Categories
ECONOMY

นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

Facebook
Twitter
Email
Print

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยินดียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากถึง 1,003,893 คน (1 มกราคม – 18 พฤษภาคม 2566) และมียอดเที่ยวบินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 98 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เดินหน้าจัดกิจกรรม Trusted Thailand, You Taiguo Yue Wan Yue Kaixin หรือ เที่ยวเมืองไทยยิ่งไปยิ่งสนุก โดยเชิญชาวจีนผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิด (Key Opinion Leaders: KOLs) จำนวน 60 คน สื่อมวลชน สายการบิน และพันธมิตร เข้าร่วม เพื่อนำเสนอข้อมูลการบริการ การอำนวยความสะดวก ตลอดจนมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวผ่านรูปแบบรถโมบายล์ ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 1155 และแอปพลิเคชัน Police I lert u ซึ่งรองรับหลายภาษา เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ ทั้งนี้ ททท. คาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 ล้านคน และสร้างรายได้ 446,000 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – เมษายน 2566 มีเที่ยวบินระหว่างไทย – จีน รวมทั้งหมด 12,805 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ร้อยละ 98 ซึ่งจากการที่ทางการจีนมีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ทำให้สายการบินจากจีนต้องการเปิดทำการบินและเพิ่มความถี่ในการบินมากขึ้น โดย บวท. คาดการณ์ว่า ในปีงบประมาณ 2566 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) จะมีเที่ยวบินจากจีนรวมกว่า 46,175 เที่ยวบิน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ 

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จจากการร่วมมือกันทุกภาคส่วนที่ทำให้ ไทยคงได้รับความเชื่อมั่นและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่บูรณาการการทำงานร่วมกันตามแนวนโยบายของรัฐบาล สนับสนุนการฟื้นตัวอย่างสมดุลของภาคการท่องเที่ยว และภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทำให้อยากกลับมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยอีก ในครั้งต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ไทยดึงบริษัทเกาหลีใต้มาลงทุนในไทยได้เพิ่มเติม

ไทยดึงบริษัทเกาหลีใต้ลงทุนในไทยได้เพิ่มเติม

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทย โดย 4 เดือนแรกของปี 2566 มีการลงทุนกว่า 38,702 ล้านบาท พร้อมชื่นชม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ที่สามารถดึงดูดบริษัทกลุ่มเป้าหมายจากเกาหลีใต้มาลงทุนในประเทศไทยได้เพิ่มเติม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-เมษายน) มีต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยกว่า 38,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 6 หรือคิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้น 2,321 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย 2,419 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 

1) ญี่ปุ่น 55 ราย (ร้อยละ 25) เงินลงทุน 14,024 ล้านบาท 

2) สิงคโปร์ 35 ราย (ร้อยละ 16) เงินลงทุน 4,854 ล้านบาท 

3) สหรัฐอเมริกา 34 ราย (ร้อยละ 15) เงินลงทุน 1,725 ล้านบาท 

4) จีน 14 ราย (ร้อยละ 6) เงินลงทุน 11,230 ล้านบาท และ 

5) สมาพันธรัฐสวิส 11 ราย (ร้อยละ 5) เงินลงทุน 1,692 ล้านบาท ส่วนชาติอื่น ๆ มี 68 ราย (ร้อยละ 33) เงินลงทุน 5,177 ล้านบาท


นอกจากนี้ จากการเดินทางไปจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนที่ประเทศเกาหลีใต้ และพบปะหารือกับบริษัทกลุ่มเป้าหมาย ระหว่างวันที่ 15–18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สามารถดึงดูดนักลงทุน 4 ราย ที่สนใจลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 

1) นักลงทุนจากกลุ่มผู้ประกอบกิจการผลิตรถตุ๊ก ๆ ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 

2) นักลงทุนจากกลุ่มผู้ประกอบกิจการผลิตที่เคลือบกระจกรถยนต์แบบพิเศษกันฝ้า 

3) นักลงทุนจากกลุ่มผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์ และเทคโนโลยีที่ใช้ เกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ และ 

