Categories
NEWS UPDATE

สธ.เฝ้าระวังมลพิษจากโกดังพลุระเบิด รัศมี 500 เมตร พบน้ำยังมีปัญหา!

 วันนี้ (1 สิงหาคม 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการเผาไหม้ของดินปืน อาจทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ รวมถึงปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในแหล่งน้ำได้ ล่าสุด นพ.ชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ได้รายงานความคืบหน้าการตรวจเฝ้าระวังผลกระทบมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยคณะกรรมประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) ทั้ง 13 อำเภอใน จ.นราธิวาส ศูนย์อนามัยที่ 12 ยะลา และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา ได้ลงพื้นที่ร่วมคัดกรองผลกระทบด้านสุขภาพ เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย รวมถึงตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพแหล่งน้ำใช้ โดยเครื่องมือวัดภาคสนาม ณ จุดเกิดเหตุและรัศมี 500 เมตรโดยรอบ พบว่าไม่มีปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ส่วนคุณภาพน้ำยังไม่เหมาะสมทั้งการอุปโภคและบริโภค จึงเสนอให้ใช้แหล่งนำจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ประปา อบต. และน้ำบาดาลโรงเรียนมูโนะ เป็นต้น


          นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ ทีม MCATT จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ และ 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส ลงพื้นที่เยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวในโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก 10 ราย เป็นผู้ใหญ่ 8 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 7 ราย และเด็ก 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย 2.ครอบครัวผู้เสียชีวิต 1 ครอบครัว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ประเมินบุตรของผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย และ 3.ผู้ได้รับผลกระทบในหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 5  จำนวน 241 ราย เป็นผู้ใหญ่ 209 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 43 ราย เด็ก 32 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 8 ราย รวมผู้มีความเสี่ยงทางสุขภาพจิตทั้งหมด 62 ราย ซึ่งทุกรายทีม MCATT ได้ให้การปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นแล้ว สำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ยังได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วย Crisis intervention หรือการช่วยให้วางแผนรับมือความเครียดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และในรายที่พบความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต จะส่งต่อให้ทีม MCATT ในพื้นที่ประเมินตามมาตรฐานการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

“วราวุธ” เชิดชูเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า วัน World Ranger Day 2023


วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “วันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าโลก ประจำปี พ.ศ. 2566” World Ranger Day 2023 ซึ่งตรงกับวันที่ 31 กรกฎาคม ของทุกปี ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีและการทำงานอันเสียสละของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในการปกป้องรักษาทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า รวมถึงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ตลอดจนเผยแพร่ผลงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่อยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมี ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คณะผู้บริหารกระทรวงฯ นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้แทน IUCN  มูลนิธิฟรีแลนด์ ประเทศไทย และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ทั้งจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กว่า 700 คน เข้าร่วมในพิธี


นายวราวุธ กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้พิทักษ์ป่ารวมทั้งสิ้น 26,400 คน แบ่งเป็นกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวน 20,275 คน กรมป่าไม้ จำนวน 5,737 คน และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน 388 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีความเสียสละ ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทและอุตสาหะ ทำให้ประเทศไทยยังคงมีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งแลกมาด้วยการอุทิศตนปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ยากลำบากและเสี่ยงภัย อันจะหาผู้ปฏิบัติได้น้อย ถือเป็นการกระทำอันมีเกียรติ ควรค่าแก่การยกย่องเชิดชู ภารกิจของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เป็นงานหนักที่ได้รับค่าตอบแทนไม่สูง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้ให้การดูแลช่วยเหลือด้านสวัสดิการและการสนับสนุนยานพาหนะ วัสดุอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการปฏิบัติงานให้เป็นระบบ มีมาตรฐาน และลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ในการเข้าปะทะกับผู้ที่กระทำผิดเกี่ยวกับการป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ยังได้ผลักดันจนมีการปรับฐานเงินเดือนค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า จาก 9,000 บาท เป็น 11,000 บาท โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 นี้เป็นต้นไป จึงขอเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกนาย ในการพิทักษ์ป่าและรักษาทะเลของประเทศไทยให้คงอยู่เป็นสมบัติของลูกหลานไทยอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป


สำหรับการจัดงานวันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าโลก ประจำปี 2566 นอกจากเพื่อประกาศเกียรติคุณและระลึกถึงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่สละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังมีการมอบเกียรติบัตร มอบสิ่งของและเครื่องดำรงชีพจำเป็นในการออกปฏิบัติงานลาดตระเวนรักษาป่า และพิธีกล่าวคำปฏิญาณตนของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจากทั้ง 3 หน่วยงาน พร้อมกันทั้ง 18 แห่ง ทั่วประเทศ การจัดแสดงนิทรรศการผลงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ด้านการป้องกันรักษาป่า การส่งเสริมการมีส่วนร่วม การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน การจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และยังมีเครือข่ายชุมชนในพื้นที่มรดกโลก “แก่งกระจาน” กว่า 20 ชุมชน มาร่วมออกร้านค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนในงานอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปลัด มท. เผยพบทำผิดกฎหมาย 1 จังหวัด หลังสั่งตรวจสอบพลุไฟทั่วประเทศ

วันนี้ (1 ส.ค. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าที่เกิดขึ้น ที่บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมีสาเหตุมาจากการลักลอบนำดอกไม้เพลิงมาเก็บไว้ในที่เกิดเหตุ ผลกระทบจากแรงระเบิดเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีหนังสือกำชับแนวทางการควบคุม ตรวจสอบผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิงไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อเป็นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการของผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนให้การดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน เป็นไปด้วยความถูกต้อง โดยกรมการปกครองได้สั่งการให้อำเภอ 878 อำเภอ ในทุกจังหวัด เร่งตรวจสอบสถานที่ที่อาจเป็นโกดังเก็บดอกไม้เพลิงหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พร้อมรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดและกรมการปกครองทราบโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง ในทุกพื้นที่อย่างเคร่งครัด และอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมชนในช่วงวันหยุดยาวให้พี่น้องประชาชน
.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานจากการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ที่อาจจะเป็นโกดังหรืออาคารลักลอบจัดเก็บพลุ พบแหล่งลักลอบเก็บดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยฝ่ายปกครองอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้เข้าตรวจค้นอาคารไม่มีบ้านเลขที่ อยู่ติดกับหลังบ้านเลขที่ 164/1 หมู่ที่ 11 ตำบลวังด้ง อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งจากการตรวจค้นพบว่ามีร่องรอยการทำดอกไม้เพลิง (พลุ) และสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายประเสริฐ เซี่ยงว่อง อายุ 68 ปี ซึ่งรับเป็นเจ้าของสถานที่และให้การสารภาพว่าตนรับทำดอกไม้เพลิง (พลุ) ที่ใช้ในงานศพ จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีใบอนุญาตทำดอกไม้เพลิงจากนายทะเบียนท้องที่ จึงได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อนที่จะพบของกลางหลายรายการ คือ 
1) พลุ ขนาด 3 นิ้ว จำนวน 3 กระบอก 
2) พลุกล้วย ขนาดใหญ่ จำนวน 30 ลูก 
3) พลุกล้วย ขนาดกลาง จำนวน 4 ลูก 
4) พลุกล้วย ขนาดเล็ก จำนวน 10 ลูก 
5) ดินปืนสำหรับทำชนวน จำนวน 1 ถัง 
6) สายชนวนสีดำ จำนวน 2 เข่ง 
7) สายชนวนสีแดง จำนวน 3 ม้วน
 
  สายชนวนแบบตัดแต่งแล้ว จำนวน 1 ถุง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้แจ้งข้อกล่าวหา “ทำดอกไม้เพลิง (พลุ) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ในทุกพื้นที่ได้ทำการตรวจสอบสถานที่เป้าหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนว่าจะไม่มีเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก รวมทั้งเป็นการป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ในช่วงวันหยุดยาวด้วย โดยมีผลการดำเนินงาน อาทิ
 
1. จังหวัดลำปาง ฝ่ายปกครองจังหวัดลำปาง ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิงในพื้นที่ ประกอบด้วย อำเภอเมืองลำปาง จำนวน 2 แห่ง อำเภองาว 1 แห่ง อำเภอห้างฉัตร 3 แห่ง อำเภอแม่ทะ 1 แห่ง จากการเข้าตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด ในส่วนการตรวจสอบอีก 9 อำเภอที่เหลือ ไม่พบว่ามีโกดัง อาคาร ลักลอบเก็บพลุ ดอกไม้เพลิง
 
2. จังหวัดหนองคาย ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองหนองคาย ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำเภอเมืองหนองคาย เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอเมืองหนองคาย โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 4 ร้าน ประกอบด้วย 1) ร้าน ต.โต้ด การค้า บริเวณร้านค้าตลาดแจ้งสว่าง 2) ร้านแสงรุ่งการเกษตร ต.มีชัย 3) ร้านสุระสถิตย์เซนต์เตอร์ ม.11 ต.พระธาตุบังพวน 4) ร้านจารุวรรณซูเปอร์สโตร์ ม.11 ต.พระธาตุบังพวน จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด
 
