Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำท่วมหนัก ประปาเริ่มจ่ายน้ำช่วยเหลือประชาชน

แม่สายฟื้นตัวจากอุทกภัย: การประปาฯ และหน่วยงานท้องถิ่นระดมช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย ที่เริ่มทยอยจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมความหวังที่ชุมชนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การระดมกำลังจากกรมทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และหน่วยงานในพื้นที่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาความเดือดร้อนและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในยามวิกฤต

ฝนกระหน่ำและสายน้ำที่โหมกระพือ

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนาที่ยังคงเทน้ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านปิยะพร และชุมชนใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มสังเกตเห็นระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำ รวมถึงในฝั่งเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายรับน้ำปริมาณมหาศาลจนเกินกว่าพนังกั้นน้ำจะรับไหว ไม่นาน น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมถนน พื้นที่ลุ่มต่ำ และบ้านเรือนของประชาชนอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อน้ำท่วมขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตลาดสายลมจอย และบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและตะกอนโคลนที่ไหลเข้าปิดกั้นระบบ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายต้องหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว เนื่องจากน้ำดิบมีความขุ่นสูงเกินกว่าที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้ ความหวังของประชาชนในพื้นที่เริ่มริบหรี่ ขณะที่หลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากแม่น้ำสาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักและน้ำจากลุ่มน้ำในเมียนมาไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเร่งหาทางแก้ไขเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน

การระดมกำลังช่วยเหลือและฟื้นฟู

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มรุนแรง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายและระดับชาติไม่รอช้าที่จะลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือทันที กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้การนำของนายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จัดเตรียมเครื่องจักรและกำลังพลเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สาย โดยนายนิทัศน์ สุดดีพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 มอบหมายให้นายศิริศักดิ์ เกษารัตน์ ผู้อำนวยการส่วนการจัดสรรน้ำที่ 1 ลำปาง นำทีมเจ้าหน้าที่ 15 คน พร้อมเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 2 ชุด เครื่องสูบน้ำขนาด 3 นิ้ว 3 ชุด และรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดวิกฤต เช่น ตลาดสายลมจอย ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่

ในขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ระดมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมทีมงาน นำกระสอบทราย 9,000 ใบ รถบรรทุกน้ำ 4 คัน รวมถึงรถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำได้ 12,000 ลิตร และเครื่องสูบน้ำ 4 ชุด เข้าสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ อบจ.เชียงรายยังส่งรถไถ 1 คัน เพื่อช่วยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางในพื้นที่น้ำท่วม

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชน ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูระบบน้ำประปา หลังจากน้ำดิบในแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงจนไม่สามารถผลิตน้ำได้ในช่วงแรก เมื่อสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายและค่าความขุ่นลดลง ทีมงานของ กปภ.สาขาแม่สายสามารถเริ่มผลิตน้ำได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 และทยอยจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบท่อตั้งแต่เวลา 18.40 น. โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน กปภ.สาขาแม่สายออกแถลงการณ์ขออภัยในความไม่สะดวกและยืนยันความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูการให้บริการโดยเร็วที่สุด

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ร่วมกับนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ และทีมงาน พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินพนังกั้นน้ำ ส่งผลให้น้ำล้นผ่านกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กที่กั้นไว้ใต้สะพาน ไหลเข้าท่วมชุมชนริมน้ำอย่างรวดเร็ว ผู้ว่าฯ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารและแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว เทศบาลตำบลแม่สายได้รับการสนับสนุนกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจาก อบจ.เชียงราย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชน ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำเตรียมประสานงานกับหน่วยงานข้ามพรมแดนในเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสายและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

ความหวังและการฟื้นตัวของชุมชน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในอำเภอแม่สายเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลง หลังจากฝนหยุดตกและเครื่องสูบน้ำทำงานอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น บ้านปิยะพร และพื้นที่ใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มเห็นน้ำลดลงจากถนนและบ้านเรือน การกลับมาของระบบน้ำประปาจาก กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟื้นตัว

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย เช่น รถบรรทุกน้ำและกระสอบทราย ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “เราจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ภัยพิบัติ และจะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อให้แม่สายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะยาว หน่วยงานต่างๆ มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น การเสริมพนังกั้นน้ำและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ นอกจากนี้ ชุมชนในแม่สายจะได้รับการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอย เพื่อให้สามารถกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การระดมเครื่องจักร กำลังพล และทรัพยากรจากกรมทรัพยากรน้ำ อบจ.เชียงราย และ กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยลดผลกระทบและเร่งการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชน สร้างความเข้มแข็งในการรับมือภัยพิบัติ
  3. การฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค การกลับมาของน้ำประปาภายใน 24 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแสดงถึงความพร้อมของ กปภ.สาขาแม่สายในการจัดการวิกฤต
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลและสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ไม่เพียงพอ พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กไม่สามารถต้านทานน้ำปริมาณมากได้ แสดงถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
  2. การพึ่งพาน้ำจากลุ่มน้ำข้ามพรมแดนnน้ำท่วมส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกหนักในเมียนมา ซึ่งต้องมีการประสานงานข้ามชาติเพื่อบริหารจัดการน้ำ
  3. ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำสายยังคงเสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องมีการยกระดับที่อยู่อาศัยและวางแผนผังเมืองใหม่
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะสั้น

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • ลงทุนในโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม สร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำที่ทนทาน และขุดลอกลำน้ำเพื่อเพิ่มความจุน้ำ
  • พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแจ้งเตือนน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวได้ทันท่วงที
  • ประสานงานข้ามพรมแดน สร้างความร่วมมือกับเมียนมาในการบริหารจัดการลุ่มน้ำสาย เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการและให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในแม่สาย
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในอำเภอแม่สายส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอยและชุมชนริมน้ำ
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าไทย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย.
  3. การสนับสนุนจากหน่วยงาน
    • ในปี 2567 หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลใช้เครื่องสูบน้ำกว่า 50 ชุดและกระสอบทรายกว่า 100,000 ใบในการจัดการน้ำท่วมทั่วภาคเหนือ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดกลางเวียงจัดงานเดือน 8 เข้า 9 ออก เชียงราย

วัดกลางเวียงจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ฟื้นฟูรากเหง้าวัฒนธรรม สร้างความสามัคคีชุมชนเชียงราย

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 เพื่อฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นอันเก่าแก่ที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงราย พร้อมส่งเสริมความสามัคคีในชุมชนและอนุรักษ์อัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป งานนี้ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาร่วมสัมผัสคุณค่าสืบสานรากเหง้าวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของเมืองเชียงราย

รากเหง้าที่ถูกลืมของสะดือเมืองเชียงราย

ในใจกลางเมืองเชียงราย วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของชุมชนมานานหลายศตวรรษ วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “สะดือเมืองเชียงราย” หรือเสาหลักเมือง ซึ่งชาวบ้านในอดีตเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อท้องถิ่น การบูชาสะดือเมืองด้วยการถวายขันดอกและประกอบพิธีกรรมในช่วง “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” (ตามปฏิทินล้านนา) เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมือง และเป็นโอกาสให้ชุมชนมารวมตัวกันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นสิริมงคล

ประเพณีนี้เคยเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตชาวเชียงราย โดยชาวบ้านจะนำขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด ธูป เทียน และเครื่องบูชามาถวายที่เสาสะดือเมือง พร้อมประกอบพิธีทางพุทธศาสนาและการแสดงศิลปะพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเพณีนี้ค่อยๆ เลือนหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากความวุ่นวายในสังคมและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน การขาดการสืบทอดทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับประเพณีนี้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าของผู้สูงวัยในชุมชน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชนในย่านเมืองเก่าเชียงรายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือจากวัดกลางเวียง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และกลุ่มผู้นำชุมชน จึงเกิดแนวคิดที่จะฟื้นฟูประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมโบราณ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่วัดกลางเวียง

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. วัดกลางเวียงได้เนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและความสามัคคี ด้วยการจัดพิธีเปิดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีอัญเชิญขันหลวงเข้าสู่หลักเมือง โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาร่วมงานอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อยและความศรัทธา ขณะที่กลิ่นหอมของดอกไม้และควันธูปลอยอบอวลทั่วบริเวณ

พิธีเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์โดยพระสงฆ์จากวัดกลางเวียง เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามด้วยขบวนอัญเชิญขันหลวง ซึ่งประดับด้วยดอกบัว ดอกมะลิ และดอกดาวเรืองอย่างงดงาม ขบวนนี้ประกอบด้วยกลุ่มชาวบ้านที่แต่งกายด้วยชุดล้านนาแบบดั้งเดิม เดินจากหน้าวัดไปยังเสาสะดือเมืองท่ามกลางเสียงดนตรีพื้นเมืองที่ขับกล่อม นายวันชัยได้นำพุทธศาสนิกชนถวายขันดอกและเครื่องบูชา พร้อมจุดธูปเทียนเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางจิตวิญญาณ

งานประเพณีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00–24.00 น. โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและความสามัคคีในชุมชน ได้แก่:

  • การใส่ขันดอก: ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถร่วมถวายขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด เพื่อบูชาเสาสะดือเมือง โดยมีมัคทายกคอยให้คำแนะนำ
  • พิธีกรรมทางศาสนา: การสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ และการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล
  • การแสดงศิลปะพื้นบ้าน: การแสดงฟ้อนล้านนา รำวงย้อนยุค และการบรรเลงดนตรีพื้นเมือง เช่น ซอและสะล้อ โดยเยาวชนและศิลปินท้องถิ่น
  • ตลาดวัฒนธรรม: ตลาดนัดที่จำหน่ายอาหารพื้นเมือง งานหัตถกรรม และผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • นิทรรศการประวัติศาสตร์: การจัดแสดงเรื่องราวของสะดือเมืองและประวัติศาสตร์วัดกลางเวียง เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความสำคัญของประเพณี

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวในพิธีเปิดว่า “การฟื้นฟูประเพณี ‘เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก’ ไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิء แต่ยังเป็นการจุดประกายให้คนเชียงรายตระหนักถึงคุณค่าของรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความสามัคคีในชุมชน เราหวังว่างานนี้จะเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ และส่งเสริมให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

นอกจากนี้ งานยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งจัดอบรมเยาวชนในชุมชนให้เรียนรู้การทำขันดอกและการแสดงศิลปะพื้นบ้านก่อนวันงาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัดเชียงราย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงราย ก็เข้ามาสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรม

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

งานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ได้นำความคึกคักและรอยยิ้มกลับคืนสู่ย่านเมืองเก่าเชียงราย ชาวบ้านที่เข้าร่วมงานแสดงความดีใจที่ได้เห็นประเพณีเก่าแก่ฟื้นคืนชีพ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่เคยมีส่วนร่วมในพิธีเมื่อหลายสิบปีก่อน นางสาวลำดวน สุวรรณวงศ์ อายุ 72 ปี ชาวบ้านในชุมชนวัดกลางเวียง กล่าวว่า “เมื่อก่อนงานนี้เป็นที่รวมใจของคนทั้งเมือง การได้เห็นขบวนขันดอกและการแสดงของเด็กๆ วันนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็ก รู้สึกภูมิใจที่ลูกหลานยังสานต่อสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดเราทำมา”

นักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานก็ประทับใจกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมล้านนา นายจอห์น สมิธ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ กล่าวว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับความสวยงามของขันดอกและความหมายของพิธีนี้ มันทำให้ผมเข้าใจประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของเชียงรายมากขึ้น” การมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะร้านค้าอาหารและงานหัตถกรรมในตลาดวัฒนธรรม ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวันงาน

การแสดงของเยาวชนในชุมชน เช่น การฟ้อนล้านนาและการเล่นดนตรีพื้นเมือง ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงาน สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ยังช่วยให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่เข้าใจความสำคัญของสะดือเมืองและประเพณีนี้มากขึ้น โดยโรงเรียนในชุมชนได้นำนักเรียนมาร่วมเรียนรู้และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการวาดภาพและเขียนเรียงความ

ในระยะยาว วัดกลางเวียงและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนจัดงานประเพณีนี้เป็นประจำทุกปี พร้อมพัฒนากิจกรรมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การจัดเวิร์กช็อปศิลปะล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในย่านเมืองเก่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของงานในครั้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ ในเชียงรายเริ่มฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นของตนเอง เพื่อรักษาอัตลักษณ์และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูวัฒนธรรม การรื้อฟื้นประเพณีที่หายไปนานกว่า 70 ปีช่วยเชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. ความสามัคคีในชุมชน การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และเยาวชนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน
  3. การส่งเสริมการท่องเที่ยว การดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่า
  4. การส่งต่อภูมิปัญญา การอบรมเยาวชนและการจัดนิทรรศการช่วยให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม การจัดงานยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. การขาดความรู้ในหมู่คนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่บางส่วนยังขาดความเข้าใจในความหมายของประเพณี ซึ่งอาจทำให้การสืบทอดขาดความต่อเนื่อง
  2. ข้อจำกัดด้านงบประมาณ การจัดงานขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น
  3. การแข่งขันกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ การดึงดูดเยาวชนให้สนใจประเพณีท้องถิ่นท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่เป็นเรื่องท้าทาย
  4. การประชาสัมพันธ์ การโปรโมตงานไปยังนักท่องเที่ยวในวงกว้างยังมีข้อจำกัด เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อระดับชาติและสื่อออนไลน์

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เพิ่มการศึกษาในชุมชน จัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมในโรงเรียนเพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีและมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • ระดมทุนจากภาคเอกชน ขอความสนับสนุนจากธุรกิจท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการจัดงาน
  • ใช้สื่อดิจิทัล สร้างแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  • พัฒนากิจกรรมที่หลากหลาย เพิ่มกิจกรรมที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ เช่น การแข่งขันศิลปะหรือการแสดงดนตรีผสมผสาน เพื่อให้งานมีความทันสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการฟื้นฟูประเพณีและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย:
    • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน โดย 30% เข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • แหล่งอ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย. (2567). รายงานสถิตินักท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย.
  2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานวัฒนธรรม
    • งานประเพณีท้องถิ่นในภาคเหนือสร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ย 10–15 ล้านบาทต่องาน โดยเฉพาะจากร้านค้าท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานประเพณีท้องถิ่น.
  3. การมีส่วนร่วมของเยาวชน
    • การจัดอบรมศิลปะพื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 1,200 คน เพิ่มการมีส่วนร่วมในงานวัฒนธรรมถึง 25%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการอบรมเยาวชนด้านศิลปวัฒนธรรม.
  4. จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย
    • จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งหมด 1,200 แห่ง โดย 10% เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น วัดกลางเวียง
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานข้อมูลวัดในจังหวัดเชียงราย.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • วัดกลางเวียง (จันทโลการาม)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกยังไม่ปลอดภัย สารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

วิกฤตสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกกยังไม่คลี่คลาย สสจ.เชียงรายยืนยันน้ำไม่ปลอดภัย ชุมชนหวั่นผลกระทบระยะยาว

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) ยืนยันว่าแหล่งน้ำเหล่านี้ยังไม่ปลอดภัยสำหรับการใช้งาน โดยสั่งห้ามประชาชนสัมผัสหรือใช้น้ำโดยตรง จนกว่าจะมีการยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่การเจรจากับแหล่งกำเนิดมลพิษข้ามพรมแดนยังคงไม่มีความคืบหน้าชัดเจน สร้างความไม่มั่นใจให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

สายน้ำแห่งชีวิตที่ถูกคุกคาม

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงรายมานานนับศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การประมง หรือการท่องเที่ยว ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเหล่านี้พึ่งพาทรัพยากรน้ำในการดำรงชีวิตและสร้างรายได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกก น้ำที่เคยใสสะอาดกลับขุ่นข้น และมีกลิ่นผิดปกติในบางช่วง ความกังวลเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่าสัตว์น้ำในแม่น้ำเริ่มตาย และชาวบ้านบางรายที่สัมผัสน้ำมีอาการผื่นคันและระคายเคือง

ความตื่นตระหนกทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เปิดเผยว่าพบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา สารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่มีพิษร้ายแรง สามารถสะสมในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น เช่น ผื่นคันและคลื่นไส้ และในระยะยาว เช่น โรคมะเร็งและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำเริ่มตั้งคำถามถึงสาเหตุของมลพิษ โดยหลายฝ่ายสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกก ซึ่งอยู่ในเขตประเทศเมียนมา

สถานการณ์นี้ไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างหนัก การท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น กิจกรรมล่องแพและนั่งช้างลุยน้ำ ต้องหยุดชะงัก เกษตรกรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเพาะปลูกเผชิญกับความเสี่ยงจากสารพิษตกค้างในผลผลิต และชาวประมงต้องหยุดจับปลาเนื่องจากไม่มีผู้ซื้อกล้าเสี่ยงบริโภค ความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชุมชน

การตรวจสอบและมาตรการรับมือของหน่วยงาน

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ยังคงมีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน และขอให้ประชาชนงดใช้น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้ในการอุปโภค บริโภค หรือสัมผัสโดยตรง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย การตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำโดย สคพ.1 ดำเนินการมาแล้ว 3 ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568 โดยเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา 15 จุด แม่น้ำสาย 3 จุด และแม่น้ำโขง 2 จุด ผลการตรวจพบว่าคุณภาพน้ำอยู่ในระดับ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” โดยบางจุดมีค่าความสกปรกจากสารอินทรีย์และแบคทีเรียเกินมาตรฐาน รวมถึงสารหนูที่เกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ระบบการผลิตน้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงรายยังคงปลอดภัยสำหรับการใช้งาน เนื่องจากมีการบำบัดน้ำอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำจากเดือนละครั้งเป็นสัปดาห์ละครั้ง และสำรวจรูปแบบการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