4) นักลงทุนจากกลุ่มผู้ประกอบกิจการผลิตอะไหล่ยานยนต์ 


ซึ่งข้อมูลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พบว่า นักลงทุนทั้ง 4 ราย สนใจจะเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และบริเวณใกล้เคียง ด้วยเงินลงทุนจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท และยังมีนักลงทุนอีก 1 ราย ที่สนใจลงทุนกับ กนอ. โดยจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพลังงานทางเลือก มูลค่าการลงทุนประมาณ 5,000 ล้านบาทอีกด้วย

“นายกรัฐมนตรี สั่งการให้อำนวยความสะดวก ส่งเสริมการค้า และการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาคเอกชนจากต่างชาติมองเห็นถึงศักยภาพ และความพร้อมของนิคมอุตสาหกรรมในไทย โดยการเข้ามาลงทุนเหล่านี้ จะนำไปสู่การถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีเฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทยอีกด้วย นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าต่างชาติจะยังคงเชื่อมั่นขยายการลงทุนในไทย ด้วยโครงสร้างการพัฒนา ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ต่างชาติเที่ยวไทยใกล้แตะ 10 ล้านคน รัฐหนุนทุกหน่วยงานรับตลาดโต

ต่างชาติเที่ยวไทยใกล้แตะ 10 ล้านคน รัฐหนุนทุกหน่วยงานรับตลาดโต

Facebook
Twitter
Email
Print
 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวของไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 พ.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยทุกช่องทางรวมแล้ว 9.47 ล้านคน  สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวแล้ว 3.91 แสนล้านบาท ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงมาจากประเทศในเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และอาเซียน

รัฐบาลได้สนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคท่องเที่ยว รักษาแรงส่งการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างนักท่องเที่ยวจีน ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่าปี 66 น่าจะเดินทางมาไทยได้ 5.3 ล้านคน หรือหากมีปัจจัยเสริมอื่นๆ ก็อาจจะถึง 7 ล้านคน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ข้อมูลของ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)  ระบุว่า 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 66 (ต.ค.65-เม.ย.66) มีเที่ยวบินจากจีนเข้ามาไทยแล้ว 12,805 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมาจากที่จีนมีนโยบายให้บริษัททัวร์นำนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ออกนอกประทศได้ตั้งแต่ 6 ก.พ. 66 เป็นต้นมา

ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ บวท. คาดว่าเที่ยวบินจากประเทศจีนจะยังเพิ่มขึ้นอีก โดยคาดว่าเดือนพ.ค. จะมีเที่ยวบินจีน 5,330 เที่ยวบิน, มิ.ย. 6,090 เที่ยวบิน, ก.ค. 7,150 เที่ยวบิน, ส.ค. 7,460 เที่ยวบิน และก.ย.  7,340 เที่ยวบิน ส่งผลให้ตลอดปีงบประมาณ 66 (ต.ค.65-ก.ย. 66) มีเที่ยวบินจากจีนมายังประเทศไทย 46,175 เที่ยวบิน 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้ปริมาณเที่ยวจีนที่คาดการณ์ไว้นี้ยังคงน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดโควิด19 อยู่ร้อยละ 66 แต่หน่วยงานเกี่ยวข้องก็ได้เตรียมการเพื่อรองรับ เพื่อให้ไม่เกิดความติดขัดต่อเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งส่วนของการพิจารณาจัดสรรตารางการบินให้สอดคล้องกับความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน การบริหารจัดการความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ มีความร่วมมือกับหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศของจีน เป็นต้น

ทางด้านกระทรวงคมนาคมก็ได้ติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนผู้ให้บริการภาคพื้นชั่วคราว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริการภาคพื้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่กำลังเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) อยู่ระหว่างดำเนินการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิให้ประกอบการให้บริการภาคพื้นในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รายที่ 3 ให้เป็นไปตามแผนงาน จากปัจจุบันที่มีผู้ให้บริการภาคพื้นอยู่ 2 ราย เพื่อลดปัญหาการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้าต่อไป  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY NEWS NEWS UPDATE