3. จังหวัดขอนแก่น ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองขอนแก่น ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำเภอเมืองขอนแก่น เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 1 ร้าน คือ ร้านไทยประเสริฐ ตำบลในเมือง จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
4. จังหวัดราชบุรี ฝ่ายปกครองอำเภอปากท่อ ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอปากท่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากท่อ สภ.ทุ่งหลวง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอปากท่อ โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 3 ร้าน ประกอบด้วย 1) ร้านนายศุภชัย จำปาโชติ ม.1 ต.ปากท่อ 2) ร้าน น.ส.สุรีย์ แซ่ลิ้ม ม.1 ต.ปากท่อ และ 3) ร้าน น.ส.เพ็ญศรี ศุภกุลศรีศักดิ์ ม.1 ต.ปากท่อ จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
5. จังหวัดตาก ฝ่ายปกครองอำเภอวังเจ้า ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอวังเจ้า ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟ บริเวณร้านค้า โกดัง ตลาดนาโบสถ์ เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
6. จังหวัดอุดรธานี ฝ่ายปกครองอำเภอโนนสะอาด ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอโนนสะอาด ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟในพื้นที่อำเภอโนนสะอาด จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
7. จังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายปกครองอำเภอศรีเทพ ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอศรีเทพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีเทพ และ เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลสว่างวัฒนา ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟในพื้นที่อำเภอศรีเทพ จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
8. จังหวัดบึงกาฬ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ จากผลการตรวจสอบ ไม่มีสถานที่ผลิตในพื้นที่ ส่วนสถานที่เก็บและจำหน่ายนั้น ไม่พบการกระทำผิด ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่เป็นสถานที่จำหน่ายตามช่วงเทศกาลสำคัญ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้กำชับให้จัดเก็บอย่างปลอดภัยและให้ห่างไกลจากแหล่งเชื้อเพลิงที่เป็นอันตราย รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
“ขอกำชับไปยังทุกจังหวัด อำเภอให้หมั่นออกตรวจตราเป็นประจำอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมเน้นย้ำผู้ประกอบการ ร้านค้า สถานที่จำหน่าย จัดเก็บดอกไม้เพลิง ให้ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และให้ความระมัดระวัง ไม่ให้ประทัดหรือดอกไม้เพลิง อยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดไฟ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามแนวทางการควบคุม วิธีปฏิบัติการจำหน่ายอย่างเคร่งครัด” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเน้นย้ำ
 
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และตรวจสอบจุดเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดภัยต่อพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการดำเนินการ หรือประกอบการใดที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ชุมชน/หมู่บ้านทุกแห่ง รวมถึงการแจ้งประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หากผู้ใดพบเบาะแสหรือสถานที่ต้องสงสัยที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเก็บพลุ ดอกไม้เพลิง หรือวัตถุอันตราย ที่อาจก่อให้เกิดระเบิด โดยอยู่ในพื้นที่ของชุมชน หรืออาจไม่มีใบอนุญาตประกอบการดังกล่าว ขอให้แจ้งมายังที่ทำการปกครองจังหวัด ที่ทำการปกครองอำเภอ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ หรือโทรสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ชาวเชียงรายแห่เวียนเทียน วันอาสาฬหบูชาวัดห้วยปลากั้ง แน่นวัด!

ค่ำวันนี้(1 ส.ค.) ที่วัดห้วยปลากั้ง อ.เมืองเชียงราย พระไพศาลประชาทร วิ. (หลวงพ่อพบโชค) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง นำพระสงฆ์ พุทธศาสนิกชน ปฎิบัติธรรมสวดมนต์เย็น นั่งสมาธิ และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ โดยพบว่ามีประชาชน และนักท่องเที่ยวร่วมพิธีเวียนเทียนจำนวนมาก โดยมาเป็นครอบครัว ทั้งคนหนุ่ม คนสาวมาเวียนเทียนกันจนแน่นวัด วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมจากการตรัสรู้ให้แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งเป็นวันแรกที่พระรัตนตรัยเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ครบองค์ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
 
นางปวีณา งามกระบวน ชาวเชียงราย กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาพร้อมกับครอบครัว ส่วนตัวยังคงมีความศรัทธา และยึดมั่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การมาทำบุญ เวียนเทียน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับน้อมนำหลักคำสอนไปปฏิบัติต่อไป
 
การเวียนเทียน ถือเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา ซึ่งถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชาและวันอาสาฬหบูชาโดยปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ใช้คำว่าเวียนประทักษิณาวัตร คือ การเวียนขวา 3 รอบ เพื่อเป็นเครื่องหมายการแสดงออกถึงการเคารพบูชาต่อสิ่งนั้น ๆ อย่างสูงสุด โดยก่อนการเวียนเทียนพุทธบริษัท ทั้ง พระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา จะมาพร้อมกันที่หน้าพระอุโบสถ
 
