Categories
ECONOMY

ภาคเหนือปีนี้ผลผลิต ‘ลำไย’ เพิ่ม แต่หนาวไม่พอทำ ‘ลิ้นจี่’ ไม่ติดดอก

 
เมื่อวันที่ 20 มีนาคมคม 2567 นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และผู้แทนเกษตรกรดำเนินการจัดทำข้อมูลพยากรณ์ปริมาณการผลิตไม้ผลภาคเหนือ ลำไยและลิ้นจี่ ปี2567 พบว่า ลำไยใน8จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย พะเยา ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ตาก แพร่ และน่าน) มีเนื้อที่ให้ผลในภาพรวมลดลงเล็กน้อย โดยมีจำนวน1.243 ล้านไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 1.244 ล้านไร่ (ลดลงร้อยละ0.10)เนื่องจากเกษตรกรโค่นลำไยเพื่อเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ทุเรียน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนโค่นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
 
 

โดยจะให้มีปริมาณผลผลิต1.047ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.949 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.24)แบ่งเป็นผลผลิตรวมในฤดู0.702 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.627 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ12.04)และผลผลิตรวมนอกฤดู0.344 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.323 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ6.73)

 

ด้านผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลในภาพรวมอยู่ที่842กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 763 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.35)เนื่องจากราคาลำไยในปีที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นลำไย จัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอเพื่อรับมือกับสภาพอากาศร้อนและราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเพื่อชักนำการออกดอก ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตลำไยคุณภาพและเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่มาทำลำไยนอกฤดูมากขึ้น โดยผลผลิตลำไยในฤดูจะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน และออกสู่ตลาดมากในเดือนสิงหาคม ประมาณร้อยละ38.72หรือ4.05แสนตัน

 

สำหรับลิ้นจี่4จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ และน่าน)เนื้อที่ให้ผลมีจำนวน 7.30 หมื่นไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 7.52 หมื่นไร่ (ลดลงร้อยละ2.86)เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทุเรียน เงาะ ยางพารา โดยให้ผลผลิตรวม2.72 หมื่นตัน ลดลงจากปี 2566 ที่มีปริมาณผลผลิต 3.32 หมื่นตัน (ลดลงร้อยละ18.14)โดยผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลอยู่ที่372กิโลกรัมต่อไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 442 กิโลกรัมต่อไร่ (ลดลงร้อยละ15.84)

เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศร้อนสลับหนาว และอากาศหนาวเย็นไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการออกดอกติดผล เพราะลิ้นจี่เป็นพืชที่อาศัยความหนาวเย็นในการชักนำการออกดอก และจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม ทำให้ลิ้นจี่บางส่วนแตกใบอ่อนแทนการออกดอก

 

ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรไม่ดูแลรักษา เนื่องจากลิ้นจี่เป็นพืชที่ดูแลยาก ทำให้ต้นไม่สมบูรณ์ ช่อดอกไม่สามารถพัฒนาเป็นผลได้ โดยในปีที่แล้วลิ้นจี่ออกสู่ตลาดกระจุกตัวอยู่ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งปีนี้ลิ้นจี่แทงช่อดอกช้าคาดว่าปี2567จะมีผลผลิตลิ้นจี่ออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนเมษายน – กรกฎาคม และจะออกสุดมากในเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน รวมประมาณร้อยละ93.03หรือ2.53หมื่นตัน

 

ทั้งนี้ ข้อมูลนี้จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการไม้ผลในที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) และนำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ทั้งนี้ สศก. จะได้ติดตามสถานการณ์การผลิตอย่างต่อเนื่องต่อไปและจะรายงานผลพยากรณ์รอบต่อไปให้ทราบเป็นระยะ เนื่องจากผลไม้มีความอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับกระทรวง กรม และจังหวัดได้นำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการผลไม้ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ททท. เผยพร้อมปรับแผนหนุนท่องเที่ยวภาคเหนือสู้วิกฤติฝุ่น PM2.5

 
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 จังหวัดพะเยา ว่า ครม.อนุมัติตั้งสำนักงาน ททท. จ.พะเยา ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อยกระดับจังหวัดพะเยาจากเมืองรองสู่เมืองหลัก
 
 

