Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT FEATURED NEWS

เชียงรายเมืองแอนิเมชัน! “Little Fan” คว้า The Winner ส่วนทีมไทย “Little Angel” คว้า Thai Best

ภูแล” ปรากฏการณ์ใหม่ของวงการแอนิเมชันไทย: “Little Fan” คว้ารางวัล The Winner ท่ามกลาง 1,274 ผลงานจากทั่วโลก พร้อมชู “Little Angel” คว้า Thai Best Animation รางวัลพิเศษเพื่อทีมไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในวันที่ประวัติศาสตร์แห่งวงการแอนิเมชันไทยได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โรง 5 เซ็นทรัลเชียงราย กลายเป็นเวทีแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล (Phulae International Animation Festival) 2025 ครั้งแรกของจังหวัดเชียงราย ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้โลกได้เห็นถึงศักยภาพของแอนิเมชันไทยบนเวทีระดับสากล

การจัดเทศกาลในครั้งแรกนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักสร้างสรรค์ทั่วโลก ด้วยผลงานแอนิเมชันที่ส่งเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 1,274 เรื่อง จาก 125 ประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งสำหรับการจัดเทศกาลครั้งแรก และสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและมาตรฐานระดับสากลของเทศกาลแห่งนี้

พิธีประกาศผลและมอบรางวัลในครั้งนี้มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยมีคุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี และคุณรัฐ จำปามูล ในฐานะ Festival Director ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเทศกาลแห่งนี้ การมีส่วนร่วมของหน่วยงานระดับกระทรวงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและการสนับสนุนจากภาครัฐต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ

The Winner Little Fan โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมัน
Sveta Yuferova ชาวเยอรมัน เจ้าของเรื่อง Little Fan

“Little Fan” สร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัล “The Winner”

ภายหลังการแข่งขันที่เข้มข้นและการพิจารณาอย่างรอบคอบจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการตัดสินได้ปรากฏขึ้นแล้ว โดยมีแอนิเมชัน 5 เรื่องที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อชิงรางวัลอันทรงเกียรติ

ผลงานที่คว้าสุดยอดรางวัล “The Winner” ได้แก่ “Little Fan” โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวของการค้นพบตัวเองผ่านมิตรภาพที่เติบโตขึ้นอย่างคาดไม่ถึงระหว่าง “Little Fan” และ “Origami Crane” ผลงานนี้ชวนให้ผู้ชมร่วมเดินทางไปกับโศกนาฏกรรมอันงดงามของชีวิต ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งและภาพแอนิเมชันที่สื่ออารมณ์ได้อย่างน่าประทับใจ

First runner-up OUROBOROS โดย Yummy Films จากประเทศฝรั่งเศส
Second runner-up The Sprayer โดย Farnoosh Abedi จากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน

นอกจากรางวัลชนะเลิศแล้ว ยังมีการประกาศรางวัลอื่นๆ ดังนี้ รางวัล First Runner-up ได้แก่ “OUROBOROS” โดย Yummy Films จากประเทศฝรั่งเศส รางวัล Second Runner-up ได้แก่ “The Sprayer” โดย Farnoosh Abedi จากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และรางวัล Honorable Mention จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ “Town Hall Square” โดย Christian Kaufmann จากประเทศเยอรมนี และ “Little Angel” โดยทีมนักศึกษาไทยซึ่งประกอบด้วย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ นางสาวทิพปภา สังข์ทอง และนางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์

Honorable mention Town Hall Square โดย Christian Kaufmann จากประเทศเยอรมัน
Honorable mention Little Angel โดย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ / นางสาวทิพปภา สังข์ทอง / นางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์ จาก ประเทศไทย

รางวัลพิเศษ “Thai Best Animation” เชิดชูศักยภาพนักแอนิเมชันไทย

หนึ่งในไฮไลท์พิเศษของงานคือการมอบรางวัล “Thai Best Animation” ซึ่งเป็นรางวัลที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูและส่งเสริมศักยภาพของนักแอนิเมชันไทย โดยผลงานที่ได้รับรางวัลนี้คือ “Little Angel” ซึ่งเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ของทีมนักศึกษาสาว 3 คน ที่ใช้ความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ

การได้รับรางวัลนี้ไม่เพียงแสดงถึงความสามารถของนักแอนิเมชันไทยรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของการศึกษาด้านแอนิเมชันในประเทศไทยที่สามารถผลิตผลงานที่มีมาตรฐานระดับสากล รางวัลนี้ครอบคลุมการส่งเสริมศักยภาพของนักศึกษาด้านแอนิเมชันจากกว่า 40 สถาบันในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความครอบคลุมและการสนับสนุนอย่างทั่วถึง

คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ได้กล่าวแสดงความยินดีและมอบรางวัลดังกล่าว ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงการสนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยจากภาครัฐ และเป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศในอนาคต

"Little Angel" โดยทีมนักศึกษาไทยซึ่งประกอบด้วย นางสาวจิตกาญจน์ อาภาพันธ์ นางสาวทิพปภา สังข์ทอง และนางสาวพรพิชา ตันติอภิรมย์

ภูแล” จากสับปะรดสู่สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้

ชื่อ “ภูแล” ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อของเทศกาลเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้งที่สะท้อนถึงปรัชญาและวิสัยทัศน์ของการจัดงาน คุณรัฐ จำปามูล ได้อธิบายถึงที่มาของชื่อ “ภูแล” ว่ามาจากสับปะรดภูแล ซึ่งเป็นพืชนักสู้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของเชียงราย แม้จะมีขนาดเล็กเท่ากำปั้น แต่กลับมีรสชาติที่โดดเด่นและน่าจดจำ สามารถเติบโตได้ตลอดปี

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนถึงแอนิเมชันไทยที่แม้จะเป็นศิลปะที่เพิ่งเริ่มต้นไม่นาน แต่ก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นและน่าสนใจ มีความเฉพาะตัวและศักยภาพที่จะแข่งขันในระดับนานาชาติได้หากได้รับโอกาสและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง งานนี้เป็นผลผลิตจากความฝันของคุณรัฐที่ต้องการจัดเทศกาลแอนิเมชันระดับโลกในเมืองที่มีเสน่ห์อย่างเชียงราย

เทศกาลยังมีมาสคอตน่ารักชื่อ “น้องลูกกุย” ซึ่งเป็นคำเมืองที่แปลว่า “กำปั้น” โดยผสมผสานสับปะรดภูแลเข้ากับ “แมงสี่หูห้าตา” สัตว์วิเศษในตำนานพื้นบ้านของเชียงราย เพื่อสื่อถึงความเป็นนักสู้และความใจสู้ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่ต้องการส่งต่อให้นักแอนิเมชันรุ่นใหม่ของไทย

เป้าหมายยั่งยืนจากเทศกาลสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ได้ชื่นชมโครงการนี้ว่า “เป็นโครงการที่มีผลกระทบในเชิงบวกมากๆ ในการพัฒนาศักยภาพของน้องๆ เยาวชนต่องานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย” สิ่งที่น่าสนใจคือรางวัลที่มอบให้กับผู้ชนะทั้ง 5 รางวัลไม่ใช่เงินสด แต่เป็นทริปท่องเที่ยวเชียงรายสุดพิเศษ 3 วัน 2 คืน

การออกแบบรางวัลในรูปแบบนี้มีเป้าหมายที่ลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้ที่ได้รับรางวัลได้สัมผัสกับศิลปะ วัฒนธรรม และความสวยงามของจังหวัดเชียงราย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้รับรางวัลจะกลับไปบอกต่อและประชาสัมพันธ์เชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดในการสร้างการรับรู้และดึงดูดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

การจัดเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติ “ภูแล” ในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างการรับรู้ในระดับสากลให้เชียงรายโดดเด่นในฐานะ Digital Art City ซึ่งจะช่วยส่งเสริม Creative Economy และเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเผยแพร่ Soft Power ของไทย

ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

เทศกาล “ภูแล” ไม่เพียงแค่เป็นการประกวดแอนิเมชันธรรมดา แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย การมีผลงานจากทั่วโลกส่งเข้าร่วมมากกว่า 1,000 เรื่องในปีแรกแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว

การเชื่อมโยงระหว่างแอนิเมชันกับการท่องเที่ยวผ่านรางวัลท่องเที่ยวเชียงรายเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งอาจกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดเทศกาลศิลปะอื่นๆ ในประเทศ นอกจากนี้ การสร้างโอกาสให้นักแอนิเมชันไทยจากกว่า 40 สถาบันได้แสดงผลงานยังเป็นการสร้างเครือข่ายและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

การที่เชียงรายได้รับการยอมรับให้เป็นเจ้าภาพเทศกาลระดับนานาชาตินี้ยังสะท้อนถึงความพร้อมของเมืองในการเป็น Digital Art City ตามแนวทางเดียวกับเมืองคานส์ในประเทศฝรั่งเศสที่เป็นเมืองแห่งศิลปะภาพยนตร์ ซึ่งจะสร้างคุณค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและยกระดับภาพลักษณ์ของจังหวัดในระยะยาว

ความสำเร็จของเทศกาล “ภูแล” ในปีแรกนี้เป็นสัญญาณที่ดีต่อการพัฒนาต่อเนื่อง คาดว่าในปีหน้าจะมีผลงานส่งเข้าร่วมเพิ่มขึ้น และอาจมีการขยายกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น การจัด workshop และ masterclass กับผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ซึ่งจะช่วยยกระดับศักยภาพของนักแอนิเมชันไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสรุป

  • งาน: พิธีประกาศผลและมอบรางวัลเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล 2025
  • วันที่: วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2568 เวลา 16.30 – 19.00 น.
  • สถานที่: โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (โรง 5) เซ็นทรัลพลาซา เชียงราย
  • ผู้ชนะรางวัล The Winner: Little Fan โดย Sveta Yuferova จากประเทศเยอรมนี
  • รางวัลพิเศษ Thai Best Animation: Little Angel โดยทีมงานจากประเทศไทย
  • จำนวนผลงานที่ส่งเข้าประกวด: 1,274 เรื่อง จาก 125 ประเทศ
  • รางวัลสำหรับผู้ชนะ 5 อันดับแรก: ทริปท่องเที่ยวเชียงราย 3 วัน 2 คืน
คุณเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
คุณรัฐ จำปามูล Festival Director

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • Sputnik Tales Studio (ผู้จัดงาน)
  • เอกสารประกอบการแถลงข่าวเทศกาลแอนิเมชันนานาชาติภูแล 2025
  • ข้อมูลจากคุณรัฐ จำปามูล (Festival Director)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

รสชาติที่หายไป! แกงแคไก่เมืองเชียงรายชนะโหวตเมนูเชิดชูอาหารถิ่นประจำปี 68

 “แกงแคไก่เมือง” ทวงคืนรสชาติที่หายไป เชียงรายชู Soft Power อาหารถิ่นสู่เวทีชาติ

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางยุคสมัยที่อาหารฟิวชั่นและรสมือจากต่างชาติเข้ามาครองใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ เมนูพื้นบ้านหลายอย่างกำลังถูกลืมเลือนจากสำรับอาหารไทย แต่ในปี 2568 นี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ให้ “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย กลับกลายเป็นเมนูดาวเด่นที่ปลุกกระแสรักษ์ถิ่น จากการเปืดให้ชาวเชียงรายร่วมโหวต 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น ประจำปี 2568 “Thailand Best Local Food : รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

แกงแคความหมายที่มากกว่าอาหารจานหนึ่ง

แกงแคไก่เมือง เป็นมากกว่าเมนูรสจัดจ้านในครัวคนเหนือ เพราะนี่คือ “ภูมิปัญญาการกิน” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติและวิถีชีวิตบนผืนดินล้านนาแท้จริง แกงแคจึงไม่ใช่แค่แกงรวมผักหรืออาหารประจำฤดูกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย ความพอเพียง และการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ในหนึ่งหม้อรวมทั้งผักจากสวนและจากป่า เช่น ผักเผ็ด ผักขี้หูด เห็ดลม มะเขือเปราะ หางหวาย และที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่เมือง” หรือไก่พื้นบ้านที่เนื้อแน่น หอมหวาน ไม่ฉุนกลิ่นยา

จากการสืบค้นในตำนานอาหารพื้นเมือง คำว่า “แค” ในภาษาเหนือ หมายถึง การรวมผักหรือเครื่องปรุงหลายอย่างเข้าด้วยกัน โดยแต่ละบ้านอาจเลือกผักตามฤดูกาลหรือตามความอุดมสมบูรณ์ในช่วงนั้น เป็นความยืดหยุ่นที่เปิดโอกาสให้แต่ละครอบครัวใส่ “ลายเซ็นของตัวเอง” ลงในหม้ออาหาร

เชฟสะระแหน่  – ต้นตำรับความกลมกล่อม จากครัวชุมชนสู่เวทีชาติ

ในปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพื้นบ้านล้านนา “เชฟสะระแหน่” จากร้านสบันงาขันโตก จังหวัดเชียงราย ได้รับเชิญให้ถ่ายทอดเคล็ดลับการปรุงแกงแคไก่เมืองต้นตำรับ ซึ่งเขาเน้นย้ำถึง 3 หัวใจสำคัญที่ทำให้เมนูนี้ยังคงเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

  1. วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น โดยเฉพาะไก่เมืองพันธุ์พูหางดำจากเวียงชัย และผักปลอดสารที่ปลูกเองในสวน
  2. การเจียวเครื่องแกงและผัดไก่ด้วยไฟอ่อน เพื่อดึงรสชาติจากสมุนไพร เช่น กระเทียม พริกแห้ง ดีปลี และ “จี้ลี่ปากกา” หรือดีปลีพื้นบ้าน
  3. ลำดับการใส่ผัก ที่เริ่มจากผักแข็งก่อน เช่น หางหวาย ยอดมะพร้าวอ่อน ตามด้วยเห็ดลม มะเขือเปราะ ปิดท้ายด้วยผักอ่อนและสมุนไพรหอมฉุนที่ทำให้กลิ่นและรสชาติซับซ้อนขึ้น

เชฟสะระแหน่ กล่าวว่า “อาหารเหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ อาหารไม่มีผิดถูก ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้”

การทวงคืน “รสชาติที่หายไป” กับภารกิจอนุรักษ์ Soft Power อาหารไทย

โครงการ 1 จังหวัด 1 เมนูฯ ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ไม่เพียงเป็นเวทีคัดสรรเมนูเด่น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ฟื้นชีวิต” ให้อาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นักเรียน และนักท่องเที่ยว ในปีนี้ มีเมนูจาก 77 จังหวัดเข้าร่วมประกวดทั่วประเทศ โดยแกงแคไก่เมืองเชียงรายได้รับคะแนนโหวตสูงสุด สะท้อนการยอมรับในระดับชาติ

สิ่งที่น่าจับตาคือ “แกงแคไก่เมือง” จะไม่ได้หยุดอยู่ที่ตำรับในบ้านหรือบนโต๊ะอาหารท้องถิ่นอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น Soft Power สำคัญด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เตรียมต่อยอดด้วยการเผยแพร่สูตรดั้งเดิม ส่งเสริมร้านอาหารในพื้นที่ให้ดึงเมนูนี้เข้าสู่เมนูหลัก ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลอาหารถิ่นเพื่อการเรียนรู้และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสมัยใหม่

ผลลัพธ์ที่กว้างขวาง “แกงแคไก่เมือง” กับอัตลักษณ์เชียงราย

ชัยชนะของแกงแคไก่เมืองในปี 2568 ไม่เพียงเป็นเรื่องราวของการแข่งขัน แต่เป็น “ชัยชนะของอัตลักษณ์” ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เศรษฐกิจฐานราก และการอนุรักษ์ภูมิปัญญา

