Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมประมงเฝ้าระวังน้ำกก-สาย สรุปขอเลี่ยงหรือกินปลาได้

กรมประมงเข้มตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังสัตว์น้ำแม่น้ำกก-สาย ชี้ผลตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ขอประชาชนเลี่ยงบริโภคชั่วคราว

เชียงราย, 2 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ต่อสถานการณ์สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงเดินหน้ายกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะประชาชนเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสองสายนี้ชั่วคราว แม้ผลตรวจเบื้องต้นยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

จุดเริ่มต้นของปัญหาและมาตรการรับมือ

สถานการณ์การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกเริ่มกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ หลังมีรายงานปลาบางชนิดมีตุ่มแดงผิดปกติ รวมถึงมีประชาชนในเขตอำเภอแม่สายเกิดอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงและชาวบ้านที่อาศัยแหล่งน้ำเป็นหลัก

กรมประมงโดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดี ได้เปิดเผยถึง “แผนเฉพาะกิจตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำ” ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 4 จุดหลักทั้งในเชียงรายและเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งนาคำ, สะพานแม่ฟ้าหลวง, หลังวัดสันธาตุถึงสบกก (เชียงราย) และชายแดนไทย-เมียนมา หมู่บ้านแก่งตุ๋ม อำเภอแม่อาย (เชียงใหม่) โดยเน้นการเก็บตัวอย่างปลาสำคัญ เช่น ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาค้าว และปลากด ทุก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568

ข้อมูลผลการตรวจสอบล่าสุด

จากการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า สารพิษสำคัญ ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd) รวมถึงการตรวจเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิวิทยาในปลายังคงอยู่ในระดับที่ “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” ตามเกณฑ์สากล โดยเฉพาะในปลากินพืชมีการตกค้างของโลหะหนักในระดับต่ำ ส่วนปลากินเนื้อ พบค่าสารปรอทสูงกว่าปลากินพืชแต่ยังไม่เกินมาตรฐาน

กรณีปลามีตุ่มแดง จากการวินิจฉัยพบว่าเกิดจากปรสิตและเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ไม่พบในอวัยวะภายใน และยังไม่พบการติดเชื้อไวรัส ขณะที่ผลตรวจสารปนเปื้อนในปลาทั้ง 3 รอบที่เก็บมา ยังคงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันเป็นข้อมูลสำคัญยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้าง

คำแนะนำและการสื่อสารกับสาธารณชน

ถึงแม้ผลการตรวจสอบจะยังไม่พบอันตราย กรมประมงได้แนะนำประชาชน “หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำที่จับได้จากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในระยะนี้” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูปลามีไข่ที่ควรให้ธรรมชาติฟื้นฟู และป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

พร้อมกันนี้กรมประมงยังย้ำว่าสัตว์น้ำที่จำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด ไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งสองสาย ดังนั้นประชาชนยังสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารทะเลและสัตว์น้ำที่ซื้อบริโภคได้ตามปกติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเสียงสะท้อนของชุมชน

ประมงอำเภอเชียงแสนร่วมเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกขอคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย และศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการพูดคุยถึงมาตรการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำ พืช ดิน และสัตว์ เป็นระยะ รวมถึงแผนรับมือภัยพิบัติและการร่วมมือของรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และจิตใจของผู้ประกอบอาชีพประมง ราคาปลาตกต่ำและขายยากเนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น แม้หน่วยงานรัฐจะเร่งชี้แจงข้อมูลและลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเป็นระยะ แต่ความวิตกกังวลยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสะสมของสารพิษในปลากินเนื้อและความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

มาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุขและการติดตามผู้ได้รับผลกระทบ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบกรณีประชาชนในบ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ที่มีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางลงพื้นที่ตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบว่าเป็นผื่นแพ้เหงื่อและยังไม่พบความผิดปกติรุนแรง พร้อมกับเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อ 6 จุดเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ได้เน้นย้ำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน แสบผิวหนัง หรืออ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ทันที

แนวทางแก้ไขและผลกระทบในระยะยาว

แม้ข้อมูลทางวิชาการในขณะนี้จะระบุว่าสารปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ควรดำเนินการเฝ้าระวังระยะยาว พร้อมเสริมความเข้มแข็งในการฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ พัฒนาแผนรับมือร่วมกับภาคประชาชน และสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบสะสมของสารโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งด้านความรู้ การสื่อสารความเสี่ยง และสร้างทางเลือกในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาทุก 2 สัปดาห์ใน 4 จุดเสี่ยงหลักตั้งแต่ พ.ค.–ก.ย. 2568
  • ผลตรวจปลากินพืช-กินเนื้อ 3 รอบ ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน (กรมประมง)
  • กลุ่มชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงในลุ่มน้ำกก-สายได้รับผลกระทบรายได้ตกต่ำ (ข้อมูลจากเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย)
  • ประชาชนบ้านแม่สาย 1 หมู่ 1 พบอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำบ่อในครัวเรือน ตรวจสอบโดย สสจ.เชียงราย รพ.แม่สาย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมประมง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลแม่สาย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

E-commerce ไทย Gen Z ขับเคลื่อนตลาด

Gen Z พลิกเกมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568 คอนเทนต์-ความคุ้มค่า-ไลฟ์สไตล์ คือคำตอบ

ประเทศไทย, 30 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่แข่งขันกันดุเดือดในโลกออนไลน์ รายงาน Thailand E-Commerce Trends 2025 คาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.07 ล้านล้านบาท สะท้อนโอกาสทางเศรษฐกิจที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ซึ่งมีสัดส่วนประชากรกว่า 20% ของประเทศ และเป็นกลุ่มผู้ใช้ดิจิทัลที่มีพฤติกรรมและแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจเฉพาะตัว

พฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z คอนเทนต์สั้นกระชับ-อินฟลูเอนเซอร์น่าเชื่อถือ-แพลตฟอร์มต้องหลากหลาย

บริษัท Kantar (คันทาร์) เผยผลวิจัยล่าสุดในหัวข้อ “From Watching to Buying: Why Gen Z Are Embracing Content-Driven Shopping” ซึ่งศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z อายุระหว่าง 18-24 ปี ในประเทศไทย ชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าในยุคที่ “คอนเทนต์” คือหัวใจหลัก

ผู้บริโภค Gen Z นิยมคอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง (Vertical Short Video) ถึง 71% ตามมาด้วยวิดีโอยาว เช่น Vlog หรือคลิปรีวิวสินค้าลึก ๆ ถึง 56% โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเสพคอนเทนต์คือ YouTube (78%) TikTok Instagram และ Facebook ตามลำดับ

นอกจากนี้ 97% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า “ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างมาก โดยเน้นการรีวิวจากผู้ที่ใช้สินค้าจริง พร้อมการให้ข้อมูลลึกและตรงไปตรงมา

