Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชิดชูอาหารถิ่น “แกงแคไก่เมือง” ดาวเด่นจากเชียงราย สะท้อนคุณค่าทางเศรษฐกิจ

มรดกกินได้จากแดนเหนือ “แกงแคไก่เมือง” เชียงราย สู่เวที “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 สะท้อนคุณค่าภูมิปัญา มหาศาลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 – ในยุคที่โลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการหลั่งไหลของข้อมูลและเทคโนโลยีอันไร้ขีดจำกัด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหลายรายการกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ที่อาจนำไปสู่การลบเลือนหรือสูญหายไปจากความทรงจำและวิถีชีวิตของผู้คน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ยังมีจุดประกายความหวังที่เปล่งประกายออกมาจากความพยายามในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และต่อยอดคุณค่าอันล้ำเลิศนี้ให้คงอยู่และเจริญงอกงามต่อไป โดยมี “อาหาร” เป็นสื่อกลางที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน

หนึ่งในปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการฟื้นฟูมรดกที่ “หายไป” อย่างน่าประทับใจ คือ เทศกาลอาหารถิ่น “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในระหว่างวันที่ 12-14 กันยายน 2568 ณ รอยัลพาร์ค พลาซ่า ชั้น 1 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ งานนี้จัดขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิดหลัก “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเผยแพร่องค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของชาติอย่างแท้จริง

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ชี้ อาหารถิ่นเป็นรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยระบุว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ ที่สะท้อนตัวตน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นองค์ความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสมานฉันท์ และก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่สร้างรายได้ให้กับผู้คน”

ท่านยังได้กล่าวเสริมว่า กระทรวงวัฒนธรรมตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาและป้องกันไม่ให้มรดกเหล่านี้ลบเลือนหรือสูญหายไปจากปัจจัยภายนอกและเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จึงได้กำหนดมาตรการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู อาทิ การจัดทำบัญชีในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ การประกาศขึ้นบัญชี การยกย่องเชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ทักษะสู่คนรุ่นใหม่ นี่คือวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่มองเห็น “อาหาร” เป็นมากกว่าแค่การบริโภค แต่คือการลงทุนในอนาคตของชาติ

แกงแคไก่เมือง” เชียงราย ดาวเด่นแห่งภูมิปัญญาที่กลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง

ภายในงานเทศกาลที่เต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นหอมของอาหารถิ่นจากทั่วประเทศ บูธของจังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นจุดรวมความสนใจของประชาชนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา “ชม-ชิม-ช้อป” และซื้อกลับบ้านอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมี “แกงแคไก่เมือง” เป็นเมนูชูโรงที่สร้างความประทับใจและปลุกเร้ารสชาติที่เหมือนจะ “หายไป” ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมนูนี้ได้รับการคัดเลือกจาก 5 เมนูสุดยอดของจังหวัด จนกลายเป็น “สุดยอดอาหารเมือง” และ “อาหารชูถิ่น” ของเชียงราย ที่กลับมาเป็น “ดาวเด่นในเวทีระดับประเทศ”

อะไรคือความพิเศษที่ทำให้ “แกงแคไก่เมือง” ครองใจผู้คนได้ถึงเพียงนี้ คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในความพิถีพิถันของวัตถุดิบและภูมิปัญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมนูนี้มิใช่เพียงอาหารจานหนึ่ง แต่คือ “เมนูสุขภาพ” และ “เมนูอายุยืน” ของภาคเหนือ ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสุขภาพ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สิ่งที่ทำให้แกงแคไก่เมืองแตกต่างและโดดเด่น คือการเป็นเมนูที่ “ปลอดโรค ปลอดสาร” อย่างแท้จริง ด้วยการใช้ผักสมุนไพรพื้นบ้านทั้งหมด

ความลับที่ซ่อนอยู่ในหม้อแห่งภูมิปัญญา

มิติแห่งผักพื้นบ้าน แกงแคไก่เมืองอุดมไปด้วยผักพื้นบ้านมากกว่า 10 ชนิด ผักเหล่านี้มาจากธรรมชาติแท้ ๆ ทั้งที่ปลูกในสวนและที่ได้จากป่า ซึ่งนอกจากความสดใหม่ตามฤดูกาลแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอันน่าทึ่ง อาทิ ผักเผ็ด ที่มีรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ผักขี้หูด ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และ หางหวาย วัตถุดิบหาทานยากที่มีรสขมอมหวาน ช่วยแก้ร้อนในได้อย่างดีเยี่ยม ความหลากหลายของผักยังมาจาก “โครงการผักส่วนครัว รั้วกินได้” ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพึ่งพาตนเองและสนับสนุนผลผลิตจากชุมชน

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ขอมอบเกียรติบัตรฉบับนี้ ให้ไว้เพื่อแสดงว่า คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้บริหาร สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้เข้าร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ ๑ จังหวัด ๑ เมนู เชิดชูอาหารถิ่น "รสชาติ...ที่หายไป The Lost Taste" ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ขอขอบคุณที่ได้ร่วมส่งเสริม สนับสนุนและยกระดับภาพลักษณ์ของอาหารถิ่นสู่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง

ไก่บ้านจากชุมชนท้องถิ่น ตัวเอกที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่บ้าน” โดยเฉพาะ “ไก่เมืองจากเวียงชัย” ที่ได้รับการคัดสรรเป็นพิเศษ โดยใช้ไก่ที่ไม่แก่หรือหนุ่มจนเกินไป คือช่วงอายุประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เนื้อกำลังหวานและมี texture ที่เหมาะสม ไม่เหนียวหรือยุ่ยจนเกินไป ไก่เหล่านี้มาจากกลุ่มชุมชน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการสร้างรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

พริกแกงสูตรลับเฉพาะตระกูล เคล็ดลับความอร่อยของแกงแคเริ่มต้นจากการเจียว “พริกแกงที่โขลกเองกับมือ” ซึ่งเป็น “สูตรลับเฉพาะของแต่ละตระกูล” การโขลกเครื่องแกงอย่างพิถีพิถันนี้เองที่ทำให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรสดถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ เป็นเอกลักษณ์ที่หาทานได้ยากในยุคสมัยใหม่

ความใส่ใจในการปรุง หลังจากนั้นคือการ “ผัดไก่ด้วยไฟอ่อนๆ” เพื่อดึงรสชาติของสมุนไพรพื้นบ้านออกมาให้ได้มากที่สุด และความลับที่สำคัญที่สุดคือ “การเรียงลำดับการใส่ผัก” โดยจะใส่ผักที่สุกยากลงไปก่อน แล้วค่อยๆ ตามด้วยผักที่สุกง่าย เหมือน “ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของผืนป่าให้ลงไปอยู่ในหม้อ”

ตามคำกล่าวของเชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารล้านนา “เหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้ มันคือความรัก ความใส่ใจ และภูมิปัญญาที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแกงแคไก่เมืองไม่ใช่เพียงเมนูอาหาร แต่คือ “ส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เป็นมรดกที่กินได้ที่เชื่อมโยงเรากับธรรมชาติและรากเหง้าของชาวเชียงราย”

บทบาททางเศรษฐกิจและสังคม มรดกกินได้ที่สร้างรายได้และคุณค่า

การกลับมาของ “แกงแคไก่เมือง” ในฐานะดาวเด่นบนเวทีระดับประเทศ ไม่เพียงแต่เป็นการเชิดชูอาหารพื้นถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างมีนัยสำคัญ การใช้ไก่บ้านจากกลุ่มชุมชนและผักจากโครงการ “ผักส่วนครัว รั้วกินได้” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่เชื่อมโยงผู้ผลิตท้องถิ่นเข้ากับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในชุมชน และส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ การนำเสนออาหารถิ่นเหล่านี้ยังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้สนใจ ให้เดินทางมาสัมผัส “รสชาติที่แท้จริงของเชียงราย” และเรื่องราวเบื้องหลังอาหารที่มากกว่าแค่การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

กิจกรรมหลากหลาย ต่อยอดภูมิปัญญา สร้างการมีส่วนร่วม

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การชิมอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การลองลิ้มชิมรสชาติอาหารที่หาทานได้ยาก จากทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ผ่านกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

การเรียนรู้ “อร่อยตามรอยภูมิปัญญา” ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 เส้นทาง อาทิ อาหารสายอันซีน, พหุวัฒนธรรมล้ำรส, งดงามภูมิปัญญาล้ำค่าทรัพยากร, จากหยดน้ำแรกแห่งธารา ถึงคลื่นครามแห่งอ่าวไทย, ตามเส้นทางพี่สตังค์หรอยแรงชิมขนมและแกงถิ่นปักษ์ใต้, และ Isan discovery

“ครัวฟุ้ง ปรุงไทย” Cooking Show โดย Chef Celebrity Thailand อาทิ เชฟพฤกษ์ เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย และ กัณฑิมา สารีบท เชฟท้องถิ่นวิสาหกิจชุมชนเจ้าอุ้งลูกจีน จังหวัดกาญจนบุรี ที่มาสาธิตการทำอาหารในสไตล์ฟิวชั่น โดยยังคงผสมผสานสมุนไพรไทยลงในอาหาร เพื่อยกระดับอาหารถิ่นสู่สากล

การแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแสดงพื้นบ้าน ตลอดจนการแสดงประกอบเพลง “รสชาติที่หายไป” โดย แซ็ค ชุมแพ และ อาบูม แชมป์มิราเคิลมิวสิค เพื่อสร้างความสุขและความเพลิดเพลิน นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย คุณบริพันธ์ ชัยภูมิ กล่าวถึงความสำคัญของเพลงลูกทุ่งในฐานะวัฒนธรรมไทยที่จะมาสร้างความสุขในงาน และพิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ให้กับผู้เครือข่ายทางวัฒนธรรมจาก 77 จังหวัด และการมอบรางวัลอินฟลูเอนเซอร์ที่สนับสนุนการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานวัฒนธรรม โดยอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา

ทีมเมนู “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ได้รับเกียรติบัตรสำหรับเมนู แกงแคไก่เมือง” โดยมี นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ นายอนุสร เทพปินตา จากร้านสบันงาขันโตก เป็นตัวแทนเข้ารับมอบ ในการนี้ นายกำพล จาววัฒนาสกุล นักวิชาการวัฒนธรรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม รักษาราชการแทน วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วย คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง นครเชียงรายนิวส์ อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) นายอนุสร เทพปินตา นางสาวศิวพร จอมสว่าง ตัวแทนผู้ประกอบการร้านสบันงาขันโตก (สาธิต) และนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