จากนั้นประธานสงฆ์จุดเทียนและธูป ตามด้วยประธานฝ่ายฆราวาสและผู้ที่มาร่วมประกอบพิธีเวียนเทียน เสร็จแล้วประนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนขวารอบปูชนียสถาน จำนวน 3 รอบ โดยรอบแรกจะเป็นการเจริญภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ รอบที่สองเจริญภาวนาระลึกถึงพระธรรมคุณ และรอบสามเจริญภาวนาระลึกถึงพระสังฆคุณ ซึ่งขณะเวียนเทียนทุกคนจะต้องอยู่ในอาการที่สำรวมทั้ง กาย วาจา และใจ มีสติอยู่กับตัว ไม่พูดคุยและหยอกล้อกันในขณะที่เวียนเทียน เพราะเป็นการไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยและสถานที่ ตลอดจนทำให้ผู้อื่นเกิดความรำคาญหรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อเวียนครบ 3 รอบ ทุกคนจะนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางและปักบูชาไว้ยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลเชิญชวนคนไทย ลด ละ เลิกเหล้าเข้าพรรษา สร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย

วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 ส.ค. 66 กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคมและเครือข่ายงดเหล้า จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้คำขวัญ “ไกลเหล้า ไกลโรค ไกลอุบัติเหตุ”
 
ในโอกาสนี้ รัฐบาลจึงขอเชิญคนไทยทุกคนร่วมลด ละ เลิก เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอดเทศกาลเข้าพรรษาที่จะมาถึง ให้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ  ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่าทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมากกว่า 230 ชนิด  นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความสูญเสียกับครอบครัวและสังคมโดยรวมจากอุบัติเหตุ ที่นำมาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายได้
 
 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังช่วยลดรายจ่ายภาคครัวเรือนได้มาก ซึ่งข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ด้านพฤติกรรมการดื่มสุราของประชากรไทย ปี 65 ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 64 เหล่านักดื่มต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดื่มเพิ่มขึ้นจากในปี 60 เกือบ 2 เท่า โดยผู้ดื่มหนักเป็นประจำ มีค่าใช้จ่ายการดื่มสุราเฉลี่ยสูงถึง 3,722 บาทต่อเดือน
 
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และมิติของสังคม โดยมิติทางเศรษฐกิจนั้นได้มีกฎกระทรวงที่ลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบการอนุญาตให้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือนพ.ย.65 เพื่อประโยชน์ในการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และลดการผูกขาดทางการตลาด แต่ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อจำกัดไม่ให้กิจกรรมที่มาจากการแข่งขันทางธุรกิจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้น
 
ตลอดจนขับเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประชาชนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ต้องเน้นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เช่น ควบคุมจุดจำหน่าย ความหนาแน่นของร้านค้า การกำหนดโซนนิ่ง เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

รัฐบาลเร่งจ่ายเยียวยา-ฟื้นฟูพื้นที่ผู้เสียหายพลุระเบิดที่นราธิวาส

วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เกิดเหตุโกดังดอกไม้ไฟ เก็บพลุระเบิดกลางตลาดมูโนะ ในพื้นที่
ตำบลมูโนะ อาเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และบ้านเรือนประชาชนได้รับ ความเสียหายเป็นจำนวนมาก รัฐบาลนำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ และทั่วถึงครบถ้วน จากรายงานสรุปยอดรวมล่าสุด (30 ก.ค.66 ) มีผู้เสียชีวิต จำนวน 12 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 121 ราย อาการหนัก 1 ราย อาการปานกลาง 9 ราย กลับบ้านได้ 101 ราย พักอาศัยที่ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัย ศูนย์กีฬา อบต.มูโนะ จำนวน 10 ราย และมีผู้ลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือแล้วจำนวน 365 ราย
 
ส่วนเรื่องเร่งด่วนที่ นายกรัฐมนตรีได้กำชับไปก่อนหน้านี้ให้เร่งสำรวจความเสียหาย นางสาวรัชดา กล่าวว่า มีการจัดชุดเจ้าหน้าที่ช่าง ผู้นำในพื้นที่ เจ้าหน้าที่อบต. แบ่งเป็นเจ็ดชุด ลงตรวจสอบข้อมูลบ้านเรือนเสียหาย และจะนำไปสู่ขั้นตอนการทำเรื่องเบิกจ่ายเงินเยียวยาต่อไป ซึ่งเบื้องต้นจะมาจากสองส่วนคือ กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี และจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และท่านนายกฯยังพิจารณาการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆเพื่อบรรเทาทุกข์ของประชาชนมากที่สุด รวมถึงติดตามแนวทางการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ด้วย
 
