Categories
TOP STORIES

พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง พร้อมลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

 

เมื่อเวลา 16.15 น.วันที่ 11 กรกฏรคม 2566 ที่ผ่านมา เพจ Facebook พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการโพสต์ข้อความ ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  โดยระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน
.
ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่
.
การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต
.
ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม
.
ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเตอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอด
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป
.
จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย
.
ขอขอบพระคุณครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

“ประยุทธ์” อนุมัติ 2 ร่างพรฎ. ปลดล็อกให้สิทธิทำกินถูกกฎหมาย

 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบและอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกากาหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 

ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. ระยะเวลาโครงการ 20 ปีนับแต่ พ.ร.ฎ. ใช้บังคับ สำหรับพื้นที่โครงการ ใน 7 เขตอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ 

1.อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี 

2.อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น จ. จันทบุรี 

3.อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จ. กาญจนบุรี 

4.อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ จ. อุตรดิตถ์ 

5.อุทยานแห่งชาติตาดหมอก จ. เพชรบูรณ์ 

6.อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ. เพชรบูรณ์ และ 

7.อุทยานแห่งชาติลานสาง จ. ตาก 


สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พ.ศ. ….ระยะเวลาโครงการ 20 ปีนับแต่ พ.ร.ฎ. ใช้บังคับ สำหรับพื้นที่โครงการ ใน 7 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ได้แก่ 

1.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล จ. พิษณุโลก 

2.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ. ลพบุรี 

3.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทับพญาลอ จ. เชียงราย 

4.เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน จ. อุทัยธานี 

5.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง จ. เพชรบูรณ์ 

6.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ. อุทัยธานี และ 

7.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา จ. อุตรดิตถ์


น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ประชาชนที่ได้รับประโยขน์ในสิทธิอาศัยและทำกินในเขตดังกล่าว ได้แก่ บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยหรือได้ยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยและอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่เป็นผู้ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตดังกล่าวภายใต้กรอบเวลาตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 41 (อยู่ในพื้นที่มาก่อนการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และ/หรือก่อนวันที่ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ ใช้บังคับ) หรือตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 (เป็นผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือผู้ไร้ที่ดินทำกินที่อยู่ในพื้นที่ก่อนวันที่ 17 มิ.ย. 57) และมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่โครงการหรือได้ครอบครองที่ดินรวมทั้งทำประโยชน์มาโดยต่อเนื่องและไม่มีที่ดินทำกินอื่น


การอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่โครงการ อาทิ ครอบครองและใช้ประโยชน์ด้วยตนเอง, ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน, กำหนดพื้นที่ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ (ไม่เกิน 50 ไร่กรณีอยู่กันเป็นครัวเรือนตั้งแต่ 3 ครอบครัวขึ้นไป), ทำประโยชน์และอยู่อาศัยต่อเนื่อง ไม่ละทิ้งติดต่อกันเกิน 1 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร, ไม่อนุญาตให้ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่า ให้เช่าซื้อ ให้ยืม หรือโอนการครอบครองให้บุคคลอื่นรวมถึงไม่บุกรุกขยายพื้นที่เพิ่มเติม โดยผู้เข้าร่วมโครงการอยู่อาศัยจะมีหน้าที่และส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพภายในเขตพื้นที่โครงการ


“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการมาโดยตลอดในส่วนของแผนงานหรือนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและได้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าว ร่าง พ.ร.ฎ 2 ฉบับนี้เป็นการสร้างสมดุลในการช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยและทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมายและยังให้การอนุรักษ์ธรรมชาติมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป” น.ส.ทิพานัน กล่าว


เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทย ‘มีเสถียรภาพ’ นักลงทุนต่างชาติ เพิ่ม70 %

 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม. (11 กรกฎาคม 2566) รับทราบการประกาศอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) โดยบริษัท Fitch Ratings (Fitch) ประเทศไทยอยู่ที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) 


รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา พอใจผลการประเมินดังกล่าว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรการภาครัฐที่ทำได้ดี และยังวางรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจนะระยะต่อไป ดังเห็นจากการที่ Fitch คาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยที่ ร้อยละ 3.7 ในปีพ.ศ. 2566 และร้อยละ 3.8 ในปีพ.ศ. 2567 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.6 ในปี พ.ศ. 2565 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการบริโภคของภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง เช่น ตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการและนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 11.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2565 เป็นประมาณ 29 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งเกือบ 3 ใน 4 ของระดับก่อนเกิดโรคระบาด 

ทั้งนี้ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น โดยถือเป็นจุดแข็งหลัก ที่เป็นเกราะป้องกันภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่ง Fitch คาดการณ์ว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 2.0 ของ GDP ในปีนี้ (พ.ศ. 2566) และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ในปีพ.ศ. 2567 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการคลี่คลายของสถานการณ์ราคาน้ำมัน นอกจากนี้ คาดว่าทั้งปี 2566 ประเทศไทยจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก คือ 7.3 เดือน


โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Fitch ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของประเทศไทย คือ 

1. เศรษฐกิจมหภาค ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นในระยะปานกลาง โดยไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของหนี้ภาคเอกชน และ 

2. การคลังสาธารณะ ที่มีการลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) 


สอดคล้องกับ BOI ที่เปิดเผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปี 2566 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน 
– คำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม รวม 891 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
– คำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ
– อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 106 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด กว่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
– ในแง่พื้นที่ การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 306 โครงการ เงินลงทุนรวม 171,470 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47 ของการลงทุนทั้งหมด
– สำหรับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือนแรก จีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 61,500 ล้านบาท จาก 132 โครงการ ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 
– อันดับ 2 สิงคโปร์ 73 โครงการ เงินลงทุน 59,112 ล้านบาท 
– อันดับ 3 ญี่ปุ่น 98 โครงการ เงินลงทุน 35,330 ล้านบาท แต่มูลค่าคำขอรับการส่งเสริมจากญี่ปุ่นเติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีมูลค่า 16,793 ล้านบาท


“พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจจนเห็นเป็นผลสำเร็จอย่างเด่นชัดจากตัวเลขการจัดอันดับ รัฐบาลดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างมีวุฒิภาวะ น่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพ เห็นได้จากตัวเลขหนี้สาธารณะที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ สอดคล้องกับตัวเลขการขอลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากโครงสร้างที่นายกรัฐมนตรีได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการจัดอันดับในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับการกำหนด และดำเนินนโยบายของรัฐบาลต่อไป” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาศวันคล้ายวันประสูติ 4 กรกฎาคม

 
พระครูสุจิณวรคุณ (กมล) เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย เขต 1 เจ้าอาวาสวัดท่าข้ามศรีดอนชัย เป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ดำเนินงานพิธีทำบุญตักบาตรโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายพระราชกุศล
 

นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ นายอำเภอเชียงของ เป็นประธานพิธีฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล โดยจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยดอกไม้บนธูปเทียนแพ ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และนำถวายเครื่องไทยธรรมและจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป
 

นางพัชรนันท์ แก้วจินดา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของกิจกรรมโครงการฯ และพบปะผู้นำศาสนา หัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนชุมชนบ้านศรีดอนชัย
 

นายภัทรพงษ์ มะโนวัน หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ทำหน้าเป็นศาสนพิธีกร และกำกับดูแลการจัดกิจกรรมโครงการฯ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 

