Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ย้ายชุมชนแม่สาย สู่โครงการ “บ้านมั่นคง” บนที่ดินโรงงานยาสูบ แก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน

ก้าวยาวสู่ความมั่นคง! แม่สายเตรียมย้ายชุมชนริมน้ำ จัดสรรที่ดินโรงงานยาสูบสร้างบ้านใหม่

แม่สายเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจ เชียงรายผลักดันแผนแก้ปัญหาอุทกภัยระยะยาวแบบระบบ ตั้งแต่ “ขยายลำน้ำก่อสร้างคันกันน้ำจัดระเบียบริมตลิ่งย้ายชุมชนเสี่ยง” สู่การตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่าน โครงการบ้านมั่นคง บนที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ)

วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

  • ตัวเลขชวนคิด: เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สายครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ 304.78 ตร.กม. (ราว 190,487.5 ไร่) เคยมี น้ำท่วมใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6,000 ล้านบาท; แม่น้ำสายแคบลงจาก 70–80 ม. เหลือ <20 ม. ใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1; พบการรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด (เมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จุด); แผนวิศวกรรมตั้งเป้า “ขยายลำน้ำ ≥50 ม. + คันยกระดับ สูงรวม ~3 ม. กว้าง 9 ม. ระยะทาง 3,960 ม. รองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที” พร้อมกรอบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท และสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท
  • ปมชี้ขาด: ความพร้อมในการ “ย้าย–เยียวยา–จัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่” ของ 843 หลังคาเรือน ริมน้ำ และการประสานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อแก้ที่ ต้นน้ำตะกอนมลพิษโลหะหนัก
  • กุญแจสู่การคลี่คลาย: ใช้ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาล ติดเมือง–พ้นแนวท่วม ทำ “บ้านมั่นคง” (สิทธิอยู่ เช่าที่ราชพัสดุ/กู้สหกรณ์สร้างบ้าน ~280,000–400,000 บาท ต่อหน่วย ขึ้นกับแบบและพื้นที่) โดย พอช. เป็นแม่งานภาคสังคม ร่วมกับ กรมโยธาฯ–กรมธนารักษ์–จังหวัดเชียงราย

 “ขยับเมืองหนีน้ำ” แม่สายเดินหน้าแผนใหญ่ขยายลำน้ำ สร้างคันกันน้ำ ย้ายชุมชนเสี่ยง สู่ ‘บ้านมั่นคง’ บนที่ดินโรงงานยาสูบ

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ยามฝนหลงฤดูซัดกระหน่ำเหนือดอยแม่สายในคืนหนึ่ง น้ำขุ่นจัดไหลทะลักผ่านช่องแคบใต้สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ก่อนจะแผ่ซ่านเข้าเขตตลาดและชุมชนริมน้ำในเวลาไม่กี่สิบนาที เป็นภาพที่คนในพื้นที่เรียกติดปากว่า “มาเร็ว–ลงไว–ทิ้งโคลน” และเป็นสัญญาณเตือนว่าต้นทุนการอยู่ร่วมกับสายน้ำในเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจแห่งนี้ “เปลี่ยนไป” แล้ว

หนึ่งปีให้หลังจาก เหตุอุทกภัยใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 ที่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินค่ากว่า 6,000 ล้านบาท แม่สายเดินมาถึงจุดตัดสินใจสำคัญ: จะ “ซ่อมความเสียหาย” เป็นครั้ง ๆ แบบเดิม หรือ “ยกเครื่องทั้งระบบ” แม่น้ำ–ตลิ่ง–เมือง–ชุมชน ให้สอดคล้องกับภูมิประเทศเสี่ยงน้ำและความจริงใหม่ของสภาพภูมิอากาศ

คำตอบเริ่มชัด เมื่อแผนงานชุดใหญ่ที่รัฐบาลมอบหมายให้ กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) เป็นแกนกลาง กำหนดภาพรวมตั้งแต่ ขยายหน้าตัดแม่น้ำสาย ให้กว้าง ไม่น้อยกว่า 50 เมตร, ก่อสร้างคันป้องกันน้ำหลาก–โคลน ระยะทาง 3,960 เมตร ยกระดับความสูงรวมราว 3 เมตร (คันดิน 2 ม. + ผนังคอนกรีต 1 ม.) พร้อม ย้ายรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ และจัดระเบียบพื้นที่ริมตลิ่งทั้งสองฝั่ง เพื่อให้ระบบระบายน้ำรองรับอัตราการไหล ประมาณ 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยวางกรอบงบประมาณก่อสร้างเบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท และวงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท เพื่อเร่งงานเตรียมการในช่วง 8 เดือน ข้างหน้า

“เร่งศึกษารูปแบบก่อสร้างให้จบเร็วที่สุด แต่ย้ำว่านี่เป็น โครงการระยะยาว โดยเฉพาะการย้ายบ้านเรือนกว่า 800 หลัง ไม่อาจแล้วเสร็จภายในฤดูฝนนี้หรือปีหน้า” ข้อความตามการชี้แจงของ นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

เมื่อ “แม่น้ำแคบ–ตะกอนหนา–กิจกรรมมนุษย์เร่งวิกฤต”

หากถอยออกมาดูทั้งลุ่มน้ำ ภาพใหญ่ของแม่สายคือเมืองชายแดนที่ตั้งอยู่บน เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) อันเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากโดยธรรมชาติ เมื่อประกอบกับลักษณะลำน้ำที่ แคบลงต่อเนื่องจาก 70–80 เมตร เหลือ ไม่ถึง 20 เมตร บริเวณใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ความสามารถระบายน้ำย่อมลดฮวบ ขณะเดียวกัน “แรงเร่ง” จากกิจกรรมมนุษย์ทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • การเปิดหน้าดิน–ทำลายป่าต้นน้ำในรัฐฉาน (เมียนมา) เพื่อเกษตรและเหมือง สร้างมวลตะกอนพัดพาลงลำน้ำสาย เมื่อหน้าตัดลำน้ำแคบ–ความลาดชันในช่วงเมืองต่ำ ตะกอนจึง ตกทับถมรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนท้องถิ่นเปรียบว่า “สึนามิโคลน” นั่นคือไม่ใช่เพียงน้ำ แต่เป็น น้ำ+โคลน ที่ลากเศษซากลงสู่เขตชุมชน
  • การรุกล้ำลำน้ำ–ก่อสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง พบจุดรุกล้ำ ฝั่งไทย 45 จุด และ ฝั่งเมียนมา 33 จุด โดย ฝ่ายเมียนมารื้อถอนไปแล้ว 20 จุด ฝั่งไทยก็ประกาศเดินหน้าเช่นกัน การรุกล้ำเหล่านี้ทำให้พื้นที่หน้าตัดลำน้ำหายไป ก่อ “คอขวด” หลายช่วง และเป็นอุปสรรคต่อวิธีแก้ทางวิศวกรรม
  • มลพิษจากเหมืองต้นน้ำ โดยเฉพาะการปนเปื้อน สารหนู (Arsenic) และโลหะหนักในบางจุดของแม่น้ำสาย—ประเด็นที่เกี่ยวพันกับสุขภาพชุมชนและระบบนิเวศ และต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดนในการแก้ที่ต้นทาง

 “ขยายลำน้ำ–ย้ายเสี่ยง–สร้างคัน–ตั้งถิ่นฐานใหม่”

หัวใจของแผนแม่สายไม่ได้มีเพียงคันกันน้ำ แต่เริ่มจากการ คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ ผ่านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ มากกว่า 843 หลังคาเรือน และ ขยายหน้าตัด ลำน้ำให้ได้มาตรฐานทางไฮดรอลิก ก่อนเสริมด้วยคันป้องกัน–ผนังคอนกรีต เพื่อ ลดโอกาสน้ำทะลัก เข้าพื้นที่เศรษฐกิจ–ชุมชนสำคัญ

จุดชี้เป็นชี้ตายของการ “คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ” คือ จัดหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว—และนั่นนำไปสู่การพิจารณาใช้ ที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ) ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย เพื่อจัดทำชุมชนใหม่ภายใต้ โครงการบ้านมั่นคง” ซึ่ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) รับบทเป็นแกนกลางการทำงานกับชุมชน

“ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างด่านพรมแดนราว 1.5 กม. ห่างที่ว่าการอำเภอเพียง 300 ม. ใช้เป็นสวนสุขภาพและ ไม่เคยท่วม จึงเหมาะสำหรับตั้งถิ่นฐานใหม่” สาระจากคำอธิบายของ นายวิเชียร พลสยม ผอ.พอช. ภาคเหนือ

บ้านมั่นคง แบบสิทธิภาระผ่อน

บ้านมั่นคง เป็นโมเดล “สิทธิอยู่อาศัย” ที่ให้ประชาชนเช่าที่ราชพัสดุจาก กรมธนารักษ์ (สิทธิรวมกลุ่มตามเงื่อนไขโครงการ) แล้วใช้กลไก สหกรณ์ออมทรัพย์ชุมชน เป็นแหล่งสินเชื่อเพื่อก่อสร้าง/ปรับปรุงบ้าน โดยมี แบบบ้านหลายขนาด รองรับครัวเรือนต่างบริบท ตัวอย่างเช่น ห้องแถว/ทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก ≤30 ตร.ม. ต้นทุนก่อสร้างประมาณ 280,000–300,000 บาท (ในเมืองใหญ่) และ 350,000–400,000 บาท ในต่างจังหวัดสำหรับครอบครัว ~5 คน ทั้งนี้สิทธิในโครงการเน้น ประชาชนสัญชาติไทย (เลข 13 หลัก) และ ครอบครัวขยาย ที่ได้รับการรับรองจากชุมชน เพื่อลดข้อขัดแย้งและป้องกันการเก็งกำไรสิทธิ

ทำไม “ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ” จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ

พื้นที่โรงงานยาสูบในแม่สายเคยถูกหยิบยกใน ปี 2559 ภายใต้นโยบาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครอบคลุมที่ราชพัสดุ 3 แปลง รวม ~870-3-5 ไร่ ใน ต.โป่งผา ทำเลติดถนนพหลโยธิน ใกล้ด่านศุลกากรแม่สายแห่งที่ 2 ราว 4 กม. แต่การพัฒนาติดเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินเดิม (เช่าปลูกข้าวโพด–ยาสูบ) การนำ บางส่วน ของที่ดิน “ที่พ้นแนวท่วม” มาใช้เพื่อแก้ปัญหาสาธารณะตั้งถิ่นฐานให้ผู้ย้ายจึงเป็น ทางเลือกใหม่ ที่น่าจับตา และหากเดินหน้าได้จริง จะช่วย “ลดแรงต้าน” ในภาคสนาม เพราะชุมชนใหม่อยู่ ไม่ไกล จากที่ทำกิน–ที่ทำงานเดิม

เสียงจากสนามจริง ใครได้–ใครเสีย–จะเดินต่ออย่างไร

ฝ่ายได้ประโยชน์

  1. ชาวแม่สายในระยะยาว: ลดความเสี่ยงชีวิต–ทรัพย์สิน เศรษฐกิจเมืองชายแดนมีเสถียรภาพมากขึ้น
  2. ครัวเรือนที่ย้ายเข้าโครงการ: เข้าถึงที่อยู่อาศัยมั่นคง ถูกกฎหมาย มีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน
  3. แม่น้ำ–สิ่งแวดล้อม: คืนหน้าตัดระบายน้ำ ลดการกัดเซาะ–ทับถม และเปิดทางสู่การฟื้นฟูคุณภาพน้ำ
  4. ภาพลักษณ์ชายแดน: ด่าน–ริมน้ำเป็นระเบียบ เพิ่มความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว–การค้า

ฝ่ายได้รับผลกระทบ

  1. ครัวเรือนที่ต้องย้าย: แม้มีทางออก “บ้านมั่นคง” แต่การย้ายคือการเปลี่ยนชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะได้รับชดเชยเฉพาะ ค่าบ้าน ไม่รวมที่ดิน
  2. เกษตรกรผู้เช่าที่ในเขตโรงงานยาสูบ: หากนำบางส่วนของที่ดินมาใช้ตั้งถิ่นฐาน อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทำกิน
  3. ผู้ประกอบการค้าริมน้ำที่รุกล้ำ: เช่น บางส่วนของตลาด–แผงค้า จำเป็นต้องรื้อ/ย้าย ไปสู่รูปแบบพื้นที่ค้าขายใหม่
  4. ภาครัฐ: แบกรับภาระงบฯ ทั้งศึกษาความเหมาะสม–รับฟังความเห็น–ชดเชย–ก่อสร้าง (ประเมินเบื้องต้น ค่าประนีประนอม ~200 ล้านบาท + ค่าก่อสร้าง ~2,000 ล้านบาท) และต้องบริหาร ความไว้วางใจสาธารณะ อย่างใกล้ชิด

ท่าทีจังหวัด ด้าน นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ “รับทราบความจำเป็นต้องย้าย” เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ข้อมูลครัวเรือนกว่า 1,500 หลังคาเรือน ที่อยู่ในแนวต้องเคลื่อนย้าย เพื่อกำหนด ลำดับ–มาตรการเยียวยา–แบบชุมชนใหม่ ให้เหมาะสม

ข้ามพรมแดนเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ: ขุดลอก–คุมตะกอน–ลดมลพิษ

ปัญหาแม่สายไม่สิ้นสุดที่ฝั่งไทย เพราะ ต้นน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมา รัฐบาลไทยจึงเดินหน้าเจรจา ขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก, ตั้ง คณะทำงานวิชาการร่วม เพื่อจัดการมลพิษข้ามแดน โดยเฉพาะ โลหะหนักจากกิจกรรมเหมือง และการ อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แม้ความคืบหน้ายังผูกกับสถานการณ์ภายในเมียนมา แต่กรอบความร่วมมือถือเป็น ก้าวแรกที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มาตรการปลายน้ำของไทย “รับภาระลำพัง”

เส้นเวลา–สิ่งที่จับตาจากแบบบนกระดาษสู่สนามจริง

  • 1–2 เดือน: กรมโยธาฯ ใช้งบกลางเริ่มศึกษารูปแบบก่อสร้าง–โครงสร้างป้องกัน
  • ภายใน ~8 เดือน: สำรวจ–ออกแบบ–รับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (งบ 24 ล้านบาท)
  • ระยะก่อสร้าง: ผูกกับผลการออกแบบ รายการเวนคืน/รื้อย้าย และ ฤดูกาลฝน ซึ่งอาจต้อง “ก่อสร้างเป็นช่วง ๆ”
  • กระบวนการสังคม: สำรวจสิทธิ–เข้าโครงการบ้านมั่นคง–จัดผังชุมชน–สาธารณูปโภค—เป็น “งานใหญ่” ไม่แพ้โครงสร้างทางวิศวกรรม

หมุดเช็กความก้าวหน้า ที่สาธารณะควรถามซ้ำทุกไตรมาส คือ
(1) แผนผัง “แนวเขตเวนคืน/รื้อย้าย” โปร่งใสเพียงใด
(2) รายชื่อ–สถานะ “ผู้มีสิทธิ์เข้าบ้านมั่นคง” ชัดแค่ไหน
(3) ตารางการขุดลอก–เพิ่มหน้าตัดลำน้ำ เดินตามแบบหรือไม่
(4) ความคืบหน้าความร่วมมือข้ามแดนด้านตะกอน–มลพิษ

เมืองที่ยืนอยู่ได้บน “สายน้ำที่ยอมรับความจริง”

แม่สายเป็นหนึ่งใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่สำคัญ ครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ ~304.78 ตร.กม. เศรษฐกิจชายแดนเติบโตเร็วแต่ความเปราะบางก็ขยายตาม หากปล่อยให้น้ำท่วมเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมืองจะสูญเสียทั้ง ความเชื่อมั่นเสถียรภาพ และ โอกาส ในการเป็นศูนย์กลางการค้า–ท่องเที่ยวของภาคเหนือ

แผน “ขยายลำน้ำ–สร้างคัน–ย้ายเสี่ยง–บ้านมั่นคง” จึงคือการเลือก ยอมรับความจริง ของภูมิประเทศ และปรับเมืองให้เข้ากับสายน้ำ มากกว่าบังคับให้สายน้ำ “เดินตามเมือง” การจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องมีทั้ง วิศวกรรมที่ดี และ วิศวกรรมสังคมที่ละเมียดสื่อสารโปร่งใส เยียวยาเป็นธรรม ประสานผลประโยชน์ และ “จับมือกันข้ามพรมแดน” กับเมียนมาในประเด็นตะกอน–มลพิษ

ท้ายที่สุด หาก “บ้านหลังใหม่” ของ 843 ครัวเรือนเกิดขึ้นจริงบนที่ดินที่ ไม่ท่วม–ไม่ไกล–มีงาน–มีโอกาส และหากแม่น้ำสายกลับมามีหน้าตัดตามหลักไฮดรอลิก เมืองแม่สายก็จะไม่ได้เพียง “หนีน้ำ” แต่ “อยู่กับน้ำได้”—อย่างมั่นคง และเดินหน้าบทบาทเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) — กรอบแนวทางออกแบบ–ก่อสร้างคันกันน้ำ/ผนังคอนกรีต–การขยายหน้าตัดลำน้ำสาย ระยะทางรวม 3,960 ม., ขีดความสามารถรองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที, วงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท, กรอบงบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท
  • สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) – พอช. (สำนักงานภาคเหนือ) — โมเดล โครงการบ้านมั่นคง: หลักเกณฑ์สิทธิ, กลไกสหกรณ์สินเชื่อ, ช่วงราคาก่อสร้างต่อหน่วย ~280,000–400,000 บาท, หลักเกณฑ์การรับรองสมาชิก
  • กรมธนารักษ์ — หลักการใช้ประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และการเช่าที่เพื่ออยู่อาศัยภายใต้กรอบโครงการบ้านมั่นคง
  • จังหวัดเชียงราย / ที่ว่าการอำเภอแม่สาย — ข้อมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย (8 ตำบล, 304.78 ตร.กม. / ~190,487.5 ไร่), สถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 และการตั้งคณะทำงานสำรวจครัวเรือน ~1,500 หลังคาเรือน
  • หน่วยงานชายแดนไทย–เมียนมา (คณะกรรมการร่วม) — ข้อมูลจุดรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด และความคืบหน้าการรื้อถอนฝั่งเมียนมา 20 จุด
  • หน่วยงานสิ่งแวดล้อม/สาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง — ข้อมูลเบื้องต้นด้านคุณภาพน้ำ กรณีการปนเปื้อน สารหนู/โลหะหนัก จากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน (เมียนมา) ที่ส่งผลข้ามพรมแดน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายรุกสู่ “เมืองสุขภาพ” จัดมหกรรมอาหาร ดันมาตรฐาน “Chiang Rai Wellness”

เชียงรายก้าวสู่ ‘เมืองสุขภาพ’ เปิดมหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ดันมาตรฐาน “Chiang Rai Wellness Standard Foods” เชื่อมไร่–ครัว–นักท่องเที่ยว พลิกโฉมสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 — “สวนตุงและโคม” ใจกลางเมืองค่อย ๆ แปรเป็นครัวใหญ่ของทั้งจังหวัด บูธกว่า 40 ร้านเรียงรายด้วยเมนูที่คัดสรรวัตถุดิบจากไร่มาตรฐาน อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่น สลับเสียงถาม ตอบเรื่องส่วนผสมและพลังงานต่อจาน ภาพตรงหน้าจึงไม่ใช่แค่งานเทศกาลอาหาร หากเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ที่แสดงให้เห็นว่า เชียงรายกำลังเปลี่ยนโจทย์เมือง จากเมืองกาแฟและศิลปะสู่ เมืองสุขภาพ (Wellness City)” อย่างจริงจัง

