Categories
ECONOMY

เร่งสร้างความเชื่อมั่นคุ้มครองเงินฝาก หลังสถิติโตกว่า 3.37%

 

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 – สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ Deposit Protection Agency (DPA) รายงานสถิติรอบปี 2566 เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ระยะที่ 4 ปี 2566 – 2570 ย้ำเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินของประเทศแข็งแกร่ง พร้อมรายงานสถิติเงินฝาก ณ สิ้นเดือน ส.ค. 66 พบว่าจำนวนผู้ฝากที่ได้รับการคุ้มครองมีจำนวน 93.46 ล้านราย คิดเป็นการเติบโต 3.37% ขณะที่จำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง 15.96 ล้านล้านบาท ลดลง 1.32% ซึ่งเกิดจากปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจ  ทั้งนี้สคฝ. ได้วางเป้าหมายการดำเนินงานที่สำคัญในปี 2567 ครอบคลุมความพร้อมทั้งการจ่ายเงินคุ้มครองที่รวดเร็ว การชำระบัญชีและการบริหารสินทรัพย์ และมีความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งการติดตามเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ความต่อเนื่องของการให้ความรู้พื้นฐานเรื่องการคุ้มครองเงินฝากกับผู้ฝากและประชาชนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างสุขภาวะทางการเงินที่ดี โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สภาวะแวดล้อมมีความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนสูงซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินในระดับบุคคล

 

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) กล่าวว่า “จากสถิติเงินฝากตั้งแต่ปี 2562 – ส.ค. 2566 พบว่า ถึงแม้จำนวนผู้ฝากที่มีเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาทจะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยในเดือน ส.ค. 2566 มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4.45% แต่จำนวนเงินฝากกลับเริ่มมีการหดตัวตั้งแต่ปี 2565 -0.63% และในเดือนส.ค. 2566 -3.61% ในขณะที่ผู้ที่มีเงินฝากมากกว่า 50,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีการปรับตัวลงทั้งจำนวนเงินฝากและจำนวนผู้ฝากตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบกับผู้ฝากที่มีเงินฝากไม่มากนักจึงต้องนำเงินออมมาใช้จ่าย จนอาจทำให้สุขภาวะที่ดีทางการเงินอ่อนแอลงได้ หรือแม้แต่ในกลุ่มผู้ฝากรายใหญ่ที่เริ่มมีตัวเลขเงินฝากลดลงในปีนี้ ซึ่งเกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันจากภาวะสงคราม ราคาพลังงานปรับตัวสูง และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ของโลก ต่างกำหนดนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุน

 

โดยจากรายงานข้อมูลสถิติเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 พบว่ามีจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง 15.96 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2565 จำนวน 212,688 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1.32 สืบเนื่องมาจากปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนสูง โดยคาดว่าในปีนี้จะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาพรวมสินเชื่อที่ยังเติบโตในกรอบต่ำ ขณะที่จำนวนผู้ฝากที่ได้รับการคุ้มครองมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 93.46 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 3.05 ล้านราย คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 3.37 โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนด 1 ล้านบาท ยังคงสามารถคุ้มครองผู้ฝากเงินได้เต็มจำนวน ครอบคลุมผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 98.09 ของผู้ฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครองทั้งระบบ

 

จากการติดตามสถิติเงินฝากและปัจจัยความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อม ทำให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากต้องเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2566 – 2570) ในหลายเรื่อง รวมถึงการถอดบทเรียนการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาให้เกิดความเข้าใจถึงการบริหารจัดการและแนวทางในการกอบกู้สถานการณ์เหตุการณ์วิกฤตสถาบันการเงิน นอกจากนี้สคฝ. ยังคงตอกย้ำวิสัยทัศน์การเป็นองค์กรคุ้มครองเงินฝากที่น่าเชื่อถือและทันสมัย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและผู้ฝากเงิน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการจ่ายเงินคุ้มครองและชำระบัญชี รวมถึงสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาวะทางการเงินที่ดีให้กับประชาชน ด้วยความรู้ทางการเงินเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝาก โดยวางเป้าหมายการดำเนินงานปี พ.ศ. 2567 ที่สำคัญ อาทิ การประมวลผลข้อมูลผู้ฝากจากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากให้มีความถี่ขึ้นและความร่วมมือกับธนาคารเฉพาะกิจในการเป็น Paying Agent, การเตรียมกระบวนการด้านชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ รวมถึงการพัฒนาสัญลักษณ์คุ้มครองเงินฝากให้ครอบคลุมการแสดงบนช่องทางบริการทางการเงินดิจิทัล และรองรับการจัดตั้งสถาบันการเงินในรูปแบบธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเป้าประสงค์หลักเพื่อให้ผู้ฝากและประชาชนมั่นใจในสถาบันการเงินที่ผู้ฝากใช้บริการและเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินของประเทศ

 

นอกจากนี้การสื่อสารประชาสัมพันธ์ยังมุ่งเน้นเรื่องการเสริมสร้างทักษะทางการเงินให้กับผู้ฝากและประชาชนผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนักเรียน นักศึกษา ซึ่งเป็นการทำกิจกรรมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และหน่วยงานพันธมิตรในอุตสาหกรรมการเงินอื่นๆ อีกหลายแห่ง อาทิ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เป็นต้น รวมถึงการผลิตบอร์ดเกม “Cash Up” สื่อการเรียนรู้ที่ให้ทั้งสาระและความบันเทิง ซึ่งจะช่วยนำพาความรู้ทางการเงินและการคุ้มครองเงินฝากให้สามารถเข้าถึงผู้ฝากและประชาชนได้ง่ายขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายหลักในเฟสที่ 1 นั้น เน้นที่ภาคการศึกษา ระดับมัธยมปลาย – อุดมศึกษา โดยสถานศึกษาที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อรับบอร์ดเกมฟรี ผ่านช่องทาง Facebook ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

 

ผู้ฝากและประชาชนที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากได้ที่ เว็บไซต์ www.dpa.or.th หรือช่องทางโซเชียลมีเดียได้ทาง Facebook, YouTube, Twitter, Line, LinkedIn เพียงกดค้นหา dpathailand หรือโทรสอบถามได้ที่ DPA Contact Center 1158

 

Depositor growth of 3.37% results in 93.46 million depositors protected, DPA bolsters confidence in the Thai deposit protection scheme  

Bangkok, 2 November 2023 – the Deposit Protection Agency (DPA) reported 2023 deposit statistics, reaffirmed its efforts to drive the 4th phase of its strategic plan (2022-2026) forward, and reinforced its commitment to maintaining stability in the financial institution system. Deposit statistics as of the end of August 2023 indicate there were 93.46 million depositors protected by the scheme (an increase of 3.37% YoY) and the amount of deposits protected was 15.96 trillion baht (a decrease of 1.32%) – attributable to volatile economic conditions. Looking ahead, the DPA has defined key milestones for 2024 that include rapid depositor reimbursement readiness, liquidation and asset management, and collaboration with other agencies regarding enhancing financial stability and raising awareness about deposit protection among depositors and the public to foster overall financial well-being, especially in the current dynamic and uncertain economic environment that impacts individuals’ financial security.

Mr. Songpol Chevapanyaroj, President of the Deposit Protection Agency, stated that “from deposit statistics dating back from 2019 until August 2023, the number of depositors with no more than 50,000 baht has continued to increase annually – an increase of 4.45% as of August 2023 –   but the total amount of deposits has begun to contract since 2022 (-0.63%) and is currently at
-3.61% as of August 2023. Depositors with more than 50,000 baht but less than 1 million baht have continued to decrease in the past 5 years in terms of both the number of depositors and the amount of deposits. This decline can be attributed to rising cost-of-living, where depositors must withdraw their savings for daily expenses and results in weaker financial health. Even institutional deposits have shown a decrease this year due to the global economic slowdown, rising pressures from war, higher energy prices, and tighter monetary policy from central banks that aim to keep interest rates high, thereby directly affecting consumption and investments.

