจักษ์” เป็นฐานหลัก มากกว่าการ “ผลิตงานวิจัย” เป็นรายชิ้น ดังสรุปสาระสำคัญดังนี้

  • โครงสร้างผลงานทางวิชาการ แบ่ง 2 ประเภท ได้แก่ (1) รายงานการสร้าง/พัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ และ (2) รายงานการวิจัย (กรณีทำร่วมต้องมีส่วนร่วม ≥60%)
  • วิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ หากเสนอเป็นงานวิจัย ต้องตีพิมพ์ในวารสารที่ผ่าน peer-review ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1 หรือ 2 หรือฐานข้อมูลวิชาการนานาชาติ
  • ระบบประเมินด้านที่ 3 (ผลงานทางวิชาการ) ผ่าน DPA ปรับกระบวนการเป็นความลับ โปร่งใส และมีคณะกรรมการ 3 คน พร้อมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
  • วันมีผลใช้บังคับ ส่วนใหญ่ (ว 9–11/2564 และ ว 18/2567) เริ่ม 16 พฤษภาคม 2569 ส่วนการแก้ไข ว 12/2564 เริ่ม 1 ธันวาคม 2568 โดยคำขอที่ยื่นไปก่อนยังให้เดินตามหลักเกณฑ์เดิมจนแล้วเสร็จ

ขนานไปกับเกณฑ์วิทยฐานะ ก.ค.ศ. เห็นชอบแนวทางพัฒนา ระบบย้ายครู TRS ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มโอกาสการย้าย ลดต้นทุนเอกสาร และจัดคนให้เหมาะสมกับงานมากขึ้น โดยปรับ “ความยืดหยุ่นของตำแหน่งว่าง” จากเดิม 1 วิชาเอก/อัตราว่าง เป็น “ระบุกลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก” ได้สูงสุด 3 สาขา/อัตราว่าง ช่วยให้โรงเรียนเติมเต็มครูครบชั้น ครบวิชา สอดรับบริบทพื้นที่ นอกจากนี้ การทำคำร้องย้ายกว่า 70,000 คำร้อง/ปี จะลดค่าใช้จ่ายรวมราว 14–21 ล้านบาท/ปี จากการใช้ดิจิทัลสนับสนุนแทนเอกสารแบบเดิม

ในเชิงนโยบาย มติก.ค.ศ. สอดรับผลสำรวจที่สะท้อนว่าครู “แบกภาระงานนอกสอนมากเกินไป” (ร้อยละ 57.40) โดยการปรับเกณฑ์และระบบงานบุคคลที่ยึด “ผลงานจริง” และ “การใช้เทคโนโลยี” อาจช่วยคืนเวลาให้ครูได้โฟกัสกับการสอนและพัฒนาผู้เรียนมากขึ้น

มติคุรุสภา—ยกเลิกสอบวิชาเอก คงเฉพาะ “วิชาครู” และ 7 โมดูล P-License

ในวันเดียวกัน คุรุสภามีมติซึ่งถือเป็น “การปรับเชิงระบบ” ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี โดย ยกเลิกการสอบวิชาเอก และคงไว้เฉพาะการสอบ “วิชาครู” มีผลตั้งแต่สนามสอบเดือน มกราคม 2569 เป็นต้นไป เหตุผลสำคัญคือการลดภาระผู้เข้าสอบและทำให้การทดสอบ “ตรงประเด็น” มากขึ้น ในขณะที่มาตรฐานความรู้วิชาเอกให้พึ่งพา “ระบบประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย” ภายใต้กำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และการคัดกรองภายหลังผ่านสนามสอบบรรจุครูผู้ช่วย

ควบคู่กัน คุรุสภาจะจัดทำ หลักสูตร “7 โมดูล” เพื่อขอ ใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่ครู (P-License) ซึ่งเป็นใบอนุญาตชั่วคราวสำหรับผู้จบหลักสูตรที่คุรุสภารับรองแล้วแต่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ทดสอบสมรรถนะ ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “เปิดทางวิชาชีพครูรุ่นใหม่” ให้เข้าสู่ห้องเรียนเร็วขึ้น สอดรับโจทย์ความขาดแคลนครูในบางกลุ่มวิชา และใช้ช่วงเวลาปฏิบัติการเป็น “สะพาน” เตรียมความพร้อมก่อนยื่นขอใบอนุญาตถาวร

มติดังกล่าวตามมาด้วยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ และการรับรองคุณวุฒิ/หลักสูตรของสถาบันการศึกษาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ห่วงโซ่การผลิตครูสอดคล้องกับทิศทางใหม่ทั้งเชิงมาตรฐานและตลาดแรงงาน

ปฏิกิริยาและข้อถกเถียง มาตรฐาน–ความเป็นธรรม–การเยียวยา

แม้มติ “ยกเลิกสอบวิชาเอก” จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่เห็นว่าช่วยลดภาระและซ้ำซ้อนของระบบเดิม แต่แรงสะท้อนจากผู้เข้าสอบบางรุ่น—โดยเฉพาะกลุ่มที่ผ่านวิชาเอกมาแล้ว (“รุ่น 66”)—สะท้อน “ความค้างคาใจ” และคำถามเรื่องความเสมอภาคของผู้ที่ลงทุนทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการสอบเดิม ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาชีพครูอย่าง รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ก็ชี้ให้เห็น “เหตุผลด้านสมรรถนะวิชาชีพ” ว่าความรู้เฉพาะทางของวิชาเอกเป็นรากฐานที่จะส่งผลต่อคุณภาพการสอนและผลลัพธ์ผู้เรียน จึงควรมีระบบประกันคุณภาพที่เข้มแข็งและเป็นที่ยอมรับ

ในเชิงนโยบาย คำถามที่ท้าทายมีอย่างน้อยสามมิติ

  1. มาตรฐานทางวิชาการ: เมื่อ “วิชาเอก” ไม่ใช่สนามสอบกลาง สิ่งทดแทนคืออะไร?—คำตอบหนึ่งคือ “ระบบประกันคุณภาพมหาวิทยาลัย” และ “สนามบรรจุครูผู้ช่วย” จะต้องเข้มข้น โปร่งใส และอธิบายได้ว่าควบคุมคุณภาพเชิงเนื้อหาเพียงพอ
  2. ความเป็นธรรมและการเยียวยา: กลุ่มที่ผ่านวิชาเอกเดิมควรได้รับการชดเชยหรือเทียบโอนคุณค่า (recognition) อย่างไร เพื่อไม่ให้ “ภาระที่ได้จ่ายไปแล้ว” กลายเป็น “ต้นทุนจม” ทางนโยบาย
  3. การสื่อสารสาธารณะ: เมื่อสังคม “กังวลแต่ยังมีความหวัง” ภาครัฐจำเป็นต้องจัดทำคำอธิบายนโยบายอย่างเป็นระบบ มี “ไทม์ไลน์–คู่มือ–FAQ” ที่ตอบคำถามเชิงปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เรียน ผู้สอน และผู้บริหารสถานศึกษาปรับตัวทันเวลา

ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)

  • ครูในระบบ: การประเมินวิทยฐานะที่ยึด “ผลงานเชิงประจักษ์” ช่วยเปิดพื้นที่ให้ครูที่ทำงานกับผู้เรียนจริงได้สะท้อนคุณค่าการทำงานผ่านนวัตกรรมชั้นเรียน/การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน แทนการต้องจัดทำงานวิจัยรูปแบบเดิม ลดภาระงานเอกสาร และทำให้ “เวลาสอน” กลับมาเป็นหัวใจ
  • ครูรุ่นใหม่/ผู้จบใหม่: การมี P-License 7 โมดูล ทำให้เข้าสู่ระบบงานสอนได้เร็วขึ้น มีเวลาพัฒนาทักษะบนเวทีจริง แต่ต้องแลกกับวินัยตนเองในการสะสมสมรรถนะเพื่อขอใบอนุญาตถาวรในอนาคต
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันผลิตครู: บทบาท “แนวหน้า” ด้านประกันคุณภาพความรู้วิชาเอกจะเพิ่มขึ้น ต้องทำให้มาตรฐาน หลักสูตร และการประเมินผล “ตรวจสอบได้–เปรียบเทียบกันได้” และสอดรับตลาดแรงงาน
  • ผู้ปกครอง/นักเรียน: คาดหวัง “คุณภาพในห้องเรียน” ที่สัมผัสได้—ความปลอดภัย บรรยากาศการเรียนรู้ และทักษะเพื่ออนาคต ขณะเดียวกันยังหวังให้รัฐลดค่าใช้จ่ายแฝงเพื่อทำให้ “เรียนฟรี” เป็นจริงมากขึ้น
  • ผู้กำหนดนโยบาย: ต้องสร้างสมดุลระหว่าง “ลดภาระ” กับ “คงมาตรฐาน” พร้อมระบบติดตามประเมินผล (M&E) ที่วัดผลลัพธ์จริงของผู้เรียนและโรงเรียน และมีฐานข้อมูลสาธารณะให้ตรวจสอบได้

ความเสี่ยง–โอกาส และตัวชี้วัดความสำเร็จ

โอกาส ของแพ็กเกจปฏิรูปคือการทำให้ “เวลาและแรงครู” กลับคืนสู่ห้องเรียน ปรับหลักสูตรให้ทันสมัย เน้นทักษะ และขยายโอกาสการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม หากทำสำเร็จ สังคมจะเห็นคุณภาพผู้เรียนที่ “ใช้การได้จริง” ในตลาดแรงงาน พร้อมการลดภาระทางการเงินของครัวเรือน

ความเสี่ยง อยู่ที่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” หากมาตรการรองรับไม่ชัดเจน อาจเกิดความสับสนในสนามสอบและการรับรองคุณวุฒิ ผลักภาระไปยังสถาบันผลิตครูโดยขาดทรัพยากรสนับสนุน และเกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ปฏิบัติตามกติกาเดิมแล้วผ่านเกณฑ์ไปก่อนหน้า

ตัวชี้วัด ที่ควรถูกติดตาม ได้แก่

  • เวลาเฉลี่ยที่ครูใช้กับงานสอน/เตรียมสอนต่อสัปดาห์ (ควรเพิ่มขึ้น)
  • สัดส่วน/ตัวอย่าง “ผลงานเชิงประจักษ์” ที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ผู้เรียน (เช่น อัตราการอ่านออกเขียนได้ ระดับชั้นประถม การคิดวิเคราะห์ระดับมัธยม และทักษะอาชีพ/ดิจิทัล)
  • อัตราการย้ายครูที่ตอบโจทย์ “ครบชั้น–ครบวิชา” ภายในจังหวัด/เขต และความพึงพอใจของครูต่อระบบ TRS
  • ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของครัวเรือน (ค่าใช้จ่ายแฝง) และดัชนีความปลอดภัยในโรงเรียน
  • คุณภาพผลการเรียนรู้ที่วัดด้วยการประเมินภายนอกและเส้นทางสู่อาชีพหลังจบการศึกษา

สิ่งที่ต้องจับตา (What to Watch)

  1. คู่มือ–แนวปฏิบัติ–FAQ: ศธ./ก.ค.ศ./คุรุสภาจะสื่อสารชุดเอกสารอธิบายนโยบายอย่างละเอียดทันเวลาเพียงใด
  2. มาตรการเยียวยา/เทียบโอน: จะมีรูปแบบการรับรองคุณค่าแก่ผู้ที่สอบวิชาเอกผ่านแล้วอย่างไร
  3. ความเข้มแข็งของระบบประกันคุณภาพมหาวิทยาลัย: จะตอบโจทย์มาตรฐานความรู้วิชาเอกให้สังคมเชื่อมั่นได้แค่ไหน
  4. หลักสูตร 7 โมดูล P-License: เนื้อหา–กลไกประเมิน–คุณภาพการนิเทศภาคสนาม เพียงพอหรือไม่
  5. ตัวชี้วัดผลลัพธ์ผู้เรียน: ภาคนโยบายจะรายงานข้อมูลผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ต่อสาธารณะเป็นระยะอย่างไร

ผลสำรวจสะท้อน “ความต้องการที่ชัดเจน” ของประชาชนให้รัฐ “ปรับหลักสูตร–ลดค่าใช้จ่าย” และ “คืนเวลาให้ครูได้สอน” มติของก.ค.ศ. และคุรุสภาในวันเดียวกันจึงถือเป็นการ “ล็อกทิศ” จากระบบเดิมที่พึ่งพาเอกสารและเส้นทางสอบหลายด่าน ไปสู่ระบบที่ยึด “ผลงานในห้องเรียนจริง” และ “การรับรองคุณภาพโดยสถาบันผลิตครู” อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสมกับผู้ที่ผ่านเกณฑ์เดิม สื่อสารอย่างโปร่งใส และวัดผลด้วยตัวชี้วัดผลลัพธ์ผู้เรียนที่ตรวจสอบได้ เพื่อให้สังคมมั่นใจว่า “ลดภาระ” แล้ว “คุณภาพดีขึ้นจริง” ตามที่ประชาชนคาดหวัง

สถิติสำคัญจากผลสำรวจ (คัดประเด็น)

  • ปัญหาเร่งด่วน: หลักสูตรล้าสมัย 49.31% | ขาดทักษะทำงานจริง 48.09% | ความปลอดภัยในโรงเรียน 38.78%
  • สิ่งที่อยากให้ทำทันที: ปรับหลักสูตร–ใช้ได้จริง 44.27% | ลดค่าใช้จ่าย–เรียนฟรีจริงถึง ม.6 44.05% | เน้นฝึกทักษะเพื่อการทำงาน 37.86%
  • ภาระครู: ประชาชน 57.40% เห็นว่าครูมีภาระงานอื่นมากเกินไป | กว่า 80% เชื่อว่าลดภาระช่วยคุณภาพการศึกษา
  • ความรู้สึกต่อรัฐบาล: “กังวลแต่ยังมีหวัง” 30.84% | “ไม่กังวลแต่ไม่มีความหวัง” 25.11% | “ไม่กังวลและมีความหวัง” 21.99%
  • TRS และต้นทุน: คำร้องย้ายเฉลี่ย ~70,000 เรื่อง/ปี | ลดค่าใช้จ่ายโดยรวม ~14–21 ล้านบาท/ปี หลังใช้ดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายเพื่อการศึกษาไทย (Thailand Education Partnership – TEP
  • กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
  •  คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.
  • รศ.ดร.สมบัติ นพรัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเดินหน้าจัด ‘มหกรรมไม้ดอก 2025’ ปรับรูปแบบ ลดมหรสพ เน้นนิทรรศการน้อมรำลึก

จุดสมดุลเศรษฐกิจ-ความรู้สึก เชียงรายชวนนักท่องเที่ยวแต่ง ‘โทนสุภาพ’ ร่วมงานไม้ดอก

เชียงราย,28 ตุลาคม 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประชุมราชการ (Morning Brief) ครั้งที่ 8/2568 มีวาระพิเศษที่ไม่ใช่แค่การติดตามผลการทำงานประจำเดือนเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป หากแต่เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเชิงภาพรวมของจังหวัดในห้วงเวลาที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในความโศกเศร้าหลังจากสำนักพระราชวังประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทั่วทั้งแผ่นดินต่างแสดงความอาลัยอย่างสุดหัวใจ

การประชุมครั้งนี้นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนางอัญญลักษณ์ กายาไชย เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เพื่อหารือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

หัวข้อสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือทิศทางการจัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เดินหน้าตามกำหนดการเดิม แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

หลังการประชุม นางอทิตาธรยืนยันอย่างชัดเจนว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ตามกำหนดการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือ

  • พื้นที่หลัก “สวนไม้งามริมน้ำกก” อำเภอเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569
  • พื้นที่ขยายในอำเภอ ได้แก่ สวนสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569

หมายความว่า จังหวัดยังคงมุ่งหวังให้ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่เป็นระยะเวลาที่เชียงรายจะดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่นิยมเดินทางขึ้นเหนือในฤดูหนาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมล้านนา ธรรมชาติ และอากาศเย็น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะจัดหรือไม่จัด” แต่อยู่ที่ “จะจัดอย่างไร”

นางอทิตาธรระบุชัดว่า การจัดงานปีนี้ “จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม” เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอาลัยจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง โดยย้ำว่าการจัดงานต้องดำเนินไป “ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางกลางของรัฐบาล” ที่ระบุให้ส่วนราชการและหน่วยงานท้องถิ่นระมัดระวังกิจกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือเกินความกาลเทศะ

เธอกล่าวในที่ประชุมว่า การดำเนินงานในครั้งนี้ต้องสะท้อนทั้ง “ความจงรักภักดี” และ “ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ของพสกนิกรชาวเชียงรายและประชาชนชาวไทย

เมื่อแปลออกมาในเชิงปฏิบัติ รูปแบบของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะถูกปรับใน 3 มิติใหญ่ คือ

  1. ลดกิจกรรมรื่นเริง
    กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นความบันเทิง เช่น การแสดงมหรสพคึกคัก การแสดงคอนเสิร์ตเชิงบันเทิง หรือกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก จะถูกลดระดับหรือปรับโทน ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสมทางสังคม แต่เพื่อส่งสัญญาณถึงความเคารพและความอาลัยในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการแสดงจิตวิญญาณร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
  2. เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และจารีตท้องถิ่น
    อบจ.เชียงรายกำหนดให้งานในปีนี้เน้นการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สะท้อนความอ่อนช้อย งดงาม และอัตลักษณ์ของเชียงราย เช่น ไม้ดอกฤดูหนาว ไม้ประดับหายาก การจัดสวนนิทรรศการเชิงศิลป์ และการออกแบบภูมิทัศน์ที่ใช้ดอกไม้เป็น “ภาษาทางความรู้สึก” มากกว่าจะเป็นเพียงฉากสำหรับท่องเที่ยวเช็คอิน
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอกไม้ในปีนี้จะไม่ใช่เพียง “สีสันของงาน” แต่น่าจะถูกตีความให้เป็น “สัญลักษณ์ของการรำลึกถึง” และ “การถวายความเคารพ”
  3. จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึก
    จะมีการจัดนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมุ่งสะท้อนพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นถิ่น ตลอดจนพระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพและคุณภาพชีวิตของราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ประเด็นนี้มีนัยสำคัญในทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงทรงได้รับการยกย่องมาโดยตลอดในฐานะ “แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันงานหัตถศิลป์ ผ้าไทย งานจักสาน งานทอมือ และงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ภาคเหนือรวมถึงเชียงราย การนำแนวทาง “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” มาเป็นแกนของงานมหกรรมไม้ดอกในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การแสดงความอาลัยเชิงพิธีเท่านั้น แต่เป็นการวางบทบาทของเชียงรายในฐานะเมืองที่เข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และพร้อมถ่ายทอดต่อสาธารณะ

เชียงรายต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เชียงรายก็ต้องเป็นจังหวัดที่ “รู้กาลเทศะ”

อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ของ อบจ.เชียงราย คือการ “ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว” โดยเชิญชวนให้ผู้มาเยือนร่วมแต่งกายด้วยโทนสีไว้ทุกข์หรือสีสุภาพตลอดช่วงการจัดงาน

คำขอนี้สะท้อนความพยายามของจังหวัดในการสร้างบรรยากาศร่วมไว้อาลัยในพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่เพียงผ่านพิธีการหรือคำกล่าวเปิดงาน แต่ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการยกระดับงานท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แสดงความเคารพร่วมกันในฐานะ “สาธารณะทางความรู้สึก”

การขอความร่วมมือด้านการแต่งกายแบบนี้ มักจะปรากฏในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญเหตุการณ์สำคัญระดับสถาบัน ซึ่งสะท้อนว่านโยบายของจังหวัดในครั้งนี้ไม่ได้มองงานไม้ดอกเป็นเพียงอีเวนต์เชิงเศรษฐกิจ แต่ยกระดับไปสู่พื้นที่เชิงสังคมและจิตใจร่วม

ในอีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิมในช่วงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ก็มีความหมายเชิงเศรษฐกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

เดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมเป็นช่วงที่เชียงรายมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดของปี อากาศเย็นเป็นแม่เหล็กตามธรรมชาติ ขณะที่สีสันทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีล้านนา อาหารพื้นถิ่น และภูมิทัศน์ริมน้ำกก ล้วนเป็นจุดขายของจังหวัดมาอย่างยาวนาน งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนในอดีตมักถูกใช้เป็น “เวทีหลัก” ในการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้ประกอบการที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านงานหัตถกรรม ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกรไม้ดอกไม้ประดับ

กล่าวอีกมุมหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่เพียงงานที่จัดเพื่อความสวยงาม แต่เป็น “จุดกระจายเม็ดเงินปลายปี” ของจังหวัดเชียงราย

การตัดสินใจ “เดินหน้าจัด – แต่ลดความรื่นเริง และเพิ่มความสงบสำรวม” จึงเป็นจุดสมดุลที่สะท้อนแนวทางของฝ่ายบริหารท้องถิ่น จังหวัดยังต้องขยับเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยบรรยากาศแห่งความโศกอาลัยระดับชาติ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรยังย้ำประเด็นเรื่อง “การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” พร้อมมอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งด้านการจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมจราจร และการบริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่จัดงานทั้งสามจุดคือ ริมน้ำกก หนองหลวง เวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค แม่สาย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชายแดนสำคัญ

ถ้อยคำลักษณะนี้ชวนให้สังเกตว่า งานมหกรรมไม้ดอกฯ ไม่ใช่การจัดโดยหน่วยงานเดียว แต่เป็นงานที่ต้องใช้พลังของทั้งจังหวัด ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรม เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยความมั่นคง ตำรวจ ท้องถิ่นอำเภอ รวมถึงชุมชนเจ้าของพื้นที่ร่วมกันดูแลภาพลักษณ์ของจังหวัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ

มิติเชิงวัฒนธรรม ดอกไม้ในปีแห่งการอาลัย

หากมองเชิงสัญลักษณ์ การจัดงานดอกไม้ภายใต้บรรยากาศความอาลัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ดอกไม้ถูกใช้เสมอในวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเคารพ ความระลึก และพระเกียรติคุณ โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว สีอ่อนโทนสุภาพ หรือไม้ดอกที่จัดเป็นลวดลายเชิงสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์

เมื่อ อบจ.เชียงรายประกาศว่าจะ “เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” นั่นหมายความว่างานปีนี้อาจไม่ใช่เพียงการประกวดความสวยงามของไม้ดอก หากแต่อาจเป็นพื้นที่เล่าเรื่องความผูกพันระหว่างเชียงรายกับสถาบันฯ ผ่านการตีความด้วยสื่อที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

ทิศทางเช่นนี้ยังสอดคล้องกับบทบาทของสมเด็จพระพันปีหลวงในประวัติศาสตร์สังคมไทย ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านศิลปหัตถกรรมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ทั้งงานผ้า การทอ การปัก การอนุรักษ์วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับจังหวัดในพื้นที่ล้านนา รวมทั้งเชียงรายด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติภายในงานจึงอาจเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบทบาทเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