พิธีเปิดงาน มหกรรมเมนูสุขภาพเพื่ออาหารนานาชาติและระดับท้องถิ่น (Chiang Rai Wellness Standard Foods) เริ่มขึ้นเวลา 17.00 น. โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย น.พ.คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ท่ามกลางความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ–เอกชน–โรงพยาบาล–สถาบันการศึกษา ที่มารวมพลังบนเวทีเดียวกัน เป้าหมายปลายทางชัดเจน: วางมาตรฐานอาหารสุขภาพระดับจังหวัด ให้จับต้องได้ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

“มหกรรมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางอาหารสุขภาพทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ สอดคล้องกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพของประเทศ” — นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิด

ไม่ใช่แค่ “ติดป้าย” แต่คือการวางระบบ 3 เสาหลักของมาตรฐาน

มาตรฐาน Chiang Rai Wellness Standard Foods ถูกออกแบบให้เป็น “โครง” ที่ยกคุณภาพทั้งระบบ ไม่ใช่มาตรฐานหน้าร้านเพียงอย่างเดียว โดยมี 3 หัวใจ ที่ผู้ประกอบการต้องผ่านเกณฑ์ ก่อนจะได้ป้ายรับรองของจังหวัด

  1. วัตถุดิบคุณภาพ (ตรา Q / GAP และมาตรฐานเกษตรปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง)
    ร้านต้องเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานของภาครัฐ เช่น ตรา Q ภายใต้การกำกับของ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และมาตรฐาน GAP (กรมวิชาการเกษตร) เพื่อยืนยันว่าความปลอดภัยเริ่มตั้งแต่ในไร่
  2. สุขาภิบาลอาหารตามเกณฑ์ SAN / SAN Plus (กรมอนามัย)
    ครัว–อุปกรณ์–น้ำ–การจัดเก็บวัตถุดิบ–การสัมผัสอาหาร ต้องผ่านเกณฑ์สุขาภิบาลอาหารของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในระดับ SAN หรือ SAN Plus ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนและโรคที่เกิดจากอาหารครอบคลุมทั้งกระบวนการ
  3. เมนูสุขภาพผ่านเกณฑ์โภชนาการ (กรมอนามัย)
    เมนูที่ขึ้นรายการ “สุขภาพ” ต้องผ่านการพิจารณาตามเกณฑ์โภชนาการของกรมอนามัย ทั้งเรื่อง พลังงาน โซเดียม น้ำตาล ไขมัน และสัดส่วนวัตถุดิบที่เหมาะสม เพื่อให้คำว่า “เพื่อสุขภาพ” พิสูจน์ได้ ด้วยตัวเลขและหลักวิชาการ ไม่ใช่เพียงคำโฆษณา

ภาพรวมการขับเคลื่อนที่ผ่านมาตามข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย จังหวัดได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ผู้ประกอบการ กว่า 400 ร้าน จากนั้นลงพื้นที่ ตรวจประเมินเชิงลึก 90 ร้าน และล่าสุดมีร้านที่ ผ่านเกณฑ์แล้ว 71 ร้าน ซึ่งถือเป็นฐานแรกของ “แผนที่อาหารสุขภาพเชียงราย” ที่กำลังจะขยายไปยังอำเภอต่าง ๆ ในระยะถัดไป

จากไร่ถึงโต๊ะอาหาร ห่วงโซ่คุณค่าที่ตั้งใจสร้าง

สิ่งที่น่าจับตาในโมเดลเชียงรายคือ “การเชื่อมจุด” ที่ชัดเจนเกษตรกร ที่ปลูกพืชตามมาตรฐาน, ครัว/ร้านอาหาร ที่ปรุงตามสุขาภิบาล, และ เมนู ที่ถูกคุมโภชนาการก่อนจะไปจบที่ ผู้บริโภค/นักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เพียงผู้ชิม แต่เป็นผู้ตัดสินใจด้วยข้อมูล

เมื่อวัตถุดิบมาจากแปลงเกษตรปลอดภัย ราคา อาจสูงกว่าทั่วไปเล็กน้อย แต่ ความสม่ำเสมอและความเชื่อมั่น ที่เกิดขึ้นทำให้ร้านค้ากล้าพัฒนาเมนูใหม่ได้ต่อเนื่อง เมนูผักพื้นถิ่น-สมุนไพร เช่น ฟักข้าว ขมิ้น ไพล ดีปลี กระเจี๊ยบ ฯลฯ ถูกจัดวางใหม่ในรูปแบบร่วมสมัยสลัดน้ำยำสมุนไพรน้ำตาลต่ำ ก๋วยเตี๋ยวปลาน้ำซุปวัตถุดิบพื้นบ้านลดโซเดียม หรือเมนูข้าวกล้องผสมธัญพืชและรองรับผู้บริโภคที่ต้องคุมหวานคุมเค็มคุมมัน

ทำไม “อาหาร” จึงเป็นประตูสู่ Wellness City

การประกาศตัวเป็น “เมืองสุขภาพ” มีหลายทางเข้า: โยคะ สปา เส้นทางเดิน–วิ่ง สวนสาธารณะ แต่ “อาหาร” แตะคนได้มากที่สุด ทั้งชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยว เทศกาลในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เวทีขายของ หากเป็นเวที “ทดสอบและสื่อสารมาตรฐาน” กับสาธารณะโดยตรง เมื่อนักท่องเที่ยวรู้ว่า ร้านนี้ย่านนี้เมนูนี้ ผ่านเกณฑ์ของจังหวัด ความเชื่อมั่นจะขยายไปถึง แบรนด์เมือง ทันที

ในมุมเศรษฐกิจท่องเที่ยว การมี มาตรฐานอาหารสุขภาพ ชัดเจนจะดึงดูดกลุ่ม Wellness/Medical/Retirement Traveler ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องกลุ่มที่ใช้เวลาในพื้นที่นานขึ้นและใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งสำหรับค่ายาอาหารกิจกรรมกายภาพบำบัดสปา และสินค้าเกษตรแปรรูป

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง (Key Stats)

  • 400+ ร้าน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ
  • 90 ร้าน ตรวจประเมินเชิงลึก
  • 71 ร้าน ผ่านเกณฑ์แล้ว (คิดเป็นราว 78–79% ของร้านที่ถูกประเมินเชิงลึก)
  • 40+ บูธ เข้าร่วมงานในวันเปิดมหกรรม
    ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่าผู้ประกอบการ “พร้อมปรับตัว” และระบบประเมิน “ใช้งานได้จริง” ทั้งในเมืองและอำเภอรอบนอก

เสียงจากเวที และงานหลังบ้านที่มองไม่เห็น

บนเวทีเปิดงาน ผู้แทนร้านอาหารเชฟท้องถิ่นนักโภชนาการ แลกเปลี่ยนกันถึง “ต้นทุนการปรับตัว” เช่น การฝึกทีมครัวเรื่องการชั่งตวงลดเค็มลดหวาน การจัดเก็บวัตถุดิบให้ผ่าน SAN และการสื่อสารเมนูให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย ขณะที่ฝั่งหน่วยงานรัฐอธิบาย “ระบบพี่เลี้ยงหลังบ้าน” ทั้งคู่มือคลินิกโภชนาการชุดประเมินการสุ่มตรวจต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรฐานไม่หยุดอยู่ที่ป้ายวันแรก แต่ ยืนระยะได้ ในชีวิตจริงของร้าน

น.พ.คงศักดิ์ ชัยชนะ ระบุในรายงานสรุปว่า จุดเน้นของจังหวัดไม่ใช่ “จำนวนป้าย” หากเป็น “ความเข้มของระบบ” ที่ทำให้ผู้ประกอบการ วางกระบวนการ ได้ด้วยตนเองในระยะยาว และเชื่อมถึง เกษตรกรต้นทาง อย่างมีกติกาเดียวกัน

ความท้าทายและทางออก

แม้ภาพรวมจะเดินหน้าได้ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “ด่าน” สำคัญรออยู่

  • ความต่อเนื่องของวัตถุดิบมาตรฐาน Q/GAP: เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องวางแผนเพาะปลูก–เก็บเกี่ยว–กระจายสินค้าให้สอดคล้องกับฤดูกาลและเมนู
    แนวทาง: ทำ “แมตชิ่งลิสต์” เชื่อมร้าน–กลุ่มเกษตรกร จัดตารางวัตถุดิบล่วงหน้า และตั้งจุดรวบรวมผลผลิตที่ตรวจสอบย้อนกลับได้
  • ต้นทุนการปรับครัวให้ผ่าน SAN/SAN Plus: ร้านเล็ก ๆ อาจหนักกับการลงทุนอุปกรณ์/ระบบน้ำ/พื้นที่จัดเก็บ
    แนวทาง: ใช้โมเดล “พี่เลี้ยง–ไมโครเงินกู้–กองทุนชุมชน” ควบคู่คู่มือ Checklists รายจุด เพื่อให้การลงทุนมีลำดับและวัดผลได้
  • ทักษะอ่านฉลาก/คุมโภชนาการของทีมครัว: การลดโซเดียม–น้ำตาล–ไขมัน ต้องอาศัยการชั่ง–ตวง–วางสูตรและซ้อมมือ
    แนวทาง: คลินิกโภชนาการประจำเดือน, เวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติ และ “ธนาคารสูตรมาตรฐาน” ให้ร้านหยิบไปปรับใช้

เชื่อมกับ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” อย่างมีกลยุทธ์

หากมองในกรอบกว้าง แผน “อาหารสุขภาพ” สามารถเป็น สินทรัพย์แบรนด์เมือง ได้อย่างเป็นรูปธรรม—คล้ายเมืองอาหารของญี่ปุ่น–ไต้หวัน–ยุโรป ที่บูรณาการครัวสุขภาพเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยว เมืองเชียงรายมีฐานทรัพยากรอยู่แล้ว: โอทอปสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ชา–กาแฟสายคลีน ผลไม้ปลอดภัย ผักพื้นถิ่น และวัฒนธรรมล้านนาที่เชิญชวนสมาธิ การต่อชิ้นส่วนให้ครบอาจเกิดใน 3 มิติ

  1. เส้นทาง “กิน–เดิน–สุขภาพ”: จัดแพ็กเกจร้านผ่านมาตรฐาน + สปา/อบสมุนไพร + เส้นทางเดิน/ปั่น + จุดชมธรรมชาติ
  2. ป้าย/แผนที่ดิจิทัลแบบเรียลไทม์: รวมร้านที่ผ่านมาตรฐาน อัปเดตเมนูช่วงเวลาคิวคะแนนโภชนาการ ให้คนตัดสินใจได้เร็ว
  3. เทศกาลประจำฤดูกาล: ยกระดับมหกรรมครั้งนี้เป็นซีรีส์ 3–4 ไตรมาส เชื่อมกับฤดูกาลผลผลิต สร้าง “ปฏิทินสุขภาพเชียงราย”

เมืองสุขภาพ ไม่ใช่แค่วาทกรรม หากเป็น “งานระบบ”

สิ่งที่เชียงรายกำลังทำแตกต่างจากการประกาศวิสัยทัศน์ทั่วไป เพราะ เอามาตรฐานลงมือจริง เริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุด—“จานอาหาร”—แล้วค่อย ๆ สร้างเครือข่ายร้าน–ไร่–ผู้บริโภค และยกระดับไปสู่ แบรนด์เมือง ในที่สุด การมีตัวเลขชัดเจน (400/90/71) ช่วยยืนยันว่ากลไกเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงคำแถลงข่าว

และในคืนที่สวนตุงและโคมเต็มไปด้วยผู้คน การชิมที่มากกว่ารสชาติคือ “การชิมระบบ” ว่าหลังป้ายสวย ๆ มีมาตรฐานและการบ้านที่ทำมาจริงแค่ไหน เมื่อตอบคำถามนี้ได้ เชียงรายจึงเดินพ้น “คำขวัญ” และก้าวเข้าสู่ เมืองสุขภาพ ที่จับต้องได้

  • Outcome ระยะสั้น: ได้ชุดร้านต้นแบบ 71 ร้าน (จาก 90 ร้านที่ตรวจ) พร้อมป้ายมาตรฐาน ขยายผลสื่อสารกับประชาชนและนักท่องเที่ยว
  • Outcome ระยะกลาง: เชื่อมกลุ่มเกษตรกร Q/GAP กับครัวมาตรฐาน SAN และตั้ง “คลินิกโภชนาการ” ให้ร้านรักษามาตรฐานได้เอง
  • Outcome ระยะยาว: ยกระดับแบรนด์เมือง–รายได้ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–คุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยแผนที่ร้านสุขภาพทั้งจังหวัดและเทศกาลตามฤดูกาล

คีย์เวิร์ดของเชียงรายในปีนี้จึงไม่ใช่ “อร่อย” อย่างเดียว แต่คือ “อร่อยและพิสูจน์ได้” บนมาตรฐานที่ชัด โปร่งใส และตรวจสอบได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

36 ปี นครเชียงราย สื่อชุมชนที่ปลุกพลังความมุ่งมั่น จากผู้ชายที่เริ่มจากศูนย์

คอลัมน์พิเศษ “วันคล้ายวันเกิดผู้ก่อตั้ง” อัญเชิญ ก.บัวเกษร จาก “ศูนย์” สู่สื่อชุมชน—36 ปี นครเชียงรายที่ยืนข้างผู้คน

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 — เช้าวันฤดูฝนบนถนนสายเดิมที่เคยเป็นเส้นทางส่งหนังสือพิมพ์ “นครเชียงราย” รถส่งพิมพ์สอดประวัติศาสตร์ยังวนลูปผ่านย่านตลาดเก่า กลิ่นหมึกพิมพ์ไม่ต่างจากวันแรก ๆ เมื่อ พ.ศ. 2532 หากวันนี้มีความหมายกว่าทุกวัน เพราะตรงกับ วันคล้ายวันเกิด ของผู้ชายคนหนึ่ง—ผู้บุกเบิกสื่อท้องถิ่นในเชียงราย—นายอัญเชิญ ก.บัวเกษร หรือ “เล็ก นครเชียงราย” ผู้จากไปเมื่อ 22 มกราคม 2565 แต่ทิ้งแนวคิด “สื่อเพื่อชุมชน” ไว้เป็นต้นทุนให้คนข่าวรุ่นต่อ ๆ มา

เรื่องเล่าของเขาเริ่มต้นได้ไกลกว่าห้องข่าว—เริ่มจากบ้านร้านชำเล็ก ๆ ที่อำเภอชายแดน เริ่มจากความขัดแย้งกับพ่อในวัยเยาว์ และเริ่มจากคำประกาศกับตัวเองว่า “จะไม่ถอยหลัง” เรื่องนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากโรยด้วยคราบเหงื่อของการรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งตัวเองเรียน—ก่อนจะกลายเป็นพนักงานฝ่ายตรวจสอบที่ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และสะสมทุนการศึกษาจนจบ วิทยาลัยกรุงเทพ (มหาวิทยาลัยกรุงเทพปัจจุบัน) ในสาขาสื่อสารมวลชน

“ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้แต่อ่าริษยาไม่ได้ พักได้แต่อย่าหยุด” — คำของพ่อที่เขาหยิบมาเป็นคำสอนประจำชีวิต (อ้างจากบทความ ‘ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ สู่วันแห่งความสำเร็จ’)

เสี้ยววินาทีที่เลือก “กลับบ้าน”

จังหวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในห้วงเวลาหนึ่งทำให้ตำแหน่งงานในเมืองหลวงไม่มั่นคงนัก “เล็ก” ในวัยทำงานจึงเลือกกลับเชียงราย—เมืองที่รู้จักทุกซอกซอยและรู้ว่าคนที่นี่ต้องการ “ข่าวสารที่เชื่อถือได้ใกล้ตัว” มากเพียงใด พ.ศ. 2532 ธุรกิจ หนังสือพิมพ์นครเชียงราย ก่อร่างขึ้นด้วยทุนความมุ่งมั่นและเครือข่ายบนดิน: ครู ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และร้านรวงที่พร้อมวางแผงหนังสือ

หากจะให้สรุป “คอนเซ็ปต์” ห้องข่าวของเขาในประโยคเดียว—คงเป็น “ออกแบบสื่อให้เดินถึงบ้าน” ข่าวของนครเชียงรายจึงมักเริ่มต้นจากปัญหาหน้าบ้าน—ตั้งแต่สาธารณูปโภค, ถนนพัง, เวรยามชุมชน, ไปจนถึงการศึกษาท้องถิ่น—แล้วกลับมาคิดว่าคนอ่านในหมู่บ้านจะได้ “ประโยชน์” อะไรเมื่อพับกระดาษแผ่นนี้จบ ในยุคที่สื่อส่วนกลางครอบคลุมประเทศ ข่าวระดับ “ตำบล-อำเภอ” กลับเป็นช่องว่าง—และนั่นคือพื้นที่อาชีพของเขา

36 ปี จากวันนั้นถึงวันนี้ (2532–2568) ชื่อ นครเชียงราย กลายเป็นเสมือน “ที่เก็บความทรงจำของเมือง” ที่มีทั้งข่าวเศร้า ข่าวสุข และข่าวธรรมดา ๆ ที่ทำให้ชุมชนเคลื่อนไหวอย่างมีส่วนร่วม

เสียงจากคลื่นวิทยุ 106.5 MHz และชั่วโมงแห่งความเป็นเพื่อน

ต่อมา พ.ศ. 2548 เขาขยาย “สำนักข่าวใจบ้าน” สู่ วิทยุชุมชน FM 106.5 MHz เพื่อให้ข่าวสาร “พูดได้” และ “ปลอบได้” ในยามชุมชนเจอเหตุฉุกเฉิน คลื่นวิทยุของเขาไม่ได้ใหญ่โต หากกลับทำสิ่งเล็ก ๆ ที่จำเป็น: แจ้งเส้นทางเลี่ยงน้ำป่า, ประสานรถพยาบาล, ฝากประกาศตามหาญาติ, เปิดไมค์ให้ช่างซ่อมท่อบอกวิธีเลี่ยงอันตราย—20 ปี ของคลื่นเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่ใหญ่เกินขนาดสถานี

เขายังผลักดันงานกุศลเชิงระบบ—ทั้งในบทบาท รองประธานมูลนิธิสำเร็จร่วมกุศลเชียงราย (ฝ่ายหารายได้) และเครือข่ายภาคประชาสังคมในเมืองเหนือ การระดมผ้าห่ม—ของใช้—อาหารแห้ง ไปจนถึงเครื่องมือแพทย์ในบางวาระ จึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะฤดูกาล หากแทรกอยู่ในระบอบชีวิตของห้องข่าวและผู้ฟังคลื่นชุมชน

รากการศึกษา จากอนุชนเหนือสู่มืออาชีพสื่อ

หากถอยหลังกลับไปอีก “เล็ก” โตมากับโรงเรียนในเชียงรายหลายแห่ง—เริ่ม ป.1–ป.3 โรงเรียนดรุณราษฏร์วิทยา (แม่สาย), ต่อ ป.4–ม.2 โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม, กลับมา ม.3 ดรุณราษฏร์วิทยา (แม่สาย), ย้าย ม.4 โรงเรียนผดุงปัญญา (ตาก) และ ม.5 โรงเรียนพระนครวิทยาลัย (กทม.) พร้อมสอบเทียบ ม.5 จากกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนจบ ปริญญาตรี สื่อสารมวลชน วิทยาลัยกรุงเทพ การเดินทางที่ขรุขระทางภูมิศาสตร์สะท้อนความไม่ยอมแพ้—และในกำแพงมหาวิทยาลัย เขายังอาสาทำกิจกรรมหลากหลาย: ประธานชมรมปาฐกถาและโต้วาที, ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์สโมสรนักศึกษา, สมาชิกค่ายอาสาพัฒนา, เคยมีบทบาท กลุ่มกิจกรรมนักศึกษา (Gruop C/กิจกรรม) และเป็น สมาชิกยุวชนประชาธิปัตย์ ในยุคนั้น—เครือข่ายทางสังคมที่กลายเป็นทรัพยากรสำคัญของนักข่าวท้องถิ่นในภายหลัง