Data as of the end of August 2023 show that the amount of protected deposits by value was 15.96 trillion baht, lower by 212,699 million baht compared to the end of 2022 – a decrease of 1.32%. This decline can be attributed to current economic conditions and higher cost-of-living, coupled with investment products that provide additional choices for investors seeking higher returns. It is expected that the amount of protected deposits this year will continue to contract and is consistent with low loan growth overall. However, the number of protected depositors rose to 93.46 million people – an increase of 3.05 million depositors or 3.37%. The current coverage limit of 1 million baht as prescribed in law can fully protect 98.09% of depositors in the financial institution system, including the majority of retail depositors in the country.

Given the statistical trends for deposits and the rapidly evolving economy, society, and environment, the DPA reaffirmed its efforts to drive the 4th phase of its strategic plan (2022-2026) forward in various aspects – including the analysis of lessons learned from international bank resolution cases that can serve as a basis for how to manage, resolve, and recover from financial institution crises. The DPA continues to reinforce its vision of being a trustworthy and modern deposit protection organization that can foster depositor and public confidence by focusing on the improvement and effectiveness of depositor reimbursement and liquidation and asset management, and supporting initiatives to enhance financial literacy and information about deposit protection. For 2024, the DPA has defined key milestones such as more frequent depositor data verification and calculation from protected financial institutions, collaboration with Specialized Financial Institutions (SFIs) in being a Paying Agent, preparation of liquidation and asset management procedures, developing a deposit protection signage to display on digital financial services platform, and preparations for protecting Virtual Banks that will become operational in the future. These action plans will serve to foster confidence in the deposit protection system and the financial institutions that serve depositors and the public.

The DPA’s public awareness campaigns continue to emphasize the enhancement of financial literacy for depositors and the public. This is achieved through various activities that are carried out continuously and focus on specific target groups such as students ranging from secondary school to university. These activities are jointly held by the Bank of Thailand, Fiscal Policy Office (Ministry of Finance), and other agencies in the financial sector such as the National Savings Fund (NSF), Securities and Exchange Commission (S.E.C.), the Student Loan Fund (SLF), and the Government Pension Fund (GPF). Moreover, the DPA produced a board game called “Cash Up” that is an easy-to-understand edutainment marketing tool that provides information about deposit protection and financial literacy.

Depositors and those who require more deposit protection information and new update can visit the DPA website at www.dpa.or.th or follow the DPA’ssocial media platforms such as Facebook, YouTube, Twitter, Line, and LinkedIn by searching ID ‘dpathailand’ or contact DPA Contact Center 1158

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ของซาอุดีฯพร้อมขยายการค้าและการลงทุนกับไทย

 

วันนี้ (21 ต.ค. 2566) เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงริยาด ซึ่งช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง) ณ โรงแรม Ritz Carlton กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบปะกับภาคเอกชนซาอุดีอาระเบีย ได้แก่

1) นายยาเซอร์ บิน อุสมาน อัล-รูมัยยาน (Yasir bin Othman Al-Rumayyan) ประธานกรรมการกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Governor of the Public Investment Fund: PIF)

2) นายอามิน ฮัซซาน อาลี นัซเซอร์ (Amin Hassan Ali Nasser) ประธานกรรมการและ CEO รัฐวิสาหกิจ Saudi Arabian Oil Company (Saudi ARAMCO) ของซาอุดีอาระเบีย

3) นายอับดุลราห์มัน อัล-ฟากีห์ (Abdulrahman Al-Fageeh)
ประธานบริหารและสมาชิกคณะกรรมการบริหาร Saudi Arabia Basic Industries Corporation (SABIC)

โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรีและภาคเอกชนซาอุดีฯ ทั้ง 3 บริษัท เห็นพ้องถึงการให้ความสำคัญต่อการกระชับความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของไทยและซาอุดีฯ โดยทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ และยินดีขยายส่งเสริมการค้าและการลงทุนซึ่งกันและกัน รวมถึงยินดีอำนวยความสะดวกความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพและสนใจร่วมกัน เช่น การบริการและการท่องเที่ยว พลังงานสะอาด อาหารและการเกษตร ปิโตรเลียม และปุ๋ย

สำหรับบริษัท SABIC ประสงค์เพิ่มพูนความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับไทย ในด้านปิโตรเคมี ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญ

ด้าน ARAMCO ยินดีที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ของไทย กับบริษัท ARAMCO ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือด้านพลังงานเมื่อปีที่ผ่านมา พร้อมหวังว่าจะสามารถยกระดับความร่วมมือด้านพลังงานได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต

ภาคเอกชนซาอุดีฯ ยังพร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนในสาขาอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตเศรษฐกิจควบคู่กับการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาคเอกชนของซาอุดีฯ หวังว่า ไทยและซาอุดีฯ จะส่งเสริมและมีความร่วมมือด้านการลงทุนมากขึ้นในอนาคต

นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความพร้อมของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการลงทุนพลังงาน พร้อมเน้นย้ำศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และสามารถเป็นจุดเชื่อมโยงในภูมิภาคให้กับซาอุดีฯ ได้ พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนซาอุดีฯ เยือนไทยเพื่อศึกษาและหารือ เกี่ยวกับศักยภาพและความเป็นไปได้ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่างๆให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 

ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรี ได้นำเสนอโครงการ Landbridge ของไทย โดย PIF เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีมีศักยภาพ และแสดงความสนใจในโครงการฯ ด้วย

 

ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะนับเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลซาอุดีฯ เพื่อลงทุนในโครงการที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์กับเศรษฐกิจของประเทศ และปฏิบัติภารกิจตามนโยบายวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ. 2030 ที่มีวัตถุประสงค์ในการกระจายการลงทุน และทำให้กองทุนฯ สามารถลงทุนในบริษัทต่างประเทศได้

สำหรับ Saudi ARAMCO เป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่มีรัฐบาลซาอุดีฯ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเป็นแหล่งสำรองน้ำมันดิบที่ใหญ่ และผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของในโลก โดยในปี 2566 มีมูลค่าตลาดมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ปีที่ผ่านมา ปตท. และ Saudi ARAMCO ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกัน เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือด้านพลังงานทั้งระบบ รวมถึงความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด และธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า

ด้าน SABIC เป็นบริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของซาอุดีฯ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2519 เพื่อนำผลพลอยได้จากน้ำมันดิบมาผลิตสินค้าปิโตรเคมี โพลีเมอร์ ปุ๋ย ฯลฯ ปัจจุบัน SABIC เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีบริษัท Aramco เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยทำธุรกิจในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ มอบนโยบายทำงบ GDP โตเฉลี่ย 5% ตลอด 4 ปีนี้

 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (2 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ดังนี้
 
ขอบคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรี ท่านหัวหน้าส่วนราชการ  รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่มาร่วมประชุมในวันนี้ รวมทั้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทุกท่านที่อยู่บนระบบ Video Conference ทุกคน
 
จุดประสงค์ของการประชุมวันนี้ ผมขอมอบนโยบายและกรอบแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างที่ทุกท่านทราบดี รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภายในและภายนอกประเทศไม่ว่าจะเป็นผลจากโควิด 19 ที่ทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวช้ากว่าเพื่อนบ้าน และฟื้นอย่างไม่เท่าเทียมเป็น K-shape recovery ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำของประชาชนไทยในหลายระดับ ประเทศไทยเองก็ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในเวทีสหประชาชาติ (UN) เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ว่าเราจะเดินหน้าพัฒนาแก้ไขเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ร่วมกับนานาประเทศ เศรษฐกิจโลกที่ถูกกระทบโดยสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ปัญหา supply chain ที่กระทบมาถึงประเทศไทย โครงสร้างอุตสาหกรรม ภาคการผลิต ที่กระจุกตัวอยู่ในไม่กี่หมวดสินค้า ถูกจำกัดด้วยจำนวนตลาดที่ไทยสามารถแข่งขันส่งออกได้ อีกไม่นาน เราก็จะเจอกับเอลนีโน่ (El Nino) ที่จะทำให้เกิดภัยแล้งยาว กระทบกับพี่น้องเกษตรกรกว่า 20 ล้านครัวเรือน หนี้สินในภาคครัวเรือน การเกษตร ก็เรื้อรัง มีการพักหนี้มา 13 ครั้ง แต่เราจะต้องแก้ที่โครงสร้างอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการผลิตด้านการเกษตรของเรา การต่อยอด Value chain ให้เป็น High value agriculture economy วิธีทำการเกษตรของเรา ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาฝุ่นควันที่เกิดขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสาธารณสุขอื่น ๆ อีก ปัญหาทั้งหมดที่กล่าวไปทั้งหมด ล้วนมีส่วนทำให้เศรษฐกิจของเรามีปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้ และยังมีส่วนทำให้เกิดปัญหาภาคสังคมอื่น ๆ ด้วย
 
