Categories
SOCIETY & POLITICS

จ.สงขลา จับกุมบุหรี่หนีภาษี กว่า 5 แสนซอง มูลค่ากว่า 42 ล้าน

สรรพสามิตจับกุมผู้กระทำผิดบุหรี่หนีภาษีล็อตใหญ่ โดยสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา พร้อมบูรณาการร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกองทัพเรือภาคที่ 2 ศร.ชล.ภาค 2  ฝ่ายปกครอง ศุลกากรภาคที่ 4 และ กอ.รมน. สงขลา ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด พรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 บุหรี่หนีภาษียี่ห้อ Gold Mount ล็อตใหญ่จำนวน 532,500 ซอง ประมาณการมูลค่าสินค้า 42,000,000 บาท ประมาณการมูลค่าภาษี 33,400,000 บาท ณ สถานที่เกิดเหตุบริเวณท่าเทียบเรือ อ.จะนะ จ.สงขลา  

นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า “วันที่ 3 สิงหาคม 2566 ภายใต้การอำนวยการของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต นายวิวัฒน์ เขาสกุล ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต โดยการผนึกกำลังในการจัดการของผู้อำนวยการสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 สรรพสามิตพื้นที่สงขลา ผอ.สตป.สภ.9 รักษาการ หน.ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 หน.ฝ่ายป้องกันและปราบปราม สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา และสรรพสามิตพื้นที่สาขาเมืองสงขลา สายตรวจสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 สายตรวจสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สงขลา บูรณาการร่วมกับกองทัพเรือภาคที่ 2 ศร.ชล. ภาค 2 ฝ่ายปกครอง ศุลกากรภาคที่ 4 กอ.รมน. สงขลา ร่วมกันจับกุมผู้กระทำผิด พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ที่ลักลอบนำบุหรี่ต่างประเทศที่มิได้เสียภาษีแบบทันท่วงที ณ สถานที่เกิดเหตุบริเวณ ท่าเทียบเรือ อ.จะนะ จ.สงขลา”  
 
สำหรับผลการจับกุมนั้น สามารถจับผู้ต้องหาได้จำนวน 15 คน โดยมีของกลางประกอบด้วย 1. รถยนต์กระบะตู้ทึบ จำนวน 8 คัน 2. เรือประมง จำนวน 1 ลำ และ 3. ยาสูบต่างประเทศ ยี่ห้อ Gold Mount ที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิต จำนวน 532,500 ซอง โดยกรมสรรพสามิตได้ทำการจับกุม และได้มีการประมาณการมูลค่าสินค้า 42,000,000 บาท ประมาณการภาษี 33,400,000 บาท โดยมีการส่งดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 
นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพสามิตได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดตาม พ.ร. บ.ภาษีสรรพสามิต 2560 อย่างเคร่งครัด โดยครั้งนี้เป็นการจับกุมล็อตใหญ่ที่หากเล็ดลอดไปได้จะสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของความชอบธรรมที่ต้องมีให้กับผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต รวมถึงการดูแลความปลอดภัยด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชนชาวไทยจากการได้รับสินค้าปลอมแปลงที่อาจเกิดปัญหาหรือส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน”  
      
ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสหรือพบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ สายด่วน 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมล์ excise_hotline@excise.go.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
EDITORIAL

อังกฤษชื่นชมไทย ตัดสินใจรวดเร็ว “ห้ามนำเข้า ห้ามขาย บุหรี่ไฟฟ้า”

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2566 สองวันหลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศนโยบายห้ามนำเข้าบุหรี่ British Medical Journal ชองประเทศอังกฤษ ได้เผยแพร่ความเห็นทางวิชาการว่า นโยบายการปราบปรามอย่างเด็ดขาดดังกล่าว เพราะความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าในตลาดมืด จะส่งผลให้มีการเสพติดในกลุ่มเยาวชนเพิ่มมากขึ้น โดยระบุว่า การแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนมิใช่ความเสี่ยง แต่เป็นหายนะทางด้านสาธารณสุข ในขณะที่ยกตัวอย่างประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการใช้มาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า มาตั้งแต่ พ.ศ.2557

