Categories
ECONOMY

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเด็กเกิดน้อย กระทบเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” กระทบเศรษฐกิจและสังคม

รายงานจาก Brandinside ระบุว่าในช่วงระหว่างปี 2506 ถึง 2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2568 ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของสัดส่วนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากบทความ “จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ” ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างประชากรของไทยและทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย

ในปี 2548 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ซึ่งมีผู้สูงอายุเกิน 10% ของประชากร และในปี 2567 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลในด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากการมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ

ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนให้เห็นว่าในอีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 66 ล้านคน นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ได้คาดการณ์ว่าในที่สุด หากไม่มีการนำนโยบายประชากรที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ประเทศไทยอาจจะเหลือประชากรเพียง 29 ล้านคนในอนาคต

สาเหตุที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย

การลดลงของจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยสามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัย โดยกรมอนามัยได้ระบุถึง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย ได้แก่:

  1. คนไทยยังเป็นโสด: ข้อมูลจากสภาพัฒน์เผยว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังคงเป็นโสด ซึ่งทำให้มีการลดจำนวนคู่สมรสและการมีลูกลง
  2. คนไทยไม่อยากมีลูก: ผลการสำรวจจากนิด้าโพลพบว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูกเนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับสภาพสังคมที่ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก
  3. คนไทยมีลูกยาก: ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่
  4. คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ: แม้หลายคนจะต้องการมีลูก แต่กฎหมายในประเทศยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิและการช่วยเหลือด้านการมีบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ

นโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” และความล้มเหลวในการผลักดัน

ถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น เช่น การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี แต่ผลสำรวจจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ (49%) เท่านั้นที่เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศ ขณะที่มีเพียง 33% ของคู่สมรสไทยที่ยืนยันว่าจะ “มีลูก” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการมีลูกยังคงต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

การสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่ม Gen Z, Gen X, และ Gen Y

จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่า กลุ่ม Gen X (อายุ 40-50 ปี) มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 18-25 ปี) อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 26-39 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%) แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของการมีลูกในรุ่นใหม่ๆ ยังคงลดลงตามทิศทางเดียวกัน

บทสรุป

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย ได้แก่ ความชอบในการเป็นโสด, ภาระค่าใช้จ่าย, ปัญหาภาวะมีบุตรยาก และความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมาย ที่ยังไม่สนับสนุนให้มีลูกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังทำให้ประชากรไทยลดลง และคาดว่าในอนาคตประเทศจะเผชิญกับสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : brandinside

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์ปรับกฎค้าข้าว เปิดโอกาสรายย่อยส่งออกง่ายขึ้น

รัฐมนตรีพาณิชย์ปรับกฎระเบียบการค้าข้าว หนุนเกษตรกร-รายย่อย เพิ่มโอกาสส่งออกข้าวเสรี

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงข่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489 ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการลดความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมค้าข้าว เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยมุ่งเน้นการทลายทุนผูกขาดและสร้างความยุติธรรมในอุตสาหกรรมข้าวของประเทศไทย

มติที่ประชุมเพื่อสนับสนุนการค้าข้าว

คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและเห็นชอบการปรับปรุงกฎระเบียบและเงื่อนไขการขออนุญาตประกอบการค้าข้าว ดังนี้:

  1. การปรับเงื่อนไขสต๊อกข้าว
    • กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์: ไม่ต้องมีการสต๊อกข้าว
    • ผู้ประกอบการรายย่อย: ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ปรับลดเงื่อนไขการสต๊อกข้าวจาก 500 ตัน เหลือเพียง 100 ตัน
  2. การปรับค่าธรรมเนียมการขออนุญาต
    • กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์: ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขออนุญาต
    • ผู้ประกอบการรายย่อย:
      • บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมจาก 50,000 บาท เหลือ 10,000 บาท
      • บริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 10-20 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมเหลือ 30,000 บาท
    • ผู้ส่งออกข้าวบรรจุหีบห่อ (ไม่เกิน 12 กิโลกรัม): ลดค่าธรรมเนียมจาก 20,000 บาท เหลือ 10,000 บาท

แผนการดำเนินงาน

การปรับลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะออกเป็นกฎกระทรวง โดยต้องผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม 2568

ในอนาคต กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการในระยะที่ 2 และ 3 เพื่อยกเลิกการกำหนดเงื่อนไขสต๊อกและค่าธรรมเนียมทั้งหมด รวมถึงการปรับปรุงระบบการขออนุญาตให้สามารถดำเนินการจบในขั้นตอนเดียว

การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ

การปรับปรุงกฎระเบียบนี้เกิดขึ้นจากการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าว ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากเกษตรกร โรงสี ผู้ส่งออก ทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย ซึ่งมองว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าสู่ตลาดส่งออกได้สะดวกขึ้น

เป้าหมายของการปรับปรุงกฎระเบียบ

  1. ลดความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมข้าว
  2. ส่งเสริมการค้าข้าวเสรีและเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรสามารถส่งออกข้าวได้เอง
  3. ลดภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อย
  4. สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก

นายพิชัยระบุว่า การปรับปรุงครั้งนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในระยะยาว พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมข้าวไทย

ภาพรวมของผลประโยชน์

การแก้ไขระเบียบในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังเพิ่มศักยภาพในการส่งออกและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเกษตรกรรมทั่วประเทศ ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในตลาดข้าวโลกได้อย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

คนต่างชาติแห่ซื้อคอนโดไทย โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 3.1%

คนต่างชาติซื้อคอนโดในไทย 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.1% มูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือคอนโดมิเนียม ของคนต่างชาติทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) พบว่า มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ 11,036 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท ลดลง 1.5%

โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 3,756 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.6% และมีมูลค่ารวม 18,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% ซึ่งแสดงถึงความสนใจที่ยังคงมีจากคนต่างชาติในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย

กรุงเทพฯ-ชลบุรี ครองสัดส่วนสูงสุด

จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. กรุงเทพมหานคร: มีจำนวนหน่วย 4,269 หน่วย คิดเป็น 38.7% มูลค่า 30,528 ล้านบาท
  2. ชลบุรี: มีจำนวนหน่วย 3,976 หน่วย คิดเป็น 36% มูลค่า 11,021 ล้านบาท
  3. ภูเก็ต
  4. เชียงใหม่
  5. สมุทรปราการ

เมื่อรวมสัดส่วนของกรุงเทพฯ และชลบุรี จะคิดเป็น 74.7% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และ 80.7% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติทั่วประเทศ

ผู้ซื้อสัญชาติเมียนมาและอินเดียโดดเด่น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมสัญชาติเมียนมามีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 202.6% ขณะที่ผู้ซื้อสัญชาติอินเดียมีมูลค่าการโอนต่อหน่วยมากที่สุด โดยเฉลี่ย 6.3 ล้านบาท ต่อหน่วย และขนาดห้องเฉลี่ย 76.5 ตารางเมตร

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทยยังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ และชลบุรี ซึ่งมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์แสดงถึงศักยภาพของตลาดในระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยพุ่ง 4% ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

การค้าชายแดนและผ่านแดนเดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัว 4% ไทยดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในเดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่ามีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 150,203 ล้านบาท ขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออก 85,676 ล้านบาท (+15.3%) และการนำเข้า 64,527 ล้านบาท (-8.0%) ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน 11 เดือนแรกปี 2567

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 1,665,295 ล้านบาท (+6.0%) แบ่งเป็นการส่งออก 957,945 ล้านบาท (+6.5%) และการนำเข้า 707,350 ล้านบาท (+5.4%) ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 250,596 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ

ในเดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวม 82,439 ล้านบาท (+4.6%) โดยไทยได้ดุลการค้า 20,974 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้:

  • มาเลเซีย: มูลค่า 25,395 ล้านบาท (+2.8%)
  • ลาว: มูลค่า 23,865 ล้านบาท (+1.3%)
  • เมียนมา: มูลค่า 18,286 ล้านบาท (+1.9%)
  • กัมพูชา: มูลค่า 14,893 ล้านบาท (+18.1%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล (3,479 ล้านบาท) น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ (1,597 ล้านบาท) และน้ำยางข้น (1,320 ล้านบาท)

