Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัดอบรมผ้าไทย อนุรักษ์มรดกภูมิปัญญา สู่รายได้

อบรมผ้าไทยเชียงราย ดีไซเนอร์ร่วมออกแบบแฟชั่นโชว์

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาผ้าไทย เปิดอบรมพัฒนาอัตลักษณ์ผ้าถิ่นสู่ตลาดเชิงสร้างสรรค์

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับ ผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ ผ้าอัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย และการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าของเชียงรายในเชิงสร้างสรรค์ ภายใต้ โครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ในกิจกรรม อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2568ห้องสุดดี 3 โรงแรมเอ็ม บูทีค รีสอร์ท เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเป็นมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และ สืบสานมรดกภูมิปัญญาการทอผ้าให้คงอยู่ต่อไป ตลอดจนกระตุ้นความสนใจให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เด็ก เยาวชน และประชาชนร่วมกัน อนุรักษ์และส่งเสริมผ้าไทย ผ้าถิ่น และผ้าชาติพันธุ์ ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น

ดึงกลุ่มนักออกแบบ-ผู้ประกอบการต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าเชียงราย

สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย นักออกแบบ ดีไซเนอร์ ช่างทอผ้า ช่างเย็บผ้า ผู้ประกอบการ และบุคคลทั่วไป จำนวน 50 ราย ที่เข้าร่วมอบรมเพื่อ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาผ้าท้องถิ่นเชียงรายให้ก้าวสู่ตลาดเชิงสร้างสรรค์ รวมถึง การต่อยอดสู่การประกวดออกแบบแฟชั่นผ้าไทย ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568โรงแรมเอ็ม บูทีค รีสอร์ท เชียงราย

เชียงรายเตรียมจัดแสดงแฟชั่นโชว์-สาธิตภูมิปัญญาผ้าไทย

นอกจากนี้ ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมอัตลักษณ์ผ้าถิ่นเชียงราย ยังมีการ จัดงานแสดงแบบแฟชั่น และกิจกรรมการสาธิตภูมิปัญญาการทอผ้า ระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ชั้น G ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยในงานจะมีการ จัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยจากกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่น พร้อมด้วยเวทีเสวนาเกี่ยวกับ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมผ้าไทยให้สอดรับกับตลาดสมัยใหม่

ยกระดับผ้าเชียงรายสู่ตลาดสากล

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มุ่งเน้นให้ มรดกภูมิปัญญาผ้าไทยกลายเป็นสินค้าสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ผ่านกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงให้เข้ากับความต้องการของตลาดแฟชั่นปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “Creative Economy” หรือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่นำวัฒนธรรมมาพัฒนาต่อยอดเพื่อสร้างรายได้และยกระดับอุตสาหกรรมผ้าไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดสากล

เชียงรายในฐานะจังหวัดที่มีอัตลักษณ์ผ้าถิ่นและผ้าชาติพันธุ์ที่โดดเด่น จึงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการผสมผสาน ลวดลายผ้าแบบดั้งเดิมเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดแฟชั่นและการออกแบบยุคใหม่

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ กลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่น มีความเข้าใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าสู่ ตลาดการค้าและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาผ้าไทยให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ผู้ว่าฯ เชียงรายจับมือลาว สู้ศึกหมอกควันข้ามแดน

เชียงรายผนึกกำลังเพื่อนบ้าน! ดับไฟป่า ลดหมอกควันข้ามพรมแดน

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงราย-บ่อแก้ว-ไซยะบูลี ผนึกกำลังเดินหน้าลดการเผา ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

เปิดกิจกรรม Kick Off ความร่วมมือไทย-ลาว แนวกันไฟชายแดน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Kick Off การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระหว่าง จังหวัดเชียงราย แขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยะบูลีแก่งผาได หมู่ 4 บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ในพิธีเปิดมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนจากทั้ง สปป.ลาว และจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดทำแนวกันไฟบริเวณแนวชายแดนไทย-ลาวแล้ว ยังมีการรณรงค์ ลดการเผาในแปลงเกษตรและพื้นที่ป่า ในหมู่บ้านแนวเขตชายแดนของอำเภอเวียงแก่น