มรดกที่ต้องส่งต่อเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

เทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงอาหาร แต่เป็นภาพสะท้อนอันทรงพลังของความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการรักษาและต่อยอดคุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม จากกลิ่นหอมของแกงแคไก่เมือง ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาสัมผัส ไปจนถึงคำเชิญชวนของศิลปินลูกทุ่งชื่อดัง แซ็ค ชุมแพ ที่กล่าวว่า “อยากเชิญชวนมิตรรักแฟนเพลงทั้งหลาย…มางานนี้ถือว่าครบจบ ทั้งความสนุกและอาหารอร่อย” นี่คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “รสชาติที่หายไป” เหล่านี้ มีศักยภาพที่จะสร้างแรงบันดาลใจ ความสุข และคุณค่าที่จับต้องได้ให้กับทุกคน

การลงทุนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่องค์ความรู้เหล่านี้ มิได้เป็นการมองย้อนอดีตอย่างเดียวดาย แต่เป็นการวางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับอนาคตที่วัฒนธรรมไทยจะยังคงเป็นเสาหลักในการสร้างอัตลักษณ์ ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในหมู่คนไทยทุกคน ผู้ที่สนใจและผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลเชิงลึกในการตัดสินใจหรือประกอบการทำงาน จึงไม่ควรพลาดโอกาสในการมา “ชม-ชิม-ช้อป อิ่มท้อง-อิ่มใจ-ได้ความรู้” ในงานเทศกาลนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยยังคงดำรงอยู่อย่างยั่งยืนสืบไป

ตัวเลขที่น่าสนใจ

จากข้อมูลเบื้องต้นของงานเทศกาลในปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 50,000 คนต่อปี และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นกว่า 10 ล้านบาทจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารถิ่น ขณะที่การมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ผลิตชุมชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีแรกของการจัดงาน

การสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมงานในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ร้อยละ 85 ของผู้เข้าร่วมงานมีความประทับใจในรสชาติอาหารถิ่นที่ “เคยลืม” และร้อยละ 78 แสดงความสนใจที่จะเดินทางไปยังจังหวัดต้นทางของอาหารเหล่านั้นเพื่อสัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

เมื่ออาหารกลายเป็นเครื่องมือการพัฒนา

เทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจในการเปลี่ยนมุมมองต่อ “อาหารถิ่น” จากสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น “อาหารชาวบ้าน” ไปสู่การเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า” นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งหลายคนเริ่มหันกลับมาเรียนรู้วิธีการทำอาหารพื้นบ้านจากผู้ใหญ่ในชุมชน

การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการสนับสนุนงานครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), และบริษัท ดอนเมืองพัฒนา จำกัด (ตลาดสี่มุมเมือง) แสดงให้เห็นถึงการรับรู้และการให้ความสำคัญของภาคธุรกิจต่อคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความยั่งยืนของโครงการในระยะยาว

คำมั่นสัญญาสู่อนาคต

นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักของงาน ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “งาน ไทยฟุ้ง ปรุงไทย ไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานเทศกาลประจำปี แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการอนุรักษ์และพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เราได้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมแล้วว่า เมื่อชุมชนมีความภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตนเองมี พวกเขาจะมีแรงจูงใจในการรักษาและต่อยอดให้ดีขึ้น”

การจัดงานในครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติหลายท่าน ได้แก่ คุณสมพล ตรีภพนารถ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), คุณจรูญรัตน์ สาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด, คุณพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร, และ คุณจิตสุภา วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ รวมทั้งศิลปินและบุคคลสำคัญอีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของสังคม

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 จึงไม่เพียงแต่เป็นการจัดเทศกาลอาหาร แต่เป็นการปูทางสู่อนาคตที่วัฒนธรรมไทยจะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหาร ความเข้มแข็งของชุมชน และความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชาติไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงวัฒนธรรม, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • เอกสารงานเทศกาล “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2025)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ไทยคอนเวนชั่นแอนด์เอ็กซิบิชั่นบูโร)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น ประจำปี 2568
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ป.ป.ช.เชียงราย” ผนึกกำลังท้องถิ่น “บี้ทุจริต” สปีดงานให้ทันประเทศ

ป.ป.ช.เชียงราย–ท้องถิ่น ผนึกกำลัง “บี้ทุจริต” เดินเกมสองขา ผลสอบทานเงินเยียวยาเกษตรกรคืบหน้า 5 ปี – คะแนน ITA จังหวัดพุ่ง แต่ยังต้องเร่งสปีดให้ทันประเทศ

เชียงราย, 12 กันยายน 2568 – ยามสายของวานนี้ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ “ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” เปิดประชุมแบบลงรายละเอียด—ถอดบทเรียนจากงานเก่าที่ยังไม่ถึงฝั่ง พร้อมประกาศมาตรการใหม่ให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมตัว “ลุยเชิงรุก” กับความโปร่งใสรอบใหม่ที่เข้มขึ้น

การประชุมมี นายสนธยา ยาพิณ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน หัวข้อหลักครอบคลุม 3 วาระสำคัญ: (1) สถานะการสอบทานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ซึ่งลากยาวมาถึงปีที่ 5 (2) ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ปีงบประมาณ 2568 ของจังหวัด และ (3) การแจ้งประกาศใหม่ของ ป.ป.ช. ว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 ที่จะเริ่มนับหนึ่งพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนหน้า

คะแนน ITA ขยับขึ้น—แต่ภาพรวมจังหวัดยัง “กลาง ๆ” ในเวทีประเทศ

ข้อมูลที่เปิดเผยในที่ประชุมระบุว่า ส่วนราชการส่วนภูมิภาคของเชียงรายทำคะแนนเฉลี่ยได้ 94.83 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.22 คะแนน ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เฉลี่ย 94.03 เพิ่มขึ้น 2.41 คะแนน สะท้อนการยกระดับเชิงระบบ ทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของประชาชน และระบบกำกับภายในหน่วยงาน

อย่างไรก็ดี เมื่อลงสนามเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ทั้ง 76 จังหวัด เชียงรายยังอยู่อันดับ 46—อยู่ในช่วง “กลางค่อนไปทางท้าย” ของประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่า “แม้จะดีขึ้น แต่ยังไม่เร็วพอ” ในบริบทการแข่งขันระดับชาติที่เข้มข้นขึ้นทุกปี โดย ITA ถูกใช้เป็น “กล้องส่องคุณธรรม” ที่ ป.ป.ช. ออกแบบให้ประเมินทั้งจากงานเอกสารและเสียงสะท้อนจริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านชุดดัชนี IIT (หน่วยงานประเมินตนเอง), EIT (คนภายนอกประเมิน), OIT (การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ)—รอบด้านตั้งแต่ออนไลน์ถึงภาคสนาม และกลายเป็นแรงกดดันเชิงบวกให้หน่วยงานเร่งปรับปรุงจุดอ่อนเฉพาะจุดอย่างต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากที่ประชุมชี้ให้เห็น “สมการความท้าทาย” ที่คุ้นเคย: ตัวชี้วัดด้านเอกสารและกระบวนงานดีขึ้นรวดเร็ว แต่หมวดที่พึ่งพาประสบการณ์ผู้รับบริการจริง—อย่างคุณภาพการสื่อสารต่อสาธารณะ ความสะดวกของ e-Service และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ—ยังต้อง “เร่งอัพเกรดประสบการณ์” ให้สัมผัสได้มากกว่าตัวเลข

คดี “ลำไยปี 2563”  โครงการเก่า แต่บทเรียนใหม่เพื่อระบบคุ้มครองงบแผ่นดิน

อีกวาระที่สังคมจับตา คือ ความคืบหน้าการสอบทานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ซึ่ง ป.ป.ช.เชียงรายรายงานว่า ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 15 อำเภอ และเหลืออีก 3 อำเภอ กำลังเร่งสรุปผล ข้อมูลในเชิงนโยบายย้ำว่าโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการรัฐบาลช่วงวิกฤตปี 2563 ที่ให้หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินของรัฐ—โดยเฉพาะ ธ.ก.ส.—ดูแลจ่ายเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อประคับประคองรายได้ภาคเกษตรช่วงราคาผลผลิตผันผวนและผลกระทบจากโควิด-19

การที่ “โครงการปี 2563” ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบในปี 2568 จึงมีนัยสำคัญสองชั้น—ชั้นแรก คือการยืนยันว่าเงินภาษีต้องตรวจสอบได้แม้เวลาจะผ่านไป ชั้นที่สอง คือบทเรียนเชิงระบบว่าการกำหนดกลไกคัดกรองคุณสมบัติผู้รับสิทธิ การพิสูจน์การถือครอง/ประกอบอาชีพ และการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ต้อง “แม่นกว่าเดิม” เพื่อ ตัดวงจรผิดพลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ ลดภาระตรวจสอบปลายน้ำที่ใช้เวลายาวนาน

ย้อนไปดูโครงสร้างนโยบาย ภาครัฐเคยประกาศแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรรายชนิดพืชในช่วงดังกล่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมเงื่อนไขและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน—จากคำอธิบายของฝ่ายประชาสัมพันธ์รัฐบาลในช่วงปี 2563—และ ธ.ก.ส. เป็นกลไกนำจ่ายสำคัญสำหรับเกษตรกรที่ผ่านคุณสมบัติ โดยเปิดพื้นที่ร้องเรียนกรณีตกหล่นหรือมีปัญหาการขึ้นทะเบียน เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายของงบประมาณในภายหลัง

กฎใหม่–เกมใหม่” ยื่นบัญชีทรัพย์สิน 1 ต.ค.–30 พ.ย. ผ่านระบบ ODS

ด้านมาตรการเชิงรุก ที่ประชุมแจ้ง “การบ้านใหม่” ของหน่วยงานในจังหวัดตาม ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 โดยให้ แสดงรายการ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และ ยื่นระหว่าง 2 ตุลาคม–30 พฤศจิกายน 2568 ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ODS), ยื่นด้วยตนเอง, หรือไปรษณีย์ลงทะเบียน ทั้งนี้ ผู้ยื่นสามารถขอขยายเวลา ไม่เกิน 30 วัน หากมีเหตุจำเป็น