กล่าวในเชิงเนื้อหา งานไม้ดอกฯ ปีนี้อาจกลายเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกมายืนอยู่ในภาพเดียวกัน—ภาพที่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นภาพของการเรียนรู้ร่วมกันว่า ความผูกพันของ “ชาติ-สถาบัน-ท้องถิ่น” มีมิติที่ลึกกว่าในเชิงอารมณ์

การบริหารจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย พูดถึง “ความโปร่งใส” และ “การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการประชุม Morning Brief ครั้งที่ 8/2568 จุดนี้สะท้อนมุมมองการทำงานเชิงรุกด้านธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพราะโดยปกติ งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปลายปีมักถูกจับตาในสองเรื่องเสมอ คือค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพื้นที่ (ตกแต่งภูมิทัศน์ ระบบแสง-เสียง การบริหารเวทีกิจกรรม โครงสร้างชั่วคราว) และความคุ้มค่าต่อประชาชนในพื้นที่

การย้ำเรื่อง “งบประมาณต้องโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” จึงเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า อบจ.จะวางตัวเองในฐานะองค์กรที่พร้อมถูกตรวจสอบในสายตาสังคม โดยเฉพาะในโครงการสาธารณะที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงและอยู่ในความสนใจของสื่อและประชาชนทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด

การวางน้ำเสียงเช่นนี้ยังสะท้อนการทำงานเชิงป้องกันความเสี่ยงทางสังคมเช่นกัน เพราะในยุคปัจจุบัน โครงการของหน่วยงานท้องถิ่นสามารถถูกตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่านโซเชียลมีเดีย หากกระบวนการใช้งบประมาณไม่ชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งคำถามเชิงศรัทธาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น

งานดอกไม้ที่ไม่ใช่แค่งานดอกไม้

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงไม่ใช่แค่งานท่องเที่ยวประจำฤดูหนาวของจังหวัดเชียงรายอีกต่อไป หากแต่มันกำลังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชิงสาธารณะของความทรงจำร่วมและความอาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นกลไกทางเศรษฐกิจในปลายปีที่ถูกคาดหวังว่าจะกระจายรายได้สู่คนในจังหวัด

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งประเทศกำลังแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การจัดงานในบรรยากาศที่สำรวมขึ้น ลดความเป็น “มหรสพ” เพิ่มความเป็น “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศิลปวัฒนธรรม” อาจเป็นแบบจำลองใหม่ของการจัดงานสาธารณะในระดับจังหวัด ว่าจะสามารถผสานเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-ความรู้สึกร่วมของสังคมได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน

ในทางปฏิบัติ การเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้แต่งกายโทนไว้ทุกข์ คือการส่งสารเชิงสังคมว่า ทุกคนที่มาเยือนเชียงรายในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” แต่เป็น “ผู้ร่วมยืนในช่วงเวลาเดียวกันของประวัติศาสตร์ร่วมชาติ”

และในทางการบริหาร นี่คือบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถเดินเชือกเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การรักษาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ” กับ “การรักษาความยืนยาวของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ไปจนจบงานได้อย่างไร

เพราะเมื่อม่านดอกไม้ปิดลงในวันที่ 7 มกราคม 2569 สิ่งที่จังหวัดเชียงรายจะเหลืออยู่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายสวนดอกไม้ยามรุ่งสางริมแม่น้ำกก แต่คือคำตอบว่า เชียงรายสามารถเป็นต้นแบบการจัดงานท้องถิ่นในยามที่ทั้งประเทศกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ร่วมได้หรือไม่ และคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับเชียงรายเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ของไทยในอนาคตด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จากถุงยางถึงตัวเลขผลงาน สปสช. ชี้แจงปมงบประมาณ ย้ำ NGO คือแขนขาเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง HIV

สปสช. แจงปม “ถุงยางอนามัย-ตัวเลขผลงาน” หลังถูกตั้งคำถามเรื่องงบประมาณและความโปร่งใส ย้ำจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม ราคาต่อชิ้นถูกลง เน้นเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีเชิงรุกในชุมชน

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – เรื่องเริ่มจากข้อความที่เผยแพร่โดย นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ซึ่งตั้งคำถามต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่ามี “บัญชีเงินสวัสดิการ” หรือบัญชีงบประมาณที่ใช้จ่ายจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่ พร้อมระบุถึงความเป็นไปได้ของ “ถุงยางอนามัยเหลือในคลัง” จากการจัดซื้อในปริมาณสูงต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ยอดแจกจริงต่ำกว่าจำนวนเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อสงสัยของ นพ.เอกภพ มีหลายชั้น โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

  1. ปริมาณจัดซื้อ – เท่าเดิมทุกปีจริงหรือไม่
    นพ.เอกภพระบุว่า สปสช. ตั้งเป้าจัดซื้อถุงยางอนามัยจำนวน 94,566,600 ชิ้น ขณะที่รายงานประจำปีของ สปสช. ระบุว่ามีการแจกจ่ายไปจริง 42,814,800 ชิ้น หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย เขาตั้งคำถามว่า หากจัดซื้อในปริมาณสูงทุกปีและแจกได้เพียงบางส่วน แสดงว่ามีถุงยางเหลือสะสมในคลังกลางทุกปีหรือไม่ และถ้ามีเหลือ สปสช.ยังจัดซื้อซ้ำด้วยปริมาณเดิมไปเพื่ออะไร
  2. ราคาและต้นทุน
    นพ.เอกภพอ้างอิงข้อมูลราคาจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ว่าโรงพยาบาลบางแห่งจัดซื้อถุงยางอนามัยได้ในราคาประมาณ 2 บาทต่อชิ้น แต่ไม่พบข้อมูลราคาการจัดซื้อของ สปสช. ที่จัดซื้อในภาพรวมระดับประเทศผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) อย่างชัดเจน จึงตั้งคำถามว่า ถ้าคิดเฉพาะจำนวนที่แจก 42,814,800 ชิ้น และใช้ราคา 2 บาทต่อชิ้น จะเท่ากับงบประมาณอย่างน้อยราว 85,629,600 บาท ยังไม่รวม “ค่าแจกถุงยาง” “ค่าให้คำปรึกษา” “ค่าคัดกรอง” หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  3. การกระจายงบประมาณ
    นพ.เอกภพยังตั้งข้อสงสัยว่า เงินประมาณ 60% ในระบบให้คำปรึกษาและคัดกรองความเสี่ยงด้านเอชไอวีถูกจ่ายให้แก่องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยบริการสุขภาพของรัฐ เช่น เอ็นจีโอ มูลนิธิ หรือกลุ่มบุคคล เขาตั้งประเด็นต่อว่า การจ่ายเงินให้หน่วยงานนอกระบบบริการปกติเช่นนี้ ตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใด มีการประเมินผลที่น่าเชื่อถือหรือไม่ และสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพหรือไม่

ประเด็นสุดท้ายที่จุดกระแสความสนใจอย่างหนัก คือ “ตัวเลขผลงานที่เปลี่ยนไป” โดย นพ.เอกภพระบุว่า รายงานผลการดำเนินงานฉบับหนึ่งของ สปสช. ระบุปริมาณการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์ไว้ที่ 48,672 ครั้ง แต่ในรายงานฉบับภายหลัง (อ้างอิงข้อมูลจากวันที่เดียวกัน แหล่งเดียวกัน) ตัวเลขกลับเพิ่มเป็น 169,610 ครั้ง เขาตั้งคำถามว่า ตัวเลขใดถูกใช้เป็นฐานเบิกงบ? ตัวเลขใดถูกใช้รายงานต่อสาธารณะ? และหากตัวเลขเปลี่ยนหลังถูกวิจารณ์ แสดงว่ามีการปรับข้อมูลย้อนหลังหรือไม่

คำถามทั้งหมดทำให้ สปสช. ต้องออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ

สปสช. โต้ทุกประเด็น “ข้อมูลคลาดเคลื่อน” – ยืนยันจัดซื้อตามความต้องการจริง ไม่ได้ซื้อทับซ้อน และปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อเพิ่ม

ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการและโฆษก สปสช. ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ถูกนำไปเผยแพร่มีความคลาดเคลื่อนหลายส่วน โดยเฉพาะความเข้าใจว่าการจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ทำในปริมาณ “เท่าเดิมทุกปีโดยอัตโนมัติ” ซึ่งโฆษก สปสช. ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

ตามคำชี้แจง กระบวนการจัดซื้อเป็นดังนี้

  1. สปสช. ไม่ได้จัดซื้อเองโดยตรงในเชิงปฏิบัติ แต่ “มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อรวมในระดับประเทศ”
    การจัดซื้อรวมลักษณะนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศในราคาที่เหมาะสม และลดความซ้ำซ้อนการจัดซื้อรายหน่วยบริการ นอกจากนี้ อภ. จะจัดซื้อถุงยางอนามัยทั้ง 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร เพื่อรองรับการใช้งานจริงของประชากรหลากหลายกลุ่ม
  2. “ปริมาณจัดซื้อทุกปีไม่ได้ตั้งต้นที่ตัวเลขเดิม”
    โฆษก สปสช. ระบุว่า สปสช. จะประเมินความต้องการก่อนการจัดซื้อทุกครั้ง โดยใช้ 3 ปัจจัยหลัก
  • การคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงยางตามข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาและนโยบายสุขภาพเชิงป้องกันของปีนั้น
  • ข้อมูลผลงานบริการจริงในปีที่ผ่านมา เช่น อัตราการแจกจ่ายและอัตราการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง
  • ปริมาณคงเหลือใน “คลังกลาง” (สต็อก) ซึ่งจะถูกนำมาหักออกจากความต้องการ เพื่อป้องกันการจัดซื้อเกินจำเป็น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากมีของคงเหลือมาก สปสช. จะจัดซื้อให้น้อยลงหรืออาจไม่จัดซื้อเพิ่มเติมในปีถัดไป

  1. ราคาต่อหน่วยต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาด
    สปสช. ชี้แจงว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยในปีงบประมาณ 2565 และ 2566 มีจำนวนรวม 126.4 ล้านชิ้น ด้วยราคากลางเฉลี่ยประมาณ 1.2 บาทต่อชิ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมควบคุมโรคเคยจัดหาในอดีต
    การซื้อรวมผ่าน อภ. ช่วยต่อรองราคาให้ต่ำลง ซึ่ง สปสช. ระบุว่านี่คือการใช้เงินของประชาชน “อย่างคุ้มค่า”
  2. ปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อใหม่
    โฆษก สปสช. ย้ำชัดว่า “ปีงบประมาณ 2567 ไม่มีการจัดหาถุงยางอนามัยเพิ่มเติม” เนื่องจากมีจำนวนคงเหลือเพียงพอจากรอบก่อนหน้า
    คำชี้แจงข้อนี้ตอบโจทย์ข้อสงสัยสำคัญของสังคม หากมีของเหลือในคลังกลางเพียงพอ ทำไมรัฐยังต้องใช้เงินซื้อเพิ่มทับซ้อนในปีถัดไป ซึ่ง สปสช. ระบุว่าไม่ได้ซื้อเพิ่มในปี 2567
  3. ทำไมบางปีรัฐต้องจัดซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
    ประเด็นนี้ สปสช. ให้เหตุผลเชิงโครงสร้างมากกว่าการตอบเชิงบัญชีตัวเลข โดยอธิบายว่า การจัดซื้อในปี 2565 มีความจำเป็นต้องขยายปริมาณ เพราะหน่วยงานอื่นที่เคยเป็นผู้จัดหาและกระจายถุงยางอนามัยให้ประชาชนหยุดบทบาทลง ทั้งกรมควบคุมโรค (ที่เคยจัดซื้อราว 12 ล้านชิ้น), สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร (ประมาณ 4 ล้านชิ้น) และกองทุนโลก (Global Fund) อีกราว 10 ล้านชิ้น

เมื่อ “ผู้เล่นเดิม” หยุดจ่าย สปสช. จึงต้องรับบทบาทแทน เพื่อไม่ให้ช่องว่างการเข้าถึงการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเสี่ยงเกิดขึ้น

ตัวเลขสากลยังถูกนำมาอ้างอิงในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุข โฆษก สปสช. ระบุว่า UNAIDS (โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ) ประเมินว่าประเทศไทยควรมีการจัดหาถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อ HIV ราว 200 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งสะท้อนมาตรฐานเชิงสาธารณสุขเชิงป้องกัน ไม่ใช่แค่ตัวเลขงบประมาณ

ในจุดนี้ สปสช. พยายามสื่อสารว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยไม่ใช่เรื่อง “ซื้อเยอะ-แจกไม่หมด” อย่างที่ถูกตั้งคำถามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่อง “ปิดช่องโหว่ของระบบป้องกันโรค” เมื่อหน่วยงานเดิมหยุดสนับสนุน

โฆษก สปสช. กล่าวย้ำว่า “การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ไม่ได้ทำจำนวนเท่าเดิมทุกปี แต่มีการประเมินยอดคงเหลือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”

NGOs กับงานเชิงรุก ช่องทางป้องกัน HIV ที่ สปสช. บอกว่าระบบปกติทำแทบไม่ได้

อีกจุดที่ นพ.เอกภพ หยิบขึ้นมาวิจารณ์อย่างหนัก คือการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการให้แก่องค์กรภาคประชาชนหรือ NGO ในการทำงานลงพื้นที่เชิงรุก เช่น การให้คำปรึกษา การคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี การจ่ายถุงยางอนามัย การให้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ HIV (PrEP) หรือหลังสัมผัสเชื้อ HIV (PEP)

เขาตั้งข้อสงสัยว่า การจ่ายเงินลักษณะนี้ “เป็นการจ่ายออกไปนอกหน่วยบริการปกติ” ซึ่งอาจไม่โปร่งใส และตรวจสอบยากกว่าการจ่ายตรงให้โรงพยาบาลและ รพ.สต. (สถานีอนามัย/หน่วยบริการสุขภาพระดับตำบล)

สปสช. ตอบกลับในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุขว่า บริการเชิงรุกเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของการ “ค้นหาและเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” ที่มักไม่เข้ามาหาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนทางเพศ กลุ่มแรงงานบริการบางประเภท หรือกลุ่มที่กังวลเรื่องการตีตราทางสังคม

โฆษก สปสช. ระบุข้อมูลดังนี้

  • งบประมาณรวมด้านบริการสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์อยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี
  • ในจำนวนนี้ ราว 3,000 ล้านบาท (ประมาณร้อยละ 83) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาโดยตรง เช่น ค่ายาและค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • อีกประมาณ 600 ล้านบาท (ร้อยละ 16.3) เป็นงบเชิงป้องกัน เพื่อควบคุมการติดเชื้อรายใหม่

เงินกลุ่มที่สองนี่เองที่ถูกใช้สนับสนุนรูปแบบบริการเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการทำงานขององค์กรภาคประชาชน

สปสช. ให้เหตุผลว่า

  1. องค์กรภาคประชาชนที่ได้รับการชดเชยต้องผ่านการอบรมและได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ใช่องค์กรลอยตัว
  2. บริการเชิงรุกนอกสถานบริการทำให้เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงได้ถึงร้อยละ 84 ของประชากรเป้าหมายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าการรอรับที่โรงพยาบาล
  3. งบดำเนินการของกลไกเชิงรุกนี้คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 5.9 ของงบภาพรวม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สปสช. มองบทบาท NGO ไม่ใช่ “คู่สัญญารับงบ” แต่เป็น “แขนขาเชิงพื้นที่ของระบบสาธารณสุข” ในกลุ่มที่ระบบปกติเอื้อมไม่ถึง และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 ซึ่งระบุถึงความจำเป็นในการลดการติดเชื้อรายใหม่ และป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชนที่เข้าถึงยาก

ประเด็นนี้จึงสะท้อนความต่างเชิงมุมมองอย่างชัดเจน

  • ฝั่งผู้ตั้งคำถาม มองเรื่อง “ความถูกต้องตามกรอบกฎหมายหลักประกันสุขภาพ / ความโปร่งใสในการจ่ายเงิน”
  • ฝั่ง สปสช. มองเรื่อง “ประสิทธิภาพเชิงสาธารณสุขในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” และอ้างกรอบยุทธศาสตร์ชาติด้านเอดส์มารองรับ

อย่างไรก็ดี นพ.เอกภพยังตั้งข้อสังเกตในมิติความโปร่งใส ว่าในบางกรณีองค์กรที่ได้รับงบประมาณจำนวนหลายสิบล้านบาทต่อปี เช่น การทำสายด่วนเลิกบุหรี่ กลับไม่มีเว็บไซต์ ไม่มีช่องทางสื่อสารสาธารณะชัดเจน และไม่มีรายงานประจำปีที่เผยแพร่อย่างกว้างขวาง เขาย้ำว่าประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะ “ตัวเลขผลงาน” ของบริการเหล่านี้ถูกนำไปใช้เป็นฐานเบิกงบประมาณจาก สปสช.

นี่คืออีกปมหนึ่งที่ยังไม่ได้คลี่คลายในการชี้แจงปัจจุบัน และยังเป็นคำถามสาธารณะต่อไป

ปมกฎหมาย อำนาจ สปสช. ในการจ่ายเงินให้องค์กรนอกหน่วยบริการปกติ

นอกจากตัวเลขและความคุ้มค่าทางงบประมาณแล้ว นพ.เอกภพยังได้เชื่อมประเด็นเข้าสู่กรอบกฎหมาย โดยระบุว่า การจ่ายเงินให้องค์กรชุมชนหรือมูลนิธิ “อาจไม่สามารถทำได้” หากยึดตามถ้อยคำในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อให้ สปสช. จัดสรรงบประมาณแก่ “หน่วยบริการ” ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ (เช่น โรงพยาบาล คลินิก หน่วยบริการสาธารณสุข) ไม่ใช่องค์กรชุมชนทั่วไป

เขาระบุว่า เหตุผลที่ สปสช. สามารถอนุมัติการจ่ายงบให้องค์กรภาคประชาชนได้ มาจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2559 ซึ่งเป็นคำสั่งในยุค คสช. ที่ขยายขอบเขตการใช้งบประมาณในลักษณะนี้ รวมถึงคำสั่งที่ 41/2560 ที่ให้อำนาจ สปสช. จัดซื้อยาได้โดยตรง

ในมุมของ นพ.เอกภพ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “จ่ายเงินถูกหรือผิด” แต่คือ “เราจะยังควรใช้คำสั่ง คสช. เป็นฐานอำนาจทางงบประมาณด้านสุขภาพต่อไปอีกหรือไม่” เพราะหากยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ งบประมาณที่ปัจจุบันจ่ายให้องค์กรภาคประชาชนและโครงการจัดซื้อยาบางส่วน อาจถูกส่งตรงสู่โรงพยาบาลภาครัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเขาประเมินรวมกันว่าอาจสูงถึง 30,000 ล้านบาท

จุดนี้สะท้อนการปะทะกันของสองภาพใหญ่ ภาพแรก: ระบบสุขภาพที่พยายาม “ยืดแขน” ไปถึงชุมชน ผ่านการใช้เครือข่ายภาคประชาชน ภาพที่สอง: ระบบงบประมาณภาครัฐที่ต้องตอบคำถามต่อสังคมในภาษา “ความถูกต้องตามกฎหมาย-การตรวจสอบได้-ความโปร่งใส” และนี่คือจุดที่ความขัดแย้งเชิงข้อมูลอาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งเชิงนโยบายในระดับประเทศ

ไม่ใช่แค่ถุงยาง แต่เป็นคำถามถึงทิศทางระบบหลักประกันสุขภาพ

จากข้อมูลทั้งสองฝ่าย มีประเด็นหลักที่สังคมควรจับตาต่อไปอย่างใกล้ชิด ความโปร่งใสของข้อมูล ตัวเลขการจัดซื้อถุงยางอนามัย ตัวเลขการแจกจ่ายจริง ตัวเลขบริการเชิงรุก ตัวเลขการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ และตัวเลขการคัดกรองเอชไอวี ล้วนเป็นตัวเลขที่ถูกใช้ยืนยัน “ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ” และในบางกรณีถูกใช้เป็นฐานเบิกจ่ายโดยตรงต่อรัฐ การที่ตัวเลขเดียวกันปรากฏในสองรูปแบบต่างกัน (เช่น 48,672 ครั้ง เทียบกับ 169,610 ครั้ง) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะเรียกร้องคำอธิบายแบบตรวจสอบย้อนกลับได้

ต้นทุน-ประโยชน์ของการใช้ NGO เป็นกลไกบริการ

สปสช. ระบุว่า NGO สามารถเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีได้ถึง 84% ในขณะที่ใช้งบประมาณเชิงรุกเพียง 5.9% ของงบด้านเอชไอวี/เอดส์ทั้งหมด ซึ่งถ้ามองเชิงนโยบาย นี่คือความคุ้มค่า แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายวิจารณ์ตั้งคำถามว่า กลไกตรวจสอบคุณภาพงานและปริมาณผลงานขององค์กรเหล่านี้เข้มข้นพอหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรบางแห่งไม่มีการสื่อสารสาธารณะให้ตรวจสอบได้ง่ายเหมือนโรงพยาบาลรัฐ

ฐานกฎหมายและความยั่งยืน

โครงการจำนวนมากที่ สปสช. ใช้ในการทำงานเชิงรุก อาศัยคำสั่งหัวหน้า คสช. เป็นกรอบอำนาจ หากประเทศเดินหน้าเข้าสู่โหมดการบริหารปกติเต็มรูปแบบ คำถามคือ ควรปรับ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพฯ เพื่อยืนยันบทบาทงานชุมชนและการป้องกันโรคเชิงรุกให้ถาวร หรือควรดึงงบทั้งหมดกลับเข้าโรงพยาบาลหลักเพื่อให้การตรวจสอบเป็นเส้นตรงมากขึ้น นี่ไม่ใช่ประเด็นเทคนิคทางกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นการกำหนด “หน้าตาของระบบบัตรทอง” ในอีกทศวรรษข้างหน้า

ความเชื่อมั่นของสาธารณชน

ในท้ายที่สุด ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำงานได้บนความร่วมมือของประชาชนและหน่วยบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “ขอถุงยางได้ฟรีจากรัฐ” หรือ “ตรวจเอชไอวีได้โดยไม่ถูกตีตรา” เขาจะกล้าเข้ารับบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “งบประมาณถูกใช้โดยสุจริตและตรวจสอบได้” เขาจะยอมปกป้องระบบบัตรทองเมื่อต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง

โฆษก สปสช. ทิ้งท้ายด้วยสารที่ตั้งใจสื่อถึงประชาชน ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองหรือคนทำงานนโยบายว่า “บริการสนับสนุนถุงยางอนามัย เป็นบริการเพื่อคนไทยทุกคน เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และคุมกำเนิดในกรณีที่ยังไม่พร้อมมีบุตร ประชาชนสามารถขอรับถุงยางอนามัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลของรัฐ ร้านยา คลินิกเวชกรรม และคลินิกพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”

ประโยคนี้สะท้อนภาพคู่ขนานชัดเจน

ด้านหนึ่งคือสิทธิด้านสุขภาพเชิงป้องกันที่เป็นรูปธรรมมาก เช่น ถุงยางอนามัย PrEP/PEP การคัดกรองเอชไอวี
อีกด้านหนึ่งคือคำถามที่ยังไม่จบลงง่าย ๆ เกี่ยวกับตัวเลขรายงาน ผลการดำเนินงาน งบประมาณ และความถูกต้องตามกรอบกฎหมาย

กล่าวโดยสรุป ประเด็นที่เริ่มต้นจาก “ถุงยางอนามัย” ได้ขยายไปสู่การตรวจสอบเชิงโครงสร้างของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกันกับที่คนไทยจำนวนมากพึ่งพาในยามเจ็บป่วย ตั้งแต่การคลอดลูกจนถึงการรักษาเอชไอวีระยะยาว และนั่นทำให้คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมการแรงงานชายแดน ทำไมธุรกิจเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้งานว่างนับพันอัตรา?

