Categories
ECONOMY

​รัฐบาลโปรโมทความสำเร็จโลจิสติกส์กลไกเชื่อมภูมิภาคอาเซียน

 

 วันนี้ 6  สิงหาคม  2566   นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแก่อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ทั้งนี้ รัฐบาลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG-LogistiX 2023 ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2566 ณ อาคาร 98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อเป้าประสงค์ในการสร้างเครือข่ายพันธมิตร จับคู่ทางธุรกิจของผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการโลจิสติกส์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคการส่งออก ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ TILOG – LOGISTIX 2023 เป็นความร่วมมือของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับบริษัท RX Tradex และภาคเอกชน ภายใต้แนวคิด “Smart and Green Logistics for Sustainable Tomorrow : ขับเคลื่อนธุรกิจไทยสู่อนาคตสีเขียวด้วยโลจิสติกส์อัจฉริยะรักษ์โลก” เพื่อเป็นเวทีแสดงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ให้เป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก โดยมุ่งเน้นการปรับตัวในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีโลจิสติกส์ยุคใหม่ พร้อมกระตุ้นให้ผู้ประกอบการตื่นตัว และให้ความสำคัญกับการปรับตัวภายใต้แนวคิดเรื่อง Green โดยในงานนี้มีผู้จัดแสดงกว่า 415 แบรนด์ จาก 25 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดการณ์ว่า จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 9,000 ราย พร้อมตั้งเป้ามูลค่าเจรจาทางธุรกิจกว่า 4,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์โลจิสติกส์ยุคดิจิทัล ที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ เช่น ระบบวางแผนและจัดการเส้นทางการขนส่งสินค้า ระบบการจัดการคลังสินค้า การรักษาความปลอดภัย รวมทั้ง ระบบคลังสินค้าอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หุ่นยนต์หยิบสินค้าที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทุกแนวในคลังสินค้า และหุ่นยนต์คัดแยกสินค้าและระบบสายพานลำเลียง รถโฟล์คลิฟท์ ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรีลิเธียม เป็นต้น  

โดยปัจจุบันรัฐบาลมีแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อให้ระบบโลจิสติกส์เป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าที่สำคัญในอนุภูมิภาคและภูมิภาค ประกอบไปด้วย 5 แนวการพัฒนา ดังนี้
1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
2. การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าโซ่อุปทาน 
3. การพัฒนาพิธีการศุลกากร กระบวนการนำเข้า – ส่งออกที่เกี่ยวข้อง และการอำนวยความสะดวกในการขนส่งระหว่างประเทศ
4. การพัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย
5. การส่งเสริมวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร และการติดตามผลด้านโลจิสติกส์  ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เเห่งสหประชาชาติด้วย

“นายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงสร้างของประเทศให้มีศักยภาพเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งเมื่อประกอบกับข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของประเทศ เชื่อมั่นว่าไทยจะก้าวเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค การจัดงานดังกล่าว จะเป็นโอกาสดี เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางเศรษฐกิจ การค้า และเพิ่มจำนวนการลงทุนในประเทศ รองรับขีดความสามารถและความพร้อมในการแข่งขันต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวไทย 7 เดือน 1.084 ล้านล้านบา มาเลเซียมาเยือนเยอะสุด

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รายงานถึงข้อมูลการท่องเที่ยวไทยที่ขณะนี้เป็นภาคเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง เป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยใน 7 เดือนแรกของปี 66 (ม.ค.-ก.ค.) ภาคการท่องเที่ยวสร้างภายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติรวมกัน 1,084,575 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 638,161 ล้านบาท
 
ทางด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ก็คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึง 30 ก.ค. 66 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 15,322,175 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 384 เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนแรกของปี 65  ซึ่ง 5 อันแรกของประเทศต้นทางที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ได้แก่

1)มาเลเซีย 2,439,710 คน

2) จีน 1,839,660 คน

3)เกาหลีใต้ 907,463 คน

4) อินเดีย 885,772 คน และ

5) รัสเซีย 854,946 คน
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากจะเป็นผลจากสถานการณ์โควิด19 ที่คลี่คลายแล้ว การจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จังหวัด และท้องถิ่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตที่เกิดขึ้น
 