ในเชิงวิชาชีพ เขาผ่านการฝึกงานอย่างเข้มข้น: เดลินิวส์ (พ.ศ. 2520), สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (สนามเป้า), สถานีวิทยุ 914 กรป.กลาง อ.แม่จัน, กองบัญชาการทหารสูงสุด (พ.ศ. 2521) และต่อยอดสู่งานจริงในกอง บรรณาธิการไทยรัฐ ก่อนลาออกช่วงปลาย พ.ศ. 2528 เพื่อกลับมาวางฐานอาชีพที่บ้านเกิด ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์ความรู้ด้านกองบรรณาธิการ—ด้านภาษา, ระบบตรวจสอบข่าว, วินัยห้องข่าว—ถูกยกมาปลูกลงใน “ดินแดนสื่อชุมชน” ของเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม

ประโยคที่เปลี่ยนชีวิต “กลับบ้าน”

ในบันทึก “ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ สู่วันแห่งความสำเร็จ” เขาเล่าช่วงวิกฤตไว้อย่างซื่อตรงว่าเมื่อความไม่แน่นอนถาโถมเข้ามา “คำของพ่อก็แว้บขึ้นในหัว” และตัดสินใจ กลับบ้าน เพื่อ “เริ่มใหม่” และ ขอโทษพ่อ—ฉากเล็ก ๆ หน้าบ้านที่เขาบอกว่า “น้ำตาไหล” กลายเป็น “รีสตาร์ต” ครั้งสำคัญของชีวิต นับจากวันนั้น เขาเริ่มประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ของตัวเอง และค่อย ๆ เติบโตเป็น “คนของสังคม” ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก

“ถ้าเราไม่ถอย ไม่หยุดเดิน สักวันเราจะรู้ว่าความลำบากในวันนี้มันคุ้มค่าเหลือเกิน” — อัญเชิญ ก.บัวเกษร (อ้างจากบันทึกชีวิตฯ)

บทบาท “พี่เลี้ยง” ของเยาวชนคนข่าว

ตลอดเส้นทาง เขามักรับเชิญไปบรรยาย “ประสบการณ์ทำงานจริง” ให้แก่นักเรียน-นักศึกษาหลายสถาบัน ทั้งการเขียนข่าว, จริยธรรมสื่อ, วิธีตรวจข่าว, การตั้งคำถาม และ “การใช้ภาษาให้รับผิดชอบต่อชุมชน” นักศึกษาจำนวนมากบอกตรงกันว่า—มากกว่าทฤษฎีที่ได้จากห้อง—คือความกล้าชนกับปัญหาจริงอย่างตรงไปตรงมา เช่น การตามเอกสารราชการ, การโทรถามหน่วยงานด้วยมารยาท, หรือการขอโทษเมื่อข่าวคลาดเคลื่อน เขาย้ำเสมอว่า “ความน่าเชื่อถือ คือทุนที่สำคัญที่สุดของคนข่าว”

งานอาสา–กุศล สื่อที่ยื่นมือ

ชื่อ “เล็ก นครเชียงราย” ถูกยกมาเมื่อใด มักพ่วงด้วยกิจกรรมระดมสิ่งของเพื่อผู้ประสบภัย—ตั้งแต่ ภัยหนาวบนดอย ถึง เหตุฉุกเฉินในชุมชน บทบาท รองประธานมูลนิธิสำเร็จร่วมกุศลเชียงราย (ฝ่ายหารายได้) ทำให้เขาเป็น “ตัวกลางที่ชุมชนไว้ใจ” การแจ้งข่าวผ่านหนังสือพิมพ์และคลื่นวิทยุช่วยให้การระดมทุนและการส่งมอบความช่วยเหลือ “ไปถึงมือผู้เดือดร้อนจริง”

เส้นเวลา (Timeline) ชีวิตและงาน

  • เกิด: วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2498 (ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม)
  • การศึกษา: สลับย้ายเรียนหลายจังหวัด ตั้งแต่แม่สาย–เชียงราย–ตาก–กรุงเทพฯ จบ ปริญญาตรี สื่อสารมวลชน วิทยาลัยกรุงเทพ
  • ฝึกงาน/งานสื่อส่วนกลาง: เดลินิวส์ (2520), ททบ.5, วิทยุ 914 กรป.กลาง, บก.ทท., ทำงาน กองบรรณาธิการไทยรัฐ (ลาออก ปลาย 2528)
  • ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์นครเชียงราย: เริ่ม พ.ศ. 2532 (นับถึงปีนี้ 36 ปี)
  • ผู้ก่อตั้งวิทยุชุมชนนครเชียงราย FM 106.5 MHz: เริ่ม พ.ศ. 2548 (ครบ 20 ปี)
  • งานสังคม: รองประธาน มูลนิธิสำเร็จร่วมกุศลเชียงราย (ฝ่ายหารายได้), ทำกิจกรรมรับบริจาคและงานกุศลต่อเนื่อง
  • ถึงแก่อนิจกรรม: วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2565 (ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด), สิริอายุ 65 ปี

ความหมายของ “นครเชียงราย” ในฐานะสื่อ

ในทางวิชาชีพสื่อ “นครเชียงราย” สร้างหมุดหมายที่น่าสนใจไว้หลายประการ

  1. การยืนระยะยาว 36 ปี ในธุรกิจสื่อท้องถิ่น—ซึ่งท้าทายทั้งยุคเปลี่ยนผ่านจากสิ่งพิมพ์สู่ดิจิทัล
  2. บทบาทคลื่นวิทยุชุมชน 20 ปี—ดูแล “ความรู้สึกปลอดภัย” ของผู้คนในยามคับขัน
  3. พลังเครือข่าย—จากโรงเรียน ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปจนถึงองค์กรภาคประชาสังคมและท้องถิ่น—ทำให้ข่าว “วิ่งได้” และความช่วยเหลือ “ไปถึง”
  4. การหล่อเลี้ยงคนข่าวรุ่นใหม่—ทั้งเวทีฝึกงานและการบรรยาย—ทำให้ “วินัยและจริยธรรมข่าว” ถ่ายทอดถึงรุ่นถัดไปอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดนี้อธิบายว่าเหตุใด “วันคล้ายวันเกิด” ของเขาจึงกลายเป็นวาระที่กองบรรณาธิการเลือกหยิบยกขึ้นมา—ไม่ใช่เพื่อโศกเศร้า หากเพื่อ ย้ำความหมายของคำว่า ‘เริ่มจากศูนย์’ ให้ดังพอสำหรับคนทำงานสื่อยุคใหม่ที่ยืนอยู่หน้าคลื่นลูกใหญ่ของเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลง

มรดกที่ทิ้งไว้ ไม่ใช่ตึก—แต่เป็น “วิธีคิด”

ที่สุดแล้ว มรดกของอัญเชิญ ก.บัวเกษร ไม่ได้มีเพียงเครื่องจักรพิมพ์หรือแฟ้มข่าว หากคือ วิธีคิดแบบลงมือทำ และ ความรับผิดชอบต่อชุมชน เขาแสดงให้เห็นว่า “สื่อท้องถิ่น” ไม่ได้เล็ก—หาก “ใกล้”—และความใกล้นั้นทำให้การรายงานข่าว ช่วยแก้ปัญหาได้จริง ตั้งแต่ท่อรั่วจนถึงการหาทุนเครื่องมือแพทย์ บทสรุปที่เขาทิ้งไว้ในบันทึกชีวิตอาจเป็นคำสั้นที่สุดแต่ไกลที่สุด: เดินต่อไป”

ในวาระ 23 สิงหาคม 2568 กองบรรณาธิการจึงบันทึกคอลัมน์นี้ไว้ ไม่ได้เพื่อระลึกถึง “บุคคลสำคัญ” เท่านั้น แต่เพื่อระลึกถึง ความหมายของงานสื่อ ที่คนธรรมดาคนหนึ่งใช้ทั้งชีวิตค่อย ๆ ก่อขึ้น—เริ่มจากศูนย์—ด้วยมือเปื้อนหมึกและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หนังสือพิมพ์นครเชียงราย / กองบรรณาธิการ
  • บันทึกเชิงชีวประวัติ: “ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ สู่วันแห่งความสำเร็จ” โดย เล็ก นครเชียงราย (อัญเชิญ ก.บัวเกษร)
  • เอกสารแจ้งการถึงแก่อนิจกรรม/กำหนดการทางครอบครัว (พ.ศ. 2565)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยสู่เวทีโลก! 2 นักออกแบบเชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย “ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”

เชียงรายสู่เวทีแฟชั่นผ้าไทย 2 นักออกแบบดาวรุ่งจ่อขึ้นชิงชัยระดับภูมิภาค ภายใต้โครงการ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”  เมื่อ Soft Power เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย / ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — บนเส้นด้ายที่ทอดยาวระหว่าง “ราก” และ “โลก” ชื่อของเชียงรายถูกขีดเส้นใต้ขึ้นมาอีกครั้งในแผนที่แฟชั่นไทย เมื่อสองนักออกแบบรุ่นใหม่ของจังหวัด—กนกพร ธรรมวงค์ และ สมชัย ธงชัยสว่าง—เตรียมขึ้นเวทีรอบระดับภูมิภาคในโครงการ นักออกแบบผ้าไทย ใสให้สนุกรุ่นใหม่ 2568 (Young Designer 2025)” หลังฝ่าด่านการแข่งขันที่มีผู้ส่งผลงานจากทั่วประเทศจำนวนมาก สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังกระเพื่อมจากท้องถิ่นสู่เวทีใหญ่

ขณะที่สตูดิโอเล็ก ๆ ของนักออกแบบในตัวเมืองเชียงรายยังมีเสียงจักรเย็บผ้าและแสงไฟดวงเล็กโชยอุ่น—เรื่องเล่าของผืนผ้า “ลายจกสามดอก” ที่ถูกตีความใหม่ และแนวคิดความงามแบบ Wabi Sabi ที่เคยคว้ารางวัลระดับชาติ—กำลังจะถูกจับขึ้นกรอบเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความงาม หากคือบทพิสูจน์ว่า ผ้าไทย สามารถ “ใส่แล้วสนุก” และ “ขายได้จริง” ในโลกปัจจุบัน

ประกวดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพระราชดำริ จาก “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สู่ห้องทดลอง Soft Power

หัวใจของโครงการปีนี้ยังยึดโยงกับ พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงผลักดันแนวคิด ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ให้ผ้าไทยกลับมาเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และขยายผลสู่เศรษฐกิจฐานราก ผ่านคณะทำงานเชิงปฏิบัติการที่เปรียบประดุจ วิชชาลัยผ้าเคลื่อนที่/คาราวานนักออกแบบ” ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาชุมชน จนเกิดองค์ความรู้ต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือแนวโน้ม Thai Textiles Trend Book และเวทีแข่งขันของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เชื่อมชุมชนกับตลาดสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์

ในเชิงสถาบัน โครงการได้รับการขับเคลื่อนโดย กระทรวงมหาดไทย ผ่าน กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ทำให้การคัดสรรและสนับสนุนผลงานจากชุมชนสู่เวทีชาติเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนบางกิจกรรม สะท้อนโมเดลความร่วมมือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศผ้าไทยในระยะยาว.

ภาพรวมการแข่งขันปี 2568 ตัวเลขสะท้อนแรงกระเพื่อม

เวทีปีนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคัก—มีผู้ส่งผลงานรวม 735 ราย เข้าสู่รอบคัดเลือกที่จัดแถลงข่าวเปิดตัว ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ก่อนจะคัดเหลือ ตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค 4 ภาค รวม 80 ราย (ภาคละ 20) เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่รอบประเทศ, ปักหมุดสำคัญไว้ที่ รอบชิงชนะเลิศ 28 ตุลาคม 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม

สำหรับ ภาคเหนือ—เวทีของตัวแทนเชียงราย—การประกวดกำหนดจัด วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมมีเลีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นด่านชี้ชะตาเพื่อคัดเข้าสู่รอบระดับประเทศต่อไป

หมายเหตุ: สื่อบางแห่งรายงานว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป 94 ราย (นับจากการคัดกรองชุดแรก) ก่อนจะจัดสรรลงสู่เวทีภาค แต่ เอกสารทางการของรัฐบาลระบุกรอบแข่งขันระดับภูมิภาค 80 ราย (ภาคละ 20) จึงอาจเกิดความแตกต่างเชิงเทคนิคจากขั้นตอนคัดกรองและการสรุปตัวเลขในแต่ละช่วงเวลา

ในฝั่งรางวัล กรอบรางวัลตามเอกสารประชาสัมพันธ์ทางการ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ 200,000 บาท, รองชนะเลิศ 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับสอง 75,000 บาท และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล ๆ ละ 40,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันสะท้อน แรงจูงใจเชิงคุณค่าทั้งตัวเงินและเวทีพัฒนาอาชีพ ที่ชัดเจน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านองค์ความรู้และโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์หลังเวทีแข่งขัน

เชียงรายส่งสัญญาณจาก “ราก” สองดีไซเนอร์–สองตัวตน–หนึ่งเป้าหมาย

แม้แต่ละภูมิภาคจะส่งตัวแทนขึ้นเวทีจำนวนจำกัด แต่เรื่องเล่าจากเชียงรายปีนี้โดดเด่นในเชิง “อัตลักษณ์ + ความร่วมสมัย” อย่างน่าจับตา

  • กนกพร ธรรมวงค์ (รหัสผลงาน N67 ตามข้อมูลที่วงการแฟชั่นท้องถิ่นเผยแพร่) เลือกหยิบ ลายจกสามดอก มาเป็นวัตถุดิบทางความคิด แล้วพัฒนาเป็นแนวทางร่วมสมัยที่ “สนุกและใส่ได้จริง” โดยให้ความสำคัญกับการ ทอและการย้อมสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวโน้มแฟชั่นยั่งยืน โลกออนไลน์เคยเห็นผลงานเธอผ่าน โชว์ผ้า/วิดีโอแนะนำงานชุมชน ซึ่งปรากฏแนวทาง “วิจิตรลายจกสามดอก” ชัดเจน.
  • สมชัย ธงชัยสว่าง (รหัส N72 ตามลำดับการประกวดที่วงการออกแบบกล่าวถึง) โดดเด่นจากผลงานแนวคิด Wabi Sabi ที่เคยพาเขาคว้ารางวัลระดับชาติ (SACIT AWARD 2021) ด้วยภาษาการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง—สะท้อนความงามของ “ความไม่สมบูรณ์อันเป็นธรรมชาติ”—แล้วนำมาผสานกับโครงสร้างและผิวสัมผัสของผ้าไทยอย่างลงตัว ทุนทางความคิดที่พิสูจน์มาแล้ว ทำให้เขาถูกจับตาในฐานะผู้เล่นที่พร้อมต่อยอดสู่เวทีภูมิภาค

ทั้งคู่คือภาพแทนของ “ท้องถิ่นที่ต่อกับโลก”—คนหนึ่งยืนบนฐานชุมชนและการย้อมธรรมชาติ อีกคนทำให้แนวคิดร่วมสมัยเชื่อมกับภูมิปัญญาผืนผ้า—และพร้อมพิสูจน์ว่า แฟชั่นผ้าไทย อาจไม่ใช่เพียงพิธีการหรือความทรงจำอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ประกวดทำไมเวทีนี้สำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก

ความต่างของ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุก” เมื่อเทียบกับเวทีแฟชั่นสากล คือ วัตถุประสงค์ ที่ต้องการ “พลิกผ้าไทยให้กลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน” มากกว่าการทำคอลเลกชันโชว์อย่างโดดเดี่ยว โครงสร้างการแข่งขันจึงตั้งอยู่บนการ เชื่อมชุมชน–ดีไซเนอร์–ตลาด อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรงบันดาลใจลวดลาย, การเลือกเส้นใย/ย้อมสีที่ยั่งยืน, การออกแบบแพตเทิร์นให้ใส่ง่าย/ผลิตซ้ำได้, ไปจนถึงการสื่อสารแบรนด์และการเข้าถึงช่องทางจำหน่าย

ขุมพลัง Soft Power อยู่ตรงนี้—เมื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบองค์ความรู้ใน Thai Textiles Trend Book และคำแนะนำจากคณะทำงานลงไปทดลองจริงกับชุมชน ต้นทุนทางวัฒนธรรม จึงถูกแปรรูปเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกัน การนำเวทีประกวดกระจายไปยัง 4 ภูมิภาค ก็ช่วยให้ การเดินทางขององค์ความรู้ ไม่ติดอยู่ในเมืองหลวง แต่ไหลกลับไปสู่แหล่งผลิตผ้าอันหลากหลาย ทำให้การพัฒนาเกิด “วงจรป้อนกลับ” ที่ยั่งยืนกว่าเวทีประกวดทั่วไป

เส้นทางสู่เวทีใหญ่ กำหนดการที่ต้องรู้

  • รอบระดับภาคเหนือ: 30 สิงหาคม 2568 ที่ โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่
  • รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ: 28 ตุลาคม 2568 ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ทั้งสองหมุดหมายคือด่านสำคัญที่นักออกแบบต้อง “แปลงสเก็ตช์ให้เป็นชุดจริง” และสื่อสารคอนเซ็ปต์ให้จับใจคณะกรรมการ/ผู้ชม ขณะที่เบื้องหลังคือการ จับมือกับช่างทอ/กลุ่มผู้ผลิต เพื่อสร้างต้นแบบที่ทั้งสวยและผลิตซ้ำได้—นี่แหละ บทพิสูจน์วัดฝีมือของแฟชั่นร่วมสมัยที่ต้องขายได้จริง

เวทีนี้ “ปั้นอาชีพ” ได้จริง

ปีก่อนหน้า นายรุจ กล้ำศรี คว้ารางวัลชนะเลิศ New Gen Young Designer 2024 พร้อมรางวัลตัวเงินและเครื่องมือทำงาน (เช่น จักรเย็บผ้า, แท็บเล็ต) ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเวทีนี้ที่ ไม่หยุดแค่ถ้วยรางวัล แต่ “มอบเครื่องมือ” ให้ต่อยอดอาชีพจริง ขณะเดียวกัน การได้รับการยอมรับจากเวทีที่อยู่ภายใต้พระราชดำริ ยังกลายเป็น ตราประทับความน่าเชื่อถือ ต่อแวดวงธุรกิจแฟชั่นและผู้บริโภค

คำถามเชิงนโยบาย ตัวเลข 735 ชี้อะไร?

ตัวเลขผู้สมัคร 735 ราย บอกเราว่า “แรงดึงดูด” ของผ้าไทยในหมู่คนรุ่นใหม่ยังสูง และ พื้นที่ให้ทดลอง (เช่น การให้ส่งสเก็ตช์/สตอรี่บอร์ดก่อน) ทำให้ ต้นทุนการเข้าร่วมต่ำ จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากได้ลองสนาม เมื่อคัดสรรเหลือ 80 ตัวแทนเข้าสู่เวทีภาค จะยิ่งเห็น คุณภาพเชิงไอเดียและการผลิต เด่นชัดขึ้น—นี่คือฟิลเตอร์ที่ทำให้ “ความสนุก” ขยับไปเป็น “ความจริงจังทางอาชีพ” อย่างมีขั้นตอน

ในแง่ระบบนิเวศ หากดู จุดหมายปลายทาง (ไอคอนสยาม) และ จุดสตาร์ต (โรงแรม/สถานที่จัดระดับพรีเมียม) ย่อมสื่อสารภาพลักษณ์ “แฟชั่นร่วมสมัยของไทย” ในเชิงสากล ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคเหนือที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฮับครีเอทีฟของภูมิภาค ก็ทำให้เวทีนี้ “อยู่ใกล้แหล่งผลิต” มากพอ—เกิดทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ผลิตจริงในคราวเดียว.