ไลฟ์สไตล์คืออัตลักษณ์ สินค้าต้อง ‘ใช่ฉัน’ ถึงจะขายได้

พฤติกรรมการซื้อของกลุ่ม Gen Z แสดงออกถึงการเลือกสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตนเอง สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นผู้หญิง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น

กลุ่มผู้บริโภคหญิงแสดงความสนใจในสินค้าได้หลากหลายมากกว่าเพศชาย ขณะที่ผู้ชาย Gen Z ให้ความสนใจกับสินค้าแฟชั่นผู้ชาย และอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์

ช่องทางในการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อสินค้า เรียงลำดับจาก Shopee เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย TikTok Shop และ Lazada ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ และเชื่อมโยงกับคอนเทนต์ที่พวกเขาเห็นบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ

คุ้มค่ามาก่อนราคาถูก ‘ส่งฟรี’ คือคำตอบสุดท้ายของ Gen Z

แม้เศรษฐกิจจะยังท้าทาย แต่ Gen Z ไม่ได้เลือกซื้อของเพราะ ‘ถูก’ อย่างเดียว 40% ระบุว่า ‘ส่งฟรี’ คือปัจจัยหลักในการตัดสินใจ รองลงมาคือ โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) และส่วนลดที่คุ้มค่า (28%)

พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า นักการตลาดต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์และคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ ไม่ใช่แค่แข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว

แพลตฟอร์มยอดนิยมของ Gen Z  Shopee ครองอันดับหนึ่ง

ในแง่ของการจับจ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซ พบว่า Shopee ได้รับความนิยมสูงสุดจาก Gen Z คิดเป็น 52% ตามด้วย Lazada (22%) TikTok (16%) และ Facebook (8%) โดยปัจจัยที่ทำให้ Shopee ครองใจผู้ใช้คือ UX/UI ที่ใช้งานง่าย ระบบขนส่งที่เชื่อถือได้ และโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

ความคุ้มค่า + คอนเทนต์ + ครีเอเตอร์ = สูตรสำเร็จบนโลกออนไลน์

ผลวิจัยฉบับนี้ชี้ชัดว่า หากแบรนด์และนักการตลาดต้องการเข้าถึง Gen Z ได้อย่างแท้จริง ต้องปรับวิธีคิดจาก ‘ขายของ’ เป็น ‘สร้างประสบการณ์’ โดยคำนึงถึงจุดตัดระหว่างแพลตฟอร์ม คอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์ และความคุ้มค่าอย่างสมดุล

แบรนด์ไม่ควรมองว่า Gen Z เป็นเพียงกลุ่มวัยรุ่นที่จ่ายน้อย แต่ต้องเข้าใจว่าพวกเขาคือผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีพลังต่อรองสูง และหากสามารถสร้าง Brand Loyalty ได้ ก็จะเกิดความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว

เชียงรายกับโอกาสในอีคอมเมิร์ซภูมิภาค

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและสื่อออนไลน์เติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีร้านค้าออนไลน์และกลุ่มครีเอเตอร์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ตามข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย (2567)

ความสามารถในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเชียงราย โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักค้าขายอิสระ ช่วยผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาคตอนบนของประเทศ นักการตลาดจึงควรพิจารณาขยายแคมเปญเจาะกลุ่ม Gen Z ในภูมิภาคควบคู่กับเมืองใหญ่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568: 1.07 ล้านล้านบาท (ที่มา: Thailand E-Commerce Trends 2025)
  • กลุ่ม Gen Z คิดเป็น 20% ของประชากรไทย (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ)
  • แพลตฟอร์มวิดีโอที่ Gen Z นิยม: YouTube (78%), TikTok, Instagram, Facebook (ที่มา: Kantar)
  • ปัจจัยกระตุ้นการซื้อสูงสุด: ส่งฟรี (40%), โปรโมชั่น (29%), ส่วนลดคุ้มค่า (28%)
  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยม: Shopee (52%), Lazada (22%), TikTok (16%), Facebook (8%)
  • การเติบโตของร้านค้าออนไลน์ในเชียงราย: เฉลี่ย 15% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงาน “From Watching to Buying” โดย Kantar (25 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2568)
  • รายงาน Thailand E-Commerce Trends 2025
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

นายกฯ สั่ง ปภ.ติดตาม สถานการณ์แม่สาย

การลงพื้นที่ช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 25 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบหลายปี เมื่อฝนตกหนักในคืนวันที่ 23 ถึงเช้าวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้ชุมชนริมแม่น้ำสายหลายแห่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก น้ำไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือน ตลาด และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ท้าทายความสามารถของหน่วยงานภาครัฐในการจัดการภัยพิบัติ แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันภัยในอนาคต

ค่ำคืนแห่งน้ำท่วม

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้ม ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องหลายชั่วโมงทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านอำเภอแม่สาย เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุมชนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เช่น ชุมชนสายลมจอย ถ้ำผาจม เกาะทราย ไม้ลุงขน และเหมืองแดง ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ถนน และร้านค้าในชั่วพริบตา ชาวบ้านหลายครอบครัวต้องรีบเก็บข้าวของขึ้นที่สูง บางครอบครัวที่ไม่ทันตั้งตัวต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและความมั่นคงในชีวิตประจำวัน

ความรุนแรงของน้ำท่วมในครั้งนี้เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่มากผิดปกติ ประกอบกับระบบระบายน้ำในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถรองรับมวลน้ำขนาดใหญ่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ชุมชนสายลมจอยและถ้ำผาจมกลายเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำและใกล้กับแม่น้ำสาย น้ำโคลนและตะกอนที่ไหลมากับน้ำท่วมยังทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ในบ้านเรือนและพื้นที่สาธารณะ ทำให้การฟื้นฟูหลังน้ำลดเป็นภารกิจที่ท้าทาย

การตอบสนองจากภาครัฐ ความห่วงใยจากผู้นำ

เมื่อข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายแพร่กระจายออกไป นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และสั่งการให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับมอบหมายให้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายภาสกร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ได้เดินทางไปยังด่านศุลกากรอำเภอแม่สาย เพื่อร่วมประชุมรับฟังรายงานจากหน่วยงานในพื้นที่ นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง และนางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การประเมินความเสียหาย การจัดการสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน และการวางแผนฟื้นฟูพื้นที่ในระยะยาว

นายภาสกร เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเกิดจากฝนตกหนักในช่วงวันที่ 23-24 พฤษภาคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนหลายแห่ง โดยเฉพาะชุมชนสายลมจอยและถ้ำผาจมที่ยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่เหล่านี้ กรมการทหารช่างได้ดำเนินการก่อสร้างพนังกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าสู่เขตเศรษฐกิจและชุมชน แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักชั่วคราวเนื่องจากน้ำท่วมครั้งนี้ คาดว่าหลังจากฝนทิ้งช่วงในต้นเดือนมิถุนายน 2568 การก่อสร้างจะสามารถดำเนินต่อได้ตามแผน

สายสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและประชาชน

หลังจากการประชุม นายภาสกรและคณะได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่เชื่อมโยงการค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา สะพานแห่งนี้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้การสัญจรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก นอกจากนี้ คณะยังได้เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบในชุมชนสายลมจอย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสียหายหนักจากการถูกน้ำโคลนท่วมขัง เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ได้ร่วมกันทำความสะอาดบ้านเรือนและถนน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ในวันเดียวกัน นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะกรรมการและสมาชิกกิ่งกาชาดอำเภอแม่สาย ได้ลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชน การลงพื้นที่ครั้งนี้เน้นการเยี่ยมเยียนชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชุมชนถ้ำผาจม สายลมจอย เกาะทราย ไม้ลุงขน และเหมืองแดง เพื่อประเมินความต้องการของประชาชนและมอบสิ่งของจำเป็น เช่น ชุดทำความสะอาดและเวชภัณฑ์

การจัดการด้านสาธารณสุข ความปลอดภัยของประชาชน

นอกเหนือจากการฟื้นฟูพื้นที่ น้ำท่วมครั้งนี้ยังก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำและสุขภาพของประชาชน ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ โรงพยาบาลแม่สาย และเทศบาลตำบลแม่สาย ตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินในแม่น้ำสายบริเวณจุดเสี่ยง 4 แห่ง ได้แก่ บ้านสันมะนะ บ้านป่าซางงาม บ้านป่าแดง และศูนย์พักพิงชั่วคราววัดพรหมวิหาร การตรวจสอบนี้มีเป้าหมายเพื่อเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารเคมีและเชื้อโรคในน้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีสารหนูเกินค่ามาตรฐานในน้ำผิวดินบริเวณแม่น้ำกกในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และใน 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย เชียงแสน แม่จัน เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง และแม่สาย อย่างไรก็ตาม ไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในน้ำประปา พืชผัก ปลา หรือในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง และยังไม่มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการจากการได้รับสารหนู ผลการตรวจสอบนี้ช่วยลดความตื่นตระหนกของประชาชนและสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของน้ำในช่วงน้ำท่วม

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังได้จัดทีมแพทย์และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมกลุ่มเปราะบางจำนวน 94 ราย และช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง 7 ราย โดยอพยพไปยังบ้านญาติชั่วคราว ทีม MCATT (Mobile Community Assessment and Treatment Team) ได้ให้คำแนะนำด้านสุขอนามัยและสุขภาพจิต พร้อมมอบชุดปฐมพยาบาลและถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โรงพยาบาลในพื้นที่ได้จัดตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบาง รองรับได้ 8-24 เตียง พร้อมเปิดช่องทางประสานงานสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการยาหรือการรักษาในกรณีฉุกเฉิน

การฟื้นฟูและป้องกันในอนาคต

เพื่อจัดการกับสถานการณ์น้ำท่วมในระยะยาว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการหลายมาตรการเพื่อฟื้นฟูพื้นที่และป้องกันภัยในอนาคต กรมการทหารช่างได้เร่งก่อสร้างพนังกั้นน้ำและเสริมแนวป้องกันน้ำในจุดที่อ่อนแอ เช่น บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และชุมชนสายลมจอย นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม 6 เครื่อง เพื่อเตรียมรับมือกับมวลน้ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอแม่สายที่ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที

จังหวัดเชียงรายได้แบ่งพื้นที่ฟื้นฟูออกเป็น 4 โซน ได้แก่ โซน A (ชุมชนสายลมจอย) โซน B (ชุมชนเกาะทราย) โซน C (ชุมชนไม้ลุงขน) และโซน D (ชุมชนเหมืองแดง) โดยมอบหมายให้ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ร่วมกันทำความสะอาดและฟื้นฟูบ้านเรือนของประชาชน การดำเนินการเหล่านี้ช่วยให้ชุมชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่

บทเรียนจากน้ำท่วม

เหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดนที่มีความซับซ้อนทั้งในด้านภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ไปจนถึงอาสาสมัครและชุมชนท้องถิ่น แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของระบบการจัดการภัยพิบัติในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การที่น้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากในพื้นที่เดียวกันชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น พนังกั้นน้ำและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ การตรวจพบสารหนูในน้ำผิวดินบางพื้นที่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในช่วงน้ำท่วม การที่หน่วยงานสาธารณสุขสามารถตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของน้ำประปาและอาหารได้อย่างรวดเร็วนั้นช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน แต่ในระยะยาว การพัฒนาระบบตรวจสอบและจัดการคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2568:

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ: 1,245 ครัวเรือนใน 5 ชุมชน (สายลมจอย เกาะทราย ไม้ลุงขน เหมืองแดง และถ้ำผาจม)
  • พื้นที่เกษตรที่เสียหาย: ประมาณ 320 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าวและพืชสวน
  • ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน: ถนน 12 สายในอำเภอแม่สายได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท
  • จำนวนผู้ป่วยติดเตียงที่ได้รับการอพยพ: 7 ราย
  • กลุ่มเปราะบางที่ได้รับการดูแล: 94 ราย
  • ปริมาณน้ำฝน: วัดได้ 180 มิลลิเมตรในช่วง 24 ชั่วโมง (23-24 พ.ค. 2568)
  • จุดตรวจคุณภาพน้ำ: 4 จุดในแม่น้ำสาย พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน 2 จุด (บ้านสันมะนะและบ้านป่าซางงาม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย เร่งช่วยน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย ติดตามการแก้ไขน้ำท่วมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่จากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่หน่วยงานทุกภาคส่วนระดมกำลังติดตั้งแนวป้องกันน้ำและสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน แม้ว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในบางจุด แต่คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยายังระบุถึงฝนตกชุกที่อาจยืดเยื้อจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ทำให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างต่อเนื่อง

ฝนที่ไม่หยุดและสายน้ำที่ล้นตลิ่ง

ในค่ำคืนของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อเสียงฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เมฆฝนหนาที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำแม่สาย รวมถึงเขตชายแดนฝั่งเมียนมา ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่มีความคึกคัก

ความรุนแรงของน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด บ้านเรือนของประชาชนถูกน้ำซัดจนทรัพย์สินเสียหาย และระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านไม้ลุงขน และบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลเชี่ยวและโคลนตมที่ทับถมในบ้านเรือน ความหวาดกลัวและความสูญเสียเริ่มครอบงำชุมชน โดยเฉพาะเมื่อหลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสาย ในช่วงฤดูมรสุมของปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เคยประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงมาแล้ว ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของแนวป้องกันน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำและความท้าทายจากน้ำที่ไหลมาจากฝั่งเมียนมาเป็นประเด็นที่ทั้งชุมชนและหน่วยงานรัฐต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

การระดมกำลังและการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมทวีความรุนแรง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไม่รอช้าที่จะลงพื้นที่เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่และให้กำลังใจประชาชน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดวิกฤตที่น้ำล้นพนังกั้นน้ำ ผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เร่งเสริมแนวป้องกันน้ำด้วยกระสอบทรายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสอบถามความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างตรงจุด

นายชรินทร์ เปิดเผยว่า แนวผนังกั้นน้ำเดิมที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การป้องกันน้ำท่วมไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่สองจุดสำคัญ ได้แก่ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถปิดกั้นน้ำที่จุดสะพานมิตรภาพได้สำเร็จ ขณะที่จุดที่สองบริเวณสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนกำลังเร่งดำเนินการ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดลง เช่น ชุมชนบางส่วนในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม บริเวณตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ ยังคงมีน้ำท่วมขังในระดับสูง หน่วยงานต่างๆ จึงเตรียมติดตั้งแนวกระสอบทรายแบบ Big Bag และเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากจุดวิกฤต โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนและตลาดสายลมจอย

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนว่าภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย จะยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ผู้ว่าฯ จึงขอให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น อำเภอแม่สายได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายเป็นจุดรองรับผู้ประสบภัย พร้อมจัดเตรียมที่พักชั่วคราวและจุดจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวก

ในด้านโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมถาวร กรมการทหารช่างกำลังดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้า 27% หากโครงการนี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในแม่สายจากอุทกภัยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินต่อเนื่องเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและประเด็นสารปนเปื้อนในน้ำ โดยเฉพาะในแม่น้ำสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน

เกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่แม่สาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายได้ตรวจสอบและยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตสามารถใช้อุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำโดยตรงจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำสาย จนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย และควรระมัดระวังการสัมผัสน้ำท่วมขังที่อาจปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรค

ความหวังท่ามกลางสายฝน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลงในบางพื้นที่ หลังจากเครื่องสูบน้ำและแนวกระสอบทรายช่วยควบคุมการไหลของน้ำได้ดีขึ้น ชุมชนที่น้ำลดลง เช่น บริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 เริ่มมีการเคลียร์พื้นที่และฟื้นฟูบ้านเรือน โดยมีอาสาสมัครและทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่

ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ช่วยให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ และทำให้ทรัพยากรถูกจัดสรรไปยังจุดที่ต้องการมากที่สุด ผู้ประสบภัยที่อพยพไปยังที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายได้รับการดูแลด้านอาหาร ที่พัก และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง เช่น ตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน การเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูพื้นที่นี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนที่อาจตกต่อเนื่องยังเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องจับตา โดยหน่วยงานในพื้นที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

ในระยะยาว การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรโดยกรมการทหารช่างจะเป็นความหวังของชุมชนในการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อบริหารจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการ รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนแม่สาย

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและการระดมทรัพยากรจากหน่วยงานต่างๆ ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การทำงานร่วมกันของมณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง การประปาส่วนภูมิภาค และเทศบาลตำบลแม่สาย สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติ
  3. การสนับสนุนชุมชน การจัดตั้งศูนย์อำนวยการและที่พักชั่วคราวช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำจังหวัดและการให้กำลังใจประชาชนช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำที่ไม่สมบูรณ์ แนวผนังกั้นน้ำที่ยังไม่แล้วเสร็จเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้
  2. ความเสี่ยงจากฝนต่อเนื่อง คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนตกชุกจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจชายแดนในระยะสั้น
  4. สารปนเปื้อนในน้ำ ความกังวลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในน้ำท่วมขังและแม่น้ำสายยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เพิ่มงบประมาณและกำลังคนเพื่อให้โครงการแนวป้องกันน้ำถาวรแล้วเสร็จโดยเร็ว
  • พัฒนาระบบเตือนภัยและติดตามสภาพอากาศ ใช้เทคโนโลยี เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำและแอปพลิเคชันแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า
  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอยและให้การสนับสนุนด้านการเงิน
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและน้ำท่วมขัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

  1. จำนวนผู้ประสบภัยในอำเภอแม่สาย
    • น้ำท่วมในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อประชากรในอำเภอแม่สายกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในชุมชนลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งอ้างอิง หอการค้าจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจชายแดน.
  3. การใช้ทรัพยากรในการจัดการน้ำท่วม
    • ในปี 2567 หน่วยงานในภาคเหนือใช้กระสอบทรายกว่า 100,000 ใบและเครื่องสูบน้ำ 50 ชุดในการจัดการน้ำท่วม
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำท่วมหนัก ประปาเริ่มจ่ายน้ำช่วยเหลือประชาชน

แม่สายฟื้นตัวจากอุทกภัย: การประปาฯ และหน่วยงานท้องถิ่นระดมช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย ที่เริ่มทยอยจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมความหวังที่ชุมชนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การระดมกำลังจากกรมทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และหน่วยงานในพื้นที่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาความเดือดร้อนและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในยามวิกฤต

ฝนกระหน่ำและสายน้ำที่โหมกระพือ

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนาที่ยังคงเทน้ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านปิยะพร และชุมชนใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มสังเกตเห็นระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำ รวมถึงในฝั่งเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายรับน้ำปริมาณมหาศาลจนเกินกว่าพนังกั้นน้ำจะรับไหว ไม่นาน น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมถนน พื้นที่ลุ่มต่ำ และบ้านเรือนของประชาชนอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อน้ำท่วมขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตลาดสายลมจอย และบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและตะกอนโคลนที่ไหลเข้าปิดกั้นระบบ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายต้องหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว เนื่องจากน้ำดิบมีความขุ่นสูงเกินกว่าที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้ ความหวังของประชาชนในพื้นที่เริ่มริบหรี่ ขณะที่หลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากแม่น้ำสาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักและน้ำจากลุ่มน้ำในเมียนมาไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเร่งหาทางแก้ไขเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน

การระดมกำลังช่วยเหลือและฟื้นฟู

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มรุนแรง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายและระดับชาติไม่รอช้าที่จะลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือทันที กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้การนำของนายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จัดเตรียมเครื่องจักรและกำลังพลเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สาย โดยนายนิทัศน์ สุดดีพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 มอบหมายให้นายศิริศักดิ์ เกษารัตน์ ผู้อำนวยการส่วนการจัดสรรน้ำที่ 1 ลำปาง นำทีมเจ้าหน้าที่ 15 คน พร้อมเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 2 ชุด เครื่องสูบน้ำขนาด 3 นิ้ว 3 ชุด และรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดวิกฤต เช่น ตลาดสายลมจอย ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่

ในขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ระดมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมทีมงาน นำกระสอบทราย 9,000 ใบ รถบรรทุกน้ำ 4 คัน รวมถึงรถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำได้ 12,000 ลิตร และเครื่องสูบน้ำ 4 ชุด เข้าสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ อบจ.เชียงรายยังส่งรถไถ 1 คัน เพื่อช่วยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางในพื้นที่น้ำท่วม

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชน ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูระบบน้ำประปา หลังจากน้ำดิบในแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงจนไม่สามารถผลิตน้ำได้ในช่วงแรก เมื่อสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายและค่าความขุ่นลดลง ทีมงานของ กปภ.สาขาแม่สายสามารถเริ่มผลิตน้ำได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 และทยอยจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบท่อตั้งแต่เวลา 18.40 น. โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน กปภ.สาขาแม่สายออกแถลงการณ์ขออภัยในความไม่สะดวกและยืนยันความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูการให้บริการโดยเร็วที่สุด

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ร่วมกับนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ และทีมงาน พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินพนังกั้นน้ำ ส่งผลให้น้ำล้นผ่านกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กที่กั้นไว้ใต้สะพาน ไหลเข้าท่วมชุมชนริมน้ำอย่างรวดเร็ว ผู้ว่าฯ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารและแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว เทศบาลตำบลแม่สายได้รับการสนับสนุนกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจาก อบจ.เชียงราย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชน ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำเตรียมประสานงานกับหน่วยงานข้ามพรมแดนในเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสายและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

ความหวังและการฟื้นตัวของชุมชน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในอำเภอแม่สายเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลง หลังจากฝนหยุดตกและเครื่องสูบน้ำทำงานอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น บ้านปิยะพร และพื้นที่ใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มเห็นน้ำลดลงจากถนนและบ้านเรือน การกลับมาของระบบน้ำประปาจาก กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟื้นตัว

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย เช่น รถบรรทุกน้ำและกระสอบทราย ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “เราจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ภัยพิบัติ และจะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อให้แม่สายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะยาว หน่วยงานต่างๆ มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น การเสริมพนังกั้นน้ำและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ นอกจากนี้ ชุมชนในแม่สายจะได้รับการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอย เพื่อให้สามารถกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การระดมเครื่องจักร กำลังพล และทรัพยากรจากกรมทรัพยากรน้ำ อบจ.เชียงราย และ กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยลดผลกระทบและเร่งการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชน สร้างความเข้มแข็งในการรับมือภัยพิบัติ
  3. การฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค การกลับมาของน้ำประปาภายใน 24 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแสดงถึงความพร้อมของ กปภ.สาขาแม่สายในการจัดการวิกฤต
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลและสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ไม่เพียงพอ พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กไม่สามารถต้านทานน้ำปริมาณมากได้ แสดงถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
  2. การพึ่งพาน้ำจากลุ่มน้ำข้ามพรมแดนnน้ำท่วมส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกหนักในเมียนมา ซึ่งต้องมีการประสานงานข้ามชาติเพื่อบริหารจัดการน้ำ
  3. ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำสายยังคงเสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องมีการยกระดับที่อยู่อาศัยและวางแผนผังเมืองใหม่
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะสั้น

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • ลงทุนในโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม สร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำที่ทนทาน และขุดลอกลำน้ำเพื่อเพิ่มความจุน้ำ
  • พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแจ้งเตือนน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวได้ทันท่วงที
  • ประสานงานข้ามพรมแดน สร้างความร่วมมือกับเมียนมาในการบริหารจัดการลุ่มน้ำสาย เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการและให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในแม่สาย
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในอำเภอแม่สายส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอยและชุมชนริมน้ำ
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าไทย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย.
  3. การสนับสนุนจากหน่วยงาน
    • ในปี 2567 หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลใช้เครื่องสูบน้ำกว่า 50 ชุดและกระสอบทรายกว่า 100,000 ใบในการจัดการน้ำท่วมทั่วภาคเหนือ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ สั่งด่วน แก้ปัญหา สารพิษแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมา

นายกฯ สั่งด่วนแก้วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สางปัญหาสารปนเปื้อนข้ามแดน ร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องลุ่มน้ำ

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จากสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกกที่ทวีความรุนแรงจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และลดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชน การสั่งการครั้งนี้เน้นย้ำถึงการจัดการต้นตอของปัญหา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมผลักดันการเจรจาข้ามแดนเพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำกก การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนอย่างยั่งยืน

แม่น้ำกกในภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นมากกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มันคือสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยวของชุมชนในพื้นที่ ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเพาะปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปจนถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนค่ายช้างและสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกเริ่มส่งสัญญาณแห่งความผิดปกติ ชาวบ้านในตำบลท่าตอนสังเกตว่าน้ำในแม่น้ำขุ่นข้นผิดปกติ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งพัดพาโคลนและตะกอนจำนวนมากลงสู่ท้ายน้ำ เด็กที่ลงเล่นน้ำเริ่มมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเริ่มมีสภาพผิดปกติ ความกังวลของชุมชนทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำในช่วงต้นปี 2568 ระบุว่ามีสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560–2568 เผยให้เห็นการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2567–2568 พบการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความขุ่น (turbidity) ในแม่น้ำกก การค้นพบนี้ชี้ชัดว่าต้นตอของมลพิษมาจากการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) และมีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลถึงชุมชนในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงคำที่ชาวบ้านรายงานว่าปลาตายและน้ำไม่สามารถใช้ได้ ชาวบ้านบางส่วนที่สัมผัสน้ำปนเปื้อนมีอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำกกกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

คำสั่งนายกฯ และการเคลื่อนไหวของภาครัฐ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นสี่ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการบริหารจัดการเชิงนโยบาย

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการต่อไปยัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เพื่อติดตามและจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

การดำเนินการของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำระหว่างประเทศ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนี้ GISTDA ได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยืนยันการขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษได้จัดการประชุมร่วมกับกรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาข้ามแดน โดยกรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประมวลผลข้อมูลในสามด้าน ได้แก่ การบ่งชี้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมเอเชียตะวันออกเพื่อใช้ในการเจรจากับเมียนมา

ในด้านการแก้ไขมลพิษในแหล่งน้ำ หน่วยทหารช่างมีแผนขุดลอกแม่น้ำกกเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บริเวณหมู่บ้านธนารักษ์-สะพานย่องลี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลดการสะสมของตะกอน กรมควบคุมมลพิษกำลังศึกษาวิธีการจัดการตะกอน เช่น การปรับสภาพน้ำ ระบบตักตะกอน และการเบี่ยงกระแสน้ำ ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคได้จัดเตรียมแผนบริหารจัดการน้ำในกรณีที่แหล่งน้ำผิวดินปนเปื้อนในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค

ด้านการเฝ้าระวัง กรมควบคุมมลพิษจะเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขาเป็น 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 กรมประมงได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในสัตว์น้ำ 3 ครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน 28 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2568 โดยผลการตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วเกินมาตรฐาน ส่วนกรณีปลาที่มีตุ่มแดงเกิดจากปรสิต กรมอนามัยได้ตรวจคุณภาพน้ำประปาและปัสสาวะของประชาชนในเดือนเมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาไม่มีสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน และผลตรวจปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้านการบริหารจัดการ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานและผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ

แผนปฏิบัติการข้ามแดนและความหวังในการฟื้นฟู

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการเจรจากับเมียนมาในระดับทวิภาคี ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 กรมกิจการชายแดนทหารจะหยิบยกประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวาระสำคัญ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียตะวันออก ได้ส่งหนังสือผ่านสถานทูตไทยในเมียนมาและเชิญผู้แทนสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา

การดำเนินการในระดับท้องถิ่นก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หน่วยงานในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และผลิตผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การขุดลอกแม่น้ำและการจัดหาน้ำสะอาดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในระยะสั้น ขณะที่การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ช่วยให้หน่วยงานสามารถระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจารณ์ว่าการสั่งการของนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานตามกลไกปกติของหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความซับซ้อนของปัญหา เขาเสนอให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และเชิญผู้แทนจากเมียนมาและจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยมาร่วมหารือ “วิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจและการเจรจาจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.สืบสกุลกล่าว

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยืนยันถึงความรุนแรงของปัญหา โดยพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางปี 2566 มีลักษณะเป็นบ่อวงกลมคลุมด้วยผ้าใบสีดำ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร การทำเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีที่เป็นพิษสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเสียหายอย่างหนัก สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยังรายงานการพบปลาติดเชื้อใน 6 จุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้สร้างแรงผลักดันสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่

  1. การบูรณาการหน่วยงาน: การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะอนุกรรมการช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การประชุมเมื่อวันที่ 13 และ 15 พฤษภาคม 2568 แสดงถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนปฏิบัติการ
  2. การใช้เทคโนโลยี: การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ช่วยระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาข้ามแดน
  3. การเจรจาระดับนานาชาติ: การบรรจุประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกเป็นวาระในการประชุม RBC และการดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาข้ามแดน
  4. การบรรเทาผลกระทบในพื้นที่: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีนในพื้นที่
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดการตะกอน และการตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. การมีส่วนร่วมของประชาชน: แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การสื่อสารกับประชาชนยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในบางชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน และลดความตื่นตระหนก
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการตะกอน
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือ UNEP เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. การขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน:
    • การเปิดหน้าดินในรัฐฉานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2567–2568 โดยเฉพาะในเมืองยอนและเมืองสาด
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 2560–2568.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงปี 2564–2566
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. การพบปลาติดเชื้อ:
    • พบปลาติดเชื้อในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง 6 จุด ตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. (2568). รายงานการพบปลาติดเชื้อในลุ่มน้ำกกและโขง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
  • กรมเอเชียตะวันออก
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
  • กรมประมง
  • กรมอนามัย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

 คุณแม่ลูก 3 คว้า “มงกุฎเชียงราย” Mrs. Thailand World 2025

เชียงรายส่งตัวแทนสาวงามคว้ามง Mrs. Thailand World 2025 สู่เวทีระดับชาติ สะท้อนพลังสตรีร่วมพัฒนาสังคม

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพสตรีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเวทีการประกวด Mrs. Thailand World 2025 ตัวแทนจากอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย คว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศอย่างสง่างาม พร้อมเตรียมตัวก้าวเข้าสู่เวทีระดับประเทศในนามตัวแทนภาคเหนือ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับบทบาทสตรีไทยในเวทีนานาชาติ

พิธีมอบมงกุฎท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและภาคภูมิใจของชาวเชียงราย

เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีมอบมงกุฎ Mrs. Thailand World 2025 เชียงราย โดยได้รับเกียรติจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบมงกุฎอันทรงเกียรติแก่ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง อายุ 40 ปี ชาวอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Doctor P Clinic (รามอินทรา 109) และเป็นคุณแม่ลูก 3 ที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น ผนวกกับความสามารถที่น่าประทับใจ

ภายในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางเสียงเชียร์จากครอบครัว เพื่อนฝูง และประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง นับเป็นอีกก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการสนับสนุนสตรีให้มีพื้นที่ในการแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริง

Mrs. Thailand World เวทีที่เปิดกว้างให้สตรีแสดงบทบาทอย่างทรงคุณค่า

การประกวด Mrs. Thailand World แตกต่างจากเวทีนางงามทั่วไป ตรงที่เปิดโอกาสให้สตรีที่ผ่านการสมรสแล้วได้เข้าร่วมแสดงความสามารถในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านสังคม ปัญญา บุคลิกภาพ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โดยเวทีนี้ไม่เพียงเน้นที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง การเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทั่วประเทศ และการเป็นตัวแทนสะท้อนบทบาทของสตรีไทยในศตวรรษที่ 21

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวแสดงความยินดีว่า “วันนี้ไม่เพียงเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของตัวแทนสตรีเชียงราย แต่ยังเป็นวันแห่งการส่งต่อพลังและแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปล่งประกายบนเวทีชีวิตของตนเอง”

แรงสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ สู่การยกระดับสตรีไทยสู่เวทีโลก

งานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สมาคมสตรีเชียงราย สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย และสื่อมวลชนท้องถิ่น ร่วมกันผลักดันให้เวทีการประกวดมีมาตรฐานและสะท้อนความสามารถของผู้เข้าประกวดอย่างรอบด้าน

นางอทิตาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เวทีนี้คือพื้นที่ของสตรีที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ ทั้งในฐานะผู้หญิง ภรรยา มารดา และนักพัฒนา เป็นสัญลักษณ์ของพลังสตรีในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาททั้งในบ้านและในเวทีสาธารณะ”

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง แบบอย่างของสตรีร่วมสมัยที่ทรงพลัง

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง ไม่เพียงโดดเด่นด้วยบุคลิกภาพและวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ แต่ยังมีบทบาทเชิงสังคมในฐานะผู้บริหารคลินิกความงามที่ส่งเสริมสุขภาพจิตใจและความมั่นใจของผู้หญิงไทย อีกทั้งยังมีบทบาทในกิจกรรมการกุศลร่วมกับมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนเด็กกำพร้าและผู้ป่วยยากไร้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเชียงราย

ในการประกวด เธอสามารถตอบคำถามในรอบสัมภาษณ์ได้อย่างชาญฉลาด แสดงวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในครอบครัวและสังคม ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากคณะกรรมการและผู้ชมในงาน

เป้าหมายต่อไป สู่เวที Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ

หลังจากนี้ นางชญาดาจะเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าร่วมประกวด Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ โดยทีมงาน อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายได้เริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งการฝึกซ้อม การพัฒนาบุคลิกภาพ และการสร้างแคมเปญเพื่อสื่อสารบทบาทสตรีเชียงรายในเวทีระดับชาติ

นายก อบจ. ได้กล่าวปิดท้ายว่า “ชาวเชียงรายทุกคนคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวแทนเรา และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้เธอสามารถเปล่งประกายอย่างมีศักดิ์ศรี”

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจากสมาคม Mrs. Thailand World ระบุว่า ในปี 2567 มีผู้สมัครจากทั่วประเทศจำนวน 1,238 คน โดยตัวแทนจากภาคเหนือผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย 4 คน
  • ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสตรีและครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า ร้อยละ 68 ของสตรีในวัยทำงานมีบทบาททั้งในภาคธุรกิจและการพัฒนาสังคม
  • ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เชียงราย รายงานว่าการมีส่วนร่วมของสตรีในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กอ.รมน.เชียงราย เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

กอ.รมน.เชียงราย จับมือท้องถิ่นเตรียมรับมืออุทกภัยแม่สาย งวดที่ 2 ประจำปี 2568 เดินหน้าวางแผนบูรณาการร่วมทุกภาคส่วน

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดเชียงราย โดย พันโทนิรุธ ณ ลำปาง รองหัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอแม่สาย เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย งวดที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อรับมือสถานการณ์อุทกภัยในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

จากปัญหาซ้ำซากสู่แนวทางรับมือ: การลงพื้นที่ร่วมภาคีเครือข่าย

เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 กอ.รมน.เชียงราย ลงพื้นที่พบปะประสานการปฏิบัติร่วมกับนายวรรณศิลป์ จีระกาศ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการเตรียมรับมืออุทกภัยในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้ครอบคลุมการตรวจสอบสภาพคลองภายในชุมชน บริเวณบ้านหัวฝาย ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน โดยมีการตรวจความคืบหน้าการขุดลอกและทำผนังกันน้ำที่ดำเนินการโดยทหารช่าง รวมถึงการวางแนวทางในการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งรัดการเตรียมระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุปข้อเสนอและแนวทางแก้ไขปัญหาจากเวทีหารือ

การหารือร่วมระหว่าง กอ.รมน.และเทศบาลตำบลแม่สายได้ข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้:

  1. เทศบาลตำบลแม่สายดำเนินการขุดลอกท่อและคลองภายในชุมชนแล้วจำนวน 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
  2. ปัญหาหลักคือเมื่อตกฝนหนัก มวลน้ำและทรายจากพื้นที่สูงไหลเข้าสู่ทางระบายน้ำ ทำให้เกิดการอุดตันอย่างรวดเร็ว
  3. เทศบาลยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการดูแลรักษาและขุดลอกระบบระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  4. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางระบายน้ำได้รับการมอบหมายให้ทหารช่างดำเนินการ โดยเทศบาลจะเป็นผู้ประสานงานกับชาวบ้าน
  5. ตลาดสายลมจอย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ มีการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าในระยะยาว 4-5 ปี โดยแม่ค้ายืนยันไม่ขอย้ายออกและยอมรับความเสี่ยงกรณีเกิดอุทกภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล
  6. เทศบาลมีแผนการแจ้งเตือนและอพยพประชาชนอย่างเป็นระบบหากเกิดเหตุอุทกภัยฉับพลัน
  7. ประชาชนในพื้นที่มีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือกับทางราชการเป็นอย่างดี
  8. เทศบาลแม่สายได้ขอประสานกับ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เพื่อแจ้งหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จว.ชร.), หน่วยทหาร, ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย เพื่อจัดทำแผนรับมืออุทกภัยและซักซ้อมการอพยพให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหมด

วิเคราะห์ภาพรวมและผลกระทบเชิงระบบ

จากการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.เชียงราย พบว่าปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สายเป็นปัญหาซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากแนวเทือกเขาด้านตะวันตกของอำเภอ ซึ่งทำให้เกิดน้ำหลากรุนแรงและรวดเร็ว

แนวทางที่ได้รับการเสนอจากนักวิชาการท้องถิ่นประกอบด้วยการพัฒนาระบบ Early Warning System (EWS) โดยอาศัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและน้ำหลาก รวมถึงการสร้างฝายชะลอน้ำและบ่อพักน้ำในชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระของระบบระบายน้ำหลัก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า อำเภอแม่สายมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้น 6 ครั้ง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 3,100 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรเสียหายมากกว่า 1,800 ไร่
  • รายงานจากเทศบาลตำบลแม่สาย ปี 2567 พบว่าในช่วงฤดูฝน มีการขุดลอกท่อระบายน้ำเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นทุกปี
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ปี 2568 ภาคเหนือจะมีฝนตกสูงกว่าค่าเฉลี่ย 15% โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

นักเรียน ร.ร.ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ คว้า 2 รางวัลโลก 2025

นักเรียนเชียงรายคว้า 2 รางวัลใหญ่จากเวทีวิทยาศาสตร์โลก ISEF 2025

เยาวชนไทยโชว์ศักยภาพระดับโลก

เชียงราย, 16 พฤษภาคม 2568 – โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกครั้ง หลังจากทีมนักเรียนของโรงเรียนคว้ารางวัลระดับโลกจากงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์นานาชาติ REGENERON ISEF 2025 ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–16 พฤษภาคม 2568

การประกวดครั้งนี้จัดโดย Society for Science โดยมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจากกว่า 80 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน แสดงผลงานกว่า 1,500 โครงการ ในหลากหลายสาขาวิชา โดยปีนี้ทีมนักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วม 2 โครงการในสาขาสัตวศาสตร์ (Animal Sciences) และสามารถคว้ารางวัลกลับมาได้ทั้งสองโครงการ

BeeShield นวัตกรรมอุโมงค์ป้องกันไรผึ้ง คว้ารางวัลอันดับ 3 ของโลก

โครงการ BeeShield: การพัฒนาอุโมงค์ทางเข้าป้องกันไรผึ้งโดยใช้พฤติกรรมการเข้ารังของผึ้ง ได้รับรางวัล 3rd Place Grand Award พร้อมเงินรางวัล 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีผู้พัฒนาโครงการคือ