“ซึ่งแนวคิดการห้ามบุหรี่ไฟฟ้านี้ มีพื้นฐานจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) ดังนี้ 1) บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดและสารพิษต่างๆ เทียบเท่ากับหรือมากกกว่าบุหรี่ปกติ ส่งผลกระทบต่อทุกระบบของร่างกายทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทั้งผู้สูบและผู้อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะทำลายสมองของเยาวชน 2) ไม่มีหลักฐานงานวิจัยยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่มวน 3) บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นจุดเริ่มต้นในการเสพติดบุหรี่มวนหรือสารเสพติดประเภทอื่นในเยาวชนต่อเนื่องตลอดชีวิต 4) ด้วยรูปลักษณ์และสารปรุงแต่งกลิ่นรสของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความยั่วยวนใจ ให้วัยรุ่นหันมาทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งการโหมโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการระดมขายในสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้ที่นิยมใช้สื่อเหล่านี้คือเยาวชน จึงเกิดการระบาดอย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชน ทั้งนี้เสรีภาพของเยาวชนเป็นหลักการที่สำคัญ แต่ไม่ควรถูกบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้านำมาบิดเบือนหลอกล่อโดยการตลาดล่าเหยื่อให้เสพติดเป็นนักสูบหน้าใหม่ และ 5) บทเรียนและประสบการณ์ของประเทศต่างๆ พบว่ายังไม่มีมาตรการอื่นใดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเยาวชนไม่ให้เข้าถึง และริลองเสพบุหรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้นการคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และเร่งบังคับใช้กฎหมาย เป็นสิ่งที่ดีที่สุด” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

ในเรื่องที่ไทยได้รับการชื่นชมนี้ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า น่าสนใจที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ที่กำลังระบาดในเด็กนักเรียนและเยาวชนทั่วประเทศ โดยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 สิงหาคม นี้ มีวาระ 6.4 ที่เสนอให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาผลประโยชน์ของการมีกฏหมายควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของความเป็นจริงในประเทศไทย สิ่งที่อยากจะฝากถึงสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันคือ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นศึกษาปัญหาบุหรี่มาแล้ว 2 ชุด เกิดการแทรกแซงของล็อบบี้ยิสต์บริษัทบุหรี่ ถึงขนาดมีการตั้งแกนนำล็อบบี้ยิสต์บุหรี่ไฟฟ้า 2 คน เข้าเป็นที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการชุดหนึ่ง ซึ่งขัดกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมี ภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ที่ห้ามแต่งตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการที่พิจารณานโยบายควบคุมยาสูบ จึงหวังว่ากรรมาธิการวิสามัญที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะตั้งขึ้น จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังที่เกิดขึ้นกับกรรมาธิการที่ศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ รฟท. ลงพื้นที่เหตุรถไฟ ชนกระบะขนคนงานลากปลา

เมื่อ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 02.20 น. ได้เกิดเหตุขบวนรถไฟบรรทุกสินค้าคอนเทนเนอร์ที่ 833 ดีเซลเลขที่ 5240 มีต้นทางจากไอซีดี ลาดกระบัง ปลายทางแหลมฉบัง ชนกับรถยนต์กระบะขนคนงานลากปลา ยี่ห้อ อีซูซุ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 1 ฒฆ 5942 กรุงเทพมหานคร บริเวณทางลักผ่านที่ไม่ได้รับอนุญาต หลักกิโลเมตรที่ 43/9 ใกล้กับที่หยุดรถคลองอุดมชลจร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่ง รฟท. ได้ติดตั้งป้าย และสัญญาณไฟเตือนครบถ้วนเพื่อพยายามช่วยในเรื่องความปลอดภัยให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าพนักงานขับรถไฟได้ปฏิบัติตามข้อบังคับโดยการเปิดหวูดเตือนก่อนจะถึงทางลักผ่าน จำนวนถึง 3 ครั้ง แต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดทำให้ไม่สามารถหยุดขบวนรถได้ทัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต เป็นชาย 5 ราย และหญิง 3 ราย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชาย 4 ราย โดยมีอาการสาหัส 1 ราย มูลนิธิกู้ภัยฉะเชิงเทราได้เร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนผู้เสียชีวิต ได้นำส่งโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อรอการชันสูตรและให้ญาติติดต่อขอรับเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป 