จากเวทีภาคเหนือ…สู่มูลค่าเพิ่มของชาติ

การที่เชียงรายมีชื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ถูกจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องของจังหวัดหนึ่ง หากคือหลักฐานว่า “ระบบนิเวศผ้าไทย” เริ่มทำงานในแบบที่ ภูมิปัญญา–ดีไซน์–ตลาด เดินไปด้วยกัน เมื่อเวทีระดับภูมิภาคเปิดโอกาสให้ ราก ทำความรู้จักกับ โลก ผ่านภาษาแฟชั่นร่วมสมัย เราจึงได้เห็น ลายจกสามดอก ที่ถูกแปลเป็นเสื้อผ้าใส่จริง และ ความงามแบบ Wabi Sabi ที่กลายเป็นจังหวะใหม่ของผิวผ้าไทย นี่คือ Soft Power ที่จับต้องได้—เริ่มจากหมู่บ้าน สู่ห้องตัดเย็บ ไปจนถึงรันเวย์ และท้ายสุด…สู่ ยอดขายและงานทำ ในชุมชน

เวที 30 สิงหาคม ที่เชียงใหม่ คือบททดสอบสำคัญของนักออกแบบเชียงราย และหากผ่านด่านนี้ พวกเขาจะมีนัดใหญ่ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม วันที่ 28 ตุลาคม โจทย์ไม่ใช่เพียงว่า “สวยแค่ไหน” หากต้องตอบให้ได้ว่า ใส่แล้วสนุก ขายได้จริง และคืนกำไรให้ชุมชน” มากเพียงใด—คำตอบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การเชื่อมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–ผู้ประกอบการ–หน่วยงานรัฐ ให้แน่นแฟ้นพอที่จะเปลี่ยน “ผืนผ้า” ให้กลายเป็น “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)
  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • Yu Jia Dong
  • พู่ววววว พู่
  • ผ้าไทยใส่สนุก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“ภูมิธรรม” ชูโรดแมป 8 Quick Wins บีบงานเร่งด่วนเห็นผลใน 90 วัน

“8 Quick Wins” กับโจทย์ใหญ่ของมหาดไทยภายใน 3 เดือน

  • บริบทความเร่งด่วนมี “ตัวเลข” รองรับ: หนี้ครัวเรือนไทยแตะ ราว 91% ของจีดีพี ในไตรมาส 1/2568—ระดับใกล้จุดสูงสุดและยังเป็นแรงกดทับคุณภาพชีวิตประชาชนและกำลังซื้อฐานราก ขณะที่คดีอาชญากรรมออนไลน์ปี 2567 ก่อความเสียหาย หลายหมื่นล้านบาท สวนกระแสความพยายามกวาดล้างของรัฐ อีกด้าน ปัญหายาเสพติดยังรุนแรงต่อเนื่องตามด่านชายแดนและโครงข่ายข้ามชาติ ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณเตือนจาก UNODC/AP ว่าปริมาณ “ยาเสพติดสังเคราะห์” ในภูมิภาคยังสูง การประกาศ “3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” จึงวางโจทย์ตรงกลางระหว่าง ความมั่นคงของชุมชน และ คุณภาพชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน ที่ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมเร็ว ๆ นี้
  • กลไกขับเคลื่อน ทุก 15 วัน กับ คณะกรรมการระดับชาติ ที่รัฐมนตรีตั้งขึ้น โดยมีนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์เป็นประธาน ถือเป็น “สวิตช์ความเร็ว” ที่จะทดสอบระบบบังคับบัญชาแบบยกกำลัง—จากส่วนกลางลงถึงจังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน พร้อมกำหนดเส้นตาย 3 เดือน เพื่อปิดดีล “Quick Wins” แรกของกระทรวง
  • หากคิกออฟใหญ่ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน เป็นการ “ตั้งธง” ทางการเมือง-นโยบายให้ตรงกันทั้งประเทศ คำประกาศ “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม : มองไกล ใจเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่งประชาชน” คือประโยคตั้งเข็มทิศที่ต้องพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงสโลแกน

 “ภูมิธรรม” ชูโรดแมป “8 Quick Wins” บีบงานเร่งด่วนเห็นผลใน 90 วัน ตั้งคกก.ติดตามทุก 15 วัน เร่ง “ไร้ทุกข์”–ต่อยอด “สร้างสุข” ให้ประชาชน

ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดถึงนายอำเภอ จากปลัดอำเภอถึงผู้นำท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงและภาคีเครือข่าย เมื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก้าวขึ้นเวทีและประกาศคำมั่น มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม มองไกล ใจเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่งประชาชน” ก่อนเปิดแผนเร่งด่วน “8 Quick Wins: 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” พร้อมเส้นตาย “ให้เห็นผลจริงภายใน 3 เดือน” เพื่อยืนยันว่าคำสัญญาจากส่วนกลางจะไม่หยุดแค่พิธีเปิด แต่จะไปต่อถึงปลายน้ำในทุกตำบล หมู่บ้าน และชุมชนทั่วประเทศ

ทำไม “ตอนนี้” และ “เร็ว” จึงสำคัญ

เบื้องหลังคำว่า “Quick Wins” มีเหตุผลเชิงโครงสร้างรองรับ ในระดับครัวเรือน ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 1/2568 อยู่แถว 91% ของจีดีพี ระดับ “สูงติดอันดับโลก” ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากเผชิญต้นทุนดอกเบี้ยสูง กำลังซื้อต่ำ และช่องว่างทางโอกาสที่กว้างขึ้น การแก้หนี้ต้องเดินคู่กับการเพิ่มรายได้และการเข้าถึงบริการรัฐที่สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อคลี่คลายความกดดันเชิงสังคมที่ซ้อนอยู่ใต้พรม.

ด้านความปลอดภัย สถิติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ล็อตเตอรี่ปลอม-หลอกลงทุนผ่านแอปยังพุ่งสูง สร้างความเสียหายรวม หลายหมื่นล้านบาท ในปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าการป้องกันเชิงรุก-ปราบปรามเชิงซ้อน และการฟื้นฟูผู้เสียหายด้วยกระบวนการยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย ยังเป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องเชื่อมให้ติด ขณะที่ปัญหา ยาเสพติดสังเคราะห์ ไหลข้ามพรมแดนยังไม่คลายสอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ภูมิภาคของ UNODC ที่ชี้ว่าปริมาณและการยึดจับในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังอยู่ในระดับสูง

บนฉากใหญ่ของภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้ว ประเทศไทยเพิ่งเร่งเครื่องวางระบบ Cell Broadcast System (CBS) เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยพิบัติ “ตรงถึงมือถือ” ครอบคลุมเลขหมายกว่า ร้อยล้านเบอร์—อีกขั้นของการคุ้มครองประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หากเครื่องมือพร้อมใช้งานจริงได้ทั่วหน้า ย่อมลดความสูญเสียและยกระดับความเชื่อมั่นต่อรัฐในยามวิกฤต

“3 ไร้ทุกข์” ดับปัญหาเรื้อรังให้ถึงราก

แพ็กแรกของ Quick Wins เน้น “ขจัดทุกข์” 3 เรื่องหลักที่แตะชีวิตผู้คนโดยตรง

  1. เร่งกวาดล้างยาเสพติดเชิงรุก — ตั้งแต่ชายแดนถึงชุมชน ผ่านการบูรณาการตำรวจ-ฝ่ายปกครอง-ทหาร-ป.ป.ส.-สาธารณสุข—ครบวงจร ป้องกัน–ค้นหา–บำบัด–ฟื้นฟู เป้าคือ “No Drugs, No Dealers” ให้เห็นในระดับหมู่บ้าน โดยเน้นตัดเส้นเลือดฝอย (ผู้ค้ารายย่อย/เครือข่ายส่งต่อ) ควบคู่กับทำแผนรายบุคคลให้ผู้เสพกลับสู่ครอบครัวและงานได้อย่างยั่งยืน ลดโอกาสการกลับไปพัวพันซ้ำ
  2. จัดระเบียบสังคม–ปราบผู้มีอิทธิพลและอาชญากรรมยุคใหม่ — กวาดล้าง แก๊งคอลเซ็นเตอร์/หลอกลงทุน/ฟอกเงิน โดยใช้ฐานข้อมูลและการสืบสวนดิจิทัล สั่งการเชื่อม ศูนย์ดำรงธรรม–ตำรวจไซเบอร์–ธนาคาร–กสทช. เพื่อ “ตัดตอนเงิน” ให้ทันก่อนไหลออกนอกระบบ กดดันทั้งบนดิน-ออนไลน์ พร้อมยึดทรัพย์สินเครือข่ายผิดกฎหมายเพื่อนำคืนผู้เสียหาย
  3. ทำให้ทุกพื้นที่ “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” — เร่งปรับปรุงไฟส่องสว่าง–CCTV จุดเสี่ยงทางกายภาพ ปรับดีไซน์พื้นที่สาธารณะให้รองรับกลุ่มเปราะบาง และทดสอบใช้งาน CBS เตือนภัยพิบัติระดับจังหวัด/อำเภอควบคู่ระบบแจ้งเตือนเดิม ช่วยลดเวลาตอบสนองในเหตุฉุกเฉิน

“5 สร้างสุข” ต่อท่อคุณภาพชีวิตให้เติบโตยั่งยืน

จาก “ไร้ทุกข์” สู่ “สร้างสุข” กระทรวงวางเป้าสร้างผลบวกเชิงโครงสร้างบน 5 มิติ

  1. แก้หนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ — แม้การจัดการหนี้เป็นอำนาจร่วมของหลายหน่วย (ธปท.-คลัง-ยุติธรรม) แต่มหาดไทยจะขับเคลื่อนบทบาท “นายอำเภอ–ท้องถิ่น” เป็น Frontline Broker ทำ คลินิกหนี้ระดับอำเภอ ภายใต้กติกากลาง เชื่อมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/พักชำระ/รีไฟแนนซ์ พร้อมเวิร์กช็อป “วินัยการเงิน” ในชุมชน เป้าคือให้ครัวเรือนที่เปราะบางหลุดจากวงจรหนี้นอกระบบและฟื้นศักยภาพรายได้. (ฐานปัญหา: หนี้ครัวเรือนสูงใกล้จุดพีก)
  2. สุขภาวะและการศึกษาชุมชน — ขยายบทบาท อปท.–รพ.สต.–อาสาสมัคร ให้มี “ผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุ” ในระดับหมู่บ้าน ส่งเสริม เศรษฐกิจสุขภาพ (อาหารปลอดภัย Farm to Table–อาชีพดูแลผู้สูงวัย) ควบคู่ยกระดับการศึกษาและทักษะอาชีพเยาวชนเชิงพื้นที่ เพื่อ “จับคู่” อุปสงค์–อุปทานแรงงานจริง ลดช่องว่างงานกับความสามารถ.
  3. เมืองคึกคักด้วย Soft Power — หนุน “1 ตำบล 1 Start-up” และกิจกรรมสร้างสรรค์ตามโมเดล 5F (Food–Film–Fashion–Fighting–Festival) ผูกกับอัตลักษณ์ชุมชนและปฏิทินท่องเที่ยวท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจฐานราก (สอดคล้องกรอบนโยบายรัฐบาลด้าน Soft Power)
  4. บริการรัฐสะดวก–รวดเร็ว — เร่งขยายบริการดิจิทัลของกรมการปกครองและหน่วยในสังกัด ให้ประชาชน “ทำธุระกับรัฐ” ออนไลน์ได้มากขึ้น ลดเอกสาร ลดระยะเวลา ขยายจุดบริการเคลื่อนที่—โดยคิกออฟให้ทุกจังหวัดประกาศ “รายการบริการด่วน” ที่จะปรับปรุงภายใน 90 วันแรกตามเป้า Quick Wins
  5. ยกระดับระบบรับเรื่องร้องทุกข์ — ปรับบทบาท “ศูนย์ดำรงธรรม” ให้เป็น One-Stop Mediation & Resolution เชื่อมฐานข้อมูลกลาง–ติดตามผลแบบเรียลไทม์ ตั้ง KPI การปิดเรื่องในเวลาที่กำหนด และวิเคราะห์ปัญหาเชิงพื้นที่จากดาต้า เพื่อป้องกันการร้องเรียนซ้ำซาก ทั้งนี้ ศูนย์ดำรงธรรมเป็นช่องทางรัฐ–ประชาชนที่มีภาระงานสูงมาโดยตลอด และถูกยกระดับบทบาทอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง.

กลไก–ความเร็ว–การลงมือทำ” ตั้งคณะกรรมการกลาง ติดตามทุก 15 วัน

เพื่อให้โรดแมป “จากเวทีสู่พื้นที่” เดินได้จริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย” มี นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ เป็นประธาน ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง–กำกับ–ติดตาม–รายงานผล” ต่อเนื่อง ทุก 15 วัน โดยมีกลไกจากทุกกรมร่วมเป็นทีมขับเคลื่อนกลาง ขณะเดียวกัน ทุกจังหวัด ต้องตั้งคณะกรรมการลักษณะเดียวกันเป็นมิเรอร์ในระดับพื้นที่ แปลงนโยบายเป็นแผนงาน-โครงการ-ตัวชี้วัดและกรอบเวลาเดียวกันทั้งหมด เพื่อลดปัญหา “แปลนโยบายคนละฉบับ” ที่มักเกิดขึ้นในระบบราชการขนาดใหญ่

“สิ่งที่เราเริ่มวันนี้ ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ แต่คือพันธสัญญาที่ต้องเห็นผลกับประชาชนในเวลาอันสั้น” — สารจากเวทีคิกออฟซึ่งย้ำ “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม” ว่าต้องวัดได้จริงในชุมชน

ดัชนีวัดผล จะรู้ได้อย่างไรว่าชนะ “เร็วและจริง”

ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะจำนวนมากเห็นพ้องว่า Quick Wins ต้องกำหนด “ตัวชี้วัดที่จับต้องได้” และเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ—เพื่อสร้างแรงกดดันเชิงบวกต่อระบบปฏิบัติการของรัฐ บทเรียนจากคดี อาชญากรรมออนไลน์ ชี้ว่าการ “ตัดตอนช่องทางการเงิน” เร็วขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจลดความเสียหายรวม หลายพันล้านบาทต่อปี ในขณะที่การบูรณาการแก้ ยาเสพติด หากวัดผลที่ “จำนวนผู้ผ่านโปรแกรมบำบัดกลับสู่สังคมได้จริง” และ “จุดเสี่ยงลดลง” (มากกว่าจำนวนจับกุมล้วน ๆ) จะทำให้การลงทุนงบประมาณตอบโจทย์มนุษย์และชุมชนมากขึ้น

ด้านความปลอดภัยสาธารณะ การทดสอบ–ใช้งาน CBS อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไฟ–กล้อง และการซ้อมรับมือภัยพิบัติระดับอำเภอทุกเดือน สามารถวัดผลได้จาก เวลาเฉลี่ยในการแจ้งเตือน และ สัดส่วนประชาชนที่ได้รับแจ้งเตือนทันเวลา ซึ่งจะสะท้อน “ความพร้อมของรัฐ” ที่ประชาชนสัมผัสได้โดยตรง

ปิดเกม 3 เดือนอย่างไรให้ “ยั่งยืน”

แม้ Quick Wins จะเน้น “เร็ว” แต่การสร้าง ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ต้องประคอง 3 องค์ประกอบพร้อมกัน
หนึ่ง กลไกสั่งการต้อง “บาง เบา เร็ว” โดยคณะกรรมการระดับชาติช่วย “แก้คอขวด” ให้พื้นที่
สอง งบประมาณและบุคลากรต้อง “ตรงจุด” โดยเฉพาะงานไซเบอร์–ข้อมูล–สังคมสงเคราะห์–บำบัดฟื้นฟู
สาม การสื่อสารสาธารณะต้อง “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ผ่านแดชบอร์ดจังหวัด/อำเภอที่อัปเดตราย 15 วัน เท่าจังหวะติดตามผลเพื่อให้ประชาชนร่วมรับรู้และ “ดันหลัง” ระบบราชการจากภายนอก

ในภาพใหญ่ หาก หนี้ครัวเรือน ลดระดับความเปราะบางลงอย่างมีนัย และกราฟ คดีไซเบอร์/ความเสียหาย โค้งลงต่อเนื่อง ขณะจุดเสี่ยงความปลอดภัยและความเสี่ยงจากภัยพิบัติลดลงด้วย CBS+โครงสร้างพื้นฐาน ที่ทำงานได้จริง ก็จะเป็นสัญญาณว่ากระทรวงมหาดไทยเดินบนเส้นทางถูกต้องและประโยค “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม” กำลังเปลี่ยนจากคำประกาศสู่ ความจริงในชีวิตประจำวันของคนไทย

สรุปสาระสำคัญ “8 Quick Wins 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข”

  • 3 ไร้ทุกข์: (1) กวาดล้างยาเสพติดเชิงรุกครบวงจร (2) จัดระเบียบสังคม–ปราบผู้มีอิทธิพลและอาชญากรรมออนไลน์ (3) ทำทุกพื้นที่ให้ปลอดภัยด้วยโครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยสมัยใหม่ (CBS)
  • 5 สร้างสุข: (1) แก้หนี้ครัวเรือนเป็นระบบ (2) เสริมสุขภาวะ–การศึกษาชุมชน (3) เมืองคึกคัก–Soft Power–1 ตำบล 1 Start-up (4) บริการรัฐดิจิทัล สะดวก รวดเร็ว (5) ระบบรับเรื่องร้องทุกข์ยุคใหม่ผ่านศูนย์ดำรงธรรมและดาต้ากลาง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
  • คำกล่าวของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวจากสื่อมวลชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โมเดล Co-Learning Space: รมช.ศึกษาฯ ยกระดับห้องสมุดเชียงรายสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต

 “การศึกษาคือโอกาส” รมช.ศึกษาฯ ลงพื้นที่ ย้ำโมเดล “Co-Learning Space” ยกระดับห้องสมุด–ฟื้นฟู สกร. หลังน้ำท่วม สร้างระบบเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เข้าถึงได้จริง

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 – การลงพื้นที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ มีนัยสำคัญเชิงนโยบายอย่างน้อย 3 มิติ ได้แก่ (1) สานต่อกฎหมาย “ส่งเสริมการเรียนรู้” ที่ยกระดับงานการศึกษาตลอดชีวิตจากอดีต กศน. สู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะตลอดชีวิตมีฐานกฎหมายและงบประมาณชัดเจน (2) เร่งแปลง “ห้องสมุดประชาชน” ให้เป็น Co-Learning Space หรือ “พื้นที่เรียนรู้ร่วม” เชื่อมอ่าน-ทำ-อาชีพ ตามแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและเมืองแห่งการเรียนรู้สากล เพื่อยกระดับคุณภาพ (value) แทนการวัดผลด้วยปริมาณผู้ใช้บริการอย่างเดียว และ (3) ฟื้นฟูความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการเรียนรู้หลังภัยพิบัติ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ที่กระทบหลายจังหวัดทางเหนือ รวมถึงเชียงราย ซึ่งสะท้อนโจทย์ “ความยืดหยุ่นของระบบการเรียนรู้ (learning resilience)” ที่ต้องรับมือได้ทั้งยามปกติและยามวิกฤต

เมื่อวางเหตุการณ์ลงบนแผนที่นโยบายระดับประเทศ จะเห็นว่าแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบสากลของยูเนสโกเรื่อง “เมืองแห่งการเรียนรู้” (Learning Cities) ที่ผลักดันระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านสถานที่เรียนรู้สาธารณะ เช่น ห้องสมุด ศูนย์ชุมชน และพื้นที่สร้างสรรค์ โดยเน้นคุณค่าเชิงทักษะและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย—จังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และชุมชนภูเขา—ยิ่งทำให้โมเดล Co-Learning Space เป็นเครื่องมือที่ “ตรงโจทย์พื้นที่” มากกว่านโยบายส่วนกลางเชิงเส้น

ห้องสมุดที่ไม่ใช่แค่ชั้นหนังสือ

ยามบ่ายวันเสาร์ แสงแดดลอดกระจกใสของห้องสมุดประชาชนกลางเมืองเชียงราย โต๊ะยาวถูกจัดเป็นเวิร์กช็อปสาธิตอาหารพื้นถิ่น ด้านข้างเป็นโซนงานฝีมือและมุมสื่อดิจิทัลที่ผู้เรียนเปิดดูคลิปวิธีทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างตั้งใจ เสียงพูดคุยสลับกับเสียงคลิกเมาส์—ภาพที่บอกว่า “ห้องสมุด” ไม่ได้มีบทบาทแค่ที่เก็บหนังสืออีกต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ เดินชมผลงานของผู้เรียนภายใต้การดูแลของ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ระดับอำเภอเมืองเชียงราย ทั้งงานศิลปะ งานฝีมือ และอาหารท้องถิ่นที่ต่อยอดเป็นอาชีพได้จริง ก่อนประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ครู และบุคลากร สกร. โดยเน้นวิสัยทัศน์ให้ห้องสมุดประชาชนพัฒนาไปสู่ “Co-Learning Space”—พื้นที่ที่คนทุกวัยเข้ามาเรียนร่วมกัน แบ่งปันความรู้ ต่อทักษะเป็นอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้ทุกคนที่ได้รับการศึกษาคือคนที่โชคดี และการได้เรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน… การเรียน สกร. คือการสร้างโอกาสอย่างทั่วถึง และทำให้มีทักษะอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้”
— ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ กล่าวระหว่างมอบนโยบาย

จาก “กฎหมายส่งเสริมการเรียนรู้” สู่ สกร. เครื่องยนต์การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการศึกษาตลอดชีวิตไทยคือ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ซึ่งยกระดับงานด้านการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยสู่ “กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)” ในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ภารกิจพัฒนาทักษะประชาชนตลอดช่วงชีวิตมีฐานะทางกฎหมาย โครงสร้าง และพันธกิจที่ชัดเจนกว่าเดิม ทั้งในแง่การจัดหลักสูตรยืดหยุ่น การเทียบโอนผลการเรียนรู้ และการเชื่อมต่อการเรียนกับอาชีพในพื้นที่ โดยเอกสารวิชาการและข้อมูลสาธารณะให้ภาพรวมพัฒนาการของกฎหมายฉบับนี้และทิศทางของหน่วยงานใหม่ไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ในวันนี้.