รายละเอียดการให้การช่วยเหลือจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรีแบ่งออก ดังนี้
 
กรณีเสียชีวิต
ค่าจัดการศพ รายละ 50,000 บาท
เงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ครอบครัวละ 30,000 บาท
เงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มีบุตรอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ อีกครอบครัวละ 50,000 บาท
 
กรณีบาดเจ็บ
เงินทุนเลี้ยงชีพผู้บาดเจ็บสาหัส รายละ 30,000 บาท  เงินทุนเลี้ยงชีพผู้บาดเจ็บทั่วไป รายละ 15,000 บาท
 
กรณีบ้านเรือนเสียหาย
ค่าวัสดุในการก่อสร้าง/ซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ตามความเสียหาย เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินหลังละ  :เสียหายทั้งหลัง (เกิน 70%) 230,000 บาท
: เสียหายมาก (30% – 70%) 70,000 บาท
: เสียหายน้อย (น้อยกว่า 30%) 15,000 บาท
ค่าเครื่องอุปโภค และเครื่องใช้อื่น ๆ ที่จำเป็น (เฉพาะบ้านเรือนที่เสียหายทั้งหลัง และเสียหายมาก) ครัวเรือนละ 5,000 บาท
 
ส่วนเงินช่วยเหลือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แยกเป็นกรณีบ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง จ่าย 49,700 บาท กรณีเสียหายบางส่วนประเมินตามสถานการณ์  และกรณีเสียชีวิต ช่วยเหลือรายละ 29,700 บาท ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว จ่ายเพิ่มอีก 29,700 บาท
 
 
นางสาวรัชดา ต่อว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับจังหวัดนราธิวาส และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฯ ในวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 ณ ตลาดมูโนะ ตาบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนเบื้องต้น
 
“นายกรัฐมนตรีกำชับให้จังหวัดนราธิวาสโดยสำนักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส รวบรวมข้อมูลความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ฯ เสนอให้คณะกรรมกองทุนเงินช่วยเหลือ ผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาให้ความช่วยเหลือโดยเร็วต่อไป พร้อมเน้นย้ำส่วนราชการให้ความช่วยเหลือดูแล พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง ครอบคลุม และระยะยาวเรื่องการฟื้นฟู อย่างเต็มกำลังความสามารถ” นางสาวรัชดา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมการขนส่งทางราง เผยช่วงวันหยุดสะสม 3 วัน 3.01 ล้านคน-เที่ยว

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา 3 วันคือ วันที่ 28 – 30 กรกฎาคม 2566 มีประชาชนใช้บริการระบบรางรวม 3,005,848 คน-เที่ยว ประกอบด้วย รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 261,625 คน-เที่ยว แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 104,502 คน-เที่ยว และผู้โดยสารเชิงสังคม 157,123 คน-เที่ยว 

 

โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 134,645 คน-เที่ยว และขาเข้า 126,980 คน-เที่ยว ซึ่งพบว่า 

 – สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 87,610 คน-เที่ยว (ขาออก 45,357 คน-เที่ยว และขาเข้า 42,253 คน-เที่ยว) 

 – รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ 66,501 คน-เที่ยว (ขาออก 35,022 คน-เที่ยว และขาเข้า 31,479 คน-เที่ยว) 

 – สายเหนือ 54,009 คน-เที่ยว (ขาออก 26,597 คน-เที่ยว ขาเข้า 27,412 คน-เที่ยว) 

 – สายตะวันออก 32,763 คน-เที่ยว (ขาออก 17,077 คน-เที่ยว ขาเข้า 15,686 คน-เที่ยว) 

 – และสายมหาชัย/แม่กลอง 20,742 คน-เที่ยว (ขาออก 10,592 คน-เที่ยว ขาเข้า 10,150 คน-เที่ยว) 

 

และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง)) สะสม 3 วัน มีผู้ใช้บริการแล้ว 2,744,223 คน-เที่ยว ประกอบด้วย Airport Rail Link 144,397 คน-เที่ยว สายสีแดง 44,770 คน-เที่ยว สายฉลองรัชธรรม(สีม่วง) 97,759 คน-เที่ยว สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 701,465 คน-เที่ยว สายสีเหลือง 110,108 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 1,645,724 คน-เที่ยว ทั้งนี้ พบว่า เมื่อวาน (วันที่ 30 กรกฎาคม 2566) ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของวันหยุดต่อเนื่องระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 – 2 สิงหาคม 2566 มีประชาชนใช้บริการระบบราง รวมทั้งสิ้นจำนวน 933,794 คน-เที่ยว (ไม่รวมผู้โดยสารรถไฟทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 12 คน) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 80,348 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง (รวมสายสีแดง) จำนวน 853,446 คน-เที่ยว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