จากการสอบสวน นายวิชัย อยู่เล็ก อายุ 54 ปี ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ เล่าว่าขณะขับผ่านทางรถไฟ เห็นรถไฟกำลังวิ่งมา และได้ยินหวีดรถไฟแจ้งเตือนแล้ว จึงได้ชะลอรถ แต่คนในรถที่นั่งมาด้วยกันบอกให้ขับผ่านไปได้เลย ตนจึงขับผ่านทางตัดไปแต่ด้วยความกระชั้นชิด จึงทำให้รถไฟชนเข้าที่ท้ายของรถกระบะ 

นอกจากนี้ นายสุรพัศ ประสพ อายุ 20 ปี ผู้รอดชีวิตที่นั่งมาในรถยนต์กระบะ เล่าถึงเหตุการณ์ว่า ขณะรถกระบะกำลังจะขับข้ามทางรถไฟ ตนเองเห็นว่ามีขบวนรถไฟพุ่งใกล้เข้ามาในระยะอีกเพียงไม่กี่เมตร และได้ยินเสียงคนงานที่นั่งมาด้วยกันร้องบอกคนขับรถว่าให้รีบข้ามไป แต่ตนเองมองว่าไม่น่าจะทันจึงตัดสินใจกระโดดลงจากรถ โดยยืนยันว่าระหว่างที่รถยนต์จะข้ามทางรถไฟได้ยินเสียงหวีดรถรถไฟดังลั่นถึง 3 ครั้ง แต่คนขับรถกระบะก็ไม่สนใจ จนเกิดเหตุดังกล่าว

หลังเกิดเหตุ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องของ รฟท. ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อให้ความช่วยเหลือ และดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ โดยในเบื้องต้นได้สั่งการให้กองพนักงานสัมพันธ์และสวัสดิการ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ติดต่อให้ความช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรมตามระเบียบของ รฟท. กับครอบครัวผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตต่อไป ซึ่ง รฟท. ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บมา ณ โอกาสนี้

รายชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
1. นายวรพล ม่วงสี อายุ 25 ปี 
2. นายจตุพร แก้วโรจน์ อายุ 26 ปี 
3. นายสุพรรณ โพธิ์รักษา อายุ 25 ปี 
4. นายสุรพัศ ประสพ อายุ 20 ปี

รายชื่อผู้เสียชีวิต จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย
1. นายสุนทร บัวทอง อายุ 55 ปี
2. นางวารี ภู่ถาวร อายุ 64 ปี
3. น.ส.สุลีรัตน์ ไวว่อง อายุ 22 ปี
4. นายสุรพล อยู่เล็ก อายุ 60 ปี
5. นายณัฐชัย เหยี่ยว อายุ 18 ปี
6. นายธนาวัฒน์ ลิ้มเจริญวิวัฒน์ อายุ 27 ปี
7. นายสายยนต์ โพธิ์รักษ์ อายุ 62 ปี 
8. นางสุนทรี โพธิ์รักษ์ อายุ 55 ปี 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางดังกล่าวจะเป็นทางลักผ่าน แต่เพื่อพยายามที่จะลดอุบัติเหตุให้มากที่สุด รฟท. จึงได้ดำเนินการติดตั้งสัญญาณเตือน ป้ายจราจร ไฟกะพริบป้ายข้อความเตือนทั้งสองด้านมีเครื่องหมายจราจรครบถ้วน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และประชาชนที่ใช้เส้นทางสัญจรผ่านจุดดังกล่าว

ซึ่งนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบริเวณทางผ่านเสมอระดับอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้แก่ประชาชนและชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ ได้คำนึงถึงความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎจราจรก่อนข้ามทางผ่านเสมอระดับ ตลอดจนการให้ความสำคัญกับป้ายสัญลักษณ์เตือน เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ในส่วนมาตรการแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเร่งสรุปจำนวนทางลักผ่านที่ผิดกฎหมายเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาปิดจุดทางลักผ่านต่างๆ หรือประสานหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลรับผิดชอบถนนที่ตัดผ่านทางรถไฟสนับสนุนงบประมาณในการติดตั้งเครื่องกั้นอัตโนมัติ ซึ่งที่ผ่านมา หาก รฟท. เข้าไปดำเนินการปิดทางลักผ่านต่างๆ ก็จะได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ขอให้เปิดเส้นทางลักผ่านเพื่อใช้ในการสัญจร หรือลักลอบเปิดใช้ทางลักผ่านโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก รฟท. แต่อย่างใด

