Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศักดิ์สิทธิ์ เชียงรายอัญเชิญ “พระสิงห์” สรงน้ำสงกรานต์

เชียงรายจัดพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ สืบสานประเพณี “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” เสริมสิริมงคลรับสงกรานต์ 2568

ประชาชน-นักท่องเที่ยวหลั่งไหลร่วมพิธีตักบาตร พร้อมสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ บนราชรถบุษบกล้านนา สืบสานวัฒนธรรมอันงดงามของล้านนา

เชียงราย, 13 เมษายน 2568 – ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เทศบาลนครเชียงราย ได้จัดพิธีอัญเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า “พระสิงห์” ขึ้นบนราชรถบุษบกล้านนา ศิลปะแบบแพร่ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ร่วมสรงน้ำตามประเพณี “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีในจังหวัดเชียงราย

ประวัติความเป็นมาของพระพุทธสิหิงค์

“พระพุทธสิหิงค์” เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่มีประวัติยาวนาน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศักราช 700 เดิมประดิษฐานอยู่ในแถบลังกา ก่อนจะถูกอัญเชิญมาสู่แผ่นดินสยาม และประดิษฐานในดินแดนล้านนา อาทิ เชียงราย เชียงใหม่ และนครลำปาง โดยพระพุทธสิหิงค์องค์ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ เป็นองค์ที่ได้รับการอัญเชิญจากเชียงราย โดยประดิษฐานในเชียงใหม่นานถึง 255 ปี

สำหรับในจังหวัดเชียงราย ปัจจุบันได้มีการสร้างพระพุทธสิหิงค์จำลองขึ้นและประดิษฐานภายในพระวิหารแก้ว หรือหอพระสิงห์ วัดพระสิงห์ เทศบาลนครเชียงราย เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา เป็นสิริมงคลและเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเชียงราย

พิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ บนราชรถบุษบก สืบสานศิลปะล้านนา

ในช่วงเช้าของวันที่ 13 เมษายน 2568 เทศบาลนครเชียงราย นำโดย พันจ่าอากาศเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ร่วมกันอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ขึ้นประดิษฐานบนราชรถบุษบกศิลปะล้านนา เพื่อเคลื่อนขบวนผ่านถนนสายหลักในตัวเมืองเชียงราย โดยมีประชาชนชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวร่วมสรงน้ำตลอดสองข้างทางอย่างเนืองแน่น

ราชรถบุษบกที่ใช้ในพิธีมีลวดลายละเอียด ประณีต อ่อนช้อย สะท้อนเอกลักษณ์งานศิลป์ของช่างฝีมือท้องถิ่น และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเคารพศรัทธาอันลึกซึ้งที่ประชาชนมีต่อองค์พระพุทธสิหิงค์

พิธีทำบุญตักบาตร รับปีใหม่เมืองอย่างสงบและงดงาม

ภายหลังจากการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ได้มีการจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ซึ่งได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระแก้ว พระอารามหลวง นำคณะพระภิกษุสงฆ์ออกบิณฑบาต โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ประชาชน และนักท่องเที่ยว ร่วมกันทำบุญตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่

บรรยากาศของพิธีเป็นไปด้วยความสงบ เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความผูกพันที่ชาวเชียงรายมีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น

การมีส่วนร่วมของประชาชนและบทบาทของเทศบาลในการอนุรักษ์วัฒนธรรม

งานประเพณีปี๋ใหม่เมืองครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย หน่วยงานวัฒนธรรม ภาคประชาชน และภาคเอกชน ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมอนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนาอย่างครบถ้วน ทั้งการประดับตุงแบบโบราณ การจัดขบวนแห่ การแสดงฟ้อนรำ และการสรงน้ำพระในวัดต่าง ๆ

เทศบาลนครเชียงรายยังได้ร่วมกับโรงเรียนในสังกัดจัดกิจกรรมเรียนรู้ประเพณีปี๋ใหม่เมืองให้แก่เยาวชน ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความเข้าใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรม และเกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น

วัฒนธรรมล้านนาคือหัวใจของสงกรานต์เชียงราย

แม้ในปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยจะถูกมองว่าเป็นเพียงเทศกาลเล่นน้ำและการท่องเที่ยว แต่จังหวัดเชียงรายยังคงรักษา “หัวใจ” ของเทศกาลนี้ไว้ได้อย่างมั่นคง ผ่านพิธีกรรม พุทธศาสนา และประเพณีท้องถิ่นที่ลึกซึ้ง

“ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง” ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่แบบล้านนาเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งการทบทวนตนเอง การอธิษฐาน การแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ และการขอขมาลาโทษซึ่งกันและกัน ตลอดจนการสืบสานมรดกภูมิปัญญาที่ส่งต่อมาหลายร้อยปี

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า ในเทศกาลสงกรานต์มีประชาชนร่วมกิจกรรมสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ ณ เทศบาลนครเชียงรายกว่า 12,000 คน
  • ข้อมูลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ปี 2566 พบว่า จังหวัดเชียงรายเป็น 1 ใน 5 จังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภาคเหนือ
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่า ช่วงสงกรานต์ปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามากว่า 97,000 คน สร้างรายได้รวมกว่า 238 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เจ็ดเป็งเชียงราย สรงน้ำพระธาตุ ผู้ว่าฯ ร่วมวางศิลาฤกษ์กุฏิ

เชียงรายจัดงาน “เจ็ดเป็ง สรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด” อย่างยิ่งใหญ่ สืบสานประเพณีปี๋ใหม่เมือง

คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนร่วมงานพร้อมใจ วางศิลาฤกษ์กุฏิสงฆ์ใหม่ เสริมสิริมงคลรับปีใหม่เมือง

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้จัดงานประเพณี “เจ็ดเป็ง สรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด” ประจำปี 2568 อย่างสมเกียรติ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมล้านนาเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ หรือที่ชาวเหนือเรียกว่า “ปี๋ใหม่เมือง” โดยพิธีเริ่มต้นขึ้นในเวลา 10.00 น. ท่ามกลางบรรยากาศอิ่มเอิบด้วยศรัทธาและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย

พระธรรมวชิโรดม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เสริมความศักดิ์สิทธิ์แห่งพิธีกรรม