เพื่อรับมือกับวิกฤต สสจ.เชียงราย ร่วมกับเครือข่ายบริการสุขภาพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ได้จัดตั้งระบบเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยมีการตรวจสุขภาพอย่างใกล้ชิดและให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน คำแนะนำสำหรับประชาชนรวมถึงการหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำในการล้างผัก อาบน้ำ หรือให้สัตว์เลี้ยงดื่ม รวมถึงการงดจับหรือบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเสี่ยง

ในระดับชาติ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน โดยมีนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน คณะอนุกรรมการนี้มีภารกิจวิเคราะห์สาเหตุของมลพิษ กำหนดแนวทางแก้ไข และเจรจากับหน่วยงานในประเทศเมียนมาเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ การประชุมครั้งแรกของคณะอนุกรรมการมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล

หนึ่งในมาตรการที่ได้รับความสนใจคือการสำรวจพื้นที่เพื่อสร้าง “ฝายดักตะกอน” ในลำน้ำฝางและแม่น้ำกก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ของศูนย์เทคโนโลยีอากาศ (ศทอ.) ได้บินสำรวจพื้นที่เป้าหมายในอำเภอฝาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศสำหรับวิเคราะห์ความเหมาะสมในการสร้างฝายดักตะกอน 4 จุด ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปนเปื้อนของตะกอนและสารหนูในน้ำ ผลการสำรวจจะถูกส่งต่อให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อไป

ความพยายามแก้ไขและความหวังที่ยังไม่ชัดเจน

การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแสดงถึงความพยายามในการจัดการวิกฤตสารหนูปนเปื้อน การเพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำ การจัดตั้งคณะอนุกรรมการ และการสำรวจเพื่อสร้างฝายดักตะกอน เป็นสัญญาณของความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา การประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อเจรจากับเมียนมา รวมถึงการใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) แสดงถึงความพยายามในการจัดการปัญหาข้ามพรมแดน

ในระดับท้องถิ่น สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างดินและพืชในพื้นที่เกษตรริมแม่น้ำกกเพื่อตรวจสอบสารหนูตกค้าง พร้อมให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการใช้น้ำอย่างปลอดภัย สำนักงานประมงจังหวัดได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในปลา ซึ่งผลการตรวจเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 พบสารหนูในระดับ 0.13 mg/kg ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายได้เพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปาเป็นเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย ขณะที่ รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอทำหน้าที่เป็นศูนย์รับแจ้งและเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคืบหน้าในบางด้าน แต่ประชาชนในชุมชนริมแม่น้ำกกยังคงไม่มั่นใจในความปลอดภัยของน้ำ การขาดความชัดเจนในแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการเจรจากับเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าปัญหานี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีทางออกที่เป็นรูปธรรม นางสาวจันทร์จิรา สุวรรณวงศ์ เกษตรกรในอำเภอเมืองเชียงราย กล่าวว่า “เราไม่กล้าใช้น้ำจากแม่น้ำกกมานานแล้ว แต่ก็ยังกังวลว่าสารพิษจะสะสมในดินและพืช ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ อนาคตเราจะอยู่อย่างไร”

ความหวังของชุมชนอยู่ที่การประชุมคณะอนุกรรมการในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับระบบดักตะกอนและการเจรจาระหว่างประเทศ หากมีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เช่น การติดตั้งฝายดักตะกอนหรือการควบคุมการปล่อยมลพิษจากเหมืองในเมียนมา อาจช่วยฟื้นฟูความมั่นใจให้กับประชาชนและชุมชนได้

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการวิกฤตสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ดังนี้:

  1. การเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำและสุขภาพประชาชนช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารหนูในระยะสั้น
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การจัดตั้งคณะอนุกรรมการและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดและชาติแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา
  3. การใช้เทคโนโลยี การสำรวจด้วยเฮลิคอปเตอร์และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศช่วยระบุจุดเสี่ยงและวางแผนแก้ไขได้อย่างแม่นยำ
  4. การสื่อสารสาธารณะ การให้คำแนะนำและประชาสัมพันธ์ข้อมูลช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของปัญหาข้ามแดน การเจรจากับเมียนมาเกี่ยวกับเหมืองแร่ในรัฐฉานมีความท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในและอิทธิพลของบริษัทจีน
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร การติดตั้งฝายดักตะกอนและระบบกรองน้ำต้องใช้เงินทุนและเวลา ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว สารหนูสามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นาน การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. ความไม่มั่นใจของประชาชน การขาดความชัดเจนในแนวทางแก้ไขทำให้ชาวบ้านยังคงหวาดกลัวและสูญเสียความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐ

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการเจรจาระหว่างประเทศ: ใช้กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และความร่วมมือทวิภาคีเพื่อกดดันเมียนมาให้ควบคุมการปล่อยมลพิษ
  • จัดหางบประมาณเพิ่มเติม ขอความสนับสนุนจากภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฝายดักตะกอนและระบบกรองน้ำ
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่ออัปเดตความคืบหน้าและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น จัดหาแหล่งน้ำสะอาดและสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก: สารหนูสูงสุด 0.038 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1). (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา.
  2. ผลกระทบต่อสุขภาพ:
    • ผู้สัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกที่มีสารหนูเกินมาตรฐานมีโอกาสเกิดผื่นคันถึง 30% และความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังในระยะยาวเพิ่มขึ้น 5–10%
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบต่อสุขภาพจากสารหนูในแหล่งน้ำ.
  3. ผลกระทบต่อการเกษตร:
    • พื้นที่เกษตรริมแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบราว 20,000 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตลดลง 15–20%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกต่อภาคเกษตรกรรม.
  4. การผลิตแร่ในเมียนมา:
    • รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตันในปี 2566 ซึ่งอาจเป็นแหล่งกำเนิดสารหนูในแม่น้ำกก
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จังหวัดเคลื่อนที่เวียงเชียงรุ้ง ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิต

จังหวัดเชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และ “จังหวัดเคลื่อนที่” มอบบริการและความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านห้วยหมากเอียก

เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – ที่บ้านห้วยหมากเอียก หมู่ 14 ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดกิจกรรมหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 13 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วยโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” เพื่อนำบริการสาธารณสุขและความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐสู่ชุมชนห่างไกล งานนี้มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ผ่านการมอบสิ่งของ บริการทางการแพทย์ และการหารือแนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

 

ความท้าทายของชุมชนห่างไกลในบ้านห้วยหมากเอียก

ในพื้นที่ชนบทของจังหวัดเชียงราย บ้านห้วยหมากเอียก หมู่ 14 ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 41 กิโลเมตร ด้วยประชากรเพียง 514 คน ใน 164 หลังคาเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป ซึ่งให้รายได้ไม่แน่นอนและมักไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ความห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองทำให้การเข้าถึงบริการสาธารณสุขและสวัสดิการพื้นฐานเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และครอบครัวที่มีรายได้น้อย

ในช่วงฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญกับถนนที่ขรุขระและการเดินทางที่ยากลำบาก ส่งผลให้การไปโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขในตัวอำเภอเป็นภาระทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย เด็กนักเรียนในชุมชนบางคนขาดแคลนทุนทรัพย์สำหรับการศึกษา ขณะที่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมักขาดการดูแลอย่างใกล้ชิด สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการนำบริการของภาครัฐลงสู่พื้นที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้ชุมชน

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และจังหวัดเคลื่อนที่

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ บ้านห้วยหมากเอียก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 13 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วยโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” โดยมีนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายแพทย์รัฐการ ปาระมี รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น อาสาสมัคร พอ.สว. และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมครั้งนี้มุ่งเน้นการให้บริการด้านสาธารณสุขและสวัสดิการแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครเพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง รวมถึงให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการทันตกรรมพื้นฐานและแจกยาสามัญประจำบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ได้นำหน่วยงานภาครัฐจากหลากหลายสาขามาให้บริการประชาชนถึงพื้นที่ เช่น การรับเรื่องร้องทุกข์ การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย การออกบัตรประจำตัวประชาชน และการให้ความรู้ด้านการเกษตรและอาชีพ ภายในงานมีการมอบสิ่งของเพื่อช่วยเหลือประชาชน ได้แก่:

  • ถุงยังชีพจากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ข้าวสารจากวัดห้วยปลากั้ง
  • ผ้าห่มกันหนาวจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • พันธุ์ปลาจากสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • เงินสงเคราะห์สำหรับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย
  • ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “กิจกรรมครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและความมุ่งมั่นในการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล เราต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในชุมชนที่ห่างไกลจากการเข้าถึงบริการพื้นฐาน”