ปัจจุบันโครงข่ายทางรถไฟทั่วประเทศ มีทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟและรถยนต์ จำนวน 2,697 แห่ง แบ่งเป็น ทางต่างระดับที่ได้รับอนุญาต 546 แห่ง (Overpass, Underpass, Box underpass, U-Turn, U-Turn,Box Underpass) ทางเสมอระดับที่ได้รับอนุญาต 1,458 แห่ง (เครื่องกั้นถนนอัตโนมัติ, มีพนักงานควบคุม, ป้ายจราจร/สัญญาณต่างๆ) และทางลักผ่าน 693 แห่ง (ติดตั้งเครื่องกั้นถนนฯ , ติดตั้งป้ายจราจรสัญญาณต่าง ๆ , ทางลอด, ทางที่ไม่ได้รับการติดตั้งป้ายจราจร/สัญญาณใดๆ) รฟท. ขอให้ประชาชนผู้ใช้ทางผ่านเสมอระดับทางรถไฟ-รถยนต์ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 63 ในทางเดินรถตอนใดที่มีทางรถไฟผ่าน ไม่ว่าจะมีเครื่องหมายระหว่างรถไฟหรือไม่ ถ้าทางรถไฟนั้นไม่มีสัญญาณระวังรถไฟหรือสิ่งปิดกั้นผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วของรถและหยุดรถห่างจากทางรถไฟในระยะไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงจะขับรถผ่านไปได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัดฯ ณัฐพล นำทีมผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเฝ้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเงินรายได้จากการออกร้านในงานกาชาด

เมื่อ 3 สิงหาคม 2566 เวลา 08.00 น. ที่ผานมา ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเฝ้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินรายได้จากการออกร้านกระทรวงอุตสาหกรรม ภายในงานกาชาดประจำปี 2565 จำนวนทั้งสิ้น 6,007,896.46 บาท (หกล้านเจ็ดพันแปดร้อยเก้าสิบหกบาทสี่สิบหกสตางค์) โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ณ วังสระปทุม

กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมออกร้านในงานกาชาด ประจำปี 2565 ณ บริเวณสวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 8 – 18 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “อุตสาหกรรมรวมใจ ใต้ร่มพระบารมี สดุดี 90 พรรษา” เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา และทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ครบ 66 ปี และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบาย MIND ใช้หัวและใจปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน โดยภายในร้านกระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดกิจกรรมการเล่นเกมส์กระสวยอวกาศเพื่อลุ้นโชครางวัลมากมาย รวมทั้งการจำหน่ายสลากกาชาดร้านกระทรวงอุตสาหกรรม อีกจำนวน 60,000 ใบ ในราคาใบละ 100 บาท ด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

EXIM BANK ปรับแผนรับมือเศรษฐกิจ ‘ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ’

EXIM BANK ปรับกลยุทธ์สายงานธุรกิจ SMEs ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เน้นทำงานเชิงรุกด้วยกลยุทธ์ “รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ” สานพลังกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนในการแสวงหาลูกค้าใหม่ เยี่ยมเยียนและเช็กสุขภาพลูกค้าเดิม เติมเงินทุน ออกผลิตภัณฑ์การเงินที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า บริหารความเสี่ยงในทุกมิติอย่างเหมาะสม มุ่งยกระดับประสิทธิภาพของภาคธุรกิจตลอดทั้ง Supply Chain อย่างเป็นมืออาชีพ โดยสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและมีความท้าทายรอบด้าน