แม้ประกาศฉบับนี้จะเป็นกรอบปฏิบัติ “รอบปี 2568” แต่สาระไม่ใช่เรื่องใหม่—การยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ ODS เป็นกลไกกลางที่ ป.ป.ช. ใช้มาหลายปี เพื่อให้ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชี—ตั้งแต่ระดับนักบริหาร ตำแหน่งด้านการจัดซื้อ ไปจนถึงผู้รักษาการในตำแหน่ง—สามารถจัดส่งและปรับปรุงข้อมูลได้อย่างเป็นมาตรฐาน ตรวจสอบย้อนหลังได้ และลดภาระงานเอกสารของหน่วยงานต้นสังกัดลงอย่างมาก

สาระสำคัญเชิงธรรมาภิบาลของ “บัญชีทรัพย์สิน” คือการ ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนและตรวจจับความผิดปกติของการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน ที่อาจเป็นสัญญาณทุจริตได้ การขยับกรอบเวลาให้ชัด การย้ำใช้ e-Filing และกำหนดการขยายเวลาแบบมีเพดาน—ช่วยให้หัวหน้าส่วนราชการสามารถ “ล็อกจังหวะงาน” ภายในหน่วยได้ตรงกัน ลดความเสี่ยงยื่นล่าช้า และยกระดับคุณภาพข้อมูลที่เข้าสู่ระบบกลาง

เชียงรายควรเดินเกมอย่างไรต่อ?  แผน 4 ชั้น เร่ง “ปิดจุดบอด–เปิดจุดแข็ง”

บนฉากทัศน์ที่ คะแนน ITA ดีขึ้น แต่ยังอยู่ “กลางตารางประเทศ” ขณะที่ คดีสอบทานงบเกษตรกรค้างท่อ ยังต้องเร่งปิดงาน เชียงรายจำเป็นต้องสลับเกียร์จาก “ขยับทีละน้อย” สู่ “บูรณาการทั้งระบบ” ดังนี้

  1. ปิดบัญชีโครงการค้างเก่า—เผยแพร่ผลสอบทานแบบเปิดข้อมูล
    เร่งบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานเกษตร/อำเภอ และธ.ก.ส. เพื่อปิดงาน 3 อำเภอที่ค้าง พร้อมจัดทำ ชุดข้อมูลสาธารณะ (Open Data) ของผลสอบทาน—เช่น จำนวนรายการตรวจสอบ วิธีคัดกรอง ประเภทข้อผิดพลาดที่พบ และมาตรการแก้ไข—เพื่อนำไปสู่การออก แนวปฏิบัติใหม่ สำหรับโครงการอุดหนุน/ชดเชยในอนาคต และสร้างแรงจูงใจให้หน่วยงาน “ออกแบบโครงการแบบป้องกันปัญหาแต่ต้นน้ำ” (สอดคล้องกรอบยุทธศาสตร์ชาติประเด็นต่อต้านการทุจริต)
  2. เร่งอัพเกรด “ประสบการณ์ประชาชน” ในตัวชี้วัด EIT/OIT
    ประสบการณ์ผู้รับบริการคือ “พื้นที่กำไร” ของคะแนน ITA ที่ยังขึ้นได้อีก—ตั้งแต่ ย่นขั้นตอนงานบริการ, ปรับเนื้อหาเว็บไซต์ราชการให้เข้าใจง่าย (เฉพาะเรื่องที่คนใช้บ่อย เช่น ค่าธรรมเนียม/ระยะเวลาบริการ/ช่องร้องเรียน) ไปจนถึง เปิด API/ไฟล์ข้อมูลเชิงรุก ให้ภาคเอกชนและสื่อท้องถิ่นนำไปใช้ได้—ทั้งหมดนี้ล้วนสัมพันธ์โดยตรงกับหมวด EIT/OIT ที่ ITA ใช้วัดผลทั่วประเทศ
  3. คุมเส้นตาย “บัญชีทรัพย์สิน” แบบ One-Calendar ทั้งจังหวัด
    จัดตั้ง War Room ข้อมูล ระดับจังหวัด (นำโดยจังหวัด/ป.ป.ช.จังหวัด) เพื่อกำกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินผ่าน ODS ให้ ทุกหน่วยงาน ทำงานตาม “ปฏิทินเดียวกัน” พร้อม Dashboard ระบุสถานะยื่นจริง–ค้าง–เสี่ยงล่าช้า ที่ผู้บริหารเห็นได้แบบรายวัน ลด “จุดหลุด” จากปัญหาเปลี่ยนตำแหน่ง/มอบหมายรักษาการ และให้คำปรึกษาแก่ อปท. ขนาดเล็กที่ทรัพยากรบุคคลจำกัด
  4. สื่อสารเชิงรุก–เปิดช่องร้องเรียนหลายแพลตฟอร์ม
    หน่วยงานจังหวัดควรทำคู่มือ “รู้สิทธิ–รู้ช่องทาง” สำหรับประชาชน (ภาษาไทย/ชนเผ่า/อักษรล้านนา) ระบุชัดว่าเรื่องไหนร้องที่ใด ติดตามผลอย่างไร เชื่อม ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของ ป.ป.ช. และช่องทางร้องเรียนระดับท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้า เวลาตอบรับเรื่องร้องเรียนเบื้องต้น ให้ชัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดต้นทุนทางสังคมของผู้ร้องเรียน

จาก “คะแนนที่ดีขึ้น” สู่ “ระบบที่ดีพอ”—เกมยาวที่ต้องชนะด้วยความสม่ำเสมอ

ภาพรวมจากการประชุมครั้งนี้มีทั้ง ชัยชนะเชิงสัญญาณ และ การบ้านเชิงระบบ

  • ด้านหนึ่ง คะแนน ITA ของหน่วยงานในจังหวัด ขยับขึ้นชัดเจน—สะท้อนความพยายามและวินัยของหน่วยงานในพื้นที่
  • อีกด้านหนึ่ง อันดับจังหวัดในเวทีประเทศยังกลาง ๆ บอกเราว่าการแข่งขันด้านความโปร่งใสไม่ได้หยุดรอใคร—จังหวัดอื่นกำลังเร่งขึ้นเช่นกัน

ในเชิงคดี/โครงการ ลำไยปี 2563” ที่คืบหน้ามาไกล—แม้ใช้เวลายาวนาน—เป็นบทเรียนสำคัญว่า ระบบควบคุมภายในและการเชื่อมฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน คือเครื่องมือป้องกันความเสียหายที่ “ถูกกว่า–เร็วกว่า” การไล่ตรวจสอบย้อนหลัง ขณะที่กฎใหม่เรื่อง บัญชีทรัพย์สิน จะเป็นด่านแรกป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน หากหน่วยงานในเชียงรายสามารถ “ทำให้เรียบง่าย–ตรงเวลา–ตรวจสอบได้” ตามกรอบของ ป.ป.ช.

แก่นของเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงคะแนน ITA หรือจำนวนสำนวนที่ปิดได้ แต่คือความสามารถของจังหวัดในการ เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน—จาก “ทำตามเช็กลิสต์” ไปสู่ “ทำให้ประชาชนเห็นและสัมผัสได้จริง” ว่าระบบราชการ โปร่งใส–ตอบสนอง–รับผิดชอบ มากขึ้นทุกปี

และหากเชียงรายเดินเกมตามแผน 4 ชั้น—ปิดคดีค้าง เปิดข้อมูล สร้างประสบการณ์ผู้รับบริการที่ดี คุมเส้นตายด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสื่อสารเชิงรุก—อันดับจังหวัด” จะเป็นเพียงผลพลอยได้ ของระบบที่ยั่งยืนกว่า นั่นคือ สังคมที่เชื่อมั่นว่าทุกบาทของงบประมาณ ถูกใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

อีคอมเมิร์ซไทยยืน 1 อาเซียน คนไทยแชมป์โลกช้อปออนไลน์ ธุรกิจเชียงรายท้าทาย

อีคอมเมิร์ซไทยยืน 1 อาเซียน โตสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว คนไทยครองแชมป์ซื้อของออนไลน์มากที่สุดของโลก คาดในปี 2573 ตลาดโต 2 ล้านล้านบาท

เชียงราย, 11 กันยายน 2568 – ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก แต่ภาคอีคอมเมิร์ซกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่งสวนกระแส โดยสถิติล่าสุดเผยให้เห็นว่า คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านบาทในปี 2567 และเติบโตถึง 21.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ

น.ส.วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า “คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 68.2% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 56.1% อย่างชัดเจน” ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่หันมายอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันมากขึ้น

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่เอื้อต่อการขยายตัว ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาด ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตใหม่

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เน้นความคุ้มค่าและแบรนด์เชื่อถือได้

ความสำเร็จของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้มาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนการซื้อเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างชัดเจน น.ส.วาริสฐา ชี้ให้เห็นว่า “นักช้อปออนไลน์ไม่ได้ลดจำนวนการซื้อลง แต่เปลี่ยนพฤติกรรมไปเน้นการซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่าและมาจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น”

แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากตัวเลขการใช้คูปองส่วนลด โดยในช่วงแคมเปญต่างๆ พบว่ากว่า 50% ของคำสั่งซื้อมีการใช้คูปองส่วนลดหลายตัวพร้อมกัน ทั้งคูปองส่งฟรีและคูปองส่วนลดประเภทอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความชาญฉลาดในการเลือกซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการได้สินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

ตัวเลขจากแพลตฟอร์ม LazMall ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันแนวโน้มนี้ เมื่อยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 22% ตั้งแต่ต้นปี 2568 และยอดใช้จ่ายต่อครั้งผ่าน LazMall เพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 1,000 บาท ในขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อครั้งบนแพลตฟอร์มทั้งหมดในช่วงแคมเปญเพิ่มขึ้นถึง 15% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่เพียงแต่ซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ยังยินดีจ่ายเงินในราคาที่สูงขึ้นเพื่อได้สินค้าคุณภาพจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้

อีคอมเมิร์ซไทยสู่เป้าหมาย 2 ล้านล้านบาทในปี 2573

ด้วยอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะสามารถเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573 ซึ่งหมายถึงการขยายตัวเกือบสองเท่าจากปัจจุบัน การเติบโตดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซในปี 2568 คิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยทั้งหมด

ความสำเร็จของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างของตลาดที่เอื้ออำนวย โดย 67% ของมูลค่าทั้งหมดเป็นการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น

ผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิน กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญและมีธุรกิจร้านค้าหน้าร้านจำนวนมาก

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2568 จังหวัดเชียงรายมีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่จำนวน 241 ราย ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่เพียงแห่งเดียว ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตทางเศรษฐกิจที่คึกคักในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของภาคการท่องเที่ยวเชียงราย ซึ่งสร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 และได้รับตำแหน่งเมืองรองด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ ก็มาพร้อมกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร

ข้อมูลระดับประเทศแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนใหม่สูงสุด โดยมีจำนวนถึง 1,832 รายในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 แต่ในขณะเดียวกัน ธุรกิจประเภทนี้ก็ติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีการเลิกกิจการสูงสุดเช่นกัน โดยมีจำนวน 276 ราย

ร้านค้าเชียงรายเผชิญหน้าการปรับตัวครั้งสำคัญ

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซส่งผลให้ร้านค้าหน้าร้านในเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับช่องทางออนไลน์ที่มีความสะดวกสบายและราคาแข่งขันได้สูง ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์และหาจุดแข็งที่ไม่สามารถทดแทนด้วยการซื้อขายออนไลน์ได้

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ร้านค้าในเชียงรายพิจารณาปรับตัวในสามด้านหลัก ได้แก่ การสร้างความน่าเชื่อถือบนออนไลน์ผ่านการผสานช่องทางขายแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน และการสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่ไม่เหมือนใครซึ่งหาไม่ได้จากการซื้อขายออนไลน์

การสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่มีคุณค่าถือเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับช่องทางออนไลน์ ร้านค้าควรเป็นมากกว่าแค่จุดขาย แต่เป็นสถานที่ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากออนไลน์ เช่น การนำเสนอเรื่องราวของสินค้า การจัดเวิร์กช็อป หรือการให้คำปรึกษาเชิงลึก ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสร้างความภักดีในระยะยาว

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าการเติบโตของอีคอมเมิร์ซจะสร้างความท้าทายต่อธุรกิจแบบดั้งเดิม แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้ทัน ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า อัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 7:1 ซึ่งดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราส่วน 4:1

ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงสุขภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตและแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน สำหรับจังหวัดเชียงราย การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยวต่อไป

ในขณะเดียวกัน แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของทุนจดทะเบียนแม้ว่าจำนวนธุรกิจใหม่จะลดลงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจขนาดใหญ่และใช้เงินทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่มีการแข่งขันสูงและต้องการความมั่นคงในระยะยาว

ร้านค้าเชียงรายเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ จากกระแสดิจิทัลที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

ปรากฏการณ์การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แสดงให้เห็นถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าภาคการค้าปลีกของประเทศ การที่คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์สูงที่สุดในโลกไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการยอมรับเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างเชียงราย การปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น ผู้ประกอบการที่สามารถผสานจุดแข็งของหน้าร้านกับความสะดวกสบายของช่องทางออนไลน์ จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล

เป้าหมาย 2 ล้านล้านบาทของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2573 ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการบริโภคและการค้าขาย ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • น.ส.วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development – DBD) กระทรวงพาณิชย์
  • รายงานการวิเคราะห์ภาวะการจดทะเบียนธุรกิจในจังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ. 2568
  • ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • DBD DataWarehouse+ ฐานข้อมูลธุรกิจกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

“เวียงหนองหล่ม” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำชุมชน แผน 3.88 พันล้าน

เวียงหนองหล่ม “พรุทุ่งหญ้า” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำของชุมชน เมื่อแผน 3.88 พันล้าน ปะทะเสียงนกอพยพและระฆังปางควาย

เชียงราย, 11 กันยายน 2568— ยามเช้าที่เวียงหนองหล่ม หมอกบางคลี่คลุมแนวหญ้ากก ดวงตากลมของนกแสกทุ่งหญ้าเฝ้ามองผืนน้ำตื้นที่ครั้งหนึ่งเคยพรั่งพร้อมด้วยลูกปลา ปูนา และแมลงน้ำ—โซ่อาหารที่เลี้ยงทั้งนกอพยพและคนท้องถิ่นมาหลายชั่วคน แต่วันนี้ภาพจำดั้งเดิมกำลังไหวกระเพื่อม ท่ามกลางคันดินใหม่และเรือขุดที่ขะมักเขม้นตาม “แผนแม่บทพัฒนา-ฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม” งบประมาณรวม 3,880.85 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งเดินหน้าต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา ภายใต้ความตั้งใจ “แก้แล้ง-ลดท่วม” และเพิ่มศักยภาพกักเก็บน้ำให้พอกับความต้องการการเกษตรและชุมชนโดยรอบกว่า 10,000 ครัวเรือน/11,000 ไร่ ตามกรอบงาน 65 โครงการย่อย ของภาครัฐ

โหนดเรื่อง (Nut graf) พื้นที่ชุ่มน้ำ “สำคัญระดับชาติ” ที่ยืนอยู่กลางสมการยาก

เวียงหนองหล่มตั้งอยู่ในแอ่งเชียงแสน คร่อมอำเภอแม่จัน–เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่ราว 14,000–14,457 ไร่ ได้รับมติคณะรัฐมนตรี (1 ส.ค. 2543) ให้เป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ” (Nationally Important Wetland) ด้วยคุณค่าด้านนิเวศและวัฒนธรรม—แหล่งอาศัยของนกอพยพ และฐานทรัพยากรอาหารของชุมชนพื้นที่ต่ำเหนือสุดของประเทศ

ในเชิงนโยบายระหว่างประเทศ เวียงหนองหล่มไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น “แรมซาร์ไซต์” โดยตรง แต่ตั้งอยู่ในแอ่งเดียวกับ หนองบงคาย (Chiang Saen Lake) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่เป็น Ramsar Site ลำดับที่ 1101 (5 ก.ค. 2544) ซึ่งยืนยันสถานะ “หัวใจความหลากหลายชีวภาพ” ของทั้งลุ่มน้ำเชียงแสน ดังนั้น แม้สถานะกฎหมายต่างกัน คุณค่าทางนิเวศ “เชื่อมถึงกัน” ทั้งระบบ และเป็นเหตุผลว่าทำไมแผนใดๆ ต่อเวียงหนองหล่มจึงต้องเทียบชั้นมาตรฐานอนุรักษ์สากลอย่างระมัดระวัง

ไทม์ไลน์บนพรุ จาก “มติ-แผน” สู่ “เครื่องจักร-คันดิน”

  • 30 ต.ค. 2562: รัฐบาลเห็นชอบให้เร่งพัฒนาเวียงหนองหล่ม บูรณาการหลายหน่วยงาน ภายใต้มาตรการแก้น้ำท่วม-แล้งของลุ่มน้ำกก–โขงตอนบน
  • 2564–2568: คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) รับรอง แผนแม่บท 65 โครงการ วงเงินรวม 3,880.85 ล้านบาท (หลายช่วงสัญญา) เน้นงานดิน โครงสร้างระบายน้ำ ปรับปรุงลำน้ำ และยกระดับการจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ
  • ปลายปี 2565–2567: กรมชลประทานแจงเป้าหมาย “เพิ่มความจุกักเก็บจาก 8 เป็น 20 ล้าน ลบ.ม.” เพื่อรองรับเมือง–เกษตร–ภัยพิบัติ รวมถึงเชื่อมแผนท่องเที่ยว-อนุรักษ์ในบางโซน (หอชมนก/เส้นทางเรียนรู้) ควบคู่ “กิจการพลเมืองน้ำ” ในพื้นที่ริมหนอง
เป็นพื้นที่เลี้ยงควายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยชาวเวียงหนองหล่มแต่ละชุมชนรวมตัวจัดตั้งเป็น “ปางควาย” รวมแล้วมีกว่า 100 ปาง แต่ละปางมีควาย 450-490 ตัว จึงถูกยกให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ควาย การเลี้ยงควายที่นี่เป็นการเลี้ยงตามธรรมชาติ และทำประมงของเกษตรกรที่หาอยู่หากินในพื้นที่มาหลายร้อยปี โดย : Save Gurney Pitta

ฝั่งรัฐชี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ฝนสวิง น้ำหลากเร็ว แล้งยาวนาน แหล่งเก็บน้ำกระจุกตัวแบบเดิม “ไม่พอ” การขุดลอก-เปิดทางน้ำและสร้างคันดิน “จำเป็น” เพื่อสะสมฝนหลวงและน้ำหลากเข้าพื้นที่ชุ่มน้ำแก้มลิง ก่อนปล่อยกลับให้ชุมชนยามแล้ง รวมทั้งลดน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มทางทิศใต้ของหนอง

เมื่อ “ทุ่งหญ้า-ผืนน้ำตื้น” ถูกแทนที่ด้วย “อ่างลึก-คันดินสูง”

ขณะที่เครื่องจักรก้าวหน้าตามแผน เสียงคัดค้านจากชุมชน “ปางควาย” และกลุ่มชาวประมง–หาของป่าเริ่มดังขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566–2568 ด้วยข้อกังวลหลัก 3 ประการ

  1. ความลึก-คันดิน: แกนนำชุมชนระบุว่า “สิ่งที่ทำจริงลึกเกินตกลง” กระทบพฤติกรรมสัตว์น้ำ–หญ้าน้ำ–การลงกินน้ำของควาย มีจุดที่คันดินสูงจน “ควายลงน้ำไม่ได้” และ “ปิดทับทางน้ำเดิมบางแขนง” ข้อกล่าวหานี้ปรากฏในรายงานภาคสนามและคลิปเสียงสะท้อนสื่อหลายเจ้า—เป็นปมที่หน่วยงานต้องเคลียร์ “ตัวเลข-แบบก่อสร้าง-EIA/IEE ที่อัปเดตล่าสุด” ให้สาธารณะเข้าใจ ตรงกันทุกฝ่าย
  2. วิถี “ปางควาย”: เวียงหนองหล่มคือศูนย์รวมปางควายมากกว่า “2,000 ตัว” (ข้อมูลปี 2566–2567) เลี้ยงแบบเปิดในทุ่งหญ้า–หนองตื้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนเป็นอ่างลึกและคันดินยาว วิถีเลี้ยง-หญ้าอาหาร-จุดลงน้ำจืดถูกบีบตัว ชาวบ้านห่วง “ต้นทุนอาหารเพิ่ม–สุขภาพฝูงแย่ลง” และ “เอกลักษณ์ปางควายล้านนา” ที่สร้างรายได้ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาจค่อยๆ หายไป
  3. แหล่งหากินนกอพยพ–นกหายาก: Eastern Grass Owl (นกแสกทุ่งหญ้า) เคยถูกบันทึกในเขตเชียงราย–เชียงแสน รวมถึงภาพถ่ายภาคสนามของนักดูนกบริเวณหนองหล่ม/ปริมณฑล หาก “น้ำลึก-กระแสลมเปลี่ยน–กอหญ้าหาย” จะซ้ำเติมการลดลงของพื้นที่ทำรัง-หากินของนกในสกุลทุ่ง–กก–อ้อ ขณะเดียวกันบรรดาเหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) ที่เคยรวมหลับนอนฤดูหนาวก็ต้องการทุ่งกว้างน้ำตื้นเป็นฐานหาอาหาร—ปรากฏการณ์ที่หลายกลุ่มอนุรักษ์กลัวว่าจะ “ซบเซา” หากภูมิทัศน์เปลี่ยนเร็วเกินไป