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 2-6 ส.ค. 66 ททท. ได้จัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ประจำปี 2566” (TTF2023) ที่ ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะเป็นงานใหญ่ที่กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศในช่วงที่เหลือของปีนี้  โดยงานจะเน้นการถ่ายทอดวัฒนธรรม วิถีชีวิต อัตลักษณ์ กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เคยเห็น (Unseen) ของ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ มีพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมในงานที่แบ่งการจัดงานซึ่งแบ่งการจัดงานเป็น 8 โซน และมีกิจกรรมให้ความบันเทิงจากศิลปินมากมาย
 
ประชาชนสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center 1672 หรือที่เว็บไซต์ thai.tourismthailand.org/Articles/ttf2023

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ธ.ก.ส. พร้อมเดินหน้าแก้หนี้ครัวเรือน “สินเชื่อแทนคุณ” แก้ปัญหา Aging ลูกค้า

ธ.ก.ส. ร่วมสมาคมสถาบันการเงินของรัฐและสมาคมธนาคารไทย เดินหน้าแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับนโยบายของ ธปท. โดยจัดกลุ่มลูกหนี้ตามศักยภาพ พร้อมวางแนวทางและเครื่องมือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม เสริมด้วยความรู้เทคโนโลยีในการยกระดับรายได้ จัดทำโครงการสินเชื่อแทนคุณ วงเงิน 20,000 ล้านบาท แก้ปัญหา Aging ลูกค้า วางเป้าดึงทายาท 42,000 คน ร่วมบริหารจัดการหนี้และรักษาทรัพย์สินของครอบครัว พร้อมหนุนการต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า ยกระดับสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้มีการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนสอดรับกับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยแบ่งกลุ่มลูกหนี้ตามศักยภาพเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกหนี้ปกติ กลุ่มลูกหนี้ Hybrid และกลุ่มลูกหนี้ NPL และจัดทำเครื่องมือหรือวิธีการแก้ไขหนี้ให้สอดคล้องกับปัญหาที่แท้จริงของลูกหนี้เฉพาะกลุ่ม ควบคู่กับการเสริมความรู้ ทางการเงิน เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพและยกระดับรายได้ ซึ่งการดำเนินงานมีทั้งการวางแนวทางป้องกันไม่ให้หนี้ดีกลายเป็นหนี้เสียผ่านมาตรการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการชำระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง วงเงินดอกเบี้ยที่จ่ายคืนไปแล้ว 2,840 ล้านบาท มีลูกค้าได้รับประโยชน์ 2.58 ล้านราย มาตรการทางด่วนลดหนี้ มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลายได้ลดดอกเบี้ย ปี 2565 มาตรการตัดชำระหนี้ตามสัดส่วน (จ่ายดอก ตัดต้น) มาตรการปรับตารางชำระหนี้ (จ่ายต้น ปรับงวด) และแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้อันเป็นภาระหนัก เพื่อลดภาระและความกังวลใจในด้านภาระหนี้สินผ่านโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืน โดยปรับตารางการชำระหนี้ใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกค้าและที่มาของรายได้ รวมถึงการฟื้นฟูอาชีพ โดยพัฒนาอาชีพและเสริมสภาพคล่องในการลงทุน เพื่อประกอบอาชีพเพิ่มรายได้ ซึ่งการดำเนินงานตามแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าวช่วยแก้ปัญหาหนี้ NPL ภาคการเกษตร ลดลงจากร้อยละ 14.6ไปอยู่ที่ร้อยละ 7.68 ณ 31 มีนาคม 2566

ในส่วนของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งระบบ ตั้งแต่งวด เม.ย. 2563 ถึงงวด มี.ค. 2564 เป็นระยะเวลา 1 ปี มีผู้เข้าร่วมโครงการ 3 ล้านราย ต้นเงิน 938,466 ล้านบาท โครงการพักชำระหนี้โควิดภาคสมัครใจ และการจ่ายสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น วงเงินรายละ ไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งมีผู้ได้รับสินเชื่อไปแล้วทั้งสิ้น 913,548 ราย วงเงิน 9,086 บาท โดยในปัจจุบันยังมีหนี้คงค้างในกลุ่มดังกล่าว จำนวน 336,486 ราย จำนวนเงินคงค้าง 2,193 ล้านบาท
ด้านปัญหา Aging ของลูกค้า ธ.ก.ส. ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 35% ของลูกค้าทั้งหมด ธ.ก.ส. ได้จัดทำ โครงการสินเชื่อแทนคุณ วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่มีหนี้อันเป็นภาระหนักและมีความประสงค์จะโอนทรัพย์สินและหนี้สินให้กับทายาท เพื่อเปิดโอกาสให้ทายาทเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนและร่วมรักษาทรัพย์สินให้คงอยู่กับครอบครัว โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายสินเชื่อให้ทายาทที่มารับช่วงประกอบอาชีพ เพื่อปิดชำระหนี้เดิมของผู้สูงอายุ แบ่งเป็นสัญญาต้นเงิน (รวมต้นเงินเดิม) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 5 เท่ากับ MRR (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.975) ปีที่ 6 – 10 เท่ากับ MRR-1 และปีที่ 11 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR-2 กำหนดชำระคืนภายใน 15 ปี พิเศษไม่เกิน 20 ปี และสัญญาต้นเงิน (รวมดอกเบี้ยเดิม) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0กำหนดชำระคืนภายใน 15 ปี นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนทายาทในการต่อยอดการดำเนินธุรกิจของครอบครัว โดยการเติมความรู้ทางการเงิน เทคโนโลยี นวัตกรรม และเงินทุน เพื่อเพิ่ม Added Value สร้างความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อยกระดับสินค้าไปสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง โดยตั้งเป้าทายาทเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 42,000 คน

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า การแก้ไขหนี้ครัวเรือน สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ (สศป.) ธปท. ร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดทำโครงการแก้ไขหนี้สินเกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาวอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มรายได้และศักยภาพครัวเรือนเกษตรกร สร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และความรู้เท่าทันทางการเงินให้แก่เกษตรกร การปล่อยหนี้ใหม่ให้ยั่งยืน ทั่วถึงและตอบโจทย์ แก้หนี้เก่าให้ลูกหนี้ลดภาระหนี้และปลดหนี้ได้ การสร้างข้อมูลและองค์ความรู้ การศึกษาพฤติกรรม การชำระหนี้ของเกษตรกร และมีการกำหนดมาตรการจูงใจในการชำระหนี้ เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกหนี้ให้มีวินัยในการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ธ.ก.ส. ได้จัดทำโครงการชำระดีมีโชค โดยลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงตามกำหนดเวลาและจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระจริงทุก ๆ 1,000 บาท จะได้รับสิทธิ์ 1 สิทธิ์ ไปชิงโชครางวัลรวมมูลค่า 402 ล้านบาท ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 พร้อมกับพัฒนาเครื่องมือและช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการ ธ.ก.ส. ได้ง่ายขึ้น เช่น การชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus การชำระหนี้ผ่าน Banking Agent เป็นต้น ดังนั้น ขอให้เกษตรกรลูกค้าที่มีภาระหนี้สิน อย่ากังวลใจหรือปล่อยให้ปัญหาทับถม ขอให้เดินเข้ามาหาและปรึกษากับ ธ.ก.ส. ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้จัดทำโครงการมีหนี้นอกบอก ธ.ก.ส. ที่จะเข้าไปช่วยตอบโจทย์การแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและ Call Center 02 555 0555
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทย ‘มีเสถียรภาพ’ นักลงทุนต่างชาติ เพิ่ม70 %

 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม. (11 กรกฎาคม 2566) รับทราบการประกาศอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) โดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch) ประเทศไทยอยู่ที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) 


รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา พอใจผลการประเมินดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรการภาครัฐที่ทำได้ดี และยังวางรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจนะระยะต่อไป ดังเห็นจากการที่ Fitch คาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยที่ ร้อยละ 3.7 ในปีพ.ศ. 2566 และร้อยละ 3.8 ในปีพ.ศ. 2567 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.6 ในปี พ.ศ. 2565 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการบริโภคของภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง เช่น ตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการและนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 11.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2565 เป็นประมาณ 29 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งเกือบ 3 ใน 4 ของระดับก่อนเกิดโรคระบาด 

ทั้งนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น โดยถือเป็นจุดแข็งหลัก ที่เป็นเกราะป้องกันภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่ง Fitch คาดการณ์ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 2.0 ของ GDP ในปีนี้ (พ.ศ. 2566) และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ในปีพ.ศ. 2567 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการคลี่คลายของสถานการณ์ราคาน้ำมัน นอกจากนี้ คาดว่าทั้งปี 2566 ประเทศไทยจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก คือ 7.3 เดือน


โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Fitch ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ 

1. เศรษฐกิจมหภาค ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นในระยะปานกลาง โดยไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของหนี้ภาคเอกชน และ 

2. การคลังสาธารณะ ที่มีการลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) 


สอดคล้องกับ BOI ที่เปิดเผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปี 2566 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน 
– คำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม รวม 891 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
– คำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ
– อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 106 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด กว่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
– ในแง่พื้นที่ การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 306 โครงการ เงินลงทุนรวม 171,470 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47 ของการลงทุนทั้งหมด
– สำหรับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือนแรก จีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 61,500 ล้านบาท จาก 132 โครงการ ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 
– อันดับ 2 สิงคโปร์ 73 โครงการ เงินลงทุน 59,112 ล้านบาท 
– อันดับ 3 ญี่ปุ่น 98 โครงการ เงินลงทุน 35,330 ล้านบาท แต่มูลค่าคำขอรับการส่งเสริมจากญี่ปุ่นเติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีมูลค่า 16,793 ล้านบาท


“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจจนเห็นเป็นผลสำเร็จอย่างเด่นชัดจากตัวเลขการจัดอันดับ รัฐบาลดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างมีวุฒิภาวะ น่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพ เห็นได้จากตัวเลขหนี้สาธารณะที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ สอดคล้องกับตัวเลขการขอลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากโครงสร้างที่นายกรัฐมนตรีได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการจัดอันดับในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับการกำหนด และดำเนินนโยบายของรัฐบาลต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ “ส้มโอไทย” ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา

 
 

วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น ผ่านการส่งออกส้มโอฉายรังสี 4 สายพันธุ์ ไปยังกรุงวอชิงตัน ดีซี (Washington, D.C.) สหรัฐอเมริกา ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย และยังส่งออกมะม่วงของฤดูกาลปี 2566 มังคุด และผลไม้อื่น ๆ ของไทย เพื่อนำไปร่วมงานเฉลิมฉลองในวันชาติของสหรัฐอเมริกา และ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – สหรัฐอเมริกา ครบรอบ 190 ปี ในงานจัดแสดงผลไม้เทศกาล “Sawasdee DC Thai Festival” ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2566 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ไทยได้ส่งออกส้มโอชิปเมนท์แรก ไปยังสหรัฐฯ เพื่อจัดแสดงผลไม้ในงานเทศกาล Sawasdee DC Thai Festival ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ในโอกาสวันชาติของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2566 และ เพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-สหรัฐอเมริกา ครบรอบ 190 ปี ทั้งนี้ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงรายงานการส่งออกส้มโอไปสหรัฐฯ ครั้งแรก เป็นส้มโอฉายรังสี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ทองดี พันธุ์ขาวใหญ่ พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง และพันธุ์ขาวแตงกวา พร้อมด้วย มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ มหาชนก แดงจักรพรรดิ และเขียวเสวย รวมทั้งมังคุด รวมทั้งสิ้น จำนวน 72 กล่อง น้ำหนัก 864 กิโลกรัม

การส่งออกส้มโอไปสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกส้มโอ รวมถึงผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ที่จะมีตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เป็นประเทศที่เข้มงวดด้านมาตรการสุขอนามัยพืชอย่างสูง โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ได้มอบหมายหน่วยงานบริการตรวจสอบสุขภาพสัตว์และพืช (Animal and Plant Health Inspection Service : APHIS) ให้แจ้งถึงผลการทดสอบประสิทธิภาพการแพร่กระจายรังสีในบรรจุภัณฑ์ส้มโอ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะอนุญาตให้นำเข้า โดยส้มโอส่งออกจะต้องผ่านการฉายรังสีแกรมมา (Gamma: γ) ที่ระดับ 400 เกรย์ นาน 3 ชั่วโมง จากศูนย์ฉายรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) พร้อมโรงคัดบรรจุที่ได้รับอนุญาตให้คัดบรรจุส้มโอเพื่อการส่งออกได้ โดยผลไม้ของไทยที่ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศสหรัฐฯ ต้องฉายรังสีแกรมมา ปริมาณ 400 เกรย์ ก่อนส่งออก

ขณะนี้ผลไม้ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ มี 8 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย สับปะรด มังคุด แก้วมังกร เงาะ และล่าสุดได้แก่ ส้มโอ โดยกรมวิชาการเกษตรยังมีแนวทางที่จะสนับสนุนภาคเอกชนให้มีการจัดส่งทางเรือเพื่อลดต้นทุนและจัดส่งได้ครั้งละจำนวนมาก ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบในเชิงคุณภาพ โดยหากได้ผลดีจะเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ในเชิงการค้าต่อไป 

“นายกรัฐมนตรียินดีต่อผลความสำเร็จในการส่งออกส้มโอทั้ง 4 สายพันธุ์ของไทย เป็นเครื่องสะท้อนถึงคุณภาพของผลไม้ไทยที่มีมาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ นายกฯ เชื่อมั่นว่าเมื่อไทยผ่านมาตรฐานการส่งออกไปสหรัฐฯ จะเพิ่มโอกาสให้ผลไม้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกได้เพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต พร้อมขอบคุณความร่วมมือ การทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันสินค้าเกษตรของไทยให้มีศักยภาพ เพิ่มโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในตลาดต่างประเทศ” นายอนุชาฯ กล่าว

 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

SME D Bank นำร่อง 8 จังหวัด ทำโรงแรมขนาดเล็กได้

 

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า  SME D Bank ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร และหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น จัด “โครงการ Tourism Business 2023 พลิกฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวไทย” สนับสนุนลูกค้า SME D Bank และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง คว้าโอกาสเติบโตได้เต็มศักยภาพ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และตอบรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แก้กฎหมายให้อาคารที่พักอื่น สามารถประกอบธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก รวมถึง ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่เมืองรอง กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ ด้วยการพาเข้ารับความรู้จากทีมวิทยากร  ในหัวข้อ “ปลดล็อค ธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก… กฎหมายใหม่ ดันเข้าสู่แหล่งทุน” แนะนำแนวทางนำอาคารประเภทต่าง ๆ มาเป็นโรงแรมขนาดเล็ก ตามกฎหมายแก้ไขใหม่

นอกจากนั้น ได้รับความรู้การบริหารธุรกิจท่องเที่ยว รู้ทันทิศทางเทรนด์ตลาดท่องเที่ยวปี 2566-2567 เชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ ขยายตลาด อีกทั้ง ผู้ประกอบการที่ผ่านโครงการ จะได้รับ e-Certificate รับรองผ่านการอบรม สามารถใช้การันตีและต่อยอดธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้า และที่สำคัญ ยังเปิดโอกาสเข้าถึงสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษจาก SME D Bank วงเงินกู้สูงสุดถึง 50 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุดถึง 15 ปี  และสำหรับลูกค้าใหม่ เมื่อยื่นกู้และใช้วงเงิน 1 ล้านบาท ถึง 50 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2566 ได้รับ Cash Back ค่าประเมินหลักทรัพย์ค้ำประกัน มูลค่าสูงสุด 30,000 บาทต่อราย   

โครงการดังกล่าว นำร่องจัดอบรม 8 ครั้ง ในพื้นที่ 8 จังหวัด 5 ภูมิภาค ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง สิงหาคม 2566 ได้แก่ ภาคใต้ จัดที่ ภูเก็ต กับสุราษฎร์ธานี , ภาคตะวันออก จัดที่ เมืองพัทยา, ภาคกลาง จัดที่ กรุงเทพมหานคร, ภาคอีสาน จัดที่ ขอนแก่น กับ อุบลราชธานี และ ภาคเหนือ จัดที่ น่าน กับเชียงใหม่  ผู้ต้องการเข้าร่วมโครงการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนผู้ประกอบการ 02-265-3775 , 062-625-9428 ,094-543-8245 หรือ Call Center 1357

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลุยภาคเหนือ โชว์นวัตกรรมและ เทคโนโลยีสร้างสรรค์ หนุนรายได้ช่วยชุมชน