ในพิธีครั้งนี้ พระธรรมวชิโรดม รศ.ดร. เจ้าคณะภาค 6 เจ้าอาวาสวัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร ได้เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย รวมทั้งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และคณะสงฆ์-สามเณรจากหลายวัดทั่วจังหวัดเชียงราย ร่วมประกอบพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พิธีสรงน้ำพระธาตุเจ็ดยอด ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของงานเจ็ดเป็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ที่สะท้อนความผูกพันระหว่างศาสนาและชุมชน งานนี้ได้รับการประสานงานอย่างใกล้ชิดโดยพระครูกิตติพัฒนานุยุต ดร. ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานจัดงาน และเป็นผู้ดูแลกระบวนการพิธีกรรมทั้งหมดให้ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย สมพระเกียรติ

ผู้ว่าฯ เชียงรายร่วมเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ขับเคลื่อนงานร่วมกับพุทธศาสนิกชน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการประกอบพิธี โดยมีนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ร่วมนำข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งถือเป็นการแสดงพลังศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างงดงาม

ในโอกาสนี้ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย นำโดยพระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกันถวายน้ำสรงแด่พระธรรมวชิโรดม เจ้าคณะภาค 6 ตามประเพณีปี๋ใหม่เมือง อันเป็นการแสดงความเคารพและสืบสานจารีตโบราณที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ

พิธีวางศิลาฤกษ์กุฏิสงฆ์ใหม่ ยกระดับบทบาทวัดเจ็ดยอดในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาเชียงราย

ภายหลังพิธีสรงน้ำพระธาตุ คณะสงฆ์ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ยังได้ร่วมกันประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ “กุฏิสงฆ์หลังใหม่” ภายในวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง เพื่อรองรับการขยายบทบาทของวัดในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา และการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในภูมิภาค

พิธีวางศิลาฤกษ์ในครั้งนี้ นอกจากจะมีความหมายทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยนัยยะเชิงสัญลักษณ์ถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่มั่นคง และการสืบทอดศาสนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมปฏิบัติงานในพิธีดังกล่าว

งานประเพณี “เจ็ดเป็ง” สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา-รากเหง้าทางศาสนาและวัฒนธรรม

“เจ็ดเป็ง” เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ถือเป็นการเริ่มต้นกิจกรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่เมือง โดยมีกิจกรรมหลักคือการสรงน้ำพระธาตุประจำวัด ซึ่งเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในพื้นที่ การจัดงานดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมเชิงศาสนาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ และชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การสืบสานประเพณี = การพัฒนาจิตใจและชุมชน

งานเจ็ดเป็งถือเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นถิ่น ศาสนพิธี และจิตวิญญาณแห่งพุทธศาสนา ผ่านการมีส่วนร่วมในงานอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดขบวนแห่ การบรรเลงดนตรีพื้นเมือง การสวดมนต์ และการฟังธรรมเทศนา ซึ่งนับเป็นกระบวนการพัฒนาทางจิตใจและสังคมควบคู่กันไป

นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ร้านค้าอาหารท้องถิ่น และผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานและแสวงบุญในช่วงเทศกาล

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า งานประเพณีเจ็ดเป็งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 8,000 คนในปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็นรายได้ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นกว่า 12 ล้านบาท
  • ข้อมูลจากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ปี 2567 พบว่า กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในช่วงสงกรานต์ในภาคเหนือ มีประชาชนเข้าร่วมงานรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (www.m-culture.go.th/chiangrai)
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (www.dra.go.th)
  • รายงานประจำปีของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (www.onab.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิ์” ที่เชียงราย เฉลิมพระเกียรติ

เชียงรายเตรียมปลูก “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลสำคัญแห่งปี 2568

เชียงรายเร่งประชุมวางแผนปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในพื้นที่พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทาน “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญเนื่องในโอกาสพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมกษัตริยาธิราชแห่งราชวงศ์จักรี

พระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ปวงประชา

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานต้นพระศรีมหาโพธิ์ให้แก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อมอบให้แก่ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรไทย โดยให้ปลูกไว้ในสถานที่อันเป็นสิริมงคล เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง ร่มเย็น และสันติสุขในบ้านเมือง

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ดังกล่าว ทรงพระราชทานนามว่า “พระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตร” (อ่านว่า พระ-สี-มะ-หา-โพ-ทิ-ทด-สะ-มะ-ราด-ชะ-บอ-พิด) ซึ่งมีความหมายว่า “พระศรีมหาโพธิ์ที่พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นต้นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพนับถือในพุทธศาสนา และมีคุณค่าทางจิตใจอย่างสูงสุด

เชียงรายพร้อมเสนอ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” เป็นสถานที่ปลูกพระศรีมหาโพธิ์

ในที่ประชุม จังหวัดเชียงรายได้มีมติให้ “พุทธมณฑลสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย” ตั้งอยู่ที่บ้านต้นง้าว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการปลูกพระศรีมหาโพธิทศมราชบพิตรในครั้งนี้ ด้วยลักษณะพื้นที่อันสงบเงียบ มีความพร้อมด้านภูมิทัศน์และสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาในระดับจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง

สถานที่ดังกล่าวยังถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในภาคเหนือ และเคยเป็นสถานที่จัดงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่ของจังหวัดเชียงรายในอดีต การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ สถานที่แห่งนี้ จึงนับเป็นเกียรติอันสูงสุดของประชาชนในพื้นที่

การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงการจัดเตรียมพื้นที่ให้พร้อมรับการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมหลุมปลูก การปรับสภาพดิน การติดตั้งระบบรดน้ำ การจัดแสงสว่าง และการดูแลรักษาต้นไม้ในระยะยาว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพระพุทธศาสนา และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ต่างให้ความร่วมมือและวางแผนการดำเนินการอย่างรัดกุม

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงพิธีกรรมทางศาสนาที่จะจัดขึ้นในวันปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยจะมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเข้าร่วมพิธี รวมถึงจะเชิญชวนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อแสดงความจงรักภักดีและร่วมเป็นสักขีพยานในโอกาสสำคัญนี้

พระศรีมหาโพธิ์  สัญลักษณ์แห่งศรัทธา ความร่มเย็น และพระราชไมตรี

พระศรีมหาโพธิ์มิใช่เพียงต้นไม้ แต่ยังเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นโพธิ์ยังเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมอันยิ่งใหญ่ จึงมีนัยยะทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง สำหรับการปลูกพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนี้ จึงมิได้เป็นเพียงพิธีปลูกต้นไม้ หากแต่เป็นการสื่อถึงสายใยแห่งศรัทธาและพระราชไมตรีที่พระองค์มีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

มิติด้านศาสนา วัฒนธรรม และสังคมที่ได้รับจากโครงการฯ

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ยังมีนัยสำคัญในมิติของการส่งเสริมพระพุทธศาสนา การทำนุบำรุงวัฒนธรรมท้องถิ่น และการเสริมสร้างจิตสำนึกสาธารณะของประชาชนในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น “แลนด์มาร์กทางจิตวิญญาณ” ที่ผู้คนสามารถเดินทางมาสักการะ ทำบุญ และปฏิบัติธรรมได้ตลอดปี

บทวิเคราะห์และความสำคัญในระยะยาว

การปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานในจังหวัดเชียงรายครั้งนี้ สะท้อนถึงการบูรณาการของหลายภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างจุดศูนย์รวมทางศาสนาและวัฒนธรรมของภาคเหนือ ตลอดจนสร้างพื้นที่สีเขียวที่มีความหมายทางจิตใจต่อประชาชน

นอกจากนี้ ยังถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองพุทธศาสนาและเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาอันลึกซึ้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณในระยะยาว

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ปี 2567 กระทรวงมหาดไทยได้รายงานว่า มีการปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญกว่า 1.2 ล้านต้นทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มีต้นพระศรีมหาโพธิ์พระราชทานกว่า 7,000 ต้น
  • จากการสำรวจโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ปี 2566 ระบุว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลูกในสถานที่ทางศาสนา มีอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยถึง 94%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

นายกฯ หนุนผ้าไทย ใส่สนุก สงกรานต์นี้ อุดหนุนเลย

นายกฯ แพทองธาร ชู “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” รับสงกรานต์ 2568 ดัน Soft Power วัฒนธรรมไทย สร้างรายได้ชุมชนอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – บรรยากาศการเตรียมพร้อมเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ 2568 ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสุขของคนไทยทั่วประเทศ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลไทยใช้เป็นเวทีขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยให้เป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ณ ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีการจัดกิจกรรมภายใต้แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก

รัฐบาลหนุนผ้าไทยสู่ Sustainable Fashion ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

การเยี่ยมชมในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจาก นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานผ้าไทยจากกลุ่มผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าบาติก และผ้าลายพระราชทาน ที่ได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย ใช้วัสดุธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “วันนี้เราไม่ได้มองผ้าไทยแค่ในฐานะเครื่องแต่งกายอีกต่อไป แต่คือ Soft Power ที่มีคุณค่าทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างรายได้ กระจายโอกาสให้ถึงมือชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ห่างไกล”

ผ้าไทย = รายได้คนไทย เมื่อแฟชั่นเชื่อมต่อกับความยั่งยืน

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกันอุดหนุนผ้าไทย ไม่ว่าจะซื้อไว้ใส่เอง ใช้ในกิจกรรมประเพณีหรือมอบเป็นของขวัญให้ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อสืบสานภูมิปัญญาไทยและเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศ

“ทุกบาทที่เราจ่ายไปกับผ้าไทย ไม่ใช่แค่การซื้อผ้า แต่คือการลงทุนในคุณค่าของชุมชน ทุนทางวัฒนธรรม และคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รากฐานของการพัฒนา

กลุ่มผู้ประกอบการที่นำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมในงาน ได้แก่

  • ศูนย์การเรียนรู้และออกแบบขวัญตา จ.หนองบัวลำภู
  • กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ จ.กาฬสินธุ์
  • กลุ่มยาริงบาติก จ.ปัตตานี

กลุ่มเหล่านี้ไม่เพียงเป็นผู้ชนะจากการประกวดผ้าลายพระราชทานเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของความสำเร็จในการพัฒนาแบรนด์ท้องถิ่นไปสู่ตลาดระดับประเทศและสากล

ผ้าไทยใส่ให้สนุก” = ความงาม + ความภูมิใจ + ความยั่งยืน

แนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงวัฒนธรรม แต่สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มุ่งให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงผ้าไทยได้ง่ายขึ้น ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมรูปแบบที่ทันสมัย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะในสำนักงาน ชุมชน หรือเทศกาล

การออกแบบที่ร่วมสมัย การใช้สีจากธรรมชาติ และการพัฒนาระบบการผลิตที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นองค์ประกอบของแนวคิด “Sustainable Fashion” ที่ประเทศไทยกำลังผลักดันสู่เวทีโลก

Soft Power ที่เป็นมากกว่าวัฒนธรรม คือเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายผลักดัน Soft Power เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคชนบทที่มีทุนวัฒนธรรมอยู่มาก การพัฒนาเครือข่ายผ้าทอชุมชน จึงเป็นการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ทำลายรากเหง้าแห่งภูมิปัญญา

กรมการพัฒนาชุมชนระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศกว่า 12,400 กลุ่ม สามารถสร้างมูลค่ารวมกว่า 8,900 ล้านบาท/ปี และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7–9% ต่อปี หลังการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐ

บทวิเคราะห์ ผ้าไทยในโลกเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ในยุคที่ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีที่มาชัดเจนและมีความยั่งยืน ผ้าไทยไม่ใช่เพียงเครื่องนุ่งห่ม แต่คือ “สินค้าเชิงวัฒนธรรม” ที่มีโอกาสขยายตลาดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การสนับสนุนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างกระแสเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์ในการ “ยกระดับผ้าไทย” ให้มีบทบาทในเวทีแฟชั่นระดับโลก โดยใช้สงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนไทยให้ความสำคัญกับการแต่งกายพื้นถิ่น เป็นเวทีผลักดันให้ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าไทยทั่วประเทศ: 12,407 กลุ่ม (ข้อมูลจากกรมการพัฒนาชุมชน, มี.ค. 2568)
  • มูลค่าการจำหน่ายผ้าไทยในประเทศ ปี 2567: ประมาณ 8,900 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของยอดขายผ้าไทยหลังการส่งเสริมจากรัฐ: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7–9% ต่อปี
  • ประชาชนที่ซื้อผ้าไทยเป็นของขวัญช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567: กว่า 2.3 ล้านคน (จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม ม.ราชภัฏเชียงใหม่)
  • กลุ่มผู้ผลิตผ้าที่เข้าร่วมงานแสดงที่ทำเนียบรัฐบาล 8 เม.ย. 2568: มากกว่า 30 กลุ่มจาก 20 จังหวัด
  • ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าไทยในงานครั้งนี้ (เบื้องต้น): รวมมากกว่า 1.2 ล้านบาท (จากข้อมูลกรมการพัฒนาชุมชน ณ วันจัดงาน)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์วิจัยแฟชั่นและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
  • สมาคมส่งเสริมผ้าไทยแห่งประเทศไทย
  • สำนักข่าวทำเนียบรัฐบาล
  • รายงานนโยบาย Soft Power สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดต่าง ๆ
  • ข้อมูลโครงการ Thailand Textile Sustainable ปี 2566
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายเฟ้นหา 46 ศิลปิน คนรุ่นใหม่ ขัวศิลปะ