ในระดับพื้นที่ เชียงรายมีหน่วยงาน สกร.จังหวัด-อำเภอ และเครือข่ายห้องสมุดประชาชน/ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนทำงานเชิงรุกอยู่แล้ว เอกสารแนะนำหน่วยงาน สกร.เชียงรายสะท้อนภาพรวมการบริการความรู้และกิจกรรมสาธารณะหลายมิติ—ตั้งแต่มุมอ่านหนังสือ สื่อดิจิทัล เวิร์กช็อปทักษะอาชีพ ไปจนถึงกิจกรรมวัฒนธรรม—ซึ่งเป็นฐานพร้อมต่อยอดสู่ Co-Learning Space เต็มรูปแบบ

ทำไมต้อง “Co-Learning Space” จากแนวคิดสากลสู่การใช้งานจริง

แนวคิดห้องสมุดมีชีวิตและพื้นที่เรียนรู้ร่วม ไม่ใช่แฟชั่นระยะสั้น แต่คือ “สถาปัตยกรรมการเรียนรู้” ที่สอดคล้องกับกรอบสากลของ UNESCO Institute for Lifelong Learning (UIL) ที่ผลักดันเครือข่าย “เมืองแห่งการเรียนรู้ (Global Network of Learning Cities)” เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ในชุมชนผ่านพื้นที่สาธารณะ—ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม—ให้เป็นฐานพลังทุนมนุษย์และความยืดหยุ่นของเมือง

ด้านการออกแบบเชิงปฏิบัติ หน่วยงานไทยอย่าง TK Park – สถาบันอุทยานการเรียนรู้ ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบห้องสมุดมีชีวิต” ที่พัฒนากรอบคิด Good Library Space และนวัตกรรมบริการอ่าน-คิด-ทำ ให้ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ (creative commons) สำหรับทุกวัย ซึ่งเป็นประสบการณ์โดยตรงที่พื้นที่อย่างเชียงรายสามารถหยิบไปปรับใช้ได้ทันที ทั้งการจัดโซนทำงานร่วม (co-working/co-making) การเชื่อมดิจิทัลคอนเทนต์ และกิจกรรมเสริมทักษะอาชีพที่ตอบโจทย์ชุมชน.

ความหลากหลาย + ชายแดน + ฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ทั้งชุมชนไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ลาหู่ ฯลฯ งานวิจัยท้องถิ่นสะท้อนภาพ “ความต่างที่อยู่ร่วมกัน” ในหลายอำเภอ เช่น อำเภอเชียงแสนที่พบชุมชนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นทั้งทุนทางวัฒนธรรมและโจทย์ด้านภาษากับสื่อการเรียนรู้ที่ต้องออกแบบให้เข้าถึงจริง.

อีกด้านหนึ่ง เชียงรายได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ในช่วงมรสุมปี 2567 จากอิทธิพลพายุ “ยากิ” และร่องมรสุม ส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ-อีสานเผชิญน้ำหลาก-ดินถล่ม หน่วยงานประสานความร่วมมือภัยพิบัติภูมิภาคอาเซียน (AHA Centre) ระบุสถานการณ์และจังหวัดที่ได้รับผลกระทบชัดเจน รวมถึงพื้นที่เชียงราย ซึ่งในมิติการศึกษาต้องเร่งฟื้นฟูทั้งสถานที่และระบบบริการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (เช่น ห้องคลังสื่อ ศูนย์ e-exam) ให้กลับมาพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัยและยืดหยุ่น.

ด้วยภูมิศาสตร์แบบประตูการค้าชายแดนและความหลากหลายทางวัฒนธรรม โมเดล Co-Learning Space จึงไม่ใช่แค่การ “ทำห้องสวย” แต่คือการวางแพลตฟอร์มบริการความรู้ที่เชื่อม อ่าน–ทำ–อาชีพ–ดิจิทัล ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ตั้งแต่วัยเรียน แรงงานนอกระบบ ไปจนถึงผู้สูงวัยและผู้พิการ

แผนที่สู่การปฏิบัติ 4 กลไกเร่งด่วนที่ “ทำได้เลย”

1) ปรับห้องสมุดเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วม
จัดโซน co-working/co-making พร้อมอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับฝึกอาชีพเบื้องต้น (งานช่างฝีมือ อาหาร แปรรูปสินค้า) และมุมดิจิทัลสื่อการสอน/ให้คำปรึกษาอาชีพออนไลน์ เชื่อมแนวคิดห้องสมุดมีชีวิตของ TK Park เข้ากับสภาพจริงของห้องสมุดชุมชน—ชั้นหนังสือน้อยลง พื้นที่กิจกรรมมากขึ้น บริการ “ครูพี่เลี้ยง” และอาสาสมัครรู้จริงในทักษะอาชีพ.

2) เปิดหลักสูตรยืดหยุ่น–เทียบโอนผลการเรียนรู้
ใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ 2566 ผลักดันการเทียบโอนทักษะจากงานจริง (RPL: Recognition of Prior Learning) ให้คนทำงานและผู้เรียนกลุ่มเปราะบาง “จบหลักสูตร” ได้เร็วขึ้น และเชื่อมต่อสู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ/ประกาศนียบัตรระยะสั้นที่ตลาดแรงงานต้องการ ลดต้นทุนเวลาและโอกาสที่หลุดจากระบบ.

3) ฟื้นฟู–ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม
เร่งซ่อมแซม/ย้ายจุดเสี่ยงของศูนย์บริการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุดคลังสื่อและศูนย์ e-exam ให้ปลอดภัยรองรับน้ำท่วมซ้ำซาก ออกแบบระบบสำรองไฟ-สำรองข้อมูล-ระบบออนไลน์ให้สลับโหมดได้ทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้การสอบ การเทียบโอน และการเรียนออนไลน์ “ไม่สะดุด” ในภาวะวิกฤต.

4) ปิดช่องว่างดิจิทัล (digital divide)
อาศัยข้อมูลสำรวจไอซีทีครัวเรือนของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เป็นฐานวิเคราะห์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต-อุปกรณ์ เริ่มจากตำบล/อำเภอที่มีอัตราการเข้าถึงต่ำสุด จัด “จุดเชื่อมต่อเรียนรู้ดิจิทัล” และคลินิกทักษะดิจิทัลเบื้องต้นควบคู่กับ Co-Learning Space เพื่อให้ผู้เรียนทุกวัยใช้บริการภาครัฐ/สมัครงาน/เรียนออนไลน์ได้จริง. Royal

ห้องสมุด = เวิร์กช็อปอาชีพ + ศูนย์รวมชุมชน

ผู้เรียนวัยทำงานที่นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาวางสาธิต เล่าว่าเดิม “เข้าห้องสมุด” เพื่อยืมหนังสือ แต่เมื่อมีคลินิกอาชีพและมุมดิจิทัล ก็เริ่มค้นสูตร ทดลองทำสินค้า ถ่ายภาพ-ตัดต่อคลิป สร้างตัวตนบนออนไลน์ และนำความรู้ไปขายจริงในตลาดนัดชุมชน “ห้องสมุดกลายเป็นพื้นที่ทำงานและที่ปรึกษา” ขณะที่ครูอาสา สกร. ย้ำว่าการมีพื้นที่ให้เรียนรู้ร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนหลากวัยช่วยกันเติมเต็ม—คนรุ่นพี่ถ่ายทอดภูมิปัญญา คนรุ่นใหม่เสริมดิจิทัล—เกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ (learning community) ที่ยั่งยืนกว่าชั้นเรียนสั้น ๆ

แม้รายละเอียด “อันดับการใช้งาน” ของห้องสมุดแต่ละจังหวัดอาจต่างกันไปตามเดือนและดัชนีที่ใช้วัด แต่แนวโน้มเชิงนโยบายและต้นแบบบริการของไทย-ต่างประเทศชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ห้องสมุดยุคใหม่ต้องเป็น แพลตฟอร์ม มากกว่าสถานที่—แพลตฟอร์มที่ประชาชนเข้ามา “อ่าน-เรียน-ทำ-เชื่อมงาน” ได้ในจุดเดียว และหากผูกเข้ากับการเทียบโอน/วุฒิบัตรระยะสั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่าต่อเวลาและรายได้ของผู้เรียน

เชื่อมระดับพื้นที่กับระดับโลก เมืองแห่งการเรียนรู้คือความยั่งยืน

ยูเนสโกเสนอว่าการเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” จะทำให้เมืองยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจชุมชนหลากหลายขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำ เพราะทุกคนมีช่องทางเติมทักษะตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง—ห้องสมุด โรงเรียน ศูนย์ชุมชน และดิจิทัลทำงานร่วมกันเป็นระบบนิเวศเดียว ในมุมนี้ เชียงรายมีทุนพร้อม ทั้งภาคการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เครือข่ายชุมชนชาติพันธุ์ และเป็นจุดเชื่อมชายแดน หาก Co-Learning Space ขยายจากตัวเมืองสู่ตำบล-หมู่บ้าน พร้อมวัดผลด้วยตัวชี้วัดเชิงมูลค่า (เช่น รายได้ต่อครัวเรือนจากทักษะใหม่ จำนวนผู้เทียบโอนสำเร็จ หรือเวลาเข้าถึงบริการรัฐที่ลดลง) เมืองจะ “เห็นผล” ได้เร็วกว่าการวัดเพียงจำนวนคนเข้าใช้ห้องสมุด

จากคำประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” สู่การเปลี่ยนพื้นที่ให้เรียนรู้ได้จริง

สารสำคัญจากเชียงรายวันนี้คือ การประกาศ “การศึกษาคือโอกาส” ไม่ได้หยุดอยู่ที่เวทีสัมมนา แต่ถูกวางเป็น พิมพ์เขียวปฏิบัติการ ผ่าน 4 กลไก—แปลงห้องสมุดเป็น Co-Learning Space, เทียบโอนทักษะ-หลักสูตรยืดหยุ่น, ฟื้นฟูโครงสร้างหลังภัยพิบัติ, และปิดช่องว่างดิจิทัล—ทั้งหมดสอดรับทั้งกฎหมายไทยด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต แนวคิดสากลของยูเนสโก และภูมิศาสตร์สังคมของเชียงราย

คำกล่าวของ รมช.ศึกษาฯ ที่ว่า “การเรียนของ สกร. คือโอกาสที่ได้ทั้งเรียนและทำงาน” จึงไม่ใช่เพียงประโยคให้แรงบันดาลใจ แต่เป็นกรอบคิดเชิงนโยบายที่เรียกร้อง “การลงมือทำ” ต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานออกแบบพื้นที่ บริการ และข้อมูล ไปจนถึงการประสานภาคีในจังหวัด หากเชียงรายเดินตามพิมพ์เขียวนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีโอกาสก้าวสู่ Learning City ที่คนทุกวัย “เข้าไปแล้วมีทางออก”—ทางออกสู่ทักษะใหม่ งานใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงราย (สกร.)
  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่
  • สถิติการใช้งานห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ”: มรภ.เชียงรายมอบหมวกพยาบาล 79 คน ก้าวสู่หอผู้ป่วย

แสงประทีปสู่หัวใจวิชาชีพ” มรภ. เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี ให้นักศึกษาพยาบาล “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” 79 คน ก้าวแรกสู่หอผู้ป่วยอย่างมีศักดิ์ศรี–จริยธรรม

ในช่วงรอยต่อการฟื้นตัวของระบบบริการสุขภาพและสังคมไทย ภูมิภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายต้องการ “คน” และ “คุณค่า” มากพอๆ กับ “เครื่องมือ” และ “งบประมาณ” สถานพยาบาลปลายทางต้องรองรับผู้ป่วยหลากหลายมิติ ขณะที่ชุมชนต้องการบุคลากรที่มีทั้งความรู้เชิงวิชาการ ทักษะการปฏิบัติ และหัวใจของความเป็นมนุษย์ พิธี “มอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี” ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ หากเป็น “พิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน” ที่ประกาศต่อสาธารณะว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่แถวหน้าการดูแลสุขภาพอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ

รายงานนี้หยิบ “สาระความหมายบริบท” ของพิธีครั้งล่าสุด (22 สิงหาคม 2568) มาคลี่ให้เห็นทั้งภาพพิธีการ สัญลักษณ์หลัก และนัยต่อระบบสุขภาพท้องถิ่น ผ่านเลนส์การสื่อสารที่เป็นกลาง และรองรับด้วยข้อมูลอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

พิธีที่เป็นมากกว่าความภาคภูมิใจจุดเปลี่ยนสู่การปฏิบัติจริง

เชียงราย,22 สิงหาคม 2568 –  อาคารเรียนรวม 101 ของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย คลาคล่ำไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา และความคาดหวังของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 “ช่อทองคำรุ่นที่ 2” จำนวน 79 คน พร้อมครอบครัวและคณาจารย์ผู้ปลูกฝังวิชาชีพ พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี เป็นธรรมเนียมอันทรงเกียรติที่สืบทอดมายาวนานในแวดวงการพยาบาลไทย ใช้ยืนยันว่า นักศึกษากลุ่มนี้ได้ผ่านรากฐานทางทฤษฎีที่จำเป็น และพร้อมก้าวเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วย โดยมีระบบพี่เลี้ยงและสถาบันคู่ความร่วมมือทางคลินิกคอยกำกับคุณภาพอย่างใกล้ชิด

พิธีได้รับเกียรติจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับรองอธิการบดีเป็นประธาน พร้อมด้วยคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ตอกย้ำความสำคัญของ “คนดีคนเก่งคนกล้าเปลี่ยนแปลง” ที่สังคมต้องการ ยิ่งในบริบทจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตด้านประชากร สุขภาวะ และวัฒนธรรมแตกต่างหลากหลาย การหล่อหลอมบัณฑิตให้ “รู้เท่าทันข้อมูลเข้าใจผู้คนเชื่อมต่อระบบ” คือสิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง

สัญลักษณ์สามประการหลักยึดของการดูแลด้วยหัวใจมนุษย์

สาระสำคัญของพิธีประกอบด้วย “สามสัญลักษณ์” ซึ่งล้วนมีที่มาและความหมายลึกซึ้งในวิชาชีพพยาบาล

  1. หมวกพยาบาล – หมวกสีขาวบริสุทธิ์คือเครื่องหมายเชิงจริยธรรมที่ย้ำถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน วินัย และการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้ในงานบริการสุขภาพยุคใหม่จะไม่ได้สวมหมวกในทุกสถานการณ์ แต่หมวกในพิธีคือ “สัญญาใจ” ที่เตือนผู้สวมให้รักษามาตรฐานวิชาชีพ–มาตรฐานความเป็นมนุษย์เสมอ
  2. ดวงประทีปไนติงเกล – ตะเกียงส่องทางที่สืบเรื่องราวจากฟลอเรนซ์ ไนติงเกล สตรีผู้ได้รับฉายา “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ยุคสงครามไครเมีย แสงจากประทีปมิใช่เพียงประกายไฟ หากเป็น “แสงแห่งความหวัง” ที่พยาบาลถือไปหาและอยู่เคียงข้างผู้ป่วยในห้วงมืดมนของความเจ็บปวด
  3. เข็มชั้นปี – เครื่องหมายความก้าวหน้าทางวิชาการของนักศึกษา ผู้ผ่านการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานและมีคุณสมบัติตามหลักสูตร พร้อมเข้าสู่สนามจริงในหอผู้ป่วย เข็มชั้นปีจึงเป็นทั้ง “เกียรติยศ” และ “ภาระรับผิดชอบ” ในคราวเดียวกัน

ลำดับพิธี–สายใยเครือข่าย

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การจุดเทียนไนติงเกลและส่งมอบตะเกียงแก่ผู้แทนนักศึกษา ก่อนเข้าสู่ช่วงติดหมวกและประดับเข็มชั้นปีโดยคณาจารย์และตัวแทนภาคีเครือข่ายโรงพยาบาลในจังหวัด อาทิ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลหลักที่รับนักศึกษาเข้าฝึกปฏิบัติ สะท้อน “สะพานเชื่อม” ระหว่างมหาวิทยาลัยและบริการสุขภาพจริง ทำให้การเรียนรู้ไม่ขาดช่วงระหว่างทฤษฎีกับคลินิก

ในงานยังมีการมอบทุนการศึกษา–เกียรติบัตรแก่นักศึกษาที่โดดเด่นด้านจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมบทเพลงเครื่องทองเหลืองโดยวง Crru Brass Project สร้างบรรยากาศขรึมขลังและอบอุ่นไปพร้อมกัน

ตัวเลขชวนคิด

  • นักศึกษาที่เข้ารับหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปี: 79 คน
  • ช่วงเวลาพิธีที่สถาบันประกาศกำหนดในปฏิทินกิจกรรมประจำปี: 08.30–11.00 น.

ทำไมพิธีนี้จึงสำคัญ “ตอนนี้”?