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 19.00 น. ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน อุตสาหกรรมแฟร์ ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ปั้นแต่ง โตไวด้วยดีพร้อม” พร้อมด้วย นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (รปอ.) นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (หน.ผตร.อก.) นายเดชา จาตุธนานันท์ นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (ผตร.อก.) และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน พร้อมได้รับเกียรติจาก นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เข้าร่วมด้วย ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าอุตสาหกรรมภาคเหนือ (DIPROM MICE CENTER) อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ปลัดฯ ณัฐพล กล่าวว่า สำหรับการจัดงานใน ครั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้ ดีพร้อม จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ปั้นแต่ง โตไว ด้วยดีพร้อม” 

 

ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการ ภาคีเครือข่ายภาครัฐ-ภาคเอกชน รวมถึงเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการแสดงศักยภาพด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกิดจากภูมิปัญญาและผสมผสานเทคโนโลยีการวิจัยและพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป รวมถึงการนำผลิตภัณฑ์เด่นและเน้นเอกลักษณ์ของภาคเหนือมาจัดจำหน่ายในราคาพิเศษ ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดลำปางและใกล้เคียง อีกทั้งยังเชื่อมโยงให้อุตสาหกรรมอยู่คู่ชุมชนอย่างเป็นมิตร อันจะเป็นการสร้างความสมดุลและกระตุ้นเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย “MIND” ใช้ “หัว”และ “ใจ” 

 

ในการทำงานมุ่งสู่ความสำเร็จ 4 มิติ ประกอบด้วย ความสำเร็จทางธุรกิจ การดูแลสังคม การรักษาสิ่งแวดล้อมและการกระจายรายได้สู่ชุมชน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านการกระจายรายได้ให้กับประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มุ่งการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบเพื่อรักษาวิถีชีวิต สร้างประโยชน์พัฒนาชุมชนรอบอุตสาหกรรม และ ต่อยอดอาชีพดีพร้อม รวมถึงการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ให้มีการกระจายโอกาสให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการในระดับภูมิภาคได้รับการพัฒนาและยกระดับศักยภาพให้สามารถแข่งขันได้ 

 

ทั้งนี้ งาน “อุตสาหกรรมแฟร์” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ปั้นแต่ง โตไวด้วยดีพร้อม” เป็นการผนึกกำลังจากหลายฝ่าย อาทิ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กฟผ. แม่เมาะ และภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน ในโชว์ศักยภาพภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยี นวัตกรรม อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นสู่เชิงพาณิชย์ การดูแลสังคมโดยรอบโรงงานอุตสาหกรรมและรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด BCG Model ผ่านการพัฒนาแม่เมาะ เมืองน่าอยู่ (Mae Moh Smart City) โดยมีผู้ประกอบการกว่า 80 ร้านค้าทั่วประเทศ ร่วมทดสอบตลาดและเชื่อมโยงธุรกิจ และเสิร์ฟอาชีพดีพร้อมสร้างรายได้ให้ชุมชน หวังกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น 

 

ทั้งนี้ งานดังกล่าวฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าอุตสาหกรรมภาคเหนือ (DIPROM MICE CENTER) อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โดยตลอดการจัดงานทั้ง 8 วัน กระทรวงอุตสาหกรรม คาดหวังว่าผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปจะได้รับทราบถึงแนวทางการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และการแสดงศักยภาพในด้าน1นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่สะท้อนภาพอันเกิดจากภูมิปัญญาและการผสมผสานเทคโนโลยีการวิจัยและการพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ยังมีการเจรจาจับคู่และเชื่อมโยงธุรกิจของผู้ประกอบการทั่วประเทศมากกว่า 400 ราย รวมถึงมีการจัดสัมมนาให้ความรู้ฝึกอาชีพกว่า 30 หลักสูตร และมีการออกร้านค้าเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการ SME โดยคาดการณ์ว่าการจัดงานครั้งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานมากกว่า 50,000 คน และสามารถสร้างเงินสะพัดในจังหวัดลำปาง มากกว่า 100 ล้านบาท

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บสย. – KODIT เกาหลี เร่งยกระดับ ESG แพลตฟอร์มค้ำประกัน หนุนธุรกิจ SMEs เติบโตยั่งยืน

 

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้บริการของภาครัฐสะดวก รวดเร็ว อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายผลักดันรัฐบาลดิจิทัล พร้อมจัดทำแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ตลอดจนมอบหมายให้หน่วยงานรัฐพัฒนาแอปฯ และบริการออนไลน์จำนวนมากเพื่อพัฒนาภาครัฐเป็นรัฐบาลดิจิทัล ทั้งนี้ หน่วยงานราชการหลาย ๆ หน่วยงานได้สานต่อนโยบาย พัฒนารูปแบบการให้บริการแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน ทำให้มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นส่วนราชการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อ โดยเฉพาะการแอบอ้างเรื่องการชำระค่าปรับต่าง ๆ  