  1. ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน: ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถใช้เมนูนี้เป็นจุดขาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มรสต้นตำรับถึงถิ่น
  2. กระตุ้นการผลิตวัตถุดิบปลอดภัย: การเน้นใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน ทำให้เกษตรกรในชุมชนมีตลาดรองรับ ผลักดันให้เกิดการปลูกผักปลอดสาร พัฒนาอาชีพและรายได้
  3. สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น: เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้รากเหง้าทางวัฒนธรรม พร้อมส่งต่อสูตรอาหารอย่างเป็นระบบ เป็นสะพานเชื่อมโยงอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

อาหารพื้นบ้านในฐานะ “มรดกที่กินได้”

เรื่องราวของแกงแคไก่เมืองในวันนี้ คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ศิลปะหรือวัตถุโบราณ แต่อยู่ใน “หม้อแกง” ของบ้านทุกหลัง และสามารถก้าวสู่ Soft Power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง

ขณะที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังอยู่ระหว่างรวบรวมและประกาศผลอย่างเป็นทางการสำหรับทุกจังหวัด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในเชียงรายคือ กระแสการตื่นตัว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความภาคภูมิใจของชุมชนที่ต้องการทวงคืน “รสชาติที่หายไป” ให้กลับมาเป็นหัวใจบนสำรับอาหารไทยอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สัมภาษณ์เชฟสะระแหน่  ร้านสบันงาขันโตก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกท้องถิ่น เปิด “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่น ดัน “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ “นายกนก” ชี้ชัดพร้อมหนุนเต็มที่ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในช่วงเวลาวิกฤตที่ราคาผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนืออย่าง “ลำไย” และ “กระท้อน” ตกต่ำจนสร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของ “นายกนก” นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ไม่รอช้า เร่งเดินหน้าผนึกกำลังกับองค์กรปกครองท้องถิ่น จัดเวทีตลาดผลไม้เพื่อเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณการจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ประจำปี 2568 ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

การรวมพลังจากฐานรากเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เทศบาลตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย คึกคักเป็นพิเศษจากการจัดพิธีเปิดงานวันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก โดยมี นายกนก – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายพิเศษ อาษา นายกเทศมนตรีตำบลห้วยสัก คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. เจ้าหน้าที่ และประชาชนกว่า 500 คนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดนัดผลไม้ แต่คือ “เวทีเชื่อมตรง” ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรถูกกดราคา และรายได้ไม่เป็นธรรม นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีสินค้าแปรรูปจากลำไย กระท้อน ขนมพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ OTOP จากกลุ่มอาชีพในชุมชน มาร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรท้องถิ่น

พร้อมสู้ทุกปัญหาเพื่อชาวไร่

ในพิธีเปิดงาน นายกนกเน้นย้ำว่า “อบจ.เชียงราย ยืนยันจะอยู่เคียงข้างเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณและประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อเปิดตลาดตรง ให้เกษตรกรได้ขายสินค้าในราคายุติธรรม สร้างรายได้มั่นคงให้กับครอบครัว สร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแกร่ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน”

นอกจากนั้น อบจ. ยังวางแผนต่อยอดตลาดผลไม้ในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพิ่มกิจกรรมสร้างสีสัน เช่น ประกวดผลไม้สวยงาม สาธิตการแปรรูป การประกวดอาหารท้องถิ่น สร้างเสน่ห์และคุณค่าที่แตกต่าง

วิกฤตราคาสินค้าเกษตรจุดเปลี่ยนสู่การสร้างความยั่งยืน

ในแต่ละปี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวลำไยและกระท้อน ผลผลิตมักล้นตลาด เกษตรกรถูกกดราคา บางปีราคาต่ำกว่าทุน แต่การจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การบรรเทาเฉพาะหน้า แต่เป็นการ “ปักหมุด” ให้เกิดรูปแบบการตลาดใหม่ที่เน้นการขายตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือ “Direct to Consumer” โดยแท้จริง

โครงการนี้เป็นโมเดลการตลาดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. และเทศบาล ต่อยอดแนวคิดพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ช่วยให้เกษตรกรกำหนดราคาขายได้เอง ส่งเสริมการตั้งกลุ่มอาชีพ/วิสาหกิจชุมชน ร่วมคิด ร่วมพัฒนา และสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเลือกซื้อผลผลิตในชุมชนเป็นอันดับแรก เกิดการกระจายรายได้ เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตด้วยการแปรรูปเป็นของฝากหรือขนมขบเคี้ยว สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

บูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-วัฒนธรรม

งาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเกษตรกรรม หากแต่บูรณาการสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการสินค้าชุมชน Workshop การทำขนมพื้นบ้าน การท่องเที่ยวสวนผลไม้เชิงเกษตร เพื่อสร้างความหลากหลายดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสต่อยอดเป็นเทศกาลประจำปีที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับพื้นที่ในระยะยาว

จุดแข็งที่สำคัญคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผน จัดเตรียมงาน ขายสินค้า ไปจนถึงกิจกรรมบนเวทีหลัก ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างความผูกพันและภาคภูมิใจในชุมชนของตน

 “เชียงรายโมเดล” – อบจ.นำร่องตลาดตรง สู้ปัญหาเกษตรกรยุคใหม่

จากวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำสู่โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ไม่เพียงแต่อาศัยงบประมาณภาครัฐช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังกล้า “ลงมือปฏิบัติจริง” ดึงคนในชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท ผลักดันให้เกิดโมเดลการตลาดที่เป็นธรรม เชื่อมตรงเกษตรกร-ผู้บริโภค เสริมสร้างการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจระดับรากฐาน

โมเดลนี้ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากท้องถิ่น ช่วยลดช่องว่างทางรายได้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว

 “นายกนก” นำทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความยั่งยืนให้เชียงราย

การจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ปี 2568 คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีงานทำ เศรษฐกิจชุมชนขยายตัว และเกิดต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถต่อยอดในอนาคต

นี่คือบทพิสูจน์ถึงผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เพียงแค่ “บริหารงบ” แต่ “เข้าใจหัวใจเกษตรกร” และกล้าขับเคลื่อนชุมชนให้ก้าวข้ามวิกฤตสู่โอกาสใหม่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลห้วยสัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

ดอยตุงสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ปัญหามลภาวะทางแสงที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสูญเสียความงาม สวนแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย กลับสามารถสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” (Dark Sky Conservation Area in a Private Area) อย่างเป็นทางการ ถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเภทนี้ของประเทศไทย

ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอกย้ำคุณค่าทางธรรมชาติของดอยตุงที่มีมาช้านาน แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดาราศาสตร์ที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน

เส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ง่ายดาย

การได้รับการรับรองในครั้งนี้ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 คุณวิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ในฐานะตัวแทนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้ารับมอบโล่รับรองอย่างเป็นทางการในโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 4 ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT)

ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่พื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีแนวทางการจัดการแสงสว่างที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐาน โดยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางแสง (Light Pollution) ทำให้ผู้มาเยือนสามารถชื่นชมความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนและดวงดาวนับล้านดวงได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน

เกณฑ์มาตรฐานระดับโลกที่ท้าทาย

สำหรับการได้รับการรับรองเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” นั้น NARIT ได้กำหนดเกณฑ์และกระบวนการรับรองที่เข้มงวดตามมาตรฐานสากล ซึ่งประกอบด้วยข้อกำหนดหลักที่ท้าทายดังนี้

ด้วยพื้นที่โล่งที่เหมาะสม สวนแม่ฟ้าหลวงมีพื้นที่โล่งสำหรับจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ที่สามารถสังเกตการณ์ท้องฟ้าโดยรอบได้มากกว่า 70% ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำที่กำหนดไว้

คุณภาพท้องฟ้าของพื้นที่นี้มีค่าความมืดท้องฟ้าสูงถึง 19 magnitude ต่อตารางฟิลิปดา และสามารถสังเกตเห็นวัตถุท้องฟ้าต่างๆ ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางช้างเผือก กาแล็กซีอันดรอมีดา และกลุ่มดาวต่างๆ ที่สวยงาม