เมื่อเชียงรายกำลังหาคนทำงาน – แต่ทั้งจังหวัดกลับส่งคนหนุ่มสาวไปทำงานต่างประเทศ ขณะที่รัฐกลางกำลังเผชิญปัญหา “ขาดคนดูแลประชาชน” โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – นี่คือภาพสะท้อนของตลาดแรงงานไทยในปี 2568 ที่ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือสัญญาณเตือนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพการให้บริการประชาชน ในระดับจังหวัด ในระดับภูมิภาค และในระดับประเทศ

บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), หนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567, รายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ไตรมาส 4 ปี 2567 ของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย ตลอดจนถ้อยแถลงล่าสุดจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน (อัปเดตวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568) เพื่อฉายภาพ “สมการแรงงานไทย” ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในห้วงเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา

ชายแดนเชียงราย — เมืองที่ยังต้องใช้แรงงาน แต่แรงงานท้องถิ่นกำลังหายไป

เชียงรายในปี 2567-2568 ไม่ใช่เพียงจังหวัดท่องเที่ยวหรือเมืองหน้าด่านด้านวัฒนธรรม หากแต่เป็น “ประตูเศรษฐกิจชายแดน” ของภาคเหนือที่เชื่อมไทยกับเมียนมาผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน และเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว ผ่านอำเภอเชียงของ ตลอดจนเป็นจุดหมุนเวียนสินค้าของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนและเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีนตอนใต้

เศรษฐกิจนี้สร้างความต้องการแรงงานปฏิบัติการจำนวนมาก ทั้งแรงงานก่อสร้าง แรงงานโลจิสติกส์ คนขับรถบรรทุกหัวลาก ทักษะซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ตลอดจนแรงงานบริการแนวหน้าที่ต้องติดต่อกับนักท่องเที่ยวและลูกค้าข้ามชาติ โดยเฉพาะในเขตเมืองเชียงราย แม่จัน แม่สาย และเชียงของซึ่งเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมสำคัญของจังหวัด

แต่ปัญหาที่เชียงรายเผชิญอยู่ในวันนี้ไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” ตรงกันข้าม สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 จังหวัดมีตำแหน่งงานว่างรวม 1,482 อัตรา (ก่อนหน้านั้นทั้งปีพบตำแหน่งว่างรวมหลักหมื่นอัตรา) แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานในระบบเพียง 1,368 คนในไตรมาสดังกล่าว ตัวเลขนี้สะท้อนช่องว่างอย่างชัดเจนระหว่าง “อุปสงค์แรงงาน” กับ “แรงงานไทยที่ยอมเข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ” ซึ่งยังคงต่ำกว่าความต้องการของนายจ้างอย่างมีนัยสำคัญ

ในเวลาเดียวกัน รายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่าแรงงานจำนวนมากในเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่เป็นทางการ แต่ทำงานในฐานะแรงงานนอกระบบสูงถึง 507,372 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 86.25 ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดของจังหวัด และส่วนใหญ่ยังคงผูกพันอยู่กับภาคเกษตรกรรมดั้งเดิม โดยมีแรงงานภาคเกษตรมากกว่า 374,000 คนจากผู้มีงานทำทั้งหมดราว 588,000 คน

กล่าวอีกแบบ หนึ่งจังหวัดมีคนทำงานจำนวนมาก แต่คนจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานทางการ ไม่สมัครทำงานในภาคบริการสมัยใหม่ ไม่เข้าศูนย์บริการรถยนต์ ไม่เข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่เข้าสู่ภาคค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งที่ตำแหน่งงานยังว่างอยู่

คำถามเชิงนโยบายจึงไม่ใช่เพียง “ทำไมคนตกงาน” แต่กลับกลายเป็น “ทำไมธุรกิจในเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้อัตราว่างงานทางการของจังหวัดจะอยู่เพียงร้อยละ 0.40 เท่านั้น” (2,368 คน ณ ไตรมาส 3 ปี 2567)

คนเชียงรายจำนวนหนึ่งไม่ตกงาน – แต่ “ย้ายออก”

เมื่อมองลึกลงไปในข้อมูล สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ในไตรมาสเดียวกัน มีแรงงานไทยจากเชียงราย 1,160 คนยื่นคำขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และเมื่อดูทั้งปี 2567 ตัวเลขการย้ายออกเพื่อไปทำงานนอกประเทศสูงกว่าสองพันคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานกึ่งทักษะหรือไร้ทักษะ เช่น งานก่อสร้างและงานรับใช้ในครัวเรือนในต่างประเทศ ซึ่งมีค่าจ้างสูงกว่าในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นี่คือ “การอพยพทางรายได้” (income migration) คนทำงานไม่ได้ออกจากกำลังแรงงาน แต่ย้ายกำลังแรงงานของตัวเองออกนอกจังหวัดหรือนอกประเทศเพื่อแลกกับรายได้ที่สูงกว่า ในขณะที่ธุรกิจในพื้นที่ยังคงต้องเดินต่อ และจึงหันไปพึ่งแรงงานจากภายนอกมากขึ้น

นั่นทำให้แรงงานต่างด้าวกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจเชียงรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายจำนวน 36,568 คนในไตรมาส 4 ปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 6.21 ของแรงงานทั้งหมด โดยแรงงานเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในภาคก่อสร้าง ภาคบริการขั้นพื้นฐาน และงานใช้แรงกายจำนวนมากซึ่งแรงงานท้องถิ่นบางส่วนไม่ต้องการทำ

ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานต่างด้าวในเชียงรายจำนวนมากไม่ได้มีสถานะเดียวกันทั้งหมด แต่กระจายอยู่ในหลายฐานะตามกฎหมาย เช่น กลุ่มชนกลุ่มน้อยและผู้ไม่มีสัญชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 63/1 มากถึง 16,999 คน และกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรา 63/2) รวม 17,349 คน ซึ่งสะท้อนว่ากลไกเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนพึ่งพา “แรงงานข้ามชาติภายใต้มาตรการผ่อนผัน” มากกว่าที่มักเข้าใจกันในภาพรวม

กล่าวโดยสรุป เชียงรายเป็นพื้นที่ที่ “ต้องมีแรงงานข้ามชาติ” เพื่อให้ภาคบริการ ภาคก่อสร้าง และภาคโลจิสติกส์เดินต่อ ในขณะที่แรงงานท้องถิ่นบางส่วนเดินทางไปทำงานข้ามพรมแดนในทิศทางกลับด้านเพื่อหารายได้ที่สูงกว่า

ส่วนกลางเองก็เริ่ม “ไม่มีคน” — โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ

หากมองออกจากระดับจังหวัดไปยังระดับประเทศ จะพบปรากฏการณ์คู่ขนานที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือรัฐบาลไทยเองกำลังเผชิญโจทย์เรื่อง “กำลังคนภาครัฐ” ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพของบริการสาธารณะ โดยเฉพาะสาธารณสุข การศึกษา การปกครองท้องถิ่น และความปลอดภัยสาธารณะ

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และหนังสือ “กำลังพลภาครัฐ 2567” ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมประมาณ 3,004,485 คน ในปีงบประมาณ 2567 หรือราว 3 ล้านคน คิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 40.5 ล้านคนจากประชากรทั้งประเทศประมาณ 65.95 ล้านคน.

ในจำนวนนี้ “ข้าราชการ” ตามความหมายทางกฎหมายมีอยู่ 1,756,606 คน โดยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน รองลงมาคือข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน ข้าราชการทหาร 368,711 คน และข้าราชการตำรวจ 213,086 คน. ตัวเลขสะท้อนชัดว่าระบบการศึกษาและระบบความมั่นคงยังคงเป็นเจ้าของกำลังคนจำนวนมากในระบบราชการไทย.

ส่วนอีกกว่า 1.24 ล้านคนคือแรงงานภาครัฐประเภทอื่น เช่น ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน พนักงานจ้างท้องถิ่น 223,528 คน พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน และพนักงานราชการ 179,567 คน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ถือเป็น “เครื่องยนต์ปฏิบัติการ” ของภาครัฐในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในบริการสาธารณสุขและบริการเชิงพื้นที่ระดับจังหวัดและอำเภอ.

ตัวเลขดังกล่าวบอกอะไรเรา?
มันบอกว่ารัฐไทยยังเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ และบุคลากรของรัฐคือคนที่เราพบในชีวิตประจำวัน – ครูในโรงเรียนลูกเรา พยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน ที่ว่าการอำเภอ คนเก็บภาษีท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในด่านชายแดนที่เชียงรายกำลังรับภาระประชากรข้ามแดน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลเชิงโครงสร้างกลับเตือนถึงความเปราะบางที่กำลังขยายตัว

สาธารณสุข” ทั้งบรรจุสูงสุด ทั้งว่างตำแหน่งสูงสุด ทั้งลาออกสูงสุด

ในสายตาของนักนโยบายแรงงาน ตัวเลขที่น่ากังวลที่สุดอยู่ในกลุ่มสาธารณสุข

ตำแหน่งที่ภาครัฐต้องบรรจุมากที่สุด 10 อันดับแรกในปีงบประมาณ 2567 ส่วนใหญ่เป็นวิชาชีพทางการแพทย์ โดยอันดับหนึ่งคือ “พยาบาลวิชาชีพ” 4,372 ตำแหน่ง ตามด้วย “นายแพทย์” 2,194 ตำแหน่ง และ “นักวิชาการสาธารณสุข” 1,025 ตำแหน่ง ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าระบบสุขภาพสาธารณะยังต้องการคน ทั้งในโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ รวมถึงโรงพยาบาลชายแดนที่มีภาระการดูแลทั้งคนท้องถิ่นและแรงงานข้ามชาติ.

แต่เมื่อมองไปข้างหน้า กลับพบว่าตำแหน่งว่างที่คาดการณ์ว่าจะยังไม่มีคนทำในอนาคตอันใกล้ก็อยู่ในสายงานเดียวกัน ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพที่คาดว่าจะมีตำแหน่งว่าง 3,439 ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง และนายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง ขณะที่ในกลุ่มสายปฏิบัติการทั่วไป อันดับหนึ่งของตำแหน่งที่ยังว่างคือ “เจ้าพนักงานธุรการ” 2,011 ตำแหน่ง และ “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” 1,753 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนการทำงานแนวหน้าในโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพ.

ยิ่งกว่านั้น เมื่อดูสถิติ “การสูญเสียบุคลากร” ของข้าราชการพลเรือนสามัญในปีงบประมาณ 2566 พบว่ามีการสูญเสียรวม 19,006 คน แบ่งเป็นการลาออก (47.93%) การเกษียณอายุ (48.66%) การเสียชีวิต (2.38%) และการออกด้วยเหตุผิดวินัย (1.04%).

กระทรวงสาธารณสุขกลายเป็นกระทรวงที่มีตัวเลขโดดเด่นที่สุดในแทบทุกหมวดพร้อมกัน

  • เกษียณอายุ: 4,237 คน มากที่สุดในบรรดากระทรวงทั้งหมด
  • ลาออก: 4,674 คน มากที่สุดเช่นกัน
  • เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่หรือสภาพงาน: 169 คน สูงที่สุดในบรรดาหน่วยงานรัฐ (เทียบกับกระทรวงอื่นที่ตัวเลขหลักสิบหรือต่ำกว่านั้นมาก)
    กระทรวงมหาดไทยตามมาเป็นอันดับสองในหลายตัวเลข แต่ก็ยังต่ำกว่ากระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน.

คำอธิบายหนึ่งที่มักถูกพูดในแวดวงบุคลากรสาธารณสุขก็คือ ภาระงานหน้าด่าน สูง ความเสี่ยงสูง คุณภาพชีวิตการทำงานผูกติดกับภารกิจที่ไม่มีวันหยุด ทั้งในเขตเมืองและโดยเฉพาะชายแดน เช่น เชียงราย ที่ต้องรองรับทั้งคนไทย คนต่างด้าวถูกกฎหมาย และผู้ที่ยังไม่มีสถานะทางทะเบียน

หากมองภาพระยะยาว ก.พ. คาดการณ์ว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า “พยาบาลวิชาชีพ” จะเป็นตำแหน่งที่มีการเกษียณอายุมากที่สุดของประเทศ มากถึง 23,725 อัตรา ขณะที่ตำแหน่งด้านธุรการแนวหน้าของหน่วยบริการสาธารณะอย่าง “เจ้าพนักงานธุรการ” ก็จะเกษียณมากกว่า 3,800 อัตรา ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสำหรับงานสนับสนุนเชิงระบบ.

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนโจทย์เชิงโครงสร้าง
ระบบสุขภาพไทยกำลังจะขาดคนในรุ่นต่อไป ในขณะที่คนรุ่นปัจจุบันกำลังลาออกก่อนเกษียณ

โครงสร้างกำลังคนรัฐ คนเยอะจริงหรือ? หรือแค่กระจุกผิดที่?

อีกหนึ่งคำถามที่สังคมมักตั้งคือ “เรามีข้าราชการเยอะเกินไปหรือไม่”

หากมองในเชิงสัดส่วน จะพบว่ากำลังพลภาครัฐคิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายรัฐสวัสดิการขนาดกลางในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการกระจายคนภาครัฐในประเทศไทยไม่ได้สม่ำเสมอ กระจุกตัวอยู่ในบางภารกิจและบางภูมิภาค

ข้อมูลปีงบประมาณ 2567 ชี้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนมากที่สุดประมาณ 417,445 คน หรือร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด ขณะที่ภาคกลางและภาคเหนืออยู่ที่ราวร้อยละ 19.57 และ 17.68 ตามลำดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนราว 177,897 คน หรือ 12.82% ของทั้งหมด.

ตัวเลขนี้ชวนคิดในสองมิติ
มิติแรก — ภาคอีสานและภาคเหนือ (รวมเชียงราย) เป็นพื้นที่ที่รัฐยังต้องปล่อย “คนของรัฐ” ลงไปให้บริการโดยตรง ทั้งการศึกษา ปกครองท้องที่ เกษตร สาธารณสุขขั้นปฐมภูมิ
มิติที่สอง — เมื่อบุคลากรสาธารณสุขและบุคลากรท้องถิ่นในพื้นที่เหล่านี้ลาออกหรือย้ายออก ระบบบริการพื้นฐานของรัฐย่อมสั่นคลอนทันที โดยเฉพาะบริการที่ “แทนกันไม่ได้ง่าย” อย่างพยาบาลฉุกเฉินในโรงพยาบาลชายแดน หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อตามช่องทางเข้าเมืองตามแนวชายแดนเชียงราย

นั่นหมายความว่า “การขาดคนในระบบราชการ” ไม่ใช่แค่ปัญหาของส่วนกลางในเชิงงบประมาณบุคลากร แต่เป็นปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนชายขอบ ซึ่งรวมถึงชุมชนจังหวัดชายแดนภาคเหนือ

ย้อนกลับมาที่ชายแดนอีกครั้ง ทำไมเชียงรายจึงกลายเป็นแนวหน้าของนโยบายแรงงานระดับชาติ

เมื่อแรงงานท้องถิ่นจำนวนหนึ่งเลือกออกไปทำงานต่างประเทศ ชั่วโมงเดียวกันเชียงรายกลับต้องพึ่งแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายและกึ่งถูกกฎหมายจำนวนมาก เพื่อคงกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้ แต่โครงสร้างดังกล่าวก็กำลังสร้างแรงเสียดทานทางสังคมอย่างชัดเจน

ในช่วงวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568 นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน ระบุว่ากรมฯ ได้สั่งการเชิงรุกให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงานต่างชาติทั่วประเทศ จากกรณีที่มีการร้องเรียนว่ามีชาวต่างชาติประกอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” ใช้ชื่อคนไทยบังหน้า และเข้ามาทำอาชีพแข่งขันกับคนไทยอย่างไม่ถูกต้องกฎหมาย เช่น ธุรกิจเช่ารถ ธุรกิจบริการนำเที่ยว และร้านตัดผม โดยระบุพื้นที่ตรวจเข้มพิเศษทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย เมืองพัทยา ตลอดจนพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน

อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำว่า เป้าหมายของการปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การ “กวาดล้างคนต่างด้าว” แบบไร้เงื่อนไข แต่เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น และเพื่อไม่ให้การจ้างงานที่ผิดกฎหมายกดค่าแรงหรือเบียดโอกาสการประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

สิ่งที่น่าสนใจคือ “ความเข้มงวดทางกฎหมาย” ที่ประกาศใช้ควบคู่กัน

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานเกินสิทธิที่กฎหมายอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท ต่อคน พร้อมทั้งถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างที่รับแรงงานไม่มีใบอนุญาต หรือปล่อยให้แรงงานต่างด้าวทำงานในอาชีพต้องห้าม ต้องเผชิญโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และหากทำผิดซ้ำ อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท พร้อมมาตรการห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี

ประกาศกระทรวงแรงงานยังคงระบุ “40 อาชีพต้องห้ามคนต่างด้าวทำ” ซึ่งครอบคลุมอาชีพระดับฐานรากหลายประเภท เช่น งานขายปลีกย่อยในตลาด งานตัดผมชาย-หญิง งานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หรืองานธุรกิจให้เช่าในพื้นที่ท่องเที่ยวบางรูปแบบ เพื่อคุ้มครองอาชีพของคนไทยโดยตรง

หากมองจากเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนและมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานกว่า 36,000 คน การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงทั้งต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น ร้านเช่ารถนำเที่ยว ร้านบริการตัดผม-เสริมสวยในพื้นที่ท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจนำเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและทัวร์ชายแดนที่พึ่งพาบุคลากรที่สื่อสารได้หลายภาษา

คำถามเชิงโครงสร้างจึงตามมาทันที
ถ้ารัฐ “กวาด” อาชีพต้องห้ามออกจากมือแรงงานต่างด้าว แล้วใครจะเข้ามาทำงานแทน?
คำตอบหนึ่งที่รัฐเสนอ คือการจูงใจแรงงานไทยให้กลับเข้าสู่ระบบงานในพื้นที่ ผ่านทั้งการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน การอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมายภายใต้มติคณะรัฐมนตรี (เช่น มติ ครม. เดือนสิงหาคม 2568 ที่เปิดทางให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานที่ไม่มีสถานะถูกกฎหมาย เพื่อออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี) และการยกระดับทักษะในสาขาขาดแคลน เช่น โลจิสติกส์และบริการด้านพยาบาลผู้ช่วย

กล่าวให้ชัด นี่ไม่ใช่แค่มาตรการ “ไล่จับคนผิดกฎหมาย” แต่คือความพยายามใช้กฎหมายเป็นคันโยกเพื่อรีเซ็ตสมดุลแรงงานชายแดน

ประเทศไทยกำลังอยู่ในสมการซับซ้อน 3 ชั้น

  1. ชั้นประเทศ – รัฐต้องการคนทำงานในระบบราชการ โดยเฉพาะสาธารณสุขและการบริการประชาชนระดับพื้นที่ แต่บุคลากรที่มีอยู่เริ่มลาออกเร็วกว่าที่ระบบจะผลิตคนใหม่เข้ามาทดแทน ขณะที่ตำแหน่งสำคัญอย่างพยาบาลวิชาชีพและนักวิชาการสาธารณสุขกำลังจะขาดแคลนในระดับโครงสร้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า.
  2. ชั้นจังหวัดชายแดน – จังหวัดอย่างเชียงรายยังต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแรงงานในพื้นที่จำนวนหนึ่งไม่เข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ และอีกจำนวนหนึ่งเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อรายได้ที่สูงกว่า ขณะที่เศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว การก่อสร้าง และบริการหน้าด่าน ยังเดินอยู่ทุกวัน
  3. ชั้นผู้ประกอบการท้องถิ่น – ผู้ประกอบการในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษชายแดนจำเป็นต้องรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ในตลาดภูมิภาค ซึ่งกดดันให้พึ่งแรงงานต้นทุนต่ำและยืดหยุ่นสูง บางส่วนจึงหันไปใช้แรงงานต่างด้าวในอาชีพบางประเภท แม้จะเสี่ยงต่อการถูกตีความว่า “แย่งงานคนไทย” และถูกจัดอยู่ในอาชีพสงวนตามกฎหมาย

ความขัดแย้งที่ดูเหมือนเป็นการเมืองเรื่องอาชีพในพื้นที่ชายแดน จึงแท้จริงแล้วเป็นผลสะสมจากโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเกิดต่ำลง แรงงานรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับงานประเภทใช้แรงกายซ้ำซาก แรงงานรุ่นกลางอายุจำนวนหนึ่งต้องการค่าตอบแทนสูงขึ้นหรือการปรับทักษะใหม่ (re-skill / up-skill) ขณะที่แรงงานต่างด้าวจำนวนมากยินดีทำงานหนักด้วยค่าแรงที่แข่งขันได้เพราะยังมองเห็นโอกาสในฝั่งไทยมากกว่าที่บ้านเกิด

3 ล้านคนที่ต้องดูแลประเทศทั้งประเทศ

ข้อมูลล่าสุดจากฐานข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) และหนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมทั้งสิ้น 3,004,485 คน หรือประมาณ 3.00 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.60 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ

หากเทียบกับโครงสร้างประชากร ประเทศไทยมีประชากร 65.95 ล้านคนในปี 2567 (และประมาณ 71.6 ล้านคนในปี 2568 ตามฐานข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาอ้างอิง) โดยในจำนวนประชากรทั้งหมด มีผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน 40.54 ล้านคน หรือร้อยละ 61.47 ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า ในแรงงานทุก ๆ 100 คน มีเพียงประมาณ 4-5 คนเท่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “แรงงานภาครัฐ” ซึ่งครอบคลุมทั้งครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่การคลัง วิศวกร โยธา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ธุรการในหน่วยงานย่อยระดับอำเภอและตำบล