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มอบนโยบายและประชุมร่วมกับผู้บริหารและพนักงานสาขาและธุรกิจ SMEs ของ EXIM BANK ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 โดยบอกเล่าภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า จากจำนวน SMEs ไทยกว่า 3 ล้านราย ในจำนวนนี้มีเพียง 1 ล้านรายเท่านั้นที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) จำนวน 7.4% และมีบริษัทอีกจำนวนหนึ่งที่แม้ยังไม่ปิดกิจการแต่เริ่มมีสัญญาณที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือที่เรียกว่า Zombie Firms และหากสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงอึมครึมเช่นนี้ คาดว่าในสิ้นปีนี้ จำนวน NPLs และ Zombie Firms จะเพิ่มสัดส่วนขึ้นอีก ดังนั้น EXIM BANK จึงต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้ “รบอย่างมีกลยุทธ์” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ต่อสู้กับความท้าทายและความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย อีกทั้งยังเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น โดยดูแลทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่อย่างเต็มที่ และนำเสนอทางแก้ไขปัญหาธุรกิจอย่างครบวงจร (Total Solutions) ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ท่ามกลางปัจจัยท้าทายต่าง ๆ นโยบายของ EXIM BANK ต่อลูกค้า SMEs คือ การ ‘รับมือ ช่วยเหลือ เติมกำลังใจ’ โดยเจ้าหน้าที่ EXIM BANK ต้องออกเยี่ยมลูกค้า SMEs ทุกราย เพื่อตรวจเช็กสุขภาพธุรกิจและสอบถามความต้องการที่จะให้ EXIM BANK ช่วยเหลือ โดยเฉพาะลูกค้าที่เก่งและดี EXIM BANK พร้อมสนับสนุนการขยายธุรกิจและให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การให้สินเชื่อต้องอยู่บนหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง เงื่อนไขและหลักประกันเหมาะสม มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม มุ่งยกระดับประสิทธิภาพของภาคธุรกิจตลอดทั้ง Supply Chain อย่างเป็นมืออาชีพ ทั้งนี้ EXIM BANK จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า SMEs อย่างต่อเนื่องโดยสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า นำผลที่ได้รับจากออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้ามาวิเคราะห์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำการตลาดของธนาคารในการเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่และสนับสนุนช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงและสนับสนุน SMEs ไทยที่มีศักยภาพให้เติบโตและขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมศุลกากรสกัดจับน้ำมันดีเซลและเฮโรอีน ลักลอบนำเข้าและส่งออกนอกประเทศ

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 14.30 น. นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เป็นประธานในการแถลงข่าวกรณีกรมศุลกากรจับกุมน้ำมันดีเซลจำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท ลักลอบนำเข้ามาราชอาณาจักร และยึดเฮโรอีนเตรียมส่งออกนอกราชอาณาจักรซุกซ่อนอยู่ภายในซองแผ่นประคบร้อน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่า 10.5 ล้านบาท ณ บริเวณคลังของกลาง กรมศุลกากร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษีในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ จึงมอบหมายให้นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด จนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ได้ทำการตรวจค้นรถบรรทุกน้ำมันจำนวน 3 คัน ที่บริเวณริมถนนบางนา – ตราด ขาเข้า กม.37 ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีรถบรรทุกน้ำมัน โดยภายในรถมีน้ำมันที่มีเมืองกำเนิดต่างประเทศและไม่มีเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องจะขับผ่านมาบริเวณดังกล่าว

ผลการตรวจค้นพบน้ำมันดีเซล จำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท เบื้องต้นไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จึงยึดน้ำมันของกลางและยานพาหนะที่ใช้กระทำความผิด จำนวน 3 คัน ซึ่งยานพาหนะมีมูลค่าประมาณ 7,700,000 บาท รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาน 11,341,160 บาท นำส่งกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
              
กรณีดังกล่าวเป็นการนำของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่ามิได้ผ่านพิธีการศุลกากรอันเป็นกระทำความผิดตาม มาตรา 242  หรือ มาตรา 246 ประกอบ มาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

สำหรับสถิติในการจับกุมการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง (ดีเซล) เข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 – ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) มีจำนวน 642 รายปริมาณ 440,168 ลิตร มูลค่ากว่า 10,834,000 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะให้ความสำคัญกับการปราบปรามการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง(ดีเซล)เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อเป็นการปกป้องสังคมและสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้ให้ความสำคัญในภารกิจปกป้องสังคม ให้ปราศจากการลักลอบนำเข้าสิ่งผิดกฎหมายและยาเสพติด จึงให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการป้องกัน สกัดกั้นยาเสพติดให้โทษ และบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ กรมศุลกากรพบกล่องพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศ ต้นทางจากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ปลายทางเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 หีบห่อ มีความน่าสงสัยจึงให้เจ้าหน้าที่ภายใต้การกำกับดูแลของนายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม และนายจักกฤช อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับชุดปฏิบัติการ AITF (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE) ประกอบด้วย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยงในการลักลอบส่งของต้องห้ามต้องกำกัดออกนอกราชอาณาจักร และทำการตรวจสอบพัสดุดังกล่าว ซึ่งสำแดงชนิดสินค้าเป็น PILL PATCH , COUGH PILLS , SNACK น้ำหนักรวม 10.790 กิโลกรัม จากการตรวจสอบสินค้า PILL PATCH จำนวน 12 ถุง (แผ่นประคบร้อน) พบร่องรอยการถูกปิดผนึกใหม่ด้วยความร้อน โดยภายในแต่ละถุงบรรจุซองย่อยอีก จำนวน 4 ซอง รวมทั้งสิ้น 48 ซอง มีร่องรอยการปิดผนึกใหม่เช่นกันทุกซอง จึงได้เปิดซองออกตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (Heroine) ซุกซ่อนอยู่ภายใน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 10.5 ล้านบาท
        
โดยการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 242,244 ประกอบมาตรา 252 ซึ่งเป็นของอันพึงต้องริบ ตามมาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จึงส่งให้ผู้ที่เกี่ยวของดำเนินคดีต่อไป
        
สำหรับสถิติจับกุมยาเสพติดกรมศุลกากร ตั้งแต่ประจำปีงบประมาณ 2566  – ปัจจุบัน (ตุลาคม – กรกฎาคม 2566)  มีจำนวน 148 ราย มูลค่า 1,022,513,880 บาท

นอกจากประเด็นดังกล่าวข้างต้น โฆษกกรมศุลกากร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การนำเงินตราไทยและเงินตราต่างประเทศ ออกไปนอก และเข้ามาในราชอาณาจักร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม. สานพลัง ศูนย์ APCICT หนุนกลุ่มผู้สูงอายุ สตรี ครอบครัว

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 66 เวลา 16.00 น. นางสาวอังคณา  ใจกิจสุวรรณ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานพิธีประกาศเจตนารมณ์ และลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างศูนย์ฝึกอบรมเอเชียและแปซิฟิกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา (Asian and Pacific Training Centre for Information and Communication Technology for Development: APCICT) กับ กรมกิจการผู้สูงอายุ (Department of Older Persons: DOP) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (Department of Women’s Affairs and Family Development: DWF) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมี มิสเตอร์คียอง โค (Mr. Kiyoung Ko) ผู้อำนวยการ APCICT  นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ  และนางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ

       นางสาวอังคณา กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคงสำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ สตรี และครอบครัว รวมถึงกลุ่มเปราะบาง อีกทั้งประสานพลังความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ระหว่างภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาสังคม รวมทั้งประชาชน ซึ่งวันนี้ พิธีประกาศเจตนารมณ์ และลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. โดย กรมกิจการผู้สูงอายุ และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ร่วมกับศูนย์ฝึกอบรมเอเชียและแปซิฟิกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา (APCICT) ภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก หรือเอสแคป (ESCAP) เพื่อพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนด้านการส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ สตรี และครอบครัว ด้วยการยกระดับการมีส่วนร่วมทางดิจิทัลและโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสู่การค้าในระดับสากลต่อไป

       สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ กระทรวง พม. โดย ผส. และ สค. ให้การสนับสนุนในการจัดสรรผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ สนับสนุนทางเทคนิคในการจัดกิจกรรมอบรม และสร้างการมีส่วนร่วมกับโครงการอื่น ๆ รวมถึงการหารือระดับภูมิภาค การฝึกอบรมวิทยาการ การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จัดโดยศูนย์ APCICT อีกทั้งส่งเสริมโครงการพัฒนาศักยภาพในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก โดยมีแผนดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องใน 4 ภูมิภาคของประเทศ

       นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) มีความร่วมมือในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนด้านการส่งเสริมทักษะทางดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ ด้วยการนำ Thai Soft Power 5F Food Festival Fashion Fighting Flim มายกระดับการสร้างงาน อาชีพ รายได้ และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผู้สูงอายุ (Silver Economy) 

       นางจินตนา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) มีความร่วมมือในการส่งเสริมและผลักดันให้กลุ่มสตรีและครอบครัว ได้รับการส่งเสริมทักษะในยุคดิจิทัลทั้งด้านองค์ความรู้ การรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์ และทักษะความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) สำหรับการประกอบอาชีพ 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม. เตรียมทำ Sandbox พัฒนาคุณภาพ ประเมินผลสถานรองรับเด็กทั่วประเทศ