ในภาคสังคมที่เราเห็นเอง ก็มีความท้าทายหลายประการที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Aged Society จะทำให้ workforce ของเราลดลง ส่งผลต่อสัดส่วนแรงงานต่อประชากร และรัฐจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการทำสวัสดิการเพื่อดูแลประชากรทุกคน ความเปราะบางที่เกิดจากหนี้สิน หนี้ครัวเรือน ค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่เป็นธรรม ยาเสพติด หลาย ๆ ปัญหา ผมก็ได้ไปรับฟังมาด้วยตนเองจากการลงพื้นที่ กำลังก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาล ทั้งแง่การลงทุน แก้ปัญหา สวัสดิการ สาธารณสุข และอีกหลาย ๆ มิติ
 
จากความท้าทายที่ผมกล่าวไปทั้งหมด รัฐบาลนี้เราจะ Take on actions อย่างจริงจัง ดำเนินนโยบายร่วมกับทั้งราชการทุกภาคส่วน และผลักดันเอกชนทุกระดับ เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ในระยะสั้น รัฐบาลให้ความสำคัญ 3 ประการเร่งด่วนด้วยกัน คือการฟื้นฟูรายได้ ดูแลค่าใช้จ่ายของประชาชน และเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีท่านรองนายกฯ ภูมิธรรมเป็นประธานคณะกรรมการ ขอเริ่มที่การฟื้นฟูรายได้ ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจ
 
ในต้นปี 2567 จะมีเงินอัดฉีดเข้าไปในเศรษฐกิจ ด้วยกรอบประมาณ 560,000 ล้านบาท นโยบายนี้จะแตกต่างจากการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา การกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าไม่ถึงทุกพื้นที่ ไม่ถึงทุกชุมชน กล่าวคือเป็นการกระตุ้นฝั่ง Demand หรือกระตุ้นอุปสงค์ ความต้องการเป็นหลัก แต่การกระตุ้นฝั่ง Demand อย่างเดียว จะทำให้เกิดการเจริญเติบโตที่ไม่เท่าเทียม เพราะ Demand ที่มากขึ้น ก็จะวิ่งเข้าหาศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ได้กระจายไปยังชุมชน ในครั้งนี้ เงิน 560,000 ล้าน ที่เข้าไปกระตุ้น Demand และจะขับเคลื่อนฝั่ง Supply หรืออุปทานให้โตขึ้น ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน สิ่งที่ได้รับคืนมาคือภาษีที่กลับคืนสู่ภาครัฐ การจำกัดการใช้จ่ายให้อยู่ในชุมชน จะทำให้เงินหมุนเข้าไปถึงระดับรากหญ้าก่อนเสมอ ทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเศรษฐกิจนี้
 
ระยะเวลา 6 เดือนเอง ก็เพื่อกำหนดให้เงินนี้ต้องหมุน มีการจับจ่ายใช้สอย ไม่อย่างนั้นก็จะมีการเอาไปดองไว้ ไม่ก่อให้เกิด Multiplier Effect หรือการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ตอนนี้ ครม. ก็ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Application การจัดหาแหล่งเงิน การกำหนดกฎระเบียบทั้งหมด และตอบคำถามจากทุก ๆ คน ไม่ต้องห่วงครับ ได้ใช้แน่นอนในเดือนกุมภาพันธ์นี้ แต่นี่เป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ซึ่งเดี๋ยวจะขอพูดถึงในระยะยาวว่ารัฐบาลมีมาตรการอย่างไรให้เศรษฐกิจโตได้อย่างต่อเนื่อง
 
ด้านการท่องเที่ยว เราก็จะฟื้นการท่องเที่ยวทั้งจากนักท่องเที่ยวในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งในประชุม ครม. วาระแรกได้ดำเนินการเรื่องที่ทำได้ทันที คือการยกเว้นวีซ่าชั่วคราวไปให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ที่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาก็ได้มีนักท่องเที่ยวชุดแรก ที่เดินทางเข้ามาแล้ว นั่นเป็นมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น รัฐบาลจะวางแผนดำเนินมาตรการกับประเทศอื่น ๆ อีก โดยพิจารณาจากสถานภาพเศรษฐกิจ ความต้องการ และสถานะของประเทศ นอกจากนั้น รัฐบาลจะวางแผนมาตรการอื่น ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย อำนวยความสะดวก หรือมาตรการอื่น ๆ ที่เหมาะสม  ในระยะยาวเองก็ต้องมีการพัฒนาด้านอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว หรือการต่างประเทศที่จะต้องมีการจัด Roadshow เป็นต้น
 
ด้วยทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ผมมั่นใจว่าเราจะทำให้เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไปอยู่ที่ 400 บาทต่อวันได้โดยเร็วที่สุด เป็น Step แรก ด้านค่าใช้จ่าย ครม. ก็ได้อนุมัติการลดค่าพลังงานให้กับประชาชนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้น้ำมันดีเซลราคาไม่เกิน 30 บาท หรือทำให้ค่าไฟเหลือเพียง 3.99 บาท โดยจะต้องมีการวางแผนใช้งบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาชั่วคราว โดยจะควบคู่ไปกับการวางแผนโครงสร้างพลังงานระยะยาว แน่นอน ในอนาคตก็ต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงอีก อาทิเช่น ค่าก๊าซหุงต้ม น้ำมันเบนซิน เป็นต้น เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพของประชาชน หนี้ครัวเรือน หนี้เกษตรกร ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็ได้อนุมัติไปแล้ว พักหนี้ให้กับเกษตรกรเกือบ ๆ 2,700,000 ราย และจะวางแผนดูแลหนี้สินกลุ่มที่มีความจำเป็นอื่น ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ต่อลมหายใจให้กับประชาชนที่เดือดร้อนจากหนี้สิน ทั้งนี้ การพักหนี้ในช่วง 9 ปีก่อนหน้าที่เกิดมา 13 ครั้งนั้น และยังมีการแทรกแซงตลาดราคาสินค้าอีกนับแสน ๆ ล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดต่อไปว่าครั้งนี้เราจะทำต่างกันอย่างไร เรื่องรัฐธรรมนูญ รัฐบาลนี้ก็ได้เดินหน้าตั้งคณะกรรมการเพื่อเริ่มดำเนินการแล้ว โดยจะดำเนินการทำประชามติ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน
 
มาตรการระยะสั้นที่กล่าวไปทั้งหมดจำเป็นต้องมีงบประมาณสนับสนุน แต่จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ต่อชีวิตให้กับประชาชนและภาคธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ เพื่อให้มีกำลังไปสร้างพลังทางเศรษฐกิจต่อไป สำหรับรัฐเอง เราจะต้องวางแผนหาเงินกลับมาคืนในส่วนที่ใช้ไปในส่วนนี้ด้วย และรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดในระยะยาว รัฐบาลตั้งใจที่จะทำให้เศรษฐกิจโตไปอย่างยั่งยืน ซึ่งในนโยบายระยะยาว จะครอบคลุม 3 มิติด้วยกันได้แก่ การสร้างรายได้ การขยายโอกาส และการดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคง
 