พื้นที่ภาคเหนือของไทยถือว่าเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดินทางไปเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปกลุ่มจังหวัดในภูมิภาคภาคเหนือกว่า 39.48 ล้านคน โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 34.87 ล้านคนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4.61 ล้านคน ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2567 การท่องเที่ยวในภาคเหนือจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 45 ล้านคน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือน ก.พ. – เม.ย.ในทุกๆปีภาคเหนือประสบปัญหาเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 จนทำให้กระทบการท่องเที่ยวในพื้นที่ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องมีการแก้ไข

 

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสมาพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ในช่วงเดือนมี.ค.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ยอดนักท่องเที่ยวปรับตัวลงอย่างมากและจะลดลงต่อเนื่องไปถึงเม.ย.จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มีความรุนแรง ซึ่งปกติในช่วงนี้ต้องมียอดจองห้องพัก 70-80%ของจำนวนห้องพักในจังหวัดที่มี 18,000 ห้องจากโรงแรมประมาณ 600 แห่ง แต่กลับพบว่าลดลงประมาณ 37.5% เหลือยอดการจองห้องพักเพียง 50% จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้กระทบกับภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่

 

 

น.ส.สมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ในการส่งเสริมตลาดในประเทศใหม่ เพื่อช่วยกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือประสบปัญหาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จนนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง

 

โดย ททท.มีแผนนำงบประมาณประจำปี 2567 ที่เริ่มใช้ได้ในเดือนพ.ค.มาทำการตลาดในรูปแบบของโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินในประเทศ จะช่วยให้ราคาค่าโดยสารถูกลง และเพื่อให้เกิดไฮซีซั่นในฤดูฝน ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการเที่ยววันธรรมดาเพิ่มขึ้น โดยร่วมกับอโกด้าจัดราคาที่พักมีส่วนลดพิเศษ เริ่มในเดือนพ.ค.นี้เช่นกันและทำให้ปี 2567 เป็นปีที่เดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้นที่ประชุม ครม.สัญจร จ.พะเยา เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในจ.พะเยาและในพื้นที่เป็นอย่างมากด้วยความมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาการท่องเที่ยว  

 

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดพะเยา ภายในไตรมาส 4 ปี 2567 ตลอดจนให้มีการศึกษาเพื่อประกาศให้จังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวให้เข้าสู่จังหวัดพะเยามากขึ้น และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายให้มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นในการอนุมัติโครงการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจำนวน 9 โครงการรวมวงเงิน 155 ล้านบาทและโครงการภาคเอกชนอีกจำนวน 4 โครงการ วงเงินรวม 145 ล้านบาท รวม 300 ล้านบาท ตามที่ กรอ.กลุ่มจังหวัดเสนอ โดยเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหลายโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘ภูมิธรรม’ ตั้งโต๊ะคุยคนรุ่นใหม่เชียงราย YEC ถกแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า

 

มื่อวันที่ 19 มีนาคม เวลา 17.30 น. ภายหลังจบการประชุม ครม.สัญจร จังหวัดพะเยา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ YEC และ Moc Biz Club ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่ร้านอาหารภูพันธ์ จ.เชียงราย เพื่อส่งเสริมการค้าให้กับจังหวัด แก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า และแลกเปลี่ยนความเห็น ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเชียงรายมาจัดแสดง อาทิ ผ้าทอจากกลุ่มชาติพันธุ์ ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวหอมมะลิเชียงราย กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง กล้วยตาก ชาอู่หลง สับปะรดภูแลเชียงราย (GI) เครื่องเคลือบเวียงกาหลง เป็นต้น

 

 

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนเดินทางมาต่างจังหวัดอยากพูดคุยกับผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ เช่น กลุ่ม YEC กลุ่ม MOC Biz Club เพราะเป็นกลุ่มที่มีความรู้เห็นโลกกว้าง สอดรับกับปัจจุบันที่ระเบียบโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ถ้าใช้เครือข่ายจะยิ่งมีพลัง ยิ่งมีเครือข่ายข้ามจังหวัดได้จะยิ่งมีพลัง ให้ทั้งชนชั้นกลางและทุกส่วนเติบโต ตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุน เราพร้อมช่วยให้ท่านมีพลัง และกระทรวงพาณิชย์ต้องการเชื่อมเครือข่ายทุกจังหวัดให้ส่งเสริมกัน

 

 