จัดโดย กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ คณะสงฆ์วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ที่ว่าการอำเภอเชียงของ เทศบาลตำบลศรีดอนชัย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และคณะศรัทธา จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาศวันคล้ายวันประสูติ 4 กรกฎาคม 2566 และกิจกรรมโครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ประจำปีพุทธศักราช 2566 ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวหิ้วตะกร้า ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยจัดในวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชน เข้าวัดปฏิบัติธรรมในวันธรรมสวนะ โดยการฟังธรรม การสมาทานศีลและรับศีล 5 หรือศีล 8 ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เจริญจิตภาวนา การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งอุดหนุนสินค้าผลิตภัณท์ท้องถิ่นในชุมชน โดยส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนนำหลักธรรมไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต รวมทั้งดำรงชีวิตตามวิถีวัฒนธรรมไทย สืบสานศาสตร์พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีกิจกรรมสำคัญ ดังนี้
1. พิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์-สามเณร จำนวน 25 รูป
2. การถวายเครื่องไทยธรรมจตุปัจจัย แด่พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป
3. พิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายราชกุศล เฉลิมพระเกียรติฯ
4. กิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระรัตนตรัย และรับศีล
5. พระครูสุจิณวรคุณ (กมล) เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย เขต 1 เจ้าอาวาสวัดท่าข้ามศรีดอนชัย เมตตากล่าวสัมโมทนียกถา
6. การเจริญจิตภาวนา และแผ่เมตตา
7. กิจกรรมตลาดวัฒนธรรม “ชุมชนคุณธรรมบ้านศรีดอนชัย” การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน
 

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางพัชรนันท์ แก้วจินดา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางสาวกฤษยา จันแดง ผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ ข้าราชการ และบุคลากรสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมโครงการฯ อำนวยความสะดวกแด่คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนที่เข้ามาร่วมงาน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

วธ.เตรียมเผยหนังสือหายาก“ปกีรณำพจนาดถ์และอนันตวิภาค””

 

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริม สืบสาน และธำรงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยด้วยภาษาไทย เพื่อหารือเตรียมจัดกิจกรรมเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ปี 2566 ว่า เนื่องในวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ดำเนินการจัดงานเนื่องใน วันภาษาไทยแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อน้อมนำพระบรมราโชบายและพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทรงงาน เพื่อสืบสาน รักษาและต่อยอดแนวพระราชดำริ ด้านภาษาไทยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงเพื่อกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชนชาวไทย ตลอดจนสถาบันการศึกษา องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทยและใช้ให้ถูกต้อง ร่วมทั้งอนุรักษ์ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติให้งดงามอย่างยั่งยืน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า สำหรับงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2566 กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนบูรณาการองค์ความรู้ และแนวคิดร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้คนไทย ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง เกิดความรักและหวงแหนความเป็นไทย ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยจะมีพิธีมอบโล่เกียรติยศและโล่รางวัลแก่หน่วยงานและผู้ได้รับรางวัลด้านภาษาไทย อาทิ รางวัลปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นชาวไทย ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น และผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย พุทธศักราช 2566 ด้านการประกวดหรือแข่งขันทักษะทางภาษาไทย อาทิ รางวัลสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2566 หัวข้อ “มนต์รักษ์ภาษาไทย” รูปแบบคลิปวิดีโอเพลงแรป รางวัลเพชรในเพลง  รวมถึงรางวัลอ่านทำนองเสนาะ “สดับถ้อยร้อยกรองไทย ครั้งที่ 2” ที่จัดประกวดด้วยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ตลอดจนการเผยแพร่วีดิทัศน์ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยของสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย โดยจะมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่สถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยที่ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยด้วย

นายอิทธิพล กล่าวว่า นอกจากนี้ กรมศิลปากร ได้จัดพิมพ์หนังสือเก่าหายาก เรื่อง “ปกีรณำพจนาดถ์และอนันตวิภาค” (ปะ- กี- ระ -นำ- พด -จะ -นาด และ อะ- นัน.-ตะ -วิ พาก) จัดพิมพ์สูจิบัตร และกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดพิมพ์หนังสือประวัติผลงานปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นชาวไทย ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น และผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย พุทธศักราช 2566 และได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดละครเพลงเรื่อง “หัวใจอภัยมณี” Heart of Stone The Musical รำลึกกวีเอก สุนทรภู่ สืบสานการใช้ภาษาไทย ในวันที่ 19 – 20 กรกฎาคม 2566 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นับได้ว่าผู้ที่ได้รับรางวัล ผู้ที่ร่วมงานทุกคน ตลอดจนหน่วยงานที่ในความร่วมมือร่วมจัดกิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติ ปี 2566 มีส่วนสำคัญที่ได้ร่วมกันถ่ายทอดวัฒนธรรมภาษาไทยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นแบบอย่างที่ดีของการสร้างความตระหนักในคุณค่าของภาษาไทย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์ไทยเยือนเวียดนามสานต่อความร่วมมือวิชาชีพสื่อ