ในด้านการบริหารจัดการแสงสว่าง สวนแม่ฟ้าหลวงมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพใน 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การควบคุมทิศทางแสงให้ส่องลงพื้นเท่านั้น การเลือกใช้อุณหภูมิแสงสว่างที่เหมาะสม และการมีระบบควบคุมเวลาเปิด-ปิดที่เข้มงวด รวมถึงการจำกัดความสว่างของแหล่งกำเนิดแสงภายนอกอาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดแสงรบกวน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพื้นที่โดยรอบปราศจากแสงรบกวนจากภายนอก และมีการศึกษาและอธิบายถึงสถานการณ์มลภาวะทางแสงโดยรอบพื้นที่จัดกิจกรรมอย่างละเอียด

มิติใหม่ของการอนุรักษ์ที่ครอบคลุมทุกชีวิต

การเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงจุดชมดาว เพราะการอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์อย่างมหาศาล วัฏจักรธรรมชาติของแสงและความมืดเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อการทำงานของระบบนิเวศโลก

สำหรับสัตว์ป่า แสงประดิษฐ์ในเวลากลางคืนสร้างความเสียหายอย่างมากต่อพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การหากิน การอพยพตามฤดูกาล และกระบวนการสืบพันธุ์ที่สำคัญ นกอพยพหลงทางจากเส้นทางการบินที่ใช้มานานนับพันปี แมลงกลางคืนสูญเสียการนำทางจากแสงดวงจันทร์และดวงดาว ส่งผลให้ห่วงโซ่อาหารเกิดความเสียหาย

สำหรับพืชพรรณ กระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การออกดอก การเจริญเติบโต และการสังเคราะห์แสงในเวลากลางคืนก็ได้รับผลกระทบจากแสงประดิษฐ์เช่นกัน

ในส่วนของมนุษย์ แสงประดิษฐ์ที่มากเกินไปในเวลากลางคืนรบกวนการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่จำเป็นต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ความเครียด โรคซึมเศร้า และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ

การลดมลภาวะทางแสงจึงเป็นมาตรการอนุรักษ์ที่ให้ประโยชน์หลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การปกป้องสุขภาพของมนุษย์ การประหยัดพลังงาน และการลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว

ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

การขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้สัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รูปแบบใหม่ที่พิเศษและหาได้ยากในภูมิภาคนี้ ภายในพื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีการออกแบบกิจกรรมกลางคืนที่ผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลงตัว

กิจกรรมเดินสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพยามค่ำคืนจะให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับชีวิตสัตว์ป่ากลางคืนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้ฟังเสียงธรรมชาติยามค่ำคืนที่แตกต่างจากกลางวัน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของสรรพสิ่งเพื่อความอยู่รอดในความมืด

การบรรยายเรื่องดวงดาวโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการเปิดหน้าต่างสู่จักรวาล ให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้เกี่ยวกับดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ กาแล็กซี และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ต่างๆ ที่สามารถสังเกตได้จากท้องฟ้าดอยตุง พร้อมทั้งเข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ท้องฟ้ายามราตรี

เพื่อรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าร่วม กิจกรรมทั้งหมดจะมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นระยะ และเปิดให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อควบคุมจำนวนผู้เข้าชมให้เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ

โอกาสและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของสวนแม่ฟ้าหลวงในการกลายเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดแห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย เป็นต้นแบบที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การขยายผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวยังต้องการการดำเนินการในหลายมิติ

การพัฒนากฎหมายและข้อบังคับระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลควรพิจารณาการออกกฎหมายเฉพาะด้านมลภาวะทางแสงที่มีฟันเขี้ยวในการบังคับใช้ เพื่อให้มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและครอบคลุมทั่วประเทศ

การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเป็นอีกปัจจัยสำคัญ NARIT และ ททท. ควรขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการปรับปรุงระบบแสงสว่างให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาแพ็กเกจการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ที่หลากหลายและน่าสนใจ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเป็นรากฐานสำคัญของการอนุรักษ์ ควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบของมลภาวะทางแสงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และมรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจให้กับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่เหล่านี้มากที่สุด

การบูรณาการกับการวางแผนการใช้ที่ดินและการพัฒนาเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาการรวมข้อกำหนดและมาตรฐานด้านมลภาวะทางแสงเข้ากับแผนการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและชนบท เพื่อป้องกันการเกิดมลภาวะทางแสงใหม่และรักษาคุณภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้สำหรับอนุชนคนรุ่นหลัง

มรดกอันล้ำค่าสำหรับคนไทยทุกคน

การขึ้นทะเบียนสวนแม่ฟ้าหลวงเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดไม่ใช่เพียงความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นความภาคภูมิใจและมรดกอันล้ำค่าที่มอบให้กับธรรมชาติและคนไทยทุกคน ความสำเร็จนี้เป็นสัญลักษณ์ของการที่ประเทศไทยสามารถนำแนวคิดการอนุรักษ์ในมิติใหม่มาปฏิบัติได้จริง และเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคอาเซียนและนานาประเทศ

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมลภาวะทุกรูปแบบกำลังคุกคามวิถีชีวิตของมนุษย์และสรรพสิ่ง การที่เรายังคงสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้เหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยมองเห็น ถือเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างล้ำลึก

สวนแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่สวนสาธารณะหรือแหล่งท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นหน้าต่างสู่จักรวาลที่เปิดให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นห้องเรียนกลางแจ้งที่สอนให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เตือนใจเราให้ตระหนักถึงหน้าที่ในการรักษาและปกป้องความงามของโลกใบนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

การที่เราจะร่วมกันปกป้องความมืดแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืน และแสงแห่งดวงดาวนับล้านดวงให้คงอยู่สำหรับลูกหลานของเราในอนาคต นั่นคือภารกิจสำคัญที่สวนแม่ฟ้าหลวงได้เปิดทางไว้ให้เราทุกคนได้เดินตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์: ข่าวสารและข้อมูลการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): ข้อมูลโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดและเกณฑ์การพิจารณา
  • โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ข้อมูลพื้นฐานและปรัชญาการดำเนินงาน
  • International Dark-Sky Association (IDA): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดประเภทต่างๆ และมาตรฐานสากล
  • เอกสาร “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล: แนวทางปฏิบัติ ประโยชน์ และโอกาสในประเทศไทย”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปลุกวิถีชีวิตดั้งเดิม! เทศบาลนครเชียงรายดันนโยบายอาหารปลอดภัย-การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จากทุ่งนาสู่เมืองแห่งการเรียนรู้: เทศบาลนครเชียงราย ดัน 2 นโยบายใหญ่ ‘อาหารปลอดภัย-การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ปลุกวิถีชีวิตดั้งเดิม หวังสร้างชุมชนยั่งยืน

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในห้วงเวลาที่หลายเมืองทั่วโลกเร่งเครื่องสู่การเป็นมหานครแห่งเทคโนโลยีและดิจิทัล เทศบาลนครเชียงรายกลับเลือกเดินทางในแนวทางที่แตกต่าง คือการหวนคืนสู่วิถีชุมชนดั้งเดิม อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเป็นรากฐานพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยการขับเคลื่อน 2 นโยบายสำคัญ “เชียงรายต้นแบบเมืองอาหารปลอดภัย” และ “เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้นครเชียงราย” ผ่านโครงการเสริมสร้างความยั่งยืนของการพัฒนานครเชียงรายในอนาคต (กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพชุมชนด้วยวิถีชุมชน) ณ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา

บรรยากาศของงานเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและพลังของผู้คนกว่า 300 คน ภายใต้การนำของ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนแนวคิด “เมืองน่าอยู่ ชุมชนยั่งยืน” ให้กลายเป็นความจริง ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชน คณะผู้บริหารเทศบาล ครู นักเรียน และชาวบ้านที่ต่างพร้อมใจกันมา “ลงแขก” ทำกิจกรรมและเรียนรู้ร่วมกัน