  • นายปัณณวิชญ์ ธีรนันท์พัฒธน
  • นางสาววิภารัศมิ์ ธะนะวงศ์
  • นายกฤตนน เมืองแก้ว
    โดยมี นายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร เป็นครูที่ปรึกษา

โครงการนี้พัฒนาระบบ BeeShield เพื่อป้องกันไรผึ้ง (Varroa Mite) ซึ่งเป็นปรสิตที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประชากรผึ้งทั่วโลก ด้วยการใช้ อัลกอริทึมเรียนรู้เชิงลึก เพื่อแยกแยะพฤติกรรมผึ้งที่ติดไร และใช้ กรดฟอร์มิกเข้มข้น 75% เป็นกลไกกำจัดแบบเฉพาะจุด

ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำผึ้ง

จากผลการทดลองพบว่า BeeShield สามารถลดอัตราการตายของผึ้งได้ ถึง 4 เท่า และเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้งได้ ถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำผึ้ง ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน

ColliNest ทางรอดของผึ้งจิ๋วใต้ดิน คว้ารางวัลอันดับ 4 ระดับโลก

อีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามคือ ColliNest: นวัตกรรมการขยายพันธุ์และอนุรักษ์ผึ้งจิ๋วใต้ดิน Tetragonula collina ซึ่งได้รับรางวัล 4th Place Grand Award พร้อมเงินรางวัล 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ผู้ทำโครงงานประกอบด้วย

  • นายธนวัฒน์ สมญาพรเจริญชัย
  • นายธนกร สาคุณ
  • นายณัฐชพน วงศาโรจน์
    มี นายสุธิพงษ์ ใจแก้ว เป็นครูที่ปรึกษา

ColliNest เป็นนวัตกรรมรังผึ้งจำลองที่ออกแบบโดยใช้ท่อ PVC ขนาดเฉพาะ เพื่อกระตุ้นให้ผึ้งจิ๋วย้ายถิ่นฐานและสร้างรังใหม่ โดยมีการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวางแผนการย้ายถิ่นอย่างแม่นยำ

ผลการศึกษาพบว่า โครงการนี้สามารถขยายประชากรผึ้งได้ถึง 93% และเพิ่มผลผลิตสูงสุดถึง 3.91 เท่า เป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นความหวังในการอนุรักษ์ผึ้งจิ๋วที่เสี่ยงสูญพันธุ์ในอนาคต

จากเวทีภูมิภาคสู่ระดับโลก

ทั้งสองโครงงานเริ่มต้นจากการได้รับคัดเลือกในเวทีระดับภาคเหนือ ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และต่อมาได้รับคัดเลือกผ่านเข้าร่วม ค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ครั้งที่ 20 (TYSF20) จัดโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงศึกษาธิการ, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ความภาคภูมิใจของประเทศไทย

ผลงานของนักเรียนโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการส่งเสริมเยาวชนไทยสู่เวทีโลก ด้วยการบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาจริงของโลก ทั้งด้านเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน

ประเทศไทยควรภาคภูมิใจกับความสำเร็จของเยาวชนเหล่านี้ และมุ่งมั่นสนับสนุนโครงการแบบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดนักคิด นักพัฒนารุ่นใหม่ ที่พร้อมจะยกระดับประเทศไปสู่เวทีนานาชาติอย่างมั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ISEF 2025 มีผู้เข้าร่วมจาก 80 ประเทศ
  • มีผลงานเข้าประกวดกว่า 1,500 โครงการ
  • โครงการ BeeShield ลดอัตราตายของผึ้ง 4 เท่า และเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้ง 3 เท่า
  • โครงการ ColliNest ขยายประชากรผึ้งได้ถึง 93% และเพิ่มผลผลิต 3.91 เท่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
  • REGENERON ISEF 2025 Official Website
  • โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รุกล้ำชายแดน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เร่งแก้สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายแดนไทย-เมียนมา พร้อมสั่งเดินหน้าขุดลอกแม่น้ำสาย-รวก ป้องกันภัยพิบัติน้ำหลาก

การประชุมหารือเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมอาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานการประชุมร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเร่งหาทางออกสำหรับปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

ในที่ประชุมมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม ได้แก่ พลโทสิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง, นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย, และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยมีประเด็นสำคัญคือการตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเขตแดน และความคืบหน้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

ความคืบหน้าโครงการป้องกันภัยพิบัติในแม่สาย

พลโทสิรภพ ศุภวานิช รายงานต่อที่ประชุมว่า กรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้เริ่มดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติในเขตอำเภอแม่สายตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมี 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่

  • การขุดลอกแม่น้ำรวกระยะทางรวม 32 กิโลเมตร
  • การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราวถึงกึ่งถาวร ระยะทางรวม 3,600 เมตร

จนถึงปัจจุบัน การขุดลอกแม่น้ำรวกมีความคืบหน้าแล้วร้อยละ 15 ขณะที่การก่อสร้างแนวป้องกันมีความคืบหน้าร้อยละ 34 โดยกองทัพบกตั้งเป้าให้โครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อรับมือกับฤดูน้ำหลาก

การจัดการสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่

นางสาวจันทร์สม เป็นตาธรรม ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย รายงานว่าพบผู้เช่าที่ราชพัสดุริมแม่น้ำสายในแนวโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันน้ำจำนวน 15 ราย ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาเช่าแล้วทั้งหมด พร้อมกำหนดระยะเวลาให้นำทรัพย์สินออกจากพื้นที่ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด

ขณะเดียวกัน นายธนชัย จิตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 สาขาเชียงราย เปิดเผยว่ามีผู้บุกรุกพื้นที่ป่าจำนวน 4 ราย ได้มีหนังสือแจ้งให้ออกจากพื้นที่แล้ว และหากยังฝ่าฝืน จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

การลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วย พลโทสิรภพ และนายอำเภอแม่สาย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าการดำเนินโครงการด้วยตนเอง โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผน เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้ฝากความห่วงใยถึงประชาชนในพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในแนวก่อสร้างให้ความร่วมมือโดยเร่งย้ายออก เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในพื้นที่

วิเคราะห์ความสำคัญของโครงการในบริบทความมั่นคง

จากสถานการณ์ที่พบสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน รวมถึงการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้และที่ราชพัสดุ ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงชายแดน อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน โครงการนี้จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของจังหวัดเชียงรายในการรักษาอธิปไตย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ข้อมูลทางสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 15% จากทั้งหมด 32 กม.
  • ความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ: 34% จากระยะรวม 3,600 เมตร
  • จำนวนผู้เช่าที่ถูกยกเลิกสัญญาริมแม่น้ำสาย: 15 ราย
  • ผู้บุกรุกพื้นที่ป่าที่ได้รับคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่: 4 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก

  • สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย

  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 สาขาเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE