Categories
ECONOMY

CP พุ่ง! รวยอันดับ 2 เอเชีย ตระกูลไทยติด 3 อันดับ

ตระกูลเจียรวนนท์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากอัมบานีแห่งอินเดีย

กรุงเทพฯ, 13 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว Bloomberg เผย ทำเนียบตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ประจำปี 2025” โดยตระกูล เจียรวนนท์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ขยับขึ้นมาครอง อันดับที่ 2 ของเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียงตระกูล อัมบานี แห่ง Reliance Industries ของอินเดีย ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี

การติดอันดับของตระกูลเศรษฐีไทยในปีนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มทุนไทยในเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ยังมี 2 ตระกูลมหาเศรษฐีไทย ที่ติดอันดับในรายงานของ Bloomberg ได้แก่:

  • ตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของ TCP Group หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม กระทิงแดง (Red Bull) ครอง อันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 860,000 ล้านบาท
  • ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของ เครือเซ็นทรัล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย ติด อันดับที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 527,000 ล้านบาท

อิทธิพลของเศรษฐีเอเชียในเศรษฐกิจโลก

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ในช่วงที่ Donald Trump เริ่มต้นวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มหาเศรษฐีเอเชียต้องเตรียมรับมือกับแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีนำเข้า การเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในเอเชีย

นักวิเคราะห์จาก Singapore Management University มองว่า ทศวรรษใหม่ของเศรษฐกิจโลกอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตลาดโลกโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ตระกูลเศรษฐีที่ติดอันดับสูงสุดในเอเชีย

  1. ตระกูลอัมบานี – เจ้าของ Reliance Industries (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. ตระกูลเจียรวนนท์ – เจ้าของ CP Group (ไทย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  3. ตระกูลฮาร์โตโน – เจ้าของ Djarum & Bank Central Asia (อินโดนีเซีย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  4. ตระกูลมิสรา – เจ้าของ Shapoorji Pallonji Group (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  5. ตระกูลกว็อก – เจ้าของ Sun Hung Kai Properties (ฮ่องกง) มูลค่าทรัพย์สิน 35.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์ความมั่งคั่งของตระกูลเจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย เจีย เอ็กชอ ซึ่งเป็นผู้อพยพจากจีนมาค้าเมล็ดพันธุ์ผักในไทย ปัจจุบันกลุ่ม CP ขยายธุรกิจครอบคลุม อุตสาหกรรมอาหาร ปศุสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม และพลังงาน โดยมีเครือข่ายอยู่ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

การลงทุนที่สำคัญของ CP Group

  • ธุรกิจค้าปลีก: เครือ CP All ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย
  • ธุรกิจโทรคมนาคม: True Corporation หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของไทย
  • ธุรกิจเกษตรและอาหาร: CPF (Charoen Pokphand Foods) ผู้ผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • การขยายตลาดระดับโลก: CP Group มีการลงทุนขยายธุรกิจไปยัง จีน เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน

ทิศทางอนาคตของมหาเศรษฐีเอเชีย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชี้ว่า แม้ว่า CP Group และกลุ่มทุนไทยอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายภาษีและการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง

การขึ้นอันดับของตระกูลเจียรวนนท์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนไทยในระดับโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT กำไรพุ่ง! รับท่องเที่ยวฟื้น สนามบินเชียงรายร่วมด้วยทำโตขึ้น

AOT รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบ 2568 กำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม – ธันวาคม 2567) โดยมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท เติบโต 13.41% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ พร้อมตั้งเป้ายกระดับท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ผลประกอบการและการเติบโตของรายได้

ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,344.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 781.27 ล้านบาท หรือ 17.12% จากปีก่อน ขณะที่รายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.41% อยู่ที่ 17,906.01 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจาก:

  • รายได้จากกิจการการบิน 8,804.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.41% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ
  • รายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน 8,859.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.65% จากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายรวม 10,353.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.73% จากปีก่อน

การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน

สำหรับปริมาณผู้โดยสารในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบ 2568 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่ มีจำนวนผู้โดยสารรวม 33.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16.41% แบ่งเป็น:

  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 20.85 ล้านคน
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ 12.77 ล้านคน
  • เที่ยวบินรวม 204,549 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.78%

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของปริมาณผู้โดยสารมาจาก การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐ และช่วงวันหยุดยาวของนักท่องเที่ยวจีน (Golden Week) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลและระยะใกล้