ไทยส่งออกข้าว 4 เดือนแรกกว่า 2.79 ล้านตัน มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท

ไทยส่งออกข้าว 4 เดือนแรก กว่า 2.79 ล้านตัน มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย และยินดีที่เห็นตัวเลขข้าวไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – เมษายน) ไทยส่งออกข้าวสูงถึง 2.79 ล้านตัน มูลค่ารวมกว่า 1,514 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 51,281 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ในช่วงเวลาเดียวกัน ปริมาณเพิ่มร้อยละ 23.61 และมูลค่าเพิ่มร้อยละ 28.03 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทำงานเชิงรุก หาแนวทางส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตและผลักดันราคาข้าวอย่างยั่งยืน เพื่อการเติบโตของการส่งออกข้าวไทย และเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปริมาณการส่งออกข้าวไทยในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความต้องการนำเข้าข้าวไทยปริมาณมากในหลายประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ไทยถือเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก รองจากอินเดีย โดยในเดือนเมษายน 2566 ราคาเฉลี่ยข้าวไทยทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ทำให้ราคาส่งออกสามารถแข่งขันได้ และส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศเกือบทุกชนิดสูงเกินราคาประกันรายได้ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่า ในปี 2566 ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7.5 ล้านตัน และมีแนวโน้มสูงกว่าการส่งออกข้าวโดยรวมในปี 2565 ซึ่งมีปริมาณรวมอยู่ที่ 7.69 ล้านตัน โดยปริมาณการส่งออกข้าวไทยล่าสุด จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 มีปริมาณรวมแล้วกว่า 3.05 ล้านตัน ซึ่งน่ายินดีที่คงมีความต้องการในตลาดต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ได้แก่ อิรัก อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ เซเนกัล บังกลาเทศ จีน ญี่ปุ่น แคเมอรูน และโมซัมบิก โดยไทยส่งออกข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง ข้าวหอมไทย ข้าวเหนียว และข้าวกล้อง ตามลำดับ 

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่บูรณาการการทำงานร่วมกัน ตามยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ร่วมกันพัฒนาข้าวไทยให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ส่งผลให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของข้าวไทย พร้อมขอให้ดูแลมาตรฐานและคุณภาพ ระมัดระวังพันธุ์ข้าว ไม่ให้เกิดการปลอมปนข้าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพข้าวและชื่อเสียงคุณภาพสินค้าไทย” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

SME D Bank หารือ กสม. ส่งเสริมเอสเอ็มอี ส่งต่อประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน

SME D Bank หารือ กสม. ส่งเสริมเอสเอ็มอีดำเนินธุรกิจสอดคล้องสิทธิมนุษยชน คำนึงถึงกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งต่อประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน

Facebook
Twitter
Email
Print

SME D Bank พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยรองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางการประสานความร่วมมือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบ นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พร้อมด้วย นางสาวรตญา กอบศิริกาญจน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ เพื่อหารือแนวทางการประสานความร่วมมือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน รวมถึงปัจจัยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ดำเนินธุรกิจตามเกณฑ์มาตรฐาน โดยเป็นการต่อยอดและขยายผลการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากปีที่ผ่านมา ธนาคารเข้าร่วมโครงการ “HUMAN RIGHTS AWARDS 2022” ณ ห้องรับรอง 703 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) เมื่อเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนของทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นตามพันธกิจ “เติมทุนคู่พัฒนา” เคียงข้างสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย เพิ่มขีดความสามารถก้าวสู่ความสำเร็จ ส่งต่อคุณประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศสู่การเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SME D Bank

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อและตราสัญลักษณ์ธนาคารปล่อยเงินกู้นอกระบบ

ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อและตราสัญลักษณ์ธนาคารปล่อยเงินกู้นอกระบบ

Facebook
Twitter
Email
Print

ธ.ก.ส. เตือน ! ระวังมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตัวแทนธนาคารปล่อยเงินกู้นอกระบบ โดยใช้ตราสัญลักษณ์และชื่อธนาคาร ยืนยัน ! ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวและไม่มีนโยบายปล่อยเงินกู้ผ่านตัวแทนบริษัทแต่อย่างใด พร้อมแจ้งความเอาผิดผู้หลอกลวง