อาหารปลอดภัย” จากผืนนาสู่จานข้าว – ปลูกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่

เทศบาลนครเชียงรายให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) อย่างยิ่งยวด มองว่าอาหารปลอดภัยไม่ใช่เพียงโครงการ แต่เป็นรากฐานของการสร้างคุณภาพชีวิต สุขภาพ และความยั่งยืนที่แท้จริง ภายหลังพิธีเปิด นายวันชัยนำคณะผู้บริหารและนักเรียนลงมือ “เกี่ยวข้าว” ในแปลงนา นำร่องให้เด็กๆ ได้สัมผัสและเข้าใจขั้นตอนการทำนาแบบดั้งเดิมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การเตรียมดิน การหว่าน การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

กิจกรรมเชิงปฏิบัติการนี้ไม่เพียงทำให้เยาวชนเห็นความสำคัญของข้าวในฐานะอาหารหลักของคนไทย แต่ยังได้ตระหนักถึงคุณค่าของการกินอาหารที่ปลอดภัย ปราศจากสารเคมี และเรียนรู้ว่ากว่าข้าวสักเมล็ดจะมาถึงจาน ต้องผ่านกระบวนการและความร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน

นอกจากนี้ ในกิจกรรมยังมีการปล่อยปลาในแหล่งน้ำชุมชน เพื่อสร้างสมดุลทางนิเวศและเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของครัวเรือน การสาธิตอาหารพื้นบ้านล้านนาและขนมโบราณ เปิดโอกาสให้ทุกเพศทุกวัยได้เรียนรู้ภูมิปัญญาในการแปรรูปวัตถุดิบท้องถิ่นและต่อยอดเป็นอาชีพเสริม สะท้อนการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นอย่างแท้จริง

เมืองแห่งการเรียนรู้” – สะพานเชื่อมปราชญ์กับเยาวชน สร้างพลเมืองคุณภาพ

เชียงรายตระหนักดีว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน เทศบาลฯ จึงจัดตั้ง “โครงการเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้นครเชียงราย” ให้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ และเยาวชนเป็นแกนกลางการขับเคลื่อน สะพานความรู้จากปราชญ์ชุมชนสู่คนรุ่นใหม่ สร้างพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)

ภายในงาน มีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เปิดกว้าง เช่น การวาดภาพของดีในชุมชน การเรียนรู้การเพาะเห็ดในครัวเรือน การเลี้ยงปูนา (ไข่ไข่) และเวิร์กช็อปภูมิปัญญาท้องถิ่นหลากหลาย เพื่อปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักรักบ้านเกิด ภูมิใจในวัฒนธรรมตนเอง รวมถึงเปิดโอกาสให้ค้นพบความสามารถและอาชีพที่เหมาะสมกับตนเองในอนาคต

โครงการนี้ยังเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ถ่ายทอดความรู้-ทักษะจากประสบการณ์จริงผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” อันเป็นรากฐานของเมืองแห่งอนาคตอย่างแท้จริง

นโยบายท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงจากรากสู่ยอด

กรณีเทศบาลนครเชียงราย ถือเป็นตัวอย่างของการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและยั่งยืน (Holistic Approach) ที่ผสมผสานประเด็นเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษาเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ความกล้าหาญในการหยิบยกภูมิปัญญาดั้งเดิมขึ้นมาสร้างคุณค่าใหม่ ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองยุคใหม่ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากความเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

ในสายตาของนักวิเคราะห์ นโยบายทั้งสองดังกล่าวเป็นการตอบโจทย์ SDGs ขององค์การสหประชาชาติในเป้าหมายที่ 2 (ขจัดความหิวโหย) และ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) ผ่านการขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมและการมีส่วนร่วมที่แท้จริง นอกจากนี้ ยังช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมท้องถิ่นสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น

 “เชียงรายโมเดล” – เดินช้ากว่าคนอื่น แต่มั่นคงกว่าด้วยรากเหง้า

การจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพชุมชนในครั้งนี้ คือเครื่องพิสูจน์ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เสมอไป แต่เริ่มต้นได้จากจุดเล็กๆ ใกล้ตัว ผ่านความร่วมมือของคนในชุมชนเอง และด้วยการวางรากฐานวิถีชีวิตและการเรียนรู้ที่ดี เมืองเชียงรายกำลังกลายเป็นต้นแบบ “เมืองที่น่าอยู่” ซึ่งทุกคนในสังคมสามารถเติบโตไปพร้อมกัน

ดังคำกล่าวของนายวันชัย จงสุทธานามณี ที่ว่า “เทศบาลนครเชียงรายจะเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่บูรณาการวิถีชุมชนเข้ากับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนอย่างยั่งยืน” นี่คือพลังเล็กๆ ที่จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนอนาคตของเมืองและลูกหลานเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

โอกาสสู่ระดับชาติ! เชียงรายเปิดรับสมัครผู้ตัดสินเทเบิลเทนนิส พร้อมยกย่อง “ดร.อัจฉรา”

เทเบิลเทนนิสเชียงรายคึกคัก! เปิดรับสมัครอบรมผู้ตัดสินระดับชาติ ยกระดับมาตรฐานวงการ พร้อมร่วมยินดี “ดร.อัจฉรา เสาร์เฉลิม” นักกีฬารุ่นเก๋าผู้สร้างแรงบันดาลใจ

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – วงการกีฬาเทเบิลเทนนิสจังหวัดเชียงราย กำลังขยับขยายและสร้างความคึกคักในระดับภูมิภาคอย่างชัดเจน หลังฝ่ายเทเบิลเทนนิส สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย จับมือ สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย ประกาศจัดโครงการอบรมผู้ตัดสินกีฬาเทเบิลเทนนิสระดับพื้นฐาน (Level 1) เปิดโอกาสให้บุคลากรในพื้นที่ได้ยกระดับมาตรฐานตัวเองสู่ระดับชาติ และร่วมขับเคลื่อนวงการกีฬาที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ยังมีข่าวดีของนักกีฬาตัวแทนจังหวัดที่สามารถสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับประเทศ สะท้อนถึงพลังขับเคลื่อนที่ชัดเจนของวงการเทเบิลเทนนิสเชียงรายในขณะนี้

เปิดอบรมผู้ตัดสินเทเบิลเทนนิส Level 1 โอกาสพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นสู่เวทีชาติ

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ประธานฝ่ายเทเบิลเทนนิส สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการอบรมผู้ตัดสินเทเบิลเทนนิสระดับพื้นฐานในครั้งนี้ เป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อให้กีฬาเทเบิลเทนนิสในพื้นที่เดินหน้าสู่ความเป็นมืออาชีพ โดยการอบรมจะเน้นทั้งภาคทฤษฎี (15-18 กันยายน 2568) และภาคปฏิบัติ (19-22 กันยายน 2568) ณ อาคารเทิดพระเกียรติ 90 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดเชียงราย ภายใต้การกำกับดูแลของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทยโดยตรง

ผู้ผ่านการอบรมครบถ้วนจะได้รับวุฒิบัตรรับรองและสิทธิ์ขึ้นทะเบียนเป็น “ผู้ตัดสินระดับชาติ” ของสมาคมฯ นับเป็นโอกาสสำคัญในการก้าวสู่เส้นทางผู้ตัดสินระดับประเทศ สำหรับคุณสมบัติผู้สมัคร ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป มีทะเบียนบ้าน ทำงาน หรือเรียนอยู่ในจังหวัดเชียงราย และต้องเข้ารับการอบรมครบทั้ง 8 วัน โดยโครงการจะเปิดรับสมัครระหว่าง 1-31 สิงหาคม 2568 และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์อบรมในวันที่ 3 กันยายน 2568 รับจำนวนจำกัดเพียง 25 คน

การอบรมในครั้งนี้ นอกจากจะยกระดับมาตรฐานการแข่งขันในพื้นที่ให้เทียบเท่าระดับประเทศแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสให้คนเชียงรายได้มีบทบาทในเวทีกีฬาระดับชาติ รวมถึงการสร้างเครือข่ายผู้ตัดสินที่มีคุณภาพซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาวงการเทเบิลเทนนิสอย่างยั่งยืนในอนาคต