กลยุทธ์พัฒนาท่าอากาศยานไทยสู่ระดับโลก

AOT มีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้บริการของสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยเน้น การยกระดับคุณภาพมาตรฐานสู่ระดับสากล รวมถึงพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่:

  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 (SAT-1) เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านเป็น 65 ล้านคนต่อปี
  • การสร้างระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (APM) และทางวิ่งเส้นที่ 3
  • โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจาก 30 ล้านเป็น 50 ล้านคนต่อปี
  • โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานท่าอากาศยานเชียงใหม่, ภูเก็ต, เชียงราย และหาดใหญ่

เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์เดินทางที่ดียิ่งขึ้น

AOT ได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดระยะเวลาการเดินทางของผู้โดยสาร เช่น:

  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติและการตรวจสอบใบหน้า (Biometric Identification)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC) รองรับ E-passport กว่า 90 ประเทศ
  • ระบบการจัดการข้อมูลเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (SBG)

เป้าหมายสู่ท่าอากาศยานสีเขียวและ Net Zero Carbon

AOT ดำเนินงานโดยคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานสากล เช่น DJSI, GRI และ PDPA นอกจากนี้ สนามบินของ AOT ยังได้รับ Airport Carbon Accreditation ครบทุกแห่ง พร้อมตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็น Net Zero ภายในปี 2587

ความสำเร็จระดับนานาชาติ

อาคาร SAT-1 ของ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัล ท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลก 2567″ จาก Prix Versailles ของ UNESCO ซึ่งสะท้อนถึงการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บทสรุป

AOT ยังคงเดินหน้าพัฒนา ท่าอากาศยานไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับโลก และตั้งเป้าผลักดันท่าอากาศยานไทยให้ติด 1 ใน 20 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตชาติ ไทยอันดับ 3 โลก เกิดน้อยลง 81%

ประเทศไทยติดอันดับ 3 ของโลก อัตราการเกิดลดลง กระทบเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต

กรุงเทพฯ,12 กุมภาพันธ์ 2568  – การลดลงของอัตราการเกิดกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ โดยข้อมูลล่าสุดจาก Global Statistics พบว่า ประเทศไทยติดอันดับที่ 3 ของโลก ในด้านอัตราการเกิดที่ลดลง ตั้งแต่ปี 1950 – 2024 รองจากเกาหลีใต้และจีน ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรในระยะยาว และอาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและแรงงานในอนาคต

แนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลงทั่วโลก

จากข้อมูลของ Global Statistics พบว่าประเทศที่มีอัตราการเกิดลดลงมากที่สุด ได้แก่

  1. เกาหลีใต้ อัตราการเกิดลดลง 88%
  2. จีน อัตราการเกิดลดลง 83%
  3. ไทย อัตราการเกิดลดลง 81%
  4. ญี่ปุ่น อัตราการเกิดลดลง 80%
  5. อิหร่าน อัตราการเกิดลดลง 75%
  6. บราซิล อัตราการเกิดลดลง 74%
  7. โคลอมเบีย อัตราการเกิดลดลง 72%
  8. เม็กซิโก อัตราการเกิดลดลง 72%
  9. โปแลนด์ อัตราการเกิดลดลง 71%
  10. ตุรกี อัตราการเกิดลดลง 70%

สถานการณ์ประชากรไทยปี 2567

ตัวเลขการเกิดต่ำกว่าครึ่งล้านครั้งแรกในรอบ 75 ปี

จากรายงานของ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ปี 2567 เป็นปีแรกที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในไทยต่ำกว่า 5 แสนคน โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 462,240 คน ซึ่งถือเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องและสวนทางกับนโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” ที่ภาครัฐพยายามผลักดัน

การลดลงของประชากรในอนาคต

  • นักวิจัยคาดการณ์ว่า อีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรลดลงเหลือ 40 ล้านคน
  • ประชากรไทยจะลดลง เฉลี่ย 1 ล้านคนทุก ๆ 2 ปี
  • อัตราแรงงานจะลดลงจาก 37.2 ล้านคน เหลือเพียง 22.8 ล้านคน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

