Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” คว้า 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของไทย

ชัยชนะแห่งวัฒนธรรม “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของประเทศไทย จุดประกายผ้าทอไทลื้อสู่ Soft Power และย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 — เช้าวันปลายฝน ณ อำเภอเชียงของ เรื่องเล่าเก่าของเส้นด้าย ลวดลาย และกี่ทอของชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย ถูกขึงตึงเป็น “โครงบนหูกใหม่” ของการพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อโครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์ (Creative Sri Don Chai)” ได้รับการคัดเลือก ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ ของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Creative Cultural District ที่ขับเคลื่อนโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) หลังผ่านเวิร์กช็อปเข้มข้น 3 วันเต็ม (22–24 ส.ค. 2568) ที่กรุงเทพฯ ร่วมกับอีก 11 ทีมจากทั่วประเทศ

ผลการคัดเลือกซึ่งประกาศในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงธงหมุดหมายบนแผนที่การพัฒนา แต่คือ “สัญญาณเปลี่ยนเกลียวด้าย” จากผ้าทอในฐานะสินค้าหัตถกรรม ไปสู่ “งานออกแบบ–นวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่มีตลาดและมูลค่าเพิ่มรองรับทั้งระบบ โดยมี ทุนสนับสนุนสูงสุด 1,000,000 บาท/พื้นที่ต้นแบบ พร้อมเครือข่ายที่ปรึกษาข้ามสาขาเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่ให้เกิดขึ้นจริงในช่วง 12 เดือนถัดไป

จากเวิร์กช็อปสู่สนามจริง ผสานภูมิปัญญากับนวัตกรรมอย่างมีระบบ

ตลอด 3 วันของ Creative Cultural District Workshop ทีมพื้นที่จาก ศรีดอนชัย ได้รับคำแนะนำเชิงลึกทั้งด้านนโยบาย ออกแบบ และย่านสร้างสรรค์ จากคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ผศ.ดร.ปูรณ์ ขวัญสุวรรณ (นโยบาย Thailand as Brand), ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร (การพัฒนาย่านนวัตกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์), ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ (ออกแบบสภาพแวดล้อมชุมชนเมือง) และ คุณสุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์ (การสร้างอัตลักษณ์–แบรนด์ชุมชน) ตลอดจนที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการสื่อสารอีกหลายราย

แกนเนื้อหาของเวิร์กช็อปมี 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน

  1. Mapping — ทำแผนที่ทุนวัฒนธรรมในพื้นที่ ทั้งกลุ่มช่างทอ ลวดลาย วัสดุ เครื่องมือ โรงทอ จุดเรียนรู้ และเส้นทางการท่องเที่ยว
  2. Mock-up/Prototype — ออกแบบต้นแบบย่าน/ผลิตภัณฑ์/ประสบการณ์ ตั้งแต่งานคราฟต์ร่วมสมัย ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีมาตรฐานคุณภาพ ไปจนถึงเทศกาลย่อยในหมู่บ้านที่เล่าเรื่องผ้า
  3. Implementation Plan — แผนปฏิบัติงาน 6–12 เดือน ครอบคลุมการบริหารจัดการพื้นที่ การตลาด การยกระดับมาตรฐาน และการติดตามประเมินผล

ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” โดดเด่นด้วยการ แปลงผ้าเป็นระบบนิเวศ: จาก “สินค้าสวย” เป็น “ชุดความรู้–กระบวนการ–ประสบการณ์” ที่เชื่อม คนทอ–คนออกแบบ–ตลาด เข้าด้วยกัน ตั้งแต่ต้นน้ำ (ปลูกฝ้าย/คัดเส้นใย/ย้อมสีธรรมชาติ) กลางน้ำ (ทอลาย ตัดเย็บ มาตรฐานคุณภาพ) จนถึงปลายน้ำ (ค้าปลีก–ค้าส่ง–ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์) ทั้งหมดวางอยู่บน เป้าหมายร่วม คือ ยกระดับรายได้และศักดิ์ศรีช่างทอ ควบคู่กับ การสืบสานอัตลักษณ์ลายไทลื้อ อย่างมีชีวิต

ผ้าทอไทลื้อ จาก “สินค้าราคาถูก” ข้ามแดน สู่ Soft Power ที่มีเรื่องเล่าและมาตรฐาน

กว่า 40 ปี ที่ชุมชนและเครือข่ายนักวิชาการ–ผู้ประกอบการพยายาม “เติมคุณค่าและอุดมการณ์” ให้ผ้าทอไทลื้อและผ้าพื้นถิ่นประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น คลื่น Soft Power ที่ส่งพลังต่อยอดไปสู่ ภาพยนตร์ แฟชั่น ศิลปะ การท่องเที่ยว และอาหาร โครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เลือก “จับแก่น” ของความพยายามนั้น แล้วต่อยอดด้วย หลักคิดแบบนักออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้โจทย์สำคัญ 3 ประการ

  • มูลค่า: ตีความลาย–วิธีทอ ให้เป็นผลงานออกแบบร่วมสมัย บนมาตรฐานคุณภาพ–ความทนทาน–การใช้สีธรรมชาติ และการติดตามย้อนกลับได้ (traceability)
  • ตลาด: สร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ (ใส่ได้ ใช้ได้ ดูแลรักษาง่าย) พร้อมช่องทางออนไลน์–ออฟไลน์ และการจับคู่กับดีไซเนอร์/แบรนด์
  • ประสบการณ์: พัฒนาเส้นทางเรียนรู้–เวิร์กช็อป–เทศกาลย่อย ให้ผู้มาเยือนสัมผัส “เรื่องเล่าหลังลายผ้า” ตั้งแต่การย้อมสีจนถึงการสวมใส่

เมื่อ “คุณค่า” (Value) มาก่อน “ราคา” (Price) ผ้าทอจึงไม่ต้องแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำ หากแข่งขันด้วย เรื่องเล่า–มาตรฐาน–ความยั่งยืน ที่แปรเป็น มูลค่าเพิ่ม ซึ่งชุมชนได้ส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม

5 พื้นที่ต้นแบบ ภูมิศาสตร์ของความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย

นอกจากเชียงรายแล้ว โครงการยังคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบที่สะท้อน ความหลากหลายของทุนวัฒนธรรมไทย ได้แก่

  • ข่วงเมืองลำพูน (ลำพูน) — ย่านประวัติศาสตร์ที่มีมรดกหัตถกรรม–ศรัทธาเป็นแกนกลาง
  • สิงห์ท่า เธียเตอร์ (ยโสธร) — สร้างพื้นที่ศิลปะการแสดงร่วมสมัยเคียงคู่วัฒนธรรมอีสาน
  • ช่างเรือรุ่นใหม่ – เรียน รู้ สาน (พระนครศรีอยุธยา) — สืบสานงานต่อเรือและภูมิปัญญาแม่น้ำให้คนรุ่นใหม่
  • เขาหลักเซิร์ฟทาวน์ (พังงา) — เมืองชายฝั่งที่เปลี่ยน “คลื่นทะเล” เป็นอัตลักษณ์ไลฟ์สไตล์–กีฬา–ท่องเที่ยว

การเลือกที่ ต่างทุน ต่างทรัพยากร แต่มี หลักคิดร่วม เรื่องการออกแบบและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้เครือข่ายพื้นที่ต้นแบบสามารถเรียนรู้ข้ามวิชา–ข้ามภูมิภาคได้จริง เชียงรายจึงไม่ได้เดินลำพัง แต่เดินไปกับเพื่อนบ้านที่กำลังสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยกัน

เชื่อมเป้าหมายระดับประเทศ จาก “Thailand as Brand” สู่ “Creative Cities Network”

ในภาพใหญ่ โครงการ Creative Cultural District ทำงานสอดรับนโยบายระดับชาติที่เน้น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์–Soft Power–เศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม โดยใช้การออกแบบเป็นเครื่องมือเชื่อม อัตลักษณ์ท้องถิ่น กับ มาตรฐานสากล ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบ UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ที่ส่งเสริมให้เมืองใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยมีเมืองในเครือข่าย UCCN หลายสาขา อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy)—แต่ละเมืองล้วนพิสูจน์ว่า หากเมือง ลงทุนกับ “คน–พื้นที่–เรื่องเล่า” อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถต่อยอดเป็น เศรษฐกิจชุมชนที่ยืนได้ และ ภาพลักษณ์เมืองที่ยั่งยืน เชียงรายในฐานะ “ผู้เล่นใหม่” จึงกำลังวางฐานสู่ UCCN สาขาการออกแบบ ด้วยกลยุทธ์ “คนรุ่นใหม่ทำงานกับช่างทอจริง ในพื้นที่จริง เพื่อชิ้นงานจริง”

แผนเดินเกม 12 เดือน ย่านเริ่มได้จาก 3 จุดเล็ก—ของ สถานที่ ประสบการณ์

เพื่อให้ “ธงพื้นที่ต้นแบบ” ไม่หยุดอยู่บนเวทีประกาศผล ทีมศรีดอนชัยวาง Roadmap 12 เดือน ที่ทำได้จริงและวัดผลได้

  1. Product Track (ของ) — พัฒนาคอลเลกชันตัวอย่าง 3–5 กลุ่มสินค้า (สวมใส่/ของใช้/ของแต่งบ้าน) ด้วยลายไทลื้อ ติดตามย้อนกลับได้ ย้อมสีธรรมชาติบางส่วน และตั้งมาตรฐานคุณภาพ–บำรุงรักษา
  2. Place Track (สถานที่) — ย่านนำร่องที่มีป้าย–ทางเดิน–จุดเล่าเรื่องแบบ wayfinding ซึ่งสื่อสารเรื่องลายผ้า กระบวนการย้อม การทอ และเชื่อมโฮมสเตย์/พิพิธภัณฑ์ชุมชน
  3. Program Track (ประสบการณ์) — เวิร์กช็อปถอดลาย/ย้อมคราม/ทอลอง พร้อม “ตลาดนัดคราฟต์รายเดือน” ในหมู่บ้าน และกิจกรรมทดลองกับโรงเรียนในพื้นที่

ตัวชี้วัด (KPIs) จะไม่หยุดที่ “จำนวนคนร่วมงาน” แต่ลงลึกถึง รายได้ใหม่ของช่างทอ–การจ้างงานเยาวชน–จำนวนชิ้นงานเข้าสู่การผลิตจริง–อัตราการกลับมาเยือนซ้ำของผู้มาเที่ยว ทุกไตรมาสมีการทบทวนและปรับแผนอย่างโปร่งใส โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางชุมชน/องค์กรท้องถิ่น

เศรษฐกิจ–สังคม–สิ่งแวดล้อม เส้นด้ายสามเกลียวของการเปลี่ยนผ่าน

เศรษฐกิจ — เมื่อผ้าทอถูก “ยกระดับมาตรฐานและเรื่องเล่า” มูลค่าเพิ่มจะเกิดขึ้นในหลายจุด: ค่าฝีมือที่เป็นธรรม, ช่องทางจำหน่ายที่ดีขึ้น, ผลิตภัณฑ์ต่อยอด (collab กับดีไซเนอร์/แบรนด์), และบริการท่องเที่ยว–เวิร์กช็อปที่มีราคาต่อหัวสูงขึ้นกว่าทัวร์ทั่วไป

สังคม — การ “ฝึกงานกับช่างจริง” ทำให้เยาวชนเห็นอาชีพสร้างสรรค์ในบ้านเกิด ไม่ต้องย้ายถิ่นเสมอไป ขณะเดียวกัน ผู้สูงวัยผู้เป็น “ธนาคารความรู้” ได้ถ่ายทอดทักษะและเกียรติภูมิให้คนรุ่นถัดไป เกิดการเรียนรู้ข้ามรุ่นที่จับต้องได้

สิ่งแวดล้อม — แผนย้อมสีธรรมชาติ การใช้เส้นใยท้องถิ่น และการจัดการเศษวัสดุ ให้ความหมายกับ “แฟชั่นที่รับผิดชอบ” ลดการใช้เคมี และสร้างการรับรู้เรื่องการดูแลธรรมชาติในรายละเอียดของงานผ้า

เสียงจากเวทีข้อคิดที่น่าจดจากผู้เชี่ยวชาญ

แม้เวทีจะไม่ใช่งานประกาศนโยบายครั้งใหญ่ แต่สารที่ผู้เชี่ยวชาญฝากไว้ตรงกันคือ

  • ย่านสร้างสรรค์ต้องแก้ปัญหาจริง: เริ่มจากปัญหาเล็กๆ ที่ชุมชนอยากแก้ (รายได้ช่าง การตลาด การเดินทางในหมู่บ้าน) แล้วออกแบบทางออกที่ “ทำได้” ไม่ใช่ “พูดได้”
  • น้อยแต่ชัด: เลือก pilot ที่เห็นผลเร็ว สื่อสารง่าย ขยายต่อได้ เช่น ตลาดคราฟต์รายเดือนที่ช่างเป็นเจ้าของร่วมกับนักเรียน
  • การออกแบบคือการจัดกระบวนการ: ไม่ใช่แค่ทำของสวย แต่จัดคน–เวลา–สถานที่–ทรัพยากร ให้ชุมชน “เป็นเจ้าของ” จริง

หลักคิดเหล่านี้สอดคล้องกับแผนของศรีดอนชัยที่เน้น ownership และ ผลลัพธ์ที่ใช้ได้จริง มากกว่ารูปถ่ายสวยๆ เพียงชั่วครั้ง