คำตอบอยู่ที่โจทย์ของระบบสุขภาพและแนวโน้มกำลังคนพยาบาลระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยประเมินในรายงาน State of the World’s Nursing 2020 ว่าโลกยังขาดแคลนพยาบาลราว 5.9 ล้านคน โดยกระจุกตัวในประเทศรายได้ปานกลาง–ต่ำ การสร้างและรักษากำลังคนพยาบาลคุณภาพจึงเป็นวาระเร่งด่วนของทุกประเทศ รวมถึงไทยด้วย การที่สถาบันท้องถิ่นอย่างมรภ.เชียงราย ย้ำ “คุณธรรม–จริยธรรม–ความเป็นมืออาชีพ” ตั้งแต่ก้าวแรก ย่อมช่วยวางรากฐานให้การบริการสุขภาพเชิงชุมชนมีความเชื่อถือและเข้าถึงได้จริงในระยะยาว

ยิ่งในเชียงรายจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ชายแดน การเดินทางของแรงงานข้ามแดน และโครงสร้างประชากรชนเผ่า–กลุ่มชาติพันธุ์บทบาทของพยาบาลที่ “สื่อสารได้ เข้าใจบริบทได้ ไวต่อความต่างทางวัฒนธรรม” จึงเป็นหัวใจของการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิอย่างแท้จริง

สัญญาใจของวิชาชีพ จาก “คำปฏิญาณ” สู่ “การกระทำ”

แก่นแท้ของพิธีไม่ได้หยุดอยู่ที่เครื่องแบบ หากอยู่ที่ “คำปฏิญาณ” และบรรทัดฐานวิชาชีพที่ต้องยึดถือ สภาการพยาบาลไทยระบุกรอบจริยธรรมไว้อย่างชัดเจน อาทิ ความซื่อสัตย์ การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การรักษาความลับผู้ป่วย และการอุทิศตนเพื่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง ICN Code of Ethics for Nurses (2021) ของสภาการพยาบาลนานาชาติที่เน้น “พยาบาลกับผู้รับบริการ–กับการปฏิบัติวิชาชีพ–กับวิชาชีพพยาบาล–กับสุขภาพโลก” เป็นสี่เสาหลักสำคัญในการตัดสินใจและการกระทำของพยาบาลทุกคน (เอกสารฉบับภาษาไทยโดยสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สช.มหิดล และฉบับสากลโดย ICN)

การที่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ได้รับเข็มชั้นปีและเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาล จึงเท่ากับถือ “ใบเบิกทาง” ที่มาพร้อมพันธสัญญาจะยึดมั่นกรอบจริยธรรมดังกล่าว—จากถ้อยคำในพิธี สู่การกระทำจริงข้างเตียงผู้ป่วย

พิธีกรรมเชื่อมอดีต–ปัจจุบัน สืบสายไนติงเกล

เพื่อให้ “ดวงประทีป” มีชีวิตในใจคนรุ่นใหม่ รายละเอียดของพิธีในไทยหลายสถาบันยังคงยึดโยงกับประวัติศาสตร์ไนติงเกลในฐานะผู้บุกเบิกการพยาบาลสมัยใหม่สัญลักษณ์ “สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” ที่ถือโคมไฟเดินตรวจทหารบาดเจ็บยามวิกาล กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาพยาบาลทั่วโลกใช้ “แสง” เป็นเครื่องหมายของความหวัง ความเอื้ออาทร และความไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยในห้วงยากลำบาก (สาระอ้างอิงจากสารานุกรมบริแทนนิกา).

ในระดับสถาบัน มรภ.เชียงรายจัดพิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ทั้งในมิติ “พิธีหลวง” และ “ชีวิตนักศึกษา” สื่อสาธารณะของมหาวิทยาลัยและคณะพยาบาลศาสตร์สะท้อนภาพความต่อเนื่องดังกล่าวไว้หลายครั้งในปีที่ผ่านมา ช่วยยืนยันว่า พิธีนี้คือ “วัฒนธรรมองค์กร” ที่สถาบันยึดถือเพื่อพัฒนาคนก่อนปล่อยสู่สนามจริงของการพยาบาลคลินิกและชุมชน

ความหมายเชิงระบบ เมื่อพิธีปั้น “คน” ให้รองรับเมือง

  1. สร้างมาตรฐานความเป็นมืออาชีพ – เมื่อก้าวสู่หอผู้ป่วย นักศึกษาจะต้องเผชิญสถานการณ์จริงที่ซับซ้อน การมี “กรอบคิด–กรอบใจ” ที่มาจากพิธีและหลักจริยธรรมชัดเจน ช่วยให้การตัดสินใจในพื้นที่คลุมเครือทำได้อย่างเป็นระบบและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  2. เสริมสมรรถนะอ่อน (soft skills) – พยาบาลต้องสื่อสารกับผู้ป่วย ครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ และชุมชน พิธีและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าคลินิกช่วยปลูกฝังความสุภาพ อดทน เห็นอกเห็นใจ และพร้อมเรียนรู้ตลอดชีวิต—คุณสมบัติที่ไม่อาจวัดได้ด้วยคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  3. เชื่อมมหาวิทยาลัย–ชุมชน–โรงพยาบาล – รายละเอียดพิธีที่มีตัวแทนโรงพยาบาลหลักของจังหวัดเข้าร่วม สะท้อนความร่วมมือเชิงโครงสร้างระหว่างสถาบันผลิตกับหน่วยบริการ ซึ่งเป็นหัวใจของการแก้โจทย์กำลังคนสุขภาพอย่างยั่งยืนในภูมิภาค
  4. รับมือบริบทชายแดน – เชียงรายมีความต้องการบริการสุขภาพหลากหลาย พยาบาลที่เข้าใจวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่นจึงทำหน้าที่เป็น “สะพานใจ” ของระบบบริการได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในบริการปฐมภูมิ การสร้างประสบการณ์ฝึกปฏิบัติในพื้นที่จริงตั้งแต่ต้นช่วยให้บัณฑิต “พร้อมใช้” มากขึ้นเมื่อสำเร็จการศึกษา

เล่าเรื่องด้วยตัวเลข จากรหัสวิชาสู่ชั่วโมงจริง

  • ผ่านหลักสูตรทฤษฎีตามกรอบสภาการพยาบาล  เข้าสู่การฝึกภาคปฏิบัติในหอผู้ป่วย (clinical placement) ภายใต้การนิเทศของคณาจารย์และพี่เลี้ยงพยาบาล
  • ประกอบพิธีกลางสถาบัน (เช้า–สาย) เพื่อให้ออกเดินทางสู่ภาคสนามทันรอบตารางฝึก
  • ตอกย้ำความร่วมมือกับโรงพยาบาลคู่ภาคี ซึ่งตามโครงสร้างปกติมักเป็นโรงพยาบาลจังหวัด/โรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย เพื่อให้เกิด “วงจรเรียนรู้–ปรับปรุงบริการ” อย่างต่อเนื่อง

แม้ในพิธีจะไม่ทยอยประกาศตัวเลขกำลังคนระดับชาติ แต่หากวางไว้บนฉากหลังรายงาน WHO ที่ชี้ปัญหา “ขาดแคลนพยาบาลทั่วโลกหลายล้านคน” การได้เห็น “คนรุ่นใหม่” สวมหมวก รับดวงประทีป และกลัดเข็มชั้นปี จึงเป็นภาพที่มีทั้งความหวังและความรับผิดชอบซ่อนอยู่—สำหรับตัวนักศึกษา ครอบครัว สถาบัน และสังคมร่วมกัน.

จากห้องพิธีสู่หอผู้ป่วย—รักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างยาวนาน

พิธีมอบหมวก–ดวงประทีป–เข็มชั้นปีของคณะพยาบาลศาสตร์ มรภ.เชียงราย ในปีการศึกษา 2568 เป็นมากกว่าพิธีเฉลิมฉลอง มันคือ “สัญญาสาธารณะ” ที่บอกกับสังคมว่า คนรุ่นใหม่ 79 คนพร้อมออกเดินทางสู่พื้นที่จริงของการดูแลสุขภาพ โดยมีแสงประทีปเป็นสัญลักษณ์เตือนใจ และมีเข็มชั้นปีเป็นเครื่องหมายความรับผิดชอบ

จากนี้ไป ทุกชั่วโมงในหอผู้ป่วยจะเป็นบททดสอบจริงของความรู้ ทักษะ และคุณธรรมที่ได้รับการหล่อหลอมมา หากรักษา “ไฟในใจ” ให้สว่างไสวเหมือนในพิธีได้ยาวนาน พยาบาลรุ่นนี้ย่อมจะเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ทำให้ระบบสุขภาพของเชียงรายและภาคเหนือ “อบอุ่น–เข้าถึง–เชื่อถือได้” มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • International Council of Nurses (ICN)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) / Hfocus (สื่อสุขภาพ)
  • สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย – คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (เอกสารจรรยาบรรณภาษาไทย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เชียงใหม่เปิดเวทีอบรม “Travel Link” ยกระดับท่องเที่ยวด้วย Big Data สู่ Smart Tourism City

เชียงใหม่เปิดเวทีอบรม “Travel Link” ยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย Big Data ขับเคลื่อนสู่ “Smart Tourism City” แก้เกมฟื้นตัวเชิงปริมาณสู่การเติบโตเชิงมูลค่า

เชียงใหม่, 21 สิงหาคม 2568เมื่อ “จำนวนนักท่องเที่ยว” กลับมา แต่ “รายได้ต่อหัว” ยังไม่ฟื้น—ทำไมข้อมูลถึงกลายเป็นอาวุธสำคัญ ช่วงสองปีที่ผ่านมา ภูมิทัศน์ท่องเที่ยวเชียงใหม่ดีดกลับรวดเร็วในเชิงปริมาณ หลายสำนักข้อมูลประเมินว่าจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมปี 2566 กลับมาใกล้ระดับก่อนโควิดถึงราว 98.6%  “รายได้รวม” ยังตามหลังอยู่ราว 18.2% ช่องว่างนี้คือสัญญาณเตือนว่าการฟื้นตัว “ไม่สมมาตร” และโมเดลเดิมที่เน้น “จำนวน” อาจไม่เพียงพออีกต่อไป คำถามคือ เมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างเชียงใหม่จะปรับสมการอย่างไรให้ จำนวนคืนมามูลค่าเพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตชุมชนดีขึ้น พร้อมกันได้จริง

คำตอบหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือ ข้อมูล (Data)” เพราะข้อมูลไม่ได้มีค่าแค่ย้อนอดีตเพื่อสรุปภาพรวม แต่ใช้ “คาดการณ์–วางแผน–ตัดสินใจแบบละเอียด” ได้ ตั้งแต่ระดับเมืองจนถึงระดับผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยเหตุนี้ การที่ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) เปิดเวทีอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้เริ่มต้น” เพื่อทำความรู้จัก Travel Link แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวจึงไม่ใช่กิจกรรมเชิงเทคนิคธรรมดา แต่คือ “ช็อตเริ่มเกม” สำคัญของยุทธศาสตร์ Smart Tourism City ในห้วงเวลาที่เชียงใหม่ต้องเปลี่ยนโหมดจาก ฟื้นตัวเชิงปริมาณ เติบโตเชิงมูลค่า

ห้องประชุมที่แน่นไปด้วย “ผู้เล่นตัวจริง” ของระบบนิเวศท่องเที่ยว

วันที่ 21 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรม Wintree City Chiangmai Resort เวทีอบรมพร้อมไปด้วยผู้ประกอบการโรงแรม โฮสเทล บริษัททัวร์ คาเฟ่/ร้านอาหาร ผู้จัดอีเวนต์ ตลอดจนข้าราชการฝ่ายท่องเที่ยวระดับจังหวัดและท้องถิ่น บรรยากาศบอกชัดว่า “ทุกคนกำลังมองหาเครื่องมือจริง” ที่ใช้ได้ทันทีในธุรกิจ ไม่ใช่กรอบคิดสวยๆ ที่ลงมือทำไม่ได้

เวทีเริ่มต้นด้วยภาพรวมสถานการณ์โดย นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเชียงใหม่ ที่สะท้อนความจริงสองด้านไปพร้อมกัน

  • ด้านแรก ก่อนโควิด เชียงใหม่มีนักท่องเที่ยวมากกว่า 11 ล้านคน/ปี เป็นจุดหมายสำคัญของเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจีน
  • ด้านที่สอง หลังโควิด จีนยังกลับมาไม่เต็มที่ ขณะที่ตลาด เกาหลีใต้,อินเดีย,ไต้หวัน,เวียดนาม โตเร็วขึ้น และตั้งแต่ พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป เมืองจะได้อานิสงส์จากเส้นทางบินใหม่ของ เอทิฮัด แอร์เวย์ส (Etihad Airways) ที่เชื่อม ยุโรป–ตะวันออกกลาง–เชียงใหม่ โดยตรง ทำให้พอร์ตนักท่องเที่ยวหลากหลายขึ้น

“กันยายนคือโลว์ซีซัน เราต้องทำให้เป็นไฮซีซันเฉพาะกิจด้วยเสน่ห์วัฒนธรรม” นายศุภมิตรอธิบายถึงแพ็กกิจกรรมร่วมรัฐเอกชนที่กำลังเดินหน้า ได้แก่ พิธีสืบชะตาเสริมดวง ณ วัดเจดีย์หลวง (9 ก.ย.) และ พิธีบวงสรวงขอพร ณ วัดดอยคำ (27 ก.ย.) ที่ยิงตรงไปยังตลาดจีนและมาเลเซีย ขณะเดียวกัน ช่วง ยี่เป็ง/ลอยกระทง (พ.ย.) เริ่มมีสัญญาณการจองที่พักและเที่ยวบิน แม้ราคาตั๋วยังสูง ผู้ประกอบการต้องช่วยกัน “จัดจังหวะการเดินทาง” และออกแบบแพ็กเกจให้ยืดวันพักเฉลี่ยเพื่อเพิ่มมูลค่าต่อทริป

เมื่อ Pain Points ของเมืองไม่ใช่แค่ “จำนวนนักท่องเที่ยว”

เชียงใหม่เผชิญโจทย์โครงสร้างหลายมิติ ทั้ง PM 2.5, ขีดความสามารถสนามบิน, การจัดการขยะ และ “ความแออัดเป็นช่วงๆ” งานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวหลายชิ้นชี้ว่าเพียง PM 2.5 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็ทำให้จำนวนผู้มาเยือน “ยุบ” ลงอย่างมีนัยสำคัญ (การวิเคราะห์หนึ่งประเมินว่าเพิ่มขึ้นแค่ 5% อาจทำให้นักท่องเที่ยวหายไปได้มากกว่า หนึ่งแสนคน ในปีนั้น) นั่นหมายถึง ระบบข้อมูล ไม่ได้มีค่าเฉพาะต่อการตลาด แต่สำคัญกับ สมดุลเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตชุมชน ด้วย

 “Travel Link” ทำงานอย่างไร และผู้ประกอบการได้อะไรทันที

หลังช่วงวิเคราะห์สถานการณ์ ทีมจาก สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) แนะนำ Travel Linkแพลตฟอร์มข้อมูลด้านการท่องเที่ยวที่บูรณาการ ข้อมูลขาเข้า จากหน่วยงานภาครัฐและแหล่งข้อมูลดิจิทัลที่เชื่อถือได้ เพื่อนำมาวิเคราะห์ผ่านแดชบอร์ดที่อ่านง่าย ใช้งานได้จริง แบ่งเป็น 4 แกนหลัก

  1. แดชบอร์ดนักท่องเที่ยวขาเข้า (Inbound)
    อัปเดตรายเดือน ครอบคลุมช่องทาง อากาศ–บก–น้ำ โดยดึงจากแหล่งข้อมูลเชิงอำนาจรัฐ เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำให้เห็น “ใคร กำลังมา จากไหน ช่วงเวลาไหน” ลดการเดาสุ่ม ลงมือวางแผนโปรโมชันล่วงหน้าได้
  2. แดชบอร์ดรายได้การท่องเที่ยว (Tourism Receipts)
    ช่วยเจาะโครงสร้างการใช้จ่าย (เช่น ที่พัก อาหาร กิจกรรม ของฝาก) เพื่อนำไปกำหนด ราคา แพ็กเกจ ดีลพาร์ตเนอร์ ให้สอดคล้องพฤติกรรมจริง เปลี่ยน “จำนวนแขก” ให้กลายเป็น “มูลค่าเพิ่มต่อทริป”
  3. แดชบอร์ดการเคลื่อนตัว (Mobility/Distribution)
    เชื่อมข้อมูลจากการแจ้งที่พักและการเข้าประเทศ แสดง “กระแสการย้ายที่” ของนักท่องเที่ยวระหว่างอำเภอ/ชุมชน เอื้อให้รัฐ–เอกชนวาง นโยบายกระจายตัว ลดการหนาแน่นเฉพาะจุด และดันแหล่งท่องเที่ยวรองให้ “ขึ้นชาร์ต”
  4. แดชบอร์ดความคิดเห็นนักท่องเที่ยว (Review Insights)
    วิเคราะห์ความเห็นจากแพลตฟอร์มรีวิวระดับโลกอย่าง Tripadvisor ให้เห็น “สิ่งที่คนรัก–สิ่งที่คนบ่น–สิ่งที่คนกำลังหา” ในพื้นที่ เพื่อใช้ปรับปรุงบริการแบบ พรุ่งนี้ทำได้เลย

Key Concept Tourist Journey

หัวใจของ Travel Link คือการนำรอยเท้าดิจิทัลในเส้นทางการเดินทาง ค้นหาข้อมูลตัดสินใจ จอง–เช็กอิน–ทำกิจกรรม–เขียนรีวิว มาประมวลผลเชิงสถิติภายใต้กฎหมายและหลักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ เข้าใจ “เหตุผล” ของพฤติกรรม มากกว่าแค่ “ตัวเลขปลายทาง” ผลคือกลยุทธ์ที่ ตรงกลุ่มตรงเวลาตรงบริบท

เพลย์บุ๊ก 7 วัน” สำหรับผู้ประกอบการ ทำอย่างไรให้ข้อมูลแปลงเป็นยอดขาย

เพื่อให้ข้อมูลไม่ค้างอยู่บนจอ ทีมวิทยากรถ่ายทอดเพลย์บุ๊กปฏิบัติการที่ผู้ประกอบการสามารถเริ่มได้ทันที

  1. วันที่ 1 – รู้จักตลาดหลัก–ตลาดรอง
    เปิดแดชบอร์ด Inbound เลือก 6 ชาติเป้าหมาย (เช่น เกาหลี,อินเดีย,ไต้หวัน,เวียดนาม,มาเลเซีย,ตะวันออกกลาง) ดูเทรนด์เข้าช่วง ก.ย.–พ.ย. แล้วไล่ดูพฤติกรรมจองล่วงหน้าเพื่อจัดคิวโปรโมชัน
  2. วันที่ 2 – รีแพ็กเกจตามพฤติกรรมจ่าย
    ใช้แดชบอร์ด Receipts ดูว่าแต่ละกลุ่มใช้จ่ายกับ ที่พัก/อาหาร/กิจกรรม สัดส่วนเท่าไร ออกแพ็กเกจ ยืดระยะคุ้มค่า” (Stay Longer–Pay Smarter) รับมือราคาตั๋วสูงด้วย “มูลค่าเพิ่มในเมือง”
  3. วันที่ 3 – กระจายตัวเล่าเรื่องชุมชน
    เช็กแดชบอร์ด Mobility กำหนดเส้นทางใหม่เชื่อมแหล่งรอง (เช่น สันกำแพง,แม่ออน,หางดง,แม่ริม) ร้อยเป็น One Day Story ที่สะท้อนอัตลักษณ์ หัตถกรรม อาหารท้องถิ่น
  4. วันที่ 4 – ปรับบริการจากเสียงลูกค้า
    อ่าน Review Insights สกัด 3 คำชม–3 คำบ่น–3 คำขอ ตอบสนองทันที เช่น ป้ายหลายภาษา/ชำระเงินดิจิทัล/เมนูมังสวิรัติ–ฮาลาล–เจ เพิ่มโอกาส “ซื้อซ้ำบอกต่อ”
  5. วันที่ 5 – ยิงคอนเทนต์ตามจังหวะจริง
    ผูกข้อมูลการเดินทางกับปฏิทินกิจกรรม (พิธีสืบชะตา 9 ก.ย., ดอยคำ 27 ก.ย., ยี่เป็ง พ.ย.) เพื่อวางคอนเทนต์และงบโฆษณา “ก่อนคลื่นมา 2–3 สัปดาห์”
  6. วันที่ 6 – ร่วมมือกันขาย (Co-Marketing)
    จับมือธุรกิจรอบๆ (คาเฟ่–เวิร์กช็อป–ร้านของฝาก–สตูดิโอภาพ) รวมเป็นแพ็กเกจ “Local Value Chain” เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัว แบ่งส่วนลดแบบวิน–วิน
  7. วันที่ 7 – วัดผล–เรียนรู้–ทำซ้ำ
    ตั้ง KPI ง่ายๆ: อัตราการเข้าพัก, วันพักเฉลี่ย, รายได้ต่อห้อง, ค่าใช้จ่ายต่อหัว, คะแนนรีวิว ย้อนดูผลทุกสัปดาห์ ปรับกระสุนการตลาดให้แม่นขึ้นเรื่อยๆ