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม

เดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 67,764 ล้านบาท (+3.2%) โดยไทยได้ดุลการค้า 174 ล้านบาท รายละเอียดการส่งออกสำคัญ:

  • จีน: มูลค่าสูงสุด 37,264 ล้านบาท (+9.0%)
  • สิงคโปร์: มูลค่า 8,859 ล้านบาท (+2.7%)
  • เวียดนาม: มูลค่า 5,867 ล้านบาท (+19.3%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (7,497 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (3,006 ล้านบาท) และยางแท่ง TSNR (2,344 ล้านบาท)

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมา

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมาในเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 11,402 ล้านบาท (+6.5%) แม้ว่าการขนส่งในพื้นที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก จะหยุดชะงักเนื่องจากสถานการณ์การสู้รบ แต่มีการเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ด่านอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น:

  • ด่านระนอง: มูลค่าการส่งออก 2,257 ล้านบาท (+131.0%)
  • ด่านแม่สาย: มูลค่าการส่งออก 1,496 ล้านบาท (+13.0%)
  • ด่านสังขละบุรี: มูลค่าการส่งออก 708 ล้านบาท (+714.5%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม และกระเบื้องปูพื้น

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนปี 2568

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่าในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศมีแผนเชิงรุกเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระตุ้นการค้าชายแดน โดยจะจัดกิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน เริ่มจากงาน “พาณิชย์นำทัพสินค้าชุมชน” ที่จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2568 และกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายของแผนพัฒนา

  • กระจายการลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจไปยังแนวชายแดน
  • เพิ่มโอกาสการค้าสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยมีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค และผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘การบินไทย’ เปิดตัว ชั้นธุรกิจ A320 เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงราย

การบินไทยเปิดตัวชั้นธุรกิจ Royal Silk Class บน A320 เส้นทางในประเทศ

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 เพจ Hflight รายงานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการให้บริการชั้นธุรกิจใหม่ Royal Silk Class บนเที่ยวบินในประเทศของการบินไทย โดยเครื่องบินที่ใช้คือ Airbus A320 ซึ่งจะครอบคลุมเส้นทางภายในประเทศทั้งหมด 8 เส้นทาง โดยเริ่มทยอยให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป และคาดว่าจะครบทุกเส้นทางในเดือนพฤษภาคมนี้

รายละเอียดเส้นทางการบิน

  • กรุงเทพฯ – ภูเก็ต และ เชียงใหม่: เริ่มให้บริการชั้นธุรกิจตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ และจะครบทุกเที่ยวบินในวันที่ 10 เมษายน
  • กรุงเทพฯ – ขอนแก่น, อุดรธานี และ หาดใหญ่: เริ่มให้บริการบางเที่ยวบินวันที่ 10 เมษายน และครบทุกเที่ยวบินในวันที่ 15 พฤษภาคม
  • กรุงเทพฯ – เชียงราย, อุบลราชธานี และ กระบี่: เริ่มให้บริการทุกเที่ยวบินตั้งแต่ 15 พฤษภาคม

การปรับปรุงห้องโดยสาร

การบินไทยมีการปรับปรุงห้องโดยสาร A320 จากเดิมที่มีเฉพาะชั้นประหยัด (Economy Class) และชั้นอีโคโนมีพลัส (Economy Plus) โดยเพิ่มที่นั่งชั้นธุรกิจ Royal Silk Class แบบ 2-2 จำนวน 12 ที่นั่ง และชั้นประหยัดแบบ 3-3 จำนวน 144 ที่นั่ง ซึ่งการปรับปรุงนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนพฤษภาคม 2568

แนวคิด ONE THAI ONE FLY

การบินไทยได้เปิดตัวโครงการ “ONE THAI ONE FLY” เพื่อตอกย้ำความเป็นสายการบินแห่งชาติที่เชื่อมโยงเส้นทางบินอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ โดยนำเครื่องบิน A320 ไปปฏิบัติการในเส้นทางต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และขยายเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุมผู้โดยสารทั่วโลก