 

1. รถไฟระหว่างเมืองของ รฟท. ให้บริการรวม 228 ขบวน มีผู้ใช้บริการจำนวน 80,348 คน-เที่ยว แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 32,769 คน-เที่ยว และเชิงสังคม 47,579 คน-เที่ยว โดยมีผู้โดยสารขาออกจำนวน 38,195 คน-เที่ยว และผู้โดยสารขาเข้า 42,153 คน-เที่ยว โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 27,238 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 13,067 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 14,171 คน-เที่ยว) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการ 20,032 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 9,640 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 10,392 คน-เที่ยว) สายเหนือ 16,001 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 7,277 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 8,724 คน-เที่ยว) สายตะวันออก 10,440 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 4,857 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 5,583 คน-เที่ยว) และสายแม่กลองและมหาชัย 6,637 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 3,354 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 3,283 คน-เที่ยว) 

2. ระบบรถไฟฟ้า ให้บริการเดินรถไฟฟ้ารวม 2,433 เที่ยว มีผู้ใช้บริการรวมจำนวน 853,446 คน-เที่ยว ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link ให้บริการ 174 เที่ยว จำนวน 44,119 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ให้บริการ 230 เที่ยว จำนวน 13,179 คน-เที่ยว (ไม่รวมผู้โดยสารรถไฟทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 12 คน) รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 216 เที่ยว จำนวน 29,448 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 278 เที่ยว จำนวน 238,873 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 216 เที่ยว จำนวน 25,788 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) ให้บริการรวม 1,319 เที่ยว มีผู้ใช้บริการจำนวน 502,039 คน- เที่ยว (สายสีเขียว 493,740 คน-เที่ยว และสายสีทอง 8,299 คน-เที่ยว) สำหรับด้านความปลอดภัย มีเหตุอันตรายต่อการเดินรถไฟ 2 ครั้ง 

 

โดยเมื่อเวลา 06.38 น. ผู้โดยสารหญิง บนขบวนรถด่วนที่ 51 (กรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่) ถูกประตูห้องน้ำหนีบบริเวณมือ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ขอลงรักษาตัวที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ และเมื่อเวลา 07.17 น. ขบวนรถด่วนที่ 86 รถนั่งชั้น 3 เลขที่ 1193 เพลาล้อที่ 1 ด้านซ้ายมีอาการร้อนจนไม่สามารถพ่วงต่อไปปลายทางได้ เจ้าหน้าที่ได้ตัดรถไว้ที่สถานีศาลายาเพื่อทำการซ่อมแซม โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับอันตรายจากเหตุการณ์นี้ และสำหรับระบบรถไฟฟ้า ไม่มีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางรางได้ประสานผู้ให้บริการระบบราง พิจารณาดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยฯ มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ปฏิบัติงานในการให้บริการเดินรถไฟ รวมทั้งประสานฝ่ายความมั่นคงมาช่วยดูแลในพื้นที่ระบบรางมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 – 2 สิงหาคม 2566นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางราง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมธนารักษ์เปิดจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 130 ปี องค์กรอัยการ

วันนี้ (27 กรกฎาคม 2566) ณ กรมธนารักษ์ นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 130 ปี องค์กรอัยการ เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว    ที่พระองค์ทรงนำระบบอัยการในประเทศภาคพื้นยุโรป และอังกฤษมาปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทย รวมทั้งเพื่อเป็นที่ระลึก และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานของสำนักงานอัยการสูงสุดให้หน่วยงาน องค์กร ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ โดยจัดทำเป็นเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา มีลวดลาย

ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ชุดสากล ภายในวงขอบเหรียญเบื้องล่างมีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”

ด้านหลัง กลางเหรียญมีรูปเครื่องหมายราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด ภายในวงขอบเหรียญเบื้องบนมีข้อความว่า “๑๓๐ ปี องค์กรอัยการ ๑ เมษายน ๒๕๖๖” เบื้องล่างมีข้อความว่า “ประเทศไทย” ด้านขวามีเลขบอกราคาว่า “๒๐” ด้านซ้ายมีข้อความว่า “บาท”