เชียงรายเปิดโครงการ “Artbridge Young Artist 2025” ปลุกพลังศิลปินรุ่นใหม่ สู่เวทีศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีการจัดพิธีเปิดโครงการ “ศิลปินรุ่นใหม่ขัวศิลปะ Artbridge Young Artist 2025” ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum: CCAM) ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมี อาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปะและวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง เป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ

ขัวศิลปะ จุดศูนย์กลางพลังสร้างสรรค์ของศิลปินเชียงราย

โครงการศิลปินรุ่นใหม่ขัวศิลปะ “Artbridge Young Artist 2025” จัดขึ้นโดย สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศิลปินในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายซึ่งมีรากฐานทางศิลปะเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน โครงการในปีนี้จัดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน – มิถุนายน 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะให้แก่ ศิลปินรุ่นใหม่จำนวน 46 คน ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย พื้นที่แห่งนิเวศน์ศิลปะ

การจัดโครงการครั้งนี้มีสถานที่หลักอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศิลปะร่วมสมัยแห่งใหม่ของภาคเหนือ โครงการมุ่งส่งเสริมให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้พัฒนาผลงานภายใต้ “นิเวศน์แห่งศิลปะ” (Artistic Ecosystem) ซึ่งรวมถึงการฝึกปฏิบัติจริง การรับคำแนะนำจากศิลปินอาวุโส การนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ และการเรียนรู้ผ่านเวิร์กชอปเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา

ภายในพิธีเปิด มีศิลปินอาวุโสและศิลปินเชียงรายผู้มีชื่อเสียงหลายท่านร่วมให้กำลังใจแก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดแรงบันดาลใจในการทำงานศิลปะอย่างใกล้ชิด

บทบาทของภาครัฐและท้องถิ่นในการผลักดันศิลปะร่วมสมัย

ภายในงานมีการมอบหนังสือสูจิบัตร Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ให้แก่ศิลปินรุ่นใหม่ทั้ง 46 คน โดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม และ นายวรพล จันทร์คง นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ เป็นผู้แทนมอบ เพื่อเป็นต้นทุนทางความรู้ที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์และแนวคิดด้านศิลปะร่วมสมัย

การสนับสนุนดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางเชิงรุกของจังหวัดเชียงรายในการผลักดัน “Soft Power” ผ่านศิลปะและวัฒนธรรม โดยมุ่งหวังให้ศิลปินรุ่นใหม่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเมืองแห่งศิลปะและสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน

เป้าหมายระยะยาว เชียงรายกับบทบาทบนเวทีศิลปะนานาชาติ

จังหวัดเชียงรายกำลังอยู่ในกระบวนการผลักดันเข้าสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) โดยใช้ศิลปะร่วมสมัยเป็นกลไกสำคัญ โครงการ Artbridge Young Artist ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ความรู้ และการสร้างผลงานที่มีคุณภาพระดับสากล เพื่อยกระดับเชียงรายสู่ศูนย์กลางศิลปะระดับภูมิภาคและระดับโลก

ศิลปินรุ่นใหม่ พลังแห่งความหวังในโลกศิลปะร่วมสมัย

ศิลปินรุ่นใหม่ที่ได้รับคัดเลือกในปี 2568 นี้ มีทั้งนักศึกษาศิลปะจากมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ เยาวชนจากชุมชน และศิลปินอิสระจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยแต่ละคนจะได้รับโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงศิลปินมืออาชีพ ทั้งยังมีโอกาสจัดแสดงนิทรรศการ ณ CCAM และมีส่วนร่วมในการสร้างกิจกรรมศิลปะในชุมชน

บทวิเคราะห์ ขัวศิลปะกับการสร้างระบบนิเวศศิลปะของภาคเหนือ

การจัดตั้งโครงการเชิงต่อเนื่องของสมาคมขัวศิลปะ เช่น Artbridge Young Artist ช่วยให้เชียงรายสามารถสร้าง ระบบนิเวศศิลปะ” (Art Ecosystem) ที่ประกอบด้วย

  • พื้นที่แสดงงานและแลกเปลี่ยน
  • กลไกการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่
  • การบ่มเพาะศิลปินอย่างเป็นระบบ
  • การพัฒนาทุนวัฒนธรรมให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม

ในภาพรวม การขับเคลื่อนของขัวศิลปะสะท้อนถึงแนวโน้มของจังหวัดเชียงรายที่จะกลายเป็น มหานครแห่งศิลปะร่วมสมัย ของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในอนาคตอันใกล้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • จำนวนศิลปินรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการ Artbridge Young Artist 2025: 46 คน
  • จำนวนผู้เข้าชมนิทรรศการศิลปะในเชียงราย ปี 2567: กว่า 180,000 คน (ข้อมูลจากสมาคมขัวศิลปะ)
  • มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายในสาขาศิลปะร่วมสมัย ปี 2567: ประมาณ 87 ล้านบาท (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีในเชียงราย: 23 แห่ง (รวมทั้งภาครัฐและเอกชน)
  • นักท่องเที่ยวที่เดินทางเพื่อเยี่ยมชมงานศิลปะโดยตรงในจังหวัดเชียงราย: คิดเป็น 12.4% ของนักท่องเที่ยวทั้งจังหวัด (จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด 6.19 ล้านคน ปี 2567)
  • งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023: มีผู้เข้าร่วมกว่า 350,000 คน ตลอดระยะเวลาจัดงาน (ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM)
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • รายงานผลการจัดงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023
  • UNESCO Creative Cities Network Thailand Coordination Unit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายปั้นเทศกาลโลก อวดเมือง ดึงดูดนานาชาติ