แรงบันดาลใจแห่งวงการ ยกย่อง “ดร.อัจฉรา เสาร์เฉลิม” นักกีฬารุ่นเก๋าคว้าชัยระดับประเทศ

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ฝ่ายเทเบิลเทนนิส สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ยังได้ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.อัจฉรา เสาร์เฉลิม นักกีฬารุ่นเก๋าวัย 65 ปี ตัวแทนเชียงราย ที่สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทหญิงเดี่ยว รุ่นอายุ 65 ปีขึ้นไป ในการแข่งขัน BUTTERFLY & SISB OPEN 2025 ณ โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์เอสไอเอสบี สาขาประชาอุทิศ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24-30 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา

ความสำเร็จของ ดร.อัจฉรา เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ากีฬาไม่มีข้อจำกัดด้านวัย หากมีความมุ่งมั่นและวินัยในการฝึกฝน ความสำเร็จย่อมเป็นไปได้ในทุกช่วงชีวิต โดยเฉพาะในสายตาของเยาวชนและนักกีฬารุ่นใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักกีฬารุ่นพี่ ซึ่งเป็นทั้งตัวอย่างด้านความมุ่งมั่น ความอ่อนน้อม และคุณธรรมในกีฬา

ทางสมาคมฯ และฝ่ายเทเบิลเทนนิส เชียงราย ขอขอบคุณ ดร.อัจฉรา ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับชุมชนกีฬาในท้องถิ่นและผู้สนใจในกีฬาเทเบิลเทนนิสทั่วประเทศ พร้อมตั้งเป้าหมายสนับสนุนนักกีฬาทุกช่วงวัยให้สามารถพัฒนาตนเองและสร้างความสำเร็จในเวทีต่อๆ ไป

เทเบิลเทนนิสเชียงราย – ขับเคลื่อนจากฐานรากสู่ความยั่งยืน

การเปิดอบรมผู้ตัดสินเทเบิลเทนนิสระดับชาติครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงการพัฒนาแบบองค์รวมของวงการกีฬาในเชียงราย นอกจากการสร้างนักกีฬาแล้ว การสร้างบุคลากรด้านการตัดสินที่มีมาตรฐาน ยังช่วยเสริมศักยภาพในการจัดการแข่งขันอย่างมืออาชีพ และเปิดโอกาสให้บุคลากรท้องถิ่นเติบโตสู่เวทีระดับประเทศ

ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จของนักกีฬารุ่นเก๋าอย่าง ดร.อัจฉรา ยังเป็นบทพิสูจน์ว่าการส่งเสริมกีฬาในระดับชุมชน ส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจและสร้างสังคมกีฬาแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง

เชียงรายจึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ต้นแบบ ที่ขับเคลื่อนวงการกีฬาโดยเชื่อมโยงระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงนักกีฬาอาวุโส ผ่านกลไกการฝึกอบรม พัฒนา และการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ฝ่ายเทเบิลเทนนิส สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย
  • สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย
  • รายงานข่าวประชาสัมพันธ์โครงการอบรมผู้ตัดสินกีฬาเทเบิลเทนนิส
  • ผลการแข่งขัน BUTTERFLY & SISB OPEN 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย “นายกนก” ศึกษาจัดการน้ำ กทม. เร่งสร้าง PDOSS รับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงราย เร่งเครื่องแก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน ‘นายกนก’ นำทีมศึกษาระบบระบายน้ำ กทม. เตรียมปั้นโมเดล PDOSS รับมือภัยพิบัติอนาคต

กรุงเทพฯ, 1 สิงหาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ยังคงเป็นบททดสอบสำคัญของการบริหารจัดการภัยพิบัติของท้องถิ่น หลังฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและสร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายอำเภอ ประชาชนเดือดร้อน ขาดแคลนทรัพย์สิน และระบบสาธารณูปโภคได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะระดมกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากยังคงเป็นจุดอ่อนของเชียงรายที่ต้องหาทางออกอย่างยั่งยืน

นายกนก’ ลงพื้นที่จริง ศึกษาระบบ กทม. จุดประกายแนวคิดจัดการน้ำใหม่

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “นายกนก” ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. รวมถึงฝ่ายช่างและกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เดินทางไปยังสำนักการระบายน้ำ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพื่อศึกษาดูงานระบบบริหารจัดการน้ำในเมืองหลวงของประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ กทม. ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ นอกจากการเรียนรู้รูปแบบการเฝ้าระวังสถานการณ์ การวางแผนและป้องกันปัญหาน้ำท่วมของ กทม. ซึ่งมีเครือข่ายและเครื่องมือทันสมัยแล้ว ยังเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือและนำองค์ความรู้ใหม่มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของเชียงราย ที่ต้องเผชิญทั้งปัญหาน้ำท่วมฉับพลันจากน้ำป่าและน้ำท่วมขังในเมือง

โมเดล PDOSS ศูนย์สาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ปักธงเปลี่ยนโฉมเชียงราย

นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการถอดบทเรียนจาก กทม. เพื่อเดินหน้าผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Public Disasters One Stop Service: PDOSS) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในเชียงราย โดยตั้งเป้าหมายยกระดับการป้องกันและแก้ไขภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพใน 5 มิติหลัก ได้แก่

  • ระบบเตือนภัยล้ำสมัย: สร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยที่รวดเร็วและแม่นยำ ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำ พร้อมเชื่อมโยงกับระบบการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันและสื่อโซเชียลให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารทันสถานการณ์
  • บริหารเครือข่ายระบายน้ำ: ปรับปรุงโครงข่ายระบายน้ำทั้งในเมืองและชนบท เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำผ่านคลอง สะพาน และสถานีสูบน้ำ ลดจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก
  • ฐานข้อมูลภัยพิบัติเปิดสาธารณะ: จัดทำฐานข้อมูลและแผนที่ภัยพิบัติที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้สะดวก เพื่อใช้วางแผนรับมือและติดตามสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานรัฐ
  • ศูนย์เยียวยาแบบจุดเดียว: จัดตั้งศูนย์บริการประชาชนผู้ประสบภัยในจุดเดียว ลดขั้นตอนการช่วยเหลือให้รวดเร็วและทั่วถึง
  • ระบบรายงานเหตุการณ์ Real Time: พัฒนาระบบรับแจ้งเหตุและติดตามการช่วยเหลือผ่านช่องทางดิจิทัล ตอบสนองต่อภัยพิบัติและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

เชียงรายกับโจทย์ท้าทาย ‘น้ำท่วมซ้ำซาก’ และโมเดลการเปลี่ยนแปลง

อุทกภัยในเชียงรายที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นสัญญาณเตือนว่าการรับมือกับภัยธรรมชาติเชิงรับและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การลงทุนในเทคโนโลยีเฝ้าระวังน้ำท่วม พัฒนาโครงข่ายระบายน้ำอย่างเป็นระบบ และใช้ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นทางรอดใหม่ที่ต้องเร่งผลักดัน

แนวคิด PDOSS ที่ อบจ.เชียงราย กำลังขับเคลื่อนคือการก้าวข้ามวิธีคิดเดิม เปลี่ยนจากระบบรับมือแบบแยกส่วน มาสู่การบูรณาการทรัพยากร หน่วยงาน และข้อมูลอย่างไร้รอยต่อ พร้อมขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี ตั้งแต่การแจ้งเตือนภัย ไปจนถึงการเยียวยาผู้ประสบภัย นับเป็นตัวอย่างสำคัญของท้องถิ่นที่กล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว

มุ่งมั่นสร้างเมืองน่าอยู่ ‘เชียงราย’ แบบยั่งยืน

บทเรียนจากกรุงเทพมหานคร คือแบบอย่างการบริหารจัดการน้ำที่เชียงรายสามารถนำมาปรับใช้ได้จริงภายใต้ข้อจำกัดและบริบทท้องถิ่น การเดินหน้าพัฒนา PDOSS สะท้อนความตั้งใจของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารจัดการภัยพิบัติและป้องกันน้ำท่วมให้มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขในบ้านเกิด