เชียงรายกับเส้นทางสู่ “เมืองออกแบบ” เดินด้วยคน ไม่ใช่โครงการ

ความสำเร็จของ “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เกิดขึ้นท่ามกลางความเคลื่อนไหวของเชียงรายที่กำลัง ยกระดับสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโกด้านการออกแบบ ทั้งจากบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบ และชุมชนชาติพันธุ์ การติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบครั้งนี้จึงเป็น ฟันเฟืองสำคัญ ที่จะทำให้ “เส้นด้ายเมืองสร้างสรรค์” ถักทอแน่นขึ้น

ในภาพที่กว้างกว่า ศรีดอนชัยกำลังก้าวออกจากการเป็น “แหล่งผลิตผ้าทอ” ไปสู่การเป็น “สนามเรียนรู้–พื้นที่ทดสอบนวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่ผู้มาเยือนสามารถเห็นวงจรเต็มรูป (ปลูก–ทอ–ใช้–เล่าเรื่อง) และสัมผัสคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังทุกลายผ้าได้อย่างเป็นรูปธรรม

จากลายบนผืนผ้า สู่ลายทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัด

ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ปลายทาง แต่คือจุดเริ่มของ การทำงานจริง ที่ต้องอาศัยวินัย ความต่อเนื่อง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย — ช่างทอ เยาวชน โรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น มหาวิทยาลัย และเอกชนผู้พร้อมหนุนตลาด หากเดินตามแผน 12 เดือนด้วยการวัดผลโปร่งใส ศรีดอนชัยย่อมเป็น ต้นแบบย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่พิสูจน์ได้ว่าการออกแบบสามารถ ยกระดับรายได้ รักษาอัตลักษณ์ และเสริมความภูมิใจ ให้ชุมชนได้พร้อมกัน

และเมื่อถึงวันนั้น “ผ้าทอไทลื้อ” จะไม่ใช่เพียงที่ระลึกของผู้ผ่านทางอีกต่อไป หากเป็น Soft Power ที่เล่าเรื่องเชียงรายในภาษาสากล—ชัดเจน อ่อนน้อม และทรงพลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • Creative Cultural District
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“อบจ.เชียงราย” เปิดเวที “Design Best Practice” ดันเยาวชนสู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์

 “อบจ.เชียงราย” เปิดเวที Chiangrai Design Best Practice จุดไฟ “คนรุ่นใหม่” สู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์โลก

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568  — ในห้องประชุมสว่างไสวของโรงแรมแสนโฮเทล เช้าวันสิ้นเดือนสิงหาคม ผู้คนต่างวัย—นักเรียน มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ นักออกแบบ ช่างฝีมือท้องถิ่น ไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่น—ทยอยนั่งประจำโต๊ะกลุ่มย่อยต่อหน้าแผ่นงานและตัวอย่างวัสดุที่จัดวางเรียงราย เสียงสนทนาคละเคล้าระหว่าง “ภูมิปัญญาเดิม” กับ “สภาวะใหม่” ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุดร่วมเดียวกันคือคำถามง่ายๆ ที่ท้าทายทุกคนว่า เราจะออกแบบอนาคตเชียงรายให้ยั่งยืนด้วยรากวัฒนธรรมได้อย่างไร” นี่คือภาพเปิดของเวที “Chiangrai Design Best Practice : Knowledge Transfer from Culture to Youth” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ตั้งใจ “ยกห้องเรียนทั้งเมือง” เพื่อส่งต่อองค์ความรู้การออกแบบจากวัฒนธรรมสู่เยาวชน และวางรากฐานจังหวัดสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ด้านการออกแบบในก้าวต่อไป

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน พร้อมเครือข่ายภาคีจากหลากหลายสาขา ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากเมืองเครือข่ายสร้างสรรค์ในประเทศ อาทิ เพชรบุรี (ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านอาหารและหัตถกรรมเชิงวัฒนธรรม) และ สุพรรณบุรี (แนวทางการใช้ดนตรี–ศิลปะร่วมสมัยต่อยอดเมือง) ตลอดจนผู้แทนจาก นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการออกแบบเชิงเมือง

คนรุ่นใหม่” คือหัวใจของเมืองออกแบบ

ภายหลังพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เดินทางมาพบปะผู้เข้าร่วมและย้ำ “แกนกลาง” ของเวทีครั้งนี้อย่างชัดเจนว่า การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงสร้างแลนด์มาร์ก แต่ต้องสร้าง “คน” และ “โอกาส” ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ลงมือทำ และนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไปต่อยอดบนมาตรฐานสากล

“เชียงรายจะก้าวสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์โลกได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่มีบทบาทและเป็นพลังขับเคลื่อน เราจึงต้องลงทุนกับการเรียนรู้และการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นนักออกแบบแห่งอนาคต” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

คำกล่าวดังกล่าววาง “ธง” ให้กิจกรรมทั้งวันเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน: ถอดบทเรียนจากวัฒนธรรม แปลงเป็นโจทย์ออกแบบ ต่อยอดเป็นต้นแบบ (prototype) ที่ใช้ได้จริง พร้อมเครื่องมือให้เยาวชนกลับไปขยายผลในโรงเรียน ชุมชน และสตาร์ทอัพ/เอสเอ็มอีที่กำลังก่อตัว

ห้องทดลอง “Best Practice” จากภูมิปัญญา สู่ผลิตภัณฑ์–พื้นที่–ประสบการณ์

โครงสร้างการประชุมเชิงปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 แทร็กหลัก เชื่อมโยงตั้งแต่ “ของที่ทำ” ไปถึง “เมืองที่อยู่” และ “ประสบการณ์ที่ขาย” ดังนี้

  1. Design × Craft & Heritage — สำรวจทุนวัฒนธรรมเชียงราย เช่น สิ่งทอ ลายชนเผ่า งานไม้ งานดิน และงานโลหะพื้นถิ่น จากนั้นพัฒนาเป็น “ชุดเครื่องมือออกแบบ” (design toolkit) สำหรับนักเรียน–นักออกแบบรุ่นใหม่ ตั้งแต่วิธีเก็บข้อมูลลวดลาย ถ่ายทอดเรื่องเล่าของชุมชน ไปจนถึงการตั้งมาตรฐานคุณภาพสินค้าให้พร้อมส่งออก
  2. Product & Circular Design — ตั้งโจทย์ลดขยะและเพิ่มมูลค่า เช่น นำเศษวัสดุการเกษตร/เศษไม้จากงานช่าง กลับมาออกแบบเป็นของใช้ร่วมสมัย เน้นการคำนวณอายุการใช้งาน (life cycle) ต้นทุน–ราคาที่เหมาะสม และการผลิตแบบจิ๋วแต่แจ๋วที่ช่างท้องถิ่นทำได้
  3. Place–Making & Creative Tourism — แปลงทุนวัฒนธรรมให้เป็น “ประสบการณ์ในพื้นที่” ตั้งแต่การออกแบบป้ายทางเท้า–เส้นทางจักรยานเชื่อมชุมชนช่าง, ตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือน ไปจนถึงเทศกาลขนาดเล็กที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ทักษะจัดการอีเวนต์และการสื่อสารสาธารณะ

แกนร่วมของทั้งสามแทร็กคือ ความเป็นเจ้าของ (ownership) ของชุมชนและเยาวชนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยหลักการ “เรียน–ลอง–ใช้” ในพื้นที่ แทนการนำแนวคิดสำเร็จรูปจากที่อื่นมาใส่

ทำไม “ยูเนสโก เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ถึงสำคัญ

เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN) เป็นกรอบความร่วมมือระดับโลกที่ส่งเสริมให้เมืองใช้ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมืองสมาชิกแบ่งตามสาขา เช่น Design, Crafts & Folk Art, Gastronomy, Music, Film, Literature, Media Arts เป็นต้น

ประเทศไทยมีเมืองสมาชิก UCCN หลายแห่งที่สร้างชื่อบนเวทีโลก อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy) เมืองเหล่านี้ต่างพิสูจน์ว่า เมื่อ “ทุนวัฒนธรรม” พบ “ระบบสนับสนุนที่เหมาะสม” ก็สามารถเปลี่ยนเป็น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ทำให้คนอยู่ได้ เมืองอยู่รอด และเอกลักษณ์ท้องถิ่นยังสดอยู่เสมอ

สำหรับเชียงราย การมุ่งไปสู่ UCCN สาขาการออกแบบ (Design) มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน

  • เชียงรายมี รากหัตถกรรมเข้มแข็ง และ artisan ท้องถิ่นหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งพร้อมถูกยกระดับด้วยเครื่องมือการออกแบบสมัยใหม่
  • เมืองมี เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบร่วมสมัย จากสถาบันการศึกษาและเอกชนที่พร้อมเป็น “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชน
  • เชียงรายเชื่อมโยง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ซึ่งการออกแบบสามารถเพิ่มคุณค่าในห่วงโซ่ประสบการณ์ได้ตั้งแต่ป้าย–ทาง–ตลาด–เทศกาล

กล่าวโดยสรุป การเลือก “Design” ไม่ได้หมายถึงเน้น “รูปลักษณ์สวย” หากคือการนำ “วิธีคิดแบบนักออกแบบ” ไปแก้ปัญหาเมืองและสร้างมูลค่าใหม่ทั้งระบบ

แผนเดินเกม 12 เดือน จากเวทีวันนี้ สู่คำขอเป็นสมาชิกพรุ่งนี้

อบจ.เชียงรายได้วางกรอบความคืบหน้าหลังเวทีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ “พลังงานของห้องประชุม” กลายเป็น “โครงการที่เดินได้จริง” รวมถึงรองรับเกณฑ์สำคัญของ UCCN ที่เน้น ความต่อเนื่อง–ผลลัพธ์–ความร่วมมือ ได้แก่

  1. ฐานข้อมูลทุนสร้างสรรค์ (Creative Assets Mapping) — รวบรวมช่างฝีมือ ลาย–แบบ–วัสดุ เครื่องมือ แหล่งเรียนรู้ และผู้ประกอบการที่พร้อมเชื่อมกับเยาวชนและหลักสูตรในพื้นที่
  2. หลักสูตรสั้น/สตูดิโอเยาวชน — เปิดสตูดิโอในโรงเรียน/ชุมชน ให้เยาวชนได้ฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบจริง และพัฒนาต้นแบบอย่างน้อย 1 ชิ้นงาน/ทีม เพื่อจัดแสดงใน “เทศกาลออกแบบเชียงราย”
  3. เครือข่ายเมือง–มหาวิทยาลัย–เอกชน — จับคู่ที่ปรึกษา (mentor matching) ระหว่างนักออกแบบอาชีพ/สตูดิโอ กับทีมเยาวชน/ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
  4. เทศกาล/ตลาดต้นแบบ (Pilot Events) — จัดกิจกรรมขนาดกะทัดรัดเน้นคุณภาพ เช่น งานคราฟต์รายเดือน เส้นทางชมชุมชนช่าง 1 วัน เทศกาลทดลองในย่านนำร่อง เพื่อทดสอบมาตรการจราจร สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสื่อสาร
  5. ติดตามผลลัพธ์และสื่อสารสาธารณะ — วัดผลเป็นรูปธรรม เช่น จำนวนชิ้นงานต้นแบบที่เข้าสู่เชิงพาณิชย์ จำนวนผู้ร่วมกิจกรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน ชื่อเสียงเชิงสื่อ และการมีส่วนร่วมของเยาวชน

แผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การเตรียมความพร้อมต่อการสมัคร UCCN หากยังทำหน้าที่ ยกระดับคน–งาน–เมือง” ระหว่างทางอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากเมืองเพื่อนทำอย่างไรให้ “การออกแบบ” ไม่หยุดที่คำว่า “สวย”

ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์—ทั้งในและต่างประเทศ—เสนอ 3 หลักคิดที่ทำให้การออกแบบ “อยู่รอด” ในโลกจริง

  • การออกแบบต้องแก้ปัญหา: เริ่มจากปัญหาจริง เช่น พื้นที่สาธารณะที่คนเลี่ยงใช้ ทางเท้าไม่ปลอดภัย ตลาดที่เงียบลง เครื่องมือคือ human-centered design—ฟัง ถาม ทดลอง แล้วปรับ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular): เมืองสามารถเป็น “โรงงานรีไซเคิลเชิงสร้างสรรค์” ได้ นำเศษวัสดุจากป่า–ไร่–โรงงานขนาดเล็ก มาออกแบบให้มีคุณค่าใหม่
  • ทำเล็ก–แต่ชัด: ไม่ไล่โครงการใหญ่เกินแรง เลือก “จุดริเริ่ม (pilot)” ที่ทำแล้วเห็นผล สื่อสารได้ และคูณต่อได้ เช่น ย่านเดียว ซอยเดียว โรงเรียนเดียว แล้วค่อยขยาย

ทั้งสามหลักการสอดคล้องกับโครงสร้างเวทีในวันนี้ และปรับใช้กับบริบทเชียงรายได้โดยไม่ต้องยืมแบบใครมา

เยาวชนคือผู้เล่นหลัก จาก “ผู้ชม” สู่ “ผู้จัด”

เวที Chiangrai Design Best Practice ไม่ได้เชิญเยาวชนมา “นั่งฟัง” แต่ให้ลงมือคิด–ทำ–นำเสนอ ตั้งแต่การตีความลวดลายชาติพันธุ์ไปสู่สินค้าพกพาร่วมสมัย การออกแบบเครื่องหมาย–สัญลักษณ์สำหรับงานวิ่งชุมชน ไปจนถึงแผนตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือนของโรงเรียน จุดเด่นคือการสอน ทักษะนุ่ม (soft skills) ที่โรงเรียนมักไม่ค่อยเน้น ได้แก่

  • การเล่าเรื่อง (storytelling) และการสื่อสารข้ามรุ่น
  • การทำงานทีมสหสาขา (designer–artisan–business)
  • การประเมินต้นทุน–ตั้งราคา–คำนึงเรื่องสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