นางสาวรัชดา กล่าวว่า เพื่อให้รู้ทันกลโกงของมิจฉาชีพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะวิธีสังเกตใบสั่งจราจรอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดส่งทางไปรษณีย์ไปยังเจ้าของรถถึงบ้าน ว่าฉบับไหนเป็นของจริง-ของปลอม ซึ่งการออกใบสั่งจราจรอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรก จะมีรูปถ่ายรถ หมายเลขทะเบียนรถ และข้อหากระทำความผิดครบ หากไม่จ่ายค่าปรับใน 7 วัน จะมีใบเตือน ส่วนการออกครั้งที่สองนั้น เป็นใบเตือนให้ชำระค่าปรับใบสั่ง ซึ่งในเอกสารครั้งที่สองนี้ จะไม่มีรูปถ่ายรถประกอบ แต่จะมีแค่ QR code บอกวิธีการชำระเงิน และมีลายเซ็นนายตำรวจระดับสารวัตรขึ้นไปเซ็นประกอบ ยืนยันว่าเป็นเอกสารทางราชการจริง 

“การออกใบสั่งจราจรอิเล็กทรอนิกส์จะต้องมีการลงระบบ PTM ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน ผู้ได้รับใบสั่งจราจรสามารถตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นใบสั่งจริง โดยนำเลขที่ใบสั่ง ไปตรวจสอบได้ที่ https://ptm.police.go.th/eTicket ส่วนจุดสังเกตที่สำคัญ คือ บัญชีธนาคารปลายทางที่จะรับเงิน ต้องเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ – ค่าปรับจราจร” เท่านั้น ( ถ้าเป็นชื่อบัญชีส่วนบุคคลให้สงสัยว่าเป็นใบสั่งปลอม ) ขอให้ประชาชนผู้ที่ได้รับสั่ง ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อเสียค่าปรับ จะได้ไม่หลงกลของมิจฉาชีพ” นางสาวรัชดา ย้ำ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ครม.เคาะ! สินค้าและบริการควบคุม 51 รายการ ปี 66

 

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 ว่า สืบเนื่องจากประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ฉบับที่ 13 พ.ศ.2565 จะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 วันนี้ ครม.จึงมีมติเห็นชอบกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 2566 จำนวน 51 รายการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้คงสินค้าและบริการควบคุม ปี 2566 เช่นเดียวกับ ปี 2565 เพราะเป็นสินค้าและบริการควบคุมที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น ปุ๋ย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง ข้าวเปลือก ไข่ไก่ เนื้อสุกร เครื่องแบบนักเรียน เป็นต้น
 
สินค้าและบริการควบคุมปี 2566 จำนวน 51 รายการ แบ่งเป็น 46 สินค้า 5 บริการ โดยกำหนดเป็น 11 หมวด ดังนี้
 
1.หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1)กระดาษทำลูกฟูก กระดาษเหนียว 2)กระดาษพิมพ์และเขียน
 
2.หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง ได้แก่ 3)ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ 4)รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก
 
3.หมวดปัจจัยทางการเกษตร ได้แก่  5)กากดีดีจีเอส (ส่วนที่เหลือจากการผลิตเอทานอล) 6)เครื่องสูบน้ำ 7)ปุ๋ย 8)ยาป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช  9)รถเกี่ยวข้าว 10)รถไถนา 11)หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์
 
4.หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ได้แก่ 12)ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 13) น้ำมันเชื้อเพลิง
 
5.หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ ได้แก่ 14)ยารักษาโรค 15)เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค
 
6.หมวดวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ 16)ท่อพีวีซี 17)ปูนซีเมนต์ 18)สายไฟฟ้า 19)เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น
 
7.หมวดสินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ 20)ข้าวเปลือก ข้าวสาร 21)ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ 22)ข้าวโพด 23)ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ 24)ผลปาล์มน้ำมัน 25)มะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์ 26)ยางพารา ได้แก่ น้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครพ
 