จากนั้นนายภูมิธรรมได้หารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยผู้ประกอบการ อยากให้รัฐหาแหล่งเงินกู้ ปัจจุบันดอกเบี้ยสูงและกู้ยาก ส่วนที่ประสบปัญหาอยากให้ขยายเวลาชำระหนี้พยุงให้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่รอดได้ และคนรุ่นใหม่ปัจจุบันไม่ได้รับโอกาสในการทำธุรกิจเท่าที่ควร จึงเข้าสู่เมืองหลวงทำให้ต่างจังหวัดไม่มีโอกาสได้คนรุ่นใหม่มาทำธุรกิจหรือตั้งตัว อยากให้ช่วยโปรโมตสินค้า ส่งเสริมให้คนมาเที่ยวเมืองรองอย่างเชียงรายมากขึ้นเป็นจังหวัดมีความพร้อมด้านสุขภาพเพราะมีทั้งโรงพยาบาลและสินค้าสุขภาพ

 

 

 ”ตอนนี้เศรษฐกิจซบเซามีปัญหากำลังซื้อไม่มีผู้ประกอบการ SMEs ล้มหายตายจาก เป็นหนี้ เจอโควิดมา 3 ปี สงครามการค้า สงครามรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-ฮามาส มาตรการทางการค้าเราใช้หมดแล้ว 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลทำงานแบบไม่มีงบ ต้องกระตุ้นกำลังซื้อทุกขอบเขตให้เงินกระจายทั่ว แต่วันนี้แบงก์ไม่ยอมลดดอกเบี้ย ตนอยากให้เศรษฐกิจเมืองรองแข็งแรง จะได้ทำให้เศรษฐกิจประเทศโตได้ ซึ่งต้องสร้างความเข้มแข็งทุกช่องทางช่วยคนตัวเล็กชาวไร่ ชาวนา เกษตรกร SMEs ใช้กลไกใหม่ในการส่งเสริม ที่ตนก็กำลังทำใช้อินฟลูเอนเซอร์และซีรีส์วายมาช่วยสร้างการรับรู้สินค้าและสร้างยอดขาย ต้องเห็นช่องทางจะเป็นประโยชน์กับสินค้าท้องถิ่น อยากให้ทุกคนเป็นตัวเชื่อมในระดับจังหวัดให้แข็งแรง และเชื่อมโยงไปจังหวัดอื่นร่วมกันเติบโต อยากเห็นการทำเครือข่ายทั้งประเทศ ให้เดินไปข้างหน้าร่วมกัน“ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เทคโนโลยีเรือนเห็ดอัจฉริยะ จ.เชียงราย วิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกา

 

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) พร้อมด้วย นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีดีอี นายวัลลภ รุจิรากร เลขานุการรัฐมนตรีดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีอี นางสาวกรรวี สิทธิชีวภาค อธิบดีกรมอุตุอนิยมวิทยา ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ นายพรชัย หอมชื่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมผลการดําเนินโครงการระบบควบคุมความชื้นในโรงเรือนเห็ดอัจฉริยะ ของวิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกา โดยการนำเทคโนโลยี IoT: Smart Farm มาประยุกต์ใช้ควบคุมความชื้น ให้ความชื้นด้วยระบบการให้น้ำแบบพ่นหมอก และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ชุมชน

 

สำหรับวิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกา ผลิตดอกเห็ดในถุงพลาสติกหลายชนิด เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็นโคนญี่ปุ่น ฯลฯ เดิมใช้แรงงานคนรดน้ำด้วยวิธีการเปิดปั๊มน้ำและพ่นละอองออกด้วยมินิสปริงเกอร์ โดยได้ทดลองใช้ตัวตั้งเวลา (Timer) แต่ก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์ในแต่ละวันไม่เท่ากัน อีกทั้งกระบวนการและละอองน้ำที่ได้จากมินิสปริงเกอร์ไม่มีความสม่ำเสมอ ทําให้เห็ดที่โดนน้ำมากฉ่ำน้ำ ขณะที่เห็ดที่โดนน้ำน้อยกรอบแห้ง ผลผลิตจึงไม่สม่ำเสมอทั้งฟาร์ม ซึ่งวิสาหกิจชุมชนสวนเห็ดกรรณิกาได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT: Smart Farm จาก ดีป้า โดยนำมาใช้กับโรงเรือนเพาะเห็ดทั้ง 7 โรงเรือน ผ่านการควบคุมโดยระบบชุดควบคุมอัจฉริยะสําหรับระบบพ่นหมอกในโรงเรือนเห็ด

 