ผลที่อยากเห็นจึงไม่ได้วัดจาก “ถ้วยรางวัล” แต่คือ จำนวนผู้เล่นหน้าใหม่ ที่พร้อมลุกขึ้น “จัดการ” โปรเจกต์เล็กๆ ในย่านและโรงเรียนของตน

เมือง–ชุมชน–เอกชน ใครทำอะไร เพื่อให้ต่อเนื่อง

เพื่อให้การเดินหน้ามีความต่อเนื่อง อบจ.เชียงรายวาง “บทบาทร่วม” ไว้เป็นภาพเดียว

  • อบจ./เทศบาล — ดูแลโครงสร้างรองรับ (พื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก งบสนับสนุนกิจกรรมย่าน ช่องทางประชาสัมพันธ์) และทำหน้าที่ “ตัวเชื่อม” หน่วยงานกับโรงเรียน/ชุมชน
  • โรงเรียน/มหาวิทยาลัย — เปิดสตูดิโอฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบ จัดทำคลินิกออกแบบรายเดือน และบูรณาการหน่วยกิตบริการชุมชน
  • ช่างฝีมือ/ผู้ประกอบการ — เป็น “พี่เลี้ยง” ตัวจริงด้านทักษะ–คุณภาพ สร้างต้นแบบที่ผลิตได้จริง และเปิดบ้าน–เวิร์กช็อปให้เรียนรู้
  • เอกชน/ผู้สนับสนุน — สนับสนุนทุนต้นแบบ ค่าการสื่อสาร และช่วยเปิดตลาด/ช่องทางจำหน่าย

เมื่อทุกคนมี “บท–เวลา–เป้าหมาย” ร่วมกัน เมืองก็จะมี ระบบนิเวศออกแบบ” ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับโครงการระยะสั้น

ตัวชี้วัดที่จับต้องได้น้อยแต่คม

เพื่อให้การสื่อสารสาธารณะชัดเจน อบจ.เชียงรายเน้นตัวชี้วัดที่ประชาชน “เห็น–สัมผัส–ใช้” ได้จริง เช่น

  • จำนวนต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากทีมเยาวชนและเข้าสู่การผลิตจริง
  • จำนวนพื้นที่สาธารณะ/กิจกรรมย่าน ที่ได้รับการออกแบบใหม่พร้อมใช้งาน (ป้าย–ทางเท้า–ตลาดนัดคราฟต์)
  • โอกาสทางอาชีพ ของเยาวชน (ฝึกงาน–จ้างงาน–ตั้งต้นธุรกิจ)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน วัดจากผู้ร่วมกิจกรรมและความถี่การใช้งานพื้นที่หลังออกแบบ

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะถูกนำไปประกอบ แผนขอเป็นสมาชิก UCCN ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เกิดบนพื้น” ไม่ใช่เอกสารอย่างเดียว

มองไกลกว่าวันนี้เชียงรายบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์โลก

หากเดินตามแผน 12 เดือนอย่างมีวินัย เชียงรายจะมี “คลังผลงาน” และ “หลักฐานการทำงานร่วม” ที่พร้อมสำหรับการสมัครเข้าร่วมเครือข่าย UCCN ในวาระถัดไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมืองจะได้ คนรุ่นใหม่ที่มีทักษะออกแบบ เป็นทุนมนุษย์ชุดใหม่ของจังหวัด และได้ โมเดลย่านทดลอง ที่ขยายผลต่อยอดได้ทั่วเมือง—จากย่านศิลปหัตถกรรม ไปสู่ย่านอาหารพื้นถิ่น และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายอาจไม่ได้เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงประชากร แต่เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศิลปกรรม การเอา “การออกแบบ” เป็นตัวเชื่อมรากวัฒนธรรมกับตลาดสมัยใหม่ จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม ทั้งเพื่อ สร้างรายได้ให้ชุมชน และ รักษาอัตลักษณ์ ให้คงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นต่อๆ ไป

ท้ายที่สุด เวที Chiangrai Design Best Practice วันนี้ไม่ได้ปิดท้ายด้วยคำว่าจบ แต่ปิดด้วยคำว่า เริ่ม” — เริ่มโครงการเล็กๆ ในโรงเรียน เริ่มยกของจริงกับช่าง เริ่มเปิดพื้นที่สาธารณะให้เป็นห้องเรียนของเมือง และเริ่มวางหมุดหมายว่า “เชียงราย” จะยืนอยู่ตรงไหนบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์ของโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • Creative Economy Agency (CEA) ประเทศไทย
  • Bangkok City of Design / Chiang Mai City of Crafts & Folk Art / Phuket City of Gastronomy / Sukhothai City of Crafts & Folk Art / Phetchaburi City of Gastronomy
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยสู่เวทีโลก! 2 นักออกแบบเชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย “ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”

เชียงรายสู่เวทีแฟชั่นผ้าไทย 2 นักออกแบบดาวรุ่งจ่อขึ้นชิงชัยระดับภูมิภาค ภายใต้โครงการ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”  เมื่อ Soft Power เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย / ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — บนเส้นด้ายที่ทอดยาวระหว่าง “ราก” และ “โลก” ชื่อของเชียงรายถูกขีดเส้นใต้ขึ้นมาอีกครั้งในแผนที่แฟชั่นไทย เมื่อสองนักออกแบบรุ่นใหม่ของจังหวัด—กนกพร ธรรมวงค์ และ สมชัย ธงชัยสว่าง—เตรียมขึ้นเวทีรอบระดับภูมิภาคในโครงการ นักออกแบบผ้าไทย ใสให้สนุกรุ่นใหม่ 2568 (Young Designer 2025)” หลังฝ่าด่านการแข่งขันที่มีผู้ส่งผลงานจากทั่วประเทศจำนวนมาก สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังกระเพื่อมจากท้องถิ่นสู่เวทีใหญ่

ขณะที่สตูดิโอเล็ก ๆ ของนักออกแบบในตัวเมืองเชียงรายยังมีเสียงจักรเย็บผ้าและแสงไฟดวงเล็กโชยอุ่น—เรื่องเล่าของผืนผ้า “ลายจกสามดอก” ที่ถูกตีความใหม่ และแนวคิดความงามแบบ Wabi Sabi ที่เคยคว้ารางวัลระดับชาติ—กำลังจะถูกจับขึ้นกรอบเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความงาม หากคือบทพิสูจน์ว่า ผ้าไทย สามารถ “ใส่แล้วสนุก” และ “ขายได้จริง” ในโลกปัจจุบัน

ประกวดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพระราชดำริ จาก “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สู่ห้องทดลอง Soft Power

หัวใจของโครงการปีนี้ยังยึดโยงกับ พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงผลักดันแนวคิด ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ให้ผ้าไทยกลับมาเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และขยายผลสู่เศรษฐกิจฐานราก ผ่านคณะทำงานเชิงปฏิบัติการที่เปรียบประดุจ วิชชาลัยผ้าเคลื่อนที่/คาราวานนักออกแบบ” ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาชุมชน จนเกิดองค์ความรู้ต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือแนวโน้ม Thai Textiles Trend Book และเวทีแข่งขันของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เชื่อมชุมชนกับตลาดสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์

ในเชิงสถาบัน โครงการได้รับการขับเคลื่อนโดย กระทรวงมหาดไทย ผ่าน กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ทำให้การคัดสรรและสนับสนุนผลงานจากชุมชนสู่เวทีชาติเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนบางกิจกรรม สะท้อนโมเดลความร่วมมือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศผ้าไทยในระยะยาว.

ภาพรวมการแข่งขันปี 2568 ตัวเลขสะท้อนแรงกระเพื่อม

เวทีปีนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคัก—มีผู้ส่งผลงานรวม 735 ราย เข้าสู่รอบคัดเลือกที่จัดแถลงข่าวเปิดตัว ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ก่อนจะคัดเหลือ ตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค 4 ภาค รวม 80 ราย (ภาคละ 20) เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่รอบประเทศ, ปักหมุดสำคัญไว้ที่ รอบชิงชนะเลิศ 28 ตุลาคม 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม

สำหรับ ภาคเหนือ—เวทีของตัวแทนเชียงราย—การประกวดกำหนดจัด วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมมีเลีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นด่านชี้ชะตาเพื่อคัดเข้าสู่รอบระดับประเทศต่อไป

หมายเหตุ: สื่อบางแห่งรายงานว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป 94 ราย (นับจากการคัดกรองชุดแรก) ก่อนจะจัดสรรลงสู่เวทีภาค แต่ เอกสารทางการของรัฐบาลระบุกรอบแข่งขันระดับภูมิภาค 80 ราย (ภาคละ 20) จึงอาจเกิดความแตกต่างเชิงเทคนิคจากขั้นตอนคัดกรองและการสรุปตัวเลขในแต่ละช่วงเวลา

ในฝั่งรางวัล กรอบรางวัลตามเอกสารประชาสัมพันธ์ทางการ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ 200,000 บาท, รองชนะเลิศ 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับสอง 75,000 บาท และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล ๆ ละ 40,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันสะท้อน แรงจูงใจเชิงคุณค่าทั้งตัวเงินและเวทีพัฒนาอาชีพ ที่ชัดเจน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านองค์ความรู้และโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์หลังเวทีแข่งขัน

เชียงรายส่งสัญญาณจาก “ราก” สองดีไซเนอร์–สองตัวตน–หนึ่งเป้าหมาย

แม้แต่ละภูมิภาคจะส่งตัวแทนขึ้นเวทีจำนวนจำกัด แต่เรื่องเล่าจากเชียงรายปีนี้โดดเด่นในเชิง “อัตลักษณ์ + ความร่วมสมัย” อย่างน่าจับตา

  • กนกพร ธรรมวงค์ (รหัสผลงาน N67 ตามข้อมูลที่วงการแฟชั่นท้องถิ่นเผยแพร่) เลือกหยิบ ลายจกสามดอก มาเป็นวัตถุดิบทางความคิด แล้วพัฒนาเป็นแนวทางร่วมสมัยที่ “สนุกและใส่ได้จริง” โดยให้ความสำคัญกับการ ทอและการย้อมสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวโน้มแฟชั่นยั่งยืน โลกออนไลน์เคยเห็นผลงานเธอผ่าน โชว์ผ้า/วิดีโอแนะนำงานชุมชน ซึ่งปรากฏแนวทาง “วิจิตรลายจกสามดอก” ชัดเจน.
  • สมชัย ธงชัยสว่าง (รหัส N72 ตามลำดับการประกวดที่วงการออกแบบกล่าวถึง) โดดเด่นจากผลงานแนวคิด Wabi Sabi ที่เคยพาเขาคว้ารางวัลระดับชาติ (SACIT AWARD 2021) ด้วยภาษาการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง—สะท้อนความงามของ “ความไม่สมบูรณ์อันเป็นธรรมชาติ”—แล้วนำมาผสานกับโครงสร้างและผิวสัมผัสของผ้าไทยอย่างลงตัว ทุนทางความคิดที่พิสูจน์มาแล้ว ทำให้เขาถูกจับตาในฐานะผู้เล่นที่พร้อมต่อยอดสู่เวทีภูมิภาค

ทั้งคู่คือภาพแทนของ “ท้องถิ่นที่ต่อกับโลก”—คนหนึ่งยืนบนฐานชุมชนและการย้อมธรรมชาติ อีกคนทำให้แนวคิดร่วมสมัยเชื่อมกับภูมิปัญญาผืนผ้า—และพร้อมพิสูจน์ว่า แฟชั่นผ้าไทย อาจไม่ใช่เพียงพิธีการหรือความทรงจำอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ประกวดทำไมเวทีนี้สำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก

ความต่างของ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุก” เมื่อเทียบกับเวทีแฟชั่นสากล คือ วัตถุประสงค์ ที่ต้องการ “พลิกผ้าไทยให้กลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน” มากกว่าการทำคอลเลกชันโชว์อย่างโดดเดี่ยว โครงสร้างการแข่งขันจึงตั้งอยู่บนการ เชื่อมชุมชน–ดีไซเนอร์–ตลาด อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรงบันดาลใจลวดลาย, การเลือกเส้นใย/ย้อมสีที่ยั่งยืน, การออกแบบแพตเทิร์นให้ใส่ง่าย/ผลิตซ้ำได้, ไปจนถึงการสื่อสารแบรนด์และการเข้าถึงช่องทางจำหน่าย

ขุมพลัง Soft Power อยู่ตรงนี้—เมื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบองค์ความรู้ใน Thai Textiles Trend Book และคำแนะนำจากคณะทำงานลงไปทดลองจริงกับชุมชน ต้นทุนทางวัฒนธรรม จึงถูกแปรรูปเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกัน การนำเวทีประกวดกระจายไปยัง 4 ภูมิภาค ก็ช่วยให้ การเดินทางขององค์ความรู้ ไม่ติดอยู่ในเมืองหลวง แต่ไหลกลับไปสู่แหล่งผลิตผ้าอันหลากหลาย ทำให้การพัฒนาเกิด “วงจรป้อนกลับ” ที่ยั่งยืนกว่าเวทีประกวดทั่วไป

เส้นทางสู่เวทีใหญ่ กำหนดการที่ต้องรู้

  • รอบระดับภาคเหนือ: 30 สิงหาคม 2568 ที่ โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่
  • รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ: 28 ตุลาคม 2568 ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ทั้งสองหมุดหมายคือด่านสำคัญที่นักออกแบบต้อง “แปลงสเก็ตช์ให้เป็นชุดจริง” และสื่อสารคอนเซ็ปต์ให้จับใจคณะกรรมการ/ผู้ชม ขณะที่เบื้องหลังคือการ จับมือกับช่างทอ/กลุ่มผู้ผลิต เพื่อสร้างต้นแบบที่ทั้งสวยและผลิตซ้ำได้—นี่แหละ บทพิสูจน์วัดฝีมือของแฟชั่นร่วมสมัยที่ต้องขายได้จริง

เวทีนี้ “ปั้นอาชีพ” ได้จริง

ปีก่อนหน้า นายรุจ กล้ำศรี คว้ารางวัลชนะเลิศ New Gen Young Designer 2024 พร้อมรางวัลตัวเงินและเครื่องมือทำงาน (เช่น จักรเย็บผ้า, แท็บเล็ต) ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเวทีนี้ที่ ไม่หยุดแค่ถ้วยรางวัล แต่ “มอบเครื่องมือ” ให้ต่อยอดอาชีพจริง ขณะเดียวกัน การได้รับการยอมรับจากเวทีที่อยู่ภายใต้พระราชดำริ ยังกลายเป็น ตราประทับความน่าเชื่อถือ ต่อแวดวงธุรกิจแฟชั่นและผู้บริโภค

คำถามเชิงนโยบาย ตัวเลข 735 ชี้อะไร?