ปัจจัยที่ทำให้อัตราการเกิดลดลง

  1. ค่าครองชีพสูงขึ้น
  • ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้คนรุ่นใหม่ลังเลที่จะมีบุตร
  • ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าเรียนและค่ารักษาพยาบาล
  1. การเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคม
  • คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการทำงานและไลฟ์สไตล์มากกว่าการสร้างครอบครัว
  • ความนิยมในแนวคิด “DINK” (Double Income, No Kids) เพิ่มขึ้น
  1. นโยบายสนับสนุนครอบครัวที่ไม่เพียงพอ
  • สวัสดิการเพื่อครอบครัวของไทยยังไม่ครอบคลุมเท่ากับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้
  • ขาดมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีและการดูแลเด็กเล็ก

ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย

  1. แรงงานลดลง กระทบเศรษฐกิจโดยรวม
  • จำนวนแรงงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและบริการ
  • อาจต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ หรือใช้เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานมนุษย์
  1. ระบบสวัสดิการสังคมเผชิญแรงกดดัน
  • จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องใช้งบประมาณดูแลสุขภาพมากขึ้น
  • แรงงานที่ลดลงทำให้มีผู้เสียภาษีน้อยลง ส่งผลต่อรายได้ภาครัฐ

แนวทางแก้ไขและปรับตัวของประเทศไทย

  1. สนับสนุนครอบครัวและการมีบุตร
  • เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับครอบครัวที่มีลูก
  • ขยายสวัสดิการเด็ก เช่น เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดและเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดู
  1. ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน
  • ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน
  • เปิดรับแรงงานต่างชาติที่มีฝีมือมากขึ้น
  1. เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการมีบุตร
  • รณรงค์ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวและการมีลูก
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีลูกและการเลี้ยงดูเด็ก

บทสรุป

อัตราการเกิดที่ลดลงของไทยเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่เพียงส่งผลต่อจำนวนประชากร แต่ยังกระทบต่อแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม หากไม่มีมาตรการรับมือที่เหมาะสม ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับสังคมสูงวัยที่มีผลกระทบระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากมีนโยบายที่ดีและสามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่ตัดสินใจมีบุตรมากขึ้น ก็อาจช่วยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมอัตราการเกิดของไทยถึงลดลงอย่างมาก?

ปัจจัยหลักมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไป และนโยบายสนับสนุนที่ไม่เพียงพอ

  1. การลดลงของอัตราการเกิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร?

ทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่ออุตสาหกรรมและบริการ อีกทั้งภาครัฐต้องแบกรับภาระสวัสดิการผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

  1. ประเทศอื่น ๆ แก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำอย่างไร?

หลายประเทศใช้มาตรการสนับสนุน เช่น เงินอุดหนุนเด็ก นโยบายภาษีที่เอื้อต่อครอบครัว และขยายสวัสดิการเลี้ยงดูเด็ก

  1. ไทยสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?

ควรเพิ่มสวัสดิการครอบครัว ปรับโครงสร้างตลาดแรงงาน และส่งเสริมแนวคิดเชิงบวกเกี่ยวกับการมีบุตร

  1. ถ้าอัตราการเกิดลดลงต่อไป จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต?

ประชากรอาจลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อแรงงาน เศรษฐกิจ และการพัฒนาในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Global Statistics 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กรมทางหลวงเปิดเส้นทางใหม่ เชื่อมเชียงราย-เชียงของ ยกระดับเศรษฐกิจภาคเหนือ

ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – เชียงของ เปิดใช้แล้ว รองรับเศรษฐกิจและท่องเที่ยวภาคเหนือ

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – กรมทางหลวง (ทล.) เปิดให้บริการ ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – เชียงของ อย่างเป็นทางการ หลังดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายเส้นทางระหว่าง อำเภอเทิง – บ้านต้า จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 16 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์ เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในภาคเหนือ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการเดินทาง การค้า และการขนส่งสินค้า เชื่อมโยงการค้าชายแดนและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจ R3A (ไทย – ลาว – จีน)

เส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมไทย – ลาว – จีน เสริมศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ทางหลวงหมายเลข 1020 เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมระหว่าง จังหวัดเชียงราย – อำเภอเชียงของ – ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็น เส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ – ห้วยทราย) และท่าเรือเชียงแสน

โครงการนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพ การค้าชายแดน และรองรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นทางเชื่อมหลักสู่ประเทศจีนตอนใต้ ผ่าน สปป.ลาว ซึ่งเป็น ประตูเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคอาเซียน

โครงสร้างใหม่ 4 ช่องจราจร พร้อมระบบความปลอดภัยสูงสุด

กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างปรับปรุงจาก ถนนขนาด 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) พร้อม ผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต และ เกาะกลางยกระดับ (Raised median) เพื่อแยกทิศทางการจราจร ลดอุบัติเหตุ และเพิ่มความปลอดภัย