ในการสร้างรายได้ มีการเพิ่มรายได้สุทธิในภาคเกษตร การเปิดการค้าระหว่างประเทศ การส่งเสริมเขตเศรษฐกิจ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุน อย่างที่บอกไปว่าเราพักหนี้มา 13 ครั้ง ใช้เงินไปมหาศาล แต่ว่าปัญหาหนี้สินในภาคเกษตรไม่ได้รับการแก้ไข ในรัฐบาลนี้นอกจากการพักหนี้ที่เราจะต่อลมหายใจแล้ว เราจะใช้หลักการตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ดูแลเกษตรกรโดยการลดต้นทุน เช่น ค่าปุ๋ย โดยการปรับปรุงสูตร และใช้ปริมาณที่เหมาะสมให้ตรงกับสภาพพืช และสภาพดิน รวมถึงการเพิ่ม Yield หรือ “ผลผลิตต่อไร่” โดยการปรับปรุงพันธุ์ วิธีการปลูกพืช และใช้นวัตกรรมต่าง ๆ เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) เป็นต้น เป้าหมายของรัฐบาลนี้คือการทำให้พี่น้องเกษตรกรมีรายสุทธิเพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 4 ปี ต้องดูทั้งอุปสงค์ อุปทานให้เหมาะสม มีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อไม่ให้สินค้าล้นตลาด ราคาตกต่ำ วางแผนบริหารพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ โดยพิจารณาปัจจัยให้ครบทุกมิติไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ราคา ระยะเวลา ข้อกฎหมาย และอื่น ๆ จัดทำองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนให้เกษตรกร รวมถึงใช้มาตรการใหม่ ๆ เช่น การขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วย
 
นอกจากภาคการเกษตรแล้ว ภาคการผลิต อุตสาหกรรมเอง ก็จะได้รับประโยชน์ต่อเนื่องหลังจากการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน Digital Wallet รัฐบาลนี้เองก็จะสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ ๆ เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ Deep Tech อุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมความมั่นคงประเทศ และผลักดันให้ Start Up ไทยสามารถเติบโตได้ ซึ่งจะมีการจัดทำ Matching fund ที่ภาครัฐจะร่วมมือกับกองทุนระดับโลก เราจะอาศัยความเชี่ยวชาญของกองทุนในการค้นหาและคัดเลือก Start Up หรือ SME ที่มีศักยภาพโดยภาครัฐจะร่วมลงทุนด้วย เพื่อทำให้ Start Up หรือ SME เหล่านี้มีเงินทุนเพียงพอ เติบโตและขยายธุรกิจ เป็น Unicorn ต่อไปได้ รัฐบาลจะช่วยเหลือ SME ให้มีกลไกช่วยเหลืออย่างครบวงจร ทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิต การจัดหาเงินทุน เปิดตลาด และมาตรการอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถโตในเวทีโลก
 
เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคมทั้งถนน น้ำ ราง อากาศ จะต้องมีการวางแผนลงทุนอย่างเป็นระบบ และต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์ ดูทั้งอุปสงค์ และอุปทานให้สอดคล้องกัน ยกตัวอย่าง เช่น สนามบิน ที่จะเป็นหน้าด่านของการท่องเที่ยว ก็ต้องมีการวางแผนขยายให้เหมาะสม ให้สามารถรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น ทั้งในเมืองหลัก และขยายไปยังเมืองรอง และต้องดูเรื่องปริมาณ ขั้นตอน และมาตรฐานการบริการ ควบคู่ไปทั้งหมด
 
รางรถไฟ จะต้องสามารถส่งสินค้าจากเมืองต่าง ๆ ไปยังตลาดได้ จะต้องเชื่อมต่อกับรางรถไฟของโลกด้วย เช่น ขนส่งสินค้าไปยังจีน และยังต้องขยายระบบรางทั้งในและนอกเมืองเพื่อรองรับการเดินทาง การส่งสินค้า ในราคาที่เป็นธรรม เช่น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว และต้องเจรจาหาทางออกร่วมกับผู้ให้บริการอื่น ๆ อีก เพื่อให้ครบทั้งระบบ ถนน ท่าเรือ ระบบอื่น ๆ ก็ต้องมีแผนกระจายให้ทั่วถึงอย่างมีเหตุมีผล มีตัวชี้วัดที่เหมาะสมถึงความต้องการหรือตอบยุทธศาสตร์ของประเทศ
 
จากที่ผมได้รับฟังความต้องการจากภาคธุรกิจ ทุกกลุ่มทุกท่านล้วนสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้าเปิดตลาดการค้าให้มากขึ้น เพื่อทำให้สินค้าไทยสามารถส่งออกไปยังตลาดทั่วโลกได้ จึงเป็นที่มาของการขยาย FTA หรือเปิดตลาดใหม่ ๆ สร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นไปทางยุโรป และแถบอาหรับ แอฟริกา ให้มากขึ้น รวมถึงการขยายหมวดหมู่ของสินค้าให้ครอบคลุมภาคธุรกิจของไทยด้วย การเดินหน้าเจรจาทั้งหมดที่ผมกล่าวไป จะนำมาซึ่งการลงทุนใน Real Sector ให้มากขึ้นด้วย เป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เรื่องนี้ ภาคธุรกิจที่มาคุยกับผม เขาก็บอกว่าถ้าเราขยายได้มาก เขาก็สนใจที่จะมาลงทุนมากขึ้น เพราะมัน “เสริม” ความสามารถในการแข่งขันของเขาได้ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการเร่งเจรจา FTA ที่ค้างอยู่กับ EU และเร่งเดินหน้าเปิดตลาดใหม่ ๆ เช่น ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเรื่องนี้เราก็ได้ท่านปานปรีย์และท่านภูมิธรรมมาเป็นผู้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน
 
เรื่องการต่างประเทศที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือการเปลี่ยนการทูตของเรา ให้ Pro-active มากยิ่งขึ้น เราจะไม่รอคำเชิญจากนานาประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เราจะ “รุก” ออกไปพบ ไปคุย ไปจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อบอกชาวโลกว่า “Thailand is open” หรือ “ประเทศไทยเปิดแล้ว” การลงทุนทั้งในภาคการเกษตร การทำเขตเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และการเดินหน้าเจรจาต่างประเทศ ต้องใช้ทรัพยากรทั้งคน เงิน และเวลา แต่ทำแล้วเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมหาศาล ซึ่งจะนำประเทศไทยกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของโลก รักษาความเป็นกลางระหว่างขั้วอำนาจ ซึ่งกลายมาเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ที่บริษัทต่างชาติกำลังให้ความสนใจ การดำเนินงานหลากหลายนโยบาย จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และทำให้รัฐบาลสามารถปรับค่าแรงขั้นต่ำตามเศรษฐกิจได้ เป็น 600 บาทต่อวัน ปริญญาตรี 25,000 ภายในปี 70’
 
ในการขยายโอกาส มีหลากหลายประเด็นที่ผมได้พูดไปตอนแถลงนโยบาย แต่จะขอ recap สั้น ๆไม่กี่เรื่องคือพลังงาน ที่ดิน การศึกษา และ Soft power ด้านพลังงาน ที่ประชาชนเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย ในระยะสั้นเราก็ได้ปรับแก้ไปแล้วชั่วคราว แต่ในระยะยาวก็ต้องมาดูตัวโครงสร้างกัน รวมถึงเราต้องวางแผนเรื่องพลังงานสะอาดด้วย เพราะจะดึงดูดการลงทุนจากนานาประเทศได้
 
เรื่องที่ดิน รัฐบาลนี้จะต้องช่วยทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่มีสิทธิในที่ดินทำกิน ให้เขาได้มีโฉนด มีเอกสารสิทธิครบถ้วน และรวมถึงพิจารณากำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เหมาะสมด้วย กองทัพก็แสดงความพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชน นำที่ดินมาจัดสรรเพื่อนำไปใช้สร้างรายได้ให้กับประชาชนได้
 
ด้านการศึกษาเอง ผมก็ขอให้ความสำคัญด้วย ประเทศไทยจะต้องเป็นสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นสังคมที่รักการอ่าน มีการพัฒนาทั้งนักเรียน ทั้งครู และทำให้หลักสูตรมีความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ และอาจรวมถึงการทำให้ลดปริมาณงาน การเรียน การบ้าน และปัจจัยอื่น ๆ สำหรับหลาย ๆ ส่วนในภาคการศึกษาในประชุม ครม. สมัยแรก ก็ได้มีมติจัดตั้งคณะกรรมการ Soft Power เพื่อผลักดันเรื่องการสร้างอัตลักษณ์ และนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้นด้วย และสุดท้ายจะส่งผลให้เรามีเอกลักษณ์และบริการที่โดดเด่น ส่งผลต่อเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นเช่นกัน
 