ตัวเลข 3 ล้านคนนี้ ไม่ใช่เพียงข้าราชการในความหมายปกติแบบ “คนใส่เครื่องแบบสีกากี” เท่านั้น แต่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. กลุ่มข้าราชการ รวม 1,756,606 คน
    กลุ่มนี้คือโครงสร้างดั้งเดิมของภาครัฐ ประกอบด้วย
    • ครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน
    • ข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน
    • ทหาร 368,711 คน
    • ตำรวจ 213,086 คน
    • พนักงานส่วนตำบล 83,137 คน
    • พนักงานเทศบาล 70,367 คน
    • ครูส่วนท้องถิ่น 53,574 คน
    • บุคลากรกรุงเทพมหานคร 35,126 คน
    • ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด 27,833 คน
    • บุคลากรในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น หน่วยงานด้านตุลาการ อัยการ องค์กรตรวจสอบ 26,364 คน
    • พลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 9,408 คน
    • ตุลาการ 5,297 คน
    • อัยการ 4,257 คน
    • รัฐสภาสามัญ 3,164 คน
  2. กลุ่มประเภทอื่น (ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ข้าราชการ” ตามพ.ร.บ.ข้าราชการ) รวม 1,247,879 คน
    นี่คือแรงงานที่สังคมมักมองข้าม แต่แบกรับงานหน้างานจำนวนมาก เช่น
    • ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน
    • พนักงานจ้าง 223,528 คน
    • พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน
    • พนักงานราชการ 179,567 คน
    • พนักงานมหาวิทยาลัย 136,859 คน
    • พนักงานกระทรวงสาธารณสุข 121,285 คน
    • ลูกจ้างประจำ 82,111 คน
    • พนักงานองค์การมหาชน 13,598 คน

หากมองเชิงนโยบาย กลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการเหล่านี้คือแรงงาน “ยืดหยุ่น” ของรัฐ เป็นกำลังที่ถูกจ้างเพิ่มเพื่ออุดช่องว่างของโครงสร้างข้าราชการประจำ โดยเฉพาะในภารกิจบริการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล สาธารณสุขชุมชน งานพัฒนาสังคม และงานปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ซึ่งสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า ระบบราชการไทยยุคใหม่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “ข้าราชการประจำเท่านั้น” อีกต่อไป

ครูมากที่สุด แต่สาธารณสุขคือด่านหน้า

ในจำนวนข้าราชการทั้งหมด กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ “ครูและบุคลากรทางการศึกษา” 444,168 คน ตามมาด้วยพลเรือนสามัญ 414,088 คน และทหาร 368,711 คน

การที่ครูอยู่ในกลุ่มใหญ่ที่สุด ชี้ให้เห็นว่ารัฐไทยยังคงวางน้ำหนักเชิงโครงสร้างไว้ที่ระบบการศึกษาในฐานะบริการสาธารณะพื้นฐานระดับชาติ โรงเรียนยังต้องมีครูประจำการในทุกตำบล เด็กยังต้องเข้าถึงครูประจำชั้นและชั้นเรียนสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่เมื่อลงรายละเอียดเชิง “ทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง” กลับพบภาพอีกแบบหนึ่ง — ภาครัฐกำลังพึ่งพาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งในมิติของการ “บรรจุ” (คือการรับคนเข้าใหม่) และในมิติของ “ตำแหน่งว่างที่ยังหาไม่ได้”

ข้อมูลการบรรจุอัตรากำลังระบุว่า 10 อันดับตำแหน่งงานที่มีการบรรจุมากที่สุดประเภทวิชาการในปีงบประมาณ 2567 ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 4,372 คน
  2. นายแพทย์ 2,194 คน
  3. นักวิชาการสาธารณสุข 1,025 คน
  4. นิติกร 531 คน
  5. นักวิชาการพัฒนาชุมชน 484 คน
  6. นักจัดการงานทั่วไป 474 คน
  7. ทันตแพทย์ 437 คน
  8. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 436 คน
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 428 คน
  10. นักทรัพยากรบุคคล 277 คน

หากพิจารณาเฉพาะ 3 อันดับแรก จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นตำแหน่งด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ซึ่งหมายความว่า “ถ้ารัฐต้องรับคนเข้าระบบวันนี้ รัฐกำลังเลือกบรรจุคนเพื่อรักษาชีวิตประชาชนก่อนเรื่องอื่น”

ในฝั่งตำแหน่งประเภททั่วไป (ไม่ใช่วิชาชีพเฉพาะ) 10 อันดับแรกที่มีการบรรจุมากที่สุด ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 958 คน
  2. เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ 683 คน
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 517 คน
  4. นายช่างโยธา 406 คน
  5. เจ้าพนักงานสรรพากร 388 คน
  6. นายช่างรังวัด 345 คน
  7. เจ้าพนักงานเภสัชกรรม 205 คน
  8. เจ้าพนักงานพัสดุ 134 คน
  9. เจ้าพนักงานสรรพสามิต 132 คน
  10. เจ้าพนักงานขนส่ง 104 คน และนายช่างไฟฟ้า 104 คน

จะเห็นว่าหน่วยงานบริการสาธารณะ “เชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง” ทั้งเรือนจำ การเงินการคลังท้องถิ่น โยธา โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และภาษีท้องถิ่น ยังคงต้องการคนจำนวนมากเช่นกัน

แต่ตำแหน่งว่างก็ยังเป็นกลุ่มเดิม — สาธารณสุขนำโด่ง

เมื่อดู “ตำแหน่งที่ยังว่างและต้องการบรรจุ” หรือพูดง่าย ๆ ว่า งานที่มีคนรออยู่แต่ยังไม่มีคนไปทำ พบว่าเป็นภาพที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน

ประเภทวิชาการที่มีตำแหน่งว่างสูงสุด 10 อันดับ ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 3,439 ตำแหน่ง
  2. นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง
  3. นายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานปกครอง 1,272 ตำแหน่ง
  5. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 1,005 ตำแหน่ง
  6. ทันตแพทย์ 825 ตำแหน่ง
  7. นิติกร 823 ตำแหน่ง
  8. นักจัดการงานทั่วไป 682 ตำแหน่ง
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 740 ตำแหน่ง
  10. นักตรวจสอบภาษี 590 ตำแหน่ง

ส่วนประเภททั่วไป ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 2,011 ตำแหน่ง
  2. เจ้าพนักงานสาธารณสุข 1,753 ตำแหน่ง
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 1,101 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานสรรพากร 522 ตำแหน่ง
  5. เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข 483 ตำแหน่ง
  6. นายช่างโยธา 470 ตำแหน่ง
  7. เจ้าพนักงานพัสดุ 377 ตำแหน่ง
  8. นายช่างสำรวจ 295 ตำแหน่ง
  9. นายช่างไฟฟ้า 289 ตำแหน่ง
  10. นายช่างเครื่องกล 280 ตำแหน่ง

คำถามที่ตามมาคือ ถ้าพยาบาลจำเป็นต่อชีวิตประชาชน ทำไมตำแหน่งว่างของพยาบาลจึงยังสูงขนาดนี้?

สำนักงาน ก.พ. ยังประเมินแนวโน้มในอีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า “พยาบาลวิชาชีพ” เป็นตำแหน่งที่จะเกษียณอายุสูงที่สุด คาดว่ามีมากถึง 23,725 คน ตามด้วย “นักวิชาการสาธารณสุข” 5,589 คน และ “นายแพทย์” 2,368 คน นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่ปัจจุบันที่ขาดคน แต่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจยิ่งขาดหนักกว่าเดิม

ความเป็นจริงนี้ตีคู่กับแรงกดดันภาคสนามที่สะท้อนออกมาชัดที่สุดใน “กระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่สูญเสียกำลังคนสูงสุด ทั้งจากการเกษียณ การลาออก และแม้กระทั่งการเสียชีวิต

แรงกดดันในกระทรวงสาธารณสุข คนออกมากกว่าคนเกษียณ

ข้อมูลปีงบประมาณ 2566 ระบุว่าการสูญเสียกำลังคนของข้าราชการพลเรือนสามัญอยู่ที่ 19,006 คน แบ่งเป็น

  • ลาออก 47.93%
  • เกษียณอายุ 48.66%
  • เสียชีวิต 2.38%
  • ออกด้วยเหตุผิดวินัย 1.04%

เมื่อแยกรายกระทรวง พบความแตกต่างที่น่าจับตา

กระทรวงสาธารณสุขมีข้าราชการเกษียณอายุ 4,237 คน ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทุกกระทรวง และยังมีข้าราชการ “ลาออก” สูงถึง 4,674 คน มากกว่าตัวเลขเกษียณเสียอีก ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงหลักด้านการบริหารพื้นที่ มีข้าราชการเกษียณอายุ 1,094 คน ลาออก 988 คน แต่สะดุดตาตรงตัวเลข “ออกด้วยเหตุผิดวินัย” ที่สูงสุด 49 คน

การที่บุคลากรสาธารณสุขลาออกมากเกษียณ เป็นสัญญาณถึงภาระงาน ความเหนื่อยล้า และปัจจัยความอยู่รอดทางอาชีพในระยะยาว เช่น ความก้าวหน้าในตำแหน่ง ความมั่นคงรายได้ และความสมดุลชีวิต-งาน

นี่ไม่ใช่ตัวเลขเชิงโครงสร้างเฉพาะกรุงเทพฯ แต่กระจายไปถึงจังหวัดชายแดนเช่นเชียงราย ซึ่งต้องรองรับทั้งคนไทย นักท่องเที่ยว และแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ ซึ่งหลายคนไม่มีหลักประกันสุขภาพตามระบบปกติ โรงพยาบาลชายแดนบางแห่งจึงต้องรับภาระต้นทุนการรักษาที่เรียกเก็บไม่ได้ในระดับหลายพันล้านบาทต่อปีในภาพรวม

กล่าวอีกแบบ เราอาศัยระบบสาธารณสุขเป็นด่านหน้า ทั้งด้านสาธารณสุขชุมชน ด้านความมั่นคงชายแดน และด้านมนุษยธรรม แต่คนที่อยู่ด่านหน้ากำลังไหลออกจากระบบ

ข้าราชการกระจุกตัวที่ไหน? ใครดูแลใคร?

เมื่อดูเชิงพื้นที่ สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า ข้าราชการฝ่ายพลเรือนของไทยกระจุกตัวมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 417,445 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด รองลงมาคือ ภาคกลาง 271,603 คน (19.57%) ภาคเหนือ 245,392 คน (17.68%) ภาคใต้ 216,093 คน (15.57%) กรุงเทพมหานคร 177,897 คน (12.82%) และน้อยที่สุดคือภาคตะวันออก 58,518 คน (4.22%)

ตัวเลขนี้สะท้อนสองมิติพร้อมกัน

หนึ่ง ภาครัฐยังวางน้ำหนักด้านกำลังคนไว้กับจังหวัดนอกเมืองหลวงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งรวมถึงจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย นั่นหมายถึง รัฐรู้ว่าการให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน—โรงเรียน อนามัย โรงพยาบาลชุมชน ที่ว่าการอำเภอ—ต้องเข้าถึงได้แม้ในพื้นที่ห่างไกล

สอง จำนวนบุคลากรไม่ได้แปลว่า “มีพอ” เสมอไป เพราะลักษณะพื้นที่ชายแดนมีความซับซ้อนกว่าเชิงจำนวน เช่น เชียงรายอาจไม่ได้มีขนาดประชากรเท่ากรุงเทพฯ แต่มีแรงงานเคลื่อนย้ายข้ามแดนทุกวัน ทั้งแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย แรงงานผ่อนผันสถานะตามนโยบายรัฐ และแรงงานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้ความต้องการบริการรัฐ (ตั้งแต่สาธารณสุขถึงงานทะเบียนราษฎร) สูงกว่าที่ตัวเลขประชากรทางการสะท้อน

ข้อมูลแรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่าจังหวัดมีประชากรรวมประมาณ 1,297,483 คน และมีกำลังแรงงานจำนวนมากถึง 507,372 คนที่จัดอยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ คิดเป็นถึงร้อยละ 86.25 ของผู้มีงานทำทั้งหมด กล่าวคือ ประชากรทำงานส่วนใหญ่ของเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมปกติ ไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่มีสัญญาชัดเจน ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขสวัสดิการตามกฎหมายแรงงาน

ในเวลาเดียวกัน เชียงรายยังพึ่งพาแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมายมากถึง 36,568 คน (ปี 2567) โดยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นกำลังหลักในภาคการผลิต การก่อสร้าง การค้าชายแดน และบริการพื้นฐาน เช่น ร้านอาหาร โรงแรม งานยกของ งานขนส่ง

คำถามเชิงนโยบายจึงเกิดขึ้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “ใครคือคนที่ระบบราชการต้องดูแลจริง ๆ”
คือเฉพาะคนสัญชาติไทยเท่านั้นหรือ?
หรือรวมแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานเลี้ยงเศรษฐกิจจังหวัดชายแดน?
หรือรวมครอบครัวของแรงงานที่พาลูกหลานเข้ามาด้วยแต่ไม่มีสิทธิในระบบสวัสดิการสาธารณะ?

ทุกคำถามนี้ สุดท้ายตกไปที่กลุ่มวิชาชีพสาธารณสุขหน้าเส้นชายแดน

เชียงราย เขตเศรษฐกิจพิเศษแรงงาน แต่แรงงานไทยย้ายออกไปทำงานต่างประเทศ

ในภาพรวมโครงสร้างตลาดแรงงานเชียงราย ปี 2567-2568 พบความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างรุนแรง (structural imbalance) กล่าวคือ ความต้องการแรงงาน (ตำแหน่งงานว่างที่ประกาศอย่างเป็นทางการ) มีมากถึง 12,254 อัตราในรอบปี แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คนเท่านั้น ช่องว่างมากกว่า 10 เท่าเช่นนี้บ่งชี้ว่า ปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” แต่คือ “ไม่มีคนไทยยอมเข้าไปทำงานในเงื่อนไขที่เสนอ”

จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาคธุรกิจในเชียงราย ทั้งโลจิสติกส์ การค้าชายแดน การบริการยานยนต์ การพาณิชย์ปลีก ไปจนถึงบริการสินเชื่อและการเร่งรัดหนี้สิน ต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติเข้ามาเติมเต็มตำแหน่งในระดับปฏิบัติการ ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพชายแดน—ทั้งของรัฐและเอกชน—ก็รับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อพบว่า ในปี 2567 มีแรงงานไทยในเชียงรายไม่น้อยกว่า 2,085 คน ยื่นคำขอไปทำงานต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้างและงานในครัวเรือนในต่างประเทศ ปรากฏการณ์นี้อธิบายได้ด้วยคำว่า “การอพยพทางรายได้” (income migration) เมื่อค่าจ้างในพื้นที่ชายแดนไม่สามารถแข่งขันกับค่าจ้างในต่างประเทศ คนวัยทำงานในพื้นที่จึงเลือกเดินออก

ผลลัพธ์คืออะไร?

  1. ธุรกิจท้องถิ่นขาดแรงงานไทย
  2. ต้องหันไปจ้างแรงงานข้ามชาติ
  3. ความรู้สึกของชุมชนบางส่วนคือ “ต่างด้าวมาแย่งงาน”
  4. ภาครัฐถูกกดดันให้เข้มงวดการตรวจคนต่างด้าวและอาชีพต้องห้าม
  5. แต่ในอีกมุมหนึ่ง รัฐก็ผ่อนผันให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อ

นี่คือความย้อนแย้งเชิงนโยบายที่เชียงรายกำลังเผชิญอยู่ทุกวัน

ความกดดันนโยบาย ควบคุม หรือผ่อนผัน?

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ดำเนินการสองทางพร้อมกันในช่วงปีงบประมาณล่าสุด

ด้านหนึ่ง กระทรวงแรงงานและหน่วยงานความมั่นคงชายแดนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว โดยย้ำการบังคับใช้ 40 อาชีพต้องห้ามของคนต่างด้าว และเตือนโทษทั้งจำทั้งปรับสำหรับทั้งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตและนายจ้างที่รับเข้าทำงานโดยฝ่าฝืน เพื่อปกป้องอาชีพที่สงวนไว้ให้คนไทยและลดความตึงเครียดทางสังคม

แต่อีกด้านหนึ่ง คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เปิดทางให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่ยังไม่มีเอกสารถูกต้อง เพื่อให้แรงงานเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสุขภาพ เก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกซ์) และรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราว 1 ปีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

กล่าวอีกมุม มตินี้สะท้อนการปรับท่าทีของรัฐจาก “การจัดการความมั่นคงสังคมด้วยการกวาดล้าง” ไปสู่ “การจัดการความมั่นคงเศรษฐกิจด้วยการทำให้แรงงานอยู่บนโต๊ะกฎหมาย”

นี่คือสัญญาณเชิงนโยบายที่สำคัญ เพราะยอมรับกลาย ๆ ว่า เศรษฐกิจชายแดนไทย โดยเฉพาะจังหวัดอย่างเชียงราย ไม่สามารถเดินต่อได้โดยไม่มีแรงงานข้ามชาติ

แล้วทั้งหมดนี้เชื่อมกับโครงสร้างข้าราชการอย่างไร?

คำตอบอยู่ที่ “ความสามารถของภาครัฐในการรองรับความเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร”

หนึ่ง ภาครัฐกำลังจะเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมากภายใน 10 ปี โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข ขณะเดียวกันความต้องการใช้บริการสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน กลับไม่ลดลง ตรงกันข้าม มีแต่จะเพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติและการสูงวัยของคนไทยเอง

สอง แรงงานในระบบราชการใหม่ อายุแรกบรรจุไม่ได้เริ่ม “หนุ่มสาวเสมอไป” เพราะข้อมูลระบุว่า อายุแรกบรรจุเฉลี่ยของข้าราชการในหลายกระทรวงอยู่ช่วงประมาณ 28-35 ปี เช่น กระทรวงการต่างประเทศเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงสาธารณสุขเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงยุติธรรมเฉลี่ย 35 ปี และมีกรณีแรกบรรจุที่อายุมากสุดถึง 59 ปีในบางหน่วยงาน นี่แปลว่า ภาครัฐกำลังดึงทั้งคนรุ่นใหม่และคนวัยกลางคนเข้าสู่ระบบ พร้อมกัน เพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

สาม ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปถึงร้อยละ 60.52 และระดับปริญญาโทอีก 21.75% แต่แรงงานที่จะรองรับเศรษฐกิจชายแดนระดับปฏิบัติการจำนวนมากในเชียงรายกลับเป็นแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งไม่มีหลักฐานการศึกษาในระบบไทย ทำให้ “ทักษะ” และ “วุฒิการศึกษา” ที่รัฐพยายามพัฒนา อาจยังไม่เชื่อมกับความต้องการแรงงานเชิงพื้นที่

นี่คือโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ จะทำอย่างไรให้โครงสร้างกำลังคนภาครัฐขนาด 3 ล้านคน (ส่วนใหญ่ถือปริญญาตรีขึ้นไป) ช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจที่พึ่งแรงงานระดับปฏิบัติการซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบและต่างด้าว โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่สร้างความตึงเครียดในชุมชน?

ทางไปข้างหน้า โครงสร้างกำลังคนภาครัฐต้องปรับอย่างไร

จากข้อมูลเชิงโครงสร้างทั้งหมด หน่วยงานด้านแรงงานและภาครัฐในพื้นที่เสนอแนวทางหลัก 3 ด้านซึ่งสะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายในระดับจังหวัดและระดับประเทศ คือ

  1. เร่งพัฒนาทักษะที่การันตีการจ้างงานทันที
    โมเดลฝึกอบรมเชิงรุก เช่น หลักสูตรขับรถลากจูง (โดยเฉพาะการขนส่งวัตถุอันตราย) หรือหลักสูตรควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสน พบว่าสามารถจัดหางานให้ผู้ผ่านการอบรมได้เต็ม 100% ทันทีหลังจบหลักสูตร สะท้อนว่าหากรัฐ-เอกชนร่วมกันออกแบบทักษะให้ตรงกับซัพพลายเชนชายแดนจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำว่า “ยกระดับฝีมือแรงงาน” บนกระดาษ โอกาสการจ้างงานในพื้นที่ยังมีอยู่มาก
  2. พัฒนาทักษะภาษา-บริการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์
    ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มโฮมสเตย์ ไร่กาแฟ ไร่ชา และท่องเที่ยวชุมชนในอำเภอแม่จัน แม่สาย แม่สรวย ระบุว่าปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีนักท่องเที่ยว” แต่คือ “สื่อสารกับนักท่องเที่ยวไม่ได้” ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการขายเรื่องราว วัฒนธรรม วิถีเกษตรคุณภาพสูง และสินค้าแปรรูป มหาวิทยาลัยในพื้นที่จึงเริ่มจัดคอร์สภาษาอังกฤษเชิงปฏิบัติ (functional English) แบบเข้มข้นเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน เช่น อธิบายวิธีชงชา วิธีคั่วกาแฟ ความหมายของพันธุ์กาแฟท้องถิ่น ฯลฯ นี่ไม่ใช่แค่การสอนภาษา แต่คือการยกระดับอำนาจต่อรองรายได้ของชุมชน
  3. จัดการแรงงานข้ามชาติด้วยหลักความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก
    เส้นแบ่งระหว่าง “แรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ” กับ “แรงงานต่างด้าวที่ถูกมองว่าแย่งอาชีพคนไทย” กำลังบางลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน รัฐจึงเริ่มขยับจากการมองแรงงานข้ามชาติเป็นเพียง “ปัญหาความมั่นคง” มาสู่การมองว่าเป็น “ทุนมนุษย์ชั่วคราวที่ควรอยู่ในระบบภาษีและระบบสวัสดิการขั้นต่ำ” เพื่อควบคุม ติดตาม และวางแผนร่วมกันในระยะยาว การผ่อนผันให้ขึ้นทะเบียนแรงงานไม่มีสถานะถูกกฎหมายจึงต้องถูกมองว่าเป็นการวางโครงสร้างกำกับ ไม่ใช่การปล่อยเสรี

โครงสร้างกำลังคนภาครัฐไทยในปัจจุบันคือโครงสร้างที่กำลังถูกท้าทายจากหลายทิศทางพร้อมกัน

  • ระบบการศึกษายังต้องใช้ “ครู” จำนวนมากที่สุดในประเทศ เพื่อประคองสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคน
  • ระบบสาธารณสุขกำลังเป็นเสาหลักทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุขชุมชน และความมั่นคงชายแดน แต่กลับเป็นวิชาชีพที่ทั้งถูกบรรจุมากที่สุด ขาดแคลนมากที่สุด และกำลังจะเกษียณมากที่สุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
  • จังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นด่านหน้าทั้งเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยว และการเคลื่อนย้ายแรงงาน กำลังเผชิญช่องว่างเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ตำแหน่งงานว่างนับหมื่น แต่คนไทยสมัครเพียงหลักพัน ขณะที่แรงงานต่างด้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ภายใต้สายตาจับตามองของชุมชนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ
  • ในอีกฟากหนึ่ง ข้าราชการและบุคลากรของรัฐเองก็เผชิญภาระงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในสาธารณสุขและงานบริการเชิงพื้นฐาน และบางส่วนเลือก “ลาออกก่อนเกษียณ” ซึ่งสะท้อนความเหนื่อยล้าและปัญหาเชิงแรงจูงใจในอาชีพ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นคำถามเชิงอนาคตของประเทศว่า “เราจะมีใครยืนอยู่ด่านหน้าดูแลสังคมไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า” โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงราย

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนคนในระบบ แต่คือการบริหาร “คุณภาพงาน-คุณภาพชีวิต-คุณภาพบริการ” ไปพร้อมกัน เพื่อให้กำลังคนภาครัฐ 3 ล้านคนที่เหลืออยู่ สามารถแบกภารกิจของประเทศต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวไทยพับลิก้า
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย / กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เชียงรายสะเทือน! กกจ. สั่งตรวจเข้มปราบ ‘นอมินีต่างชาติ’ และแรงงานเถื่อนทั่วประเทศ

จับตาปราบแรงงานเถื่อนและ “นอมินีต่างชาติ” หลังกรมการจัดหางานสั่งตรวจเข้มทั่วประเทศ ปมแรงงานชายแดน-อาชีพต้องห้าม ปะทุสู่นโยบายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

เชียงราย, 28 ตุลาคม 2568 – เชียงรายกำลัง “หนาวเพิ่ม” ไม่ใช่เพียงเพราะอากาศปลายฝนต้นหนาวเหนือสุดแดนสยาม แต่เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากนโยบายแรงงานฉบับเข้มงวดที่เริ่มเดินเครื่องจริงจังในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 เมื่อกรมการจัดหางาน (กกจ.) ภายใต้กระทรวงแรงงาน ประกาศปฏิบัติการเชิงรุก ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ คุมเข้มการทำงานที่เข้าข่าย “แย่งอาชีพคนไทย” รวมถึงตรวจสอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” คือธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อคนไทยบังหน้า แต่ให้ต่างชาติดำเนินกิจการแท้จริง

นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจหนังสืออนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่เป็นการ “บูรณาการตรวจเข้ม” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวเชิงนานาชาติอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา เกาะสมุย รวมถึงพื้นที่ที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมากและมีพรมแดนเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จังหวัดเชียงราย

“ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ” อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำ พร้อมระบุว่าการเคลื่อนกำลังตรวจในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสองประการ คือ

  1. ป้องกันการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงาน
  2. ป้องกันกรณีต่างชาติลงมือทำงานเองในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ร้านตัดผม หรือบริการเช่ารถในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งถูกมองว่าเป็น “การตัดโอกาสคนไทยโดยตรง” ในสายตาของภาครัฐ

เชียงราย เมืองชายแดนกับแรงงานต่างด้าว 36,568 คนในระบบ

หากมองจากมุมพื้นที่ จังหวัดเชียงรายถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ในประเด็นแรงงานต่างด้าว เพราะเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนทางบกทั้งกับ สปป.ลาว ทางอำเภอเชียงของ และกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทางอำเภอแม่สายและอำเภอแม่จัน ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามแดนเกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราวแบบไป-กลับรายวัน ไปจนถึงการเข้ามาตั้งหลักในอาชีพบริการ พาณิชย์ และก่อสร้าง

จากเอกสารรายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า เชียงรายมีแรงงานต่างด้าว “ที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมาย” ทั้งหมด 36,568 คน ในปี 2567 ซึ่งนับรวมคนต่างด้าวหลายสถานะตามกฎหมายคนต่างด้าวไทย เช่น คนต่างด้าวมาตรา 59 (แรงงานฝีมือ/แรงงาน MOU), มาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อยหรือคนไม่มีสถานะทางทะเบียน), มาตรา 63/2 (กลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้ทำงานภายใต้หลักเกณฑ์เฉพาะ) ตลอดจนแรงงานข้ามแดนแบบไป-กลับบริเวณชายแดนตามฤดูกาลตามมาตรา 64

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานต่างด้าวไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการจ้างงานของจังหวัดในระดับ “เป็นรูปธรรม” แล้ว

หากลงรายละเอียดตามกฎหมายแรงงานคนต่างด้าว พบข้อมูลสำคัญดังนี้

  • แรงงานต่างด้าวตามมาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อย ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ผู้ที่ไม่ได้รับสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว) มีจำนวนมากถึง 16,999 คน ในเชียงรายปี 2567
  • กลุ่มที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 63/2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษ เช่น ตามมติ ครม. วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มีจำนวนรวม 17,349 คน
  • แม้ในมุมมองสาธารณะ เรามักนึกถึงแรงงานเมียนมาในฐานะแรงหลักของการทำงานข้ามแดนบริเวณด่านแม่สาย แต่รายงานระบุว่า กลุ่มแรงงานเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานแบบไป-กลับตามฤดูกาล (มาตรา 64) ในพื้นที่ชายแดนเชียงราย อำเภอแม่สาย แม่จัน และอำเภอเมืองเชียงราย มีจำนวนอย่างเป็นทางการเพียง 29 คนในปีล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานแบบ “ข้ามฝั่งเช้า-กลับเย็น” ที่ชาวบ้านมักพูดถึงนั้น ในทางเอกสารอาจยังเข้าไม่ถึงการขึ้นทะเบียนหรือการอนุญาตเต็มรูปแบบ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดที่คนทำงานภาคสนามในเชียงรายตั้งข้อสังเกตมานานว่า “มีแรงงานมากกว่าที่ตัวเลขบอกไว้” และช่องว่างดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกว่า “แรงงานเถื่อนกำลังแย่งงานคนในจังหวัด”

เมื่อ “แรงงานเถื่อน” ถูกมองว่าแย่งงาน – แต่ตัวเลขแรงงานไทยบอกอีกเรื่อง

ความตึงเครียดทางสังคมที่กำลังคุกรุ่นในเชียงราย มีอยู่สองด้านที่ต้องมองคู่กัน

ด้านแรก คือเสียงสะท้อนในพื้นที่ว่าตลาดแรงงานท้องถิ่นบางส่วนถูก “กดค่าแรง” จากแรงงานที่ไม่มีเอกสารหรือไม่มีใบอนุญาตทำงาน บางคนเข้ามาทำงานในอาชีพบริการที่ปกติควรเป็นพื้นที่หาเลี้ยงชีพของคนในจังหวัด เช่น งานค้าปลีกย่อยหน้าร้าน งานเช่ารถท่องเที่ยว งานตัดผม หรืองานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น

อาชีพเหล่านี้ไม่ใช่อาชีพรองในมุมเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่คืออาชีพตั้งต้นของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดหน้าด่านที่รายได้ท้องถิ่นพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติและคนเดินทางข้ามแดน

ด้านที่สอง คือข้อมูลทางเศรษฐกิจแรงงานของจังหวัดที่สะท้อนภาพอีกด้าน ซึ่งอาจจะไม่ถูกพูดในวงสนทนาเท่าไรนัก

  • ปี 2567 เชียงรายมีตำแหน่งงานว่าง 12,254 อัตรา
  • มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานอย่างเป็นทางการตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คน
  • มีผู้มารับบริการจัดหางาน 3,498 คน
  • และมีการบรรจุงานสำเร็จ 2,375 คน.

ตัวเลขนี้ตีความได้ว่า ธุรกิจในพื้นที่ยัง “ต้องการคนทำงาน” อยู่มาก โดยเฉพาะแรงงานระดับปฏิบัติการและแรงงานบริการพื้นฐาน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การก่อสร้าง การผลิต การขนส่ง หรือการค้าปลีก – ซึ่งล้วนเป็นงานที่เชียงรายพึ่งพาทั้งแรงงานท้องถิ่น แรงงานข้ามชาติในระบบ และแรงงานนอกระบบ

อีกจุดที่น่าสนใจคือ จังหวัดเชียงรายมีแรงงานนอกระบบมากถึง 507,372 คน หรือคิดเป็น 86.25% ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดในจังหวัดในปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานภาคเกษตรกรรมและงานบริการพื้นฐาน นี่หมายความว่า โครงสร้างแรงงานในเชียงราย “อยู่ในเงา” เป็นจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยเองหรือแรงงานต่างด้าว

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “ต่างด้าวมาแย่งงานหรือไม่” แต่คือ “พื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายกำลังอยู่ในระบบจ้างงานที่พรมระหว่างถูกกฎหมาย–ผิดกฎหมายพร่าเลือนเกินไปหรือไม่” และ “ใครคือผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากช่องว่างนี้ – นายจ้าง? ผู้รับงานช่วง? หรือแรงงานเถื่อนเอง?”

“40 อาชีพต้องห้าม” และโทษทั้งจำทั้งปรับ สัญญาณเข้มจากรัฐ

ท่ามกลางความกังวลจากคนในพื้นที่ กระทรวงแรงงานยืนยันชัดเจนว่า ประเทศไทยยังมี “เส้นชัด” ในเรื่องอาชีพที่คนต่างด้าวห้ามทำ โดยประกาศกระทรวงแรงงานกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำไว้ทั้งสิ้น 40 งาน ครอบคลุมตั้งแต่งานตัดผม/เสริมสวย งานขายของหน้าร้าน งานมัคคุเทศก์/จัดนำเที่ยว งานบริการนำรถท่องเที่ยว ไปจนถึงงานขายทอดตลาดและงานเจียระไนเพชรพลอย

การทำงานในอาชีพเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยฝ่าฝืนข้อจำกัดของกฎหมาย มีบทลงโทษชัดเจนทั้งสำหรับแรงงานต่างชาติและนายจ้าง ดังนี้

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท จากนั้นจะถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานเกินสิทธิ จะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท “ต่อคนต่างด้าว 1 คน” ที่จ้าง หากทำผิดซ้ำ โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 50,000 – 200,000 บาทต่อหัว พร้อมทั้งถูกห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

ภาษาง่าย ๆ คือ รัฐไทยกำลังส่งสัญญาณว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “แรงงานต่างด้าวรายคน” อย่างเดียว แต่อยู่ที่ “โครงสร้างการจ้าง” ซึ่งรวมถึงนายจ้างไทยที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย และธุรกิจที่อาจเป็นนอมินีต่างชาติ

เชียงรายในสมการระดับประเทศ ชายแดน ช่องโหว่?

แม้คำสั่งตรวจเข้มของกรมการจัดหางานจะถูกสื่อสารในเชิงปกป้องอาชีพของคนไทย แต่ในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย มีอีกมุมหนึ่งที่ต้องพิจารณา

ข้อมูลของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายชี้ว่า คนเชียงรายจำนวนมากยังคงออกไปหางานต่างประเทศ โดยปี 2567 มีแรงงานไทยในจังหวัดยื่นขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,085 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้าง งานใช้แรงในระบบบริการ หรือแรงงานรับใช้ในครัวเรือน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานในพื้นที่ยังไม่ตอบโจทย์รายได้ที่เพียงพอสำหรับคนบางกลุ่ม

ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่ความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง

  • คนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งออกไปขายแรงงานต่างประเทศ
  • ธุรกิจในเชียงรายยังต้องการแรงงานระดับปฏิบัติการจำนวนมาก
  • นายจ้างในพื้นที่จึงหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น

ในรายงานของจังหวัดระบุชัดว่า “หากแรงงานเหล่านี้ออกไปทำงานต่างประเทศ ทำให้ในจังหวัดเชียงรายขาดแคลนแรงงานตามมา ส่งผลให้นายจ้าง/สถานประกอบการหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น.”

กล่าวอีกแบบ ระบบแรงงานชายแดนกำลังหมุนโดยพึ่งพากันและกัน คือเศรษฐกิจท้องถิ่นยังเดินต่อได้เพราะมีแรงงานข้ามชาติที่ยอมรับค่าแรงและเงื่อนไขงานบางรูปแบบ ขณะเดียวกัน คนเชียงรายบางส่วนย้ายออกไปทำงานต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับบ้าน

ประเด็นนี้ทำให้การ “ปราบต่างด้าวผิดกฎหมาย” ไม่ใช่ภารกิจง่าย ๆ ทางอารมณ์สาธารณะ เพราะถ้าคุมเข้มจนแรงงานขาด นายจ้างท้องถิ่นอาจเผชิญภาวะคนไม่พอทำงาน ในภาคเกษตร ภาคบริการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้าง และโรงงานผลิต ซึ่งล้วนเป็นหมุดเศรษฐกิจหลักของจังหวัดเชียงราย

ทำไม “นอมินี” จึงกลายเป็นคำร้อน

ในคำสั่งปฏิบัติการรอบนี้ คำว่า “นอมินี” ถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “แย่งอาชีพคนไทย” อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่า ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ที่แรงงานรายวัน แต่โยงไปถึงโครงสร้างธุรกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ข้อมูลจากกรมการจัดหางานระบุกรณีตัวอย่างที่ถูกตรวจสอบในหลายจังหวัด

  • ธุรกิจให้เช่ารถและมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว
  • ธุรกิจบริการนำเที่ยว
  • ร้านตัดผม/เสริมสวย
    ทั้งหมดเป็นประเภทกิจการที่มีการร้องเรียนว่า มีต่างชาติเป็นผู้ให้บริการหลักจริงในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ แต่ใช้ชื่อคนไทยในการจดทะเบียนหรือถือหุ้น เพื่ออาศัยช่องว่างทางกฎหมาย

ในมุมเชียงราย ประเด็นนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับเศรษฐกิจชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย (ด่านเมียนมา) และอำเภอเชียงของ (ด่านเชื่อม สปป.ลาว ไปสู่เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำ) ที่พึ่งพารายจ่ายของนักท่องเที่ยว นักเดินทาง และผู้ข้ามแดนเพื่อจับจ่ายสินค้า การบริการท่องเที่ยวโดยมัคคุเทศก์ และการเดินทางเช่ารถข้ามเมือง

กระทรวงแรงงานย้ำชัดว่า อาชีพมัคคุเทศก์และจัดนำเที่ยวเป็น “อาชีพสงวนเฉพาะคนไทยเท่านั้น” การว่าจ้างไกด์ต่างชาติถือว่าผิดกฎหมาย และยังถูกมองว่าเป็นการแย่งรายได้ของแรงงานท้องถิ่นในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

จุดนี้เองที่ทำให้เรื่องแรงงานต่างด้าวในเชียงราย ไม่ได้ถูกพูดถึงแค่ในมิติ “แรงงานในโรงงาน” อีกต่อไป แต่ขยับเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงบริการ ซึ่งเป็นรายได้โดยตรงของคนเชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนวัยทำงานอายุ 18–39 ปี ที่เป็นช่วงอายุซึ่งตลาดแรงงานเชียงรายต้องการสูงที่สุด (สะท้อนจากตำแหน่งงานว่าง 3,328 อัตราในกลุ่มอายุ 25–29 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 27.16 ของตำแหน่งงานว่างทั้งหมดในปี 2567)

ความหมายต่อประชาชนเชียงราย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องจับ-ปรับ

เมื่อมองไปข้างหน้า ประเด็นไม่ได้จบที่การ “กวาดล้าง” หรือ “ปราบปราม” เพียงอย่างเดียว แม้บทลงโทษจะถูกยกระดับให้หนักทั้งจำทั้งปรับ ทั้งแรงงานต่างชาติและนายจ้างก็ตาม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยังต้องเผชิญโจทย์ 3 ชั้นพร้อมกันคือ

  1. จะรักษาพื้นที่ทำกินของแรงงานท้องถิ่น โดยเฉพาะอาชีพบริการระดับต้น ที่คนในพื้นที่ตั้งใจยึดเป็นอาชีพหลักได้อย่างไร
  2. จะป้องกันการเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยต่างชาติในลักษณะนอมินี ซึ่งอาจทำให้เงินไหลออกนอกชุมชน แต่ทำโดยใช้โครงสร้างทางกฎหมายไทยเป็นฉากหน้า ได้อย่างไร
  3. จะดูแลแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเชียงราย – ทั้งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายกว่า 36,000 คน และที่ยังอยู่นอกระบบ – ให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้ (ทั้งด้านแรงงาน มาตรฐานความปลอดภัย ค่าจ้างที่เป็นธรรม) โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดสะดุดอย่างฉับพลัน ได้อย่างไร

ความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเศรษฐกิจเชียงรายยังพึ่งพาการค้าชายแดน ภาคบริการท่องเที่ยว โรงแรม-อาหาร การก่อสร้าง และภาคการผลิต ซึ่งในปี 2565–2567 ยังเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของจีดีพีจังหวัด โดยเฉพาะภาคการขายส่ง-ขายปลีก การก่อสร้าง และกิจกรรมโรงแรมและอาหารที่จ้างงานรวมกันหลายหมื่นตำแหน่ง

กล่าวอีกแบบ การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าววันนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “คนต่างด้าว” แต่คือเรื่องอนาคตของเศรษฐกิจเชียงรายในระยะกลางด้วย

สายด่วนแจ้งเบาะแส สัญญาณว่ารัฐเปิดช่องให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ

กรมการจัดหางานได้เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแส หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย หรือธุรกิจที่สงสัยว่าเป็นนอมินี โดยสามารถโทรแจ้งได้ที่

  • กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2354-1729
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 1–10
  • หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน.

ช่องทางดังกล่าวสะท้อนว่า ภาครัฐกำลังย้ายบางส่วนของภารกิจตรวจสอบมาสู่ระดับชุมชน เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ – โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานท้องถิ่น – เป็น “หูเป็นตา” ให้หน่วยงานรัฐในการระบุจุดร้อน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านนโยบายแรงงานเตือนว่า การใช้กลไกแจ้งเบาะแสต้องเดินคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ไม่เช่นนั้น ความไม่พอใจเชิงเศรษฐกิจอาจถูกแปรเป็นแรงกดดันทางชาติพันธุ์หรือการเหมารวมทางสัญชาติ ซึ่งจะยิ่งทำให้การจัดระเบียบแรงงานในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น

ปราบปรามอย่างเดียวไม่พอ ต้องจัดการ “สมการแรงงานชายแดน” ให้สมดุล

เมื่อมองภาพรวม เชียงรายกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนด้านแรงงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด

ในเชิงตัวเลข จังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนทำงานตามกฎหมายกว่า 36,000 คน ครอบคลุมทั้งคนต่างด้าวตาม MOU แรงงานกลุ่มชนเผ่าพื้นที่สูงที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว แรงงานที่ได้รับผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี และแรงงานชายแดนที่เข้า-ออกตามฤดูกาล พร้อมกันนั้น คนเชียงรายเองจำนวนไม่น้อยกำลังเดินออกนอกประเทศเพื่อไปทำงานต่างแดน เพราะมองว่าค่าตอบแทนที่อื่นยังดีกว่า นำไปสู่ภาวะขาดแรงงานท้องถิ่นในบางอุตสาหกรรม และการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ยิ่งสูงขึ้น

ในเชิงนโยบาย ส่วนกลางกำลังส่งสัญญาณชัด จะไม่ยอมให้ต่างชาติ “แย่งอาชีพสงวนของคนไทย” โดยเฉพาะในภาคบริการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงอาชีพมัคคุเทศก์ ร้านตัดผม ร้านเช่ารถนำเที่ยว ธุรกิจทัวร์รายย่อย และบริการเชิงพื้นที่ที่กระทบรายได้คนในจังหวัดโดยตรง การฝ่าฝืนเจอโทษทั้งจำทั้งปรับทั้งตัวแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง/ผู้ประกอบการไทยที่สนับสนุน

แต่ในทางปฏิบัติ เขตแดนแรงงานในเชียงรายไม่ใช่เส้นตรง ระหว่าง “ไทย” กับ “ต่างชาติ” เท่านั้น หากแต่เป็นสามเหลี่ยมระหว่าง
(1) ความอยู่รอดของแรงงานท้องถิ่น
(2) ความต้องการแรงงานราคาย่อมเยาและต่อเนื่องของผู้ประกอบการ
(3) การควบคุมแรงงานข้ามชาติให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้จริง

ความท้าทายจึงอยู่ที่การทำให้ทั้งสามมุมนี้อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ผลักให้แรงงานจำนวนมาก (ทั้งไทยและต่างด้าว) หล่นกลับไปอยู่ในเงามืดของเศรษฐกิจนอกระบบ ที่ไม่มีหลักประกัน ไม่มีสิทธิพื้นฐาน และไม่มีเสียงในโต๊ะนโยบาย

หรือพูดให้ชัด – การตรวจจับและลงโทษคือเพียง “ขั้นแรก” แต่การออกแบบระบบแรงงานชายแดนที่ยุติธรรมสำหรับทั้งคนในพื้นที่และคนที่เข้ามาหาโอกาสในประเทศไทย จะเป็นบทพิสูจน์จริงของเชียงรายในปีต่อจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หลักฐานจากแม่น้ำ! “เอี่ยนหู” โผล่เชียงของหลังหาย 20 ปี ตอกย้ำวิกฤตเขื่อน-การบริหารน้ำโขง

เชียงราย “เอี่ยนหู” กลับมาหลังหายไป 20 ปี – ปลาตูหนาหนัก 2.2 กิโลกรัมโผล่เชียงของ จุดประกายคำถามใหญ่ต่ออนาคตแม่น้ำโขง และแรงกดดันเขื่อนพลังน้ำ

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ปลาที่ไม่มีใครคิดว่าจะเห็นอีก การจับปลาตูหนา (Anguilla bicolor) หรือ “เอี่ยนหู” ได้จากแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาดของชาวประมงพื้นบ้าน แต่กำลังกลายเป็นหลักฐานเชิงนิเวศที่ตั้งคำถามกลับไปยังระบบบริหารจัดการแม่น้ำโขงทั้งสาย ว่าการสร้างเขื่อน การควบคุมระดับน้ำ และการใช้ประโยชน์ทางการค้าในปลายน้ำ กำลังผลักสัตว์น้ำอพยพระยะไกลให้ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” ในตอนบนของลุ่มน้ำโขงหรือไม่ ขณะที่เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงปลายพฤศจิกายนนี้ ชาวบ้านตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ต่างรุมดู “ปลาแปลก” ที่ชาวประมงพื้นบ้านจับได้บริเวณหาดแฮ่ จุดหาปลาริมชายแดนไทย–ลาว ปลาตัวนั้นไม่ใช่ปลาบึก ไม่ใช่ปลากระเบนยักษ์ แต่เป็นปลาไหลรูปร่างอวบป้อม ผิวสีน้ำตาลอ่อน ครีบออกสีคล้ำ ท้องสีขาว น้ำหนักกว่า 2.2 กิโลกรัม “เอี่ยนหู” คนเฒ่าเรียกแบบนั้น

 

ชื่อในภาษาวิชาการคือ “ปลาตูหนา” หรือ Anguilla bicolor ปลาสองน้ำที่ขึ้นชื่อว่าหายากที่สุดชนิดหนึ่งของแม่น้ำโขงตอนบน และแทบไม่มีใครในพื้นที่ได้เห็นของจริงมานานเกือบสองทศวรรษ

“ในรอบ 20 ปี ไม่มีใครเจอของจริงแถวนี้แล้ว” หนึ่งในคนหาปลาท้องถิ่นเล่ายืนยันพร้อมน้ำเสียงครึ่งตื่นเต้นครึ่งเกรงใจธรรมชาติ เพราะในความเชื่อท้องถิ่น ปลาตูหนาเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพญานาค บางคนไม่กล้ากิน ไม่กล้าเก็บ และมีธรรมเนียม “ต้องปล่อย” ด้วยซ้ำ ด้านหนึ่ง นี่คือเรื่องเล่าในชุมชนริมโขงอีกด้านหนึ่ง นักอนุรักษ์และนักวิจัยสิ่งแวดล้อมบอกว่า “นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดในรอบหลายปี”