เวทีหารือไทย-ลาว-เมียนมา เดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดน

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม Kick Off คณะผู้บริหารจากไทยและลาวได้เข้าร่วมการประชุมหารือเรื่อง การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและ PM2.5โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม

เชียงราย-บ่อแก้ว จับมือป้องกันไฟป่าลุกลามข้ามพรมแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น หนึ่งในพื้นที่วิกฤติหมอกควันและไฟป่าของภาคเหนือ เนื่องจากมีการเผาป่าและการเตรียมพื้นที่การเกษตรในช่วงหน้าแล้ง ประกอบกับ พรมแดนติดกับ สปป.ลาว และเมียนมา ทำให้มลพิษจากหมอกควันข้ามแดนรุนแรงขึ้นและควบคุมได้ยาก

ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายและแขวงบ่อแก้วมีความร่วมมือที่ดีในการรับมือกับไฟป่าและหมอกควัน และกิจกรรม Kick Off ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ ยกระดับความร่วมมืออย่างจริงจัง ระหว่างสองฝ่ายในฐานะเมืองคู่ขนาน โดยเน้นการ ปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาหมอกควันข้ามแดนในระยะยาว

แขวงไซยะบูลีร่วมผลักดันแนวทางป้องกันมลพิษอากาศ

นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว กล่าวว่า แขวงบ่อแก้วและจังหวัดเชียงราย มีความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการรับมือกับ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยการทำงานร่วมกันในลักษณะ พหุภาคีไทย-ลาว-เมียนมา จะช่วยให้สามารถ ลดการเผา และควบคุมไฟป่าข้ามแดน ได้ดียิ่งขึ้น

ด้าน นายสมจิด จันทะวง รองเจ้าแขวงไซยะบูลี กล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ให้ร่วมมือกันลดการเผาเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมย้ำว่า แขวงไซยะบูลีซึ่งมีชายแดนติดกับไทยหลายจังหวัด ต้องการความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับฝ่ายไทยในการรณรงค์ลดมลพิษหมอกควัน

เวียงแก่นต้นแบบความร่วมมือชายแดน ลดการเผาเพื่อสิ่งแวดล้อม

นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อำเภอเวียงแก่นในฐานะเมืองคู่ขนานของไทยและลาว ได้ดำเนินการตามนโยบายของ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาโดยตลอด

กิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่:

  • การปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างแนวกำแพงป้องกันหมอกควัน
  • การสร้างแนวกันไฟตามแนวเขตชายแดน ลดการลุกลามของไฟป่า
  • การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทยและลาว

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยชี้ไทย-ลาวเดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดนเป็นรูปธรรม

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สถาบันฯ ได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุน การลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกับจังหวัดเชียงราย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือทั้งในระดับ นโยบายและระดับพื้นที่

โมเดลแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็น ต้นแบบของแนวทางการลดเผาในภาคเกษตร ซึ่ง สปป.ลาว ได้นำไปปรับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การดำเนินงานนี้จะช่วยสร้างแนวปฏิบัติที่ดีและช่วยให้การลดมลพิษทางอากาศเกิดผลเป็นรูปธรรม

สรุป

การประชุมและกิจกรรม Kick Off ระหว่าง ไทย-ลาว-เมียนมา ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการ ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เพื่อ ป้องกันและลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการ ลดการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและผู้นำจากแขวงบ่อแก้ว และไซยะบูลี ต่างให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าความร่วมมือต่อไป เพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุม ไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความร่วมมือด้านการศึกษา

ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน ม.แม่ฟ้าหลวงจัดประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาสานต่อความร่วมมือ

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 กระชับความสัมพันธ์ 50 ปีไทย-จีน

ไทย-ยูนนาน เดินหน้าพัฒนาการศึกษาร่วมกัน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) ที่ ห้องประชุมคำมอกหลวง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัด การประชุมความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-ยูนนาน ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “The Way Forward: Shaping the Future Thai-Yunnan Education” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและมณฑลยูนนาน ผู้แทนจากกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กรมการศึกษามณฑลยูนนาน และสื่อมวลชน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชื่อมโยงไทย-ยูนนาน