นายไพศาล หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการและโฆษกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้ มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีแอบอ้างเป็นบริษัทตัวแทนธนาคารในการนำเสนอเงินกู้นอกระบบ จัดทำเอกสารนัดรับเงินกู้และแอบอ้างชื่อและตราสัญลักษณ์ รวมถึงลายเซ็นต์พนักงาน โดยให้ชำระค่าคิวล่วงหน้าก่อนการรับสินเชื่อด้วยนั้น ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า ธ.ก.ส. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว อีกทั้งธนาคารไม่มีนโยบายในการให้สินเชื่อผ่านตัวแทนบริษัท หรือมีการชำระค่าคิวล่วงหน้าก่อนรับสินเชื่อ จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อบริษัทหรือบุคคลที่มีพฤติการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ ธ.ก.ส. มีผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่ออย่างหลากหลายที่มีอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เช่น สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ สินเชื่อนวัตกรรมดี มีเงินทุน และสินเชื่อ SME เสริมแกร่ง อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 เป็นต้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลและข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ผ่านช่องทางการสื่อสารหลักของธนาคาร ได้แก่ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ LINE Official Account : @baacfamily พร้อมกันนี้ ธ.ก.ส. ขอย้ำเตือนให้ลูกค้าทุกท่าน เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อหรือทำธุรกรรมออนไลน์ เนื่องด้วยปัจจุบันมิจฉาชีพมีรูปแบบการหลอกลวงที่หลากหลาย ดังนั้น หากไม่แน่ใจโปรดติดต่อโดยตรงที่ธนาคาร หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งธนาคารจะดําเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

EXIM BANK จับมือ Amazon และกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนทัพสินค้าไทยรุกตลาดการค้า E-commerce

EXIM BANK จับมือ Amazon และกระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนทัพสินค้าไทยรุกตลาดการค้า E-commerce

Facebook
Twitter
Email
Print

EXIM BANK ร่วมกับ Amazon Global Selling Thailand และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดโครงการอบรม “ติดปีกสินค้าไทย ขายออนไลน์ข้ามพรมแดนกับ Amazon” ระหว่างวันที่ 23 พ.ค.-18 ก.ค.2566 ณ EXIM BANK สนง.ใหญ่ และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ ม.เชียงใหม่

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจและการค้าโลกต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ความยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรปส่งผลกดดันเศรษฐกิจโลก ทำให้ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 2.8% และการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวเพียง 1.7% อย่างไรก็ตาม พบว่าภาพรวมตลาดการค้าออนไลน์ (E-commerce) ของโลกยังมีแนวโน้มสดใส โดยคาดว่าจะขยายตัวกว่า 10% จาก 5.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 เป็น 6.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็น 6.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 และ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 นอกจากนี้ ผลสำรวจผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่ดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนในปี 2565 พบว่า 90% มีความสนใจค้าขายข้ามพรมแดนผ่าน E-commerce แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดความเข้าใจวิธีการ ขาดความรู้เกี่ยวกับตลาดต่างประเทศ มีข้อจำกัดด้านศักยภาพ ทรัพยากร และความสามารถในการแข่งขันในตลาด E-commerce

EXIM BANK จึงร่วมมือกับ อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ประเทศไทย (Amazon Global Selling Thailand) และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดโครงการอบรม “ติดปีกสินค้าไทย ขายออนไลน์ข้ามพรมแดนกับ Amazon” ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม-18 กรกฎาคม 2566 ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพ SMEs ไทยให้มีความพร้อมในการพัฒนาธุรกิจสู่ตลาดการค้าออนไลน์อย่างมั่นใจ ผ่านการฝึกอบรม จับคู่ทางธุรกิจ ให้คำปรึกษาด้านการเงิน แนะนำเครื่องมือบริหารความเสี่ยง และ Workshop การค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน (Cross Border E-commerce: CBEC) ไปยังตลาดสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์ในการเข้าถึงเครือข่ายลูกค้าของ Amazon.com กว่า 300 ล้านคนทั่วโลก มีเนื้อหาการอบรม อาทิ การเปิดบัญชีกับ Amazon การจดทะบียนเครื่องหมายการค้าและใบรับรององค์การอาหารและยาสหรัฐฯ การสร้างการบริหารจัดการคลังสินค้าและจัดส่งโดย Amazon (Fulfilment by Amazon : FBA) และการเปิดหน้าร้านค้าบน Amazon.com ผู้ประกอบการที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 และ Amazon Global Selling Thailand โทร. 08 9505 0766