ปลาตูหนา สัตว์ดัชนีของแม่น้ำที่ยังเชื่อมถึงทะเล

ปลาตูหนาไม่ใช่ปลาธรรมดาในเชิงนิเวศ เพราะมันเป็น “ปลาสองน้ำ” (catadromous / diadromous) ที่มีวงจรชีวิตซับซ้อนกว่าปลาแม่น้ำทั่วไป

  • วางไข่ในทะเลหรือน้ำเค็ม
  • เมื่อตัวอ่อนฟัก (ระยะ glass eel) จะอพยพทวนน้ำขึ้นแม่น้ำจืด ใช้ชีวิตเติบโตหลายปีในแหล่งน้ำลึก วังน้ำ พื้นก้นแม่น้ำ
  • เมื่อถึงวัยสืบพันธุ์ (yellow eel / silver eel) จึงจะอพยพกลับลงสู่ทะเลอีกครั้ง เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่

กล่าวง่าย ๆ ปลาตูหนาต้องการ “แม่น้ำที่ไม่ถูกตัดขาดจากทะเล” จึงจะมีชีวิตครบวงจรได้ เพราะฉะนั้น การที่ยังพบปลาตูหนาขนาดกว่า 2 กิโลกรัมในเชียงของ ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ใกล้ทะเลหลายพันกิโลเมตร แปลความได้สองทางที่ขัดแย้งกันเองอย่างน่าคิด ระบบนิเวศแม่น้ำโขงยังไม่ตายสนิท ยังเหลือช่องทางการอพยพให้สัตว์น้ำระยะไกลเล็ดรอดขึ้นมาได้ หากนี่เป็นเพียงตัวที่รอดขึ้นมาจากระบบที่กำลังแตกสลาย นี่อาจเป็น “รุ่นสุดท้าย” มากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวจริง

 

ข้อมูลจากบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List, สถานะล่าสุดเมื่อปี 2019) ระบุให้ Anguilla bicolor อยู่ในกลุ่ม “ใกล้ถูกคุกคาม” (Near Threatened) ระดับโลก หมายถึงยังไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในเชิงสถิติทั่วโลก แต่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชุมชนเตือนว่า การมองเฉพาะสถานะระดับโลกอาจทำให้เข้าใจผิด เพราะในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะแม่น้ำโขงตอนบนบริเวณเชียงราย สถานการณ์อาจอยู่ในระดับ “เกือบสูญพันธุ์ในพื้นที่” ไปแล้ว หรืออย่างน้อยก็ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” กล่าวคือ ถึงแม้สายพันธุ์ยังมีอยู่บนโลก แต่ระบบนิเวศท้องถิ่นนั้นไม่ทำหน้าที่รองรับสายพันธุ์นั้นได้อีกต่อไป

 

“ปลาตูหนาคือบททดสอบว่าแม่น้ำโขงยังเป็นแม่น้ำเดียวกันหรือไม่” นักอนุรักษ์ท้องถิ่นจากเครือข่ายลุ่มน้ำโขงตอนบนให้ความเห็น

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จาก 4 ตัวสุดท้าย (2546–2547) ถึงการหายสาบสูญ

ข้อมูลภาคสนามเชิงระบบครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายในพื้นที่เชียงของ–เวียงแก่น เกิดขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2546 ถึงมิถุนายน 2547 เป็นงานวิจัยไทบ้านซึ่งอาศัยการเฝ้าสังเกตของชาวประมงพื้นบ้านร่วมกับภาคประชาสังคม ที่ต่อมาถูกนำเสนอโดยกลุ่มและเครือข่ายอย่างสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

ตัวเลขที่ได้ในเวลานั้นคือ “4 ตัว” — จำนวนปลาตูหนาที่ถูกจับหรือพบเห็นตลอดช่วงหลายเดือนการสำรวจ

  • 2 ตัว ถูกบันทึกในพื้นที่คอนผีหลง
  • 2 ตัว ถูกบันทึกในบริเวณแจ๋มผาดินแดงและหาดฮ่อน

พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่จุดจับปลาแบบสุ่ม แต่เป็น “วังน้ำลึก / ครก” คือหลุมลึกตามร่องน้ำที่ชาวบ้านรู้จักกันมานานในฐานะแหล่งหลบภัยของปลาใหญ่ในฤดูน้ำน้อย วังน้ำลึกยังเป็นแหล่งของสัตว์หน้าดินหรือสัตว์พื้นน้ำ (benthic fauna) เช่น ไส้เดือนน้ำ หนอนแดง ตัวอ่อนแมลง ซึ่งเป็นอาหารหลักของปลาตูหนาวัยโต

หลังปี 2547 เป็นต้นมา การพบปลาตูหนาในเชียงของแทบไม่มีรายงานอย่างเป็นระบบอีก จนคนส่วนหนึ่งในพื้นที่เริ่มพูดกันตรง ๆ ว่า “มันหายไปแล้ว” และตีความว่าแม่น้ำโขงตอนบน “ถูกตัดขาด” ตั้งแต่นั้น

ดังนั้น การปรากฏตัวของปลาน้ำหนัก 2.2 กิโลกรัมจากหาดแฮ่ในปลายเดือนตุลาคม 2568 จึงเชื่อมเส้นเวลาตรงกลับไปยังข้อมูลปี 2546–2547 และตั้งคำถามว่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อะไรเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง

สายโซ่ของปัญหา เขื่อน การไหลผิดธรรมชาติ และการค้าลูกปลาไหล

นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากอธิบายปัจจัยเชิงโครงสร้างไว้สอดคล้องกัน ว่าการลดลงของปลาตูหนาในแม่น้ำโขงตอนบนไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากแรงกดดันหลายชั้นที่ซ้อนทับกัน

เขื่อนและโครงสร้างกีดขวางการอพยพ

เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์หลังปี 2558 ถูกมองว่าเป็น “กำแพง” ของปลาสองน้ำอย่างปลาตูหนา

ปลาตูหนาที่อยู่ระยะโตเต็มวัยต้องการอพยพขึ้นน้ำจืดตอนบนเพื่อเจริญเติบโต แต่โครงสร้างของเขื่อนระดับสูงทำให้การผ่านขึ้นตามธรรมชาติแทบเป็นไปไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อต้องอพยพกลับลงสู่ทะเลในฐานะปลาไหลวัยสืบพันธุ์ (silver eel) หรือเมื่อตัวอ่อน (glass eel) เคลื่อนลงตามกระแสน้ำ ปลาวัยอ่อนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการตายจากกังหันผลิตไฟฟ้าในเขื่อน

กล่าวอีกแบบ เขื่อนหนึ่งแห่งสามารถตัดทั้งเส้นทางขึ้น (ไปเติบโต) และเส้นทางลง (ไปสืบพันธุ์) ในคราวเดียว

รูปแบบการไหลของน้ำที่ผิดธรรมชาติ

ระบบการบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อน โดยเฉพาะจากเขื่อนตอนบนในแม่น้ำโขงสายหลักและสาขา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงขึ้น–ลงแบบรวดเร็วฉับพลัน ไม่เป็นไปตามฤดูกาลธรรมชาติ เหตุการณ์น้ำขึ้นเร็วหรือลดฮวบในเวลาไม่ถึงวัน ส่งผลให้ตลิ่งพัง วังน้ำลึกถูกกัดเซาะ ทรายและตะกอนเปลี่ยนรูปหน้าก้นแม่น้ำ

สำหรับปลาตูหนาที่อาศัยพื้นน้ำลึกเป็นแหล่งหากินและหลบภัย การสูญเสีย “ครก” หรือ “วัง” ไม่ได้หมายถึงแค่เสียบ้าน แต่คือการสูญเสียพื้นที่หลบภัยจากกระแสน้ำเชี่ยว และเสียแหล่งอาหารเชิงระบบ

การใช้ประโยชน์ลูกปลาไหลเชิงพาณิชย์
ปลากลุ่ม Anguillid eel รวมถึงปลาตูหนา มีมูลค่าสูงในตลาดเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะระยะลูกปลาใส ๆ ที่เรียกว่า glass eel ซึ่งถูกจับในปริมาณมากในปลายน้ำ (โดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำโขงและพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาค) เพื่อเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

การจับหนักในช่วงต้นวงจรชีวิต หมายถึงจำนวนน้อยลงของปลาไหลวัยอ่อนที่จะสามารถอพยพขึ้นไปถึงตอนบน เช่น เชียงของ ผลลัพธ์คือ แม้พื้นที่ตอนบนจะยังมีบางหลุมธรรมชาติที่ดีพอสำหรับปลาโต แต่ประชากรใหม่กลับไม่ถูกเติมเข้าไปอีกแล้ว

ช่องว่างในการคุ้มครองเชิงนโยบาย

ในทางนโยบาย ปลาตูหนาไม่ใช่ “ดารา” ของแม่น้ำโขง สายตาสาธารณะและโครงการอนุรักษ์หลายโครงการมักมุ่งไปที่ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เช่น ปลาบึก หรือปลากระเบนแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่เล่าเรื่องได้ง่าย

ปลาตูหนาในทางกลับกันเป็นปลาที่ออกหากินยามค่ำ อยู่ก้นแม่น้ำ ไม่ค่อยถูกพบเห็นโดยคนทั่วไป ไม่ได้มีตลาดบริโภคใหญ่ในท้องถิ่น (คนจำนวนมากไม่นิยมกิน และบางพื้นที่ยังมีความเชื่อเชิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ผลคือ สปีชีส์นี้แทบไม่ถูกผลักขึ้นสู่วาระเชิงนโยบาย

ช่องว่างนี้สะท้อนชัดในมาตรการบรรเทาผลกระทบของเขื่อนหลายแห่ง ที่มักออกแบบ “ทางปลาผ่าน” (fish passage) โดยเน้นปลาบางชนิดที่ว่ายทวนน้ำแรง แต่ยังไม่ตอบคำถามสำคัญว่า “ลูกปลาไหลขนาดเล็กจะลงทะเลได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกกังหันบดหรือไม่” คำตอบจนถึงวันนี้ ยังไม่ชัด

เส้นบางระหว่าง “หวังได้” กับ “สายเกินไป”

สิ่งที่ทำให้ปลาตูหนาตัวเดียวถูกจับตามองอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงความหายาก แต่คือจังหวะเวลา

เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นเวทีที่รัฐสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาจะหารือเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน ท่ามกลางประเด็นอ่อนไหวอย่างการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ การจัดสรรระดับน้ำ และผลกระทบต่อชุมชนริมน้ำ นักอนุรักษ์ในพื้นที่มองว่า ปรากฏการณ์ปลาตูหนาครั้งนี้คือ “สัญญาณให้มนุษย์หยุดและฟังแม่น้ำก่อนจะสายไปกว่านี้”

อีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่าห้ามโรแมนติไซส์ความหวังจนเกินจริง หากมองในเชิงประชากร การเจอปลาน้ำหนักกว่า 2 กิโลกรัมเพียงตัวเดียว ไม่สามารถตีความว่า “ประชากรปลากำลังฟื้น” ได้โดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม มันอาจสะท้อนว่าแม่น้ำโขงตอนบนกำลังเหลือเพียง “ตัวสุดท้ายของรุ่นสุดท้าย” ที่ยังไม่กลับลงทะเลไปสืบพันธุ์ และถ้าปัจจัยคุกคามยังเหมือนเดิม ประชากรใหม่ก็แทบไม่มีโอกาสเดินทางขึ้นมาเติมอีก

อีกความเสี่ยงหนึ่งคือ การทำให้เหตุการณ์นี้ถูกใช้เชิงการสื่อสารว่า “เห็นไหม แม่น้ำยังดีอยู่ ยังมีปลาอยู่” ซึ่งอาจถูกนำไปเป็นข้ออ้างว่าการพัฒนาโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนบนลำน้ำโขงสายหลักและสาขา ไม่ได้ทำลายระบบนิเวศจริงจังเท่าที่ภาคประชาชนอ้าง

นักวิชาการด้านนิเวศน้ำจืดบางรายจึงใช้คำแรงว่า ปลาตูหนาคือ “หลักฐานของการยื้อชีวิตครั้งสุดท้าย มากกว่าหลักฐานการฟื้นตัว” และเสนอว่า นี่ควรเป็นจุดตั้งต้นของการปรับนโยบาย ไม่ใช่จุดจบของการสนทนา

ทางออกเชิงระบบ จากวังน้ำลึกสู่โต๊ะนโยบาย

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ถูกหยิบยกต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ออกแบบมาตรการ “ทางผ่านลงสู่ปลายน้ำ” ให้จริงจัง

นโยบายการจัดการเขื่อนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต้องยกระดับจากการพูดถึง “ทางปลาขึ้น” ไปสู่ “ทางปลาลง” อย่างจริงจัง ปัจจุบันโครงสร้างทางปลาผ่านจำนวนมากยังไม่ได้ออกแบบเพื่อช่วยลูกปลาไหลวัยอ่อนให้กลับลงสู่ทะเลโดยปลอดภัย ยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกกังหันผลิตไฟฟ้าทำให้ตายหรือบาดเจ็บสาหัส

ในมุมนี้ นักวิจัยเสนอว่า ควรนิยามความสำเร็จของทางปลาผ่านในเขื่อนสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ไม่ใช่แค่ “ปลาอะไรขึ้นมาได้กี่ตัว” แต่ต้องรวมถึง “ปลาไหลวัยอ่อนสามารถลงได้กี่เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ถูกทำลาย”

ติดตามปลาสองน้ำเป็นตัวชี้วัดบังคับ

มีข้อเสนอให้กำหนด “ปลาตูหนา (Anguilla bicolor)” เป็นสัตว์ตัวชี้วัด (indicator species) ในการประเมินประสิทธิภาพของการบริหารจัดการเขื่อนและทางปลาผ่าน ไม่ใช่ประเมินเพียงปลาชนิดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หรือเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเท่านั้น

การติดตามประชากรปลาตูหนาทั้งระยะตัวอ่อน (glass eel) และตัวเต็มวัย ควรถูกทำเป็นเงื่อนไขทางวิชาการร่วมในระดับลุ่มน้ำโขงตอนล่าง แทนที่จะเป็นเพียงการเฝ้าดูโดยชุมชนท้องถิ่นที่ขาดทรัพยากร

รักษาแหล่งอาศัยที่ยังเหลืออยู่ – วังน้ำลึก, คอนผีหลง, แจ๋มผาดินแดง

ชุมชนท้องถิ่นในเชียงของและเวียงแก่นได้ผลักดันพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ปลา (Fish Conservation Zones: FCZs) เช่น พื้นที่คอนผีหลง ให้เป็นเสมือน “เขตพักฟื้น” ของปลา วังน้ำลึกเหล่านี้เป็นโครงสร้างธรรมชาติที่ระบบนิเวศสร้างขึ้นเองมาหลายชั่วคน และเป็นที่หลบภัยของสัตว์น้ำที่ไม่สามารถอยู่ในน้ำตื้นที่ถูกกระแสน้ำปรับขึ้นลงฉับพลันได้

แม้มาตรการแบบ FCZ จะยังไม่สามารถ “ดึง” ปลาตูหนากลับมาจำนวนมากได้ หากเส้นทางอพยพทั้งระบบยังถูกตัดขาด แต่มันถือเป็นการรักษาพื้นที่รองรับในอนาคต หากการเจรจานโยบายในระดับลุ่มน้ำสามารถปรับปรุงเส้นทางการเชื่อมต่อของแม่น้ำได้จริง

จำกัดการดูดทรัพยากรตั้งแต่ปลายทาง

ความร่วมมือระดับภูมิภาคจำเป็นต่อการควบคุมการจับลูกปลาไหลสีแก้วจากธรรมชาติในปริมาณสูงเพื่อป้อนการเพาะเลี้ยงในเชิงอุตสาหกรรม การลดการตัดทอนประชากรตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้ จะช่วยให้มีปลาไหลวัยอ่อนมากพอจะอพยพขึ้นมาสู่ตอนบนในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการฟื้นตัว

จากเรื่องเล่าชาวบ้านสู่เวทีการเมืองน้ำโขง

ในเชิงสัญลักษณ์ เหตุการณ์ปลาตูหนาที่เชียงของเกิดขึ้นในจังหวะที่ลุ่มน้ำโขงกำลังจะถูกจับตามองในระดับนานาชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กำลังเตรียมต้อนรับคณะรัฐมนตรีน้ำของประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่จังหวัดเชียงราย

สำหรับชุมชนริมน้ำ นี่คือโอกาสที่จะส่งเสียงไปยังโต๊ะเจรจาระดับรัฐ ว่า “ปลาไหลตัวเดียวของเรา” อาจกำลังบอกอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวมันเองรู้ สำหรับหน่วยงานรัฐและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือบททดสอบความจริงใจ ว่าจะมองแม่น้ำโขงเป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าและการควบคุมน้ำเชิงวิศวกรรม หรือจะมองในความหมายที่ลึกกว่านั้น คือความมั่นคงทางอาหาร วัฒนธรรม วิถีชีวิต และสิทธิในการดำรงชีพของผู้คนริมฝั่ง และสำหรับนักวิชาการ บทเรียนจากปลาตูหนายังคงเหมือนเดิม ถ้าแม่น้ำไม่เชื่อมต่อ เมืองก็ไม่ยั่งยืน

 

ปลาตูหนาหนักกว่า 2.2 กิโลกรัมที่ถูกจับได้ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “ปลาแปลกในรอบ 20 ปี” แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าระบบนิเวศของแม่น้ำโขงตอนบนยังไม่ตายสนิท ทว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต

ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์จากงานวิจัยไทบ้านปี 2546–2547 ระบุการพบปลาตูหนาเพียง 4 ตัวในพื้นที่คอนผีหลงและแจ๋มผาดินแดง ขณะที่ช่วงยาวกว่า 20 ปีหลังจากนั้นแทบไม่มีการพบอีกเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2568 สิ่งนี้สะท้อนทั้งความอึดของธรรมชาติ และความเปราะบางของระบบ

ปัจจัยกดดันหลัก ได้แก่ การตัดขาดเส้นทางอพยพตามแนวยาวของแม่น้ำจากเขื่อนพลังน้ำ การขึ้นลงของน้ำผิดฤดูกาลที่ทำลายวังน้ำลึก แรงกดดันเชิงการค้าต่อปลาวัยอ่อน และช่องว่างของนโยบายที่มองข้ามชนิดพันธุ์ที่ไม่ดังทางการสื่อสาร คำถามในตอนนี้จึงไม่ใช่แค่ว่า “แม่น้ำโขงยังมีปลาหายากอยู่ไหม” แต่คือ “เราจะยอมให้ปลาตัวนี้เป็นรุ่นสุดท้ายหรือไม่”

ปลาตูหนาไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่มันกำลังบอกเราว่า หากไม่มีการจัดการเชิงระบบที่มองเห็นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และทะเล แม่น้ำโขงอาจเดินข้ามจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว การประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายปลายพฤศจิกายน 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีทางการทูตด้านน้ำ หากแต่เป็นบทพิสูจน์ว่าเสียงจากวังน้ำลึก คอนผีหลง หาดแฮ่ และชุมชนริมโขง จะถูกฟังจริงหรือไม่

16 เมษายน 2563 พรานเบ็ดแห่งแม่น้ำโขง ชาวเขมราฐ จับปลาตูหนา (รูปร่างคล้าย ปลาไหล) ซึ่งเป็นปลาแม่น้ำโขง ที่หายาก หนัก 7.7 ก.ก. ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในเขต เขมราฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ฮักนะเขมราฐ.com
  • ทรายโขง ณผาถ่าน
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มรภ.เชียงราย ผนึกจีน พัฒนาหลักสูตร AI, ยานยนต์ไฟฟ้า และแพทย์แผนจีนสู่สากล

มรภ.เชียงราย ผนึกจีน พัฒนาหลักสูตร AI, ยานยนต์ไฟฟ้า และแพทย์แผนจีนสู่สากล

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – แทบจะไม่มีมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาคใดในประเทศไทยที่ต้องเผชิญโจทย์ซับซ้อนเท่ากับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ในวันนี้ โจทย์นั้นไม่ใช่แค่ “ผลิตบัณฑิตให้เพียงพอกับตลาดแรงงาน” อีกต่อไป แต่เป็นการสร้างกำลังคนที่เข้าใจทั้งเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รู้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีความสามารถทางภาษาและวัฒนธรรมข้ามชาติ และที่สำคัญต้องเชื่อมโยงกับห่วงโซ่เศรษฐกิจจีน–ไทยที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของภาคเหนือ

ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนจากการที่ รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย นำคณะผู้บริหารเดินทางเยือนมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 เพื่อหารือและขยายความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับสองสถาบันการศึกษา ได้แก่ Yuxi Normal University และ Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College ซึ่งเป็นการยกระดับความร่วมมือทางวิชาการจากระดับปริญญาตรีสู่ระดับบัณฑิตศึกษา พร้อมวางรากฐานหลักสูตรด้านเทคโนโลยีอนาคตและอาชีพแห่งวันพรุ่งนี้

นี่ไม่ใช่การไปลงนาม MOU เพื่อรูปแบบ หากแต่เป็นการวางกรอบการผลิตบุคลากรให้ “ตรงกับอนาคต” ของเชียงรายและของภาคเหนือตอนบน

21 ปีแห่งความร่วมมือที่ไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ทางวิชาการ จาก “ภาษาไทย–วัฒนธรรมไทย” สู่ “ศูนย์กลางการพัฒนาครูภาษาจีนระดับภูมิภาค”

ช่วงเช้า คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย เข้าพบหารือกับ Yuxi Normal University เมืองยวี่ซี มณฑลยูนนาน โดยมี Prof. Dr. Yang Wei รองอธิการบดีของ Yuxi Normal University นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ การพบกันครั้งนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ยาวนานถึง 21 ปี ภายใต้โครงการความร่วมมือ 2+2 หรือ Duo-Degree สาขาภาษาและวัฒนธรรมไทย

โครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้นักศึกษาจีนมาเรียนรู้ภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันนักศึกษาจาก มรภ.เชียงราย ก็เดินทางไปเสริมทักษะภาษาจีนและเรียนรู้วัฒนธรรมยูนนานในสภาพแวดล้อมจริง ตัวเลขสะสมชี้ให้เห็นความต่อเนื่องที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความร่วมมือเชิงสัญลักษณ์ชั่วคราว

ข้อมูลความร่วมมือทางวิชาการ (สะสมจนถึงปัจจุบัน)

  • นักศึกษา Yuxi ที่เข้าร่วมโครงการกับ มรภ.เชียงราย: มากกว่า 323 คน
  • นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนภาษาจีน: 141 คน
  • อาจารย์ชาวไทยที่ถูกส่งไปสอนที่ Yuxi Normal University: 13 คน

ตัวเลขเหล่านี้เล่าความจริงสำคัญ 2 ประการ

หนึ่ง, สายสัมพันธ์ไทย–จีนในระดับมหาวิทยาลัยภูมิภาคไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถูกวางไว้และขยายผลอย่างเป็นระบบยาวนานกว่าสองทศวรรษ แสดงให้เห็นการพัฒนาความเข้าใจข้ามพรมแดนในระดับมนุษย์ (people-to-people connectivity) ไม่ใช่แค่ในระดับรัฐหรือภาคธุรกิจ