ฝั่งรัฐ–หน่วยงาน ยืนยันวัตถุประสงค์ “เพิ่มความมั่นคงน้ำ” และอ้าง “ช่วยชุมชน”

กรมชลประทานและหน่วยงานท้องถิ่นชี้ว่า โครงการทั้งหมดถูกออกแบบ “เพื่อชุมชน” ลดท่วม–เพิ่มน้ำ โดยระบุประโยชน์ 3 ระดับ: (1) เกษตรมีน้ำต้นทุนตลอดปี, (2) เมือง–ชุมชนปลอดภัยมากขึ้นจากน้ำหลากฉับพลัน, (3) เกิดโครงสร้างพื้นฐานรองรับกิจกรรมเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าการก่อสร้างหลายช่วง “พยายามคงสมดุลนิเวศ” และ “มีการหารือชุมชน” อย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพข่าวและคำชี้แจงทางการหลายครั้งตั้งแต่ปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2567 สนับสนุนจุดยืนดังกล่าว

อย่างไรก็ดี องค์กรอนุรักษ์อย่าง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ออกแถลงการณ์เรียกร้อง “ทบทวนรูปแบบงานดิน” และ “จัดสรรโซนนิเวศเฉพาะ (Ecological Zoning)” ที่คุ้มครอง ทุ่งน้ำตื้น-กอหญ้า ให้พอสำหรับนก–ควาย–ปลาน้ำจืด และทำระบบติดตามผลกระทบทางนิเวศ (Ecological Monitoring) อย่างเปิดเผย ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการมีส่วนร่วมและการกำกับดูแลยัง “มีช่องว่าง” ที่รัฐต้องเร่งอุด

“เวียงหนองหล่ม” ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับนักดูนกทั่วโลกด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะเป็นแหล่งทำรังวางไข่สำคัญของนกแสกทุ่งหญ้า Eastern Grass Owl นกประจำถิ่นที่หาได้ยากมากของไทย และมีสถานะใกล้การสูญพันธุ์ Endangered (EN) ส่วนในฤดูหนาวก็เป็นแหล่งรวมตัวกันนอนของนกอพยพ เช่น เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเชียตะวันออก Eastern Marsh Harrier และ เหยี่ยวด่างดำขาว Pied Harrier จำนวนนับร้อยตัวติดต่อกันมานานนับสิบปี รวมถึงเหยี่ยวทุ่งพันธุ์ยูเรเซีย Western Marsh Harrier อีกด้วย ที่ช่วยกำจัดหนูนา, แมลงศัตรูพืชให้เกษตรกร ได้ประหยัดการใช้ยาฆ่าศัตรูพืชไปหลายร้อยล้านบาททุกปี โดย : Save Gurney Pitta

 “เวียงหนองหล่ม” กับมาตรฐานพื้นที่ชุ่มน้ำ—เรากำลังรักษาอะไร?

ด้วยสถานะ “พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับชาติ” (ตามมติ ครม. 2543) เวียงหนองหล่มมีคุณค่าหลักคือ ภูมิทัศน์น้ำตื้น–ทุ่งหญ้า–พืชน้ำ ที่รองรับความหลากหลายชีวภาพและวิถีหากินแบบดั้งเดิม การพัฒนาแบบ “อ่างเก็บน้ำลึก–คันดินสูง–เขื่อนดินยาว” จึงต้องอธิบายให้สังคมเห็น “เหตุผลเชิงนิเวศ” ว่าจะยังรักษาองค์ประกอบเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้น “เราจะรักษาแต่ชื่อ แต่สูญเสียเนื้อแท้” ของพื้นที่ชุ่มน้ำไปทีละน้อย

 “น้ำของใคร—ประโยชน์ของใคร” และภาระตรวจสอบแบบมีส่วนร่วม

อีกปมคือธรรมาภิบาลน้ำ แผนแม่บท 65 โครงการย่อย ในระยะหลายปี ย่อม “ซับซ้อน–กระจายสัญญา” การเปิดเผยข้อมูลแบบอ่านง่าย (ดัชนีงานดิน–ความลึก–แนวคันดิน–ตารางน้ำเข้า-ออก–ตัวชี้วัดนิเวศ) จะทำให้ประชาชนร่วมตรวจสอบได้จริง ลดอคติและข่าวลือ ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลเชิงระบบของหน่วยงานกลาง (กนช./กรมชลประทาน) ในช่วงปลายปี 2565 ที่เคยแถลงชุดใหญ่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เมื่อ “งานภาคสนาม” เดินไปไกลกว่า “เอกสาร” ข้อมูลก็ต้อง “ตามทันพื้นที่” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ความไม่ไว้วางใจลุกลามเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง

เสียงจากพื้นที่ (Key voices) และสถิติที่ชวนคิด

  • 2,000+ ตัว: ประมาณการฝูงควายในโซนแม่จัน–เวียงหนองหล่มที่ได้รับผลกระทบตามข่าวโทรทัศน์ช่วงกลางปี 2566 สะท้อนให้เห็น “ต้นทุนดูแลฝูง” ที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนจากทุ่ง–หนองตื้น สู่โครงสร้างน้ำลึก–คันดินสูง โดยเฉพาะฤดูแล้งที่หญ้าธรรมชาติขาดตอน
  • นกแสกทุ่งหญ้า (Eastern Grass Owl) และ เหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) เป็น “ดัชนีชีวภาพ” ของทุ่งชุ่มน้ำ เมื่อพื้นที่กอหญ้า–น้ำตื้นลดลง โอกาสกลับมารวมฝูงในฤดูหนาวย่อมลดลงตามไปด้วย—ประเด็นที่ชมรมดูนกและนักวิทยาศาสตร์พลเมืองติดตามต่อเนื่องในภาคเหนือ
  • 20 ล้าน ลบ.ม.: เป้าหมายความจุอ่างตามแผนรัฐ ช่วยลดเสี่ยงน้ำแล้ง–หลาก แต่คำถามคือ “จะทำอย่างไรให้ 1 ลบ.ม. ของน้ำใหม่” ไม่แลกมาด้วย “1 หน่วยบริการนิเวศ” (การหากินของปลา–นก–ควาย) ที่หายไป—ซึ่งต้องแก้ด้วย “การออกแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเชิงนิเวศ (Ecohydrology)” มากกว่า “ขุดลอกอย่างเดียว”
ที่นอนของนกเหยี่ยวทุ่งในเวลากลางคืน ซึ่งจะรวมตัวกันนอนพร้อมกันหลายร้อยตัว พอตอนเช้ามืดก็จะบินออกไปหาอาหาร ทิ้งไว้แต่โพรงในทุ่งหญ้าเช่นนี้ ซึ่งลักษณะพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนกเช่นที่หนองหล่ม แทบไม่เหลือแล้วในประเทศไทย โดย : Save Gurney Pitta

โรดแมปสามชั้น “หยุดคิด–ปรับแบบ–ร่วมบริหาร”

  1. หยุดคิดก่อนทำ (Pause & Verify): หยุดช่วงงานที่มีข้อร้องเรียนสูง (ความลึก–แนวคันดิน) เพื่อตรวจแบบจริง-ก่อสร้างจริง โดยเปิดพื้นที่สาธารณะร่วมตรวจ (ชุมชน-นักวิชาการ-สื่อ) พร้อมติดตั้ง “ไม้บรรทัดน้ำ/ไลดาร์ฉากตัด” แสดงระดับงานแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนดูได้ (Dashboard)
  2. ปรับแบบ (Redesign for Ecology): กำหนด “โซนคุ้มครองนิเวศ” อย่างเป็นทางการ—ไม่น้อยกว่า X% ของพื้นที่ต้องรักษาน้ำตื้น/กอหญ้า, ทำ “ลาดลงน้ำสำหรับควาย” ทุกระยะ Y เมตร, เจาะ “คอขวดปลา” ให้ปลาอพยพได้, ปลูกพืชกก-อ้อฟื้นฟูแนวกันชน และกำหนด “กรอบน้ำขึ้น-ลงรายฤดู” ให้คงเสถียรภาพต่อแหล่งอาหารนก
  3. ร่วมบริหาร (Co-management): ตั้ง “คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม” รวม อปท.–กรมชลฯ–กนช.–ชุมชน–นักวิชาการ–ภาคธุรกิจ–กลุ่มดูนก เพื่อร่วมวางแผนเขตใช้ประโยชน์–เขตอนุรักษ์, งบเยียวยาปางควาย–ชาวประมง, และแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่แบ่งปันรายได้กลับสู่การดูแลพื้นที่

แนวทางนี้ไม่ขัดกับ “เป้าหมายน้ำ” แต่จะยกระดับโครงการจาก “โครงสร้างวิศวกรรม” สู่ “ภูมิทัศน์น้ำที่มีชีวิต” รองรับทั้งน้ำ–นก–ปลา–ควาย–คน และที่สำคัญ—ลดความขัดแย้ง ด้วยการให้สิทธิข้อมูลและอำนาจตัดสินใจร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย

มองจากไกล แต่ไม่ไกลเกินใจ ทำไมเวียงหนองหล่มจึงเป็น “เรื่องใหญ่ของสังคมไทย”

เวียงหนองหล่มคือบททดสอบสำคัญของการพัฒนา “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ในศตวรรษที่เผชิญทั้งวิกฤตอากาศและวิกฤตความไว้วางใจ หากพัฒนาได้สมดุล เราจะได้ “แบบเรียน” ที่ยืนยันว่าไทยสามารถ “สร้างความมั่นคงน้ำ” โดยไม่ทำลาย “บริการนิเวศ” และ “ความทรงจำของชุมชน” แต่หากสะดุด เราอาจสูญทั้งทุนธรรมชาติและทุนสังคมไปพร้อมกัน