จุดเด่นของชั้นธุรกิจ A320

  • ที่นั่ง Royal Silk Class: ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้วยฟังก์ชันปรับเอน
  • ระบบ Wireless IFE: รับชมสื่อบันเทิงผ่านอุปกรณ์ส่วนตัว
  • การจัดการที่ยืดหยุ่น: ครอบคลุมทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ

สิทธิพิเศษของผู้โดยสารชั้นธุรกิจ

ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น:

  • น้ำหนักสัมภาระฟรี 40 กิโลกรัม
  • สิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง Royal Orchid Lounge
  • ไมล์สะสมเพิ่มขึ้น 125-150% กับโปรแกรม Royal Orchid Plus
  • บริการที่นั่งปรับเอนสะดวกสบายและอาหารพิเศษบนเครื่อง

แผนเชื่อมโยงเส้นทางบิน

การบินไทยยังคงเดินหน้าภายใต้นโยบาย “ONE THAI ONE FLY” เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางบินในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) รวมถึงเส้นทางระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน

ระบบบันเทิงและความสะดวกสบาย

การบินไทยจะติดตั้งระบบ Wireless IFE ให้ผู้โดยสารสามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงสื่อบันเทิงและข้อมูลสำคัญได้ตลอดการเดินทาง

เส้นทางการบินในประเทศและต่างประเทศ

การบินไทยให้บริการในประเทศ 8 เส้นทางสำคัญ ได้แก่

  1. กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ (5 เที่ยวบิน/วัน)
  2. กรุงเทพฯ–เชียงราย (2 เที่ยวบิน/วัน)
  3. กรุงเทพฯ–ขอนแก่น (4 เที่ยวบิน/วัน)
  4. กรุงเทพฯ–อุดรธานี (3 เที่ยวบิน/วัน)
  5. กรุงเทพฯ–อุบลราชธานี (2 เที่ยวบิน/วัน)
  6. กรุงเทพฯ–ภูเก็ต (8 เที่ยวบิน/วัน)
  7. กรุงเทพฯ–หาดใหญ่ (3 เที่ยวบิน/วัน)
  8. กรุงเทพฯ–กระบี่ (2 เที่ยวบิน/วัน)

ในส่วนของเส้นทางต่างประเทศ การบินไทยยังให้บริการครอบคลุมกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม รวมถึงเส้นทางสำคัญในภูมิภาค เช่น อินเดีย มาเลเซีย ไต้หวัน เนปาล และศรีลังกา

การจองตั๋วและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบรายละเอียดเที่ยวบินหรือจองตั๋วได้ที่เว็บไซต์ www.thaiairways.com หรือโทร 02-356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง

ภาพรวมและเป้าหมายในอนาคต

การเปิดตัวชั้นธุรกิจในเส้นทางในประเทศครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของการบินไทยในการยกระดับการบริการให้ผู้โดยสารทุกคนได้รับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในตลาดการบินทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / www.thaiairways.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน เปิดบริการปี 2571 เชื่อมเศรษฐกิจไทย-ชายแดน

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน คืบหน้า! เตรียมเปิดบริการปี 2571

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางสำคัญ คือ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ และ สายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่ใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ

โครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

  • ระยะทาง 323 กิโลเมตร วงเงิน 72,921 ล้านบาท
  • สัญญา 1: เด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 18.64% (เร็วกว่าแผน 4.75%)
  • สัญญา 2: งาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 25.08% (ช้ากว่าแผน 6.30%)
  • สัญญา 3: เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 20.74% (ช้ากว่าแผน 16.70% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

โครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม

  • ระยะทาง 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848 ล้านบาท
  • สัญญา 1: บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. ผลงาน 16.05% (ช้ากว่าแผน 21.40%)
  • สัญญา 2: หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. ผลงาน 0.33% (ช้ากว่าแผน 33.31% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