โครงการยังรวมถึง

  • การติดตั้งไฟส่องสว่าง ตลอดเส้นทาง
  • การก่อสร้างทางเท้าในพื้นที่ชุมชน
  • มาตรฐานโครงสร้างพิเศษ รองรับน้ำหนักขนส่งสินค้าได้มากขึ้น

โครงการใช้งบประมาณรวม 898.9 ล้านบาท และเปิดให้ประชาชนใช้เส้นทางเรียบร้อยแล้ว

สนับสนุนเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวภาคเหนือ

โครงการนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน เศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว โดยเป็นทางเชื่อมระหว่างแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จังหวัดเชียงราย เช่น

  • อุทยานแห่งชาติภูซาง
  • ภูชี้ฟ้า
  • ดอยผาตั้ง
  • แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมใน สปป.ลาว

นอกจากนี้ ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเดินทางเข้าออกพื้นที่ชายแดน และรองรับนักลงทุนที่ต้องการพัฒนาโครงสร้างธุรกิจในภาคเหนือ

สอดคล้องกับยุทธศาสตร์คมนาคมแห่งชาติ

โครงการนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560 – 2564) และยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย (พ.ศ. 2558 – 2565)

นโยบายของ กระทรวงคมนาคม ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างโอกาสให้กับประชาชนและธุรกิจในภูมิภาค

กรมทางหลวงย้ำความพร้อมให้บริการ

กรมทางหลวงยืนยันว่าเส้นทางดังกล่าวพร้อมให้บริการประชาชน เพื่อเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลเส้นทาง หรือแจ้งเหตุด่วนระหว่างการเดินทาง สามารถติดต่อ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง)

สรุปข่าว

  • กรมทางหลวง เปิดใช้ทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – เชียงของ อย่างเป็นทางการ
  • เสริมศักยภาพเศรษฐกิจชายแดน เชื่อมไทย – ลาว – จีน รองรับการค้าและการขนส่ง
  • ขยายเป็น 4 ช่องจราจร พร้อมโครงสร้างถนนมาตรฐานสูง เพิ่มความปลอดภัย
  • เชื่อมโยงแหล่ง ท่องเที่ยวสำคัญในเชียงราย และรองรับการเติบโตของการค้าและการลงทุน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเด็กเกิดน้อย กระทบเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” กระทบเศรษฐกิจและสังคม

รายงานจาก Brandinside ระบุว่าในช่วงระหว่างปี 2506 ถึง 2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2568 ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของสัดส่วนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากบทความ “จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ” ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างประชากรของไทยและทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย

ในปี 2548 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ซึ่งมีผู้สูงอายุเกิน 10% ของประชากร และในปี 2567 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลในด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากการมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ

ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนให้เห็นว่าในอีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 66 ล้านคน นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ได้คาดการณ์ว่าในที่สุด หากไม่มีการนำนโยบายประชากรที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ประเทศไทยอาจจะเหลือประชากรเพียง 29 ล้านคนในอนาคต

สาเหตุที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย

การลดลงของจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยสามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัย โดยกรมอนามัยได้ระบุถึง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย ได้แก่:

  1. คนไทยยังเป็นโสด: ข้อมูลจากสภาพัฒน์เผยว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังคงเป็นโสด ซึ่งทำให้มีการลดจำนวนคู่สมรสและการมีลูกลง
  2. คนไทยไม่อยากมีลูก: ผลการสำรวจจากนิด้าโพลพบว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูกเนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับสภาพสังคมที่ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก
  3. คนไทยมีลูกยาก: ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่
  4. คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ: แม้หลายคนจะต้องการมีลูก แต่กฎหมายในประเทศยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิและการช่วยเหลือด้านการมีบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ

นโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” และความล้มเหลวในการผลักดัน

ถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น เช่น การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี แต่ผลสำรวจจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ (49%) เท่านั้นที่เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศ ขณะที่มีเพียง 33% ของคู่สมรสไทยที่ยืนยันว่าจะ “มีลูก” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการมีลูกยังคงต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

การสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่ม Gen Z, Gen X, และ Gen Y

จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่า กลุ่ม Gen X (อายุ 40-50 ปี) มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 18-25 ปี) อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 26-39 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%) แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของการมีลูกในรุ่นใหม่ๆ ยังคงลดลงตามทิศทางเดียวกัน