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะยังได้ร่วมปลูกต้นไม้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการปลูกต้นไม้พื้นถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความสมดุลของระบบนิเวศและสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน ต่อจากนั้น ได้มีการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ร่วมกับนายอำเภอ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน เพื่อระบุปัญหาเร่งด่วน เช่น การขาดแคลนน้ำสะอาดในฤดูแล้ง และแนวทางส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืน

ไฮไลต์ของงานคือการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจำนวน 5 รายในอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเหล่ากาชาดได้มอบถุงยังชีพและให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด การเยี่ยมเยียนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แต่ยังสร้างความอบอุ่นใจให้กับครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยในสภาวะที่จำกัด

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ได้นำรอยยิ้มและความหวังมาสู่ชาวบ้านห้วยหมากเอียก ชาวบ้านที่เข้ารับการตรวจสุขภาพแสดงความดีใจที่ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล ขณะที่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาต่างรู้สึกขอบคุณที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การมอบพันธุ์ปลาและการให้ความรู้ด้านการเกษตรยังช่วยให้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้เสริมในระยะยาว

การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุสร้างความประทับใจอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่ขาดแคลนทรัพยากรในการดูแลผู้ป่วย นางสาวคำปุน มีศรี ชาวบ้านที่ดูแลแม่วัย 78 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง กล่าวว่า “การที่ท่านผู้ว่าฯ และทีมงานมาเยี่ยมถึงบ้าน ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ถูกลืม และถุงยังชีพที่ได้รับช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก”

การปลูกต้นไม้และการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาชุมชนช่วยจุดประกายให้ชาวบ้านตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ผู้นำชุมชนในบ้านห้วยหมากเอียกแสดงความมุ่งมั่นที่จะนำข้อเสนอจากที่ประชุมไปปฏิบัติ เช่น การจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการขอสนับสนุนงบประมาณสำหรับระบบน้ำสะอาดในหมู่บ้าน

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายมีแผนขยายกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ไปยังพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ ในจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

กิจกรรมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการนำบริการและความช่วยเหลือสู่ชุมชนห้วยหมากเอียก ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การเข้าถึงบริการสาธารณสุข: การตรวจสุขภาพและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพช่วยลดภาระของชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล และเพิ่มโอกาสในการป้องกันและรักษาโรค
  2. การบรรเทาความเดือดร้อน: การมอบถุงยังชีพ เงินสงเคราะห์ และทุนการศึกษา ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและนักเรียนที่ขาดแคลน
  3. การส่งเสริมความยั่งยืน: การปลูกต้นไม้และการให้ความรู้ด้านการเกษตรช่วยสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนอาชีพที่ยั่งยืน
  4. การสร้างความผูกพันในชุมชน: การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและการประชุมหารือช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและชุมชน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ต้องใช้บุคลากรและงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจจำกัดความถี่และขอบเขตของกิจกรรม
  2. การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล: แม้ว่าบ้านห้วยหมากเอียกจะอยู่ห่างจากอำเภอเพียง 4 กิโลเมตร แต่บางชุมชนในอำเภออื่นๆ อาจมีสภาพถนนที่ยากลำบากกว่า
  3. ความต่อเนื่องของการพัฒนา: การแก้ไขปัญหา เช่น การขาดแคลนน้ำสะอาด ต้องใช้เวลาและการลงทุนระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานอย่างต่อเนื่อง
  4. การมีส่วนร่วมของชุมชน: การกระตุ้นให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องอาจต้องใช้การสื่อสารและการสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้:

  • เพิ่มการสนับสนุนทรัพยากร: ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากร
  • พัฒนาการคมนาคม: ปรับปรุงถนนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้าถึงชุมชนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างกลไกติดตามผล: จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อเสนอจากการประชุม และประเมินผลกระทบของการช่วยเหลือ
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วม: จัดอบรมผู้นำชุมชนและเยาวชนเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่น

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนผู้ได้รับบริการจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.:
    • ในปี 2567 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดเชียงรายให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 5,000 คน
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการดำเนินงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.
  2. อัตราความยากจนในจังหวัดเชียงราย:
    • ประชากรในจังหวัดเชียงรายที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีสัดส่วนประมาณ 12.5% โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานสถานการณ์ความยากจนในจังหวัดเชียงราย.
  3. จำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง:
    • อำเภอเวียงเชียงรุ้งมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมด และมีผู้ป่วยติดเตียงราว 200 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานข้อมูลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง.
  4. ผลกระทบของการปลูกต้นไม้:
    • การปลูกต้นไม้พื้นถิ่นในพื้นที่ชนบทช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ถึง 10–15% ต่อปี และลดการพังทลายของดินได้ 20%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบจากการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ชนบท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปางช้างรวมมิตรเดือดร้อนหนัก กระทบท่องเที่ยวเชียงรายทรุดหนัก

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกกกระทบหนัก ชุมชนรวมมิตรและปางช้างเชียงรายเดือดร้อน ภาคประชาชนรวมพลังเรียกร้องแก้ปัญหา

เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก บริเวณบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักต่อชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตรที่ต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลงอย่างมากถึง 80% จากการยุติกิจกรรมท่องเที่ยวทางน้ำ ภาคธุรกิจ หอการค้า สภาอุตสาหกรรม รวมถึงตัวแทนโรงแรมและร้านอาหารในพื้นที่ ได้รวมตัวกันเพื่อระดมความคิดและหารือแนวทางแก้ไขปัญหา ขณะที่ชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานระหว่างประเทศเร่งดำเนินการจัดการต้นตอของมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกและคืนความมั่นใจให้กับชุมชนและนักท่องเที่ยว

แม่น้ำกกจากสายน้ำแห่งชีวิตสู่ภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงรายมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเกษตร การประมง ไปจนถึงการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในชุมชนบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร อันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ กิจกรรมนั่งช้างลุยน้ำและล่องแพในแม่น้ำกกเคยเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้มาเยือน สร้างรายได้ให้กับชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำกก น้ำที่เคยใสสะอาดกลับขุ่นข้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริเวณบ้านรวมมิตร ซึ่งภาพถ่ายมุมสูงเผยให้เห็นความแตกต่างระหว่างน้ำขุ่นในแม่น้ำกกกับลำห้วยสาขาที่ใสกว่า ความกังวลทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำยืนยันว่ามีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน สร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิต

เหตุการณ์ในเดือนเมษายน 2568 ยิ่งตอกย้ำความรุนแรงของปัญหา เมื่อควาญช้างจากปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตรนำช้างไปอาบน้ำในแม่น้ำกก หลังจากนั้นเพียง 2–3 วัน ช้างเกิดผื่นและตุ่มใสติดเชื้อจนกลายเป็นแผล ขณะที่ควาญช้างเองก็มีอาการผื่นและแผลบริเวณหัวเข่า ชาวบ้านในชุมชนเริ่มหวาดกลัวว่าสารพิษในน้ำอาจซึมเข้าสู่บ่อน้ำตื้นที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภค ส่งผลให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนต้องหยุดชะงัก

ผลกระทบรุนแรงและการรวมตัวของชุมชน

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ตัวแทนจากชุมชนบ้านรวมมิตร ภาคธุรกิจ หอการค้าจังหวัดเชียงราย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย รวมถึงผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร ได้รวมตัวกันที่ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร เพื่อหารือถึงผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกและแนวทางแก้ไขปัญหา การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความเดือดร้อนที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไปจนถึงชาวบ้านที่สูญเสียอาชีพจากการหาปลาและการเกษตร

นายสีทน คำแปง ผู้จัดการปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวลดลงกว่า 80% เนื่องจากต้องยุติกิจกรรมนั่งช้างลุยน้ำและล่องแพในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการท่องเที่ยวในพื้นที่ การยกเลิกการจองที่พักและกิจกรรมท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปางช้างต้องลดจำนวนช้างจากเดิม 15 เชือก เหลือเพียง 9 เชือก และยังต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการใช้น้ำประปาภูเขาและน้ำบาดาลแทนน้ำจากแม่น้ำกก การจำกัดปริมาณน้ำที่ช้างดื่มจากเดิมครั้งละ 12–15 คำ (คำละ 8–10 ลิตร) เหลือเพียง 5–6 คำ ส่งผลต่อสุขภาพของช้างและเพิ่มความยากลำบากในการดูแล

“ช้างคือสมาชิกในครอบครัวของเรา ถ้าเป็นธุรกิจทั่วไปคงเลิกไปนานแล้ว แต่เรายังต้องสู้เพื่อช้างและชุมชน” นายสีทนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขายังเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐเร่งเจรจากับแหล่งที่มาของมลพิษ ซึ่งคาดว่ามาจากเหมืองทองและแรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

ในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหาร นางสาวจันทร์จิรา สุวรรณวงศ์ เจ้าของร้านชีวิตธรรมดา ในอำเภอเมืองเชียงราย เปิดเผยว่า ร้านต้องเปลี่ยนแหล่งซื้อผักจากชุมชนริมแม่น้ำกกมาเป็นผักจากห้างสรรพสินค้า เนื่องจากลูกค้ากังวลเรื่องสารปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นและรายได้ลดลง ขณะที่โรงแรมริมแม่น้ำกกเผชิญกับปัญหาคล้ายกัน โดยต้องใช้น้ำประปาและน้ำบาดาลในการรดต้นไม้และดูแลสวน แทนน้ำจากแม่น้ำกก ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ

“นักท่องเที่ยวลดลง เพราะไม่มีใครอยากมาเมืองที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ” นายวรวิทย์ จันทร์ประดิษฐ์ ผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำกก กล่าวถึงสถานการณ์ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยว

ชาวบ้านในชุมชนบ้านรวมมิตรและบ้านผาเสริฐ ซึ่งพึ่งพาแม่น้ำกกในการทำประมงและเกษตรกรรม ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน นางจินดา อิ่นคำ ชาวบ้านป่าอ้อแม่ยาว กล่าวว่า เธอและชาวบ้านต้องหยุดหาปลาในแม่น้ำกกมากว่า 2 เดือน เนื่องจากไม่มีผู้ซื้อกล้าเสี่ยงบริโภคปลาจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น เช่น ขายของในตลาด ซึ่งไม่สามารถทดแทนรายได้เดิมได้อย่างเต็มที่

การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและความหวังในการฟื้นฟู

เพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ เทศบาลตำบลแม่ยาวได้ดำเนินการเร่งด่วนโดยติดตั้งป้ายเตือนห้ามสัมผัสน้ำในแม่น้ำกกและห้ามจับปลามาบริโภค พร้อมแจกจ่ายแนวทางปฏิบัติให้ประชาชนทราบถึงความเสี่ยงของสารหนู ขณะที่ภาคประชาชนเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

อาจารย์นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของและผู้อำนวยการสถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่ของ ได้จัดกิจกรรมรับฟังข้อมูลจากภาคประชาชนในวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ณ สวนตุงและโคมนครเชียงราย ภายในงานเทศกาลถนนคนเดิน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบของมลพิษในแม่น้ำกก นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีกำหนดการจัดนิทรรศการ การแสดงพลังผ่านการถือป้าย พิธีสืบชะตาแม่น้ำกก และพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงการยื่นหนังสือต่อรัฐบาลไทย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเรียกร้องให้รับทราบและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

อาจารย์นิวัฒน์ยังเชิญชวนประชาชนร่วมติดริบบิ้นสีเขียวที่รถหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อแสดงพลังในการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา การเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการที่เห็นถึงความจำเป็นในการปกป้องแม่น้ำกก ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของจังหวัดเชียงราย

ในระดับนานาชาติ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-เมียนมา ซึ่งมีแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธาน มีกำหนดประชุมในเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อหารือกับฝ่ายเมียนมาเกี่ยวกับผลกระทบจากเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งที่มาหลักของมลพิษ การประชุมครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันให้มีการควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมือง เพื่อลดการปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การรวมตัวของชุมชนและภาคธุรกิจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการแก้ไขวิกฤตมลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การสร้างความตื่นตัว: การประชุมและกิจกรรมของภาคประชาชนช่วยให้ประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกได้รับความสนใจในวงกว้าง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ
  2. การดำเนินการเร่งด่วน: การติดตั้งป้ายเตือนและแจกจ่ายแนวทางปฏิบัติโดยเทศบาลตำบลแม่ยาวช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในระยะสั้น
  3. การผลักดันการเจรจาข้ามแดน: การยื่นหนังสือต่อสถานทูตจีนและเมียนมา รวมถึงการประชุม RBC ในเดือนกรกฎาคม 2568 แสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาที่ต้นตอ
  4. การปกป้องสวัสดิภาพสัตว์: การปรับเปลี่ยนการดูแลช้างโดยใช้น้ำประปาและน้ำบาดาลช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของช้าง แม้จะเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ความซับซ้อนของปัญหาข้ามแดน: การเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) ซึ่งควบคุมพื้นที่เหมืองในรัฐฉาน เป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีน
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การตรวจสอบคุณภาพน้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการฟื้นฟูระบบนิเวศต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารหนูสามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
  4. การสื่อสารกับประชาชน: การขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำและผลผลิตเกษตรทำให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้:

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการแก้ปัญหา
  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: จัดหาแหล่งน้ำสะอาดและสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับชาวบ้านที่สูญเสียรายได้จากการประมงและเกษตร
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (บ้านรวมมิตร ต.แม่ยาว): สารหนู 0.038 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว:
    • จำนวนนักท่องเที่ยวในปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตรลดลง 80% ในช่วงมกราคม–พฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าจังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวจากมลพิษในแม่น้ำกก.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. ผลกระทบต่อชุมชน:
    • ชาวบ้านในชุมชนบ้านรวมมิตรและบ้านผาเสริฐสูญเสียรายได้จากการประมงและเกษตรกรรมราว 60–70%
    • แหล่งอ้างอิง: กลุ่มรักษ์เชียงของ. (2568). รายงานผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกต่อชุมชนท้องถิ่น.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลแม่ยาว
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่ของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมาคมสุขภาพจิตฯ จัดกิจกรรมฝึกสมาธิเยาวชนเชียงราย รุ่นที่ 5

สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยจัดโครงการ “ธนาคารสมาธิ” ที่เชียงราย เสริมสร้างสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน

เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – ณ หอประชุมโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดโครงการ “ธนาคารสมาธิเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน” รุ่นที่ 5 เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนฝึกสมาธิภาวนา อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่แข็งแรง และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 โครงการนี้ได้รับความสนใจจากนักเรียนและสามเณรจาก 8 โรงเรียนและวัดพระแก้ว จำนวน 150 คน เข้าร่วมอย่างคึกคัก โดยมีเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนพัฒนาความสามารถในการจัดการอารมณ์และสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจผ่านการปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่อง

ความท้าทายด้านสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน

ในยุคสมัยที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับความกดดันจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางการศึกษา ความคาดหวังจากครอบครัว หรืออิทธิพลจากสื่อสังคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ความกดดันเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้เด็กจำนวนมากเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล และบางรายถึงขั้นซึมเศร้า ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและการศึกษาของภาคเหนือ ครูและผู้ปกครองเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตในหมู่เด็กและเยาวชนมากขึ้น เช่น การขาดสมาธิในการเรียน อารมณ์แปรปรวน และพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น

จากสถานการณ์ดังกล่าว สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะในช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในพระพุทธศาสนา ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยเด็กจัดการกับความเครียดและพัฒนาความมั่นคงทางอารมณ์ โครงการ “ธนาคารสมาธิ” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนฝึกสมาธิอย่างเป็นระบบ โดยผสานกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้การเรียนรู้สนุกสนานและเหมาะสมกับวัย

โครงการธนาคารสมาธิและการรวมพลังชุมชน

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ณ โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม ดร.ลักขณา สท้านไตรภพ นายกสมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิญ รักสัตย์ เลขาธิการสมาคมฯ ได้นำคณะผู้บริหารและทีมงานจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ “ธนาคารสมาธิเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน” โดยมี นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด นอกจากนี้ ยังมี นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และนายประยูร ชาติชำนาญ ผู้อำนวยการโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม พร้อมคณะครูและบุคลากร เข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรม

โครงการนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 150 คน ประกอบด้วยนักเรียนจาก 8 โรงเรียนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม โรงเรียนบ้านนางแล โรงเรียนอนุบาลนางแล โรงเรียนบ้านโป่งพระบาท โรงเรียนห้วยพลูวิทยา โรงเรียนบ้านดู่สหราษฎร์พัฒนาคาร โรงเรียนชุมชนบ้านแม่ข้าวต้มหลวง และโรงเรียนพุทธิวงศ์วิทยา รวมถึงสามเณรจากวัดพระแก้ว การรวมตัวของเด็กและเยาวชนจากหลากหลายโรงเรียนและชุมชนสะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชน

รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิญ รักสัตย์ กล่าวว่า “สุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคม หากเด็กขาดสุขภาพจิตที่แข็งแรง อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ พฤติกรรม และการใช้ชีวิตในสังคม การฝึกสมาธิเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิต ช่วยให้เด็กมีความมั่นคงทางอารมณ์และมีสติในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ” เขายังเน้นย้ำว่า สมาธิในพระพุทธศาสนาไม่เพียงช่วยพัฒนาความประพฤติ แต่ยังเสริมสร้างปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับเยาวชนในยุคปัจจุบัน

กิจกรรมในโครงการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22–23 พฤษภาคม 2568 โดยมีหลากหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กและเยาวชน เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา การทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 57 รูป การถวายสังฆทาน 9 รูป การปลูกต้นไม้เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม การอาบป่า (Forest Bathing) เพื่อเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการร้องเพลง “ธนาคารสมาธิ” ที่เด็กๆ ร่วมกันขับร้องอย่างสนุกสนาน