ทำให้เกิดผลสําเร็จของโครงการ ดังนี้
1. ลดต้นทุนค่าแรงงานลงไม่น้อยกว่า 30% คิดเป็นจํานวนเงิน 46,537.50 บาทต่อปี (โดยประมาณ)

2. ลดการสูญเสียของก้อนเห็ด ประมาณ 5-7% ของจํานวนก้อนเห็นในโรงเรือน คิดเป็น 250 – 350 ก้อน (โดยประมาณ)

3. มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 20% คิดเป็นเงิน 302,400 บาท (โดยประมาณ)

4. มีระบบ Smart Farm เห็ด 1 ระบบ บริหารจัดการ 7 โรงเรือน

 

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดย ดีป้า มุ่งส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตร ทดแทนการทํางานรูปแบบเดิม การใช้เทคโนโลยีข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อจัดการด้านเพาะปลูก โดยดําเนินการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ให้ออกมาเป็นแนวทาง หรือวิธีการต่าง ๆ ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดการสูญเสียของผลิตผล บูรณาการการปฏิบัติงานกับกรมอุตุนิยมวิทยาในการส่งเสริมเกษตรกรให้สามารถทราบผลการพยาการณ์อากาศล่วงหน้า ช่วยเตือนภัยธรรมชาติและรับทราบข้อมูลสภาพอากาศ รวมถึง ปริมาณน้ำฝนล่วงหน้าในพื้นที่ได้อย่างแม่นยํา เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการทรัพยากร ตลอดจนวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อีกทั้งต่อยอดกระบวนการและผลิตผลของชุมชนด้วยเอกลักษณ์ไทย กลายเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของประเทศได้

 

“จากการร่วมลงพื้นที่ในวันนี้ นอกจากจะได้เห็นถึงความสำเร็จของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผสมผสานเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้วยังได้เห็นโอกาสของการต่อยอดสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ อุตสาหกรรมอาหารด้วยมาตรฐานของผลิตผล รวมถึงกระบวนการการผลิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะสามารถนำมาเป็นจุดขายของชุมชน เปิดเมือง เปิดให้ทั้งชาวไทยเองและชาวต่างชาติได้เข้ามาเยี่ยมชม ท่องเที่ยว สร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านไลฟ์สไตล์แบบไทย ๆ และกลายเป็นแรงดึงดูด กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้” รมว.ดีอี กล่าวเสริม

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สศช. เผย Chiang Rai Wellness City ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ ครม.สัญจร

 

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 นายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่(ครม.สัญจร.)กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน2 (พะเยา เชียงราย น่านและแพร่)ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจำนวน 9 โครงการรวมวงเงิน 155 ล้านบาทและโครงการภาคเอกชนอีกจำนวน 4 โครงการ วงเงินรวม 145 ล้านบาท รวม 300 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กรอ.) เสนอ

 

 

โดยโครงการที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม.สัญจรจังหวัดพะเยา จำนวน 13 โครงการเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการภายใน 1 ปี มาจากข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 9 โครงการ และภาคเอกชน 4 โครงการ จากจำนวนโครงการเร่งด่วนที่เสนอเข้ามามีจำนวนทั้งสิ้น 15 โครงการ โดยมีโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.สัญจรจ.พะเยาดังนี้ 
โครงการของจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด 9โครงการ ได้แก่

1.โครงการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงอาหาร Gastronomy tourism สู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างสร้างสรรค์ และยั่งยืน วงเงิน 20 ล้านบาท 

2.โครงการ A Cup to Village เพิ่มขีดความสามารถการเป็นนวัตกรด้านชาและกาแฟเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน วงเงิน 15 ล้านบาท 

3.โครงการยกระดับสินค้าและบริการด้านสุขภาพของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 วงเงิน 15 ล้านบาท

4.โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ วงเงิน 26.12 ล้านบาท

5.โครงการยกระดับการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรมูลค่าสูง ตามแนวทางตลาดนํา นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ จังหวัด พะเยา วงเงิน 23.88 ล้านบาท 

6.โครงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวน่านสู่ท่องเที่ยวคุณภาพสูง วงเงิน 14 ล้านบาท

7.โครงการน่านเมืองเก่ามีชีวิต สร้างสรรค์ เมืองแห่งวัฒนธรรมสู่มรดกโลก วงเงิน 21 ล้านบาท 8.โครงการเกษตรปลอดภัยและมูลค่าสูง (กาแฟ) จังหวัดน่าน วงเงิน 15 ล้านบาท 

9.โครงการยกระดับการผลิตภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าจังหวัดแพร่ วงเงิน 5 ล้านบาท

 

 

กลุ่มที่ 2 โครงการซึ่งเป็นข้อเสนอของภาคเอกชน  4 โครงการ วงเงินรวม 145.88 ล้านบาท ประกอบด้วย 

1.โครงการพัฒนาทางหลวงหมายเลข 1202 ตอนควบคุม 0200 ตอน สันต้นแหน – ป่าแดด ตําบลโรงช้าง อําเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย วงเงิน 50 ล้านบาท 

2.โครงการอํานวยความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมเชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City) วงเงิน 50 ล้านบาท 

3.โครงการพลิกโฉมถนนสายวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ Soft Power พะเยา วงเงิน 25.88 ล้านบาท 

4.โครงการสูบน้ำขึ้นดอย สอย PM2.5 สร้างป่าคาร์บอนเครดิต วงเงิน 20 ล้านบาท

 

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า 2 โครงการที่กรอ.จังหวัดภาคเหนือตอนบน2 เสนอ ครม.สัญจร จ.พะเยา แล้วยังไม่ผ่านความเห็นชอบมี 2 โครงการได้แก่  โครงการเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City) วงเงิน 50 ล้านบาท และโครงการ โครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองเก่าแพร่ วงเงิน 45 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการที่ประชุม ครม.ให้ปรับปรุงรายละเอียดของโครงการใหม่แล้วเสนอเข้ามาสู่การพิจารณาของ ครม.อีกครั้งตามขั้นตอนต่อไป


ทั้งนี้ความเห็นของ ครม.ในส่วนของโครงการทั้งสองโครงการที่ให้มีการปรับปรุงโครงการได้แก่ โครงการเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ ต้องการให้มีการปรับลดในส่วนของการฝึกอบรม และเพิ่มเติมในส่วนของงบประมาณที่ลงไปส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนก่อน ส่วนโครงการเมืองเก่าแพร่นั้นที่ประชุมเห็นว่าในส่วนของงบประมาณ 45 ล้านที่ขอมา 37 ล้านบาทนั้นเป็นการใช้ไปในเรื่องของการจัดซื้อวัสดุและครุภัณฑ์ จึงอยากให้มีการปรับปรุงแก้ไขในส่วนนี้ลงให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการให้ชุมชนได้รับงบประมาณส่วนนี้มากที่สุด

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ดร.มนพร” ตรวจโครงข่ายทางถนน เพิ่มประสิทธิภาพ เชียงราย-พะเยา

 
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ดร.มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมพร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายทางถนน จ.เชียงราย-พะเยา พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน
 
 
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ติดตามโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1020 เชียงราย – อ.เชียงของ ตอน อ.เทิง – บ.ต้า เพื่อเพิ่มความจุของถนน รองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น ระยะทาง 16 กม. ค่าก่อสร้าง 998.9 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2567 จากนั้น ดร.มนพร ได้ลงพื้นที่ด่านชายแดนบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา ร่วมกับนายกรัฐมนตรี รับฟังข้อเสนอจากทางจังหวัดที่ขอให้กรมทางหลวง เร่งรัดดำเนินการสำรวจและออกแบบถนนให้เป็นเส้นทาง 4 ช่องจราจร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเดินทางและการขนส่งสินค้าที่สะดวกรวดเร็วขึ้น และเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยพะเยา ติดตามโครงการก่อสร้างทางลอดหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ที่อยู่ระหว่างดำเนินการของบประมาณก่อสร้างในปีงบประมาณ 2568 
 
 
 
เนื่องจากปัจจุบันทางเข้ามหาวิทยาลัยพะเยา มีการจราจรหนาที่หนาแน่น และมีแนวโน้มการสัญจรที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าประกอบกับมีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง กรมทางหลวงจึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการก่อสร้างทางแยกต่างระดับ ระหว่างจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 กับทางเข้ามหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งมุ่งเน้นการทำให้การจราจรมีความคล่องตัว มีความปลอดภัยลดผลกระทบต่อชุมชน โดยการศึกษาที่เหมาะสมคือออกแบบเป็นทางแยกต่างระดับแบบวงเวียน โดยก่อสร้างทางลอด บนทางหลวงหมายเลข 1 ทำให้การเดินทางเป็นอิสระ (free flow) และการจัดการจราจรบริเวณจุดตัดเป็นวงเวียน (Roundabout) มีระยะทางทั้งหมดประมาณ 1.7 กม.
 