เชียงรายระดมความคิดยกระดับเทศกาลไทยสู่เวทีนานาชาติ หวังสร้างภาพลักษณ์ “เมืองแห่งเทศกาล”

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – สำนักงานจังหวัดเชียงรายจัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำโครงการ “เพิ่มขีดความสามารถผู้จัดเทศกาลไทย ผู้สร้างสรรค์เทศกาลไทยสู่เวทีนานาชาติ” ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายใต้เป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนเมืองเชียงรายสู่การเป็นเมืองแห่งเทศกาล พร้อมยกระดับการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ประชุมวางรากฐาน “เทศกาลของเมือง” สู่ระดับโลก

เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมสำนักงานจังหวัดเชียงราย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นภายใต้โครงการดังกล่าว โดยได้รับเกียรติจาก นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม แทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ที่มอบหมายหน้าที่ในครั้งนี้

การประชุมดังกล่าวมุ่งเน้นการเสนอแนวคิด สะท้อนปัญหา และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลในจังหวัด โดยเน้นการยกระดับงานเทศกาลให้เป็นมากกว่ากิจกรรมท้องถิ่น แต่สามารถขยายสู่ระดับนานาชาติได้อย่างมีศักยภาพ

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเสนอแนวทางพัฒนาเทศกาล

ในที่ประชุม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมและเสนอแนวคิดสำคัญหลายประการ อาทิ การคัดเลือกเทศกาลของจังหวัดเชียงรายเพื่อเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนออัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ และมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเทศกาลให้กลายเป็น “City Expo” ที่สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในระดับพื้นที่

บุคลากรผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายประกอบด้วย นางสาวณพิชญา นันตาดี, นางเพียรโสม ปาสาทัง, นายจิรัฏฐ์ ยุทธ์ธนประวิช และนายวรพล จันทร์คง ซึ่งได้ร่วมอภิปรายในประเด็นด้านการพัฒนาเทศกาลให้สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรมของเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึงการใช้ทุนทางวัฒนธรรมเดิม ผสานแนวคิดใหม่ในการออกแบบกิจกรรมให้ทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่

เปิดเวทีให้ภาคีเครือข่ายร่วมขับเคลื่อน

การประชุมในครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลนครเชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย และ YEC เชียงราย ที่ได้นำเสนอมุมมองของผู้ประกอบการและภาคเอกชนต่อการจัดเทศกาลในระดับจังหวัดและแนวทางการยกระดับให้เข้าถึงมาตรฐานสากล

ตัวแทนจากหอการค้าจังหวัดเชียงราย ได้เน้นถึงโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการจัดเทศกาลในลักษณะ “เทศกาลเมือง” ที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นช่องทางสร้างงานและรายได้ให้กับผู้ประกอบการในชุมชน ทั้งกลุ่มอาหารพื้นถิ่น กลุ่มหัตถกรรม และกลุ่มบริการที่เกี่ยวข้อง

แนวทางสู่เมืองแห่งเทศกาลและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ

โครงการ “เพิ่มขีดความสามารถผู้จัดเทศกาลไทยฯ” เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในเชิงวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งเทศกาล” อย่างแท้จริง หรือ Thailand as a Festival Country

หัวใจสำคัญของแนวทางดังกล่าวคือการ ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติผ่านเทศกาลที่มีเอกลักษณ์ และมีกลไกสนับสนุนจากทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล แหล่งท่องเที่ยว และฐานวัฒนธรรมอันเข้มแข็ง

แนวคิดจากพื้นที่…สู่เวทีโลก

หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของการประชุมครั้งนี้คือการจัดตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจระดับจังหวัด เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดเทศกาลตามมาตรฐานสากล โดยให้มีการเก็บข้อมูลสถิติผู้เข้าร่วมงาน รายได้หมุนเวียน และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ-สังคม อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลลัพธ์และพัฒนาเทศกาลในรอบปีถัดไป

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ส่งเสริมเทศกาลของจังหวัดที่จัดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น เทศกาลดอกไม้งามเชียงราย, งานไม้ดอกเมืองหนาว, งานวัฒนธรรมชนเผ่า และงานสงกรานต์เชียงราย ให้มีการปรับรูปแบบให้เชื่อมโยงกับแนวคิดของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเปิดเวทีให้กลุ่มเยาวชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

วิเคราะห์แนวโน้มของเมืองเชียงรายในฐานะศูนย์กลางเทศกาลภาคเหนือ

จากบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะจังหวัดท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ การผลักดันแนวคิด “เมืองแห่งเทศกาล” จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว

หากสามารถจัดเทศกาลในรูปแบบที่ยั่งยืน มีเนื้อหาใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมดั้งเดิม และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้จังหวัดเชียงรายสามารถยืนอยู่ในเวทีระดับนานาชาติได้อย่างมั่นคงในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า อุตสาหกรรมเทศกาลมีส่วนต่อ GDP ประเทศไทยประมาณ 1.2% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
  • ข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรม (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีการจัดงานเทศกาลมากกว่า 2,300 งานต่อปี แต่มีเพียง 15% เท่านั้นที่เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่าการจัดงานเทศกาลที่มีอัตลักษณ์ชัดเจนสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 18-25% ต่อรอบกิจกรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (ประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

บวช 71 รูป เฉลิมพระเกียรติ วัดพระธาตุผาเงา เชียงราย

พิธีบรรพชาอุปสมบท เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ณ วัดพระธาตุผาเงา จ.เชียงราย

ร่วมใจถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ วัดพระธาตุผาเงา ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีบรรพชาอุปสมบท เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 70 พรรษา ในปี 2568

พิธีอุปสมบทภายใต้ความร่วมมือของหลายหน่วยงาน

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างวัดพระธาตุผาเงา คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ภายใต้การสนับสนุนของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

ประธานฝ่ายสงฆ์และฆราวาสร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ขณะที่นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานในพิธี ท่ามกลางข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ที่มาร่วมแสดงความจงรักภักดีอย่างอบอุ่น

จำนวนผู้บวชร่วมโครงการ 71 รูป

โครงการในครั้งนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 71 รูป แบ่งเป็น

  • สารเณร จำนวน 53 รูป
  • พระภิกษุ จำนวน 18 รูป

กิจกรรมต่อเนื่องตลอด 15 วัน เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม

กิจกรรมบรรพชาอุปสมบทจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม ถึง 12 เมษายน 2568 รวมเวลา 15 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ผ่านหลักสูตรศาสนศึกษาสำหรับผู้บวชใหม่ ซึ่งเน้นการฝึกจิตใจ ปฏิบัติธรรม และเรียนรู้จริยธรรมพื้นฐาน

ปลูกฝังค่านิยมไทย และตระหนักถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น

โครงการนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคนให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมไทย โดยเน้นความสำคัญของวัฒนธรรมและค่านิยมไทย สร้างความตระหนักในคุณค่าของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

ความร่วมมือของบุคลากรจากหลายฝ่าย

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ พร้อมด้วยนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ และเจ้าหน้าที่กลุ่มศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้เข้าปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกด้านพิธีการ ตลอดจนให้การสนับสนุนทางวิชาการและการประสานงานกับคณะสงฆ์อย่างต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมและประชาชนในพื้นที่

หลายครอบครัวที่ส่งบุตรหลานเข้าร่วมบวช ต่างรู้สึกภาคภูมิใจในโอกาสที่ได้รับการฝึกอบรมทางจิตใจและคุณธรรม ขณะที่ประชาชนทั่วไปมองว่ากิจกรรมนี้ส่งเสริมความสามัคคีและปลูกฝังความเคารพในประเพณี

แนวทางพัฒนาโครงการในอนาคต

ผู้บริหารหลายฝ่ายเสนอว่า โครงการลักษณะนี้ควรจัดเป็นประจำทุกปี โดยอาจขยายไปยังอำเภออื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การส่งเสริมให้เยาวชนได้เข้าร่วมก่อนเข้าสู่ช่วงวัยทำงานจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาศีลธรรมอย่างยั่งยืน

ทัศนคติจากทั้งสองมุมมอง

จากมุมมองของผู้สนับสนุน เห็นว่าพิธีบวชเช่นนี้ช่วยรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างมีคุณค่า อีกทั้งยังสร้างพลเมืองที่มีคุณธรรม

ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายก็เสนอให้มีทางเลือกด้านการพัฒนาศีลธรรมในรูปแบบอื่นควบคู่กัน เช่น การอบรมคุณธรรมในสถานศึกษา เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่อาจไม่สะดวกในการบวช

บทสรุปและทิศทางต่อยอดกิจกรรม

พิธีบรรพชาอุปสมบทในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังสะท้อนถึงพลังศรัทธาของประชาชนชาวเชียงรายต่อพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ซึ่งหากสามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแบบอย่างอันดีงามให้กับชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ

สถิติและแหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนพระภิกษุสามเณรในประเทศไทย ณ ปี 2566: ประมาณ 298,580 รูป (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • เยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการบรรพชาเฉลี่ยปีละ 60,000 คน (กระทรวงวัฒนธรรม)
  • ดัชนีความพึงพอใจของประชาชนต่อกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา: 87% (ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TRDI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ฅนพาน” โชว์ศิลป์! นิทรรศการใจกลางเซ็นทรัลเชียงราย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” สะท้อนพลังศิลปะท้องถิ่นสู่เวทีสาธารณะ

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – กลุ่มศิลปินพานร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย เปิดนิทรรศการศิลปะ “ความในใจ ของ ฅนพาน” (PHAN ARTIST Art Exhibition) อย่างเป็นทางการ ณ Central Art Gallery ชั้น G โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานศิลปะจากศิลปินในอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย พร้อมเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้สนใจร่วมสัมผัสพลังความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินท้องถิ่น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ถึง 3 พฤษภาคม 2568

เปิดงานอย่างเป็นทางการโดยวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นในวันที่ 3 เมษายน 2568 โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ได้แก่ นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย และนายพิชิต สิทธิวงศ์ ผู้อำนวยการ Central Art Gallery ร่วมให้การต้อนรับ

ภายในงานยังมีศิลปินชื่อดังร่วมจัดแสดงผลงานในฐานะศิลปินรับเชิญ ได้แก่ สุวิทย์ ใจป้อม, กำธร สีฟ้า และทนงศักดิ์ ปากหวาน ร่วมด้วยศิลปินกลุ่มพานจำนวน 19 ท่าน ที่นำเสนอผลงานรวมทั้งหมด 69 ชิ้น สะท้อนความหลากหลายทางแนวคิดและเทคนิคการสร้างสรรค์

กลุ่มศิลปินพาน: พลังสร้างสรรค์จากชุมชนสู่ศิลปะเมือง

กลุ่มศิลปินพานได้รวมตัวกันจากความตั้งใจของศิลปินในอำเภอพาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศิลปินกระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์งานศิลป์ เพื่อยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น” โดยเน้นการแสดงออกถึงรากเหง้าวัฒนธรรม วิถีชีวิต และมุมมองของคนในพื้นที่ผ่านงานจิตรกรรม ประติมากรรม และศิลปะร่วมสมัย

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มศิลปินพาน กล่าวว่า “พวกเราต้องการให้พื้นที่ศิลปะในเชียงรายเปิดกว้าง ไม่เฉพาะแค่ศิลปินชื่อดังระดับประเทศเท่านั้น แต่ศิลปินท้องถิ่นก็มีสิทธิ์แสดงออกและมีเวทีเพื่อพูดความในใจของตนเองผ่านผลงานศิลป์”

เชียงราย: เมืองศิลปะที่เติบโตจากรากฐานวัฒนธรรม

จังหวัดเชียงรายได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองศิลปะ” มาโดยตลอด โดยมีศิลปินจำนวนมากอาศัยอยู่ในจังหวัดและมีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ อ.ถวัลย์ ดัชนี, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และศิลปินร่วมสมัยอีกมากมาย ทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนทางศิลปวัฒนธรรม

การจัดนิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” ครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการส่งเสริมให้ศิลปะกระจายตัวจากเมืองสู่ชนบท และเปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงศักยภาพต่อสายตาสาธารณะชน

สนับสนุนโดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย: พื้นที่แห่งโอกาส

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน ได้จัดพื้นที่ Central Art Gallery ให้เป็นเวทีแสดงผลงานศิลปะจากท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับสังคมเมือง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมวัฒนธรรมของจังหวัด

นายพิชิต สิทธิวงศ์ ผู้อำนวยการ Central Art Gallery กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับกลุ่มศิลปินพานเข้าสู่นิทรรศการในครั้งนี้ เพราะนี่คือศิลปะที่มีชีวิต สะท้อนความเป็นตัวตนของชาวพานได้อย่างแท้จริง”