ตัวเลขผู้สมัคร 735 ราย บอกเราว่า “แรงดึงดูด” ของผ้าไทยในหมู่คนรุ่นใหม่ยังสูง และ พื้นที่ให้ทดลอง (เช่น การให้ส่งสเก็ตช์/สตอรี่บอร์ดก่อน) ทำให้ ต้นทุนการเข้าร่วมต่ำ จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากได้ลองสนาม เมื่อคัดสรรเหลือ 80 ตัวแทนเข้าสู่เวทีภาค จะยิ่งเห็น คุณภาพเชิงไอเดียและการผลิต เด่นชัดขึ้น—นี่คือฟิลเตอร์ที่ทำให้ “ความสนุก” ขยับไปเป็น “ความจริงจังทางอาชีพ” อย่างมีขั้นตอน

ในแง่ระบบนิเวศ หากดู จุดหมายปลายทาง (ไอคอนสยาม) และ จุดสตาร์ต (โรงแรม/สถานที่จัดระดับพรีเมียม) ย่อมสื่อสารภาพลักษณ์ “แฟชั่นร่วมสมัยของไทย” ในเชิงสากล ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคเหนือที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฮับครีเอทีฟของภูมิภาค ก็ทำให้เวทีนี้ “อยู่ใกล้แหล่งผลิต” มากพอ—เกิดทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ผลิตจริงในคราวเดียว.

จากเวทีภาคเหนือ…สู่มูลค่าเพิ่มของชาติ

การที่เชียงรายมีชื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ถูกจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องของจังหวัดหนึ่ง หากคือหลักฐานว่า “ระบบนิเวศผ้าไทย” เริ่มทำงานในแบบที่ ภูมิปัญญา–ดีไซน์–ตลาด เดินไปด้วยกัน เมื่อเวทีระดับภูมิภาคเปิดโอกาสให้ ราก ทำความรู้จักกับ โลก ผ่านภาษาแฟชั่นร่วมสมัย เราจึงได้เห็น ลายจกสามดอก ที่ถูกแปลเป็นเสื้อผ้าใส่จริง และ ความงามแบบ Wabi Sabi ที่กลายเป็นจังหวะใหม่ของผิวผ้าไทย นี่คือ Soft Power ที่จับต้องได้—เริ่มจากหมู่บ้าน สู่ห้องตัดเย็บ ไปจนถึงรันเวย์ และท้ายสุด…สู่ ยอดขายและงานทำ ในชุมชน

เวที 30 สิงหาคม ที่เชียงใหม่ คือบททดสอบสำคัญของนักออกแบบเชียงราย และหากผ่านด่านนี้ พวกเขาจะมีนัดใหญ่ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม วันที่ 28 ตุลาคม โจทย์ไม่ใช่เพียงว่า “สวยแค่ไหน” หากต้องตอบให้ได้ว่า ใส่แล้วสนุก ขายได้จริง และคืนกำไรให้ชุมชน” มากเพียงใด—คำตอบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การเชื่อมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–ผู้ประกอบการ–หน่วยงานรัฐ ให้แน่นแฟ้นพอที่จะเปลี่ยน “ผืนผ้า” ให้กลายเป็น “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)
  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • Yu Jia Dong
  • พู่ววววว พู่
  • ผ้าไทยใส่สนุก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนา สู่นวัตกรรมวัฒนธรรม

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนาโบราณ สู่นวัตกรรมวัฒนธรรมที่ชุมชนร่วมสร้าง

เชียงราย, 18 สิงหาคม 2568 – ประเพณี “ตักบาตรพระขี่ม้า” ที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย กลับมาเป็นข่าวเด่นอีกครั้ง เพราะไม่ใช่เพียงภาพงามตาของพระสงฆ์บนหลังม้า หากแต่เป็น “แบบฝึกหัดร่วมสมัย” ของสังคมท้องถิ่นในการชุบชีวิตภูมิปัญญาล้านนา สร้างพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น และต่อยอดเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอเพียง กิจกรรมครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 อยู่ภายใต้โครงการ “เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมกับวัดถ้ำป่าอาชาทอง จุดสังเกตที่ควรจับตา ได้แก่ (1) การใช้ “วันธรรมสวนะ” เป็นจุดศูนย์ถ่วงให้ชุมชนกลับมาพบกันในวัด (2) การแปะป้าย “อุดหนุนชุมชน” ควบคู่การทำบุญ สื่อถึงแนวทางวัฒนธรรมที่เกื้อกูลเศรษฐกิจฐานราก และ (3) การเล่าเรื่อง “พระขี่ม้า” ในฐานะสัญลักษณ์การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลของศาสนา ซึ่งมีนัยต่อการออกแบบบริการสาธารณะในปัจจุบันอย่างน่าคิด ปมหัวข้อสำคัญที่บทความนี้จะพาไปคลี่คลาย คือ เหตุผลที่ประเพณีนี้ยังทรงพลังในยุคดิจิทัล, ผลลัพธ์เชิงสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจที่เกิดกับชุมชน, และ เงื่อนไขความยั่งยืน ของการสืบสานให้สอดรับมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนบทบาทของหน่วยงานรัฐ–ศาสนา–สังคมในฐานะหุ้นส่วนทางวัฒนธรรม

เช้าตรู่วันธรรมสวนะ กลิ่นอายล้านนากลับมาเคลื่อนไหว

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 – ดอยเขียวชอุ่มของแม่จัน เสียงสาธุการแผ่วเบาไหลรวมกับจังหวะก้าวเท้าม้าบนลานวัดถ้ำป่าอาชาทอง ผู้คนหลากวัยยืนเรียงรายอย่างสงบ มือประคองปิ่นโต ข้าวปลาอาหาร และผลไม้ตามฤดูกาล ขณะพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาส ขี่ม้านำหน้าพระภิกษุออกบิณฑบาต ภาพที่เคยพบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกลับปรากฏอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อ “ย้อนอดีต” แบบพิธีกรรมตัวอย่าง หากแต่เพื่อย้ำว่า “ความหมาย” ของศาสนาและชุมชน ยังเดินทางมาถึงผู้คนได้เสมอ เมื่อมีช่องทางและภาษาที่เหมาะสม

กิจกรรมครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 จัดโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ วัดถ้ำป่าอาชาทอง ภายใต้กรอบ โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน จุดมุ่งหมายคือให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนา และมองเห็น “ดีเอ็นเอวัฒนธรรม” ของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอดีพองาม

ความหมายร่วมสมัยของ “พระขี่ม้า” สัญลักษณ์การเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ยากลำบาก

อดีตล้านนาคือภูมิประเทศของดอยสูง ป่าลึก ลำห้วยซับซ้อน จึงไม่แปลกที่ ม้า จะเป็นพาหนะคู่ชีวิตของทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ การบิณฑบาตด้วยม้าจึงเกิดจาก “ความจำเป็น” มากกว่าความแปลกประหลาด และยังทำให้ศาสนา “ไปถึง” บ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล—นี่คือเหตุผลที่ประเพณีนี้ฝังรากในจิตใจผู้คน และยังทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างพระกับโยมอย่างทรงพลัง

ในปัจจุบัน ความจำเป็นด้านภูมิประเทศอาจลดลง แต่ สัญลักษณ์ ของการเข้าถึงยังคงทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่ชุมชนกระจัดกระจายและคนรุ่นใหม่เติบโตกับหน้าจอ การเห็นพระออกบิณฑบาตบนหลังม้าไม่เพียงสร้างความประทับใจ หากยัง ตั้งคำถามชวนคิด ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ศาสนาเข้าถึงหัวใจผู้คนได้รวดเร็วและตรงบริบท เหมือนที่ม้าเคยทำหน้าที่นั้นในอดีต” นี่คือบทสนทนาที่ประเพณีเก่าแก่กำลังก่อรูปให้เกิดขึ้นใหม่

วันธรรมสวนะ เข็มทิศเวลาเชิงวัฒนธรรมของชุมชน

วันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม–รักษาศีล–เจริญภาวนาในแต่ละเดือนจันทรคติ (โดยมากตรงกับขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ) ถือเป็น “จังหวะเวลา” ที่ทำให้ผู้คนมีช่วงหยุดเพื่อชำระใจและทบทวนการดำเนินชีวิต การผูกกิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” เข้ากับวันธรรมสวนะ จึงเป็นการ “ตั้งวงจร” ที่หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธาและชุมชน—เมื่อมีรอบเวลา ชุมชนก็มีจุดนัดพบ เมื่อมีจุดนัดพบ การมีส่วนร่วมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม

ในเช้าวันนี้ ภายหลังพิธีตักบาตร มีการฟังธรรมเทศนาและเจริญจิตภาวนาตามลำดับ ผู้มาร่วมงานตั้งใจเงียบสงบ หลายคนปิดโทรศัพท์ วางงานด่วนไว้ข้างกาย เพื่อ “อยู่กับลมหายใจ” และ “ฟังเสียงของตัวเอง” อีกครั้ง—ความเรียบง่ายเช่นนี้คือความซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งมักหาได้ยากในวันธรรมดา

ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” วัด–โรงเรียน–เครือข่ายวัฒนธรรม ร้อยมือเป็นหนึ่ง

ความโดดเด่นของงานครั้งนี้ คือการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ ศาสนา การศึกษา และภาคประชาสังคม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นแกนกลางด้านนโยบายและงบประมาณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง เป็นเจ้าภาพเชิงพื้นที่ โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง นำโดยนางสาวสุภาภรณ์ ธรรมสอน พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียน ร่วมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านศิลปวัฒนธรรม ขณะที่ เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ในพื้นที่ระดมพลังจิตอาสาและทุนทางสังคม ทั้งหมดนี้สะท้อน “โมเดลสามเหลี่ยม” ที่ให้วัด–ชุมชน–โรงเรียนหนุนเสริมกัน

สโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ไม่ได้ตั้งเพื่อความไพเราะ หากแต่ตอกย้ำ วงจรเศรษฐกิจวัฒนธรรม ระดับฐานราก—ผู้คนมาทำบุญ ฟังธรรม และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนสินค้าและบริการจากชาวบ้านในละแวกวัด เกิดการหมุนเวียนรายได้เล็กๆ ที่สัมผัสได้จริง ไม่ฟุ้งฝันเกินไป และเดินไปพร้อมกับศรัทธา

สถิติที่ชี้ทิศ จาก “ครั้งที่ 1–4” ไปสู่ “ปฏิทินวัฒนธรรมประจำปี”

ปีงบประมาณ 2568 กิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” จัดแล้ว 4 ครั้ง ภายใต้กรอบโครงการเดียวกัน การทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอสร้าง “ความคุ้นชิน” และเปิดโอกาสให้ทีมปฏิบัติงานปรับระบบหลังบ้านให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น แผนจราจร, จุดนัดหมาย, พื้นที่พักม้า, แนวทางสื่อสารกับสาธารณะ, หรือ ขั้นตอนสั้นๆ สำหรับผู้ร่วมงานครั้งแรก เมื่อครบรอบปี ข้อมูลจาก 4 ครั้งนี้จะกลายเป็น ฐานวิชาการ สำหรับออกแบบ “ปฏิทินวัฒนธรรม” ที่เท่าทันความเสี่ยงและความต้องการของคนในพื้นที่จริง

ตัวเลขชวนคิด
• วันธรรมสวนะในหนึ่งเดือนโดยทั่วไปมี 4 ครั้ง (ขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ)
• การจัดกิจกรรมปีละหลายรอบ ทำให้เกิด “กราฟการเรียนรู้” (learning curve) ของทั้งทีมงานและชุมชน
• เมื่องานวัฒนธรรมผูกกับปฏิทินที่ชัดเจน การมีส่วนร่วม–การสื่อสาร–งบประมาณ จะบริหารง่ายและคุ้มค่าขึ้น

เมื่อ “ประเพณี” เป็น “ห้องเรียน” เด็กและเยาวชนเรียนรู้จากพื้นที่จริง

การมีส่วนร่วมของโรงเรียนและเครือข่ายเยาวชนคือภาพน่าชื่นใจ นักเรียนบางส่วนมีหน้าที่ช่วยประสานจุดบริการน้ำดื่ม แนะนำเส้นทางให้ผู้สูงอายุ หรือร่วมทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังพิธี—งานเล็กๆ ที่แปลงเป็นบทเรียนเรื่อง ความรับผิดชอบ, วินัย, และ มารยาทสาธารณะ แบบไม่ต้องขึ้นกระดานดำ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ภูมิความหมายของการสงบ รู้จักคำว่า “สมถะ” ผ่านการเจริญภาวนา และที่สำคัญ คือเข้าใจว่า วัดมิใช่ที่ไกลตัว แต่เป็น “ศูนย์กลางชุมชน” ที่มีชีวิตอยู่จริง