นี่คือก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองน่าอยู่และปลอดภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

มฟล.ทุ่ม 350 ล้าน สร้าง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ยกระดับเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงปักหมุดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ” ศูนย์การเรียนรู้-ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเชิงบูรณาการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสำคัญมากขึ้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ด้วยโครงการ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งจะเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายให้มีมิติใหม่ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

โครงการแห่งความยิ่งใหญ่นี้สะท้อนถึงปรัชญาหลัก “ปลูกป่า สร้างคน” ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยึดถือมาตั้งแต่ก่อตั้ง พร้อมกับวิสัยทัศน์การเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” และ “มหาวิทยาลัยปลอดคาร์บอนสุทธิ” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะการติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทยและอันดับ 101 ของโลกในปี 2567

การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์กว่า 350 ล้านบาท สู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

โครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติแห่งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยงบประมาณก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 18,500 ตารางเมตร ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

การออกแบบโครงการในรูปแบบ “กลุ่มอาคาร” ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่จะเป็นหัวใจของการจัดแสดงและเก็บรักษาองค์ความรู้ อาคารหอประชุม (Auditorium) สำหรับกิจกรรมสาธารณะและการมีส่วนร่วมของชุมชน และอาคาร Co-Working Space/คาเฟ่ธรรมชาติ ที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และผ่อนคลายให้กับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยว

แนวคิดการออกแบบนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพิพิธภัณฑ์ในยุคปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าสถานที่จัดแสดง แต่ต้องเป็น “พื้นที่มีชีวิต” ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย

เส้นทางสู่ความสำเร็จ จากแผนสู่การปฏิบัติ

การติดตามความคืบหน้าของโครงการแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีระบบและโปร่งใส โดย รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เคยรายงานสถานะของโครงการเมื่อเดือนกันยายน 2565 ว่ากำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการดำเนินงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบและมีระบบ:

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 มหาวิทยาลัยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับค่าควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งแสดงถึงการปรับปรุงและพัฒนาแผนงานให้เหมาะสมที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 มีการประกาศราคากลางสำหรับงานก่อสร้างและระบบสาธารณูปการ โดยใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2566 ได้มีการประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่การก่อสร้างจริง

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าโครงการได้ผ่านขั้นตอนการวางแผน การจัดหาผู้รับเหมา และกำลังก้าวสู่ขั้นตอนการก่อสร้างทางกายภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

ความหมายเชิงลึกเมื่อศิลปะผสานกับธรรมชาติ

สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ การใช้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางสหวิทยาการที่จะนำเสนอธรรมชาติผ่านมุมมองทางศิลปะ และใช้ศิลปะเป็นสื่อในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน (STEAM Education) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมบูรณ์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย

การผสานศิลปะเข้ากับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับระบบนิเวศป่าฝนหรือความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ การจัดแสดงศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ หรือการใช้ศิลปะเป็นสื่อในการสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แตกต่างจาก “อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง” (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ที่มีอยู่แล้วและมุ่งเน้นศิลปะวัฒนธรรมล้านนา โดยพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยและมุ่งเน้นธรรมชาติเป็นหลัก

ผลกระทบหลายมิติการศึกษา การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยว

โครงการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ครอบคลุมหลายภาคส่วน:

ด้านการศึกษาและการวิจัย พิพิธภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการธรรมชาติขนาดใหญ่ สนับสนุนหลักสูตรวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัยโดยตรง นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากตัวอย่างจริง ข้อมูลที่ทันสมัย และเทคโนโลยีการจัดแสดงที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิพิธภัณฑ์จะเป็นเวทีสาธารณะในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดแสดงจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับสภาพแวดล้อม และเห็นแนวทางในการร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

ด้านการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ด้วยชื่อเสียงของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ และการออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย จึงมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

ก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับโลก

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาโลก ที่เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับชุมชน

การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทยปี 2025 ด้านความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติ ตาม Times Higher Education World University Rankings นั้น เป็นสัญญาณที่ดีว่ามหาวิทยาลัยมีศักยภาพในการจัดการโครงการระดับสากล

นอกจากนี้ การที่มหาวิทยาลัยติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทย และอันดับ 101 ของโลก ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนที่แท้จริง ซึ่งจะสะท้อนออกมาในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์

ความท้าทายและโอกาส

แม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการจัดแสดงและดูแลรักษาสิ่งของ การพัฒนาเนื้อหาที่ทันสมัยและน่าสนใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้มีมากมาย ไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับการศึกษาของจังหวัดเชียงราย แต่ยังจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างอัตลักษณ์ของพื้นที่ และการเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ก้าวสู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงไม่เพียงเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของจังหวัดเชียงรายและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในฐานะศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

โครงการนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า สร้างคน” และการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม

เมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในอนาคต คาดว่าจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (www.mfu.ac.th)
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัย Times Higher Education World University Rankings 2025
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียว UI Green Metric World University Rankings 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สองวิกฤตซ้ำ! เชียงรายน้ำท่วมกว่า 8 พันครัวเรือน ปัญหาสารหนูยังไม่คลี่คลาย

เชียงรายอ่วม! น้ำท่วม 9 อำเภอ ปภ.เร่งช่วยเหลือประชาชน ขณะที่วิกฤต “สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก” ยังรุนแรง ระดับชาติต้องเร่งแก้ไข

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – “สองวิกฤต” ถล่มเชียงราย จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 28-29 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดอุทกภัยฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ 9 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนกว่า 8,300 ครัวเรือน ขณะเดียวกัน ปัญหาเก่าที่ยังคงเป็นระเบิดเวลาของพื้นที่คือ “สารหนูและโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก” ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพประชาชนและความมั่นคงของแหล่งน้ำในอนาคต

มวลน้ำถล่มหนัก – 8,363 ครัวเรือนวิกฤต

ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมและดินถล่มเกิดขึ้นใน 9 อำเภอ 32 ตำบล 189 หมู่บ้าน รวมถึง 4 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย นับตั้งแต่ฝนสะสมสูงสุดที่ 127 มิลลิเมตร ในตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนกว่า 8,363 ครัวเรือน โครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่

  • ถนน 22 จุดได้รับความเสียหาย
  • พื้นที่เกษตร 23,850 ไร่จมน้ำ
  • บ่อปลา 100 บ่อเสียหาย
  • สัตว์เลี้ยงตายหลายร้อยชีวิต
    อย่างไรก็ตาม ปภ. ยังคงสำรวจความเสียหายเพิ่มเติมและจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

ทุกหน่วยงานระดมเครื่องจักร-เจ้าหน้าที่ 24 ชั่วโมง

ตลอดช่วงวิกฤตนี้ ปภ.เชียงราย ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ก็ได้นำเทคโนโลยีดาวเทียม Pléiades วิเคราะห์ภาพถ่ายบริเวณน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำกกและแม่น้ำยม รวมพื้นที่น้ำท่วมขังในเชียงรายและแพร่กว่า 1,000 ไร่ ส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้วางแผนบริหารจัดการในระยะเร่งด่วน

สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก – ปมร้อนวาระแห่งชาติ

ในขณะที่ปัญหาอุทกภัยยังคงต้องเร่งช่วยเหลือ ในอีกด้านหนึ่ง เชียงรายยังต้องเผชิญกับปัญหามลพิษสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักของประชาชน โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2566 พบว่ามีสารหนูเกินมาตรฐานในแหล่งน้ำผิวดินบริเวณสบกก อ.เชียงแสน ก่อนขยายวงกว้างสู่แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงต่อมา

ล่าสุด ที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน มีหน่วยงานระดับสูงทุกฝ่ายเข้าร่วมถกหาทางออก ทั้งกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (นายชรินทร์ ทองสุข) นักวิจัยและองค์กรที่เกี่ยวข้อง