Data for Good จากผลประโยชน์ธุรกิจ สู่ผลประโยชน์สาธารณะ

Travel Link ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อธุรกิจเท่านั้น แต่รองรับการใช้ประโยชน์เชิงนโยบาย คณะทำงานท้องถิ่น ใช้ข้อมูลระบุจุดแออัด วาง มาตรการกระจายตัว ลดความเสี่ยง Over-tourism และผสานข้อมูลสาธารณสุข/สิ่งแวดล้อม เช่น ช่วง PM 2.5 สูง ให้แนะนำกิจกรรมในร่ม–พิพิธภัณฑ์–ศิลปะร่วมสมัย ลดผลกระทบต่อสุขภาพนักท่องเที่ยวและชุมชน ขณะที่เทศกาลใหญ่ เช่น ยี่เป็ง–สงกรานต์ สามารถวางแผนจัดการขยะและจราจรได้แม่นยำขึ้น

ทำไม “แพลตฟอร์มรวมศูนย์” จึงสำคัญ

ปัญหาใหญ่ของข้อมูลท่องเที่ยวคือ “กระจัดกระจาย” อยู่หลายหน่วยงาน รูปแบบไฟล์แตกต่างกัน และอัปเดตคนละรอบเวลา Travel Link ทำหน้าที่เป็น “ชั้นเชื่อมชั้นแปล” (Integration & Interpretation Layer) รวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น

  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บช.ตม.) – สถิติผู้โดยสารขาเข้า
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – รายได้–พฤติกรรมการใช้จ่าย
  • ฐานข้อมูลการแจ้งที่พักแรม – การกระจายตัวในพื้นที่
  • แพลตฟอร์มรีวิว – เสียงผู้ใช้จริง
    แล้วแปลงเป็น “ภาพรวมที่อ่านง่าย” สำหรับผู้เริ่มต้น ขณะเดียวกันยังรักษามาตรฐาน ความปลอดภัย–ความเป็นส่วนตัว–ความถูกต้อง ตามกรอบกฎหมายไทย

เส้นชัยร่วมกัน Smart Tourism City = เมืองที่ “ข้อมูลทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น”

ในท้ายที่สุด เมืองท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างยั่งยืนไม่ใช่เมืองที่มีนักท่องเที่ยว “มากที่สุด” แต่เป็นเมืองที่ทำให้ ผู้มาเยือน–ผู้ประกอบการ–คนท้องถิ่น มีประสบการณ์ที่ดีไปพร้อมกัน การเปิดเวทีอบรมครั้งนี้สะท้อนบทบาทใหม่ของเชียงใหม่ที่พร้อม “คิดด้วยข้อมูล–ทำงานด้วยเครือข่าย–ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า” และ Travel Link คือชิ้นส่วนสำคัญของภาพใหญ่ดังกล่าว

ประโยคชวนคิด: หากเชียงใหม่เพิ่ม “วันพักเฉลี่ย” อีกเพียง 0.5 วัน ในกลุ่มตลาดที่เติบโตเร็ว (เช่น เกาหลี,อินเดีย,ตะวันออกกลาง) โดยอาศัยการออกแบบแพ็กเกจจากข้อมูลจริง เม็ดเงิน “มูลค่าเพิ่ม” ที่ไหลเข้าสู่เครือข่ายท้องถิ่นจะพุ่งขึ้นเท่าไร และใครบ้างที่ได้ประโยชน์เมื่อเงินหมุนในเมืองนานขึ้น?

Call to Action (สำหรับผู้ประกอบการและหน่วยงานในพื้นที่)

  • สมัครและทดลองใช้ Travel Link: ติดต่อ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ผ่านช่องทางทางการ เพื่อรับคู่มือเริ่มต้นและตารางอบรมรุ่นถัดไป
  • ตั้งทีมข้อมูลเล็กๆ ในองค์กร: แม้มีเพียง 1–2 คน ก็เพียงพอสำหรับการดึงข้อมูล–อ่านแดชบอร์ด–สรุปเป็นแผนรายเดือน
  • จับมือกันเป็นคลัสเตอร์: ใช้ข้อมูลเดียวกัน มองภาพเดียวกัน แล้วออกแพ็กเกจร่วมกัน “ทั้งซอยโตไปด้วยกัน”
  • ให้ฟีดแบ็ก: แจ้งความต้องการฟีเจอร์/ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้แพลตฟอร์มตอบโจทย์พื้นที่ได้ลึกขึ้น

เชียงใหม่กำลังยืนอยู่หน้าประตูของ “การเติบโตระยะที่สอง” จากการเรียกคนกลับมา สู่ การเพิ่มมูลค่าคุณภาพความยั่งยืน การที่ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) นำ Travel Link ลงพื้นที่ พร้อมสร้างทักษะการใช้ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการ คือภาพของ Advertorial แห่งการเปลี่ยนผ่าน ที่ไม่ได้บอกเพียงว่า “มีเครื่องมือ” แต่กำลังสอนให้ “ใช้เครื่องมือจนเกิดผล” และเมื่อข้อมูลถูกนำไปใช้จริงตั้งแต่ระดับร้าน–ย่าน–เมือง เชียงใหม่ก็เข้าใกล้เป้าหมาย Smart Tourism City ที่คนมาเยือนประทับใจ ธุรกิจเดินหน้า และชุมชนอยู่ดีมีสุขพร้อมรับฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) – ข้อมูลเชิงระบบและคุณลักษณะของแพลตฟอร์ม Travel Link, เอกสารแนะนำระบบและสไลด์อบรม “การใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยวสำหรับผู้เริ่มต้น” (เชียงใหม่, 21 ส.ค. 2568)
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บช.ตม.)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT / ท่าอากาศยานเชียงใหม่
  • Etihad Airways (ข่าวประชาสัมพันธ์/ประกาศตารางบิน)
  • Tripadvisor / แพลตฟอร์มรีวิวท่องเที่ยวสากล
  • สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

หยอดปุ๊บปลอดภัยปั๊บ! นายก อบจ.เชียงราย Kick off รณรงค์หยอดโปลิโอ เสริมภูมิคุ้มกันหมู่

เชียงราย “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” — อบจ.เชียงรายเปิดปฏิบัติการวัคซีนโปลิโอเชิงรุก 2 รอบ สกัดความเสี่ยงข้ามพรมแดน ย้ำบทบาทท้องถิ่นเป็นด่านหน้าคุ้มครองเด็กเล็ก

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 — บ่ายวันทำงานกลางฤดูฝนที่ รพ.สต.บ้านดู่ เงียบสงบได้ถูกแทนที่ด้วยเสียงเรียกชื่อเด็ก ๆ ให้ขึ้นรับหยดวัคซีนทีละคน “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือยุทธการป้องกันโรคร้ายที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้า “คิกออฟ” เมื่อ 20 สิงหาคม 2568 เพื่อยกระดับเกราะคุ้มกันโรคโปลิโอในเด็กเล็กอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งหวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ครอบคลุมทั้งเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และเด็กต่างชาติในพื้นที่ชายแดนบางกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ผ่านการรณรงค์ 2 รอบ (20 สิงหาคม และ 20 กันยายน 2568) ตามหลักเวชปฏิบัติที่เน้นการให้วัคซีนห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

พิธีเปิดซึ่งมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารและเครือข่ายสาธารณสุขในพื้นที่ สะท้อนภาพการบูรณาการที่ลงมือทำจริง—ตั้งแต่งานให้ความรู้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลจังหวัด การเตรียมระบบขนส่งและเก็บรักษาวัคซีน (cold chain) ไปจนถึงการระดม อสม. เคาะประตูบ้านติดตามเด็กเป้าหมายให้มารับวัคซีนจนครบถ้วน

 “โปลิโอ” โรคเก่าในโลกใหม่

โปลิโอ ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดความพิการถาวรได้มากที่สุด หากปล่อยให้ไวรัสลุกลามโดยไม่มีภูมิคุ้มกันรองรับ ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 200 รายของผู้ติดเชื้อ จะเกิดอัมพาตถาวร และในบรรดาผู้ที่เป็นอัมพาต ราว 5–10% อาจเสียชีวิต เมื่อกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต—ตัวเลขที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะไม่ให้ความประมาทกลับมามีราคาแพงกับชีวิตเด็ก ๆ ของเราอีกครั้ง

ในเชิงภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการรับรอง “ปลอดโปลิโอ” เมื่อปี 2557 แสดงถึงความสำเร็จด้านสาธารณสุขของประเทศสมาชิก รวมถึงไทย ทว่าการรับรองดังกล่าวไม่ใช่ “ใบเบิกทางให้วางใจได้ตลอดกาล” หากครอบคลุมวัคซีนในเด็กเล็กลดลง หรือเกิดช่องโหว่บริการในพื้นที่เปราะบาง โปลิโอก็ยังสามารถหวนคืนในรูปของการระบาดได้ โดยเฉพาะผ่านกลไกที่เรียกว่า ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ หรือ cVDPV ซึ่งพบได้ในชุมชนที่มีการรับวัคซีนไม่ทั่วถึงและการสุขาภิบาลอ่อนแอ WHO และเครือข่ายกำจัดโปลิโอ (GPEI) จึงเน้นย้ำให้ทุกประเทศ “ยืนระวัง” ด้วยการคงความครอบคลุมวัคซีนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ทำไม “เชียงราย” ต้องขยับก่อนภูมิศาสตร์ชายแดนและความเสี่ยงที่เดินทางเร็วกว่าเรา

เชียงราย คือด่านหน้าทางภูมิศาสตร์ ทั้งเชื่อมเมียนมาที่อำเภอแม่สาย และเชื่อมสปป.ลาวที่อำเภอเวียงแก่น ท่ามกลางการเดินทางข้ามแดนของแรงงาน–การค้า–การท่องเที่ยวที่คึกคัก ความเสี่ยงจากโรคติดต่อจึงเดินทางเร็วและไกลกว่าที่เราคิด ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุถึงการพบ ผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ (cVDPV1) ในเมียนมา แม้จุดตรวจพบจะห่างจากชายแดนไทยราว 270 กิโลเมตร แต่บทเรียนจากโรคติดเชื้ออุบัติใหม่บอกเราว่า “ระยะทางไม่ใช่ระยะเวลา”—หากรอให้พบผู้ป่วยฝั่งไทยก่อนจึงค่อยเริ่มฉีด ย่อมสายเกินไป การตัดสินใจของ อบจ. เชียงราย ที่เปิดปฏิบัติการวัคซีนจึงเป็นการชิงจังหวะ ปิดช่องโหว่ก่อนที่โรคจะเปิดเกมบุก

มุมหนึ่งของเวชปฏิบัติยังสนับสนุนการตัดสินใจเช่นนี้ มาตรการรับมือการระบาดโปลิโอ (outbreak response) ของ WHO/GPEI แนะนำให้ดำเนิน กิจกรรมสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน (SIAs) หลายรอบในช่วงเวลาใกล้กัน เพื่อดันความครอบคลุมให้สูงที่สุดโดยเร็ว—หลักคิดที่ “เวลา” คือวัสดุสิ้นเปลือง และ “ความเร็ว” คืออาวุธสำคัญของสาธารณสุขภาคสนาม

แผนปฏิบัติการ “2 รอบ 2 ระดับ” จากสถานบริการสู่ทุกครัวเรือน

จากคำชี้แจงของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย การรณรงค์ถูกออกแบบให้ทำงาน สองระดับ ควบคู่กัน

  1. ระดับสถานบริการ — รพ.สต.และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติในสังกัด อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ “จุดบริการประจำ” ตามตาราง รอบที่ 1 วันที่ 20 สิงหาคม และ รอบที่ 2 วันที่ 20 กันยายน 2568 เพื่อให้เด็กเป้าหมายมารับ OPV (Oral Polio Vaccine) ครบตามเกณฑ์อย่างสะดวก โดยเชื่อมต่อการให้ความรู้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลจังหวัดสู่การปฏิบัติในระดับปฐมภูมิอย่างไร้รอยต่อ
  2. ระดับชุมชนอสม. ทำแผนเดินดอร์ทูดอร์ เก็บรายชื่อ ตรวจสอบสมุดวัคซีน ติดตามเด็กที่ “ตกหล่น” และจัดจุดบริการเคลื่อนที่ในชุมชนที่เข้าถึงยาก ภายใต้ระบบบันทึกข้อมูลหน้างาน เพื่อ “รู้ภาพจริง” รายวัน–รายสัปดาห์ ลดความเสี่ยงเด็กหลุดเป้า

แนวทาง “สองขยัก” ของเชียงรายสอดรับกับหลักสากลที่เน้น หลายรอบภายในช่วงสั้น ๆ และการเข้าถึงเด็กทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง—แกนกลางคือ “ครอบคลุมให้เร็ว ครบให้ไว” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ WHO ใช้นำการตอบโต้การระบาดในหลายประเทศ และย้ำเสมอว่าการเร่งรอบและปิดช่องว่างคือหัวใจของความสำเร็จ

วัคซีนที่ใช้ และเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์

OPV ที่ใช้ในแคมเปญลักษณะนี้เป็นวัคซีนชนิดหยอด ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งระบบเลือดและเยื่อบุลำไส้ ทำให้ลดการแพร่กระจายของไวรัสในชุมชนได้ดี จึงเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการ “หยุดยั้งการแพร่เชื้อ” อย่างเร่งด่วน ขณะที่ IPV (ชนิดฉีด) ให้ภูมิคุ้มกันเด่นด้านป้องกันโรคในระดับบุคคล แต่มิได้ลดการขับไวรัสในลำไส้เทียบเท่า OPV การเลือกใช้ OPV ในแคมเปญเสริมเชิงรุกจึงสอดคล้องกับแนวทางของหลายประเทศและข้อแนะนำเชิงหลักการของหน่วยงานสาธารณสุขสากล โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงหรือชายแดนที่ต้อง ทำให้ภูมิคุ้มกันของชุมชนสูงขึ้นอย่างฉับไว

เราจะวัดความสำเร็จอย่างไร?

  • ครอบคลุมครบหรือไม่? — แคมเปญ SIAs ทั่วโลกตั้งเป้าครอบคลุม “สูงมาก” ในทุกชุมชน เป้าหมายเชิงปฏิบัติการคือ “เด็กทุกคนในกลุ่มอายุเป้าหมายต้องได้วัคซีน” มากกว่ามองเพียงค่าเฉลี่ยทั้งจังหวัด เพราะไวรัสต้องการ “ช่องว่างเล็ก ๆ” เพียงจุดเดียวก็เพียงพอให้เกิดคลัสเตอร์การแพร่เชื้อได้
  • เร็วพอหรือยัง? — การทำสองรอบห่างกันราว 4 สัปดาห์ ช่วยบูสต์ภูมิคุ้มกันให้แน่นขึ้น และเปิดโอกาส “เก็บตก” เด็กที่พลาดรอบแรกในรอบถัดไป หลักคิดนี้อยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและบทเรียนการควบคุมโรคหลายทศวรรษ
  • สื่อสารถึงทุกครัวเรือนแล้วหรือยัง? — ในพื้นที่ชายแดนที่มีแรงงานเคลื่อนย้ายสูง การสื่อสารหลายภาษาและการใช้เครือข่ายชุมชน (ผู้นำท้องถิ่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ “รู้และมา” มากกว่า “รู้แต่ยังไม่มา”

บทบาทท้องถิ่น เมื่อ “ความปลอดภัยด้านสุขภาพ” เริ่มต้นที่อำเภอ–ตำบล–หมู่บ้าน

การที่ อบจ. เชียงราย ขยับเป็น “แม่งาน” ครั้งนี้ สะท้อนบทเรียนจากโรคระบาดใหญ่ที่ผ่านมาอย่างชัดเจนว่า ระบบสุขภาพที่แกร่งเริ่มต้นจากท้องถิ่น การระดมทรัพยากร ปรับระบบงาน และตัดสินใจแบบทันเวลาในระดับจังหวัด สามารถชิงจังหวะที่สำคัญกว่าการรอคำสั่งจากส่วนกลาง ภาพที่เกิดขึ้นใน รพ.สต.เล็ก ๆ วันคิกออฟจึงไม่ใช่ภาพพิธีการ แต่คือภาพของ ความพร้อมจริง”—บุคลากรชัด คนพร้อม วัคซีนพร้อม ระบบข้อมูลพร้อม

ด้านคลินิกและการสื่อสารความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์—ที่เข้ามาทำหน้าที่วิทยากร—ได้ถ่ายทอดสาระสำคัญที่ครอบครัวควรรู้ อาทิ ความปลอดภัยของวัคซีน OPV, อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้น้อยและมักเป็นเพียงชั่วคราว, วิธีดูแลหลังรับวัคซีน รวมถึงการย้ำว่าความเสี่ยงจากโรค สูงกว่าความเสี่ยงจากวัคซีนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในบริบทสาธารณสุข—กรอบคิดที่ WHO และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญยืนยันอย่างสม่ำเสมอในทุกเวทีวิชาการ

จาก “รายงานสถานการณ์” สู่ “สถาปนาความปกติใหม่” ด้านภูมิคุ้มกัน

สิ่งที่เชียงรายกำลังทำคือการส่งสัญญาณเชิงนโยบายไปพร้อมกันสองทิศทาง

  1. เชิงรับมือเหตุการณ์ (event-driven) — ปิดช่องโหว่ด้วยการฉีดเสริม 2 รอบตามปฏิทินเฉพาะกิจ เพื่อลดความเสี่ยงหากมีเชื้อเล็ดลอดมาจากภายนอก
  2. เชิงสร้างระบบ (system-driven) — ใช้โอกาสนี้ ทบทวนทะเบียนเด็กตกหล่น, ตรวจคุณภาพการบันทึกวัคซีน, อัปเดตช่องทางสื่อสารหลายภาษา, และฝึกซ้อมสายงานปฏิบัติการเคลื่อนที่ (mobile teams) ซึ่งทั้งหมดคือองค์ประกอบของ “ความปกติใหม่” ที่ควรยืนระยะในจังหวัดชายแดน

ในภาพใหญ่กว่านั้น โลกยังเดินหน้าแผน “กำจัดโปลิโอให้หมดไป” ตามยุทธศาสตร์ของ WHO/GPEI ปี 2022–2026 ซึ่งวางน้ำหนักทั้งการป้องกันไม่ให้โรคหวนกลับมา (prevent re-emergence) และการตอบโต้การระบาดอย่างเร็วและครอบคลุม (rapid, high-quality SIAs) ความเคลื่อนไหวในเชียงรายจึงอยู่ในจังหวะเดียวกับแนวโน้มสากล—ยึดหลักวิทยาศาสตร์ ใช้ความเร็ว และขยายความร่วมมือ I