 
 
ดร.มนพร กล่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาโครงข่ายทางถนน จ. เชียงราย – พะเยา เพื่อติดตามความก้าวหน้า และรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการพัฒนาเส้นทางคมนาคมดังกล่าวทำให้เพิ่มประสิทธิภาพแก้ไขปัญหาด้านการจราจร สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงในอนาคต ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและลดการเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในพื้นที่รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการคมนาคมขนส่งโดยรวม 
 
 
ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ได้เน้นย้ำในเรื่องการก่อสร้างให้เคร่งครัดในมาตรการความปลอดภัย และการเร่งรัดให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนมีระบบคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมทั้งช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในการขนส่งสินค้าและท่องเที่ยวของประเทศให้ดีขึ้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“สุริยะ” ตรวจสนามบินเชียงราย สนับสนุนการขนส่งเชื่อมโยงท่องเที่ยว

 
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ณ ณ ห้องประชุมท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จังหวัดเชียงราย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายมนตรี เดชาสกุลสม รองปลัดกระทรวงคมนาคม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 ณ จังหวัดพะเยา โดยมีหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ และผู้แทนหน่วยงานในพื้นที่ เข้าร่วมประชุม
 
 
นายสุริยะ กล่าวว่า การประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการสำคัญต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้ติดตามประเด็นการเตรียมความพร้อมและการเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ตามนโยบาย Aviation Hub ของรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ มีโครงการที่ดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพท่าอากาศยาน ได้แก่ 1) งานก่อสร้างระบบทางขับขนานด้านทิศเหนือและปรับปรุงทางขับท้ายหลุมจอด พร้อมทางขับ A และ B 2) งานจ้างก่อสร้างพื้นที่หัวทางวิ่งด้าน 03 และ 21 3) โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน Maintenance ,Repair and overhaul (MRO) ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 4) งานจ้างก่อสร้างขยายถนนทางเข้า – ออก ท่าอากาศยานฯ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือนมิถุนายน 2567 นอกจากนี้ มีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานฯ ระยะที่ 1 (ปี 2568 – 2571) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสาร เป็น 6 ล้านคนต่อปี และระยะที่ 2 (ปี 2576 – 2578) เป็น 8 ล้านคนต่อปี โดยมีแผนงานสำคัญ ได้แก่ งานก่อสร้างเพิ่มลานจอดอากาศยาน งานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ งานก่อสร้างปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิมเป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และงานก่อสร้างอาคารศูนย์ซ่อมแซมอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้น
 
 
สำหรับโครงการสนับสนุนท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อบรรเทาการจราจรบริเวณหน้าท่าอากาศยานและสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย
1. การก่อสร้างทางลอดและปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการบนถนนสาย ชร.1023 อ.เมือง จ.เชียงราย ระยะทาง 1.635 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 850 ล้านบาท มีแผนก่อสร้างระหว่างปี 2567 – 2569
2. ถนนสายแยก ทล.1 – สาย ชร.5023 ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย ระยะทาง 3.014 กม. วงเงินก่อสร้าง 200 ล้านบาท โดยเสนอขอรับงบประมาณค่าเวนคืนปี 2567 – 2568
3. ถนนสาย ค2, จ7, ง4 ผังเมืองรวมเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย ระยะทาง 3.735 กม. วงเงินก่อสร้าง 250 ล้านบาท โดยเสนอขอรับงบประมาณค่าเวนคืนปี 2567 – 2568
4. ถนนสายเชื่อม ทล.1207 – ถนนเลี่ยงเมืองกรมทางหลวง อ.เมือง จ.เชียงราย ระยะทาง 2.356 กม. วงเงิน 84 ล้านบาท โดยเสนอขอรับงบประมาณค่าเวนคืนปี 2567 – 2568
5. ทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัด ชร.1023 กับ ทล.1 อ.เมือง จ.เชียงราย วงเงินก่อสร้าง409.560 ล้านบาท มีแผนเสนอขอรับงบประมาณค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2569
 