บทสรุปของข่าวนี้จึงไม่ใช่การชี้นิ้ว หากคือการวางโจทย์สาธารณะร่วมกัน: น้ำเพื่อใคร–โดยใคร–อย่างไร และคำตอบที่ยั่งยืนที่สุดย่อมเกิดจาก ข้อมูลโปร่งใส–วิทยาศาสตร์เข้มแข็ง–และการมีส่วนร่วมจริง ของคนที่อยู่กับหนองหล่มมานานกว่าร้อยปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน
  • คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) / กรุงเทพธุรกิจ
  • ONEP/CHM–Thailand
  • Ch3Plus
  • Workpoint Today / The Lanner
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ภูเขาน้ำแข็ง A23a สลายตัว สัญญาณเตือนจากขั้วโลกถึงวิกฤตโลกร้อน

สัญญาณเตือนจากขั้วโลก “A23a” ยักษ์น้ำแข็งที่กำลังสลายตัว—เงื่อนปมภูมิอากาศโลกร้อนและบทเรียนเชิงระบบจากแอนตาร์กติกา

  • ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้: A23a เป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แยกตัวจากแนวน้ำแข็ง Filchner–Ronne เมื่อปี 1986 จมติดอยู่กับพื้นทะเลเวดเดลนานหลายทศวรรษ ก่อนหลุดลอยและเริ่ม “เดินทาง” ตามกระแสน้ำในช่วงปี 2023–2024 มุ่งสู่เส้นทาง “Iceberg Alley” ผ่านเกาะเซาท์จอร์เจีย และมีแนวโน้มแตกตัว/หดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ตามภาพถ่ายดาวเทียมและรายงานของหน่วยงานวิทยาศาสตร์ชั้นนำ (BAS, NASA)
  • สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เห็นร่วมกัน: การแยกตัวและสลายตัวของภูเขาน้ำแข็งเป็น “ธรรมชาติ” ของขั้วโลก แต่ อัตรา/ความถี่ ของปรากฏการณ์น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่หลุดและละลายเร็วขึ้นสัมพันธ์กับภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะ “มหาสมุทรที่อุ่นขึ้น” ซึ่งกัดเซาะฐานแนวน้ำแข็ง (ice shelves) และทำให้ระบบเปราะบางยิ่งขึ้น
  • แกนวิทยาศาสตร์ที่ต้องเข้าใจ: การละลายของ “แนวน้ำแข็งที่ลอยน้ำ” ไม่ยกน้ำทะเลขึ้นโดยตรง แต่แนวน้ำแข็งทำหน้าที่ หนุน-พยุง” (buttress) ธารน้ำแข็งบนแผ่นดิน หากแนวน้ำแข็งแตก/หายไป ธารน้ำแข็งบนบกจะไหลลงทะเลเร็วขึ้นและ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทางอ้อม ซึ่งคือจุดเชื่อมโยงจากภูเขาน้ำแข็งสู่ความเสี่ยงชายฝั่งโลก
  • สิ่งที่ยังต้องติดตาม: ผลกระทบต่อเคมี/อุณหภูมิ/ความเค็มของน้ำและห่วงโซ่อาหารทะเลแอตแลนติกใต้ เมื่อยักษ์น้ำแข็งปล่อย “น้ำจืดเย็น” ปริมาณมหาศาลลงสู่ทะเลในเวลาสั้น ๆ และการตอบสนองของสภาพอากาศท้องถิ่นรอบเกาะเซาท์จอร์เจีย—หัวเรื่องที่ทีมเรือสำรวจของ BAS ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอยู่ในช่วงปี 2024–2025

ปลายทางของ “ยักษ์น้ำแข็ง” และจิ๊กซอว์ภูมิอากาศโลก

ทวีปแอนตาร์กติกา, 11 กันยายน 2568 – ยามที่ลมขั้วโลกพัดปะทะคลื่นแอตแลนติกใต้ แผ่นน้ำแข็งสีขาวนวลขนาดใหญ่เท่ามหานครค่อย ๆ แยกตัวเป็นริ้วเล็ก ราวกับเรือไม้โบราณที่ชะลอคอนเสิร์ตสุดท้ายก่อนลาจาก—นั่นคือภาพปิดฉากของ A23a หนึ่งในภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยติดตาม บันทึกชีวิตของมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1986 เมื่อหลุดจากแนวน้ำแข็ง Filchner–Ronne แล้วจมติดพื้นทะเลเวดเดลอยู่นานกว่า 30 ปี กระทั่งหลุดลอยออกสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากรอบแอนตาร์กติกาในทศวรรษที่ผ่านมา และทยอย “ผอมลง” อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเคลื่อนผ่านเกาะเซาท์จอร์เจีย—ประตูสู่คอคอดน้ำแข็งชื่อ Iceberg Alley เส้นทางสุดท้ายก่อนแตกสลายเป็นเศษเสี้ยวที่ระบบติดตามดาวเทียมเริ่มนับยากขึ้นทุกที

เส้นทางชีวิต A23a จากยักษ์ติดก้นทะเลสู่ก้อนน้ำแข็งร่อนเร่

  • ค.ศ. 1986–ทศวรรษ 2010s: A23a แยกจากหิ้ง Filchner–Ronne แล้ว “ติด” พื้นทะเลลึกในเวดเดลซีอยู่นานหลายสิบปี เพราะหนาและใหญ่เกินกว่าจะลอยอิสระ จนถูกขนานนามว่าราชินีที่เงียบงันของเวดเดลซีในยุคหนึ่ง
  • ค.ศ. 2023–2024: เมื่อขนาด/ความหนาลดลงและสภาพแวดล้อมทะเลเปลี่ยน มันหลุดออกจากจุดยึดและไหลตามกระแสน้ำ Antarctic Circumpolar Current สู่ “Iceberg Alley” ใกล้เกาะเซาท์จอร์เจีย ภาพถ่ายจากดาวเทียมและรายงานภาคสนามยืนยันเสถียรภาพที่ลดลงและแนวโน้มการแตกตัวของแผ่นน้ำแข็งส่วนขอบ
  • ค.ศ. 2025: ขณะเคลื่อนผ่านเซาท์จอร์เจีย แผ่นน้ำแข็งหดตัวและแตกชิ้นหลายครั้ง พื้นที่ลดเหลือราวระดับ “มหานครใหญ่” เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มติดตามที่เคยกินพื้นที่หลายพันตารางกิโลเมตร เหตุการณ์ปีนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพธรรมชาติ หากเป็น “ข้อความ” ที่ชัดจากขั้วโลกถึงมนุษยชาติว่า สมการน้ำแข็ง–มหาสมุทร–ภูมิอากาศ กำลังปรับสมดุลครั้งใหญ่

ธรรมชาติ + เร่งปฏิกิริยาจากโลกร้อน เพราะเหตุใดยักษ์น้ำแข็งจึง ‘เปราะ’ ขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า การเกิด–ดับของภูเขาน้ำแข็งเป็นวงจรตามธรรมชาติ แต่คำถามสำคัญในศตวรรษที่ 21 คือ “เร็วขึ้นหรือถี่ขึ้นกว่าปกติหรือไม่” หลักฐานหลายชุดชี้ว่ามหาสมุทรรอบแอนตาร์กติกาอุ่นขึ้นในหลายโซน กระทบ “ท้อง” ของแนวน้ำแข็ง (basal melt) ทำให้หิ้งน้ำแข็งที่ลอยน้ำบางลงและแตกง่ายขึ้น เมื่อ “เบรก” ตามธรรมชาติอ่อนแรง ธารน้ำแข็งบนแผ่นดินก็ไหลลงทะเลเร็วยิ่งขึ้นในระยะยาว นี่คือกลไกที่เชื่อมการเปลี่ยนแปลงของแนวน้ำแข็งกับ ระดับน้ำทะเลโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อเท็จจริงสำคัญ: การละลายของแนวน้ำแข็ง (ซึ่งลอยอยู่แล้ว) ไม่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นโดยตรง แต่ การสูญเสียแนวน้ำแข็ง ทำให้ธารน้ำแข็งบนบก “เสียที่ค้ำยัน” และเร่งวิ่งสู่ทะเล—ส่งผลต่อระดับน้ำทะเลในระยะถัดไป นี่คือเหตุผลที่ชุมชนวิทยาศาสตร์เฝ้าดู A23a อย่างใกล้ชิด เพราะมันสะท้อน “สุขภาพ” ของระบบน้ำแข็ง–มหาสมุทรในวงกว้าง ไม่ใช่เพียงชะตากรรมของก้อนน้ำแข็งก้อนเดียว

ผลกระทบลูกโซ่จากความเค็ม–อุณหภูมิของน้ำ สู่ห่วงโซ่อาหารทะเล

การแตกตัวของภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์เท่ากับการปล่อย “น้ำจืดเย็น” ปริมาณมหาศาลลงทะเลในช่วงเวลาสั้น ๆ ย่อมปรับสมดุล ความเค็ม–ความหนาแน่น–อุณหภูมิ ของน้ำในบริเวณทางผ่าน อาจกระทบตั้งแต่แพลงก์ตอน—ฐานห่วงโซ่อาหาร—ไปจนถึงสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และรูปแบบไหลเวียนท้องถิ่น นักวิจัยจาก เรือ RRS Sir David Attenborough ของ BAS ลงพื้นที่แถบเซาท์จอร์เจียเก็บตัวอย่างน้ำ/ชีวภาพเพื่อประเมินผลกระทบจริง—ชิ้นส่วนหลักของภาพใหญ่ที่ห้องทดลองทั่วโลกกำลังต่อจิ๊กซอว์ร่วมกัน

ทำไม “Iceberg Alley” จึงเป็นฉากสุดท้ายของยักษ์น้ำแข็ง

เส้นทาง Iceberg Alley เป็นเหมือน “คลองส่งน้ำแข็ง” ธรรมชาติ—ภูเขาน้ำแข็งที่หลุดจากแผ่นดินน้ำแข็งแอนตาร์กติกามักถูกกระแส Antarctic Circumpolar Current พาไปสู่แนวนี้ ก่อนจะชน/แตก/ละลาย ระหว่างผ่านหมู่เกาะและน้ำอุ่นขึ้นของแอตแลนติกใต้ A23a จึงเดินตามชะตาเดียวกับยักษ์รุ่นพี่อย่าง A68 (แตกละเอียดในปี 2021) และ A76 (ปี 2023) ที่จบลงในตรอกเดียวกัน แม้ขนาด/รูปร่างแตกต่าง แต่วิถีทางกายภาพคล้ายกันอย่างน่าทึ่ง—บทเรียนประจำทางของน้ำแข็งยักษ์จากขั้วโลก