“การค้าขายออนไลน์ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของธุรกิจในยุค Next Normal EXIM BANK จึงจัดโครงการ อบรมผู้ประกอบการไทยขายออนไลน์ข้ามพรมแดนกับ Amazon ให้ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ตลาด วิธีการค้าขายออนไลน์ข้ามพรมแดน การเตรียมผลิตภัณฑ์ การจดเครื่องหมายการค้าในสหรัฐฯ การจัดการร้านค้าบน Amazon.com เครื่องมือสำหรับธุรกิจ E-commerce และการวางแผนโปรโมทสินค้า เพื่อกระจายโอกาสให้ผู้ประกอบการในส่วนภูมิภาคได้เข้าถึงโครงการ การอบรมจึงจัดขึ้นที่ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ ควบคู่กับที่อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อช่วยให้ SMEs ทุกภาคส่วนมีความรู้เข้าใจเรื่องการส่งออกและการค้าขายออนไลน์ไปพร้อมกัน โดยมี EXIM BANK และ Amazon คอยเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับการแข่งขันของธุรกิจไทยไปสู่ตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ ท่ามกลางความความท้าทายและโอกาสที่มีอยู่มากมายในตลาดโลก” ดร.รักษ์ กล่าว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร
โทร. 0 2169 9999 ต่อ 4110-4

EXIM Thailand Joins Forces with Amazon and Ministry of Commerce to Support Caravan of Thai Goods Penetrating E-commerce Market

Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), said that global trade and economy in 2023 has been challenged by multi-faceted risk factors, whether they are inflation hike, upward trend of interest rates and prolonged Russia-Ukraine war, coupled with pressures from the banking crisis in the US and Europe. The International Monetary Fund (IMF) has recently lowered its global economic growth forecast to only 2.8% and global trade has tended to expand by merely 1.7%. However, bright prospects are still seen in E-commerce market in overall, predicted to grow by over 10% from 5.5 trillion US dollars in 2022 to 6.1 trillion US dollars in 2023, 6.8 trillion US dollars in 2024 and 7.4 trillion US dollars in 2025. Furthermore, according to a survey of entrepreneurs, particularly SMEs, with business operations in ASEAN in 2022, 90% of the entrepreneurs are interested in Cross-Border E-commerce (CBEC), but most of them have restrictions as regards understanding of e-commerce know-how, foreign market information, business potential, resources and competitiveness in E-commerce market dealings.

To support the entrepreneurs with such aspiration, EXIM Thailand has collaborated with Amazon Global Selling Thailand and Department of International Trade Promotion, Ministry of Commerce, in organizing a training program titled “Bring Thai Goods to Fly High on Cross-Border E-Commerce with Amazon” during May 23-July 18, 2023 at EXIM Thailand’s Head Office and the Northern Science Park, Chiang Mai University. The program aims to develop capabilities of Thai SMEs so that they would be well prepared for driving their businesses confidently toward E-commerce by providing them with training, business matching, financial advice, introduction of risk management tools, and arrangement of CBEC workshops targeting the US, European and Asian countries. This would benefit entrepreneurs and enable them to access Amazon.com network of more than 300 million customers worldwide. Some of the training topics are opening of accounts with Amazon, registration of US trademark and certificate of the US Food and Drug Administration, fulfilment by Amazon and store opening on Amazon.com. The program participation is free of charge. For further information, please contact EXIM Contact Center, Tel. 0 2169 9999 and Amazon Global Selling Thailand, Tel. 08 9505 0766.