บทสรุป

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย ได้แก่ ความชอบในการเป็นโสด, ภาระค่าใช้จ่าย, ปัญหาภาวะมีบุตรยาก และความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมาย ที่ยังไม่สนับสนุนให้มีลูกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังทำให้ประชากรไทยลดลง และคาดว่าในอนาคตประเทศจะเผชิญกับสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : brandinside

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์ปรับกฎค้าข้าว เปิดโอกาสรายย่อยส่งออกง่ายขึ้น

รัฐมนตรีพาณิชย์ปรับกฎระเบียบการค้าข้าว หนุนเกษตรกร-รายย่อย เพิ่มโอกาสส่งออกข้าวเสรี

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงข่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489 ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการลดความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมค้าข้าว เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยมุ่งเน้นการทลายทุนผูกขาดและสร้างความยุติธรรมในอุตสาหกรรมข้าวของประเทศไทย

มติที่ประชุมเพื่อสนับสนุนการค้าข้าว

คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาและเห็นชอบการปรับปรุงกฎระเบียบและเงื่อนไขการขออนุญาตประกอบการค้าข้าว ดังนี้:

  1. การปรับเงื่อนไขสต๊อกข้าว
    • กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์: ไม่ต้องมีการสต๊อกข้าว
    • ผู้ประกอบการรายย่อย: ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ปรับลดเงื่อนไขการสต๊อกข้าวจาก 500 ตัน เหลือเพียง 100 ตัน
  2. การปรับค่าธรรมเนียมการขออนุญาต
    • กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์: ยกเว้นค่าธรรมเนียมการขออนุญาต
    • ผู้ประกอบการรายย่อย:
      • บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมจาก 50,000 บาท เหลือ 10,000 บาท
      • บริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 10-20 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมเหลือ 30,000 บาท
    • ผู้ส่งออกข้าวบรรจุหีบห่อ (ไม่เกิน 12 กิโลกรัม): ลดค่าธรรมเนียมจาก 20,000 บาท เหลือ 10,000 บาท

แผนการดำเนินงาน

การปรับลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะออกเป็นกฎกระทรวง โดยต้องผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนมีนาคม 2568

ในอนาคต กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการในระยะที่ 2 และ 3 เพื่อยกเลิกการกำหนดเงื่อนไขสต๊อกและค่าธรรมเนียมทั้งหมด รวมถึงการปรับปรุงระบบการขออนุญาตให้สามารถดำเนินการจบในขั้นตอนเดียว

การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ

การปรับปรุงกฎระเบียบนี้เกิดขึ้นจากการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าว ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากเกษตรกร โรงสี ผู้ส่งออก ทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายย่อย ซึ่งมองว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าสู่ตลาดส่งออกได้สะดวกขึ้น

เป้าหมายของการปรับปรุงกฎระเบียบ

  1. ลดความเหลื่อมล้ำในอุตสาหกรรมข้าว
  2. ส่งเสริมการค้าข้าวเสรีและเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรสามารถส่งออกข้าวได้เอง
  3. ลดภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อย
  4. สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก

นายพิชัยระบุว่า การปรับปรุงครั้งนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในระยะยาว พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมข้าวไทย

ภาพรวมของผลประโยชน์

การแก้ไขระเบียบในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังเพิ่มศักยภาพในการส่งออกและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเกษตรกรรมทั่วประเทศ ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในตลาดข้าวโลกได้อย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

คนต่างชาติแห่ซื้อคอนโดไทย โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 3.1%

คนต่างชาติซื้อคอนโดในไทย 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.1% มูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือคอนโดมิเนียม ของคนต่างชาติทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) พบว่า มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ 11,036 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท ลดลง 1.5%

โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 3,756 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.6% และมีมูลค่ารวม 18,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% ซึ่งแสดงถึงความสนใจที่ยังคงมีจากคนต่างชาติในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย

กรุงเทพฯ-ชลบุรี ครองสัดส่วนสูงสุด

จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. กรุงเทพมหานคร: มีจำนวนหน่วย 4,269 หน่วย คิดเป็น 38.7% มูลค่า 30,528 ล้านบาท
  2. ชลบุรี: มีจำนวนหน่วย 3,976 หน่วย คิดเป็น 36% มูลค่า 11,021 ล้านบาท
  3. ภูเก็ต
  4. เชียงใหม่
  5. สมุทรปราการ