ผศ.ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชียงรายเป็น ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมายาวนาน แม้ว่าปีนี้จะเป็นโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงรายและยูนนานนั้นมีความลึกซึ้งในระดับพี่น้อง

ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนในการจัดตั้ง สถาบันขงจื่อ และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร รวมถึงความร่วมมือด้าน การวิจัยเกี่ยวกับเห็ดรา สมุนไพร และชา-กาแฟ ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของยูนนาน ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

เชียงราย-ยูนนาน เมืองพี่เมืองน้อง มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและมณฑลยูนนานมี ความสัมพันธ์ฉันท์เมืองพี่เมืองน้อง มีความร่วมมือในด้าน เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม โดยเฉพาะ การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ นักวิชาการจากทั้งสองประเทศ จะได้ร่วมกัน สร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยและจีนให้มีศักยภาพสู่ระดับสากล

จีนย้ำ! การศึกษาเป็นรากฐานสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืน

Mr. Tang Jiahua เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุนหมิง กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อ สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการวิจัย

รวมถึงการจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการร่วมระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

5 ประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้

การประชุมได้แบ่งการหารือออกเป็น 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่:

  1. นโยบายและทิศทางความร่วมมือด้านการศึกษา
  2. การพัฒนาที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
  3. การแพทย์และสาธารณสุข
  4. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  5. ภาษาและวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ยังมีการ ปาฐกถาพิเศษ โดย ศาสตราจารย์ ดร.วันชัย ศิริชนะ นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ นายหยิน เสียงหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน มหาวิทยาลัยการแพทย์คุนหมิง

กิจกรรมเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการ

ผู้เข้าร่วมประชุมยังได้ เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมสมุนไพร ศูนย์เครื่องสำอาง SMEs โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและความร่วมมือในอนาคต

รวมถึงมี เสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “The Value of Thai-Chinese Education Cooperation in Advancing Human Capacity Development and Shared Growth” โดยมี ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และสมาคมนักศึกษาจีนในประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการเติบโตอย่างยั่งยืน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง: ศูนย์กลางความร่วมมือไทย-จีน

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงทำหน้าที่เป็น สะพานเชื่อมความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างไทยและจีน ผ่าน โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการวิจัยร่วมกัน โดยการประชุมครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาส ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นการ วางรากฐานความร่วมมือด้านการศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดศูนย์บัญชาการ สู้ศึกหมอกควัน PM2.5

เชียงรายลั่น! เอาผิดคนเผาป่า เข้มมาตรการ PM2.5

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เดินหน้าคุมเข้มมาตรการลดปัญหามลพิษ

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงรายอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กองทัพ และภาคประชาสังคมเข้าร่วม

ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างเป็นระบบ โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาชน เน้น การบัญชาการ วางแผน และติดตามมาตรการควบคุมหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37, กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานอื่น ๆ ประจำการตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แนวทางแก้ปัญหา PM2.5 และการบังคับใช้กฎหมาย

นายชรินทร์ ทองสุข เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมแหล่งกำเนิดหมอกควันไฟป่า โดยชี้ว่าปัญหา PM2.5 ไม่ได้เกิดจากจุดความร้อนของไฟป่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่น เช่น ควันดำจากยานพาหนะ และฝุ่นละอองจากพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายจะใช้มาตรการเข้มข้นในการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยมี แนวทางป้องกันที่ชัดเจน ดังนี้:

  • เพิ่มมาตรการตรวจจับการเผาในที่โล่ง โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและโดรนตรวจการณ์
  • ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของ PM2.5 ผ่านช่องทางต่าง ๆ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผา

คนเผาต้องได้รับผลจากการกระทำ เช่น การดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือการตัดสิทธิ์จากการรับบริการภาครัฐ” นายชรินทร์กล่าว พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา”

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ มาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เมือง โดยใช้ 3 ช่วงเวลาหลัก เพื่อควบคุมสถานการณ์หมอกควัน:

  1. ช่วงที่ 1: ห้ามเผาในที่โล่งตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมจะได้รับอนุญาต เฉพาะการบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
  2. ช่วงที่ 2: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นช่วงบังคับใช้มาตรการ ห้ามเผาอย่างเด็ดขาด โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงที่ 3: หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีการติดตามและประเมินผลมาตรการ รวมถึงกำหนดแนวทางระยะยาวในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน

เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน ศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้เปิด สายด่วนรับแจ้งเหตุเผาในพื้นที่ หมายเลข 053-602547 โดยมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควัน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน เราต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่า หมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นภัยที่กระทบต่อสุขภาพของทุกคน”

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับ กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ความรู้เรื่องการจัดการเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการนำเศษพืชมาใช้เป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวล ลดการเผาทำลาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษในระยะยาว

สรุป

จังหวัดเชียงรายเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟป่าและหมอกควันอย่างจริงจัง โดยใช้ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” ควบคุมการเผา พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุเผาผ่านสายด่วน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมั่นใจว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จังหวัดเชียงรายจะสามารถลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายระทึก ซิปไลน์ขาด คนงานตกกระแทกพื้นดับ

ซิปไลน์มรณะ! เชียงรายสลิงขาด คนงานดับ 1 เจ็บ 3

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เกิดอุบัติเหตุมีผู้ตกจากเครื่องเล่น โหนสลิง (ซิปไลน์) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย ในพื้นที่บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

อุบัติเหตุซิปไลน์ที่แม่สรวย เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 ราย

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 อำเภอแม่สรวย ได้รับแจ้งเหตุจาก ผู้ใหญ่บ้านแสนเจริญ ว่ามีผู้ตกจากเครื่องเล่นซิปไลน์ในพื้นที่ บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 ตำบลวาวี เวลาประมาณ 14.15 น. ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย และต่อมามีผู้เสียชีวิต 1 ราย

นายอำเภอแม่สรวย ได้มอบหมายให้ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่า เสายึดสายสลิงโค่นล้มลง ทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะมีการติดตั้งและทดสอบระบบซิปไลน์

รายละเอียดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

รายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

  1. นายวัชระ (ขอสงวนนามสกุล) – บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแม่สรวย
  2. นายวราวุธ (ขอสงวนนามสกุล) – ฟันหน้าหัก มีแผลฉีกขาดที่แขนซ้ายและใต้คาง
  3. นายกฤษฎากร (ขอสงวนนามสกุล) – เจ็บหน้าอกด้านซ้าย
  4. นายพิทวัส (ขอสงวนนามสกุล) – มีแผลถลอกบริเวณหน้าท้อง

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายตี๋ ผู้ดูแลเครื่องเล่นให้การว่า ขณะเกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บทั้ง 4 ราย กำลังทำหน้าที่ ติดตั้งและทดสอบสายสลิงซิปไลน์ โดย นายวัชระ ได้ทดสอบย้ายสายสลิง แต่ สายสลิงขาด ส่งผลให้เขาตกลงพื้นและได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ผู้บาดเจ็บอีก 3 รายอยู่บนเสายึดสลิงซึ่งโค่นล้มลง ทำให้ได้รับบาดเจ็บตามลำดับ

คำสั่งห้ามใช้เครื่องเล่น – เร่งสอบสวนหาสาเหตุ

หลังเกิดเหตุ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลวาวี ในฐานะ ผู้อำนวยการท้องถิ่น ตาม พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ออกคำสั่ง ห้ามใช้เครื่องเล่นซิปไลน์ดังกล่าว จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ

ขณะเดียวกัน ร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย ได้รับมอบหมายให้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมา

พบปัญหาก่อสร้างไม่ได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนเกิดเหตุ นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ นายวิทวัส ปาละจูม ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารเพื่อดำเนินกิจกรรมกลางแจ้ง Zipline ในพื้นที่บ้านแสนเจริญ หมู่ที่ 10 โดยมี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมตรวจสอบ ได้แก่:

  • สายตรวจปราบปรามกรมป่าไม้ (ชุดพยัคฆ์ไพร)
  • เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 3 (ภาคเหนือ)
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรแม่สรวย
  • เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลวาวี
  • ผู้ใหญ่บ้านบ้านแสนเจริญ

จากการตรวจสอบพบว่า โครงการซิปไลน์ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวเจ้าของกิจการอีก 2 รายเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

แนวทางป้องกันอุบัติเหตุซิปไลน์

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจสอบ มาตรฐานความปลอดภัยของกิจกรรมกลางแจ้ง ที่ต้องเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เคเบิลและโครงสร้างในพื้นที่สูง โดยมีแนวทางป้องกัน ดังนี้:

  1. ตรวจสอบอุปกรณ์และโครงสร้างอย่างเข้มงวด โดยต้องได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  2. ควบคุมคุณภาพการติดตั้งและซ่อมบำรุง ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านวิศวกรรม
  3. กำหนดมาตรการความปลอดภัย เช่น การกำหนดน้ำหนักผู้เล่น จำกัดจำนวนผู้เล่นต่อรอบ และใช้ระบบสายรัดที่มั่นคง
  4. กำหนดการอบรมเจ้าหน้าที่ดูแลซิปไลน์ เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป

อุบัติเหตุซิปไลน์ที่บ้านแสนเจริญ จังหวัดเชียงราย ส่งผลให้มี ผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย เบื้องต้นพบว่าเกิดจาก สายสลิงขาดและเสายึดสลิงโค่นล้ม ขณะมีการติดตั้งและทดสอบ เจ้าหน้าที่ได้ออกคำสั่งห้ามใช้เครื่องเล่นดังกล่าว และอยู่ระหว่างสอบสวนหาสาเหตุ รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของการก่อสร้างกิจการซิปไลน์ในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเน้นย้ำให้มีการตรวจสอบ มาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องเล่นซิปไลน์ทั่วประเทศ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ปิดฉากยิ่งใหญ่ เชียงรายเกมส์ ส่งต่อราชบุรีจัดกรีฑาสูงอายุ

เชียงรายเกมส์ปิดฉาก ราชบุรีรับธงจัดกรีฑาสูงอายุครั้งต่อไป

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 “นครเชียงรายเกมส์” ได้รับการจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีการส่งต่อหน้าที่เจ้าภาพให้แก่ จังหวัดราชบุรี ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันในปีถัดไป

เชียงรายปิดฉาก “นครเชียงรายเกมส์” เตรียมส่งไม้ต่อราชบุรี

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ณ จังหวัดเชียงราย การแข่งขันนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานกรีฑาสูงอายุของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้ประชากรทุกวัยหันมาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

พิธีปิดมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมมากมาย อาทิ นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย, นายสินาด รุ่งจรูญ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดราชบุรี ตลอดจนคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ นักกีฬา และสื่อมวลชน

ประกาศรางวัลนักกีฬาและทีมยอดเยี่ยม

รางวัลนักกีฬาต้นแบบสุขภาพ (สสส.)

  • ชาย: พ.อ.นิพนธ์ สุดใจธรรม (ทีมลำปาง)
  • หญิง: นางกัลยา แก้วประเสริฐ (ทีมลำปาง)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม

  • ชาย: นายดี ใจจุมปา (รุ่นอายุ 95 – 99 ปี) ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย ได้ 6 เหรียญทอง และทำลายสถิติประเทศไทยในรายการ 400 เมตร
  • หญิง: นางสมสง่า บุญนอก (รุ่นอายุ 70-74 ปี) ทีมหนองบัวลำภู ได้ 7 เหรียญทอง ทำลาย สถิติเอเชีย 2 รายการ (กระโดดสูงและกระโดดไกล) และ สถิติประเทศไทย 3 รายการ (วิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, เขย่งก้าวกระโดด)