เป้าหมายเปิดบริการปี 2571

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยพัฒนาโครงข่ายรถไฟในพื้นที่ที่ไม่เคยมีรถไฟมาก่อน พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน โดยโครงการสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ จะรองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวเชื่อมชายแดนไทย-ลาว ขณะที่โครงการสายบ้านไผ่ – นครพนม จะเชื่อมเศรษฐกิจภาคอีสานตอนบนไปยังท่าเรือแหลมฉบังและศูนย์ขนส่งชายแดน

จุดเด่นของโครงการ

  • สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ
    • อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย
    • มี 26 สถานี (สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง)
    • สะพานรถไฟและถนนลอดรวม 254 จุด พร้อมลานขนถ่ายสินค้าและพื้นที่กองเก็บตู้สินค้าที่สถานีเชียงของ
  • สายบ้านไผ่ – นครพนม
    • มี 30 สถานี และย่านบรรทุกตู้สินค้า 3 แห่ง
    • ถนนยกข้ามทางรถไฟ 81 แห่ง และถนนลอดใต้ทางรถไฟ 245 แห่ง
    • เชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก

ประโยชน์ที่คาดหวัง

โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนและเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมเพิ่มโอกาสด้านการท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย และจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แนวโน้มท่องเที่ยวไทย 2568: ลดจ่าย-เพิ่มคุ้มค่า

แนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวของคนไทยในปี 2568: การปรับตัวและกลยุทธ์ธุรกิจท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 SCB EIC เผยข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับแนวโน้มการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวในปี 2568 พบว่า ชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตชะลอตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดการใช้จ่าย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวต่างประเทศที่คาดว่าจะลดลงมากกว่าการท่องเที่ยวในประเทศ

แนวโน้มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทย

SCB EIC รายงานว่า การใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศยังคงเป็นที่นิยม เนื่องจากมีสัดส่วนผู้ที่จะเลิกใช้จ่ายเพียง 9% ซึ่งต่ำกว่าการใช้จ่ายในด้านอื่น เช่น เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ กลุ่มที่มีสถานะการเงินมั่นคง เช่น กลุ่มที่ไม่มีภาระหนี้และรายได้ดี มีแนวโน้มเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ในขณะที่กลุ่มการเงินเปราะบางกว่า 50% มีแนวโน้มลดหรือยกเลิกแผนท่องเที่ยว

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อวัน ขณะที่การท่องเที่ยวต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยขั้นต่ำที่ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน โดยกลุ่ม LGBTQIA+ และกลุ่มวัยทำงานมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มอื่น

วิธีปรับตัวของนักท่องเที่ยวไทย

นักท่องเที่ยวไทยใช้ 4 วิธีในการปรับตัวด้านการท่องเที่ยว ได้แก่

  1. ลดความถี่ในการท่องเที่ยว
  2. ลดการช้อปปิ้งสินค้า
  3. เลือกที่พักราคาประหยัด
  4. ชะลอแผนการท่องเที่ยว

การปรับตัวเหล่านี้แตกต่างกันตามช่วงอายุ เช่น กลุ่มวัยรุ่น/วัยเริ่มทำงานเลือกลดค่าใช้จ่ายด้านความสะดวกสบาย ส่วนกลุ่มผู้สูงวัยปรับแผนมาท่องเที่ยวในประเทศหรือเลือกกรุ๊ปทัวร์ที่คุ้มค่า

กลยุทธ์สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวในปี 2568

  1. เจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อดี
    ธุรกิจควรมุ่งเน้นการดึงดูดกลุ่มที่มีรายได้ดีและคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยนำเสนอแพ็กเกจท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ตอบโจทย์

  2. เพิ่มความคุ้มค่าของสินค้าและบริการ
    การสร้างความคุ้มค่าให้ตรงกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในแต่ละกลุ่ม เช่น การนำเสนอกิจกรรมที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น หรือบริการพิเศษที่เหมาะกับผู้สูงวัย