รวมถึงเราต้องลงทุนส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวในระยะยาวทั้งนักท่องเที่ยวในและนอกประเทศ ปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้มากขึ้นวางแผนลงทุนสถานที่ท่องเที่ยว Man-made ในหลาย ๆ พื้นที่ ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง เรามีนโยบายที่จะทำให้ Low Season หมดไปจากประเทศไทย เช่น ใช้ประโยชน์จากเทศกาลต่าง ๆ ทำให้ครบวงจร เที่ยวได้ตลอดทั้งปี เรื่องความมั่นคงและคุณภาพชีวิต เราคงละเลยเรื่องความมั่นคงที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ทั้งรูปแบบของภัยคุกคาม และวางแผนการรับมือให้เหมาะสม ต้องมีการบริหารจัดการกำลังพล ทรัพยากรให้เหมาะสมกับยุคสมัย เช่น มีกำลังพลประจำการน้อยลงแต่มีคุณภาพและทันสมัยมากขึ้น ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารเป็นสมัครใจ ทำให้กองทัพของเรามีความเป็นสากล มีความเป็นมืออาชีพ ในขณะเดียวกันก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนในเวลาต่าง ๆ รวมถึงการนำสินทรัพย์ของกองทัพออกมาสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันไปบ้างแล้ว
 
รัฐบาลนี้จะจัดการยาเสพติดให้หมดสิ้น บำบัดและส่งคืนลูกหลานที่ติดยาสู่ครอบครัว จัดการกับผู้มีอิทธิพลต่าง ๆ ป้องกันการแทรกแซงการบริหารราชการ โดยวางแผนใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น ตั้งรางวัลผู้ให้เบาะแส ปกป้องคุ้มครองพยาน และอื่น ๆ ที่เหมาะสม เป็นต้น มาตรการต่าง ๆ ผมต้องขอให้เกียรติกับผู้ปฏิบัติงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันดำเนินการให้สำเร็จ
 
ยังมีเรื่องของภัยธรรมชาติ เตรียมตัวรับมือกับ El Nino ที่ท่านรองนายกฯ ภูมิธรรมได้รับไปดูแล เรื่องของการดูแลเรื่องน้ำ เพิ่มพื้นที่ชลประทานให้เป็น 40 ล้านไร่ ทำแผนลงทุนในบริเวณที่ยังเข้าไม่ถึง และครอบคลุมไปยังการดูแลบริหารน้ำอย่างครบวงจร ซึ่งหลายโครงการที่อยู่ภายใต้แผนงานบูรณาการ ก็ขอให้ความสำคัญด้วย เช่น การใช้น้ำให้เกิดประโยชน์ การทำให้น้ำไม่ท่วม-ไม่แล้งในทุกฤดูต่าง ๆ โดยใช้ฝายพาราซอยซีเมนต์ หรือการทำธนาคารน้ำใต้ดิน และโครงการอื่น ๆ เดินหน้าแก้ไขฝุ่น PM2.5 ที่ต้องบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน ก่อนจะเริ่มส่งผลกระทบในต้นปีที่จะถึงนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีการเสนอ พรบ. อากาศสะอาดเข้าสภาไปแล้ว ซึ่งจะช่วยผลักดันการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และ Balance ระหว่างการสร้างประโยชน์ของคนรุ่นปัจจุบัน และส่งต่อให้กับคนรุ่นหลังได้ด้วย
 
อีกเป้าหมายหนึ่ง คือการวางแผนที่จะทำให้ประเทศไทยเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ใน UN ที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ได้ประกาศไปว่าปีนี้รัฐบาลจะออก Sustainability Linked Bond ตั้งเป้าออกไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท จุดประสงค์ของพันธบัตรตัวนี้จะทำให้องค์กร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันดำเนินนโยบายที่สร้างความยั่งยืน การดำเนินการเรื่องทรัพยากรธรรมชาติเป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้ และใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ฉะนั้นเราจะรอช้าไม่ได้
 
เรื่องสวัสดิการและสาธารณสุข ต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้น นำระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อให้บริการประชาชน ทำให้ประเทศไทยมี Universal Healthcare Coverage หรือระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีคุณภาพระดับโลก ลงทุนทำระบบเชื่อมต่อฐานข้อมูลของคนไข้ทั้งประเทศ ทำให้เข้าถึงศูนย์รักษาพยาบาลใกล้บ้านในราคา 30 บาท สร้างศูนย์ดูแลผู้มีความจำเป็นต่าง ๆ สถานธรรมาภิบาล โรงพยาบาลเพิ่มเติม เพื่อตอบสนองต่อสภาพสังคมสูงวัย
 
อีกฟากหนึ่งของระบบ คือคนทำงาน ต้องดูแลให้มีรายได้ที่เป็นธรรม มีปริมาณและรายได้ที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที รวมถึงดูแล สนับสนุน สิทธิมนุษชน และความเท่าเทียมของคนทุกกลุ่ม ทั้งชนกลุ่มน้อย ผู้พิการ คนท้อง คนชรา เด็ก กลุ่มความหลากหลายทางเพศ เร่งรัดการทำให้พวกเขามีสิทธิพื้นฐานครบถ้วนโดยเร็ว และทำแผนดูแลในบางกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติมด้วย และสุดท้าย รัฐบาลและราชการ จะต้องทำงานเพื่อบริการประชาชนให้ดีขึ้น
 
ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ดำเนินการการเชื่อมฐานข้อมูลของประชาชนเป็นฐานเดียวกัน ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning เพื่อเพิ่มความสามารถ ใช้ระบบการจ่ายเงินที่ตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการทุจริตและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของรัฐ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างราชการกับประชาชน จะต้องทำให้ไม่มีคนมาต่อคิวรอตั้งแต่เช้า ต้องมีแผนปรับปรุงการให้บริการ กำจัดเจ้าหน้าที่ที่ทำตัวเป็นนายประชาชน เรียกรับสินบน ซึ่งผมรับไม่ได้ และต้องปรับปรุงขั้นตอนการบริหารภายในราชการด้วยกันเอง เพื่อทำให้งานทำได้เร็วยิ่งขึ้น เพิ่ม Productivity ของทั้งระบบ ให้สะท้อนไปสู่บริการประชาชนที่ดียิ่งขึ้นไปอีก
 
เป้าหมายของผม ชัดเจนครับ ด้านเศรษฐกิจ คือการทำให้ GDP ของประเทศโตเฉลี่ย 5% ตลอด 4 ปีนี้ และทำให้รายได้ขั้นต่ำให้ถึง 600 บาทในปี 2570 เป็นจุดเริ่มต้นของแผนการมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศรายได้สูง อย่าลืมว่ารัฐจะเก็บภาษีมาลงทุนต่อยอดให้ทุกคนได้ ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนมีคุณภาพที่ดี ฉะนั้น ขอทุกภาคส่วนร่วมกันดูแลประชาชนทุกภาคส่วนให้มีชีวิตอย่างมีความสุข มีสวัสดิการที่เหมาะสม ทำให้เขาเลี้ยงชีพได้อย่างสมศักดิ์ศรีด้วย หลาย ๆ อย่างที่ทำมาดีแล้ว ก็ขอให้ทำต่อไป และขอให้เปิดใจ รับฟังเสียงของประชาชน เพื่อนำไปปรับปรุง
 
ขอให้ผู้บริหารหน่วยราชการช่วยกันกำกับดูแลการทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ สร้างวิธีการทำงานที่เน้นผลลัพธ์ มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน มากกว่าแค่ทำตามกระบวนการ และขอให้ยึดโยงกับประชาชนเสมอ ในปีงบประมาณ 2567 การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และแผนต่าง ๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด รัฐบาลจะมีเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2567  เป็นวงเงิน 3.48  ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ผมตั้งใจที่จะบริหารจัดการการคลังด้วยความรอบคอบ  โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรักษาวินัยและเสถียรภาพทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ในการวางแผนใช้จ่ายงบประมาณปี 67 ผมขอวางกรอบความสำคัญ 5 ข้อต่อไปนี้
 