วันที่ 2 สิงหาคม 2566 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยถึงการปฏิรูประบบบริหารจัดการสถานรองรับเด็กว่า เบื้องต้น ได้มอบหมายให้ผู้บริหารกระทรวง พม. พร้อมผู้บริหารกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ลงพื้นที่เพื่อสแกนปัญหาการปฎิบัติงานและการดูแลเด็กในสถานรองรับเด็กสังกัด ดย. จำนวน 30 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีเด็กอยู่ในความดูแลกว่า 4,000 คน โดยมีการตรวจสอบถึงชั่วโมงการทำงานของพี่เลี้ยง ระบบงานสังคมสงเคราะห์  สภาพแวดล้อม สุขอนามัย ความปลอดภัย โภชนาการ ตารางกิจกรรมตลอด 24 ชั่วโมง มิติความเป็นส่วนตัวของเด็ก โปรแกรมการปรับพฤติกรรมเด็กบางรายที่อาจจะมีปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงเด็กที่มีภาวะพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น ถูกกระทำความรุนแรงจากครอบครัว ก้าวร้าว ลักขโมย ทำร้ายผู้อื่นหรือทำร้ายตัวเอง เป็นต้น อีกทั้งร่วมกับทีมสหวิชาชีพเข้าไปตรวจสอบถึงมาตรฐานการดูแลเด็กทั้งหมด รวมถึงการประเมินทักษะความสามารถ ความถนัดของเด็กแต่ละคน เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนพัฒนารายบุคคล  ในส่วนของเด็กโต มีการเสนอให้จัดตั้งสภาเด็กในสถานรองรับเด็ก โดยให้เด็กมีส่วนร่วมในการเสนอความต้องการและกำหนดกิจกรรมต่างๆ 

    นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ดูแลหรือพี่เลี้ยงเด็กจะต้องมีการประเมินการปฎิบัติงานทั้งทัศนคติ ทักษะความรู้ ศักยภาพการทำงาน รวมถึงชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไปหรือไม่ เป็นต้น โดยวิเคราะห์ภาพรวมทั้งหมดและจัดทำเป็นแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เพื่อเสนอของบประมาณจากรัฐในการดำเนินการแต่ละด้าน ซึ่งจากเหตุการณ์พี่เลี้ยงกระทำความรุนแรงกับเด็กในสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี รวมถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดในสถานรองรับเด็กเอกชน นับเป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องนำมาปรับและพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูงขึ้น ประกอบกับในห้วงเวลาเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จึงต้องทบทวนการทำงานเพื่อเสนอรัฐบาลชุดใหม่

     นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ มีการสแกนพบปัญหาต่างๆ เช่น ทัศนคติ การขาดทักษะในการสื่อสารกับเด็ก อัตราส่วนพี่เลี้ยงหรือผู้ดูแลเด็กไม่ได้เป็นไปตามสัดส่วนของลักษณะปัญหาของเด็ก ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องดึงภาคธุรกิจเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุน นอกจากนี้ อาจต้องอาศัยกลไกคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ซึ่งมีทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและทีมสหวิชาชีพ ร่วมติดตามประเมินและให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานและพัฒนาการเด็กในสถานรองรับเด็กทั้งหมด โดยให้มีการรายงานทุกเดือน จากที่ผ่านมา มีการประเมินติดตามในระดับกรม อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ โดยจะมีการรายงานประเด็นปัญหาให้ที่ประชุมรับทราบพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นที่ปัจจุบัน เด็กมีอัตราการเกิดน้อยลง แต่พบว่า มีการนำเด็กเข้าสู่สถานรองรับเด็กจำนวนมาก นับเป็นอีกข้อท้าทายที่ต้องไปดูปัญหาต้นทางที่ความเป็นอยู่ของเด็กในครอบครัว และร่วมกันเสนอทางออกว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กได้อยู่กับครอบครัวและชุมชนในพื้นที่อย่างปลอดภัย โดยรัฐเข้าไปช่วยสนับสนุนการดำเนินงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“อนุพงษ์” สั่งทุกจังหวัดใช้กฎหมาย ขออนุญาตสร้างอาคารไม่ป้องกันไฟ