จุดเด่นของโครงการคือการสร้าง “ธนาคารสมาธิ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ให้เด็กและเยาวชนฝึกสมาธิอย่างน้อยวันละ 5 นาที และบันทึกเวลาในการปฏิบัติลงในสมุดฝากธนาคารที่จัดเตรียมไว้ โดยระยะเวลาการสะสมสมาธิจะครอบคลุม 2 เดือน ตั้งแต่ช่วงวันวิสาขบูชาถึงวันอาสาฬหบูชา (พฤษภาคม–กรกฎาคม 2568) แนวคิดนี้ไม่เพียงกระตุ้นให้เด็กมีวินัยในการฝึกสมาธิ แต่ยังทำให้การปฏิบัติเป็นเรื่องสนุกและมีเป้าหมายชัดเจน

ความหวังและผลกระทบต่อชุมชน

โครงการ “ธนาคารสมาธิ” ได้สร้างความตื่นตัวในหมู่เด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย โดยเด็กๆ ที่เข้าร่วมแสดงความสนใจในกิจกรรมต่างๆ และเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการมีสติในชีวิตประจำวัน ครูและผู้ปกครองที่เข้าร่วมสังเกตเห็นว่า เด็กมีพฤติกรรมที่สงบลงและมีสมาธิในการเรียนมากขึ้นหลังจากเข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ การที่โครงการผสานกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม เช่น การทำบุญตักบาตรและการถวายสังฆทาน ยังช่วยให้เด็กซึมซับคุณค่าทางศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย

การปลูกต้นไม้และการอาบป่าที่จัดขึ้นในโครงการยังส่งเสริมให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การที่เด็กได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดช่วยลดความเครียดและสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาสุขภาพจิต การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากเด็กๆ ได้เรียนรู้แนวคิดเรื่องความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

ในระยะยาว โครงการนี้มีแผนขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อให้เด็กและเยาวชนทั่วประเทศมีโอกาสเข้าถึงเครื่องมือในการดูแลสุขภาพจิต สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยตั้งเป้าที่จะสร้างเครือข่ายโรงเรียนและชุมชนที่ส่งเสริมการฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าจะช่วยลดปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

โครงการ “ธนาคารสมาธิ” ประสบความสำเร็จในการสร้างความตื่นตัวและการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และชุมชนในจังหวัดเชียงราย ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การมีส่วนร่วมของชุมชน: การที่โรงเรียน 8 แห่งและวัดพระแก้วเข้าร่วมแสดงถึงความร่วมมือของภาคการศึกษาและศาสนาในการส่งเสริมสุขภาพจิต
  2. การพัฒนาทักษะชีวิต: เด็กที่เข้าร่วมมีโอกาสฝึกสมาธิ ซึ่งช่วยพัฒนาการควบคุมอารมณ์ ความมั่นคงทางจิตใจ และสมาธิในการเรียน
  3. การผสานวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม: กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การทำบุญ ปลูกต้นไม้ และอาบป่า ช่วยให้เด็กซึมซับคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
  4. แนวคิดสร้างสรรค์: การใช้ “ธนาคารสมาธิ” เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กฝึกสมาธิอย่างมีวินัย โดยทำให้การปฏิบัติเป็นเรื่องสนุกและมีเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. ความต่อเนื่องในการปฏิบัติ: การฝึกสมาธิต้องอาศัยวินัยและการสนับสนุนจากครอบครัวและโรงเรียน การรักษาความสม่ำเสมอในระยะยาวอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กบางคน
  2. การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล: แม้ว่าโครงการนี้จะครอบคลุม 8 โรงเรียน แต่ยังมีชุมชนในพื้นที่ห่างไกลของเชียงรายที่อาจยังไม่ได้รับโอกาสเข้าร่วม
  3. การวัดผลกระทบ: การประเมินผลลัพธ์ด้านสุขภาพจิตในระยะยาวต้องใช้เครื่องมือและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติม
  4. การปรับให้เหมาะกับวัย: เด็กในแต่ละช่วงวัยอาจต้องการวิธีการฝึกสมาธิที่แตกต่างกัน การออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับทุกกลุ่มวัยเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไป

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยควรวางแผนดังนี้:

  • สร้างเครือข่ายสนับสนุน: ทำงานร่วมกับโรงเรียนและชุมชนเพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวและครูมีส่วนร่วมในการสนับสนุนเด็กให้ฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง
  • ขยายโครงการสู่พื้นที่ห่างไกล: จัดกิจกรรมในชุมชนชนบทและโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
  • พัฒนาระบบติดตามผล: ใช้แบบประเมินสุขภาพจิตที่เหมาะสมกับเด็กเพื่อวัดผลกระทบของการฝึกสมาธิในระยะยาว
  • ปรับกิจกรรมให้หลากหลาย: ออกแบบวิธีการฝึกสมาธิที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย เช่น การใช้เกมหรือสื่อดิจิทัลสำหรับเด็กเล็ก

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. อัตราปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน:
    • เด็กและเยาวชนไทยอายุ 6–18 ปี มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตราว 18–20%
    • แหล่งอ้างอิง: กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2567). รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตเด็กและเยาวชนในประเทศไทย.
  2. ผลกระทบของการฝึกสมาธิ:
    • การฝึกสมาธิ 5–10 นาทีต่อวันช่วยลดระดับความเครียดได้ถึง 23% และเพิ่มสมาธิในการเรียนได้ 16%
    • แหล่งอ้างอิง: Mindfulness Research Center, Thailand. (2566). รายงานผลกระทบของการฝึกสมาธิต่อสุขภาพจิตเด็ก.
  3. จำนวนเด็กที่เข้าร่วมโครงการ:
    • โครงการธนาคารสมาธิ รุ่นที่ 1–4 มีผู้เข้าร่วมทั่วประเทศรวมกว่า 5,000 คน
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2568). รายงานผลการดำเนินงานโครงการธนาคารสมาธิ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ สั่งด่วน แก้ปัญหา สารพิษแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมา

นายกฯ สั่งด่วนแก้วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สางปัญหาสารปนเปื้อนข้ามแดน ร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องลุ่มน้ำ

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จากสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกกที่ทวีความรุนแรงจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และลดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชน การสั่งการครั้งนี้เน้นย้ำถึงการจัดการต้นตอของปัญหา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมผลักดันการเจรจาข้ามแดนเพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำกก การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนอย่างยั่งยืน

แม่น้ำกกในภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นมากกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มันคือสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยวของชุมชนในพื้นที่ ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเพาะปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปจนถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนค่ายช้างและสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกเริ่มส่งสัญญาณแห่งความผิดปกติ ชาวบ้านในตำบลท่าตอนสังเกตว่าน้ำในแม่น้ำขุ่นข้นผิดปกติ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งพัดพาโคลนและตะกอนจำนวนมากลงสู่ท้ายน้ำ เด็กที่ลงเล่นน้ำเริ่มมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเริ่มมีสภาพผิดปกติ ความกังวลของชุมชนทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำในช่วงต้นปี 2568 ระบุว่ามีสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560–2568 เผยให้เห็นการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2567–2568 พบการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความขุ่น (turbidity) ในแม่น้ำกก การค้นพบนี้ชี้ชัดว่าต้นตอของมลพิษมาจากการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) และมีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลถึงชุมชนในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงคำที่ชาวบ้านรายงานว่าปลาตายและน้ำไม่สามารถใช้ได้ ชาวบ้านบางส่วนที่สัมผัสน้ำปนเปื้อนมีอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำกกกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

คำสั่งนายกฯ และการเคลื่อนไหวของภาครัฐ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นสี่ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการบริหารจัดการเชิงนโยบาย

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการต่อไปยัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เพื่อติดตามและจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

การดำเนินการของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำระหว่างประเทศ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนี้ GISTDA ได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยืนยันการขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษได้จัดการประชุมร่วมกับกรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาข้ามแดน โดยกรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประมวลผลข้อมูลในสามด้าน ได้แก่ การบ่งชี้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมเอเชียตะวันออกเพื่อใช้ในการเจรจากับเมียนมา

ในด้านการแก้ไขมลพิษในแหล่งน้ำ หน่วยทหารช่างมีแผนขุดลอกแม่น้ำกกเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บริเวณหมู่บ้านธนารักษ์-สะพานย่องลี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลดการสะสมของตะกอน กรมควบคุมมลพิษกำลังศึกษาวิธีการจัดการตะกอน เช่น การปรับสภาพน้ำ ระบบตักตะกอน และการเบี่ยงกระแสน้ำ ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคได้จัดเตรียมแผนบริหารจัดการน้ำในกรณีที่แหล่งน้ำผิวดินปนเปื้อนในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค

ด้านการเฝ้าระวัง กรมควบคุมมลพิษจะเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขาเป็น 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 กรมประมงได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในสัตว์น้ำ 3 ครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน 28 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2568 โดยผลการตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วเกินมาตรฐาน ส่วนกรณีปลาที่มีตุ่มแดงเกิดจากปรสิต กรมอนามัยได้ตรวจคุณภาพน้ำประปาและปัสสาวะของประชาชนในเดือนเมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาไม่มีสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน และผลตรวจปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้านการบริหารจัดการ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานและผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ

แผนปฏิบัติการข้ามแดนและความหวังในการฟื้นฟู

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการเจรจากับเมียนมาในระดับทวิภาคี ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 กรมกิจการชายแดนทหารจะหยิบยกประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวาระสำคัญ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียตะวันออก ได้ส่งหนังสือผ่านสถานทูตไทยในเมียนมาและเชิญผู้แทนสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา

การดำเนินการในระดับท้องถิ่นก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หน่วยงานในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และผลิตผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การขุดลอกแม่น้ำและการจัดหาน้ำสะอาดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในระยะสั้น ขณะที่การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ช่วยให้หน่วยงานสามารถระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจารณ์ว่าการสั่งการของนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานตามกลไกปกติของหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความซับซ้อนของปัญหา เขาเสนอให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และเชิญผู้แทนจากเมียนมาและจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยมาร่วมหารือ “วิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจและการเจรจาจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.สืบสกุลกล่าว

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยืนยันถึงความรุนแรงของปัญหา โดยพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางปี 2566 มีลักษณะเป็นบ่อวงกลมคลุมด้วยผ้าใบสีดำ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร การทำเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีที่เป็นพิษสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเสียหายอย่างหนัก สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยังรายงานการพบปลาติดเชื้อใน 6 จุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้สร้างแรงผลักดันสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่

  1. การบูรณาการหน่วยงาน: การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะอนุกรรมการช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การประชุมเมื่อวันที่ 13 และ 15 พฤษภาคม 2568 แสดงถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนปฏิบัติการ
  2. การใช้เทคโนโลยี: การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ช่วยระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาข้ามแดน
  3. การเจรจาระดับนานาชาติ: การบรรจุประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกเป็นวาระในการประชุม RBC และการดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาข้ามแดน
  4. การบรรเทาผลกระทบในพื้นที่: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีนในพื้นที่
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดการตะกอน และการตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. การมีส่วนร่วมของประชาชน: แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การสื่อสารกับประชาชนยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในบางชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน และลดความตื่นตระหนก
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการตะกอน
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือ UNEP เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. การขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน:
    • การเปิดหน้าดินในรัฐฉานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2567–2568 โดยเฉพาะในเมืองยอนและเมืองสาด
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 2560–2568.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงปี 2564–2566
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. การพบปลาติดเชื้อ:
    • พบปลาติดเชื้อในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง 6 จุด ตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. (2568). รายงานการพบปลาติดเชื้อในลุ่มน้ำกกและโขง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
  • กรมเอเชียตะวันออก
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
  • กรมประมง
  • กรมอนามัย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

‘ไดกิ้น’ ส่ง “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” ยกระดับอากาศสถานศึกษาเชียงราย

ห้องเรียนปลอดฝุ่นนวัตกรรมเพื่ออนาคตเด็กไทยจากไดกิ้น

เชียงราย, 21 พฤษภาคม 2568 – ในยามที่หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ปกคลุมท้องฟ้าของจังหวัดเชียงราย เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้องเผชิญกับภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของพวกเขา อากาศที่ปนเปื้อนมลพิษภายในอาคารกลายเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือที่เผชิญกับปัญหาฝุ่นควันอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของเด็กน้อยวัย 5 ขวบที่ต้องหยุดเรียนบ่อยครั้งเพราะอาการภูมิแพ้กำเริบจากฝุ่นละออง กลายเป็นภาพสะท้อนของความท้าทายที่สถานศึกษาทั่วประเทศกำลังเผชิญ

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ไดกิ้น ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมระบบปรับอากาศ ได้ก้าวเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปิดตัว ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ด้านคุณภาพอากาศภายในอาคารแห่งแรกในภาคเหนือ ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย ซึ่งไม่เพียงเป็นการยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศในสถานศึกษา แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับเด็กปฐมวัยทั่วประเทศไทย

เมื่อภัยเงียบจากฝุ่นละอองรุกคืบ

ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ภาคเหนือของประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านระบบทางเดินหายใจ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมักใช้เวลานานในห้องเรียนที่มีระบบระบายอากาศไม่เพียงพอ ทำให้มลพิษจากภายนอกและภายในอาคารสะสมตัว ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หรือแม้แต่พัฒนาการที่ล่าช้า

ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พื้นที่เปิดโล่ง แต่ภายในอาคารเองก็เป็นแหล่งสะสมของมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากวัสดุก่อสร้าง หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการหายใจของเด็ก ๆ และบุคลากรในห้องเรียนที่หนาแน่น สถานการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ไดกิ้นและพันธมิตรตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศในสถานศึกษา โดยเฉพาะในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เด็ก ๆ ใช้เวลาเกือบทั้งวัน

การรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ ความร่วมมือเพื่ออนาคต

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ไดกิ้นได้จับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ได้แก่ กรมอนามัย กรมการปกครอง สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึง บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ร่วมกันพัฒนาโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างต้นแบบศูนย์การเรียนรู้ที่สามารถขยายผลไปยังสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

โครงการนี้ได้รับเกียรติจาก นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดตัวเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแสนโฮเทล เชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานพันธมิตรที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายในงานมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ ปัญหาคุณภาพอากาศภายในอาคารและการจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารสาธารณะและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษทางอากาศและแนวทางการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

ห้องเรียนปลอดฝุ่น

หัวใจสำคัญของโครงการ “ห้องเรียนปลอดฝุ่น” คือการติดตั้ง ระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูง และ ระบบกรองอากาศ HRV (Heat Reclaim Ventilation) ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างครบวงจร ระบบนี้สามารถกรองฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ห้องเรียน พร้อมติดตั้ง เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ครูและผู้ดูแลสามารถเฝ้าระวังและบริหารจัดการคุณภาพอากาศได้อย่างต่อเนื่อง

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งของห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งแรกในภาคเหนือ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกรมอนามัยในฐานะที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพอนามัย นอกจากนี้ ยังมีการอบรมครูและเจ้าหน้าที่ในศูนย์เพื่อเสริมสร้างทักษะในการดูแลระบบคุณภาพอากาศอย่างยั่งยืน

นายคาสุฮิสะ ฮินาสึ กรรมการบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไดกิ้นมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม คุณภาพอากาศที่ดีภายในอาคารมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้งทางร่างกายและสติปัญญา เราเชื่อว่านวัตกรรมของเราจะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เสี่ยง และสามารถขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศไทย”

สร้างอนาคตที่ยั่งยืน

การเปิดตัวห้องเรียนปลอดฝุ่นไม่ใช่เพียงการติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการผสานนวัตกรรมและความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคม เด็ก ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจากมลพิษ ลดความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ ขณะที่ครูและบุคลากรได้รับความรู้และเครื่องมือในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งเดียว ไดกิ้นและพันธมิตรตั้งเป้าที่จะขยายผลไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยใช้ห้องเรียนปลอดฝุ่นแห่งนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคารที่ปลอดภัยและยั่งยืน การลงทุนในคุณภาพอากาศวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและอนาคตของเด็กไทยในวันหน้า

ทำไมห้องเรียนปลอดฝุ่นถึงสำคัญ

การจัดการคุณภาพอากาศในสถานศึกษาไม่เพียงช่วยปกป้องสุขภาพของเด็กและบุคลากร แต่ยังส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้และพัฒนาการในระยะยาว การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ เช่น PM2.5 และ VOCs เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือแม้แต่ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง การติดตั้งระบบระบายอากาศและกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถลดความเข้มข้นของมลพิษเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของเด็ก

นอกจากนี้ การอบรมบุคลากรในสถานศึกษาให้มีความรู้และทักษะในการจัดการคุณภาพอากาศยังช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ครูและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมจะสามารถดูแลและบำรุงรักษาระบบได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนรอบข้าง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อเด็ก จากรายงานของ IQAir ในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับที่ 36 ของโลกในด้านมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ภาคเหนือเผชิญกับระดับ PM2.5 สูงเกินมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดไว้ที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉลี่ยในเชียงรายพบระดับ PM2.5 สูงถึง 50-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในบางวัน
  • ผลกระทบต่อสุขภาพ การศึกษาโดยกรมอนามัยระบุว่า เด็กปฐมวัยที่สัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงมีความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น 30% และอาจมีพัฒนาการทางสติปัญญาลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • คุณภาพอากาศในอาคาร จากข้อมูลของสมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร พบว่า 80% ของอาคารสถานศึกษาในประเทศไทยมีระบบระบายอากาศที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้มีการสะสมของ CO2 และฝุ่นละอองภายในอาคารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอนามัย สมาคมส่งเสริมคุณภาพอากาศในอาคาร
  • บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด
  •  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลห้วยซ้อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