ต้นตอสารพิษ – หลายปัจจัยเชื่อมโยงข้ามประเทศ

การประชุมระบุว่า สาเหตุของการปนเปื้อนอาจเกิดได้จาก 3 ปัจจัยหลัก

  1. การเปิดหน้าดินและการชะล้างจากธรรมชาติ
  2. กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้สารเคมีทางเกษตร การเผาในที่โล่ง
  3. ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา-จีน) เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำนานาชาติ
    ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ “ตรวจสอบแหล่งกำเนิด” อย่างจริงจัง พร้อมเดินหน้าเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไก MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) อย่างต่อเนื่อง

แผนบูรณาการแก้ปัญหา – ตั้งเป้ายั่งยืน

มาตรการแก้ไขระยะเร่งด่วนที่ประชุมกำหนดประกอบด้วย

  • การศึกษา/วิจัย สัดส่วนสารพิษโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ
  • ตรวจสอบกิจกรรมต้นเหตุโดยกรมเหมืองแร่ กรมวิชาการเกษตร และองค์กรท้องถิ่น
  • การติดตั้งอุปกรณ์ดักตะกอนในแหล่งน้ำ
  • เจรจาต่างประเทศและความร่วมมือกับ MRC
  • แผนบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

ขณะที่ภาคประชาชนและกลุ่มอนุรักษ์แสดงความห่วงใยอย่างมาก เนื่องจากผลกระทบของสารพิษในแหล่งน้ำอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและยาว รวมถึงระบบนิเวศและการเกษตร โดยเฉพาะเมื่อแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปาหลักของเชียงรายและชุมชนริมฝั่ง

เชียงรายในห้วงเปราะบาง – เมื่อวิกฤตธรรมชาติ-สิ่งแวดล้อมทวีคูณ

การรับมืออุทกภัยอย่างทันท่วงทีเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยการประสานทุกฝ่าย แต่ปัญหาคุณภาพน้ำและสารพิษในแม่น้ำกก คือภัยเงียบที่ต้องได้รับการจัดการเชิงระบบ โดยเฉพาะการตรวจสอบแหล่งกำเนิด การควบคุมกิจกรรมมนุษย์ และการเจรจาต่างประเทศให้เกิดการจัดการร่วมกันอย่างแท้จริง
ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาขึ้นอยู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความมั่นใจต่อแหล่งน้ำที่ปลอดภัยในระยะยาว
เชียงรายจึงอยู่ในจุดทดสอบความสามารถของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อมของไทย – วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการปฏิรูปเชิงนโยบายและสร้างต้นแบบการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการในระดับประเทศและภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

องค์กรวิชาชีพสื่อไทยตัดสัมพันธ์ CCJ โต้ข้อกล่าวหาหมิ่นสื่อไทย-ข่าวเท็จชายแดน

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกาศ “ระงับสัมพันธ์” CCJ ปมหมิ่นสื่อไทย-ข้อมูลเท็จชายแดน

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – จุดเริ่มต้นไฟขัดแย้งชายแดน จุดไฟศรัทธาสื่อระหว่างประเทศ
ในห้วงเวลาที่ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ได้ออกแถลงการณ์สำคัญในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ประกาศ “ระงับความสัมพันธ์” กับ สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists: CCJ) อย่างเป็นทางการ หลัง CCJ ออกแถลงการณ์กล่าวหาสื่อไทยขาดจริยธรรม และมีการดูหมิ่นต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพฝั่งไทย

จุดแตกหัก สื่อไทยลุกขึ้นสู้เพื่อศักดิ์ศรี – CCJ แค่กระบอกเสียงรัฐบาลกัมพูชา

แกนหลักของแถลงการณ์ฝ่ายไทย มีใจความสำคัญคือการปฏิเสธข้อกล่าวหาจาก CCJ ที่ระบุว่าสื่อไทยขาดจริยธรรมในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ชายแดน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าสื่อไทย “ยึดมั่นในจริยธรรม ความเป็นกลาง ไม่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง” และให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสันติภาพโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นระหว่างชาติ อีกทั้งยังเรียกร้องให้ CCJ หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย และกลับไปเข้มงวดกับการตรวจสอบข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนที่มีต้นตอมาจากฝั่งกัมพูชาเอง

ในแถลงการณ์ยังยกตัวอย่างข้อมูลเท็จที่ถูกเผยแพร่จากกัมพูชา เช่น

  • การกล่าวหาว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา
  • ข่าวลือไทยใช้ระเบิด MK ที่มีอานุภาพร้ายแรง
  • ข่าวปลอมเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
    ซึ่งล้วนเป็น “ข่าวบิดเบือน” ที่สร้างความเข้าใจผิดและบ่อนทำลายบรรยากาศสันติภาพระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ

ประกาศตัดสัมพันธ์ – ส่งสารถึง CCJ ให้ทบทวนจรรยาบรรณตนเอง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในฐานะผู้มีข้อตกลงความร่วมมือกับ CCJ ได้ประกาศระงับความสัมพันธ์นี้เป็นการชั่วคราวโดยทันที พร้อมย้ำถึงความตั้งใจดั้งเดิมที่ต้องการให้กลไกความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนมีบทบาทสร้างสรรค์ต่อประชาชนสองประเทศ และขอให้ CCJ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรวิชาชีพที่มีความเป็นอิสระและยึดถือจรรยาบรรณ

ท่าที CCJ โต้กลับ – สื่อไทยรายงานเท็จ ทำลายศรัทธา

ขณะเดียวกัน ฝ่าย CCJ จากพนมเปญ ได้ออกแถลงการณ์โต้กลับ โดยกล่าวหาสื่อไทยบางสำนัก เช่น Khaosod และ The Nation Thailand ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและขาดจรรยาบรรณวิชาชีพ อันส่งผลต่อสถานการณ์ชายแดนในช่วงเวลาวิกฤต พร้อมทั้งเรียกร้องให้สื่อไทยปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนอย่างเข้มงวดและช่วยกันลดความตึงเครียดด้วยการนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ CCJ ยังเน้นย้ำเจตนารมณ์ปกป้องเสรีภาพสื่อ พร้อมร่วมต้านข่าวปลอมในทุกมิติ

วิกฤตการณ์ศรัทธาสื่อ – ศึกปากกาและข้อมูลบนเวทีอาเซียน

การปะทะกันทาง “แถลงการณ์” ในครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงปัญหาข้อเท็จจริงตามแนวชายแดน แต่คือ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ระหว่างวิชาชีพสื่อสองประเทศที่เคยร่วมมือกันมาอย่างใกล้ชิด จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อ CCJ ถูกมองว่าไม่อิสระจากรัฐบาลกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันความเป็นกลางและการตรวจสอบกันเองอย่างเข้มงวด

ประเด็นที่ต้องจับตา:

  • บทบาทของสื่อในการส่งเสริมสันติภาพหรือยั่วยุความขัดแย้ง
  • การต่อสู้กับข่าวปลอมที่ข้ามพรมแดนและส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • อนาคตความร่วมมือขององค์กรวิชาชีพสื่อไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรายงานข่าวและภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศในประชาคมอาเซียน
  • การรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพสื่อ ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ ในยุคที่ข้อมูลเคลื่อนที่รวดเร็วและสามารถบิดเบือนในวงกว้าง

ในท้ายที่สุด เหตุการณ์นี้อาจกลายเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับองค์กรสื่อทั่วทั้งภูมิภาค ในการยึดมั่นต่อจริยธรรมวิชาชีพ เคารพเสรีภาพ และใช้บทบาทของสื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ไม่ตกเป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • แถลงการณ์สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists)
  • สำรวจข่าวสารจาก Khaosod, The Nation, ช่องทางสื่อไทยและกัมพูชา
  • วิเคราะห์แนวโน้มจากนักวิชาการอาเซียน (อ้างอิง: [Press Freedom Index, RSF 2025], สำนักข่าวอาเซียน, กระทรวงการต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News