รางวัลประเภททีม

  • ผู้บริหารทีมกีฬาดีเด่น: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมชนะเลิศคะแนนรวม: อบจ.สงขลา (ทอง 74, เงิน 67, ทองแดง 58)
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: อบจ.นครศรีธรรมราช (ทอง 48, เงิน 49, ทองแดง 39)
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย (ทอง 25, เงิน 15, ทองแดง 17)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 1: ทีมชลบุรี (ทอง 24, เงิน 19, ทองแดง 9)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 2: ทีมจังหวัดหนองบัวลำภู (ทอง 17, เงิน 2, ทองแดง 4)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 3: ทีมจังหวัดนครราชสีมา (ทอง 14, เงิน 13, ทองแดง 5)
  • 1st International Team Total Score for TMAC: TEAM MALAYSIA

เชียงรายส่งต่อเจ้าภาพให้ราชบุรี เตรียมสู้ศึกปี 2569

หลังจากการแข่งขันที่เชียงรายประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะจัดขึ้นที่ จังหวัดราชบุรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสานต่อความสำเร็จและพัฒนาวงการกรีฑาสูงอายุไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

นครเชียงรายเกมส์” ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงในทุกช่วงวัย” – นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ กล่าว

การแข่งขันกรีฑาสูงอายุไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับนักกีฬา แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนทุกช่วงวัยให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ

ราชบุรีเตรียมพร้อมรับเป็นเจ้าภาพในปีหน้า การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาวงการกีฬาไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมียนมาซัด แกนนำกบดานไทย จีนเดินเกมหนัก

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์! จีน-เมียนมาประสานงาน ไทยมีเอี่ยว?

เนปีดอว์ เมียนมา, 16 กุมภาพันธ์ 2568  – กระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นำโดย พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกับ H.E. Ms. Ma Jia เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ กรุงเนปีดอว์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ประสบปัญหาในเมียนมา

จีน-เมียนมา ผนึกกำลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเมือง เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางป้องกันและปราบปราม รวมถึงการช่วยเหลือชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเขตเมือง ไหย รัฐฉานตอนเหนือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งบางส่วนเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว

แกนนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังลอยนวลในไทย

แหล่งข่าวจากเมียนมาเปิดเผยว่า แม้การกวาดล้างจะเดินหน้าเต็มที่ แต่แกนนำระดับสูงของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังคงหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดย นายหม่องชิต ตู่ หัวหน้า BGF กะเหรี่ยงของเมียนมา เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง จีน-เมียนมา-ไทย เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติให้สิ้นซาก

จีนเสนอประชุม 3 ชาติ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเสนอให้มีการประชุมระดับสูง ระหว่าง จีน เมียนมา และไทย โดยเน้นความร่วมมือด้านข่าวกรอง การจับกุมผู้ต้องหา และการส่งตัวข้ามแดน การประชุมดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วม ได้แก่ พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อู ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ

ทางการไทยจะตอบสนองอย่างไร?

ขณะที่จีนและเมียนมาเดินหน้าเต็มที่ในการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ต่อการดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เมียนมาอ้างว่ายังซ่อนตัวอยู่ในไทย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สื่อเมียนมาเปิดเผยหลักฐานว่านายทุนจีนบางรายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังพิเศษ เพื่อเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา

ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ – กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้หารือเกี่ยวกับ ขั้นตอนการส่งตัวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันทางการเมียนมาได้รวบรวมรายชื่อชาวจีนที่พำนักในเมือง ชเวก๊กโก่ และเตรียมส่งตัวผ่านประเทศไทย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยทั้ง เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF เมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองชเวก๊กโก่ สามารถรวบรวมชาวจีนได้ ประมาณ 1,000 คน โดยกว่าครึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทางการจีนต้องการตัว

จีนเตรียมลำเลียงชาวจีนกลับประเทศทางแม่สอด

นายหลิว จงอี้ ได้ตรวจสอบกระบวนการส่งตัวอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า ทางการจีนจะใช้วิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 โดยจะส่งเครื่องบินมารับผู้ต้องสงสัยที่ท่าอากาศยานแม่สอด และทยอยลำเลียงกลับประเทศจีน คาดว่า สามารถส่งตัวได้สูงสุด 500 คนต่อวัน