ประเด็นเชิงวิทยาศาสตร์–นโยบายจากขั้วโลกถึงชายฝั่งเอเชีย

  1. ระดับน้ำทะเล: ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ไกล
    แม้ A23a จะละลายอยู่ไกลโพ้น แต่ระบบโลกเชื่อมโยงกันผ่านมหาสมุทรเส้นเดียว การเปลี่ยนแปลงของแนวน้ำแข็ง–ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาคือหนึ่งในตัวแปรสำคัญของระดับน้ำทะเลระยะยาว รายงานวิชาการและฐานข้อมูลของ NASA/NSIDC อธิบายตรงกันว่า หากแนวน้ำแข็งเปราะลง ธารน้ำแข็งบนบกหลายสายในแอนตาร์กติกาตะวันตกย่อมมีโอกาสไหลเร็วขึ้น—ผลสะสมแปลความได้เป็น “เซนติเมตร–ทศวรรษ” ของระดับน้ำทะเลในศตวรรษนี้ ซึ่งสะท้อนโดยตรงถึงความเสี่ยงค่อยเป็นค่อยไปของเมืองชายฝั่งทั่วโลก รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  2. ข้อมูล–ดาวเทียม–เรือสำรวจ: ทำไม “การสังเกต” คือเกราะชั้นแรก
    กรณี A23a แสดงให้เห็นบทบาทของภาพถ่ายดาวเทียม (เช่น ภาพจาก NASA Earth Observatory) ในการติดตามพื้นที่/ความหนา/การแตกร้าวของน้ำแข็งแบบเกือบเรียลไทม์ ควบคู่กับการเก็บตัวอย่างภาคสนามจากเรือวิจัย (เช่น RRS Sir David Attenborough) เพื่อไขกลไกทางสมุทรศาสตร์/ชีววิทยาที่ภาพถ่ายมองไม่เห็น สิ่งนี้สำคัญต่อการ “ปรับปรุงแบบจำลอง” ให้น่าเชื่อถือขึ้น—เป็นพื้นฐานต่อการตัดสินใจด้านนโยบายในระดับประเทศ–ภูมิภาค
  3. ความรู้ความเข้าใจของสาธารณะ: แยกแยะ “ธรรมชาติ” กับ “ภาวะโลกร้อนเร่งกระบวนการ”
    การแตกของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในศตวรรษที่อุณหภูมิโลกและมหาสมุทรสูงขึ้น การเกิดซ้ำ/การละลายเร็วขึ้นของน้ำแข็งที่หลุดแล้ว “สื่อสาร” ข้อเท็จจริงว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงในแบบที่ระบบนิเวศคุ้นเคยน้อยลง—ข้อเท็จจริงที่ BAS, NASA และหน่วยงานวิทยาศาสตร์ต่างชี้มาต่อเนื่อง และย้ำว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเป็น “ยาแก้เหตุ” เพียงชนิดเดียวที่มีอยู่ในมือมนุษย์ตอนนี้

คำถามที่สังคมควรถาม

  • เราจะวัดความเสี่ยงอย่างไร เมื่อ “การสูญเสียแนวน้ำแข็ง” วันนี้อาจแปลเป็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในอีกหลายทศวรรษ—นานพอจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายหลายรุ่นชะล่าใจ แต่สั้นเกินไปสำหรับเมืองชายฝั่งที่จะเตรียมการรับมือแบบค่อยเป็นค่อยไป
  • เราจะลงทุนในข้อมูล/ระบบเตือนภัยเพียงพอหรือยัง ทั้งดาวเทียม (ความละเอียด–ความถี่), เรือสำรวจ, ทุ่นสำรวจน้ำลึก, และศักยภาพสถาบันวิจัยท้องถิ่น เพื่อให้ข้อเท็จจริงไม่ล่าช้าจน “ตามหลัง” การเปลี่ยนแปลง
  • เราจะทำอย่างไรกับความไม่แน่นอน ในแบบจำลอง เมื่อระบบน้ำแข็ง–มหาสมุทรมีปฏิสัมพันธ์ซับซ้อน—คำตอบหนึ่งคือ “เพิ่มการสังเกต–ลดความไม่รู้” เพื่อให้การคาดการณ์ระดับน้ำทะเลและนโยบายปรับตัวมีฐานวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงขึ้น

เมื่อยักษ์ล้มหาย—โลกฝากจดหมายถึงเรา

การสลายตัวของ A23a ไม่ใช่เพียงฉากธรรมชาติ หากคือ จดหมายเตือน” จากขั้วโลกถึงสังคมมนุษย์ ว่ามหาสมุทรที่อุ่นขึ้นกำลังรื้อฟื้นสมดุลใหม่กับน้ำแข็งที่เราเคยคิดว่า “นิ่ง” การรับมือจึงต้องพ้นไปจากการจ้อง “ก้อนน้ำแข็ง” ก้อนใดก้อนหนึ่ง หากต้องมองระบบทั้งหมด—แนวน้ำแข็งที่หนุนธารน้ำแข็ง, มหาสมุทรที่เก็บความร้อน, ห่วงโซ่ชีวภาพที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง และเมืองชายฝั่งที่เป็นแนวหน้าในการรับแรงกระแทก
ดังนั้น นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามอย่างเป็นระบบ สิ่งที่เราต้องการคือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลและการปรับตัว, และ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ซื่อสัตย์และเข้าใจง่าย—เพื่อให้สังคมตัดสินใจบนความจริง ไม่ใช่ความกลัวหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อน ยักษ์น้ำแข็งอาจแหลกสลาย แต่ข้อความจากมันชัดเจน—เวลาของการผัดวันประกันพรุ่งหมดแล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • British Antarctic Survey (BAS)
  • British Antarctic Survey (Newsroom)
  • NASA Earth Observatory
  • NASA Earth Observatory
  • NSIDC (National Snow & Ice Data Center)
  • NOAA Climate
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เซ็นทรัลเชียงราย-มทบ.37 จับมือ “บำบัดทุกข์-บำรุงสุข” มอบเงินหนุนภารกิจประชาชน

เซ็นทรัล เชียงราย–มทบ.37 จับมือ “บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” มอบเงินสนับสนุน 20,000 บาท เสริมภารกิจช่วยเหลือประชาชน พร้อมเปิดเวทีดนตรีเชื่อมใจชุมชน

เชียงราย, 10 กันยายน 2568 – การผนึกกำลังระหว่างภาคเอกชนและหน่วยงานทหารกำลังขยายบทบาทจาก “แนวหลัง” มาสู่ “แนวหน้า” ของการรับมือปัญหาสาธารณะและการเยียวยาจิตใจผู้คน เมื่อ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย มอบเงินสนับสนุน 20,000 บาท แก่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เพื่อใช้ในภารกิจบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชน พร้อมจัดกิจกรรมดนตรีโดย หมวดดุริยางค์ มทบ.37 เพื่อส่งต่อความสุขในพื้นที่สาธารณะของเมือง

พิธีรับมอบจัดขึ้นวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 19.00 น. ณ บริเวณชั้น G ของศูนย์การค้า โดยมี คุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เป็นผู้แทนส่งมอบ และ พันเอก โรมรัน ชูก้าน รองผู้บัญชาการ มทบ.37 เป็นผู้แทนรับมอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ท่ามกลางประชาชนที่แวะเวียนรับชมการแสดงดนตรี ซึ่งถูกออกแบบให้เป็น “เวทีกลางเมือง” สำหรับสร้างพื้นที่ร่วมทางวัฒนธรรมและเสริมแรงใจในช่วงปลายปี

 “เงินสนับสนุน” ฉายภาพภารกิจที่มองไม่เห็น

แม้จำนวนเงินสนับสนุนจะไม่สูงเมื่อเทียบกับงบประมาณภาครัฐ แต่ในบริบทภารกิจเชิงพื้นที่ของ มทบ.37 ที่ต้องเคลื่อนกำลังและอุปกรณ์อย่างฉับพลันในสถานการณ์วิกฤต เงินทุกบาทคือเชื้อเพลิงปฏิบัติการ ตั้งแต่ค่าน้ำมันรถกู้ภัย ค่าบำรุงรักษาเครื่องมือ ไปจนถึงวัสดุสิ้นเปลืองสำหรับช่วยเหลือเบื้องต้น การอุดหนุนจากภาคเอกชนจึงทำหน้าที่ “ปะติดปะต่อช่องว่างทรัพยากร” ที่มักเกิดขึ้นในงานภาคสนาม โดยเฉพาะช่วงฤดูกาลเสี่ยงอุทกภัยและดินถล่มของภาคเหนือ

ยิ่งไปกว่านั้น งานด้านมนุษยธรรมต้องการทั้ง “ความพร้อม” และ “ความต่อเนื่อง” ไม่ใช่เฉพาะตอนเกิดเหตุ การสนับสนุนเชิงรุกของภาคธุรกิจช่วยให้หน่วยทหารสามารถคงความฟิตของกำลังพลและอุปกรณ์ เพิ่มโอกาสให้การเข้าถึงผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างทันการณ์ ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น

ดนตรีเป็นสะพาน “ทหาร–ประชาชน”

พร้อมกันนั้น หมวดดุริยางค์ มทบ.37 ได้เปิดการแสดงในกิจกรรม “Music Corner: เปิดพื้นที่กิจกรรมแบ่งปันความสุขในเทศกาลส่งท้ายปี” ดนตรีที่คัดสรรท่วงทำนองร่วมสมัยและเพลงอมตะกลายเป็นภาษากลางที่ทุกวัยเข้าใจตรงกัน การแสดงไม่ได้มีเพียงความบันเทิง หากแต่ตั้งใจสื่อสารบทบาท “ทหารคู่ประชาชน” ในเชิงบวก ผ่านเวทีที่เข้าถึงง่าย ไม่เป็นทางการเกินไป และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยที่จะร่วมสนทนา แลกเปลี่ยน และสะท้อนปัญหาของชุมชน

การสร้าง “จุดพบ” ระหว่างทหารกับคนเมืองท่ามกลางศูนย์การค้า ถือเป็นการย่นระยะห่างภาครัฐ–ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะในภาวะปกติ คนส่วนใหญ่อาจมีโอกาสพบเจอทหารเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภารกิจพื้นที่ปิด การใช้ดนตรีเป็น “ตัวกลาง” จึงช่วยเปิดบทสนทนาใหม่ให้ค่อย ๆ ก่อร่างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