 
นอกจากนี้ ในการประชุมได้ติดตามความคืบหน้าโครงการขยาย 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 1020 ตอนบ้านหัวดอย – บ้านใหม่ดอยลาน จ.เชียงราย กม. 7+420 – 30+000 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ การคมนาคมขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อโครงการแล้วเสร็จจะทำให้มีความสะดวกรวดเร็ว และสามารถรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชื่อมต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียงได้สะดวก ปลอดภัยยิ่งขึ้น และยังเป็นการสนับสนับการขนส่งสินค้าเชื่อมต่อด่านพรมแดนอีกด้วย รวมทั้งกระทรวงคมนาคมมีการดำเนินโครงการปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงชนบทเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว
 
 
ทั้งนี้ ในการประชุมได้รับทราบข้อมูลความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ในส่วนของการก่อสร้างจุดกลับรถบริเวณหน้าโรงพยาบาลแม่จัน และสะพานลอยคนข้าม เพื่อความสะดวกปลอดภัยของประชาชนที่มาใช้บริการโรงพยาบาลและประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอใช้งบกลางในการก่อสร้างอย่างเหมาะสม รวมทั้งได้มอบนโยบายให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท บูรณาการร่วมกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลโครงข่ายถนนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยาที่ต้องปรับปรุงไฟฟ้าแสงสว่าง และตรวจสอบจุดตัดทางร่วม ทางแยกเพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประชาชน
 
 
นายสุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคมพร้อมผลักดันโครงการต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกกลุ่ม และพร้อมรับฟังปัญหาและความคิดเห็นของประชาชน โดยกระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีระบบคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพ สามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมทั้งช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจจากการขนส่งสินค้าและท่องเที่ยวของประเทศให้ดีขึ้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY VIDEO

กรมการค้าภายในพาผู้ประกอบการรับซื้อมะม่วงเชียงราย เตรียมรับมือช่วงผลิตออกสู่ตลาดมาก

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่ากรมการค้าภายในมีเป้าหมายการรับซื้อมะม่วงในครั้งนี้กว่า 3,500 ตัน รวมมูลค่ากว่า 84 ล้านบาท โดยมีสายพันธุ์ โชคอนันต์ น้ำดอกไม้ ฟ้าลั่น แก้วขมิ้น อีกทั้งเกษตรกรยังมีแปรรูปมะม่วง เช่น มะม่วงอบแห้ง มะม่วงกวน ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มอีกทางนึงแก่เกษตรกรในพื้นที่ และกรมฯ มีนโยบายขยายพื้นที่รับซื้อในจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติม หากปริมาณผลผลิตออกมากหรือล้นตลาด เพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร และระบายผลผลิตออกสู่ช่องทางต่างๆ

อ่านต่อ : https://nakornchiangrainews.com/department-of-internal-trade-proactive-fruit-management-buying-mangoes-in-chiang-rai-add-sales-channels/

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

(มีคลิป)กรมการค้าภายใน จัดการผลไม้เชิงรุก รับซื้อมะม่วงเชียงราย เพิ่มช่องทางการขาย

 
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 ณ กลุ่มแปลงใหญ่มะม่วงพญาเม็งราย ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย กระทรวงพาณิชย์ ยกแผนงานเชื่อมโยงการรับซื้อมะม่วง @เชียงราย ภายใต้มาตรการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุกปี 2567 ตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดผลไม้ฤดูการผลิต ปี 2567 ให้สอดรับสถานการณ์อย่างเป็นระบบครบวงจร
 
การจัดกิจกรรมกรมการค้าภายในเชื่อมโยงรับซื้อมะม่วง@เชียงราย โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายนภินทร ศรีสรรพางค์ ให้เกียรติเป็นประธานสักขีพยานการเชื่อมโยงการซื้อขาย “มะม่วง” ผ่านตลาดข้อตกลง พร้อมด้วยนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และนายชโลธร พัฒน์ทวีกิจ ประธานกลุ่มแปลงใหญ่มะม่วงพญาเม็งราย และผู้แทนเกษตรกรจาก 5 อำเภอ ในจังหวัดเชียงราย ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ผู้รวบรวม ผู้ส่งออก โรงงานแปรรูป และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เข้ารับซื้อผลผลิตมะม่วงจากเกษตรกร ณ กลุ่มแปลงใหญ่มะม่วงพญาเม็งราย ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย
 