ความปลอดภัย–สวัสดิภาพสัตว์ เงื่อนไขที่ทำให้การสืบสานน่าเชื่อถือ

ประเพณีที่มี “ม้า” เป็นตัวแสดงสำคัญ ต้องให้ความสำคัญกับ สวัสดิภาพสัตว์ อย่างรอบคอบ ตั้งแต่การคัดเลือกม้า การตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์ การควบคุมน้ำหนักบรรทุก การกำหนดเส้นทางและระยะเวลาเหมาะสม ไปจนถึงการจัดพื้นที่พักและน้ำสะอาด งานครั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายจัดงานและวัดให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ศรัทธาเดินคู่กับ ความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เศรษฐกิจวัฒนธรรม ทำบุญแล้วชุมชนต้องอยู่ได้

แม้กิจกรรมศาสนาจะไม่ควรถูกตัดทอนเป็น “มูลค่าเงิน” อย่างเดียว แต่มิติทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อ ความยั่งยืน การวางสโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ทำให้ผู้มาร่วมงานตระหนักรู้ว่า การจับจ่ายเล็กๆ กับร้านชุมชน—ข้าวเหนียว, ของพื้นบ้าน, งานหัตถกรรม—คือการต่อชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน การจัดระบบให้ผู้ค้าในชุมชนมี “มาตรฐานสุขอนามัย” และ “ราคายุติธรรม” จะช่วยให้วงจรบุญ–คุณค่าทางเศรษฐกิจไหลเวียนได้จริง โดยไม่เกิดผลข้างเคียงเชิงพาณิชย์ที่เกินควร

 “การสื่อสาร” จากภาพสวยสู่ความเข้าใจที่ลึก

ภาพ “พระขี่ม้า” งดงามและดึงดูดสายตา แต่หากมีเพียงภาพ อาจทำให้ประเพณีถูกเข้าใจแบบผิวเผิน ฝ่ายจัดงานจึงสื่อสาร “ความหมาย” คู่ไปกับ “ความงาม” ตั้งแต่ที่มา–เหตุผลเชิงพื้นที่ในอดีต–ความเชื่อมโยงกับวันธรรมสวนะ–ความหมายของทานและศีล–ไปจนถึงข้อควรระวังและมารยาทในการร่วมพิธี การทำให้คน “เข้าใจ” มากกว่า “เห็น” คือหัวใจที่ทำให้กิจกรรมไม่กลายเป็นเพียงคอนเทนต์ชั่ววูบในโลกออนไลน์

รัฐ–ศาสนา–สังคม คือหุ้นส่วน ไม่ใช่ผู้สั่ง–ผู้ตาม

โมเดลที่เกิดขึ้นในแม่จันสะท้อนบทเรียนสำคัญ 3 ประการ

  1. วัฒนธรรมจังหวัด เป็น “ผู้จัดกระบวนการ” (process owner) ที่เชื่อมงบประมาณ นโยบาย และมาตรฐานการทำงานให้เข้ากับพื้นที่จริง
  2. วัด เป็น “เจ้าภาพพื้นที่” ที่รู้จังหวะชุมชน เข้าใจภูมิประเทศและศรัทธา จึงบริหารความละเอียดอ่อนของพิธีกรรมได้
  3. ชุมชน–โรงเรียน–เครือข่ายประชาสังคม เป็น “แรงขับเคลื่อน” ที่ทำให้กิจกรรมมีชีวิต มีผู้คนหลากวัย และกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง

หากปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกขั้น การทำ ฐานข้อมูลกิจกรรมต่อรอบ, เช็กลิสต์ความปลอดภัย, และ แนวปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อม (ลดพลาสติก ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ คัดแยกขยะหลังพิธี) จะทำให้แม้กิจกรรมจะเติบโต ก็ยังรักษา “ความพอดี” และลดภาระสิ่งแวดล้อมได้

การมีส่วนร่วมคือเครื่องยืนยัน

แม้บทความชิ้นนี้จะไม่หยิบคำพูดตรงๆ มาอ้างอิง แต่การมีส่วนร่วมของ ครู–นักเรียน–ผู้สูงอายุ–เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ที่มา “ลงมือ” กันจริง คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากิจกรรมเชื่อมคนต่างวัยเข้าด้วยกันได้ การเห็นเด็กมัธยมยื่นขันน้ำให้คุณตาคุณยาย หรือจัดแถวให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าใจพิธีการ คือภาพเล็กๆ ที่บอกว่า “วัฒนธรรมไม่ใช่ของวางโชว์ หากเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันทุกคน”

 “งดงาม” สู่ “ยั่งยืน”

เพื่อให้ “ตักบาตรพระขี่ม้า” เป็นทั้ง มรดกที่มีชีวิต และ นวัตกรรมทางวัฒนธรรม ในระยะยาว ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่ภาคส่วนต่างๆ อาจพิจารณา ได้แก่

  • คู่มือกิจกรรมมาตรฐานจังหวัด: ครอบคลุมความปลอดภัย สวัสดิภาพม้า การสื่อสาร การจัดการขยะ และมาตรการรองรับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ
  • คลังความรู้ดิจิทัล: รวบรวมภาพถ่าย เรื่องเล่า บันทึกพิธี ตลอดจนบทเรียนจากแต่ละรอบ เพื่อใช้สร้างหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน
  • ปฏิทินวัฒนธรรมเชื่อมท่องเที่ยวคุณภาพ: ยึดหลัก “เล็ก–ลึก–พอดี” ไม่ไล่ตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่เน้นประสบการณ์เรียนรู้ที่เคารพพื้นที่
  • ตัวชี้วัดร่วม: เช่น สัดส่วนครัวเรือนชุมชนที่ได้ประโยชน์ การลดขยะต่อรอบ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความพึงพอใจผู้สูงอายุ

เมื่อเสียงม้าคลอเสียงสวด ศรัทธาก็เดินต่อ

เมื่อพิธีจบ ผู้คนทยอยเก็บข้าวของ ลมเช้าพัดผ่านใบไม้ เสียงระฆังเบาๆ ดังก้อง พระภิกษุและม้าคู่ใจกลับสู่ศาลาวัด เด็กๆ โค้งคำนับครู ก่อนช่วยกันคัดแยกขยะ เหมือนภาพเรียบง่าย แต่หากมองให้ลึก นี่คือ ภาพสังคมที่กำลังซักซ้อมการอยู่ร่วมกัน ด้วยความเคารพ–แบ่งปัน–และรับผิดชอบต่อกัน “ตักบาตรพระขี่ม้า” จึงไม่ใช่เพียงพิธี หากคือเวทีที่ทำให้คนละบทบาทจากหลายรุ่นมา “เรียนรู้ความเป็นชุมชน” และยืนยันว่า วัฒนธรรมไม่เคยหายไปไหน—มันรอให้เราใส่ใจและทำร่วมกัน เท่านั้นเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • เครือข่ายสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่จัน
  • โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไร่เชิญตะวันหมุดหมายใหม่! ขึ้นสถานะวัดอย่างเป็นทางการ ชูบทบาทศูนย์กลางธรรมะสู่สังคม

วัดไร่เชิญตะวัน” ขึ้นสถานะเป็นวัดอย่างเป็นทางการ หมุดหมายใหม่ของศาสนสถานร่วมสมัย สะท้อนพลังศรัทธา การบริหารจัดการที่โปร่งใส ขับเคลื่อนบทบาทศูนย์กลางธรรมะสู่สาธารณะ

เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568“วิหารดิน” วิปัสสนาคารนานาชาติ อันเป็นหัวใจของ “ไร่เชิญตะวัน” ที่ผู้คนคุ้นในฐานะศูนย์วิปัสสนาสากลก่อตั้งโดยพระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) วันนี้บรรยากาศเคร่งขรึมกว่าทุกคราว เมื่อ “ตราตั้งวัด” ถูกส่งมอบอย่างเป็นทางการต่อหน้าคณะสงฆ์ ข้าราชการฝ่ายบ้านเมือง และพุทธศาสนิกชนที่ร่วมเป็นสักขีพยานจารึกอีกหน้าประวัติศาสตร์ของศาสนสถานร่วมสมัยในภาคเหนือ

ตามข้อมูลจากหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของจังหวัด ระบุว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานมอบ “ใบตราตั้งวัด” แก่ “วัดไร่เชิญตะวัน” เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 สิงหาคม 2568 การมอบตราตั้งมีความหมายเชิงนิติกรรมทางศาสนาและกฎหมาย เพราะคือขั้นตอนยืนยันว่า “ศูนย์ปฏิบัติธรรม” ที่ทำงานสาธารณะมาเนิ่นนาน ได้รับการรับรองเป็น “วัดในพระพุทธศาสนา” สมบูรณ์พร้อมด้วยสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบตามพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และคณะสงฆ์ในพื้นที่กำกับติดตามด้านการปกครองคณะสงฆ์ต่อไป

จุดเปลี่ยนจาก “ศูนย์วิปัสสนา” สู่ “วัด”  นัยสำคัญต่อสังคมและการบริหารจัดการ

ทำไม “การเป็นวัดอย่างเป็นทางการ” จึงสำคัญ? ในทางปฏิบัติ การได้รับตราตั้งวัดคือการรับรองสถานะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้ศาสนสถานมีกรอบอำนาจหน้าที่ชัดเจนในการจัดการศาสนสมบัติ การแต่งตั้งภิกษุผู้ปกครองวัด การอนุญาตก่อสร้างซ่อมแซมถาวรวัตถุ ไปจนถึงการจัดระเบียบกิจกรรมทางศาสนาและงานเผยแผ่ธรรมะให้สอดคล้องกับกฎหมายและธรรมวินัย ซึ่งทั้งหมดพ่วงมากับ “ความโปร่งใสตรวจสอบได้” ที่ภาครัฐและสาธารณะคาดหวัง  

 “ไร่เชิญตะวัน” โดดเด่นบนสองเสาหลักงานจิตภาวนาและงานศิลปวัฒนธรรมที่ถูกออกแบบให้เข้าถึงผู้คนยุคใหม่ ผ่านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย การจัดค่ายเยาวชน นิทรรศการศิลปะ และเวทีสาธารณะว่าด้วยพุทธปัญญาสันติภาพ อันเป็นลายเซ็นทางความคิดของพระเมธีวชิโรดมตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งเมื่อกว่าทศวรรษก่อน

จากการจัดสรรที่ดินเขตวัด สู่ความพร้อมด้านกายภาพ

ก่อนมาถึงวันนี้ มี “งานหลังบ้าน” จำนวนมากที่ต้องเดินบนกติกา เช่น การจัดสรรพื้นที่เป็น “เขตสังฆาวาส–เสนาสนะ” และการกำหนดขอบเขตวัดภายใต้การเห็นชอบของหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดและส่วนกลาง โดยในปี 2567 มีข่าวความคืบหน้าสำคัญว่าหน่วยงานเกี่ยวข้องผลักดันการกำหนดเขตวัดและพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมของไร่เชิญตะวัน เพื่อเตรียมความพร้อมต่อการเป็น “วัด” ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามครรลองงานศาสนสถานรัฐสงฆ์ร่วมกำกับ

การมีเขตวัดชัดเจนไม่เพียงช่วยให้การสร้างซ่อมแซมอาคารเสนาสนะเป็นระบบ แต่ยังเอื้อต่อการวางแผนผังพื้นที่รองรับกิจกรรมสาธารณะ การดูแลทรัพย์สินของวัดอย่างถูกต้อง และการเชื่อมต่อบริการสาธารณูปโภคของรัฐในฐานะ “สถานที่ราชการทางศาสนา” ที่ได้รับการรับรอง

มองผ่านมุมประชาชน ได้อะไรเมื่อวัดมี “สถานะครบ”

  1. ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการสาธารณะ  ผู้มาปฏิบัติธรรมร่วมกิจกรรมย่อมมั่นใจในมาตรฐานการจัดการและการกำกับดูแลของวัด ทั้งด้านความปลอดภัย กฎระเบียบ และจริยธรรมของบุคลากรในวัด
  2. ความโปร่งใสทางการเงินและทรัพย์สิน  โครงสร้างบัญชีทรัพย์สินของวัดต้องอยู่ภายใต้กติกาและการตรวจติดตามของหน่วยงานรัฐและคณะสงฆ์ ลดช่องว่างความคลุมเครือ
  3. การพัฒนาพื้นที่และเศรษฐกิจชุมชน  วัดที่เป็นจุดหมายทางศาสนาวัฒนธรรมมีอานิสงส์ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสุขภาวะ ส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่น โรงแรมโฮมสเตย์สินค้าโอทอป ฯลฯ
  4. บทบาทด้านการศึกษาเยาวชน การมีสถานะวัดช่วยจัดหลักสูตรกิจกรรมเยาวชนได้เป็นระบบ เช่น ค่ายพุทธบุตร การเรียนรู้ศิลปะพุทธศิลป์ ภายใต้กรอบความร่วมมือกับโรงเรียนและหน่วยงานรัฐในพื้นที่
  5. ความเชื่อมโยงเครือข่ายศาสนาวัฒนธรรม  วัดสามารถทำเอ็มโอยูกับสถาบันการศึกษาวัฒนธรรมในต่างประเทศได้คล่องตัวขึ้น ดึงทุนความรู้ใหม่ ๆ มาช่วยออกแบบกิจกรรมสาธารณะ

สองความคาดหวังใหญ่หลัง “ได้ตราตั้ง”

ยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาลวัด
ปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญโจทย์ “วัดร้างวัดขาดคนดูแล” และการบริหารทรัพย์สินวัดที่ต้องเพิ่มความโปร่งใส ข้อมูลภาครัฐระบุว่ามี “วัดร้าง” หลายพันแห่งทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนความท้าทายด้านทรัพยากรบุคคลของคณะสงฆ์และชุมชนในบางพื้นที่ การที่วัดไร่เชิญตะวันลุกขึ้นมาเป็น “วัดร่วมสมัยที่มีระบบจัดการเข้ม” จะเป็นต้นแบบวัดที่เข้มแข็งและทำงานเชิงรุกกับสังคมได้

ใช้ทุนทางศิลปะสื่อสารสาธารณะขยายความหมายของพุทธปัญญา

ไร่เชิญตะวันก่อรูปแบรนด์ “ธรรมะร่วมสมัย” ผ่านสื่อนิทรรศการกิจกรรมสาธารณะมาโดยตลอด เมื่อขึ้นสถานะเป็นวัด ความร่วมมือด้านวิชาการ ศิลปะ และนวัตกรรมเพื่อสังคมสามารถขยายผลในนาม “วัด” ที่มีภารกิจชัดเจน มีระบบกำกับดูแล และเชื่อมโยงเครือข่ายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

บทเรียนความโปร่งใสเดินบนข้อเท็จจริงและกติกาเดียวกัน

ปีที่ผ่านมา พื้นที่สาธารณะถกเถียงประเด็นวัดร่วมสมัยที่ดินการก่อสร้างอาคารเสนาสนะในหลายกรณี สะท้อนความคาดหวังของสังคมต่อ “วัดแบบใหม่” ที่ต้องยึดความโปร่งใสทั้งในชั้นเอกสาร ระเบียบกฎหมาย และการสื่อสารชี้แจงต่อสาธารณะ การเดินหน้าด้วยข้อมูลและกรอบกฎหมายเดียวกันของรัฐ–สงฆ์–ประชาชนจึงเป็นคำตอบสำคัญ การมีตราตั้งวัดทำให้ “กลไกตรวจสอบกำกับดูแล” ทำงานได้จริงยิ่งขึ้น และลดความคลุมเครือเชิงสถานะ

จาก “ความศรัทธา” สู่ “สาธารณประโยชน์ที่จับต้องได้”

“ตราตั้งวัด” ของวัดไร่เชิญตะวันคือสัญญะของสมการใหม่ “ศรัทธา + ธรรมาภิบาล” การก้าวสู่สถานะวัดอย่างเป็นทางการช่วยยกระดับความโปร่งใสและความเชื่อมั่น ขณะที่ทุนทางความคิดศิลปะการสื่อสารของวัดสามารถขยายผลสาธารณะได้ไกลขึ้น หากหลังจากนี้ วัดสามารถวางระบบข้อมูลเปิด การมีส่วนร่วม และความร่วมมือกับภาครัฐ–ท้องถิ่น–วิชาการอย่างจริงจัง ย่อมทำให้ “วัดร่วมสมัย” แห่งเชียงรายนี้ กลายเป็นกรณีศึกษาเชิงบวกของศาสนสถานไทยในศตวรรษที่ 21ที่ไม่เพียงพึ่งศรัทธา แต่ยืนอยู่บนหลักฐาน กติกา และผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • วัดไร่เชิญตะวัน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหลับใหล เมื่อผลงานประมูล 25.5 ล้านบาท สะท้อนพลังตลาดศิลปะไทย

ถวัลย์ ดัชนี” ศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหลับใหล: เมื่อผลงานประมูล 25.5 ล้านบาท สะท้อนพลังตลาดศิลปะไทยที่สวนกระแสโลก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – “บ้านดำ” พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สร้างโดยถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เติบโตมากับเรื่องราวของศิลปินผู้นี้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมล้านนา แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนรอบๆ สร้างสรรค์งานหัตถกรรมและศิลปะเพื่อขายให้นักท่องเที่ยว  ผลงานของถวัลย์ ดัชนี ถูกประมูลไปในราคา 25.5 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ให้วงการศิลปะไทย ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและตลาดศิลปะสากลหดตัวลงอย่างหนัก ทำไมตลาดศิลปะไทย โดยเฉพาะผลงานจากศิลปินเชียงรายอย่างถวัลย์ ดัชนี ถึงยังคงผงาดขึ้นได้

การประมูลที่สร้างสถิติและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดศิลปะไทย

การประมูลที่สร้างความฮือฮาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ที่ The Art Auction Center ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านประมูลชั้นนำของไทย ผลงานภาพวาด “Vitruvian Man” โดยถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ผู้เกิดและเติบโตในเชียงราย ได้ถูกประมูลไปในราคา 25.531 ล้านบาท (รวมค่าธรรมเนียม) ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดสำหรับการประมูลศิลปะไทยที่ไม่ใช่งานการกุศล ภาพนี้เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดใหญ่ 203 x 247.5 เซนติเมตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2511 ช่วงที่ถวัลย์เพิ่งกลับจากศึกษาต่อที่ Royal Academy of Art ในเนเธอร์แลนด์

ตามรายงานจาก The Art Auction Center ภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Vitruvian Man” ของ Leonardo da Vinci แต่ถวัลย์ได้ผสมผสานสัญลักษณ์ไทยอย่างรูปควายสามตัว ซึ่งตีความได้ว่าเป็นการสะท้อนถึงรากเหง้าของตัวเองและวัฒนธรรมไทย แม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ภาพนี้ถูกเก็บรักษาโดยครอบครัวชาวอเมริกันมานานกว่า 50 ปี ก่อนนำออกประมูล ทำให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ราวกับแคปซูลเวลา การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก โดยราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท และพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดสูงสุด

นอกจากนี้ ผลงานอื่นของถวัลย์ยังสร้างสถิติในเวทีสากล เช่น ภาพ “Scream of Sorrowful” ที่ประมูลได้ 775,644 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27.6 ล้านบาท) ที่ Christie’s Hong Kong ในปีเดียวกัน สถิติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนถึงตลาดศิลปะไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ตลาดโลกจะหดตัว ตามรายงาน The Art Market Report 2025 โดย Art Basel และ UBS Global Wealth Management ตลาดศิลปะโลกในปี 2024 หดตัวลง 12% เหลือมูลค่า 57.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ในเอเชีย โดยเฉพาะไทย ตลาดศิลปะกลับเติบโต ตามข้อมูลจาก Knight Frank Luxury Investment Index (KFLII) ซึ่งระบุว่าดัชนีการลงทุนหรูหราโลกติดลบ 3.3% ในปี 2024 โดยหมวดศิลปะหดตัวมากถึง 16-18% แต่ตลาดไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากราคายังเข้าถึงได้และมีนักสะสมในประเทศหนุนหลัง

ถวัลย์ ดัชนี “Batter of Mara / มารผจญ” (พ.ศ.2537) สีน้ำมันและทองคำเปลวบนผ้าใบ “ถวัลย์ได้พัฒนากระบวนการสร้างสรรค์ผลงานไปสู่การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสัญลักษณ์ของสัตว์และมนุษย์ การตีความเรื่องราวความเชื่อทางศาสนาเป็นโครงสร้างหลัก แล้วสื่อสารโดยใช้กระบวนการทางจิตรกรรมเป็นภาษาภาพ ด้วยรูปทรงสัญลักษณ์และตัวละครในรูปแบบเฉพาะตัวของศิลปิน เป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะประเพณีใหม่ที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ผลงาน “มารผจญ” แสดงให้เห็นถึงแนวทางดังกล่าว ด้วยภาพพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามแบบพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยอันเป็นประธานของภาพ สื่อถึงความนิ่งสงบไม่หวั่นเกรงต่อเหล่าสัตว์ร้ายที่ก่อกวนอยู่รายรอบ”

ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแส

นักวิเคราะห์อย่าง พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center ได้เปิดเผยในบทความของ Forbes Thailand ถึง 7 ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแส ซึ่งผมจะสรุปจากข้อมูลจริงดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักสะสมโลก: ตลาดโลกหดตัวเพราะผลงานราคาสูงเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลง แต่หันมานิยมศิลปะร่วมสมัยราคาย่อมเยา ศิลปะไทยส่วนใหญ่ยังราคาไม่ถึงหลักล้านดอลลาร์ จึงได้รับประโยชน์ ตามรายงาน Artprice ซึ่งชี้ว่าการขายออนไลน์ศิลปะเอเชียเพิ่มขึ้น 20% ในปี 2024
  2. กระแส Quiet Luxury: นักสะสมหันมาสนใจสิ่งที่สะท้อนรสนิยมลึกซึ้ง ไม่ใช่แบรนด์เนมทั่วไป งานศิลปะไทยตอบโจทย์นี้ โดยเฉพาะผลงานที่มีเรื่องราววัฒนธรรมอย่างของถวัลย์
  3. การลงทุนที่ผสมผสาน passion: ชาวไทยมองศิลปะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตัวอย่างเช่น ผลงานถวัลย์เพิ่มมูลค่าเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ตามข้อมูลจาก MutualArt
  4. ราคาที่มีศักยภาพเติบโต: เมื่อเทียบกับเวียดนามหรือสิงคโปร์ ศิลปะไทยยังราคาต่ำกว่า 2-3 เท่า ทำให้มีโอกาสขึ้นราคาได้อีกมาก
  5. นักสะสมรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น: จากเดิมจำกัดกลุ่มนักธุรกิจ ตอนนี้ขยายสู่คนรุ่น millennials และ Gen Z โดย 40% ของนักสะสมใหม่ในไทยอายุต่ำกว่า 40 ปี ตามสำรวจของ Bangkok Art Auction Center
  6. พลังจากภาคเอกชน: แม้รัฐบาลจะสนับสนุนน้อย แต่เอกชนอย่าง The Art Auction Center และ Nova Contemporary Gallery ที่เพิ่งขยายในปี 2025 ได้จัดงานอีเวนต์มากขึ้น สร้างดีมานด์
  7. ชาตินิยมในนักสะสมไทย: นักสะสมไทยกว่า 80% เลือกซื้อผลงานศิลปินไทย และมักชนะประมูลผลงานที่ออกนอกประเทศ สร้าง ecosystem ที่แข็งแกร่ง ตามรายงานจาก ISEAS-Yusof Ishak Institute

ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยในปี 2025 ตลาดศิลปะไทยคาดเติบโต 7-10% ตาม Thailand Art and Sculpture Market Report โดย 6Wresearch ซึ่งคาดการณ์ CAGR 7.3% จนถึงปี 2031

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนและประชาชนในเชียงราย

หากตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแสเช่นนี้ ชาวบ้านที่บ้านดำหรือหมู่บ้านศิลปินใกล้เคียงจะได้รับส่วนแบ่งอย่างไรหรือจะเป็นแค่ประโยชน์ของนักสะสมรวยๆ เท่านั้น การสร้างสถิติของถวัลย์ ดัชนี ซึ่งมีฐานที่มั่นในเชียงรายผ่าน “บ้านดำ” (Baan Dam Museum) อาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศิลปะให้เพิ่มขึ้น ตามสถิติจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ 60,000 ล้านบาท โดย 25% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรมและศิลปะ 

การเยี่ยมชมบ้านดำซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว 500,000 คนต่อปี หากข่าวการประมูลนี้แพร่กระจายในปี 2025 อาจเพิ่มนักท่องเที่ยวอีก 15-20% ตามแบบจำลองของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ซึ่งคาดว่าการท่องเที่ยวศิลปะในเอเชียจะเติบโต 8% ต่อปี 

เมืองท่องเที่ยวกับชนบทในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 15% หลังโควิด

ความเสี่ยงหากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการ อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การจราจรติดขัดในพื้นที่ดอยหรือการบุกรุกชุมชน จากรายงานของ Bank of Thailand ปี 2024 ช่องว่างรายได้ระหว่างเมืองท่องเที่ยวกับชนบทในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 15% หลังโควิด ดังนั้น รัฐบาลท้องถิ่นควรใช้โอกาสนี้ในการกระจายรายได้ เช่น จัด workshop ศิลปะให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่เจ้าของแกลเลอรีใหญ่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคตาม The Art Market Report 2025 ตลาดศิลปะไทยมีส่วนช่วย GDP ราว 0.5-1% ผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยว หากตลาดเติบโตต่อเนื่อง อาจสร้างงานใหม่กว่า 50,000 ตำแหน่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งมีศิลปินท้องถิ่นจำนวนมาก 

สำหรับชาวเชียงราย การวิเคราะห์จาก Forbes Thailand ชี้ว่า การประมูลสูงเช่นนี้จะยกมูลค่างานศิลปะท้องถิ่นให้สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น งานหัตถกรรมจากหมู่บ้านแม่จันอาจขายได้ราคาดีขึ้น 20-30% หากโปรโมทว่าได้รับแรงบันดาลใจจากถวัลย์ นายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2024 ว่า “ศิลปะไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ช่วยยกประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย THACCA ที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

หากเชียงรายใช้ชื่อเสียงของถวัลย์เป็นจุดขาย

การแข่งขันในเวทีโลกผลงานถวัลย์ที่ขายดีใน Christie’s แสดงว่าศิลปะไทยมีศักยภาพสากล แต่ต้องระวังการแข่งขันจากเวียดนามซึ่งตลาดเติบโต 15% ในปี 2024 หากเชียงรายใช้ชื่อเสียงของถวัลย์เป็นจุดขาย เช่น จัดเทศกาลศิลปะประจำปี อาจดึงนักลงทุนต่างชาติ สร้างงานในอุตสาหกรรมเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับศิลปะล้านนา โดยสรุปการวิเคราะห์ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน หากจัดการดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากรายได้เพิ่ม การพัฒนาทักษะ และชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกศิลปะสู่โอกาสชีวิตจริง

เรื่องราวของถวัลย์ ดัชนี เริ่มจากภาพวาดที่สร้างสถิติ และคลี่คลายสู่การเติบโตของตลาดศิลปะไทยที่สวนกระแสโลก สำหรับชาวเชียงราย โอกาสนี้หมายถึงการยกระดับชีวิตผ่านการท่องเที่ยวและธุรกิจสร้างสรรค์ หากทุกฝ่ายร่วมมือ มรดกนี้จะไม่ใช่แค่ของนักสะสม แต่เป็นของชุมชนทั้งหมด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บทความของ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center ใน Forbes Thailand
  • Nation Thailand, บทความเกี่ยวกับการประมูล Vitruvian Man (เครดิต: Nation Thailand)
  • Art Basel & UBS, The Art Market Report 2025 (เครดิต: Art Basel & UBS)
  • Knight Frank, Luxury Investment Index 2024-2025 (เครดิต: Knight Frank)
  • Christie’s, รายงานการประมูล Scream of Sorrowful (เครดิต: Christie’s)
  • 6Wresearch, Thailand Art and Sculpture Market Report (เครดิต: 6Wresearch)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ไทยผงาด! มรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 เอเชีย: โอกาสของซอฟต์พาวเวอร์ในเชียงราย

ซอฟต์พาวเวอร์พลิกโฉม! ไทยมรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 โลก ยกระดับชีวิตคนเชียงราย

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดในเอเชีย จากรายงานของ U.S. News & World Report ประจำปี 2024 การประกาศนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวเชียงรายและชุมชนใกล้เคียงให้ดีขึ้นได้อย่างไร? ในขณะที่โลกกำลังมองหา “ซอฟต์พาวเวอร์” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่อย่างเชียงรายที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมชนเผ่า วัดวาอารามโบราณ และธรรมชาติอันงดงาม กำลังยืนอยู่บนเวทีที่พร้อมจะผงาดขึ้น แต่คำถามที่ชวนสงสัยคือ โอกาสนี้จะนำพาประโยชน์อะไรมาสู่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนในพื้นที่ภาคเหนือที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความผันผวนของการท่องเที่ยวและการเกษตร

การจัดอันดับและนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ก่อนอื่น เรามาดูข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐานของเรื่องนี้กัน รายงาน Best Countries Rankings ประจำปี 2024 จาก U.S. News & World Report ซึ่งเป็นองค์กรสื่อชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 89 ประเทศที่ได้รับการประเมิน การจัดอันดับนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 17,000 คนทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์ 5 ประการที่ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (culturally accessible), ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (has a rich history), อาหารยอดเยี่ยม (has great food), สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย (many cultural attractions) และความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (many geographic attractions)

จากรายงาน ประเทศไทยทำคะแนนโดดเด่นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงวัดวาอาราม โบราณสถาน และเทศกาลประเพณีที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การนวดแผนไทย อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก และหาดทรายขาวกับภูเขาที่งดงาม ทำให้ไทยแซงหน้าประเทศอย่างอินเดีย (อันดับ 2 ในเอเชีย), ญี่ปุ่น (อันดับ 3), จีน (อันดับ 4), อินโดนีเซีย (อันดับ 5), เวียดนาม (อันดับ 6), มาเลเซีย (อันดับ 7), เกาหลีใต้ (อันดับ 8), สิงคโปร์ (อันดับ 9) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 10) ในภูมิภาคเอเชีย

รายงานยังระบุว่า แม้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของไทยจะคิดเป็นเพียง 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2024 แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลก โดยในปี 2024 มีนักท่องเที่ยวกว่า 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 43.8% จากปีก่อนหน้า และสร้างรายได้กว่า 42.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ตามข้อมูลจาก World Travel & Tourism Council (WTTC) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยไม่เพียงแต่เป็นมรดก แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19

ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA

ในส่วนของนโยบายภาครัฐ รัฐบาลไทยได้ตอบสนองต่อการจัดอันดับนี้อย่างรวดเร็ว โดยผ่านหน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency หรือ THACCA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2023 เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA ทำงานร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ต้นน้ำ: การพัฒนาทักษะคนไทย – นโยบาย “หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)” มุ่งสกิล (up-skill) และรีสกิล (re-skill) คนไทย โดยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การอบรมช่างฝีมือท้องถิ่นในเชียงรายให้ใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งขายผลิตภัณฑ์หัตถกรรมออนไลน์ ในปี 2024 มีการจัดอบรมกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คนในปี 2025
  2. กลางน้ำ: การพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ – รัฐบาลมุ่งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและออกกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุน 14 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี มวยไทย และการท่องเที่ยว โดย THACCA ได้จัดงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2024 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งรวบรวมผู้ประกอบการจาก 11 อุตสาหกรรม เพื่อแสดงศักยภาพวัฒนธรรมไทย และวางแผนขยายไปยังงานใหญ่ในปี 2025 ที่จะจัดระหว่าง 8-11 กรกฎาคม
  3. ปลายน้ำ: การผลักดันสู่เวทีโลก – ใช้ “การทูตทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Cultural Diplomacy)” เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น การส่งออกภาพยนตร์ไทย ซีรีส์ และอาหารไปยังตลาดเอเชียและยุโรป ในปี 2024 THACCA ได้ลงทุนกว่า 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 240 ล้านบาท) ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน เพื่อส่งเสริมการส่งออก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายให้ซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่ม GDP จากภาคสร้างสรรค์ให้ถึง 15% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันที่อยู่ราว 7-8% ตามข้อมูลจาก Brand Finance’s Global Soft Power Index 2024 ซึ่งจัดอันดับไทยเป็นอันดับ 1 ในเอเชียด้านวัฒนธรรมเช่นกัน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน โดยเฉพาะในเชียงราย

นโยบายซอฟต์พาวเวอร์จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยเน้นผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงที่อาศัยพึ่งพาการเกษตร การท่องเที่ยว และหัตถกรรมการครองอันดับ 1 ในเอเชียด้านมรดกวัฒนธรรมอาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คำถามชวนคิดคือ หากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 20-30% ในปี 2025 ตามที่ WTTC คาดการณ์ ชุมชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์อย่างไร? จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท โดย 40% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรม เช่น การเยี่ยมชมวัดร่องขุ่น ดอยตุง และหมู่บ้านชนเผ่า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ผ่าน THACCA อาจทำให้รายได้จากภาคนี้เพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะหากรัฐบาลขยายโครงการ OFOS มาสู่พื้นที่ภาคเหนือ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและช่างฝีมือ สามารถขายผลิตภัณฑ์อย่างผ้าทอหรือชาโออิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างรายได้เสริมเฉลี่ย 5,000-10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยง หากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าดอยในเชียงราย หรือการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดหัตถกรรม จากข้อมูลของ ISEAS-Yusof Ishak Institute ในปี 2025 ชี้ว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่เน้น (bureaucratic) อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ระดับ grassroots ในพื้นที่อย่างเชียงใหม่และเชียงราย ดังนั้น รัฐบาลควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนจริงๆ ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่

ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง

ประการที่สอง ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาค จากรายงานของ World Bank ปี 2024 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยว หากซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่มมูลค่าส่งออกวัฒนธรรม เช่น อาหารและภาพยนตร์ ให้ถึง 10% ของ GDP ภายใน 5 ปี ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากงานใหม่ๆ กว่า 1 ล้านตำแหน่ง ตามที่นายกรัฐมนตรีสฤษฎ์ฐา ทวีสินเคยให้สัมภาษณ์ในงาน THACCA SPLASH 2024 ว่า “ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” โดยเฉพาะในเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวชุมชน (community-based tourism) ที่คิดเป็น 8% ของรายได้การท่องเที่ยวไทย ตามรายงาน Tourism Analytics 2024 การพัฒนานี้จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้น ลดการย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่ และเสริมสร้างชุมชนที่ยั่งยืน

แต่ในมุมวิเคราะห์เชิงลึก เราต้องถามว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ หากไม่มีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม? จากตัวเลขของ Bank of Thailand การท่องเที่ยวสร้างรายได้หลักให้กับ 11% ของ GDP ในปี 2019 แต่หลังโควิด ช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทเพิ่มขึ้น 20% ดังนั้น THACCA ควรเน้นโครงการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมล้านนาในเชียงรายเข้ากับตลาดโลก เช่น การส่งเสริมเทศกาลสงกรานต์หรือประเพณียี่เป็งให้เป็นแบรนด์ระดับสากล ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ชุมชน 30% ตามแบบจำลองของ WTTC

ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง

ประการสุดท้าย การผลักดันสู่เวทีโลกผ่านการทูตวัฒนธรรมอาจเสริมอิทธิพลของไทยในเอเชีย แต่ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง จากข้อมูล Global Soft Power Index 2024 ไทยอยู่อันดับ 1 เอเชียด้านวัฒนธรรม แต่จีนนำด้านเศรษฐกิจ หากรัฐบาลใช้โอกาสนี้ดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมชนเผ่า สร้างงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น การผลิตเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่น

โดยสรุป การวิเคราะห์ชี้ว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจยั่งยืน หากรัฐบาลและชุมชนร่วมมือกัน ประชาชนอายุ 30-55 ปีในเชียงรายจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจ เช่น การเข้าร่วมโครงการ OFOS เพื่อพัฒนาทักษะ หรือการลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นและชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกสู่โอกาสที่ยั่งยืน

เรื่องราวของซอฟต์พาวเวอร์ไทยเริ่มจากความภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรม และคลี่คลายสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่มหาศาล โดยเฉพาะสำหรับชาวเชียงรายที่สามารถใช้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ในการยกระดับชีวิต หากทุกฝ่ายร่วมมือ โอกาสนี้จะไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • U.S. News & World Report, Best Countries Rankings 2024 (เครดิต: U.S. News & World Report)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (THACCA), รายงานยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ 2024-2025 (เครดิต: THACCA และรัฐบาลไทย)
  • World Travel & Tourism Council (WTTC), Economic Impact Research 2024 (เครดิต: WTTC)
  • ISEAS-Yusof Ishak Institute, Perspective 2025/44 (เครดิต: ISEAS)
  • Brand Finance, Global Soft Power Index 2024 (เครดิต: Brand Finance)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

จากของเก่าสู่ของใหม่! “รชรินทร์” ชู “ธนาลัย กู๊ดกู้ดส์” ปลุกย่านเก่าธนาลัยด้วยงานดีไซน์

 “BACK TO THE FUTURE” จากอดีตสู่โอกาส นิทรรศการ จุดประกายศักยภาพย่านธนาลัยในเวียงเชียงราย สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งอนาคต

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – ย่านธนาลัยและในเวียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์อันยาวนานของจังหวัดเชียงราย กำลังได้รับการพลิกโฉมสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา ผ่านการขับเคลื่อนของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ โดยมีจุดศูนย์กลางคือนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ที่ได้ฤกษ์เปิดม่านขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย งานนี้ไม่เพียงเป็นเพียงการจัดแสดงผลงาน แต่ยังเป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงอดีตอันรุ่งเรืองของย่านการค้าเก่าแก่แห่งนี้เข้ากับโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต เพื่อสร้างคุณค่าและแรงบันดาลใจให้กับชุมชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่รวบรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ การรวมตัวกันของพันธมิตรเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมของย่านธนาลัย ให้ก้าวสู่การเป็นธุรกิจสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ โดยยังคงรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์และความเป็นพหุวัฒนธรรมอันเป็นเสน่ห์ของเมืองเชียงราย

แนวคิด (Re)made in Thanalai หรือ (รี)เมดอิน ธนาลัย

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรมที่สะท้อนนวคิด (Re)made in Thanalai หรือ (รี)เมดอิน ธนาลัย ส่วนชื่อคอลเลชั่นผลงานคือ Thanalai Good Goods หรือ ธนาลัย กู๊ดกู้ดส์ สิ่งที่มีอยู่ในย่านธนาลัยให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง คือผลงานของ คุณรชรินทร์ อินธุระ หนึ่งในนักสร้างสรรค์ที่เข้าร่วมจัดแสดง คุณรชรินทร์ได้นำเสนอผลงานภายใต้แนวคิด “ธนาลัย กู๊ดกู้ดส์ ” หรือ “ของดีธนาลัย” ซึ่งเป็นการโฟกัสไปที่ “การยกระดับสินค้า” เพื่อให้ย่านธนาลัยกลับมาคึกคักอีกครั้ง เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์จัดองค์ประกอบของสิ่งของที่หาได้จากร้านค้าต่าง ๆ ในธนาลัย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟตั้งพื้น ชั้นวางของ โต๊ะเล่นกระดานหมากรุก หรือแม้กระทั่งพัด ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจและมีมูลค่าเพิ่ม แนวคิดนี้เป็นการนำเสนอ “ความเป็นไปได้ที่หลากหลายและความสนุกในการเอาไอเดียมาจับใช้” ในการเดินช้อปปิ้งและเดินเล่นในย่านธนาลัยจากมุมมองที่แตกต่าง

ผลงานของคุณรชรินทร์และนักสร้างสรรค์ท่านอื่น ๆ อาทิ เอกพงษ์ ใจบุญ, พุทธรักษ์ ดาษดา, สิริฉาย เอาฬาร และกลุ่มศิลปินไส้ติ่ง : โซไซตี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาดั้งเดิม มาผสานกับแนวคิดการออกแบบสมัยใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตอบรับต่อเป้าหมายของโครงการในการส่งเสริมศักยภาพของนักสร้างสรรค์และสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินค้าและบริการในพื้นที่ แต่ยังช่วยต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และเป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น

 

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นับเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของย่านธนาลัย และร่วมเป็นประจักษ์พยานถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่สามารถพลิกโฉมอดีตให้กลายเป็นโอกาสอันสดใสในอนาคต ทำให้เชียงรายยังคงเป็นเมืองแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

รชรินทร์ อินธุระ” เผยแนวคิดพลิกโฉม “ธนาลัย” สู่ยุคใหม่ในนิทรรศการ “Back to the Future”

จุดประสงค์หลักของการนำเสนอผลงานเหล่านี้คือ เพื่อแสดงให้เห็นถึง “ความเป็นไปได้ที่หลากหลาย” และ “ความสนุก” ในการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เพื่อประยุกต์ใช้ในการเดินช้อปปิ้งหรือเดินเล่นในธนาลัยจากอีกมุมมองหนึ่ง. คุณรชรินทร์หวังว่าแนวทางนี้จะ ก่อให้เกิดทิศทางที่น่าสนใจในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลให้ นักออกแบบหรือผู้คนในพื้นที่ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ. แม้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตอาจไม่ได้มีรูปลักษณ์ตรงตามตัวอย่างที่จัดแสดง แต่ความตั้งใจสูงสุดคือการ สร้างความ “คึกคัก” ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ธนาลัยอย่างต่อเนื่อง

นายรชรินทร์ อินธุระ ศิลปินอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอแนวคิดในการ "ยกระดับสินค้า" ของย่านธนาลัยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิมดชนะภัย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จังหวัดเชียงราย
  • นักสร้างสรรค์ผู้เข้าร่วมแสดงผลงาน (เอกพงษ์ ใจบุญ, พุทธรักษ์ ดาษดา, สิริฉาย เอาฬาร, กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง : โซไซตี้, รชรินทร์ อินธุระ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

เชียงรายปลุกประวัติศาสตร์! ไส้ติ่ง โซไซตี้ นำเสนอ “ภาชนะทางความคิด” ในนิทรรศการ “ธนาลัย”

จังหวัดเชียงรายได้พลิกโฉมอดีตอันรุ่งโรจน์ของย่านการค้าเก่าแก่ “ธนาลัย” ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านการเปิดตัวนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย”

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –  ภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย. นิทรรศการนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ เข้ากับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เพื่อขับเคลื่อนย่านธนาลัยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา.