วันนี้ (3 ส.ค. 66) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ให้เข้มงวดในการตรวจสอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย ดังกรณีเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าดอกไม้เพลิงที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ตามที่ปรากฏข่าว เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้า ตามที่ปรากฏในข่าวที่มีการลักลอบนำดอกไม้เพลิงมาเก็บไว้บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมานั้น ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกันเหตุ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในลักษณะนี้ จึงได้สั่งการให้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ดำเนินการให้ความสำคัญในการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 อย่างเคร่งครัด และให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบ สอดส่องดูแล หากเห็นว่าอาคารมีสภาพหรือมีการใช้งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามความจำเป็นและเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร และหากเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง และเจ้าพนักงานท้องถิ่นเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่อาจรอช้าไว้ได้และมีความจำเป็น ให้มีคำสั่งตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 7 ห้ามใช้อาคารทั้งหมดหรือบางส่วนจนกว่าจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แจ้งเตือนหรือประชาสัมพันธ์ผ่านหอกระจายข่าว และช่องทางการประชาสัมพันธ์ทุกหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อช่วยดูแล ป้องกัน และเฝ้าระวัง สอดส่องดูแลอาคาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชน โดยเฉพาะอาคารที่ถูกดัดแปลงหรือไม่มั่นคงแข็งแรง รวมถึงวัสดุ สิ่งของ หรือสิ่งผิดปกติที่เก็บไว้ในอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบทันที เพื่อป้องกันเหตุที่อาจก่อให้เกิดอันตราย มิให้เกิดขึ้น

“หากพี่น้องประชาชนพบเห็น อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ หรือโทรศัพท์สายด่วนหมายเลข 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ damrongdhama.dopa.go.th หรือแอปพลิเคชั่น Dopa Help ทั้งระบบ Android และ iOS” พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กระทรวงยุติธรรม เร่งเยียวยาเหยื่อโกดังพลุระเบิด นราธิวาส เสียชีวิตจ่ายเต็มที่ รายละ 200,000 บาท

จากกรณี โกดังเก็บพลุ ประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บกว่าร้อยราย รวมทั้ง บ้านเรือนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายจำนวนมาก นั้น
 
นายธีรยุทธ แก้วสิงห์  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ในฐานะโฆษกกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งผู้ประสบเหตุ ที่ได้รับความเสียหายในเหตุการณ์ครั้งนี้  ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ได้เร่งให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายเป็นการเร่งด่วน โดยกรมฯได้ประสานงานกับนางอำไพ ชนะชัย ยุติธรรมจังหวัดนราธิวาสและเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัด เพื่อประสานแนวทางการแจ้งสิทธิตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559  ร่วมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก และศูนย์ปฏิบัติการเยียวยาฯ อำเภอสุไหงโก-ลก รวมทั้งเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆแก่ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์พลุระเบิดครั้งนี้ด้วย

นายธีรยุทธฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดครั้งนี้ นับเป็นโศกนาฏกรรม ที่เกิดความสูญเสียอย่างมาก และเป็นเหตุสะเทือนใจของสังคม กรณีของผู้เสียหายที่เสียชีวิต มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามกฎหมายสูงสุด รายละ 200,000 บาท  ประกอบด้วย ค่าตอบแทนเสียชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท ค่าจัดการศพ ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ไม่เกิน 40,000 บาท และค่าตอบแทนความเสียอื่น ไม่เกิน  40,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการฯจังหวัดนราธิวาส พิจารณาเป็นสำคัญ ส่วนกรณีผู้ที่ได้บาดเจ็บ มีสิทธิได้รับการเยียวยา ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล จำนวนไม่เกิน 40,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ จำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ เนื่องจากต้องพักรักษาตัว ตามค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดนราธิวาส (อัตราวันละ 328 บาท)ไม่เกิน 1 ปี และค่าตอบแทนความเสียอื่น ตามความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ จำนวนไม่เกิน 50,000 บาท

 นายธีรยุทธ กล่าวย้ำว่า กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความผิดอาญาที่ชัดเจนจากการกระทำผิดของผู้อื่น โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่า คณะอนุกรรมการจังหวัดนราธิวาส จะสามารถประชุมพิจารณาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์หน้านี้ ส่วนกรณีที่ได้รับบาดเจ็บอาจต้องรอการรักษาพยาบาลและเอกสารประกอบการพิจารณา ซึ่งสำนักงานยุติธรรมจังหวัดจะได้ประสานงานกับผู้เสียหายและทายาทอย่างใกล้ชิดต่อไป   ทั้งนี้ ทายาทหรือผู้เสียหาย สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนราธิวาส หมายเลข 0-7353-1234 หรือ สายด่วนยุติธรรม โทร 1111 กด 77 (โทรฟรี ตลอด 24ชั่วโมง)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงยุติธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News