เปิดประตูให้คนทั่วไปเข้าถึงศิลปะ

นิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตลอดช่วงเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่อาจไม่คุ้นเคยกับโลกศิลปะ ได้สัมผัสงานศิลป์คุณภาพใกล้ชิด และเรียนรู้ความหลากหลายของมุมมองที่แฝงอยู่ในผลงานแต่ละชิ้น

หนึ่งในผู้เข้าชมงานให้ความเห็นว่า “ผลงานแต่ละชิ้นบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ใช่คนพานก็สามารถเข้าใจและสัมผัสความรู้สึกที่ศิลปินต้องการถ่ายทอดได้”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย: มุมมองที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

ฝ่ายสนับสนุน นิทรรศการเห็นว่าเป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่นได้มีเวที และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัด อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนหันมาสนใจศิลปะมากขึ้น

ฝ่ายที่มีข้อกังวล บางส่วนแสดงความเห็นว่านิทรรศการควรมีแนวทางส่งเสริมการขายผลงาน หรือจัดอบรมศิลปะควบคู่เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจแก่ศิลปินท้องถิ่นในระยะยาว มิใช่แค่การจัดแสดงเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การเปิดพื้นที่ศิลปะควรดำเนินต่อไป และมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการของศิลปินและประชาชน

บทสรุป

นิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” นับเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของความเข้มแข็งของศิลปะท้องถิ่นที่กำลังเติบโตในจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ศิลปิน และชุมชน ในการขับเคลื่อนศิลปวัฒนธรรมสู่ประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับจังหวัด และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับที่จับต้องได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความยั่งยืนในระยะยาวของภาคศิลปะในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนศิลปินในจังหวัดเชียงราย: มากกว่า 1,200 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • มูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภาคเหนือ: กว่า 3,500 ล้านบาท/ปี (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์, 2566)
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานนิทรรศการศิลปะในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ปี 2566: กว่า 85,000 คน (ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เซ็นทรัลเชียงราย)
  • จำนวนศิลปินในอำเภอพานที่ร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนในรอบ 5 ปี: 178 คน (ข้อมูลจากกลุ่มศิลปินพาน, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มศิลปินพาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทิง 113 ปี สืบสานภูมิปัญญา “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า”

อำเภอเทิงจัดยิ่งใหญ่ “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 ฉลอง 113 ปีแห่งการก่อตั้ง พร้อมสืบสานภูมิปัญญาลุ่มน้ำลาว หงาว อิง

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จัดงานสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ลุ่มน้ำลาว หงาว อิง ครั้งที่ 1 อย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 113 ปี แห่งการก่อตั้งอำเภอเทิง โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนร่วมมือกันจัดกิจกรรมอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่อน้อมรำลึกถึงรากเหง้าอัตลักษณ์ของชาวเมืองเทิงและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์

พิธีเปิดสมเกียรติ – รวมพลังประชาชนสืบสานรากเหง้าเมืองเทิง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วย นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง หน่วยงานราชการ สภาวัฒนธรรม พุทธสมาคม ชมรมผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

งานในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัด “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนริมลุ่มน้ำลาว หงาว และอิง ที่หล่อหลอมให้เกิดความเข้มแข็งและความภาคภูมิใจในถิ่นฐานของตน

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนาแท้

ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมของเมืองเทิง อาทิ

  • พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และสืบชะตาเมืองเทิง เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน
  • พิธีทำบุญถวายผ้าป่า 10 ตำบล เพื่อความสามัคคีและการรวมพลังของท้องถิ่น
  • เขียนชื่อบนผ้าห่มพระธาตุจอมจ้อ อันเป็นพุทธบูชาสำคัญของชาวเมืองเทิง
  • บูชาชะตา ฮอมบุญขันตั้งสืบชะตา ตามประเพณีล้านนาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
  • มอบเกียรติบัตรผู้สูงอายุดีเด่นระดับหมู่บ้าน เพื่อยกย่องคุณค่าของผู้สูงวัยในสังคม
  • นิทรรศการศิลปวัฒนธรรม และของดีแต่ละตำบล
  • นิทรรศการผลงานศิลปินท้องถิ่น
  • การแสดงพื้นบ้าน 10 ตำบล ภายใต้แนวคิด “เมืองเทิงมีดีอยู่ตี้ 10 ตำบล”
  • ขันโตก “ฮอมบุญ” อาหารพื้นบ้าน 100 โตก ที่แสดงออกถึงการแบ่งปันและความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชน

เป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์

หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” คือการระดมทุนเพื่อ ปรับปรุงอาคารที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ให้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเทิง ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ และจุดหมายด้านวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ทั้งในระดับจังหวัดและภูมิภาค

เสียงสะท้อนจากชุมชน – เสียงจากสองมุมมอง

ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะผู้นำชุมชนและภาควัฒนธรรมท้องถิ่น เห็นว่าการจัดกิจกรรมนี้เป็นการ “สร้างรากฐานทางวัฒนธรรม” ที่มั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ ในการนำทุนวัฒนธรรมมาพัฒนาเป็นทุนทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว

อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งรวมถึงกลุ่มนักพัฒนาในพื้นที่ แสดงความเห็นว่า แม้กิจกรรมจะดี แต่ควรมีการติดตามและประเมินผลเชิงประจักษ์ เช่น จำนวนผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ รายได้ที่เกิดจากกิจกรรมวัฒนธรรม หรือความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อให้การลงทุนในด้านนี้ตอบโจทย์ด้านสังคมและเศรษฐกิจจริง

สถิติเกี่ยวกับการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น

จากรายงานของ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 และข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม พบว่า:

  • จังหวัดเชียงรายมี หมู่บ้านวัฒนธรรมกว่า 160 แห่ง
  • มีโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมเชิงพื้นที่มากกว่า 80 โครงการต่อปี
  • อำเภอเทิงมีแหล่งวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 15 แห่ง และแหล่งภูมิปัญญาท้องถิ่นกว่า 30 รายการ
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายจัดสรรงบส่งเสริมวัฒนธรรมเฉลี่ย 12 ล้านบาท/ปี
  • โครงการแปลงศูนย์ราชการเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