 

มื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 คณะตัวแทนสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำโดยนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติและที่ปรึกษาสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย ได้เดินทางมาเยือนประเทศเวียดนามตามคำเชิญของสมาคมนักข่าวเวียดนามเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนการพัฒนาวิชาชีพสื่อมวลชนของทั้งสองประเทศร่วมกัน

สำหรับผู้แทนของสมาคมสื่อมวลชนไทยที่ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ได้แก่ นายอนันต์ นิลมานนท์ นายกสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย ในฐานะรองประธานสมาพันธ์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายพลาดิศัย สิทธิธัญญกิจ อุปนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยฯ นางสาวปิยะสุดา จันทรสุข อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย นางชนิดา จันทเลิศลักษณ์ อุปนายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ นายสมศักดิ์ ศรีกำเหนิด เหรัญญิกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และนายกฤษติน นิลมานนท์ กรรมการสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ประสานงานของสมาพันธ์ฯ

หลังจากเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียมาถึงยังกรุงฮานอยได้เดินทางเข้าพบนายนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะรับฟังบรรยายสรุปถึงสถานการณ์ต่างๆ ของประเทศเวียดนามเช่น ทางด้านการเมืองที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศระดับสูง ด้านสังคมเรื่องการต่อสู้กับโรคโควิด 19 ด้านเศรษฐกิจที่มีนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุน มีการทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศ (FTA)กับหลายประเทศ และด้านความสัมพันธ์ ไทย – เวียดนามที่อยู่ในระดับ Strategic partner หรือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตไทยยังได้กล่าวชื่นชมความพยายามในการสานสัมพันธ์ทางด้านสื่อมวลชนระหว่างองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยและเวียดนามด้วย

จากนั้นช่วงบ่ายเดินทางไปยังสมาคมนักข่าวเวียดนาม โดยมี นาย LE QUOC MINH นายกสมาคมนักข่าวเวียดนามและคณะให้การต้อนรับเพื่อพบปะพูดคุยถึงการดำเนินกิจกรรมร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนของประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยการพูดคุยสรุปพอสังเขปได้ว่าทั้งสมาพันธ์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและสมาคมนักข่าวเวียดนามต่างมีความยินดีที่จะสานต่อกิจกรรมร่วมกัน ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการอบรมพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในวิชาชีพสื่อมวลชน เช่น ด้านภาษา ด้านเทคนิคการทำงานภาคสนามในสถานการณ์ที่เกิดภัยพิบัติ รวมถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่จะได้มีการหารือในรายละเอียดกันต่อไป

ซึ่งการเดินทางเยือนประเทศเวียดนามครั้งนี้
คณะสมาพนธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนการเดินทางจากสายการบินไทยแอร์เอเชีย เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และการสนับสนุนด้านกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์จากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนเวียดนาม./

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ลงตรวจโลจิกติกส์ กัน “ยาเสพติด” ขนส่งสินค้าแนวชายแดน

 
เมื่อ 6 กรกฎาคม 2566 พันเอก นิรันดร์ พึ่งโต หัวหน้าฝ่ายกรรมวิธีข้อมูลศูนย์อำนวยการปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ และคณะฯ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค5 ลงพื้นที่กวดขันการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน การลักลอบขนส่งยาเสพติดผ่านทาง ระบบการ ขนส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์ (Logistics) ในพื้นที่อำเภอชายแดน ของ จว.ช.ม. ดังนี้
 
 
1. Kerry Exprees สาขาเชียงดาว
2. บริษัทนิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัดสาขาเชียงดาว
3. J&T Express สาขาเชียงดาว
4. บริษัทปุณปุณขนส่ง บ.ห้วยลึก
5. ไปรษณีย์ สาขาไชยปราการ
6. นิ่มเอ็กซ์เพรส สาขาไชยปราการ
7. FIash Express สาขาไชยปราการ
8. FIash Express อ.ฝาง
9. J&T Express อ.ฝาง่เชียงใหม่
 