สิ่งที่ครอบครัวควรรู้—และควรทำตอนนี้

  • ตรวจสมุดวัคซีน ของบุตรหลาน หากมีรอบที่ขาดหาย ให้ติดต่อ รพ.สต. หรือสถานบริการใกล้บ้าน
  • มารับวัคซีนตามนัดทั้งสองรอบ แม้เด็กจะเคยได้รับวัคซีนตามปกติมาแล้ว การรับ “วัคซีนเสริม” ในสถานการณ์เสี่ยงช่วยเติมภูมิให้แน่นขึ้นทั้งระดับบุคคลและชุมชน
  • หากมีข้อกังวล เรื่องอาการหลังรับวัคซีน ให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่—ส่วนใหญ่อาการเป็นเพียงชั่วคราว เช่น ไข้ต่ำ ๆ อาเจียนเล็กน้อย และหายเอง
  • ร่วมสื่อสาร–ชวนกันมา โดยเฉพาะครอบครัวแรงงานข้ามแดน ครัวเรือนที่ย้ายถิ่นบ่อย หรือบ้านที่มีภาษาต่างจากไทย

วัคซีนคือความไว้วางใจร่วมกัน

การรณรงค์ครั้งนี้ไม่ได้ตอกย้ำแค่ความพร้อมของเชียงรายในฐานะจังหวัดชายแดน แต่ยังย้ำว่า ความมั่นคงด้านสุขภาพ เป็น “งานร่วม” ของทุกคน—รัฐ ท้องถิ่น บุคลากรแพทย์ อสม. และครอบครัว ความสำเร็จของแคมเปญวัดจากจำนวนแขนเสื้อเด็กเล็กที่พับขึ้น รับหยดวัคซีนตามกำหนดครบถ้วน ยิ่งมาก โปลิโอยิ่งไม่มีที่ยืน

ประวัติศาสตร์เคยบอกเราว่า เราสามารถผลักโปลิโอจนพ้นทวีป ภูมิภาค และประเทศได้จริง—แต่ประวัติศาสตร์บทนั้นจะยืนยงได้ ก็ด้วยการไม่ปล่อยให้ความประมาทกลับมาเป็นรูรั่วบนกำแพงภูมิคุ้มกันของเราเอง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

  • ข้อมูลจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ภาษา-อักษรตั๋วเมืองสิ้นลม

เชียงรายอาลัย “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ล้านนาและครูภาษา-อักษรตั๋วเมือง สิ้นลมหายใจวัย 84 ปี—ทิ้งมรดกความรู้ที่กลั่นจากใบลานสู่ฟอนต์ดิจิทัล

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่กลางฤดูฝน เมืองเชียงรายเงียบขรึมเป็นพิเศษ ข่าวการจากไปของ “พ่อครูชรินทร์ แจ่มจิตต์” ปราชญ์ทางภาษา วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ยวน-ล้านนา แพร่ไปตามสายลมและโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว หลายคนจำภาพชายสูงวัยผู้มีแววตาอ่อนโยนที่นั่งสอน “อักษรธรรมล้านนา” หรือที่ชาวบ้านคุ้นปากว่า “ตั๋วเมือง” อยู่ริมเสาศาลาการเปรียญได้เสมอ วันนี้สรีรสังขารของท่านถูกตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 20–21 สิงหาคม 2568 และกำหนดฌาปนกิจในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม โดยมีลูกศิษย์ ญาติมิตร และคนรักภาษา-วัฒนธรรมทะยอยมาร่วมแสดงความอาลัยไม่ขาดสาย (สำเนียงและสถานที่วัดตรงกับฐานข้อมูลวัดในพื้นที่เชียงราย)

จากเด็กชายริมกกสู่ครูผู้ “อ่านออก-เขียนได้” ในภาษาแห่งแผ่นดินเหนือ

พ่อครูชรินทร์เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ที่บ้านสันต้นเปา ตำบลรอบเวียง เมืองเชียงราย เป็นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้องหกคน เติบใหญ่ในสังคมที่ “คำเมือง” เป็นภาษาชีวิต จากประถมที่เชียงรายวิทยาคมถึงมัธยมที่สามัคคีวิทยาคม เขาหลงใหลตัวหนังสือ บันทึก และเรื่องเล่าของบ้านเมือง ทศวรรษ 2490 ปลาย ๆ คือจุดพลิกผัน เมื่อท่านเริ่ม “เรียนตั๋วเมือง” อย่างเป็นระบบกับพระเถระนักปราชญ์—กรอบความรู้ที่ตามมาคือการปริวรรต (อ่าน-ถอด) จารึกใบลาน พับสา ตำนาน และธรรมคัมภีร์ เพื่อให้วิชาความรู้ในวัดออกมาหายใจนอกกำแพงวัด

ความรักในการ “แปลงลายมือโบราณเป็นภาษาอ่านได้” พาเขาเดินยาวกว่าครึ่งศตวรรษ—จากห้องสมุดวัด ไปถึงโรงพิมพ์ท้องถิ่น และโต๊ะเรียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ในยุคดิจิทัล เขาเป็นหนึ่งในคนทำงานเบื้องหลังที่สังคมไม่ค่อยเห็น แต่ผลงานกลับฝังอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเมืองเหนือ: หนังสือ ใบประกาศ วารสาร และฟอนต์ตัวอักษรที่ทำให้ “ตั๋วเมือง” ปรากฏบนจอคอมพ์และป้ายวัดอย่างสง่างาม (หลักฐานชี้ว่า พ่อครูร่วมบรรณาธิการนิตยสาร ไชยนารายณ์” และมีส่วนในการออกแบบฟอนต์ล้านนาที่ใช้แพร่หลายในเชียงรายและภาคเหนือ)

ตัวเลขที่ชวนคิด: ในคลังคัมภีร์ล้านนาที่กระจัดกระจายตามวัด ชุมชน และครอบครัว มี ใบลาน-พับสา นับไม่ถ้วนที่บันทึกยา อาชีพ พิธีกรรม ตลอดจนพงศาวดารพื้นถิ่น งาน “อ่าน-ถอด–เรียบเรียง” คือสะพานเชื่อมภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่—และพ่อครูคือหนึ่งใน “ช่างต่อสะพาน” คนสำคัญ

ภาษามีชีวิตถ้ามีคนอ่าน” — ครูอาสาผู้คืนลมหายใจให้ตั๋วเมือง

ภาพจำของผู้พบพ่อครูครั้งแรก คือท่านนั่งล้อมวงกับเยาวชนและคนทำงาน ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เปิดตำรา “ตั๋วเมือง” เรียนรู้พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และหลักการสะกดแบบล้านนา พร้อมเล่าที่มาของอักษรธรรมว่ามีสายสัมพันธ์กับมอญ-ขอม และวัฒนธรรมพุทธในลุ่มน้ำโขง หลายปีที่ผ่านมา วัดสำคัญในเชียงใหม่-เชียงราย อาทิ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร และเครือข่ายคณะครูภูมิปัญญา ได้เปิดพื้นท่ีเรียน-สาธิตอักษรล้านนาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงขับเคลื่อนภาคสังคมที่ “เอาจริง” กับภาษาท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้เหลือเพียงของตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ (มีแหล่งอ้างอิงโครงการและการขับเคลื่อนด้านภาษาล้านนาผ่านสื่อท้องถิ่นและหน่วยงานการศึกษาในเชียงใหม่)

เบื้องหลังแรงบันดาลใจนั้น มี “วิทยานิพนธ์ของชีวิต” ที่พ่อครูกล่าวซ้ำบ่อย ๆ ในห้องเรียน: การอ่านอักษรธรรมคือการเข้าใจภูมิปัญญาบรรพชน—เพราะทุกพับสาไม่ได้เก็บแค่ตัวอักษร แต่เก็บ “วิธีอยู่ร่วมกัน” ของชุมชน เมื่อเปิดอ่านจึงไม่เพียงได้คำศัพท์ใหม่ หากยังได้ “คุณค่า” ที่ต้องการคนรุ่นใหม่สานต่อ

จากใบลานสู่จอ เมื่อภูมิปัญญาเก่าพบเทคโนโลยีใหม่

อักษรธรรมล้านนา (หรือ Lān Nā Tham) มีฐานรากภูมิความรู้จากสุโขทัย-ล้านนาและเครือข่ายพุทธศาสนาลุ่มน้ำโขง การสืบค้นของนักวิชาการไทยชี้ชัดว่า อักษรธรรมล้านนาเป็น “ตระกูลอักษรพี่น้อง” กับมอญ-ขอมซึ่งรับอิทธิพลสันสกฤต-บาลี และถูกใช้กว้างขวางในคัมภีร์ธรรม ใบลาน พิธีกรรม และเอกสารราชการหัวเมืองเหนือในอดีต ก่อนจะค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงเมื่อเข้าสู่สมัยใหม่ แต่ยังคงบทบาทในวัดและชุมชนจนถึงปัจจุบัน

ในศตวรรษที่ 21 “การยกระดับจากดินสอ-พู่กันสู่ฟอนต์” กลายเป็นโจทย์ใหม่ของคนทำงานภาษาถิ่น พ่อครูชรินทร์เป็นหนึ่งในผู้จุดประกายให้ตั๋วเมือง “ขึ้นจอ” เขามีบทบาททั้ง บรรณาธิการ และ นักออกแบบฟอนต์ ที่ทำให้อักษรล้านนาวิ่งได้ในโรงพิมพ์—เป็นงานเงียบแต่ทรงพลัง ซึ่งมีการบันทึกอ้างอิงโดยนักวิชาการภาษาและจารึกวัฒนธรรมในเชียงใหม่-เชียงรายมาต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่เชียงราย ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นกำลัง “หายใจ” ทั่วประเทศ

เรื่องของพ่อครูชรินทร์พาเรามองกว้างกว่าเชียงราย ภูมิทัศน์ภาษาไทยเต็มไปด้วย “ภาษาแม่” นับสิบ—เหนือ อีสาน ใต้ มลายู ฯลฯ ชุมชนหลากหลายกำลังขยับ “คืนชีวิต” ให้ภาษาตนเอง เช่น ชุมชน บ้านปลาค้าว เมืองอำนาจเจริญ ที่ยกระดับหมอลำของชาวภูไทเป็นทุนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พัฒนาเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมถ่ายทอดทักษะให้เยาวชนเป็น “หมอลำน้อย” สืบสานเสียงแคน–เสียงขับร้องให้คงอยู่ในตลาดร่วมสมัย

ขณะเดียวกัน ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ หนังตะลุง” กลับมามีผู้ติดตามรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะผลงานของ “น้องเดียว บัญญัติ สุวรรณแว่นทอง” นายหนังผู้พิการทางสายตาที่ใช้ภาษาถิ่นใต้ได้อย่างแพรวพราว จัดวาทศิลป์ให้ร่วมสมัยจนเข้าถึงคนทั้งประเทศ—และไม่ใช่เพียงกระแสโซเชียล งานของเขาถูกมองว่าเป็นการอนุรักษ์ภาษา-การแสดงให้ “อยู่ได้จริง” ในเศรษฐกิจปัจจุบัน รัฐบาลยังยกย่องในระดับชาติผ่านโครงการ ค่าของแผ่นดิน” ซึ่ง พ่อครูชรินทร์ และ น้องเดียว เคยได้รับเกียรติยศร่วมกันด้วย (ตามประกาศ/เอกสารโครงการจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

คำถามชวนคิด: เมื่อคนทำงานภาษาถิ่นได้รับการยกย่องระดับชาติแล้ว เราจะต่อยอด “เกียรติยศ” ให้กลายเป็น “ระบบนิเวศ” ที่คนทำงานอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยไม่ทิ้งรากเหง้า ความถูกต้องตามหลักภาษา และศักดิ์ศรีของชุมชน?

ข่าวดีท่ามกลางความเศร้ามรดกที่จับต้องได้และทางเลือกเชิงนโยบาย

แม้การจากไปของพ่อครูจะเป็นความสูญเสีย แต่สังคมยังมีทรัพยากรจับต้องได้ที่เขาทิ้งไว้—ต้นฉบับที่ปริวรรตแล้ว, วารสารท้องถิ่น, ฟอนต์ล้านนา, เครือข่ายลูกศิษย์—ซึ่งล้วนเป็นฐานต่อยอดเชิงนโยบายและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ในทันที ทำให้เข้าถึงได้จริง มหาวิทยาลัยและหน่วยงานท้องถิ่นควรร่วมกันจัดทำฐานข้อมูล “พับสา-ใบลานปริวรรต” แบบเปิด (open access) พร้อมคู่มืออ่าน-เขียนตั๋วเมืองสำหรับครูและนักเรียน โดยยึดหลักวิชาการของสถาบันชั้นนำที่ศึกษาประวัติและโครงสร้างอักษรธรรมล้านนาไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อคงความถูกต้องทางภาษาไปพร้อมการขยายฐานผู้ใช้  ลงทุนใน “การผลิตครูรุ่นใหม่” สร้างทุนฝึกอบรมครูอาสาและผู้ปริวรรตหน้าใหม่ ร่วมมือกับวัด-ชุมชนในเครือข่าย (เช่น วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ และวัดสำคัญในเชียงราย) เพื่อให้เกิด “ชั้นเรียนเล็ก ๆ” หลายจุด ไม่กระจุกอยู่แห่งเดียว ลดอุปสรรคด้านการเดินทางและค่าใช้จ่าย (มีข้อมูลสนับสนุนบทบาทหน่วยงานท้องถิ่นและสถาบันการศึกษาที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาแล้ว) เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฟอนต์-ลวดลายอักษรล้านนาสามารถกลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ทั้งในงานพิมพ์ ป้าย สื่อท่องเที่ยว ของที่ระลึก และสื่อดิจิทัล—ในกรอบที่คุ้มครองสิทธิ์ชุมชนและเคารพที่มา เทศบาล-อปท. สามารถตั้ง “กองทุนนวัตกรรมภาษา-วัฒนธรรม” เล็ก ๆ หนุนคนทำงานทดลองผลิตภัณฑ์ใหม่

สื่อสารให้คนทั้งประเทศเห็นคุณค่า ใช้กรณีบ้านปลาค้าวและหนังตะลุงเป็นตัวอย่างว่า ภาษา-วัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้ขัดกับความร่วมสมัย หาก “ออกแบบประสบการณ์” และ “เล่าเรื่อง” เป็น ก็อยู่รอดในตลาดได้—สิ่งที่ต้องทำคือขยายโอกาส แทนที่จะจำกัดให้เป็นเพียง “กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์”

ภาษา-อักษรคือความทรงจำร่วม” — บทไว้อาลัยในเชิงประวัติศาสตร์

ในมุมมองเชิงอารยธรรม นักโบราณคดีมักย้อนไปหา “จุดกำเนิดการเขียน” เพื่อทำความเข้าใจว่ามนุษย์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์อย่างไร หลักฐานสำคัญชุดหนึ่งคือ สัญลักษณ์เจี่ยหู (Jiahu symbols) จากจีน ที่มีอายุราว 6,600–6,200 ปีก่อนคริสตกาล (มากกว่า 8,000 ปีมาแล้ว) แม้ยังถกเถียงกันว่าจัดเป็น “ตัวอักษร” เต็มรูปแบบหรือเป็น “ก่อนอักษร (proto-writing)” แต่ข้อค้นพบเหล่านี้เตือนใจเราว่า การบันทึกคือแกนกลางของความทรงจำร่วมของสังคม—และทุกชุมชนย่อมมี “ตัวหนังสือของตนเอง” ให้กลับไปหาและโอบอุ้มไว้

ล้านนาเองก็เช่นนั้น—ตั๋วเมือง คือเครื่องมือเก็บรักษาความทรงจำจากวัดสู่ชุมชน จากคัมภีร์สู่ครัวเรือน จากตำรายา สู่ตำนานสร้างบ้านแปงเมือง ความทรงจำเหล่านี้จะยังคงอยู่ก็ต่อเมื่อมีคนอ่าน มีคนเขียน มีคนพิมพ์ และมีคนสอน—บทบาทที่พ่อครูชรินทร์ทำมาตลอดชีวิตโดยไม่ดังเอิกเกริก และเป็นบทบาทที่สังคมต้องช่วยกันสืบทอดต่อไป

เสียงสะท้อนจากคนทำงานวัฒนธรรม“จะสานต่ออย่างไรให้ยั่งยืน?”

ผู้ประสานงานเครือข่ายภาษาท้องถิ่นในเชียงรายคนหนึ่งสะท้อนว่า สิ่งท้าทายที่สุดไม่ใช่การหาผู้เรียน แต่คือการทำให้ “คนสอนอยู่ได้” และสร้างเข็มทิศเดียวกันเรื่องมาตรฐานการปริวรรต—โจทย์นี้ต้องพึ่ง ความร่วมมือพหุภาคี ระหว่างวัด ชุมชน อปท. มหาวิทยาลัย และสื่อท้องถิ่น เพื่อให้ภาษาท้องถิ่น “อยู่ในการใช้จริง” ไม่ใช่แค่บนเวทีประกวด

ในระดับประเทศ โครงการ ค่าของแผ่นดิน” ของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่า “การยกย่อง” สามารถยกระดับความรับรู้สาธารณะได้มาก แต่การต่อยอดต้องตามมาด้วยเครื่องมือด้านงบประมาณ เวทีเผยแพร่ และกลไกตลาด—เช่น กิจกรรมวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวที่เคารพรากเหง้า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชน ตลอดจนหลักสูตรในโรงเรียนท้องถิ่นที่พาเด็กกลับไปอ่านใบลานในวัดบ้านตนเองด้วยความภาคภูมิใจ (กรอบโครงการและสาระจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

จากไฟในตา “พ่อครู” สู่เปลวเทียนในมือเรา

งานศพของพ่อครูชรินทร์ไม่ใช่จุด full stop ของเรื่อง หากเป็น “จุลภาค” ที่ชวนเราอ่านต่อ—อ่านใบลาน อ่านพับสา อ่านฟอนต์ล้านนาในป้ายวัด อ่านเสียงลำของภูไท อ่านกลอนสดของนายหนังใต้ แล้วกลับมาถามตัวเองว่า เราจะช่วยให้ภาษา-อักษรของบ้านเรา “อยู่รอดและงอกงาม” ได้อย่างไร

ในวันที่เปลวเทียนหน้าโกศค่อย ๆ ละลาย เราอาจนึกถึงประโยคสั้น ๆ ที่ครูมักย้ำกับศิษย์: อักษรไม่เคยตาย ถ้ายังมีคนอ่าน” วันนี้ ถึงคราวที่เราทุกคน—ทั้งรัฐ เอกชน ชุมชน และมหาวิทยาลัย—จะจับมือกันอ่านต่อให้ดังขึ้น ยาวขึ้น และไกลขึ้น

ประวัติย่อ (โดยสังเขป)

  • ชื่อ–สกุล: ชรินทร์ แจ่มจิตต์
  • เกิด: 27 มิถุนายน 2484 อ.เมือง จ.เชียงราย
  • บทบาทเด่น: ปราชญ์อักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง), ครูอาสาสมัครสอนอ่าน–เขียน, บรรณาธิการ ไชยนารายณ์, ผู้บุกเบิกงานฟอนต์ล้านนาเพื่อการพิมพ์
  • สถานที่บำเพ็ญกุศล : วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) จ.เชียงราย วันที่ 22 สิงหาคม 2568
  • อายุ: 84 ปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อาจารย์อโศก ศรีสุวรรณ นักปราชญ์และนักวิชาการด้านภาษาล้านนา
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • วัดเชตุพน (สันโค้งน้อย) ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • บทความจากโครงการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ภาษาล้านนา มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย
  •  หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน เผยแพร่ วันที่ 21 มิถุนายน 2562
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News