“E-commerce is not a choice, but a salvation for businesses in the Next Normal era. EXIM Thailand has thus launched a CBEC with Amazon training program for Thai entrepreneurs by enhancing their literacy of market analysis, CBEC approaches, preparation of products, registration of trademarks in the US, arrangement of stores on Amazon.com, E-commerce tools, and product promotion planning. To thoroughly allow for provincial entrepreneurs’ access to the program, the training program will be organized at EXIM Thailand’s Head Office in conjunction with the Northern Science Park, Chiang Mai University to boost export and E-commerce literacy of SMEs of all sectors, with EXIM Thailand and Amazon closely supporting as their mentors. This aims to strengthen Thai businesses’ confidence in competing globally amid numerous challenges and opportunities in the global markets,” added Dr. Rak.

For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department
Tel. 0 2169 9999 ext. 4110-4

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
RELATED STORIES
NEWS UPDATE
Categories
AUTOMOTIVE CULTURE ECONOMY EDITORIAL ENTERTAINMENT FEATURED NEWS FOOD HEALTH LIFESTYLE NEWS NEWS UPDATE SOCIAL & LIFESTYLE SOCIETY & POLITICS SPORT TOP STORIES TRAVEL VIDEO WORLD PULSE

นครเชียงรายนิวส์ ”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย”

นครเชียงรายนิวส์ ”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย”

Facebook
Twitter
Email
Print

นครเชียงรายนิวส์ ”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย"
MOST POPULAR
RELATED STORIES
NEWS UPDATE
Categories
AUTOMOTIVE CULTURE ECONOMY EDITORIAL ENTERTAINMENT FEATURED NEWS FOOD HEALTH LIFESTYLE NEWS NEWS UPDATE SOCIAL & LIFESTYLE SOCIETY & POLITICS SPORT TOP STORIES TRAVEL VIDEO WORLD PULSE

นครเชียงรายนิวส์ ”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย”

นครเชียงรายนิวส์ ”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย”

Facebook
Twitter
Email
Print

นครเชียงรายนิวส์ ”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย"
MOST POPULAR
RELATED STORIES

NEWS UPDATE

Categories
ECONOMY

ธ.ก.ส. จัด 1 พันล้านบาท หนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มเสริมแกร่งสถาบันเกษตรกร

ธ.ก.ส. จัด 1 พันล้านบาท หนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มเสริมแกร่งสถาบันเกษตรกร

Facebook
Twitter
Email
Print

ธ.ก.ส. เติม 1,000 ล้านบาท จัดสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2565/66 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแทนสถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้กับสถาบันเกษตรกร

ธ.ก.ส. เติม 1,000 ล้านบาท จัดสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2565/66 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแทนสถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้กับสถาบันเกษตรกร ในการรับซื้อ รวบรวม แปรรูปผลผลิต เพื่อส่งจำหน่ายสู่ตลาด สร้างความเข้มแข็งให้องค์กรเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพด้านราคา ขอรับสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 พ.ค. 66

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2565/66 วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันเกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อ รวบรวมหรือแปรรูปข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2565/66 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งจะช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาจำนวนมาก และราคาตกต่ำ อันเป็นการสนับสนุนให้องค์กรเกษตรกรได้ทำหน้าที่ เป็นกลไกในการสร้างเสถียรภาพด้านราคา และเพิ่มอำนาจต่อรองทางการตลาด รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการจำหน่ายผลผลิตและช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อยอีกด้วย

สำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งการรับซื้อ รวบรวม แปรรูป หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ วงเงินแบ่งตามประเภทลูกค้า ได้แก่ 1) สหกรณ์การเกษตร วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท 2) กลุ่มเกษตรกร วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท และ 3) วิสาหกิจชุมชน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี โดยผู้กู้จ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแทนร้อยละ 3 ต่อปี ไม่เกิน 12 เดือน กำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือน และชำระเสร็จสิ้นภายใน 31 พ.ค. 2567 ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธ.ก.ส.

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
”สำนักข่าวออนไลน์ เพื่อคุณภาพของคนเชียงราย"
MOST POPULAR
RELATED STORIES

NEWS UPDATE