(1) ข้อแรก ขอให้จัดทำงบและเบิกจ่ายงบประมาณตามนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อสภาไป และคำนึงถึงกรอบกฎหมายและวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ขอให้ทุก ๆ หน่วยงานพิจารณาดูว่าอะไรที่ทำได้ก็ขอให้ดำเนินการทำไปก่อน แต่อย่าลืมเรื่องความถูกต้องตามกระบวนการ
(2) ข้อที่สอง ขอให้ทุกหน่วยงานทำงานกันอย่างบูรณาการ วางแผนงบประมาณไม่ให้ซ้ำซ้อนกันหลาย ๆ โครงการในอดีตที่เคยทับซ้อนกัน ขออย่าให้เกิดภาพแบบนั้นอีกภายในรัฐบาลนี้
(3) ข้อที่สาม ขอให้วางแผนและจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และมีประสิทธิผล (Productivity) คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐ และคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง การทำแผนงานหรือโครงการ ขอให้ทำตามความจำเป็นเร่งด่วน และสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังด้วย นโยบาย แผนงานใดที่ทำได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ ก็เริ่มดำเนินการได้เลย ซึ่งโครงการเหล่านี้ ผมถือว่าจะมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพราะไม่ต้องใช้งบลงทุนสักบาท และขอให้ทำงบแบบฐานศูนย์ หรือ Zero-based โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนที่จะต้องมีรายละเอียดให้ชัดเจน และผมขอให้ทุกหน่วยงานนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิผล และเพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน ทำให้ประชาชนเห็นว่าเงินภาษีของพวกเขา ถูกใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์
(4) ข้อที่สี่ โครงการ แผนงาน ต่าง ๆ จะต้องมีตัวชี้วัด (KPI) หรือมีเป้าหมาย (Target) ที่ก่อให้เกิดผลดีกับพี่น้องประชาชน หรือเกิดผลเชิงบวกทางเศรษฐกิจ ผมไม่สนับสนุนการทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลให้ประเทศ ประชาชน เพราะจะเป็นการนำภาษีประชาชนไปละลายแม่น้ำเสียเปล่า ๆ ไม่สนับสนุนการนำงบประมาณไปทำอะไรที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดประสงค์ที่จับต้องได้ ไม่มีความชัดเจน ฉะนั้น ขอให้พิจารณาลดแผนงานหรือโครงการต่าง ๆ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป หรือถ้าเป็นไปได้ก็ยกเลิกแผนงานหรือโครงการ ที่ไม่มีความชัดเจนไปเสีย เพื่อให้การใช้งบประมาณอย่างตรงเป้าหมายและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ นำงบประมาณไปใช้ทำโครงการอื่นที่เกิดผลเชิงบวกต่อไป
(5) ข้อที่ห้า ขอให้จัดทำแผนการใช้จ่ายโดยพิจารณาให้ครบทุกแหล่งเงินทุน (Source of funding) ทั้งเงินนอกงบประมาณ และเงินงบประมาณ หลาย ๆ หน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ เช่น รายได้ เงินสะสม ขอให้นำมาใช้ดำเนินภารกิจก่อน และขอให้ช่วยกันลดภาระงบประมาณประเทศ โดยพิจารณาการใช้เงินแหล่งอื่น ๆ เช่น การร่วมมือกับภาคเอกชน หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ เป็นต้น
 
ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นตัวแทนจากภาครัฐทั้งหมด เราทุกคนมีส่วนร่วมที่จะต้องช่วยกันดูแลสถานะ ความมั่นคง ของการเงินการคลังในระยะยาว ถึงแม้งบประมาณปี 67 จะล่าช้า แต่ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย มีความระมัดระวัง อย่าให้เศรษฐกิจสะดุด ฉะนั้นในการทำงบประมาณปีนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาประเด็นทั้งกรอบความสำคัญทั้ง 5 ข้อ ได้แก่ 1) ทำงบประมาณตามนโยบายที่สัญญากับประชาชน 2) ทำอย่างบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน 3) ทำอย่างมีประสิทธิภาพและรักษาวินัยการเงินการคลัง 4) ทำอย่างมีตัวชี้วัดและเป้าหมาย 5) ทำให้ครบทุกแหล่งเงินทุน และยึดวินัยการเงินการคลัง และขอให้จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่จะถึงนี้ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่มาฟังในวันนี้ ขอให้ทุกท่านวางแผนงบประมาณให้มีสิทธิภาพ เพื่อจะได้ใช้ภาษีของประชาชนทุกบาท ทุกสตางค์ อย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์ต่อคนไทยทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกไทยประจำเดือนมิ.ย. ขยายตัวสูงถึง 68.7%

 

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกไทยประจำเดือนมิถุนายน และครึ่งแรกของปี 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกไทยครึ่งแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.4 และหดตัวร้อยละ 2.3 เมื่อหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย และเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงซบเซาจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง การผลิตและการบริโภคจึงยังคงตึงตัว คำสั่งซื้อและการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลให้สถานการณ์การส่งออกของไทยในเดือนมิถุนายน 2566 มีมูลค่า 24,826.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (848,927 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 6.4 และหดตัวร้อยละ 2.9 เมื่อหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่าและกระแสความมั่นคงทางอาหารทำให้สินค้าบางรายการขยายตัว จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกได้ในระยะนี้

ด้านการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม มีสินค้าสำคัญหลายประเภทที่ขยายตัว อาทิเช่น
1. อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 68.7 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐอเมริกา อินเดีย เกาหลีใต้ กัมพูชา และมาเก๊า
2. หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 46.8 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ฮ่องกง และไต้หวัน
3. อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 31.2 โดยขยายตัวในตลาดฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน และอิตาลี
4. เครื่องใช้สำหรับเดินทาง ขยายตัวร้อยละ 30.3 โดยขยายตัวในตลาดจีน สิงคโปร์ อินเดีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง
5. แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัว 5.3 โดยขยายตัวในตลาดไต้หวัน จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และฟิลิปบินส์
6. รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเขีย และชาอุดีอาระเบีย

ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่
1. น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 31.4 โดยขยายตัวในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ลาว และไต้หวัน
2. ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 14.2 โดยขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
3. ไอศกรีม ขยายตัวร้อยละ 11.3 โดยขยายตัวในตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา สหรัฐอเมริกา และอินเดีย
4. ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 10.7 โดยขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และสหราช
อาณาจักร
5. เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 8.3 โดยขยายตัวในตลาดเวียดนาม เมียนมา จีน ลาว และมาเลเซีย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในรอบเดือนที่ผ่านมาเพื่อมาตรการส่งเสริมการส่งออก อาทิ
1.กิจกรรมแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ เช่น จัดงานแสดงสินค้า Top Thai Brands 2023 ณ เมืองบังคาลอร์ รัฐกรณาฎกะ สาธารณรัฐอินเดีย, เข้าร่วมงาน Western China International Fair (WCIF) ณ มณฑลเสฉวน ประเทศจีน, นำผู้แทนการค้า (Trade Mission) ไปเจรจาการค้าในภูมิภาคลาตินอเมริกา (อาร์เจนตินา ชิลี บราชิล), เข้าร่วมงานแสดงสินค้า Naturally Good Expo 2023 ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และเข้าร่วมงานเทศกาล Annecy International Animation Film Festival 2023 เป็นต้น
2. ผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนถาวรไทย-ประเทศเพื่อนบ้านให้กลับมาเปิดทำการปกติได้ครบทั้ง 42 จุด ประกอบด้วย ไทย-ลาว 20 จุด ไทย-กัมพูชา 7 จุด ไทย-เมียนมา 6 จุด และไทย-มาเลเขีย 9 จุด เพื่อให้อำนวยความสะดวกทางด้านการขนส่ง
สินค้าและสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

“แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มพื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี มีปัจจัยสนับสนุนการส่งออกจากการเร่งเบิดตลาดศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดส่งออกหลัก เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา และแอฟริกา นอกจากนี้ เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการส่งออกสินค้าของไทย และความกังวลต่อการขาดแคลนอาหารทั่วโลกอาจเป็นปัจจัยผลักดันให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ” น.ส.ทิพานัน กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

จ้างงาน 3,594 คน เพิ่มขึ้น 9% หลังต่างชาติลงทุนในไทยปี 66 เพิ่มขึ้น

 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการลงทุนในประเทศไทย ช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 377 ราย เพิ่มขึ้น 17% เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 122 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 255 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 58,950 ล้านบาท ลดลง 20% เกิดการจ้างงานคนไทย 3,594 คน เพิ่มขึ้น 9% โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 84 ราย เงินลงทุน 19,893 ล้านบาท สหรัฐฯ 67 ราย เงินลงทุน 3,044 ล้านบาท สิงคโปร์ 61 ราย เงินลงทุน 12,925 ล้านบาท จีน 28 ราย เงินลงทุน 11,663 ล้านบาท และเยอรมนี 16 ราย เงินลงทุน 1,298 ล้านบาท
 
ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) นางสาวรัชดา กล่าวว่า มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 73 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC 12,348 ล้านบาท คิดเป็น 21% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 5,379 ล้านบาท จีน 12 ราย ลงทุน 893 ล้านบาท เกาหลีใต้ 5 ราย ลงทุน 287 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ อีก 25 ราย ลงทุน 5,789 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน เช่น บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือและอุปกรณ์ บริการรับจ้างผลิตเครื่องจักร และชิ้นส่วนของเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ และบริการออกแบบแม่พิมพ์โลหะสำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
        
อย่างไรก็ตาม เฉพาะเดือน ก.ค.2566 นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 51 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 31 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,023 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 372 คน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐฯ
 
“จากนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นส่งเสริมสนับสนุนการลงทุน พร้อมอำนวยความสะดวกในทุกๆ ด้านให้นักลงทุนชาวต่างชาติ ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น สนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผลจากการขับเคลื่อนนโยบาย นอกจากจะมีรายได้เข้าสู่ประเทศไทยแล้ว คนไทยยังได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมแอปพลิเคชันเพื่อความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลส่วนตัว องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการพัฒนาเว็บไซต์ และ Data Analysis เพื่อการพัฒนาเว็บไซต์และวิเคราะห์ข้อมูลในการทำการตลาด และองค์ความรู้เกี่ยวกับการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ” นางสาวรัชดา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

“พล.อ.ประยุทธ์”หนุนอุตสาหกรรมไบโอพลาสติกเติบโตก้าวกระโดด

 

วันที่ 19 สิงหาคม 2566 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ หรือ ไบโอพลาสติก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภายใต้แนวคิด BCG โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า มุ่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ เกิดคามมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน และเป็นไปตามเป้าหมายกรุงเทพฯ คือโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่กำหนดไว้ในการประชุมเอเปค 2022 


ทั้งนี้  นับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงเดือนมิถุนายน 2566คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน ได้ส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตพลาสติกชีวภาพ จำนวน 24 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 37,000 ล้านบาทแล้ว โดยปัจจุบันบีโอไอได้ให้การส่งเสริมการลงทุนผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพรายใหญ่ระดับโลกหลายรายแล้ว อาทิ บริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชียแปซิฟิก จำกัด และบริษัท โททาล คอร์เบียน พีแอลเอ จำกัด ผู้ผลิตพอลิเมอร์ ชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ ชนิดโพลีแลคติด แอซิค (Polylactic Acid: PLA) บริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม จำกัด ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิด PBS (Polybutylene Succinate) บริษัท ดูปองท์ นิวทริชั่น จำกัด ผู้ผลิตไมโครคริสตัลไลน์เซลลูโลสสำหรับผลิตฟิล์มเคลือบอาหารที่สามารถย่อยสลายได้และบริษัท เอ็นวิคโค จำกัด ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิด rPET (Food Grade) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท Alpla ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกรายใหญ่ของยุโรป และล่าสุด บริษัท ไทยโพลิเอทิลีน จำกัด บริษัทย่อยของบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ ได้ร่วมทุนกับ Braskem ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพรายใหญ่ของโลก จัดตั้งโรงงานผลิตไบโอ-เอทิลีน สำหรับผลิตเม็ดพลาสติกไบโอ-พอลิเอทิลีน (Green-Polyethylene) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง

“ส่งผลให้อุตสาหกรรมไบโอพลาสติกไทย เติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไบโอพลาสติกอันดับ 2 ของโลกแล้ว และก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมไบโอพลาสติกได้ในไม่ช้า สะท้อนความสำเร็จของพล.อ.ประยุทธ์ ในการพลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”น.ส.ทิพานัน กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การส่งเสริมการลงทุน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เตรียมจัดงานแสดงสินค้าไทยครั้งแรกในซาอุฯขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง

 

วันนี้ (17 สิงหาคม 2566) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมจัดงาน Thai Trade Exhibition Saudi Arabia 2023 ระหว่างวันที่ 27-30 สิงหาคม 2566 ณ Riyadh International Convention & Exhibition Center กรุงริยาด เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าให้แก่สินค้าไทยที่มีศักยภาพในตลาดที่มีกำลังซื้อสูงจากซาอุดีอาระเบียและประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยและภาคเอกชนไทยในการส่งเสริมการค้าและการลงทุน
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า งานแสดงสินค้าและนิทรรศการของไทยครั้งนี้ เป็นความร่วมมือหลักระหว่างสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด และ Saudi General Authority of Foreign Trade โดยนับเป็นงานที่จัดขึ้นครั้งแรกในซาอุดีอาระเบีย เนื่องในโอกาสที่ทั้งไทยและซาอุดีอาระเบียได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์และกระชับความความร่วมมือทุกด้าน นับตั้งแต่ที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะทั้งภาครัฐและเอกชนเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการในปี 2565 ซึ่งเป็นการเยือนครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี และมีการฟื้นความสัมพันธ์และความร่วมมือที่มีผลสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน

สำหรับงาน Thai Trade Exhibition Saudi Arabia 2023 เป็นการจัดงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง โดยมีผู้ผลิตสินค้าหรือบริการจากประเทศไทยในกลุ่มธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่น สุขภาพ ความงาม เครื่องประดับ การบริการทางด้านการแพทย์และโรงพยาบาล รวมถึงด้านสปาและการท่องเที่ยวของไทย มากกว่า 100 บริษัทเข้าร่วมงาน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก SME ชาวซาอุดิอาระเบีย และประเทศใกล้เคียงทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อสูง โดยเชื่อมั่นว่าจะมีผู้ให้ความสนใจเข้าชมงานมากกว่า 2 หมื่นคน และจะมีผู้ซื้อรับเชิญ อาทิ ผู้ค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า อีกจำนวนมาก 

“การฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทยกับซาอุดีอาระเบีย นับจากการเยือนของท่านนายกรัฐมนตรี ถือเป็นประตูสู่โอกาสทางการค้า การลงทุน ความร่วมมือต่างๆ และการสร้างความสัมพันธ์ต่อประเทศมุสลิมอื่นในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่องการค้า รัฐบาลแสวงหาตลาด เปิดช่องทางการค้าที่มีศักยภาพให้กับสินค้าไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภูมิภาคตะวันออกกลางนับว่ามีกำลังซื้อสูง โดยมีความสนใจและคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยเป็นอย่างดี งานแสดงสินค้าและนิทรรศการของไทยในซาอุดีอาระเบีย จึงเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการไทยที่จะได้ขยายช่องทางการขายสินค้าและบริการ รวมถึงได้สร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่ ๆ ได้มากขึ้น” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แลนด์บริดจ์ไทย อนาคตรองรับเรือ ขนส่ง 400,000 ลำต่อปี

 

วันนี้ 13  สิงหาคม  2566  น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการขยายรากฐานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งและการค้าของเอเชีย โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาจัดทำโครงการเเลนด์บริดจ์ (LandBridge) ให้เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคม เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ที่สำคัญหากเมื่อโครงการสามารถทำได้และสำเร็จ จะเป็นการเปลี่ยนทิศทางการขนส่งของโลกให้มาที่ไทย จนไทยกลายเป็นฮับทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้


ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) รายงานว่าปัจจุบันโครงการแลนด์บริดจ์ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นครั้งแรกจากทั้งหมด 3 ครั้ง ในวันที่ 16-18 สิงหาคมนี้ในพื้นที่จ.ระนอง และจ.ชุมพร ซึ่งรัฐบาลมีความต้องการให้ได้ข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน รอบด้าน และรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ  จึงได้จัดรับฟังความคิดเห็นสำหรัลผู้ได้มีส่วนได้เสียและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบโครงการ ตามวันและเวลาดังนี้

ท่าเรือระนอง
วันพุธที่ 16 สิงหาคม  2566 เวลา 08.30-12.00 น. จัดขึ้นที่ห้องราชาวดี ชั้น 3 เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง 

วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ที่ห้องประชุมอุทยานแห่งชาติแหลมสน ตำบลม่วงกลวง อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง

และท่าเรือชุมพร ในวันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30 – 12.00 น. ที่ห้องอวยชัยแกรนด์บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมอวยชัยแกรนด์ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร 

สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนอง โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกชุมพร โครงการระบบรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร – ระนอง และโครงการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงชุมพร – ระนอง  ซึ่งมีการคาดการไว้ว่าหากโครงการแล้วเสร็จ  จะสามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าที่เติบโตและหันมาใช้เส้นทางนี้กว่า 400,000 ลำต่อปีได้ในปี 2594 รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นไปตามอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วย


“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มุ่งมั่นวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมไทย ให้ทัดเทียมนานาประเทศ ผลักดันเชื่อมไทยสู่โลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การขนส่งสินค้าและบริการ การท่องเที่ยว กระจายความเจริญไปสู่ภาคใต้  และภาพรวมของประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อวางอนาคตที่ดีไว้ให้คนไทยทุกคน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ผลไม้ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ​ รัฐบาลผลักดันความร่วมมือไทย – ญี่ปุ่น

 

วันนี้ 13  สิงหาคม  2566  นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้หารือร่วมกับหน่วยงานญี่ปุ่นเพื่อผลักดันการส่งออกส้มโอไทยทุกสายพันธุ์ พร้อมบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการ พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเกษตรและอาหาร ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ผ่านระบบการแสดงฉลากสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพบนสินค้าเกษตร (Functional Foods) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความคืบหน้าดังกล่าวเป็นผลจากการประชุม คณะอนุกรรมการพิเศษร่วมในความร่วมมือด้านความปลอดภัยอาหาร ภายใต้กรอบ JTEPA ครั้งที่ 13 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่น ได้แก่ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ สำนักงานกิจการผู้บริโภค และกระทรวงการต่างประเทศ โดยฝ่ายไทยจะเปิดตลาดการส่งออกส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง และส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นได้เตรียมอนุญาตนำเข้าส้มโอไทยทุกสายพันธุ์ จากเดิมที่อนุญาตให้นำเข้าเฉพาะส้มโอพันธุ์ทองดีจากไทย เมื่อปี 2555 โดยจะพิจารณายกเลิกมาตรการจำกัดสายพันธุ์ในการนำเข้าส้มโอของไทย และจะเร่งรัดจัดทำเงื่อนไขการส่งออกส้มโอทุกสายพันธุ์ของไทยไปยังญี่ปุ่นด้วยวิธีการอบไอน้ำ โดยคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 

นอกจากนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่นต่อระบบการกำกับดูแลการผลิตและบริหารจัดการการส่งออกส้มโอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย โดย มกอช. จะร่วมมือกับองค์กรวิจัยด้านการเกษตรและอาหารแห่งประเทศญี่ปุ่น (National Agriculture and Food Research Organization: NARO) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยหลักด้านการเกษตรของญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบมาตรฐานการแสดงฉลากสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพบนสินค้าเกษตร สำหรับสินค้าเกษตรสดและสินค้าเกษตรแปรรูปขั้นต้นของไทย พร้อมกับแลกเปลี่ยนการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเกษตรและอาหาร สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการผลิต โดยไทยจะศึกษาต้นแบบจากญี่ปุ่นเพื่อขยายโอกาสการส่งออกให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่น (Local ingredients) ด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันส้มโอไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ไทยได้ส่งออกส้มโอชิปเมนท์แรก ไปจำหน่ายยังกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา โดยเป็นส้มโอฉายรังสี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ทองดี พันธุ์ขาวใหญ่ พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง และพันธุ์ขาวแตงกวา ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นยังสามารถเพิ่มช่องทางการส่งออกได้อีกมาก เนื่องจากผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมีกำลังซื้อสูงและมีประชากรกลุ่มผู้ดูแลรักษาสุขภาพและกลุ่มผู้สูงวัยจำนวนมาก โดยการแสดงฉลาก Functional Foods ที่แสดงถึงคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยและคุณภาพให้กับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

“ความคืบหน้าดังกล่าวสะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินการของรัฐบาลที่ส่งเสริมผลไม้ไทยที่มีศักยภาพสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการผลไม้ ควบคุมคุณภาพการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถในการส่งออก โดยใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี และผ่านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการของไทยได้มีช่องทางการค้าเพิ่มขึ้น เสริมสร้างให้เศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างมั่นคง” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

​รัฐบาลโปรโมทความสำเร็จโลจิสติกส์กลไกเชื่อมภูมิภาคอาเซียน

 

 วันนี้ 6  สิงหาคม  2566   นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแก่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG-LogistiX 2023 ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2566 ณ อาคาร 98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อเป้าประสงค์ในการสร้างเครือข่ายพันธมิตร จับคู่ทางธุรกิจของผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการโลจิสติกส์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการส่งออก ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG – LOGISTIX 2023 เป็นความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับบริษัท RX Tradex และภาคเอกชน ภายใต้แนวคิด “Smart and Green Logistics for Sustainable Tomorrow : ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่อนาคตสีเขียวด้วยโลจิสติกส์อัจฉริยะรักษ์โลก” เพื่อเป็นเวทีแสดงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ให้เป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก โดยมุ่งเน้นการปรับตัวในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีโลจิสติกส์ยุคใหม่ พร้อมกระตุ้นให้ผู้ประกอบการตื่นตัว และให้ความสำคัญกับการปรับตัวภายใต้แนวคิดเรื่อง Green โดยในงานนี้มีผู้จัดแสดงกว่า 415 แบรนด์ จาก 25 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่า จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 9,000 ราย พร้อมตั้งเป้ามูลค่าเจรจาทางธุรกิจกว่า 4,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์โลจิสติกส์ยุคดิจิทัล ที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ เช่น ระบบวางแผนและจัดการเส้นทางการขนส่งสินค้า ระบบการจัดการคลังสินค้า การรักษาความปลอดภัย รวมทั้ง ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หุ่นยนต์หยิบสินค้าที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทุกแนวในคลังสินค้า และหุ่นยนต์คัดแยกสินค้าและระบบสายพานลำเลียง รถโฟล์คลิฟท์ ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรีลิเธียม เป็นต้น  

โดยปัจจุบันรัฐบาลมีแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อให้ระบบโลจิสติกส์เป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าที่สำคัญในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ประกอบไปด้วย 5 แนวการพัฒนา ดังนี้
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
2. การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทาน 
3. การพัฒนาพิธีการศุลกากร กระบวนการนำเข้า – ส่งออกที่เกี่ยวข้อง และการอำนวยความสะดวกในการขนส่งระหว่างประเทศ
4. การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย
5. การส่งเสริมวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการติดตามผลด้านโลจิสติกส์  ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เเห่งสหประชาชาติด้วย

“นายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศให้มีศักยภาพเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งเมื่อประกอบกับข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศ เชื่อมั่นว่าไทยจะก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค การจัดงานดังกล่าว จะเป็นโอกาสดี เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การค้า และเพิ่มจำนวนการลงทุนในประเทศ รองรับขีดความสามารถและความพร้อมในการแข่งขันต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News