ผู้ที่ประสงค์จะขอแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกดังกล่าว สามารถติดต่อขอแลกได้ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ตามช่องทางดังนี้
ส่วนกลาง
• กองบริหารเงินตรา ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี โทร. 0 2565 7944
• หน่วยรับและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนจักรพงษ์ กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2282 4109
• หน่วยจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร โทร. 0 2618 6340
ส่วนภูมิภาค
• สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ทั่วประเทศ
ช่องทางออนไลน์
• www.treasury.go.th (บริการออนไลน์ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ด้านเหรียญ)
โดยการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ผู้สั่งซื้อเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารเงินตรา โทร. 0 2565 7944 และCall Center กรมธนารักษ์ โทร. 0 2059 4999

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมธนารักษ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ธ.ก.ส. พร้อมเดินหน้าแก้หนี้ครัวเรือน “สินเชื่อแทนคุณ” แก้ปัญหา Aging ลูกค้า

ธ.ก.ส. ร่วมสมาคมสถาบันการเงินของรัฐและสมาคมธนาคารไทย เดินหน้าแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับนโยบายของ ธปท. โดยจัดกลุ่มลูกหนี้ตามศักยภาพ พร้อมวางแนวทางและเครื่องมือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม เสริมด้วยความรู้เทคโนโลยีในการยกระดับรายได้ จัดทำโครงการสินเชื่อแทนคุณ วงเงิน 20,000 ล้านบาท แก้ปัญหา Aging ลูกค้า วางเป้าดึงทายาท 42,000 คน ร่วมบริหารจัดการหนี้และรักษาทรัพย์สินของครอบครัว พร้อมหนุนการต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า ยกระดับสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้มีการดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนสอดรับกับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยแบ่งกลุ่มลูกหนี้ตามศักยภาพเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกหนี้ปกติ กลุ่มลูกหนี้ Hybrid และกลุ่มลูกหนี้ NPL และจัดทำเครื่องมือหรือวิธีการแก้ไขหนี้ให้สอดคล้องกับปัญหาที่แท้จริงของลูกหนี้เฉพาะกลุ่ม ควบคู่กับการเสริมความรู้ ทางการเงิน เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพและยกระดับรายได้ ซึ่งการดำเนินงานมีทั้งการวางแนวทางป้องกันไม่ให้หนี้ดีกลายเป็นหนี้เสียผ่านมาตรการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการชำระดีมีคืน โดยคืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง วงเงินดอกเบี้ยที่จ่ายคืนไปแล้ว 2,840 ล้านบาท มีลูกค้าได้รับประโยชน์ 2.58 ล้านราย มาตรการทางด่วนลดหนี้ มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลายได้ลดดอกเบี้ย ปี 2565 มาตรการตัดชำระหนี้ตามสัดส่วน (จ่ายดอก ตัดต้น) มาตรการปรับตารางชำระหนี้ (จ่ายต้น ปรับงวด) และแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้อันเป็นภาระหนัก เพื่อลดภาระและความกังวลใจในด้านภาระหนี้สินผ่านโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบยั่งยืน โดยปรับตารางการชำระหนี้ใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกค้าและที่มาของรายได้ รวมถึงการฟื้นฟูอาชีพ โดยพัฒนาอาชีพและเสริมสภาพคล่องในการลงทุน เพื่อประกอบอาชีพเพิ่มรายได้ ซึ่งการดำเนินงานตามแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าวช่วยแก้ปัญหาหนี้ NPL ภาคการเกษตร ลดลงจากร้อยละ 14.6ไปอยู่ที่ร้อยละ 7.68 ณ 31 มีนาคม 2566

ในส่วนของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในโครงการพักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งระบบ ตั้งแต่งวด เม.ย. 2563 ถึงงวด มี.ค. 2564 เป็นระยะเวลา 1 ปี มีผู้เข้าร่วมโครงการ 3 ล้านราย ต้นเงิน 938,466 ล้านบาท โครงการพักชำระหนี้โควิดภาคสมัครใจ และการจ่ายสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น วงเงินรายละ ไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งมีผู้ได้รับสินเชื่อไปแล้วทั้งสิ้น 913,548 ราย วงเงิน 9,086 บาท โดยในปัจจุบันยังมีหนี้คงค้างในกลุ่มดังกล่าว จำนวน 336,486 ราย จำนวนเงินคงค้าง 2,193 ล้านบาท
ด้านปัญหา Aging ของลูกค้า ธ.ก.ส. ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 35% ของลูกค้าทั้งหมด ธ.ก.ส. ได้จัดทำ โครงการสินเชื่อแทนคุณ วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่มีหนี้อันเป็นภาระหนักและมีความประสงค์จะโอนทรัพย์สินและหนี้สินให้กับทายาท เพื่อเปิดโอกาสให้ทายาทเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนและร่วมรักษาทรัพย์สินให้คงอยู่กับครอบครัว โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายสินเชื่อให้ทายาทที่มารับช่วงประกอบอาชีพ เพื่อปิดชำระหนี้เดิมของผู้สูงอายุ แบ่งเป็นสัญญาต้นเงิน (รวมต้นเงินเดิม) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 5 เท่ากับ MRR (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.975) ปีที่ 6 – 10 เท่ากับ MRR-1 และปีที่ 11 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR-2 กำหนดชำระคืนภายใน 15 ปี พิเศษไม่เกิน 20 ปี และสัญญาต้นเงิน (รวมดอกเบี้ยเดิม) อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0กำหนดชำระคืนภายใน 15 ปี นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนทายาทในการต่อยอดการดำเนินธุรกิจของครอบครัว โดยการเติมความรู้ทางการเงิน เทคโนโลยี นวัตกรรม และเงินทุน เพื่อเพิ่ม Added Value สร้างความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อยกระดับสินค้าไปสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูง โดยตั้งเป้าทายาทเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 42,000 คน