เมื่อรวมสัดส่วนของกรุงเทพฯ และชลบุรี จะคิดเป็น 74.7% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และ 80.7% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติทั่วประเทศ

ผู้ซื้อสัญชาติเมียนมาและอินเดียโดดเด่น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมสัญชาติเมียนมามีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 202.6% ขณะที่ผู้ซื้อสัญชาติอินเดียมีมูลค่าการโอนต่อหน่วยมากที่สุด โดยเฉลี่ย 6.3 ล้านบาท ต่อหน่วย และขนาดห้องเฉลี่ย 76.5 ตารางเมตร

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทยยังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ และชลบุรี ซึ่งมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์แสดงถึงศักยภาพของตลาดในระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยพุ่ง 4% ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

การค้าชายแดนและผ่านแดนเดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัว 4% ไทยดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในเดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่ามีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 150,203 ล้านบาท ขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออก 85,676 ล้านบาท (+15.3%) และการนำเข้า 64,527 ล้านบาท (-8.0%) ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน 11 เดือนแรกปี 2567

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 1,665,295 ล้านบาท (+6.0%) แบ่งเป็นการส่งออก 957,945 ล้านบาท (+6.5%) และการนำเข้า 707,350 ล้านบาท (+5.4%) ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 250,596 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ

ในเดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวม 82,439 ล้านบาท (+4.6%) โดยไทยได้ดุลการค้า 20,974 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้:

  • มาเลเซีย: มูลค่า 25,395 ล้านบาท (+2.8%)
  • ลาว: มูลค่า 23,865 ล้านบาท (+1.3%)
  • เมียนมา: มูลค่า 18,286 ล้านบาท (+1.9%)
  • กัมพูชา: มูลค่า 14,893 ล้านบาท (+18.1%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล (3,479 ล้านบาท) น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ (1,597 ล้านบาท) และน้ำยางข้น (1,320 ล้านบาท)

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม

เดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 67,764 ล้านบาท (+3.2%) โดยไทยได้ดุลการค้า 174 ล้านบาท รายละเอียดการส่งออกสำคัญ:

  • จีน: มูลค่าสูงสุด 37,264 ล้านบาท (+9.0%)
  • สิงคโปร์: มูลค่า 8,859 ล้านบาท (+2.7%)
  • เวียดนาม: มูลค่า 5,867 ล้านบาท (+19.3%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (7,497 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (3,006 ล้านบาท) และยางแท่ง TSNR (2,344 ล้านบาท)

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมา

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมาในเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 11,402 ล้านบาท (+6.5%) แม้ว่าการขนส่งในพื้นที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก จะหยุดชะงักเนื่องจากสถานการณ์การสู้รบ แต่มีการเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ด่านอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น:

  • ด่านระนอง: มูลค่าการส่งออก 2,257 ล้านบาท (+131.0%)
  • ด่านแม่สาย: มูลค่าการส่งออก 1,496 ล้านบาท (+13.0%)
  • ด่านสังขละบุรี: มูลค่าการส่งออก 708 ล้านบาท (+714.5%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม และกระเบื้องปูพื้น

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนปี 2568

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่าในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศมีแผนเชิงรุกเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระตุ้นการค้าชายแดน โดยจะจัดกิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน เริ่มจากงาน “พาณิชย์นำทัพสินค้าชุมชน” ที่จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2568 และกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายของแผนพัฒนา

  • กระจายการลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจไปยังแนวชายแดน
  • เพิ่มโอกาสการค้าสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยมีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค และผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘การบินไทย’ เปิดตัว ชั้นธุรกิจ A320 เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงราย

การบินไทยเปิดตัวชั้นธุรกิจ Royal Silk Class บน A320 เส้นทางในประเทศ

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 เพจ Hflight รายงานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการให้บริการชั้นธุรกิจใหม่ Royal Silk Class บนเที่ยวบินในประเทศของการบินไทย โดยเครื่องบินที่ใช้คือ Airbus A320 ซึ่งจะครอบคลุมเส้นทางภายในประเทศทั้งหมด 8 เส้นทาง โดยเริ่มทยอยให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป และคาดว่าจะครบทุกเส้นทางในเดือนพฤษภาคมนี้