ในการนี้กรมการค้าภายในและจังหวัดเชียงรายได้ช่วยเหลือเกษตรกรกระจายผลผลิตมะม่วงครั้งนี้ นอกจากช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรแล้ว ยังเพิ่มช่องทางในการกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดนอกแหล่งผลิตได้มากยิ่งขึ้นด้วย

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่ากรมการค้าภายในมีเป้าหมายการรับซื้อมะม่วงในครั้งนี้กว่า 3,500 ตัน รวมมูลค่ากว่า 84 ล้านบาท โดยมีสายพันธุ์ โชคอนันต์ น้ำดอกไม้ ฟ้าลั่น แก้วขมิ้น อีกทั้งเกษตรกรยังมีแปรรูปมะม่วง เช่น มะม่วงอบแห้ง มะม่วงกวน ที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มอีกทางนึงแก่เกษตรกรในพื้นที่ และกรมฯ มีนโยบายขยายพื้นที่รับซื้อในจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติม หากปริมาณผลผลิตออกมากหรือล้นตลาด เพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร และระบายผลผลิตออกสู่ช่องทางต่างๆ

ทั้งการเปิดพรีออเดอร์มะม่วงผ่านนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ นำไปเปิดจุดจำหน่ายในห้างท้องถิ่นทั่วประเทศ แหล่งชุมชนต่างๆ และเตรียมจัดงาน Fruit Festival 2024 เป็นปีที่ 3 เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้มีการบริโภคผลไม้เพิ่มมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าภายใน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“มนพร“ ตรวจคืบหน้าพัฒนาโครงข่าย คมนาคมทางน้ำ จ.เชียงราย

 
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนและติดตามโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต โดยมีนายดรุฒ คำวิชิตธนาภา กรรมการ กทท. นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. นายอภิเสต พงษ์สุวรรณ รองผู้อำนวยการ กทท. สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ และพนักงาน กทท.ให้การต้อนรับ ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย
 
 
โครงการส่งออกสัตว์มีชีวิตที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน (ทชส.) ได้ผ่านความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว และสามารถดำเนินโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต (โคเนื้อ กระบือ สุกร) ผ่านที่ ทชส. ในพื้นที่ 1 บริเวณพื้นที่ท่าเรือแนวลาดฝั่งทิศใต้ ได้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยคาดการณ์ปริมาณสัตว์ส่งออกสุกร 15,000 ตัว/เดือน หรือ 180,000 ตัว/ปี โค กระบือ จำนวน 5,000 ตัว/เดือน หรือ 60,000 ตัว/ปี ส่งผลให้ ทชส. มีรายได้จากการดำเนินโครงการฯ เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งนี้ การส่งออกสัตว์มีชีวิตผ่านที่ ทชส. ต้องปฏิบัติตามแนวทางตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และระเบียบพิธีการของกรมศุลกากรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การขนถ่าย เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยผู้ประกอบการต้องทำนัดหมายช่วงเวลาในการขนถ่ายสัตว์ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง การล้างสิ่งปฏิกูลและฉีดยาฆ่าเชื้อ การขนย้ายโดยมีที่กั้นที่แข็งแรง ถ่ายเทอากาศได้ดี มีอุปกรณ์ช่วยขนสัตว์ขึ้นลง รวมทั้งการทำความสะอาดจุดขนถ่ายสัตว์ เมื่อดำเนินการขนถ่ายแล้วเสร็จ เป็นต้น
 
 
“ปัจจุบันโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต (โคเนื้อ กระบือ สุกร) ที่ ทชส.ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมเจ้าท่าและการท่าเรือฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดำเนินโครงการให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเกษตรกรที่อยู่บริเวณพื้นที่โดยรอบท่าเรือและอำเภอเชียงแสนตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้เน้นย้ำให้ดำเนินการตามแนวทางตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และระเบียบพิธีการของกรมศุลกากร เพื่อเป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน” นางมนพร กล่าว
 
 
ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า “โครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต เป็นการใช้พื้นที่ ทชส. เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของ ทชส. ที่สามารถให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว อันจะเป็นการสร้างรายได้ ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการส่งออกสัตว์ที่อาจจะมีราคาต่ำลง และเชื่อว่าแนวคิดต่างๆ ทั้งภาคเกษตรกร ภาคธุรกิจที่ได้ร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อ ทชส. ในการให้การสนับสนุนและต่อยอดด้านการค้าการขนส่งในพื้นที่ต่อไป”
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่าเรือแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News