8.หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ 27)กระดาษชำระ กระดาษเช็ดหน้า 28)แชมพู 29)ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก 30)ผลิตภัณฑ์ล้างจาน 31)ผ้าอนามัย 32)ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ 33)สบู่ก้อน สบู่เหลว
 
9.หมวดอาหาร ได้แก่ 34)กระเทียม 35)ไข่ไก่ 36)ทุเรียน 37)นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว 38) น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ 39)แป้งสาลี 40)มังคุด 41)ลำไย 42)สุกร เนื้อสุกร 43)หอมหัวใหญ่ 44)อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก 45)อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท
 
10.หมวดอื่น ๆ ได้แก่ 46)เครื่องแบบนักเรียน
 
11.หมวดบริการ ได้แก่ 47)การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า 48)บริการซื้อขายและหรือบริการขนส่งสินค้าสาหรับธุรกิจออนไลน์ 49) บริการทางการเกษตร 50)บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค และ 51)บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รัฐบาลเร่งพัฒนาไทย เตรียมรองรับ การลงทุนอุตสาหกรรม “เซมิคอนดักเตอร์”

 

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญในการเร่งสร้างและพัฒนากำลังคนของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve & New S Curve) และทันกับการเปลี่ยนแปลงและทิศทางการพัฒนาของโลก โดยเฉพาะเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เช่น สมาร์ทโฟน แทบเล็ต ยานยนต์สมัยใหม่ ตลอดจนอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่ต้องอาศัย AI และคาดว่าความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ยังจะเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยมีการลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนการประกอบและทดสอบ (assembly and testing) และเริ่มมีในส่วนของการออกแบบ (IC Design) บ้าง แต่ยังขาดในส่วนการผลิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้น รัฐบาลโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้มีการแสวงหาความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศและภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำทั้งในและนอกประเทศ เพื่อให้เกิดการผลิตกำลังคนด้านนี้ให้รวดเร็วและมีปริมาณมากเพียงพอสำหรับการพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

นายอนุชาฯ กล่าวว่า ล่าสุดข้อมูลของ อว. ระบุว่า ขณะนี้ มีมหาวิทยาลัยไทย 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม.เกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.สงขลานครินทร์ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ให้ความสนใจในการทำหลักสูตรในการผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยได้มีการร่วมหารือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ 6 แห่งของไต้หวัน ที่มีการเรียนการสอนและทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชนในด้านเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึง Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อร่วมมือกันในการผลิตกำลังคนและงานวิจัย โดยในการผลิตกำลังคนจะมีการจัดทำหลักสูตรในระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท ด้าน Semiconductor ร่วมกัน โดยมหาวิทยาลัยไทยจะใช้วิธีการ Higher Education Sandbox ในการพัฒนาหลักสูตร ที่ไม่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการผลิตบัณฑิตให้ตอบสนองต่อการผลิตคนที่มีคุณภาพ ที่มีปริมาณมากและรวดเร็ว โดยตั้งเป้าให้มีนักศึกษาที่มีศักยภาพสูงในโปรแกรมไม่น้อยกว่า 200 คน/ปี ในสาขาที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ด้านเครื่องมือ ด้านวัสดุ ด้านการออกแบบ IC ด้านกระบวนการผลิต ด้านการทดสอบและแพ็กกิ้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง ทั้งนี้ นอกจากหลักสูตรในระดับปริญญาแล้ว มหาวิทยาลัยไต้หวันบางแห่งจะช่วยในการดำเนินการจัดฝึกอบรมระยะสั้นให้แก่บุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย เพื่อเพิ่มพูนทักษะในด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ การส่งเสริมให้นักศึกษาไทยได้มีโอกาสในการฝึกปฏิบัติงานใน บริษัท Semiconductor ชั้นนำของโลกที่ไต้หวัน รวมถึงส่งเสริมให้นักวิจัยไทย ได้ทำวิจัยร่วมกับนักวิจัยของไต้หวันทางด้าน Semiconductor เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการวิจัยและพัฒนาในด้านนี้ด้วย 

“การดำเนินการและความร่วมมือดังกล่าวที่เกิดขึ้น รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสร้างความพร้อมให้กับประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เป็นอุตสาหกรรมขั้นสูงและมีความสำคัญในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curve & New S Curve) เช่น เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เศรษฐกิจชีวภาพ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทยด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News