บทสรุป

การหารือระหว่างเมียนมาและจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ กวาดล้างขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ขณะที่ทางการเมียนมายืนยันว่ามี แกนนำบางส่วนยังซ่อนตัวในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ การประชุมระดับสูงของ จีน-เมียนมา-ไทย ที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน เพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คุมไฟป่าห้วยบงใต้ นายอำเภอพานลงพื้นที่ สั่งเฝ้าระวังเข้ม

ดับไฟป่าห้วยบงใต้! เชียงรายเร่งป้องกันไฟป่าต่อเนื่อง

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พบจุดความร้อนบริเวณบ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ขณะที่นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการให้ผู้นำชุมชนประชาสัมพันธ์และตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามประชาชนเข้าไปในเขตอุทยานเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าซ้ำ

พบจุดความร้อนจากดาวเทียมและมาตรการเข้าควบคุมไฟป่า

ศูนย์เฝ้าระวังไฟป่ารายงานว่า จุดความร้อน (Hotspot) ถูกตรวจพบผ่านดาวเทียม Suomi NPP (ระบบ VIIRS) เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 02.26 น. โดยพบ 2 จุดในพื้นที่บ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จาก สถานีควบคุมไฟป่าแม่ปืม นำโดยนายสรายุทธ แก้วเสน หัวหน้าสถานี ได้ระดมกำลังพลจำนวน 8 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก จุดเฝ้าระวัง มป.11ก จำนวน 3 นาย ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการควบคุมเพลิง และสามารถดับไฟได้สำเร็จภายในเวลา 11.30 น.

ความเสียหายและผลกระทบ

จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า มีความเสียหายโดยประมาณ 70 ไร่ โดยสาเหตุของไฟป่ายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือสภาพอากาศแห้งแล้งที่ทำให้เชื้อไฟสะสมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุที่แน่ชัด

นายอำเภอพานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และกำชับมาตรการป้องกัน

เวลา 12.00 น. นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้เดินทางไปยังจุดเฝ้าระวังบ้านห้วยบงใต้เพื่อติดตามสถานการณ์ และสั่งการให้ผู้นำชุมชน ทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่บ้าน ในพื้นที่ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายของไฟป่า รวมถึงกำชับไม่ให้มีการเผาป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์

นายสุรเชษฐ์ยังเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองท้องที่ อบต.ทานตะวัน และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในแนวทางการป้องกันไฟป่า พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

มาตรการระยะยาวป้องกันไฟป่า

นายอำเภอพานกล่าวว่า ไฟป่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในช่วงฤดูแล้ง และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจึงมีมาตรการป้องกันและรับมือกับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดำเนินงานใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน – ใช้ระบบดาวเทียมติดตามจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ และเพิ่มจุดตรวจตราภาคพื้นดิน
  2. มาตรการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน – ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของไฟป่า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการป้องกัน
  3. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย – ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุของไฟป่า

ผลกระทบและการตอบสนองของชุมชน

ไฟป่าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคุณภาพอากาศและระบบนิเวศของป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม อย่างไรก็ตาม การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสหากพบเหตุผิดปกติ

สรุป

ไฟป่าบริเวณบ้านห้วยบงใต้ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกตรวจพบเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความเสียหายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุ นายอำเภอพานลงพื้นที่กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาไฟป่า รวมถึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานป้องกันไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พรรคประชาชน คิกออฟ “อบจ.ลำพูน” เปิดเวที “ทาวน์ฮอลล์”

ลำพูนเปิดทาวน์ฮอลล์! ฟังความเห็นชาวบ้าน พัฒนาเมือง

ลำพูน, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พรรคประชาชนเดินหน้าสานต่อแผนพัฒนาลำพูน ด้วยการจัดงาน “หละปูนเมือง หละปูนม่วน จวนกั๋นสร้าง” ทาวน์ฮอลล์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาจังหวัดให้เติบโตอย่างยั่งยืน งานจัดขึ้นที่โรงแรมแกรนด์ปา อำเภอเมืองลำพูน นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และวีระเดช ภู่พิสิฐ ว่าที่นายก อบจ.ลำพูน มีประชาชนจากทั่วจังหวัดเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