รายละเอียดเส้นทางการบิน

  • กรุงเทพฯ – ภูเก็ต และ เชียงใหม่: เริ่มให้บริการชั้นธุรกิจตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ และจะครบทุกเที่ยวบินในวันที่ 10 เมษายน
  • กรุงเทพฯ – ขอนแก่น, อุดรธานี และ หาดใหญ่: เริ่มให้บริการบางเที่ยวบินวันที่ 10 เมษายน และครบทุกเที่ยวบินในวันที่ 15 พฤษภาคม
  • กรุงเทพฯ – เชียงราย, อุบลราชธานี และ กระบี่: เริ่มให้บริการทุกเที่ยวบินตั้งแต่ 15 พฤษภาคม

การปรับปรุงห้องโดยสาร

การบินไทยมีการปรับปรุงห้องโดยสาร A320 จากเดิมที่มีเฉพาะชั้นประหยัด (Economy Class) และชั้นอีโคโนมีพลัส (Economy Plus) โดยเพิ่มที่นั่งชั้นธุรกิจ Royal Silk Class แบบ 2-2 จำนวน 12 ที่นั่ง และชั้นประหยัดแบบ 3-3 จำนวน 144 ที่นั่ง ซึ่งการปรับปรุงนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนพฤษภาคม 2568

แนวคิด ONE THAI ONE FLY

การบินไทยได้เปิดตัวโครงการ “ONE THAI ONE FLY” เพื่อตอกย้ำความเป็นสายการบินแห่งชาติที่เชื่อมโยงเส้นทางบินอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ โดยนำเครื่องบิน A320 ไปปฏิบัติการในเส้นทางต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และขยายเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุมผู้โดยสารทั่วโลก

จุดเด่นของชั้นธุรกิจ A320

  • ที่นั่ง Royal Silk Class: ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้วยฟังก์ชันปรับเอน
  • ระบบ Wireless IFE: รับชมสื่อบันเทิงผ่านอุปกรณ์ส่วนตัว
  • การจัดการที่ยืดหยุ่น: ครอบคลุมทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ

สิทธิพิเศษของผู้โดยสารชั้นธุรกิจ

ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น:

  • น้ำหนักสัมภาระฟรี 40 กิโลกรัม
  • สิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง Royal Orchid Lounge
  • ไมล์สะสมเพิ่มขึ้น 125-150% กับโปรแกรม Royal Orchid Plus
  • บริการที่นั่งปรับเอนสะดวกสบายและอาหารพิเศษบนเครื่อง

แผนเชื่อมโยงเส้นทางบิน

การบินไทยยังคงเดินหน้าภายใต้นโยบาย “ONE THAI ONE FLY” เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางบินในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) รวมถึงเส้นทางระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน

ระบบบันเทิงและความสะดวกสบาย

การบินไทยจะติดตั้งระบบ Wireless IFE ให้ผู้โดยสารสามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงสื่อบันเทิงและข้อมูลสำคัญได้ตลอดการเดินทาง

เส้นทางการบินในประเทศและต่างประเทศ

การบินไทยให้บริการในประเทศ 8 เส้นทางสำคัญ ได้แก่

  1. กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ (5 เที่ยวบิน/วัน)
  2. กรุงเทพฯ–เชียงราย (2 เที่ยวบิน/วัน)
  3. กรุงเทพฯ–ขอนแก่น (4 เที่ยวบิน/วัน)
  4. กรุงเทพฯ–อุดรธานี (3 เที่ยวบิน/วัน)
  5. กรุงเทพฯ–อุบลราชธานี (2 เที่ยวบิน/วัน)
  6. กรุงเทพฯ–ภูเก็ต (8 เที่ยวบิน/วัน)
  7. กรุงเทพฯ–หาดใหญ่ (3 เที่ยวบิน/วัน)
  8. กรุงเทพฯ–กระบี่ (2 เที่ยวบิน/วัน)

ในส่วนของเส้นทางต่างประเทศ การบินไทยยังให้บริการครอบคลุมกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม รวมถึงเส้นทางสำคัญในภูมิภาค เช่น อินเดีย มาเลเซีย ไต้หวัน เนปาล และศรีลังกา

การจองตั๋วและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบรายละเอียดเที่ยวบินหรือจองตั๋วได้ที่เว็บไซต์ www.thaiairways.com หรือโทร 02-356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง

ภาพรวมและเป้าหมายในอนาคต

การเปิดตัวชั้นธุรกิจในเส้นทางในประเทศครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของการบินไทยในการยกระดับการบริการให้ผู้โดยสารทุกคนได้รับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในตลาดการบินทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / www.thaiairways.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News