สอง, โครงสร้างความร่วมมือไม่หยุดอยู่ที่ “การแลกเปลี่ยนระยะสั้น” แต่เริ่มเคลื่อนไปสู่การบูรณาการหลักสูตรและการออกแบบเส้นทางวิชาชีพร่วมกันในระยะยาว

การหารือครั้งล่าสุดระหว่าง มรภ.เชียงราย และ Yuxi Normal University สะท้อนพัฒนาการนี้อย่างชัดเจน โดยมีการพูดคุยถึงการขยับระดับความร่วมมือจากปริญญาตรี สู่ระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในบางสาขา เช่น พละศึกษา กฎหมาย และการค้าระหว่างประเทศ

การหารือร่วม มีดังนี้

  1. การพัฒนาหลักสูตรร่วมระดับปริญญาโท–เอก
    ทั้งสองมหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการออกแบบหลักสูตรบัณฑิตศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรจากทั้งสองประเทศสามารถเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าให้เกิดหลักสูตรพิเศษในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความเชี่ยวชาญ เช่น พละศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแข็งของสถาบันครู เช่น Yuxi Normal University
  2. หลักสูตรกฎหมายและการค้าระหว่างประเทศ
    ประเด็นนี้มีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์ เพราะแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงราย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงชายแดนไทย–ลาว–เมียนมา กำลังเปลี่ยนไปสู่บทบาทความเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน การเตรียมบุคลากรที่เข้าใจกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ กฎระเบียบข้ามแดน และความตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างไทย–จีน จึงเป็นหนึ่งในทักษะจำเป็นของตลาดแรงงานรุ่นใหม่
  3. การพัฒนาครูสอนภาษาจีนเชิงระบบ
    จุดที่โดดเด่นและสะท้อนถึงคุณค่าที่จับต้องได้ คือการร่วมกันพัฒนาครูสอนภาษาจีนให้กับเครือข่ายโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ภาคเหนือของไทย
    Yuxi Normal University ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “หนึ่งใน 8 มหาวิทยาลัยของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการสอนภาษาจีนระดับชาติ” หมายความว่า มหาวิทยาลัยดังกล่าวไม่ใช่เพียงสถาบันการศึกษาในระดับภูมิภาคของจีน แต่เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่พัฒนาครูและมาตรฐานการสอนภาษาจีนทั้งระบบของประเทศจีนเอง
    ในการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้วางแนวทางร่วมกันในการอบรมเชิงเทคนิคการสอน (Teaching Pedagogy) แนวใหม่ การออกแบบหลักสูตรสอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ของผู้เรียนไทย และการใช้ทรัพยากรบุคลากรจีนในการยกระดับคุณภาพครูภาษาจีนในพื้นที่ของ มรภ.เชียงราย และโรงเรียนเครือข่าย

ที่สำคัญ มีการยืนยันว่าในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ Prof. Dr. Cao Bingxue ผู้อำนวยการศูนย์ภาษาและอักษรจีนของ Yuxi Normal University จะเดินทางมายังมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อหารือการดำเนินงานเชิงปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความร่วมมือไม่หยุดอยู่บนกระดาษ

  1. การเชื่อมเส้นทางการศึกษาต่อเนื่อง ป.ตรี – โท – เอก
    การออกแบบ “เส้นทางการศึกษาต่อเนื่อง” หมายความว่า นักศึกษาของราชภัฏเชียงรายอาจไม่ต้องหยุดอยู่ที่ปริญญาตรีอีกต่อไป หากแต่สามารถต่อยอดสู่ปริญญาโทและเอก ผ่านหลักสูตรร่วมที่ทั้งสองสถาบันออกแบบร่วมกัน
    นี่คือการเปิดเพดานความก้าวหน้าให้กับนักศึกษาจังหวัดชายแดน นักศึกษาจากครอบครัวฐานราก และครูรุ่นใหม่ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่อาจไม่เคยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาระดับสูงในต่างประเทศมาก่อน

กล่าวได้ว่า ความร่วมมือระหว่าง มรภ.เชียงราย และ Yuxi Normal University ไม่ใช่ “กิจกรรมต่างประเทศ” หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์การสร้างทุนมนุษย์ระดับจังหวัดและภูมิภาค” อย่างเป็นระบบ

 

จากห้องเรียนสู่โรงงาน ซ่อม EV จากแปลงเกษตรสู่ห้องแล็บ AI: โจทย์ใหม่จาก Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย ได้เดินทางต่อไปยัง Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College โดยมี Prof. Yang Fei เลขาธิการพรรคประจำสถาบัน และ Prof. Jing Yang อธิการบดี พร้อมคณะผู้บริหารของสถาบันฝั่งจีนให้การต้อนรับอย่างเป็นมิตรและเป็นทางการ

ต่างจาก Yuxi Normal University ซึ่งเน้นการพัฒนาครู นักภาษาศาสตร์ และบุคลากรด้านมนุษยศาสตร์–สังคมศาสตร์ สถาบันแห่งนี้มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้งานจริง (applied technology) ในสาขาที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค เช่น

  • การแพทย์แผนจีน
  • นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
  • อากาศยานและระบบรางความเร็วสูง
  • AI และระบบอัจฉริยะทางอุตสาหกรรม (รวมถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกับภาคเอกชน เช่น Huawei)

ในการหารือ ได้มีการวางกรอบความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่มุ่ง “ยกระดับกำลังคน” ในพื้นที่เชียงรายและภาคเหนือตอนบน โดยไม่ต้องรอส่วนกลาง ได้แก่

  1. ศูนย์ฝึกปฏิบัติการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบแนวทางจัดตั้ง “ศูนย์ฝึกปฏิบัติการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า” ที่เชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ให้นักศึกษาได้ทดลอง แต่เพื่ออบรมเชิงวิชาชีพจริงให้กับนักศึกษา ช่างเทคนิค และแรงงานฝีมือในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อเตรียมรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม EV ในอนาคตอันใกล้

การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยสัญญาณทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีโครงสร้างโลจิสติกส์เชื่อมจีน อาจมีบทบาทเพิ่มขึ้นทั้งในฐานะจุดซ่อมบำรุง ศูนย์กระจายชิ้นส่วน หรือฐานทดลองบริการหลังการขายของค่ายผู้ผลิตจีน

หากศูนย์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงที่เชียงราย หมายความว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งเดิมถูกมองว่าเน้นครู ศิลปศาสตร์ และงานพัฒนาชุมชน จะมีบทบาทใหม่ในฐานะ “สถาบันฝึกอบรมเทคนิคขั้นสูง” ด้าน EV ให้กับภูมิภาค

  1. หลักสูตรร่วมและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ

มีการหารือถึงการจัดหลักสูตรร่วมในสาขาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, EV, อากาศยาน รวมถึงโครงการฝึกงานที่ออกแบบร่วมระหว่าง

  • ภาคเอกชน
  • Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

กล่าวคือ นี่คือการนำรูปแบบ “Triple Partnership” หรือความร่วมมือ 3 ฝ่าย (เอกชน–สถาบันจีน–สถาบันไทย) มาใช้ในระดับจังหวัดโดยตรง เพื่อให้ผู้เรียนไม่ได้จบออกมาพร้อมใบปริญญาเพียงอย่างเดียว แต่จบออกมาพร้อมทักษะวิชาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการทันที

  1. การแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเทียบโอนหน่วยกิต

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงรูปแบบการแลกเปลี่ยนนักศึกษาทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมระบบเทียบโอนหน่วยกิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้างในการไปศึกษาต่อในต่างประเทศของนักศึกษาไทย โดยเฉพาะนักศึกษาที่ไม่ได้มาจากครอบครัวรายได้สูง แต่ต้องการโอกาสการยกระดับทักษะมืออาชีพในเวทีนานาชาติ

  1. การจัดการศึกษาต่อเนื่องตั้งแต่ “อนุปริญญา – ตรี – โท – เอก”

Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College แสดงความพร้อมในการร่วมพัฒนาเส้นทางการศึกษาต่อเนื่องกับ มรภ.เชียงราย ให้สอดคล้องกับอาชีพสมัยใหม่ เช่น ช่างเทคนิค EV นักเทคโนโลยีระบบราง นักวิชาชีพด้านอากาศยาน นักวิเคราะห์ระบบ AI ฯลฯ
จุดสำคัญคือโครงสร้างนี้จะช่วย “ยกระดับคนทำงาน” ให้สามารถเติบโตตามสายวิชาชีพโดยไม่ต้องออกจากพื้นที่บ้านเกิด และเปิดโอกาสให้บุคลากรในท้องถิ่นที่เริ่มจากทักษะสายปฏิบัติการ (hands-on skill) สามารถเติบโตจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเชิงยุทธศาสตร์

  1. การแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักวิจัย

ทั้งสองฝ่ายวางกรอบร่วมกันในการแลกเปลี่ยนอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรม และนักวิจัย เพื่อให้เกิดการยกระดับความรู้ในสถาบันทั้งสองแบบสองทาง ไม่ใช่เพียงให้ไทยไปรับเทคโนโลยีจากจีนเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ มรภ.เชียงราย ส่งบุคลากรไปสอนหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านภูมิภาคศึกษา ภาษา วัฒนธรรมชายแดน และเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของฝั่งไทยเช่นกัน

  1. การเรียนรู้เชิงประจักษ์ผ่านศูนย์นวัตกรรม

คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานที่ปฏิบัติการจริงของสถาบันจีน เช่น

  • ศูนย์ฝึกปฏิบัติการแพทย์แผนจีน
  • ศูนย์นวัตกรรม AI ที่ดำเนินการร่วมกับ Huawei
  • ศูนย์ฝึกซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า
  • ห้องปฏิบัติการรถไฟความเร็วสูงและอากาศยาน

การเยี่ยมชมดังกล่าวมีความหมายมากกว่าการดูงาน เพราะสะท้อน “รูปแบบการสอนที่ยึดโรงปฏิบัติการเป็นฐาน” (Lab-based / Workshop-based Learning) ซึ่งเป็นรูปแบบการผลิตบุคลากรสายเทคนิคที่หลายพื้นที่ในไทยยังขาดอยู่ การนำโมเดลนี้กลับมาประยุกต์ใช้ในเชียงรายจึงตีความได้ว่า ราชภัฏเชียงรายต้องการขยับบทบาทตนเองจาก “มหาวิทยาลัยครู” ไปเป็น “ศูนย์กลางการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่ของลุ่มน้ำโขง”

จากความร่วมมือสู่ยุทธศาสตร์จังหวัด เชียงรายกับบทบาท “ประตูสู่จีน” ที่กำลังเป็นจริง

เชียงรายคือจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย และเป็นจุดเชื่อมเศรษฐกิจ การศึกษา แรงงาน และโลจิสติกส์ ระหว่างไทย จีน ลาว และเมียนมา พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ท่องเที่ยว หรือพื้นที่ชายแดนทางวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “จุดรองรับการไหลบ่าของเทคโนโลยีและโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่จากจีนสู่ไทย”

ความร่วมมือของ มรภ.เชียงราย กับสถาบันการศึกษาชั้นนำในมณฑลยูนนานจึงต้องอ่านในเชิงยุทธศาสตร์ด้วยว่า

  • นี่คือการเตรียมคนให้พร้อมรับเศรษฐกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผู้ผลิตรายใหญ่ของจีนกำลังขยายฐานจำหน่ายและบริการหลังการขายในภูมิภาค
  • นี่คือการเตรียมคนให้เข้าใจระบบซัพพลายเชนใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบอัตโนมัติ
  • นี่คือการเตรียมบุคลากรสาธารณสุขและการแพทย์ทางเลือก (เช่น แพทย์แผนจีน) เพื่อตอบสนองตลาดสุขภาพและผู้สูงอายุที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วภาคเหนือ
  • และนี่คือการยกระดับความสามารถด้านภาษา กฎหมาย การค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นในเชียงราย เชียงของ แม่สาย หรือแม้กระทั่ง SMEs เชียงใหม่–พะเยา สามารถเจรจา ทำสัญญา ทำธุรกิจ และขยายกิจการสู่ตลาดจีนโดยไม่ต้องพึ่ง “คนกลางในกรุงเทพฯ” อีกต่อไป

กล่าวอย่างตรงไปตรงมา: การเดินทางครั้งนี้คือการขยับราชภัฏเชียงรายจาก “สถาบันผลิตครู” ไปสู่ “โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัด”

มรภ.เชียงรายในบทบาทใหม่ สถาบันการศึกษาหรือโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาบุคลากรของภูมิภาค?

เมื่อมองภาพรวมจากทั้งสองการหารือ จุดที่เห็นชัดคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายกำลังวางตัวเองในสามบทบาทหลักพร้อมกัน

  1. ผู้พัฒนาครูและบุคลากรด้านภาษา–วัฒนธรรม–การศึกษา
    ผ่านความร่วมมือกับ Yuxi Normal University ที่มีความเชี่ยวชาญระดับชาติจีนด้านการสร้างครูสอนภาษาจีน พร้อมทั้งยกระดับสายการศึกษาในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สู่ระดับบัณฑิตศึกษา (โท–เอก)
  2. ศูนย์กลางการฝึกเทคโนโลยีประยุกต์ (Applied Technology Hub)
    ผ่านการเตรียมจัดตั้งศูนย์ฝึกซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าในเชียงราย และการเชื่อมโยงหลักสูตรกับเทคโนโลยีที่ตลาดกำลังต้องการ เช่น EV, AI, อากาศยาน, ระบบรางความเร็วสูง ซึ่งเป็นฐานอาชีพใหม่ของภูมิภาคในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
  3. สะพานเชื่อมเศรษฐกิจการค้าชายแดนและการเจรจาระดับภูมิภาค
    ด้วยการออกแบบหลักสูตรทางด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ การเจรจาทางธุรกิจไทย–จีน การเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการท้องถิ่นกับระบบการผลิต การฝึกงาน และการฝึกอาชีพจากฝั่งจีน

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่ของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจภูมิภาค ที่กำลังเคลื่อนจาก “การผลิตแบบแรงงานราคาถูก” สู่ “การผลิตมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีและทักษะเฉพาะทาง” รวมถึงสอดรับบริบทโลกที่เปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การปรับตัวต่อสภาวะภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical shifts) และการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจพลังงานสะอาด

เสียงสะท้อนจากผู้บริหาร “นี่ไม่ใช่การไปเยี่ยม นี่คือการไปวางระบบอนาคตของเชียงราย”

ภายหลังการประชุมและการเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ คณะผู้บริหารของ มรภ.เชียงราย ระบุถึงเจตนารมณ์ร่วมในทิศทางเดียวกันว่า ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการยกระดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่คือการสร้างช่องทางใหม่ให้เยาวชน ครู นักศึกษา แรงงานเทคนิค และผู้ประกอบการในพื้นที่ มีโอกาสก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่อย่างมีศักดิ์ศรีและแข่งขันได้จริง

แนวทางนี้ยังสอดรับกับวิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดเชียงรายในฐานะ “จังหวัดชายแดนเชิงยุทธศาสตร์” ที่ต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจบนฐานทุนมนุษย์คุณภาพ ไม่ใช่เพียงหวังพึ่งการท่องเที่ยวเชิงฤดูกาลหรือการค้าผ่านแดนเท่านั้น

กล่าวให้ชัดกว่านั้นคือ มหาวิทยาลัยไม่ได้ทำหน้าที่ “ผลิตบัณฑิตส่งใบปริญญา” หากกำลังวางตัวเองเป็น “โครงสร้างพื้นฐานด้านบุคลากรของทั้งจังหวัดและทั้งภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”

มองไปข้างหน้า ผลกระทบที่คาดได้ต่อจังหวัดและภูมิภาค

จากกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ สามารถคาดการณ์ผลกระทบเชิงนโยบายและสังคมในระยะกลางได้ดังนี้

  1. เชียงรายจะมีศูนย์ฝึก EV ระดับภูมิภาค
    ศูนย์ฝึกซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าที่จะตั้งในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีโอกาสกลายเป็นฐานฝึกอบรมเทคนิคยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับแรงงานท้องถิ่น ผู้ประกอบการศูนย์บริการ รวมถึงผู้จบใหม่ในสายช่างยนต์ ซึ่งจะช่วยลดภาวะสมองไหลของแรงงานฝีมือออกนอกจังหวัด และสร้างรายได้ให้ชุมชนในพื้นที่โดยตรง
  2. ครูภาษาจีนรุ่นใหม่ที่เข้าใจบริบทไทยจริง
    เมื่อการฝึกอบรมครูร่วมกับ Yuxi Normal University เริ่มเดิน มีแนวโน้มว่าคุณภาพการสอนภาษาจีนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะภายใต้มรภ.เชียงรายและเครือข่ายโรงเรียน จะถูกยกระดับทั้งในเชิงภาษา เชิงวัฒนธรรม และเชิงการสื่อสารในบริบทไทย–จีนทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
  3. หลักสูตรกฎหมาย–การค้าไทย–จีนสร้างผู้เล่นใหม่ในเศรษฐกิจชายแดน
    ผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะในเชียงของ แม่สาย และอำเภอที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งชายแดน อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งที่ปรึกษาจากส่วนกลางในการทำธุรกิจข้ามแดนอีกต่อไป หากสามารถเข้าถึงบุคลากรที่ถูกฝึกขึ้นจากหลักสูตรร่วมด้านการค้าและกฎหมายระหว่างประเทศ
  4. เชียงรายสามารถเป็นปลายทางการศึกษานานาชาติระดับภูมิภาค
    โมเดลการเทียบโอนหน่วยกิต การแลกเปลี่ยนระยะสั้น–ยาว และการศึกษาแบบต่อเนื่องจากอนุปริญญาถึงเอก จะทำให้เชียงรายไม่ใช่แค่จังหวัดที่ส่งคนออกไปเรียนต่างประเทศ แต่สามารถเป็น “จุดหมายปลายทาง” ของนักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้าน และจากจีนบางส่วนที่ต้องการเรียนรู้เศรษฐกิจและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงในบริบทจริง

หากต้องสรุปภาพรวมในประโยคเดียว การเดินทางของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายสู่มณฑลยูนนานเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 คือ “การประกาศบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะผู้วางโครงสร้างกำลังคนยุคใหม่ให้จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน”

ความร่วมมือกับ Yuxi Normal University คือการเสริมรากฐานด้านภาษาจีน การศึกษา ครู วิชาชีพมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พร้อมเปิดเส้นทางสู่ปริญญาโท–เอก
ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับ Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College คือการปูสะพานเชื่อมระหว่างนักศึกษาไทยกับอุตสาหกรรมอนาคตจริง ๆ ทั้ง EV, AI, อากาศยาน, ระบบราง และการแพทย์แผนจีน

หากความร่วมมือเหล่านี้เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียงจังหวัดชายแดนอีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทุนมนุษย์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง – ด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นหนึ่งในกำลังหลัก

นี่ไม่ใช่เพียงสัญญาในห้องประชุม หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบอนาคตของจังหวัดทั้งจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
  • Yuxi Normal University เมืองยวี่ซี มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. เชียงราย จัดพิธี “จุดเทียนถวายอาลัย” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

น้อมรำลึกสุดอาลัย! มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนำพสกนิกรเชียงราย ร่วมพิธีถวายความเคารพ

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 – แสงเทียนหลายสิบเล่มค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดของลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมเสียงสวดถวายความอาลัยที่ดังขึ้นอย่างนอบน้อม นี่ไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือภาพสะท้อนของสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สั่งสมมาหลายทศวรรษต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนไทยทั้งแผ่นดิน

พิธี “จุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 18.00 น. หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการสวรรคตอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพันปีหลวง ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าของทั้งประเทศ ภายในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำหน้าที่นำคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนชาวเชียงรายกว่า 100 คน ร่วมถวายอาลัยแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” ด้วยความอ่อนน้อมและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง

พิธีดังกล่าวมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบัน เพราะมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมิได้เป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษาในภาคเหนือ หากยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชปณิธานด้านการพัฒนาคนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ผู้ทรงเป็น “แม่ฟ้าหลวง” อันเป็นที่มาของพระนามมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักยืนอยู่แนวหน้าในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระสำคัญของแผ่นดิน

ความอาลัยที่มากกว่าพิธีการ “พระองค์ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน”

ในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติด้วยถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากในช่วงเวลานี้ว่า

“พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้จัดพิธีจุดเทียนขึ้น เพื่อถวายความเคารพและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

ข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเพียงคำปราศรัยในโอกาสพิเศษ แต่คือการย้ำเตือนว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีบทบาทอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชนชายแดน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวมถึงการทรงงานด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงถูกจดจำอย่างลึกซึ้งในมิติการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมงานหัตถกรรมผ้า การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ได้วางรากฐานให้หลายชุมชนในภาคเหนือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคนในพื้นที่เชียงราย พระองค์ไม่ใช่เพียง “สมเด็จพระราชินี” ในเชิงสถานะทางราชสำนัก แต่เป็น “แม่” ในความหมายจริงของคำว่า ผู้หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก

ดังนั้น พิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เหตุการณ์เชิงพิธีกรรมเพียงชั่วโมงเดียว หากเป็นการแสดงออกถึงความต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับสถาบันฯ ที่ยังคงชัดเจนและมีความหมายในสังคมไทยร่วมสมัย

มฟล. กับบทบาท “พื้นที่กลางของความอาลัย” ของชาวเชียงราย

พิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่จำกัดเพียงบุคลากรในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนบทบาทที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งใจจะทำในฐานะ “พื้นที่กลางของสังคมเชียงราย” ไม่ใช่ “พื้นที่เฉพาะของคนในรั้วมหาวิทยาลัย” เท่านั้น

ในแง่นี้ มฟล. ทำหน้าที่คล้ายศูนย์รวมใจของจังหวัดเชียงรายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการสถานที่เพื่อแสดงความอาลัยร่วมกันอย่างสงบและมีเกียรติ พื้นที่ลานเฉลิมพระเกียรติจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ลานหลวงของจังหวัด” ในค่ำคืนนี้ ผู้เข้าร่วมหลายคนสวมเสื้อผ้าสีสุภาพ สีดำ สีเทา และสีขาว บางคนถือดอกไม้ บางคนถือภาพความทรงจำ บางคนเพียงต้องการยืนร่วมแถวแสงเทียนและพนมมือเงียบ ๆ

สำหรับนักศึกษาหลายคน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้ว่าภาษาอย่าง “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือ “พระราชกรณียกิจ” ที่เคยได้ยินในตำรานั้น แท้จริงแล้วมีผลอย่างไรต่อการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และโอกาสของคนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง

กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เพียง “จัดพิธี” แต่กำลัง “จัดความหมายร่วมของจังหวัด”