รับฟังปัญหาประชาชนผ่านทาวน์ฮอลล์

ณัฐพงษ์กล่าวขอบคุณชาวลำพูนที่ไว้วางใจให้พรรคประชาชนเข้ามาบริหารจังหวัด และให้คำมั่นว่าการบริหาร อบจ. จะเน้นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ประชาชน โดยแม้ลำพูนจะมีงบประมาณจำกัดเพียง 550 ล้านบาทต่อปี อบจ.สามารถดำเนินนโยบายที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิต เช่น

  • การสร้างสนามกีฬากลางจังหวัด เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชนทุกวัย
  • พัฒนาระบบ telemedicine หรือ “หมอตู้” เพื่อช่วยให้พื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์
  • ยกระดับคุณภาพน้ำประปา เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดใช้เพียงพอ
  • ปรับปรุงคุณภาพโรงเรียน อบจ. ให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมในจังหวัด
  • พัฒนาระบบรับเรื่องร้องเรียนออนไลน์และ e-service เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน

แนวคิด “เดิน 3 จริง” ของว่าที่นายก อบจ.

วีระเดชกล่าวว่า การสร้างลำพูนให้น่าอยู่ไม่สามารถทำได้โดยลำพังคนเดียว จึงต้องอาศัยแนวทาง “เดิน 3 จริง” ได้แก่

  1. ประชาชนจริง – รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยตรง
  2. พื้นที่จริง – ลงพื้นที่สำรวจปัญหาในสถานที่จริง
  3. สถานการณ์จริง – วิเคราะห์ปัญหาจากสถานการณ์จริง ไม่มีการสร้างภาพ

“ผมจะไม่ทำงานในห้องแอร์เพียงอย่างเดียว แต่จะลงพื้นที่พบประชาชนในสถานการณ์จริง ไม่มีพิธีรีตองหรือการจัดฉาก เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างตรงจุด” วีระเดชกล่าว

เกมประชาบุรี: ประชาชนร่วมออกแบบงบประมาณ

หนึ่งในกิจกรรมสำคัญของงานคือ ประชาบุรี” เกมจำลองการตัดสินใจใช้งบประมาณ 77 ล้านบาทของ อบจ.ลำพูน โดยประชาชนสามารถเลือกแนวทางการพัฒนาจังหวัดในด้านต่าง ๆ เช่น:

  • การสร้างระบบขนส่งมวลชนที่ทั่วถึง
  • การเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
  • การพัฒนาโรงเรียนและคุณภาพการศึกษา
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • การสร้างลานกีฬาและพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง
  • การเพิ่มบริการ e-service บนเว็บไซต์ อบจ.

นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งกลุ่มระดมสมองในประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชน ได้แก่:

  1. ระบบขนส่งมวลชนที่ทั่วถึงทั้งจังหวัด
  2. การศึกษาและการพัฒนาโรงเรียน
  3. ระบบสาธารณสุข และการดูแลผู้สูงอายุ
  4. การรับมือกับภัยพิบัติ ไฟป่า น้ำท่วม น้ำแล้ง และ PM2.5
  5. การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการส่งเสริมการท่องเที่ยว
  6. การเกษตรก้าวหน้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร

แนวทางพัฒนาลำพูนที่ประชาชนต้องการ

ผลการระดมสมองชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ การพัฒนาเศรษฐกิจและการค้า เป็นลำดับแรก รองลงมาคือ การพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เนื่องจากลำพูนมีประชากรสูงวัยจำนวนมาก และหลายพื้นที่อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล ทำให้มีความต้องการ telemedicine เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น

สรุป

พรรคประชาชนตั้งเป้าพัฒนา ลำพูนให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ผ่านการบริหารที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากประชาชน ด้วยหลัก เดิน 3 จริง” และมาตรการพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มคน หากดำเนินโครงการเหล่านี้ได้สำเร็จ ลำพูนจะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า อบจ.ที่มีประสิทธิภาพสามารถพลิกโฉมจังหวัดให้เจริญก้าวหน้าได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรคประชาชน – People’s Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News