 
มาตรการที่สำคัญในการดำเนินการต่อสถานประกอบการ โลจิสติกส์ จากการตรวจสอบครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อสร้างการรับรู้ ให้กับสถานประกอบการและประชาชน ให้มีส่วนร่วมการสกัดกั้นยาเสพติด ในสถานประกอบการและการบังคับใช้กฎหมาย ตามอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อให้ตระหนักถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างจริงจังในการปฏิบัติงาน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่สำคัญ
 
 
สำหรับผลการตรวจ สถานประกอบการดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่มีความเข้าใจในข้อกำหนดที่ต้องปฎิบัติและได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เป็นอย่างดี มีข้อควรปรับปรุงแก้ไขเล็กน้อย ซึ่ง เจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 ได้ให้คำแนะนำ และให้แนวทางในการปฏิบัติ และการสังเกตุ พัสดุต้องสงสัยต่างๆ และข้อควรปฏิบัติเมื่อตรวจพบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

โรงแรมไทย 4 แห่ง ติดอันดับ 200 โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก 2023

 
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ได้ทราบว่า โรงแรมในประเทศไทย 24 แห่ง ได้รับการจัดอันดับโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2566 (The World’s Best Hotels 2023) จากการจัดอันดับของ ลา ลิสเต้ (La Liste) เว็บไซต์แนะนำร้านอาหารและโรงแรมจากประเทศฝรั่งเศส โดยคัดเลือกโรงแรมทั้งหมด 1,000 แห่งทั่วโลก (https://www.laliste.com/en/laliste-hotels/TH) ตอกย้ำความสำเร็จ ศักยภาพ ด้านการท่องเที่ยวไทย โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการควบคู่การใช้มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ
 
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รายงานการจัดอันดับของ La Liste ได้เผยแพร่รายชื่อโรงแรมทั้งหมดผ่านเว็บไซต์ laliste.com โดยมีโรงแรมในประเทศไทย 4 แห่ง ติดอันดับใน 200 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 5 โรงแรม Capella Bangkok (กรุงเทพฯ) อันดับ 6 โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok (กรุงเทพฯ) อันดับ 9 โรงแรม Amanpuri (ตำบลเชิงทะเล จังหวัดภูเก็ต) และ อันดับ 10 โรงแรม Six Senses Yao Noi (ตำบลเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา) 
 
รวมทั้ง โรงแรมในประเทศไทย 20 แห่ง ติดอันดับใน 201 – 1,000 อันดับ ได้แก่ โรงแรม The Sukhothai Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya River (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Rosewood Phuket (ตำบลป่าตอง จังหวัดภูเก็ต) / โรงแรม Anantara Siam Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม The Standard, Hua Hin (ตำบลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) / โรงแรม The Penisula Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม The Okura Prestige Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Siam Kempinski Hotel Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม The Siam Hotel (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Park Hyatt Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Six Senses Koh Samui (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) / โรงแรม Four Seasons Resort Koh Samui (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) / โรงแรม Anantara Chiang Mai Resort (จังหวัดเชียงใหม่) / โรงแรม Shangri-La Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม Four Seasons Resort Chiang Mai (ตำบลริมใต้ จังหวัดเชียงใหม่) / โรงแรม Chakrabongse Villas (กรุงเทพฯ) / โรงแรม The St. Regis Bangkok (กรุงเทพฯ) / โรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok (กรุงเทพฯ) และ โรงแรม Sri Panwa Phuket (ตำบลวิชิต จังหวัดภูเก็ต) 
 
ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า La Liste ได้ให้คะแนนและจัดลำดับจากการรวบรวมข้อมูลรีวิวของของลูกค้าขณะเข้าพัก ความคิดเห็นจากนิตยสารแนะนำการเดินทาง การรายงานข่าวของสื่อทั้งรูปแบบออนไลน์และสื่อสิ่งพิมพ์ และการนำเสนอจากคู่มือการเดินทางต่าง ๆ โดยโรงแรมในประเทศไทยทั้ง 24 แห่ง ล้วนได้รับคะแนนในระดับ 90 คะแนนขึ้นไป จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน สะท้อนถึงคุณภาพในการให้บริการที่ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวและสื่อต่าง ๆ รวมทั้งสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม (Hotel Business Operator Sentiment Index) เดือนพฤษภาคม 2566 โดยสมาคมโรงแรมไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่า โรงแรมกว่า 47% มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าพักในจำนวนคืนเฉลี่ยนานขึ้น มากกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด 19 โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป และโรงแรมในจังหวัดภาคใต้ ของไทย
 
“นายกรัฐมนตรียินดีและชื่นชมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการโรงแรมที่พัก การให้บริการของเจ้าหน้าที่ ตลอดจนการต้อนรับของประชาชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทุกภาคส่วนล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันการท่องเที่ยวไทยให้เป็นที่นิยมเช่นทุกวันนี้ สะท้อนเป็นผลการตอบรับที่สร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้าพัก โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในเอกลักษณ์ ศักยภาพของไทย รวมทั้ง พร้อมสนับสนุนมาตรการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจผู้ประกอบการ และช่วยกระจายรายได้ให้สู่ชุมชน” นายอนุชาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : La Liste

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

จับเลานจ์เถื่อน อ.แม่สาย พบเจ้าของร้านเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน

วันนี้ (6 ก.ค. 66) นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ศูนย์ดำรงธรรม กรมการปกครอง (วังไชยา) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากองค์กรต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ ว่ามีสถานประกอบการชื่อ “ร้านโอโซน และร้านสละโสด” ตั้งอยู่พื้นที่หมู่ที่ 9 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้เปิดให้บริการในลักษณะเป็นสถานบริการ และมีการรับพนักงานหญิงซึ่งเป็นบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งสัญชาติไทยรวมถึงต่างด้าว เข้าทำงานภายในร้าน และอาจมีพฤติการณ์เข้าข่ายการแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก ทั้งมีการจำหน่ายยาเสพติดภายในร้าน และมีพนักงานเด็กสาวอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่มีพฤติกรรมเสพยาเสพติดและชักชวนลูกค้าเสพยาเสพติด

 

ตนจึงได้บูรณาการร่วมกับนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ได้สนธิกำลังร่วมกับพนักงานฝ่ายปกครองที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ภาค 5 และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย เข้าตรวจสอบสถานประกอบการ ชื่อร้านโอโซน และร้านสละโสด อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และวางแผนตรวจสอบจับกุม โดยพบว่า สถานประกอบการ “ร้านโอโซน” และ “ร้านสละโสด” ทั้งสองร้านลักลอบให้บริการในรูปแบบสถานบริการ โดยไม่มีใบอนุญาต เปิดให้บริการจนถึงเวลาเช้าของทุกวัน มีการจำหน่ายสุราเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด มีพฤติการณ์จ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งสัญชาติไทยและต่างด้าว มาปรนเปรอปรนนิบัติลูกค้าในลักษณะที่อาจเป็นการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่นจากเด็ก และยังพบร่องรอยการเสพยาเสพติดภายในร้าน” นายแมนรัตน์ฯ กล่าาว

 

นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจปัสสาวะของนักเที่ยวและพนักงานร้าน พบสารเสพติด ทั้งหมด 9 ราย เป็นนักเที่ยว 5 ราย เป็นพนักงานร้าน 4 ราย นอกจากนี้ ยังพบนักเที่ยวอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 2 คน คือ เด็กอายุ 17 ปี และ 18 ปี ตามลำดับ รวมทั้งได้ทำการช่วยเหลือบุคคลซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นพนักงานหญิงของทางร้าน ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 6 คน โดยพบคนที่มีอายุต่ำสุดเพียง 15 ปี จึงได้นำเข้าสู่กระบวนการตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ National Referral Mechanism (NRM) สัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง และคัดแยก โดยสหวิชาชีพ และเตรียมนำตัวส่งเข้าบ้านพักเด็กฯ เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ จากการตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ต่อไป