  3. บริหารต้นทุนเพื่อเสนอแพ็กเกจราคาประหยัด
    การใช้เทคโนโลยี เช่น AI และ Automation ในการบริหารจัดการ รวมถึงการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน เช่น การใช้พลังงาน Solar Cell หรือรถยนต์ไฟฟ้า

สรุปผลการสำรวจ

ในปี 2568 แม้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ แต่การท่องเที่ยวยังคงเป็นกิจกรรมยอดนิยม ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถตอบสนองความต้องการด้วยการปรับตัวและนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าและความต้องการของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SCB EIC

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 2568 เติบโต 4.6% พร้อมความท้าทาย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 spacebar รายงานว่าแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปี 2567 สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้ยังคงได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

แนวโน้มการเติบโตของตลาด

ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม ของนักท่องเที่ยวถือเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง โดยร้านอาหารไทยกว่า 482 แห่งที่ได้รับการจัดอันดับในมิชลินไกด์ ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเติบโตของมูลค่าตลาดส่วนหนึ่งยังเกิดจากการ ปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มรายได้ต่อครั้งต่อคำสั่งซื้อ นอกจากนี้ การขยายสาขาใหม่ในพื้นที่ศักยภาพ เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้น ก็มีส่วนกระตุ้นให้จำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มมากขึ้น

การแข่งขันที่รุนแรง

ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 มีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคา ประเทศไทยมีร้านอาหารกว่า 6.9 แสนแห่ง หรืออัตราส่วน 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า การหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการ มีจำนวนร้านอาหารที่ปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 89% (YoY) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 สะท้อนถึงการแข่งขันที่เข้มข้น

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. ร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants)
    คาดว่าจะเติบโต 2.9% หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 213,000 ล้านบาท ร้านบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่า

  2. ร้านอาหารบริการจำกัด (Limited Service Restaurants)
    คาดว่าจะเติบโต 3.8% หรือมีมูลค่ารวม 93,000 ล้านบาท การขยายตัวของกลุ่มร้านพิซซ่า ไก่ทอด และร้าน Quick Service เพิ่มมากขึ้น

  3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food)
    คาดว่าจะเติบโต 6.8% หรือมีมูลค่ารวม 266,000 ล้านบาท ได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว

แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม

ในปี 2568 คาดว่ามูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่มจะอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% การขยายแฟรนไชส์และการเปิดตัวเมนูใหม่ช่วยกระตุ้นการบริโภค

ความเสี่ยงและความท้าทาย

  • ต้นทุนสูงขึ้น
    ทั้งค่าแรง วัตถุดิบ เช่น นมผง เนย ชีส และค่าสาธารณูปโภค ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ
  • พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
    มาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคเน้น ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล

ข้อสรุป

ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังคงมีศักยภาพเติบโต แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในด้านกลยุทธ์และนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : พันดาว 1000 Stars

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

‘อนาคตข้าวไทย’ วางยุทธศาสตร์ สร้างคุณค่า เจาะตลาดโลก

นโยบายข้าวไทย: เส้นทางใหม่สู่ความยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 Forbes Thailand ได้รายงานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ นโยบายข้าวไทย ซึ่งกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม การปรับตัวและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ภาครัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเพื่อสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้กับข้าวไทย

ความท้าทายใหม่ของข้าวไทยในยุคโลกเปลี่ยนแปลง

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า การกำหนดทิศทางของข้าวไทยในระบบเศรษฐกิจต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การสนับสนุนเกษตรกรให้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ เช่นเดียวกับการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อนำไปใช้จริง นอกจากนี้ ภาครัฐควรเปลี่ยนบทบาทจากการเน้นปริมาณการส่งออกไปสู่การสร้างคุณค่าในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่น ข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวในเชิงอุตสาหกรรม หรือข้าวที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ข้าวไทยกับบทบาทใหม่ในเศรษฐกิจโลก

ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา ที่ปรึกษาและนักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของข้าว โดยประเทศไทยต้องพัฒนายุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเชื่อมโยงข้าวเข้ากับ Soft Power เช่น การสร้างเรื่องราว (Storytelling) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ข้าวไทยกลายเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตคนไทย

งาน Thailand Rice Fest 2024 กับมุมมองใหม่

ในงาน Thailand Rice Fest 2024 มีการเสวนาเกี่ยวกับแนวทางพัฒนาข้าวไทย โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การพัฒนาข้าวไทยต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง เช่น การใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

การวางตำแหน่งและสร้างคุณค่าให้กับข้าวไทย

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องว่าประเทศไทยควรหยุดเน้นการแข่งขันด้านปริมาณการส่งออกและหันมาเน้นการเพิ่มคุณค่าของข้าว เช่น การผลิตข้าวที่ตอบโจทย์ด้านโภชนาการ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และพลังงานชีวภาพ นอกจากนี้ ข้าวยังสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้เรื่องสุขภาพและวัฒนธรรมผ่านข้าวไทย

สรุป

การเปลี่ยนแปลงนโยบายข้าวไทยต้องมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน การสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างคุณค่าใหม่ให้ข้าวไทยก้าวข้ามความท้าทายและคว้าโอกาสในเวทีโลกอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2568 ส่องเทรนด์เศรษฐกิจไทย

10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2568 เผยเทรนด์เศรษฐกิจไทย สะท้อนโอกาสและความท้าทาย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ประจำปี 2568 โดยมีการวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนและบั่นทอนเศรษฐกิจไทย พร้อมประเมินทิศทางการฟื้นตัวในปีหน้า

10 ธุรกิจดาวร่วง ปี 2568

  1. ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่า CD หรือ VDO
  2. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มีแพลตฟอร์มออนไลน์
  3. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เช่น CD, DVD, Thumb Drive
  4. บริการส่งหนังสือพิมพ์
  5. ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
  6. ธุรกิจถ่ายเอกสาร
  7. ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบดั้งเดิมที่ไม่มีการออกแบบใหม่
  8. ธุรกิจรถยนต์มือสอง
  9. ร้านขายเครื่องเล่นเกม
  10. ธุรกิจผลิตกระดาษและร้านโชห่วย

10 ธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568

  1. ธุรกิจแพทย์และความงาม, Cloud Service, Cyber Security
  2. ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ยูทูบเบอร์ รีวิวสินค้า อินฟลูเอนเซอร์
  3. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์พาวเวอร์ไทย เช่น ซีรีส์, ภาพยนตร์, สื่อออนไลน์
  4. งานคอนเสิร์ต, มหกรรมแสดงสินค้า, ธุรกิจจัดอีเวนต์ และธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  5. ธุรกิจสายมู, เงินด่วน, ประกันภัย, ประกันชีวิต
  6. บริการแพลตฟอร์ม เช่น แม่บ้านรายวัน และสถานบันเทิง
  7. คลินิกกายภาพบำบัด, บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า, รถยนต์อีวี, ธุรกิจสัตว์เลี้ยง
  8. ธนาคาร, ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ, ธุรกิจท่องเที่ยว
  9. ธุรกิจโลจิสติกส์, เดลิเวอรี, ทนายความ, ตลาดนัดกลางคืน
  10. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์, พลังงานทดแทน

ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2568

  1. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
    • แรงหนุนจากฟรีวีซ่า
    • แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025”
  2. การลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก
    • Amazon, Google, Microsoft
  3. ความร่วมมือระหว่างประเทศ
    • ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตร BRICS ยกระดับบทบาทบนเวทีโลก
  4. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
    • ช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่าย

ปัจจัยบั่นทอนเศรษฐกิจ

  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • ราคาพลังงานโลกที่ผันผวน
  • การเมืองภายในประเทศที่ไม่แน่นอน
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังสูง

หนี้ครัวเรือนปี 2568

นายธนวรรธน์ คาดการณ์ว่า หนี้ครัวเรือนจะลดลงจาก 89% เป็น 85% ต่อ GDP เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของรัฐบาลผ่านโครงการ “คุณสู้เราช่วย”

สรุปภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568

เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี โดยเติบโตในกรอบ 2.8-3.2% มีโอกาสจากธุรกิจดาวรุ่งที่สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลก ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

งานสำรวจนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News