จุดกำเนิดของ “ธนาลัย”  มรดกการค้าพหุวัฒนธรรม

ย่านถนนธนาลัยในจังหวัดเชียงรายมิได้เป็นเพียงแค่เส้นทางสัญจร แต่เป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและแรงบันดาลใจ. นับตั้งแต่อดีต ถนนสายนี้เป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมอันหลากหลายของเมืองเชียงรายได้อย่างชัดเจน. ที่นี่เป็นจุดบรรจบของเรื่องราวมากมาย ทั้งในมิติของชาติพันธุ์ ศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ประวัติศาสตร์การค้า” ที่ฝังแน่นอยู่ในอาคาร ร้านค้า และวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งยังคงดำรงอยู่และเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับกาลเวลา. การพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนการเติบโตของร้านค้าเก่าแก่ที่ส่งต่อมายังธุรกิจคนรุ่นใหม่ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้ธนาลัยเป็นย่านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น.

เบื้องหลังแนวคิด ปลุกประวัติศาสตร์ให้ “มีชีวิต”

หัวใจสำคัญของการจัดนิทรรศการครั้งนี้คือแนวคิดในการมองเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และพยายามแปลงสารเหล่านั้นให้กลับมา “มีชีวิต” อีกครั้งในโลกปัจจุบัน. แนวคิดนี้ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของจังหวัดเชียงราย. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY) ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับพื้นที่ของประวัติศาสตร์ ซึ่งหมายถึงเรื่องเล่าที่ไม่ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ แต่ถูกถ่ายทอดจากผู้คนผ่านสิ่งของ สถานที่ และวัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแต่ละช่วงเวลา. พวกเขาเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์เข้ากับพหุวัฒนธรรมของย่านธนาลัยจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่า การค้าในแต่ละยุคสมัยนั้นมิได้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนสินค้า แต่คือการแลกเปลี่ยนคุณค่า ความเชื่อ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน

ภาชนะทางความคิด”  การเดินทางสู่รากฐานแห่งความสัมพันธ์

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ไม่ใช่เพียงการจัดแสดงผลงานทั่วไป แต่เป็นพื้นที่ที่ชวนให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสำรวจและทำความเข้าใจแก่นแท้ของย่านธนาลัยผ่านมุมมองที่หลากหลาย. นอกเหนือจากการนำเสนอผลงานการออกแบบสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจในย่านธนาลัย ยังมีการจัดกิจกรรมในรูปแบบของการเสวนาแลกเปลี่ยนที่นำเสนอเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น.

หัวใจสำคัญของนิทรรศการคือ “ภาชนะทางความคิด” (ตามความหมายที่สื่อถึงการบรรจุความสัมพันธ์) ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นที่แห่งการเก็บรวบรวมความทรงจำ วัตถุ สัญลักษณ์ และเรื่องราวของผู้คนในย่านธนาลัยไว้อย่างประณีต. กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ ได้รวบรวมของเก่าและผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จริงในย่านธนาลัยมาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสและเชื่อมโยงกับเรื่องราวในอดีต. นิทรรศการนี้จึงเป็นมากกว่าการจัดแสดงวัตถุ แต่เป็น “พื้นที่ของการฟัง พื้นที่ของการมองย้อน และพื้นที่ของการพูดคุย” เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการร้อยเรียงอดีตเข้ากับปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ผ่านมุมมองที่เคารพต่อความหลากหลาย และเปิดโอกาสให้เรื่องเล่าเก่าๆ ได้กลับมามีความหมายใหม่อีกครั้ง.

ผลลัพธ์และประโยชน์ต่อประชาชน  จากอดีตสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

การจัดนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการพัฒนาต่อยอดพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ให้เป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา. ประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับจาก นิทรรศการนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการรักษาเรื่องราวและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของย่านธนาลัย. ผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จะได้เรียนรู้และเข้าใจรากฐานของเมืองเชียงราย รวมถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่หล่อหลอมพื้นที่นี้ ความภาคภูมิใจและอัตลักษณ์ชุมชนเมื่อประวัติศาสตร์ถูกนำมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายและน่าสนใจ จะช่วยให้คนในพื้นที่เกิดความผูกพันและภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิดของตนเองมากขึ้น. นี่คือการสร้างอัตลักษณ์ชุมชนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม ถึง 8 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์). นับเป็นโอกาสสำคัญที่ชาวเชียงรายและผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับมิติใหม่ของย่านธนาลัย ที่ซึ่งอดีตและปัจจุบันหลอมรวมกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตอันสดใส.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

“วาดอดีต สู่อนาคต” ศิลปินสิริฉาย เอาฬาร ใช้ศิลปะปลุกชีวิตย่านเก่าเชียงราย

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดมิติใหม่ เชื่อมโยงรากเหง้าวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ย่านเมืองเก่าเชียงราย สร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านพลังงานศิลปะและความร่วมมือชุมชน

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการพัฒนาที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จังหวัดเชียงรายได้ริเริ่มโครงการอันทรงคุณค่าที่หวนคืนสู่รากเหง้าและเรื่องราวในอดีต เพื่อนำมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน นั่นคือนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ซึ่งได้ฤกษ์เปิดฉากอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำศักยภาพของย่านธนาลัย ในฐานะย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา

จากอดีตสู่ปัจจุบันการผลิบานของย่านธนาลัย

ย่านธนาลัยเป็นเสมือนหัวใจประวัติศาสตร์และศูนย์กลางการค้าเก่าแก่ของเมืองเชียงรายที่หลอมรวมความเป็นพหุวัฒนธรรมไว้อย่างกลมกลืน ตลอดเส้นทางนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของศิลปะ วัฒนธรรม ร้านค้าเก่าแก่ที่ยืนหยัดมานานนับทศวรรษ รวมถึงธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาต่อยอดและพัฒนาแบรนด์กิจการดั้งเดิมสู่รูปแบบสร้างสรรค์ใหม่ๆ โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เรื่องราวอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจและโอกาสใหม่ในการพัฒนาต่อยอดไปสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย เป็นการรวมตัวของกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ เพื่อร่วมกันบอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ และถ่ายทอดประสบการณ์ ความทรงจำ รวมถึงข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าผ่านผลงานการออกแบบสร้างสรรค์ ที่สะท้อนถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของย่านนี้

วาดอดีต สู่อนาคต”ศิลปะเชื่อมโยงหัวใจแห่งชุมชน

หัวใจหลักของการนำเสนอเรื่องราวในนิทรรศการนี้คือแนวคิด “Sketch the past, Draw the future” หรือ วาดอดีต สู่อนาคต” ซึ่งเป็นแนวคิดแกนหลักของ นางสาวสิริฉาย เอาฬาร ศิลปินหญิงผู้เปี่ยมด้วยความสนใจในการทำงานร่วมกับชุมชน เธอเชื่อว่าในโลกที่หมุนเร็ว ผู้คนต่างมุ่งไปข้างหน้า การหันกลับมามอง “ราก” ของผู้คนในย่านเก่าแก่ผ่านสายตาอันละเมียดละไมของศิลปะ จะสามารถสร้างความเชื่อมโยงและความเข้าใจระหว่างรุ่นได้อย่างลึกซึ้ง

หนึ่งในกิจกรรมเด่นที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ โครงการ Food Sketch Tour ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่เข้ากับผู้ประกอบการรุ่นอาวุโส โดยเฉพาะเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่นเก่าแก่ที่มีเรื่องราวอันทรงคุณค่า แต่ยังขาดการบันทึกอย่างเป็นระบบ โครงการนี้เชื้อเชิญเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ วาด” ภาพอาหารจากร้านเก่าแก่ และ ฟัง” เรื่องเล่าจากเจ้าของร้านผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตยาวนาน

นางสาวสิริฉาย เอาฬาร เลือกที่จะหันกลับมามอง "ราก" ของผู้คนในย่านธนาลัยผ่านแนวคิด "Sketch the past, Draw the future" หรือ "วาดอดีต สู่ อนาคต". โครงการ "Food Sketch Tour"

ผ่านกิจกรรมนี้ เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของร้าน การเปลี่ยนแปลงของประเภทอาหารตามยุคสมัย หรือการปรับตัวของผู้ประกอบการจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นภาพวาดอาหาร ภาพเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงามทางศิลปะ แต่ยังอัดแน่นไปด้วยความทรงจำและความหมายที่ลึกซึ้ง สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคือบทสนทนาระหว่างรุ่นที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความอบอุ่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นิทรรศการที่ “ชวนชิม” เรื่องราวประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ด้วยทุกประสาทสัมผัส

ความโดดเด่นของนิทรรศการนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เนื้อหา แต่ยังรวมถึงรูปแบบการจัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในส่วนของ นางสาวสิริฉาย เอาฬาร ภาพวาดจากศิลปินผู้เข้าร่วมกิจกรรม Food Sketch Tour ทั้งหมดจะถูกจัดวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารจริง ในบรรยากาศของ มื้อสร้างสรรค์” ซึ่งเชิญชวนให้ผู้ชมได้ ลิ้มรสเรื่องราว” ผ่านทั้งสายตาและการมีส่วนร่วมในประสบการณ์การกิน

นี่คือการนำเสนอศิลปะที่ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อมอง แต่เพื่อ “มีส่วนร่วม” และ “รู้สึก” เป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนความเข้าใจและความสัมพันธ์ในสังคมอย่างแท้จริง แนวคิด “Sketch the past, Draw the future” จึงมิได้เป็นเพียงชื่อโครงการ หากแต่เป็นทัศนคติที่ใช้ศิลปะเชื่อมร้อยอดีตกับอนาคต ผ่านบทสนทนาเล็กๆ บนโต๊ะอาหาร ที่เต็มไปด้วยความหมาย ความทรงจำ และความหวัง

ประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับ การลงทุนในอนาคตของชุมชน

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นโครงการที่ส่งมอบคุณค่าและประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนในวงกว้างอย่างแท้จริง:

  • สำหรับชุมชนและผู้ประกอบการ: การจัดแสดงผลงานในครั้งนี้ช่วยยกระดับและอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงเรื่องราวอันทรงคุณค่าของร้านค้าเก่าแก่ ซึ่งหลายครั้งอาจถูกมองข้าม นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจดั้งเดิมได้ต่อยอดสู่ธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ สร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน ทำให้ย่านธนาลัยเป็นย่านที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเติบโตอย่างยั่งยืน
  • สำหรับเยาวชนและคนรุ่นใหม่: โครงการนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจากผู้สูงอายุโดยตรง ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ เป็นการบ่มเพาะความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างช่วงวัย พร้อมทั้งเสริมสร้างทักษะด้านศิลปะและการทำงานร่วมกับชุมชน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคต
  • สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน: นิทรรศการนำเสนอการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่ได้ชม แต่ยังได้สัมผัสและมีส่วนร่วม ผู้มาเยือนจะได้เข้าถึงเรื่องราวและจิตวิญญาณของย่านธนาลัยอย่างลึกซึ้งผ่านศิลปะ อาหาร และประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงความรู้สึกกับท้องถิ่น
  • สำหรับจังหวัดเชียงราย: โครงการนี้เป็นการขับเคลื่อนให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม การผนวกศิลปะเข้ากับการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจ ช่วยสร้างเอกลักษณ์และความน่าสนใจให้กับเมือง ดึงดูดทั้งนักลงทุน นักสร้างสรรค์ และนักท่องเที่ยว ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จึงไม่ใช่เพียงอดีตที่หวนคืนมา หากแต่เป็นบทเริ่มต้นของการสร้างสรรค์อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับย่านธนาลัยและจังหวัดเชียงราย ด้วยพลังแห่งศิลปะและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News