 คุณแม่ลูก 3 คว้า “มงกุฎเชียงราย” Mrs. Thailand World 2025

เชียงรายส่งตัวแทนสาวงามคว้ามง Mrs. Thailand World 2025 สู่เวทีระดับชาติ สะท้อนพลังสตรีร่วมพัฒนาสังคม

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพสตรีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเวทีการประกวด Mrs. Thailand World 2025 ตัวแทนจากอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย คว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศอย่างสง่างาม พร้อมเตรียมตัวก้าวเข้าสู่เวทีระดับประเทศในนามตัวแทนภาคเหนือ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับบทบาทสตรีไทยในเวทีนานาชาติ

พิธีมอบมงกุฎท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและภาคภูมิใจของชาวเชียงราย

เมื่อเวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีมอบมงกุฎ Mrs. Thailand World 2025 เชียงราย โดยได้รับเกียรติจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบมงกุฎอันทรงเกียรติแก่ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง อายุ 40 ปี ชาวอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Doctor P Clinic (รามอินทรา 109) และเป็นคุณแม่ลูก 3 ที่มีบุคลิกภาพโดดเด่น ผนวกกับความสามารถที่น่าประทับใจ

ภายในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางเสียงเชียร์จากครอบครัว เพื่อนฝูง และประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง นับเป็นอีกก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการสนับสนุนสตรีให้มีพื้นที่ในการแสดงออกถึงคุณค่าที่แท้จริง

Mrs. Thailand World เวทีที่เปิดกว้างให้สตรีแสดงบทบาทอย่างทรงคุณค่า

การประกวด Mrs. Thailand World แตกต่างจากเวทีนางงามทั่วไป ตรงที่เปิดโอกาสให้สตรีที่ผ่านการสมรสแล้วได้เข้าร่วมแสดงความสามารถในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านสังคม ปัญญา บุคลิกภาพ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน โดยเวทีนี้ไม่เพียงเน้นที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง การเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทั่วประเทศ และการเป็นตัวแทนสะท้อนบทบาทของสตรีไทยในศตวรรษที่ 21

นายก อบจ.เชียงราย กล่าวแสดงความยินดีว่า “วันนี้ไม่เพียงเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของตัวแทนสตรีเชียงราย แต่ยังเป็นวันแห่งการส่งต่อพลังและแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปล่งประกายบนเวทีชีวิตของตนเอง”

แรงสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ สู่การยกระดับสตรีไทยสู่เวทีโลก

งานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย อาทิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สมาคมสตรีเชียงราย สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย และสื่อมวลชนท้องถิ่น ร่วมกันผลักดันให้เวทีการประกวดมีมาตรฐานและสะท้อนความสามารถของผู้เข้าประกวดอย่างรอบด้าน

นางอทิตาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เวทีนี้คือพื้นที่ของสตรีที่สมบูรณ์แบบในทุกมิติ ทั้งในฐานะผู้หญิง ภรรยา มารดา และนักพัฒนา เป็นสัญลักษณ์ของพลังสตรีในโลกยุคใหม่ที่มีบทบาททั้งในบ้านและในเวทีสาธารณะ”

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง แบบอย่างของสตรีร่วมสมัยที่ทรงพลัง

นางชญาดา เกลี้ยงบัวคง ไม่เพียงโดดเด่นด้วยบุคลิกภาพและวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ แต่ยังมีบทบาทเชิงสังคมในฐานะผู้บริหารคลินิกความงามที่ส่งเสริมสุขภาพจิตใจและความมั่นใจของผู้หญิงไทย อีกทั้งยังมีบทบาทในกิจกรรมการกุศลร่วมกับมูลนิธิต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนเด็กกำพร้าและผู้ป่วยยากไร้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและเชียงราย

ในการประกวด เธอสามารถตอบคำถามในรอบสัมภาษณ์ได้อย่างชาญฉลาด แสดงวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมบทบาทผู้หญิงในครอบครัวและสังคม ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามจากคณะกรรมการและผู้ชมในงาน

เป้าหมายต่อไป สู่เวที Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ

หลังจากนี้ นางชญาดาจะเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าร่วมประกวด Mrs. Thailand World 2025 ระดับประเทศ โดยทีมงาน อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายได้เริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งการฝึกซ้อม การพัฒนาบุคลิกภาพ และการสร้างแคมเปญเพื่อสื่อสารบทบาทสตรีเชียงรายในเวทีระดับชาติ

นายก อบจ. ได้กล่าวปิดท้ายว่า “ชาวเชียงรายทุกคนคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวแทนเรา และพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้เธอสามารถเปล่งประกายอย่างมีศักดิ์ศรี”

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจากสมาคม Mrs. Thailand World ระบุว่า ในปี 2567 มีผู้สมัครจากทั่วประเทศจำนวน 1,238 คน โดยตัวแทนจากภาคเหนือผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย 4 คน
  • ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมสตรีและครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า ร้อยละ 68 ของสตรีในวัยทำงานมีบทบาททั้งในภาคธุรกิจและการพัฒนาสังคม
  • ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เชียงราย รายงานว่าการมีส่วนร่วมของสตรีในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กอ.รมน.เชียงราย เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

กอ.รมน.เชียงราย จับมือท้องถิ่นเตรียมรับมืออุทกภัยแม่สาย งวดที่ 2 ประจำปี 2568 เดินหน้าวางแผนบูรณาการร่วมทุกภาคส่วน

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดเชียงราย โดย พันโทนิรุธ ณ ลำปาง รองหัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอแม่สาย เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย งวดที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อรับมือสถานการณ์อุทกภัยในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

จากปัญหาซ้ำซากสู่แนวทางรับมือ: การลงพื้นที่ร่วมภาคีเครือข่าย

เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 กอ.รมน.เชียงราย ลงพื้นที่พบปะประสานการปฏิบัติร่วมกับนายวรรณศิลป์ จีระกาศ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการเตรียมรับมืออุทกภัยในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้ครอบคลุมการตรวจสอบสภาพคลองภายในชุมชน บริเวณบ้านหัวฝาย ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน โดยมีการตรวจความคืบหน้าการขุดลอกและทำผนังกันน้ำที่ดำเนินการโดยทหารช่าง รวมถึงการวางแนวทางในการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งรัดการเตรียมระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุปข้อเสนอและแนวทางแก้ไขปัญหาจากเวทีหารือ

การหารือร่วมระหว่าง กอ.รมน.และเทศบาลตำบลแม่สายได้ข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้:

  1. เทศบาลตำบลแม่สายดำเนินการขุดลอกท่อและคลองภายในชุมชนแล้วจำนวน 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
  2. ปัญหาหลักคือเมื่อตกฝนหนัก มวลน้ำและทรายจากพื้นที่สูงไหลเข้าสู่ทางระบายน้ำ ทำให้เกิดการอุดตันอย่างรวดเร็ว
  3. เทศบาลยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการดูแลรักษาและขุดลอกระบบระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  4. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางระบายน้ำได้รับการมอบหมายให้ทหารช่างดำเนินการ โดยเทศบาลจะเป็นผู้ประสานงานกับชาวบ้าน
  5. ตลาดสายลมจอย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ มีการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าในระยะยาว 4-5 ปี โดยแม่ค้ายืนยันไม่ขอย้ายออกและยอมรับความเสี่ยงกรณีเกิดอุทกภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล
  6. เทศบาลมีแผนการแจ้งเตือนและอพยพประชาชนอย่างเป็นระบบหากเกิดเหตุอุทกภัยฉับพลัน
  7. ประชาชนในพื้นที่มีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือกับทางราชการเป็นอย่างดี
  8. เทศบาลแม่สายได้ขอประสานกับ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เพื่อแจ้งหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จว.ชร.), หน่วยทหาร, ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย เพื่อจัดทำแผนรับมืออุทกภัยและซักซ้อมการอพยพให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหมด

วิเคราะห์ภาพรวมและผลกระทบเชิงระบบ

จากการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.เชียงราย พบว่าปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สายเป็นปัญหาซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากแนวเทือกเขาด้านตะวันตกของอำเภอ ซึ่งทำให้เกิดน้ำหลากรุนแรงและรวดเร็ว

แนวทางที่ได้รับการเสนอจากนักวิชาการท้องถิ่นประกอบด้วยการพัฒนาระบบ Early Warning System (EWS) โดยอาศัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและน้ำหลาก รวมถึงการสร้างฝายชะลอน้ำและบ่อพักน้ำในชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระของระบบระบายน้ำหลัก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า อำเภอแม่สายมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้น 6 ครั้ง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 3,100 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรเสียหายมากกว่า 1,800 ไร่
  • รายงานจากเทศบาลตำบลแม่สาย ปี 2567 พบว่าในช่วงฤดูฝน มีการขุดลอกท่อระบายน้ำเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นทุกปี
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ปี 2568 ภาคเหนือจะมีฝนตกสูงกว่าค่าเฉลี่ย 15% โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News