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า การแก้ไขหนี้ครัวเรือน สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ (สศป.) ธปท. ร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดทำโครงการแก้ไขหนี้สินเกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำข้อเสนอแนะในการแก้ไขสถานการณ์หนี้ครัวเรือน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาวอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มรายได้และศักยภาพครัวเรือนเกษตรกร สร้างเสริมภูมิคุ้มกัน และความรู้เท่าทันทางการเงินให้แก่เกษตรกร การปล่อยหนี้ใหม่ให้ยั่งยืน ทั่วถึงและตอบโจทย์ แก้หนี้เก่าให้ลูกหนี้ลดภาระหนี้และปลดหนี้ได้ การสร้างข้อมูลและองค์ความรู้ การศึกษาพฤติกรรม การชำระหนี้ของเกษตรกร และมีการกำหนดมาตรการจูงใจในการชำระหนี้ เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกหนี้ให้มีวินัยในการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ธ.ก.ส. ได้จัดทำโครงการชำระดีมีโชค โดยลูกค้าที่ชำระหนี้ตรงตามกำหนดเวลาและจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระจริงทุก ๆ 1,000 บาท จะได้รับสิทธิ์ 1 สิทธิ์ ไปชิงโชครางวัลรวมมูลค่า 402 ล้านบาท ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 พร้อมกับพัฒนาเครื่องมือและช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการ ธ.ก.ส. ได้ง่ายขึ้น เช่น การชำระหนี้ผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile Plus การชำระหนี้ผ่าน Banking Agent เป็นต้น ดังนั้น ขอให้เกษตรกรลูกค้าที่มีภาระหนี้สิน อย่ากังวลใจหรือปล่อยให้ปัญหาทับถม ขอให้เดินเข้ามาหาและปรึกษากับ ธ.ก.ส. ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้จัดทำโครงการมีหนี้นอกบอก ธ.ก.ส. ที่จะเข้าไปช่วยตอบโจทย์การแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและ Call Center 02 555 0555
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

วัฒนธรรมเชียงราย ส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์ อ.แม่สาย

เมื่อวันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา เวลา 13.00- 18.00 น. สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงรายดำเนินการทดสอบกิจกรรมการท่องเที่ยว โครงการการพัฒนากิจกรรมและการตลาด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมหลัก การพัฒนากิจกรรมและผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว กิจกรรมย่อย การพัฒนาสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมการออกแบบบริการ เพื่อต่อยอดชุมชนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย ณ ชุมชนไตหย่า บ้านศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
 
วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมเพื่อทดสอบและพัฒนาต่อยอดสินค้า และบริการทางการท่องเที่ยวชุมชน โดยมีเส้นทางท่องเที่ยว ดังนี้
 
จุดที่ 1 ไหว้พระวัดศาลาเชิงดอย
จุดที่ 2 เรียนรู้วิถีชุมชนไตหย่า ณ คริสตจักรนทีธรรมบ้านน้ำบ่อขาว ได้แก่ การทอเสื่อกก, ทำขนมข้าวแหลก, การทำกระเป๋าใบเล็ก, ชมช็อปผลิตภัณฑ์ผ้าทอ เสื้อ กระเป๋าผ้า, ชิมชา ขนมไต่หย่า, ชมศิลปะการแสดง และรับประทานอาหารไต่หย่า
 
ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางพรทิวา ขันธมาลา ผอ.กลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม และนายเอกณัฏฐ์ กาศโอสถ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ เข้าร่วมทดสอบกิจกรรมการท่องเที่ยวฯ และ ผอ.กลุ่มยุทธศาสตร์ฯ ได้ร่วมให้ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวในโอกาสต่อไปด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News