(ที่มา: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • ควรจัดให้มี “ฐานข้อมูลกลาง” ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละตำบล
  • ขยายผลกิจกรรม “ข่วงผญ๋า” ไปยังโรงเรียน เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจตั้งแต่ระดับเยาวชน
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์
  • พัฒนาช่องทางสื่อสารสมัยใหม่ เช่น Virtual Museum และ QR Code สำหรับนิทรรศการ
  • ประเมินผลกิจกรรมวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือที่สามารถวัดผลด้านเศรษฐกิจและสังคมได้

สรุปภาพรวมอย่างเป็นกลาง

งาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการรื้อฟื้นและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์วัฒนธรรม พร้อมทั้งพัฒนาอาคารประวัติศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมสมัย

ในมุมหนึ่ง ประชาชนต่างภาคภูมิใจและยินดีที่ชุมชนได้มีเวทีแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง เสนอให้มีกลไกตรวจสอบ ประเมินผล และต่อยอดโครงการให้ยั่งยืนในระยะยาว

การพัฒนาวัฒนธรรมจึงควรเป็น “งานร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ” ของทุกภาคส่วน เพื่อให้คุณค่าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่นมิได้หยุดอยู่เพียงในงานเฉลิมฉลอง แต่ยังคงสืบทอดเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เล่นสงกรานต์เชียงราย ปักตุง 12 นักษัตร สรงน้ำเสาสะดือเมือง

เชียงรายเปิดกิจกรรม “สงกรานต์ ตานตุง กลางเวียง” กระตุ้นท่องเที่ยวตลอดเดือนเมษายน 2568

พิธีเปิดยิ่งใหญ่ สงกรานต์ล้านนาใจกลางเมืองเชียงราย

จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม “สงกรานต์ ตานตุง กลางเวียงเชียงราย” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ วัดกลางเวียง อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมงานอย่างคึกคัก ท่ามกลางบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมล้านนา

จัดเต็มกิจกรรมตลอดเมษา หนุนเศรษฐกิจท่องเที่ยว

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 30 เมษายน 2568 โดยความร่วมมือระหว่างจังหวัดเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และวัดกลางเวียง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ซึ่งถือเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว

ภายในงานมีกิจกรรมที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของชาวล้านนาอย่างลึกซึ้ง อาทิ

  • พิธีสรงน้ำพระเจ้าฝนแสนห่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดกลางเวียง
  • พิธีสรงน้ำเสาสะดือเมืองเชียงราย อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง
  • การปักตุงทราย 12 นักษัตร ตามแบบประเพณีล้านนา
  • กิจกรรมถ่ายภาพเช็คอินเพื่อรับของที่ระลึก
  • การละเล่นพื้นบ้าน และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น

สร้างกระแสตลอดเดือน ขยายผลสู่พื้นที่โดยรอบ

กิจกรรมสงกรานต์ครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะพื้นที่วัดกลางเวียง แต่ยังเป็นการจุดประกายให้เกิดกิจกรรมในพื้นที่อื่นของจังหวัด อาทิ

  • เขตเทศบาลนครเชียงราย
  • อำเภอเชียงของ
  • อำเภอเชียงแสน
  • อำเภอแม่จัน และอำเภออื่น ๆ

โดยทุกพื้นที่จะมีการจัดงานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมผสานความร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนความพร้อมของจังหวัดในการรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึง

ททท. เชียงราย ตั้งเป้า 3,000 คนตลอดเดือน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย คาดการณ์ว่า กิจกรรม “สงกรานต์ ตานตุง กลางเวียงเชียงราย” จะมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 3,000 คนตลอดทั้งเดือน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาวและวันสงกรานต์ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุด

การกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาลเช่นนี้ ยังเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ ททท. ในการกระจายรายได้ ลดความแออัดในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

เสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ฝั่งผู้ประกอบการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงราย ให้ความเห็นว่า การจัดกิจกรรมสงกรานต์ตลอดเดือนมีส่วนอย่างมากในการเพิ่มยอดผู้เข้าพักโรงแรม ร้านอาหาร และการใช้จ่ายโดยรวม โดยเฉพาะการจัดงานในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างวัดกลางเวียง ถือเป็นจุดขายที่ทรงพลัง

ในขณะเดียวกัน มีบางฝ่ายที่แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดในพื้นที่จัดงาน และปัญหาการจราจรที่อาจเกิดขึ้นในบางช่วงเวลา พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการรองรับ

การมีส่วนร่วมของชุมชนคือหัวใจสำคัญ

กิจกรรมในครั้งนี้นอกจากจะส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ ชาวบ้าน กลุ่มเยาวชน และผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่มาช่วยกันจัดตกแต่งสถานที่ สร้างสรรค์กิจกรรม และให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตน

บรรยากาศโดยรวมของกิจกรรมเป็นไปอย่างอบอุ่นและมีชีวิตชีวา สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างหน่วยงานรัฐและภาคประชาชน

ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

จากรายงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ปี 2566 พบว่า

  • เชียงรายมีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 2.3 ล้านคน ตลอดทั้งปี
  • รายได้จากการท่องเที่ยวรวมประมาณ 11,700 ล้านบาท
  • ช่วงไฮซีซั่น (พ.ย. – ม.ค.) เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุด
  • ช่วงโลว์ซีซั่น (เม.ย. – มิ.ย.) นักท่องเที่ยวน้อยลงราว 40%

กิจกรรม “สงกรานต์ ตานตุง กลางเวียงเชียงราย” จึงถือเป็นโครงการนำร่องสำคัญที่ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจในช่วงที่นักท่องเที่ยวลดลงตามฤดูกาล

บทสรุป: ประเพณีสงกรานต์คือพลังของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

กิจกรรม “สงกรานต์ ตานตุง กลางเวียงเชียงราย” เป็นตัวอย่างของการนำประเพณีท้องถิ่นมาผสานกับแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ ช่วยยกระดับมูลค่าทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ

จากมุมมองผู้สนับสนุน กิจกรรมนี้ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ กระจายความเจริญ และสืบสานวัฒนธรรมที่ใกล้เลือนหาย

ในขณะที่ฝั่งที่มีความกังวล ก็ต้องการให้มีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ในภาพรวม กิจกรรมในลักษณะนี้จึงควรดำเนินไปด้วยความสมดุล ระหว่างการส่งเสริมเศรษฐกิจ การอนุรักษ์วัฒนธรรม และความยั่งยืนของชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News