 

“ต่อมา นายเอกชัย ปันแปง อายุ 42 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย ได้มาแสดงตัวเป็นเจ้าของร้านทั้งสองแห่ง และได้ขอมอบตัว ต่อเจ้าพนักงานชุดจับกุม ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย โดยชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้จัดการร้านฐานความผิด 1) ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 2) จำหน่ายสุราเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 3) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 4) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็ก แสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจาร 5) จ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานระหว่างเวลา 22.00 น. – 06.00 น. และ 6) เป็นนายจ้างที่มีการจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นลูกจ้างโดยไม่แจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงาน นอกจากนี้ หากผลการคัดแยกของสหวิชาชีพพบว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จะได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป และพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุม จะได้ประสานที่ทำการปกครองอำเภอแม่สายเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มีคำสั่งปิด ร้านโอโซน และร้านสละโสด มีกำหนด 5 ปี ตามคำสั่ง คสช. ที่ 22/2558 ต่อไป” นายแมนรัตน์ฯ กล่าว

 

นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างยิ่ง และที่สำคัญ คือ ผู้ที่แสดงตัวเป็นผู้จัดการร้านมีตำแหน่งหน้าที่เป็นถึง “ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน” ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้านในการตรวจตรารักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน รวมทั้งป้องกันการกระทำความผิดหรือเหตุร้ายในพื้นที่ แต่กลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง ซึ่งการกระทำความผิดในครั้งนี้ นอกจากเป็นความผิดทางอาญาแล้ว กรมการปกครองจะได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าเป็นความผิดทางวินัยและเข้าข่ายการขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ช่วยใหญ่บ้าน ก็จะสั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป นอกจากนี้ยังกำชับให้นายอำเภอทุกอำเภอทั่วประเทศได้เข้มงวดกวดขันและตรวจสอบพฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนกลไกของกรมการปกครองทุกส่วน หากพบเข้าข่ายการกระทำความผิด ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบกฎหมาย ไม่มีละเว้น

 

ด้าน นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย จะได้มอบหมายให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมกับที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงรายและที่ทำการปกครองอำเภอทุกอำเภอ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสอบใบอนุญาต ตลอดจนตรวจตราการเปิดให้บริการของสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการทุกแห่ง หากพบการกระทำความผิด จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และหากพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายพบเห็นการกระทำผิดลักษณะนี้ สามารถแจ้งผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อธิบดีกรมการปกครอง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ. จับมือ 11 หน่วยงาน เยียวยาความเดือดร้อนประชาชน

วานนี้ (5 กรกฎาคม 2566) ที่ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นผู้แทนฯ เข้าร่วมลงนาม (MOU) การขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ร่วมกับ 11 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในการประชุมสัมมนาผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน (Chief Complaint Executive Officer : CCEO) ประจำปีงบประมาณ 2566 


          นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ กระทรวงสาธารณสุข (ศบท.สธ)”เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานการแก้ไขปัญหาข้อร้องทุกข์ของประชาชนในภาพรวมของกระทรวงสาธารณสุขให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (13 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญต่อการดำเนินการเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และการเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และกำหนดให้ทุกหน่วยงานแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้นำขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน(Chief Complaint Executive Officer : CCEO) เพื่อทำหน้าที่กำกับ ดูแล ประสาน ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ภายใต้แนวทางที่มีมาตรฐานในการให้บริการ สอดคล้องกับแผนบริหารราชการแผ่นดิน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นให้เกิดแก่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในแต่ละปีศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ฯ ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ประมาณ 600 เรื่องต่อปี  


          นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนที่จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ศูนย์ดำรงธรรม (กระทรวงมหาดไทย) กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระบบรับเรื่องราวร้องทุกข์แบบบูรณาการ และเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงระบบร้องทุกข์มากขึ้น โดยยึดหลัก ให้บริการสะดวก รวดเร็ว และสามารถบรรเทา เยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทันท่วงที

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News