มติ ครม. และจังหวะที่ทั้งประเทศยืนไว้อาลัยพร้อมกัน

พิธีที่เชียงรายเกิดขึ้นควบคู่กับมาตรการแสดงความอาลัยระดับชาติ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและสังคม ดังนี้

  • ลดธงครึ่งเสา
    ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
  • การไว้ทุกข์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
    ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมีต่อพระราชสถานะและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง
  • การร่วมไว้อาลัยของประชาชนทั่วไป
    ขอความร่วมมือให้ประชาชนร่วมกันแสดงความอาลัยเป็นเวลา 90 วัน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและบริบทของแต่ละพื้นที่

แนวทางดังกล่าวทำให้บรรยากาศในประเทศในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนบุคคลหรือของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของสังคมไทยทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาชน และภาคชุมชนวัฒนธรรมร่วมกัน

ในมิติทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความจงรักภักดีและความอาลัยยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเมืองและวัฒนธรรมสาธารณะของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในพื้นที่ห่างไกล

ความหมายของ “การไว้ทุกข์ร่วมกัน” ในระดับชุมชน

เมื่อมติ ครม. ประกาศออกมาพร้อม ๆ กับพิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมของจังหวัดเชียงรายว่า จะยืนอยู่ในกรอบแห่งความอาลัยเดียวกันกับทั้งประเทศ

จุดนี้มีความสำคัญในเชิงสังคมการเมือง เพราะในยุคปัจจุบันที่ความหลากหลายทางความคิดทางสังคมและการเมืองมีมากขึ้น พิธีสาธารณะในลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ร่วม” ที่ผู้คนสามารถเข้ามายืนเคียงข้างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภูมิหลังเดียวกัน หรือความคิดเห็นทางการเมืองตรงกันทุกประการ หากแต่มีพื้นที่ร่วมทางอารมณ์และความทรงจำประวัติศาสตร์ร่วมกัน

กล่าวอย่างเรียบง่าย ความอาลัยทำให้สังคมกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม

เชียงราย จังหวัดชายแดนที่เติบโตจากพระราชกรณียกิจ

อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง มีทั้งกลุ่มไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ม้ง ลาหู่ รวมถึงชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหภาพเมียนมา พื้นที่เหล่านี้ในอดีตเผชิญทั้งความยากจนเชิงโครงสร้าง การขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยืดเยื้อ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของสมเด็จพระพันปีหลวงคือการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของสตรีและชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมการทอผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่นในฐานะอาชีพเสริมและอาชีพหลัก ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีของคนท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ที่เดิมอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว”

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญด้านการอนุรักษ์ป่าและการจัดระเบียบพื้นที่ทำกิน เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายฐานการดำรงชีพในระยะยาว แนวคิดเรื่อง “คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ทำลายป่า” ซึ่งปรากฏในหลายโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ กลายเป็นแนวนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรที่ได้รับการสืบสานในระดับหน่วยงานรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น สำหรับชาวเชียงราย ความอาลัยในครั้งนี้จึงไม่ใช่อารมณ์ลอย ๆ แต่ผูกพันกับวิถีชีวิตจริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของถิ่นฐาน

มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สืบสานอุดมการณ์ “การพัฒนาคน”

สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดในพิธี คือการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงย้ำบทบาทของตนเองว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างเดียว แต่ยังมีพันธกิจในการสืบสานแนวทางการพัฒนาคนตามรอยพระราชปณิธานของพระบรมวงศานุวงศ์

การจัดพิธีจุดเทียนถวายอาลัยจึงเป็นการส่งสัญญาณทางสถาบันในสามมิติหลัก

  1. มิติศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
    มฟล. ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยของภาคเหนือตอนบน” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค การจัดพิธีถวายอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตคนชายขอบและคนบนพื้นที่สูง จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงโดยตรงของอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยกับพระราชปณิธานของพระองค์
  2. มิติของการให้การศึกษาเชิงคุณค่า (Value-based Education)
    นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีมิได้เพียง “ทำกิจกรรม” แต่กำลังซึมซับกรอบความคิดแบบไทยร่วมสมัยที่ผสานทั้งอัตลักษณ์ชาติ วัฒนธรรมพลเมือง ความจงรักภักดี และจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ นี่คือการสร้างทุนทางสังคม (social capital) ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเป็นบัณฑิตไม่ใช่เพียงเรื่องวุฒิการศึกษา แต่คือการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วย
  3. มิติของความต่อเนื่องทางสังคม
    ในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว พิธีลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นก่อนสามารถถ่ายทอดความหมายของความจงรักภักดี ความกตัญญู และความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สู่คนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ร่วม ไม่ใช่แค่ผ่านตำราเรียน

กล่าวโดยสรุป การจุดเทียนในค่ำคืนนี้จึงเป็นทั้งการไว้อาลัย การประกาศคุณค่า และการส่งไม้ต่อ

ความสงบ งดงาม และความต่อเนื่องของความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบในช่วงท้ายของพิธี หลายคนหลับตาลงพร้อมกับประคองเปลวเทียนในมือ บางคนยกเทียนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย บางคนปิดหน้าไว้กับฝ่ามือ ราวกับพยายามเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในความทรงจำส่วนตัว นั่นคือภาพของความอาลัยที่มิใช่เพียงเรื่องของรัฐ แต่เป็นเรื่องในหัวใจประชาชน

และเมื่อมองในระดับจังหวัด เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ คือการประกาศว่า จังหวัดเชียงราย ในฐานะจังหวัดชายแดนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเชิงชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และสังคม ยังคงยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ และยังคงมุ่งหมายจะสืบสานคุณค่านั้นต่อไป

บทสรุปเชิงนโยบายและสังคม

  1. พิธีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่ใช่เพียงการจัดตามธรรมเนียม แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงสถาบันของมหาวิทยาลัยในฐานะ “พื้นที่กลางทางสังคม” ที่ให้ทั้งบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
  2. มติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดธงครึ่งเสา 30 วัน การไว้ทุกข์ของข้าราชการเป็นเวลา 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนร่วมอาลัย 90 วัน ชี้ให้เห็นถึงน้ำหนักเชิงสถาบันของพระราชสถานะของสมเด็จพระพันปีหลวง และยังตอกย้ำว่าพระองค์ทรงถูกนับเป็นหนึ่งในเสาหลักทางจิตวิญญาณของชาติ
  3. สำหรับจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังย้ำให้เห็นรากทางสังคม-วัฒนธรรมที่ลึก ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่สูง
  4. ในระยะยาว พิธีอาลัยครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมเชิงรำลึกและเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาสืบสานแนวคิดการพัฒนาชุมชน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ผ่านบทบาททางวิชาการและทางสังคมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ท้ายที่สุด ค่ำคืนที่แสงเทียนสว่างขึ้นเหนือพื้นลานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แต่เป็นการให้คำมั่นร่วมกันว่า “พระมหากรุณาธิคุณจะไม่เลือนหาย” และพันธกิจเพื่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส จะยังเดินหน้าต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ยกระดับ! จุลกฐินไทลื้อ “ผ้าทันใจ” มหากุศลรวมใจชุมชน สู่ยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชียงราย

จุลกฐินโบราณคืนชีพ อบจ.เชียงราย-ชุมชนผนึกกำลัง เปลี่ยนประเพณีเป็นทุน สร้างรายได้ยั่งยืน

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 — แสงไฟยามค่ำเริ่มทอดเงาบนลำน้ำโขง เงาคนงาน ผู้เฒ่า แม่เครือทอผ้า และเยาวชนในชุดไทลื้อสีครามเข้มกำลังขยับมือ ทำงานแข่งกับเวลา ในศาลาวัดบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่มีใครพูดถึงคำว่า “การจัดงาน” ทุกคนพูดถึงคำเดียวคือ “บุญ”

นี่คือบรรยากาศของ “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” ประเพณีบุญที่กำลังได้รับการฟื้นคืนให้มีชีวิตอย่างจริงจังจากการร่วมมือของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และองค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง) พร้อมการสนับสนุนของอำเภอเชียงของ ในช่วงวันที่ 25–26 ตุลาคม 2568

พิธีเปิดจัดขึ้น ณ วัดบ้านหาดบ้าย โดยมีนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ขณะที่ อบจ.เชียงรายซึ่งนำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา รองประธานสภา อบจ.เชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมในนามตัวแทนของจังหวัด เพื่อยืนยันว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงงานประเพณี หากแต่เป็นวาระเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย

จุลกฐิน” มหากุศลแห่งการรวมใจ

แก่นกลางของงานนี้ คือ “จุลกฐิน” หรือที่ชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายเรียกว่า “ผ้าทันใจ” ซึ่งเป็นพิธีบุญโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานในชุมชนไทลื้อทางล้านนา จุลกฐินถือเป็นงานบุญพิเศษที่ไม่ใช่การทอดกฐินแบบทั่วไป หากแต่เป็นการ “ทอผ้า เพื่อถวายผ้าไตรแด่พระภิกษุภายในเวลาจำกัด” คือ ต้องเก็บฝ้าย ฟั่นเส้น กรอ ปั่น ทอ เย็บ ตัด จนกลายเป็นผ้าไตรจีวร ถวายพระเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวาระบุญต่อเนื่อง โดยปกติทำกันภายในช่วงเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง

ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึง “ทั้งหมู่บ้านต้องตื่นพร้อมกัน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานจุลกฐินไม่ใช่เพียงพิธีทางศาสนาหรือการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่เป็น “มหากุศลที่หาชมได้ยากยิ่ง” และยิ่งไปกว่านั้น ความหมายแท้จริงของงาน ไม่ได้อยู่แค่ผืนผ้าที่จะถวายพระ แต่อยู่ที่ “พลังรวมใจของคนทั้งชุมชน”

“ประเพณีนี้ ไม่สามารถสำเร็จลงได้ด้วยคนเพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการรวมแรงของทั้งชุมชน ทำทุกขั้นตอนให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด” นายอุดมกล่าวระหว่างเปิดงาน พร้อมย้ำว่า ความพร้อมเพรียงของคนในพื้นที่บ้านหาดบ้ายและบ้านหาดทรายทอง ต.ริมโขง ไม่เพียงเป็นสิ่งน่าประทับใจในมิติของศรัทธา แต่กำลังขยายบทบาทไปสู่ “การบูรณาการและต่อยอดมรดกอันล้ำค่านี้ ให้กลายเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม”

การทอผ้าจุลกฐินตามคติความเชื่อดั้งเดิมของไทลื้อ ไม่ใช่แค่การทำผ้า แต่เป็นการ “ร่วมทำบุญใหญ่” ที่มีคุณค่าทางศาสนาใกล้เคียงกับการบวชของชายหนุ่ม ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาและกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ เนื่องจากสตรีไม่มีโอกาสบวชในเชิงพุทธศาสนาอย่างผู้ชาย การทอผ้ากฐินภายในกำหนดเวลาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นพื้นที่บุญสำคัญของผู้หญิงในชุมชน

ดังนั้น ในคืนก่อนวันถวายผ้า “ผู้หญิงไทลื้อจำนวนมากในชุมชนจะชำระร่างกาย ทำความสะอาดทุกส่วน รักษาศีล ตั้งจิตให้สงบ” ก่อนเริ่มภารกิจที่กินเวลาข้ามคืนตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนจนถึงค่ำของวันเดียวกัน — ไม่ใช่เพื่อความสวยงามของผืนผ้าเท่านั้น แต่เพื่อความบริสุทธิ์ของการทำบุญ

นี่คืออัตลักษณ์วัฒนธรรมที่ยืนยันเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งว่า ผู้หญิงในชุมชน ไม่ได้อยู่ในบทบาท “สนับสนุน” หากแต่เป็น “หัวใจของพิธีกรรม”

ประเพณีเก่าที่ไม่ยอมเก่า ความทรงจำของชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย

บ้านหาดบ้าย เป็นชุมชนไทลื้อที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ในเขตตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พื้นที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในด่านสำคัญของวัฒนธรรมไทลื้อที่โยกย้ายตั้งถิ่นฐานลงมาจากตอนบนของลุ่มน้ำโขงในอดีต พร้อมขนเอาวิถีชีวิต ภาษา การแต่งกาย การกิน และภูมิปัญญาการทอผ้าลงมาด้วย

ปราชญ์ท้องถิ่นของชุมชนเล่าว่า “จุลกฐิน” หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่บ้านว่า “ทอผ้าทันใจ” มีมาตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าในอดีตจะไม่ได้จัดทุกปีเสมอไป บางช่วงเว้นห่างทุก 3 ปี และในระยะก่อนหน้า พิธีมักจัดกันในลักษณะชุมชนเล็ก ๆ บนพื้นที่กลางหมู่บ้าน โดยมีครอบครัวและกลุ่มแม่หญิงในแต่ละกลุ่มมารวมตัวกัน ทำงานเงียบ ๆ แต่ตั้งใจมาก

รูปแบบในอดีตนั้นเรียบง่าย ไม่มีเวที ไม่มีไฟส่อง ไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์ การทำบุญเป็นกิจกรรมภายในหมู่บ้าน คนเฒ่าคนแก่สอนคนรุ่นลูก คนรุ่นลูกสอนคนรุ่นหลาน ต่อเนื่องกันไป นี่จึงเป็นทั้ง “พิธีกรรมทางศาสนา” “กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้” และ “กิจกรรมสร้างความสมัครสมาน” ในคราวเดียวกัน

แตกต่างจากหลายพื้นที่ในล้านนาที่ประเพณีจุลกฐินเริ่มเลือนหายไป บ้านหาดบ้ายกลับรักษาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และในรอบ 3 ปีหลัง ประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบายท้องถิ่นที่ชัดเจนขึ้น ผ่านการผลักดันของ อบต.ริมโขง และ อบจ.เชียงราย จนเปลี่ยนจากงานบุญท้องถิ่น ไปเป็น “เวทีวัฒนธรรมสาธารณะ” ในความหมายที่ยังเคารพรากเดิม

กล่าวได้ว่า บ้านหาดบ้ายไม่ได้เพียงรักษาประเพณีเก่าเอาไว้ แต่กำลัง “ใช้ประเพณีเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรม

วัฒนธรรมไม่ใช่ของโชว์ แต่คือเครื่องมือพัฒนาชุมชน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อบจ.ลงพื้นที่ร่วมเปิดงาน พร้อมสนับสนุนการจัดกิจกรรมในปีนี้อย่างต่อเนื่อง โดย อบจ.เชียงรายอธิบายกรอบการขับเคลื่อนงานไว้ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบยุทธศาสตร์ที่ตั้งใจจะกระจายการท่องเที่ยวจากจุดหลักที่คนทั่วไปคุ้นเคย (ตัวเมืองเชียงราย, ดอยแม่สลอง, วัดร่องขุ่น) ไปสู่ชุมชนชายแดนและชุมชนวัฒนธรรมชาติพันธุ์

เป้าหมายไม่ใช่เพียงการเพิ่มนักท่องเที่ยว แต่เป็นการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” กลายเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมจริง ไม่ใช่การนำวัฒนธรรมไปจัดแสดงแบบแยกออกจากเจ้าของวัฒนธรรม

ในรายละเอียด การสนับสนุนโครงการ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการที่ อบจ.เชียงรายและ อบต.ริมโขงระบุชัด ได้แก่

  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตพื้นบ้าน
    ไม่ใช่การสร้างแหล่งท่องเที่ยวจำลอง แต่ชวนให้ผู้มาเยือนได้เห็น “วิถีจริง” ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นถิ่น การแต่งกายไทลื้อ การทอผ้า การล่องเรือชมโขง หรือการใช้ชีวิตริมชายแดนไทย-ลาว
  2. สร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องที่
    งานจุลกฐินนำโอกาสทางเศรษฐกิจมาสู่คนในหมู่บ้านอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการจำหน่ายผ้าทอไทลื้อของชุมชนหาดบ้าย การจำหน่ายอาหารพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น และงานหัตถกรรมของกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเยาวชน
    เป้าหมายชัดเจน ให้การท่องเที่ยวเป็น “รายได้จริง” ไม่ใช่ “ภาพจำ” ว่าจังหวัดสวย
  3. สร้างความภาคภูมิใจและความร่วมมือในชุมชน
    การทำบุญร่วมกัน การทำงานร่วมกันแบบข้ามช่วงวัย การได้เห็นว่าทักษะฝีมือ (เช่นการทอผ้า) ถูกยอมรับในฐานะทุนของหมู่บ้าน ล้วนเป็นกลไกสร้างขวัญกำลังใจให้คนในพื้นที่เชื่อมั่นว่า “คุณค่าของเรา มีคนเห็น และมีคนพร้อมสนับสนุน”

นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวในพิธีเปิดว่า งานครั้งนี้เป็นภาพสะท้อน “พลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ” ที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวโดยชุมชน โดยย้ำว่า “พลังแห่งศรัทธาและความสามัคคี ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในขอบเขตของประเพณี แต่กำลังถูกต่อยอดเป็นรูปธรรมไปสู่การสร้างรายได้ให้ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”

เชียงของ ไม่ใช่แค่เมืองชายแดน แต่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

อำเภอเชียงของตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ติดชายแดน สปป.ลาว เป็นจุดที่แม่น้ำโขงไหลเข้าสู่ประเทศไทยตอนเหนือ พร้อมบทบาทด้านเศรษฐกิจเชื่อมการค้าไทย–ลาว–จีน และเส้นทางสัญจรของผู้เดินทางระหว่างอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงของเคยถูกมองว่าเป็น “เมืองทางผ่าน” สำหรับนักเดินทางไป–กลับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในปัจจุบันกำลังถูกออกแบบใหม่ให้เป็นจุดหมายในตัวเอง ผ่านการยกระดับสินค้าการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เช่น

  • การท่องเที่ยวแม่น้ำโขงทั้งทางเรือและทางจุดชมวิว
  • การท่องเที่ยววิถีชาติพันธุ์
  • การเดินถนนคนเดินชุมชน
  • การท่องเที่ยวสืบสานงานบุญและประเพณีท้องถิ่น

พื้นที่ตำบลริมโขงมีชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทลื้อ ไทยลาว ม้ง อาข่า ขมุ และคนพื้นเมืองล้านนา แต่ละกลุ่มมีทั้งภาษา อาหาร การแต่งกาย และขนบธรรมเนียมที่ต่างกัน งานจุลกฐินจึงไม่ใช่แค่พิธีทางพุทธศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็น “เวทีแสดงตัวตน” ของคนในพื้นที่ชายแดน โดยเปิดให้คนนอกได้เข้ามาเรียนรู้ด้วยความเคารพ

ในมิติพื้นที่ การจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมในชุมชนหาดบ้าย–หาดทรายทองยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2566–2570) และยุทธศาสตร์ของ อบจ.เชียงราย ที่มุ่ง “สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์โดยดำรงฐานวัฒนธรรมล้านนา” รวมถึงแนวนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชาติที่เน้นให้ชุมชนท้องถิ่นบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมของตนเอง เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืนได้ด้วยกำลังของชุมชน

กล่าวในเชิงกฎหมายและนโยบายท้องถิ่น การดำเนินโครงการดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2552 ตลอดจนกรอบอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ที่มอบหมายให้ท้องถิ่น “พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพื้นที่” รวมถึง “คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” และ “บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพของราษฎร”

กล่าวอีกแบบ นี่ไม่ใช่งานเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางกฎหมายและอำนาจของท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนอย่างตรงเป้า

จุลกฐิน ไม่ใช่แค่การสืบสาน แต่คือการต่อยอดอนาคต

ในเวทีเปิดงาน นายอุดม ปกป้องบวรกุล กล่าวถึงความหมายของโครงการครั้งนี้ว่า “ขอเชิญทุกท่านอิ่มบุญไปกับมหากุศลจุลกฐิน และอิ่มใจไปกับไมตรีจิตและวิถีวัฒนธรรมอันงดงามของชาวเชียงของ” พร้อมกล่าวขอบคุณหัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชนที่ร่วมมือกันสนับสนุนการจัดงาน โดยย้ำว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือพลังของพี่น้องท้องถิ่นรวมใจ ที่ไม่เพียงอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่กำลังสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง”

สาระสำคัญนี้สะท้อนเป้าหมายที่ชัดเจนของงาน “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” นั่นคือ

  • สร้างพื้นที่บุญของชุมชน ผ่านการทอผ้าจุลกฐินหรือ “ผ้าทันใจ” ซึ่งตามคติของชุมชนถือเป็นบุญใหญ่ และเป็นพื้นที่แสดงบทบาทนำของสตรีไทลื้อ
  • สร้างความสามัคคีในหมู่คนทุกเพศ ทุกวัย ในชุมชนหาดบ้ายและหาดทรายทอง ผ่านกระบวนการลงแรงร่วมกัน
  • ยืนยันอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มไทลื้อ และทำให้คนภายนอกเข้าใจวัฒนธรรมด้วยสายตาที่ “เห็นคุณค่า” ไม่ใช่ “มองเป็นของแปลกตา”
  • ปูรากฐานชุมชนให้กลายเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เสริมศักดิ์ศรีความเป็นเจ้าของพื้นที่

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทใหม่ของเศรษฐกิจไทย ที่กำลังมุ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวเชิงคุณค่า ไม่ใช่เพียงเชิงปริมาณ และกำลังส่งเสริมบทบาทของเศรษฐกิจสร้างสรรค์บนฐานทุนทางวัฒนธรรม เพื่อพยุงรายได้ของประชาชนในยุคที่สภาพเศรษฐกิจฐานรากเผชิญความผันผวน

บุญที่ไม่ใช่แค่ศรัทธา แต่คือการพัฒนาที่ยืนบนเท้าของคนในพื้นที่

สิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ในค่ำคืนวันที่ 25 ตุลาคม 2568 จึงไม่ใช่แค่การฟื้นฟูประเพณีโบราณ แต่คือแบบจำลองของการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมที่มีเจ้าของคือชุมชนเอง

ในภาพกว้าง นี่คือการเชื่อมต่อ “ศรัทธา–อัตลักษณ์–เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว” เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีกลไกรองรับในเชิงนโยบาย ตั้งแต่ อบต.ริมโขง ที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด จนถึง อบจ.เชียงราย ที่มองภาพรวมทั้งจังหวัดผ่านยุทธศาสตร์ “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” และฝ่ายปกครองอำเภอเชียงของที่ยืนยันบทบาทความร่วมมือของหน่วยงานรัฐท้องถิ่นและประชาชน

ท่ามกลางโลกที่การพัฒนามักถูกวัดด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจอย่างผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด หรือจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปี “งานทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ” เสนอเกณฑ์วัดอีกแบบหนึ่ง — นั่นคือ ความสามารถของชุมชนในการยืนยันคุณค่าของตนเอง และเปลี่ยนคุณค่านั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่ทิ้งรากเหง้า

หรือพูดให้ชัดในภาษาของคนท้องถิ่น บุญครั้งนี้ ไม่ใช่แค่บุญของวัด แต่เป็นบุญของทั้งหมู่บ้าน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อบจ.เชียงราย
  • ภาพ กีรติ ชุติชัย
  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News