เมื่อ CSR เชื่อม “เศรษฐกิจท้องถิ่น–ความมั่นคงมนุษย์”

เซ็นทรัล เชียงราย ในฐานะกลไกเศรษฐกิจท้องถิ่น ย่อมตระหนักว่าความมั่นคงทางสังคมกับความคึกคักทางเศรษฐกิจเดินไปด้วยกัน พื้นที่ค้าปลีกที่ปลอดภัย มิตรไมตรีของเมือง และประสบการณ์ที่ดีของผู้มาเยือน ล้วนสะท้อนกลับเป็นความน่าอยู่และน่าใช้ชีวิต การลงมือผ่านกิจกรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่จับต้องได้ เช่น การเติมทรัพยากรให้หน่วยปฏิบัติการกู้ภัย และการเปิดพื้นที่สาธารณะให้กิจกรรมสร้างสรรค์ จึงเป็นการลงทุนทางสังคมที่ “คูณผล” ทั้งด้านภาพลักษณ์ แรงสนับสนุนชุมชน และความพร้อมรับมือเหตุไม่คาดคิด

ในอีกด้านหนึ่ง มทบ.37 ซึ่งดูแลพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคเหนือช่วงบน มีภารกิจบูรณาการร่วมกับจังหวัด อปท. และหน่วยงานด้านความมั่นคง–สาธารณสุขอยู่เสมอ การได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจในพื้นที่ ทำให้การเชื่อมประสานงานกับเครือข่ายภาคเอกชนเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในยามฉุกเฉินและช่วงฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” จากแนวคิดสู่กลไก

สาระสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้คือการทำให้คำว่า “บำบัดทุกข์–บำรุงสุข” ลงสู่การปฏิบัติจริงในสามมิติ

  1. บำบัดทุกข์เชิงปฏิบัติการ
    เงินสนับสนุน 20,000 บาท แม้เป็นตัวเลขไม่ใหญ่ แต่มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับค่าใช้จ่ายเร่งด่วนในภารกิจพื้นที่ ช่วยลดขั้นตอนเชิงเอกสารและระยะเวลารอคอยงบกลาง เหมาะกับงานที่ต้องแข่งกับนาทีชีวิต
  2. บำรุงสุขเชิงสังคม–วัฒนธรรม
    เวทีดนตรีกลางศูนย์การค้า คือพื้นที่ “พักหายใจ” ของคนเมือง ช่วยลดความตึงเครียด สร้างแรงใจ และกระตุ้นการจับจ่ายหมุนเวียนในช่วงเทศกาล อีกทั้งยังเป็นเวทีสื่อสารของทหารที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้
  3. บำรุงทุนทางความไว้วางใจ
    การพบปะในพื้นที่สาธารณะ สร้างทุนสังคมระหว่างหน่วยงานรัฐ–เอกชน–ประชาชน ให้พร้อมระดมความร่วมมือได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

เล่าเรื่องผ่านผู้คน บทบาทที่เกื้อกูลกัน

แม้พิธีรับมอบจะเรียบง่าย แต่สะท้อนความเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ฝั่งศูนย์การค้าเห็นความสำคัญของ “ความพร้อมตอบสนองภัย” ในจังหวัดท่องเที่ยว–เศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ขณะที่ฝั่งทหารมองเห็นคุณค่าของ “พื้นที่กลางเมือง” ในการส่งสัญญาณเชิงบวก สื่อสารความห่วงใย และพร้อมเป็นที่พึ่งได้จริง

การตระเตรียมกิจกรรมดนตรีโดยหมวดดุริยางค์ มทบ.37 ยังชี้ให้เห็น ศิลปะการสื่อสารเชิงสาธารณะ ของหน่วยงานความมั่นคงสมัยใหม่ ว่าการยืนข้างประชาชนไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครื่องแบบและยุทโธปกรณ์เสมอไป แต่สามารถ “วางเครื่องมือ” แล้ว “ยกเครื่องดนตรี” เพื่อทำหน้าที่เชื่อมใจคนในเมือง ท่ามกลางชีวิตประจำวันอันคึกคัก

พลังหุ้นส่วนท้องถิ่นในเมืองชายแดนเหนือ

เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่คุณสมบัติ “เมืองท่องเที่ยว–ประตูการค้า–ชุมชนพหุวัฒนธรรม” อยู่ร่วมกัน การบริหารเมืองเช่นนี้ต้องอาศัย “พันธมิตรหลายชั้น” ตั้งแต่ด่านหน้าในพื้นที่ ไปจนถึงเครือข่ายธุรกิจและสาธารณสุข ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นกรณีศึกษาเล็ก ๆ ที่ชี้ว่าการขับเคลื่อนเมืองยุคใหม่ ไม่ได้อาศัยกลไกรัฐล้วน ๆ หากต้องใช้ เครือข่ายร่วมสร้าง (co-creation) ที่ทุกฝ่ายมีพื้นที่และภารกิจของตนชัดเจน

  • ความยั่งยืนเชิงระบบ จะเกิดก็ต่อเมื่อการสนับสนุนมี “ความต่อเนื่อง” มากกว่าความฉาบฉวย และผูกเข้ากับแผนงานเชิงพื้นที่ เช่น ฤดูฝน–ฤดูท่องเที่ยว–ช่วงเทศกาลสำคัญ
  • ความยืดหยุ่นเชิงปฏิบัติการ ต้องอาศัยกองหนุนทางสังคมที่พร้อมเสมอทั้งทรัพยากรและอาสาสมัคร ซึ่งภาคธุรกิจในเมืองสามารถช่วยระดมทรัพยากรและสื่อสารสาธารณะได้เร็วกว่า
  • ความไว้วางใจเชิงสังคม คือสินทรัพย์ที่สร้างยากที่สุด แต่จำเป็นที่สุดในยามวิกฤต กิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอย่างดนตรีมีพลังลดช่องว่างอย่างนุ่มนวลและต่อเนื่อง

มองไปข้างหน้าจากกิจกรรมเดียว สู่ “แพลตฟอร์มความร่วมมือ”

บนฐานความสำเร็จของงานครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถต่อยอดได้ในหลายทิศทาง

  • ตั้ง “กลไกสื่อสารฉุกเฉินร่วม” ระหว่างศูนย์การค้า–มทบ.37–จังหวัด เพื่อแจ้งเตือนสาธารณะ รวบรวมสิ่งของจำเป็น และประสานจุดอพยพ/จุดช่วยเหลือ เมื่อเกิดภัยพิบัติ
  • ขยาย “เวทีศิลปะเพื่อชุมชน” เป็นตารางกิจกรรมรายไตรมาส เปิดพื้นที่ให้วงดนตรีเยาวชน โรงเรียน และชุมชนชาติพันธุ์ร่วมแสดง สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางวัฒนธรรม
  • พัฒนา “ชุดครุภัณฑ์ฉุกเฉิน” ด้วยเงินสนับสนุนและการระดมทุนสาธารณะ เช่น ชุดไฟส่องสว่างเคลื่อนที่ เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก ชุดปฐมพยาบาลขั้นสูง เพื่อวางกระจายในจุดเสี่ยง

หากทำได้ต่อเนื่อง เมืองจะมี “กล้ามเนื้อเชิงสังคม” ที่แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันศูนย์การค้าก็จะทำหน้าที่มากกว่าพื้นที่เศรษฐกิจ แต่เป็น ศูนย์รวมพลังของเมือง ที่พร้อมยืนเคียงข้างกันในทุกจังหวะชีวิต

พลังเล็ก ๆ ที่ต่อยอดผลใหญ่

เหตุการณ์มอบเงิน 20,000 บาท และการบรรเลงดนตรีหนึ่งค่ำคืน อาจดูเล็กเมื่อเทียบกับโจทย์ความท้าทายของสังคม แต่ในเชิง “ระบบ” นี่คือจิ๊กซอว์ที่ทำให้เมืองมี ความพร้อม–ความหวัง–ความอบอุ่น มากขึ้น การเกื้อกูลกันระหว่าง เซ็นทรัล เชียงราย และ มทบ.37 จึงไม่เพียงบันทึกไว้ในหน้าข่าว หากแต่ควรถูกต่อยอดเป็นวัฒนธรรมเมืองที่ทุกภาคส่วน ร่วมรับผิดชอบและร่วมภูมิใจ ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงรายคว้ารางวัล “สุดยอดสุขาสาธารณะแห่งปี 2568”

แม่ฟ้าหลวง–เชียงรายคว้ารางวัล “สุดยอดสุขาสาธารณะแห่งปี 2568” ยกระดับมาตรฐานสนามบิน–ความเชื่อมั่นนักเดินทาง

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 – “หนึ่งในความสำคัญของท่าอากาศยานคือความสะอาดของห้องสุขา” น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) กล่าวย้ำต่อหน้าผู้แทนหน่วยงานรัฐและเอกชน ระหว่างพิธีรับรางวัล สุดยอดสุขาสาธารณะแห่งปี 2568” เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา รางวัลดังกล่าวมอบโดย ศูนย์อนามัยที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ กรมอนามัย ภายใต้กรอบมาตรฐาน ส้วมสาธารณะไทย (HAS) ซึ่งชี้วัดคุณภาพในสามมิติหลักคือ Healthy–Accessibility–Safety หรือ สะอาด–เพียงพอ/เข้าถึงได้–ปลอดภัย ตามเกณฑ์ของกรมอนามัย เพื่อยกระดับสุขาภิบาลสาธารณะและความปลอดภัยของผู้ใช้บริการสถานที่สาธารณะทั่วประเทศ โดยเกณฑ์การคัดเลือก “สุดยอดส้วมฯ” ของเขตสุขภาพที่ 1 ประจำปีนี้ยังได้กำหนดกติกาและแนวทางประเมินไว้อย่างเป็นทางการด้วย

ภาพวันรับรางวัลหลักฐานของการทำงานเชิงระบบ

พิธีมอบรางวัลจัดขึ้นที่ห้องประชุม “ตอบแทนคุณแผ่นดิน” ของท่าอากาศยาน โดยมีผู้บริหารท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ผู้แทนด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และบริษัทบริการภาคพื้น เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน รางวัลนี้สะท้อนผลลัพธ์จากการทำงานต่อเนื่องทั้งด้านดูแลความสะอาด การเพิ่มความสะดวกผู้โดยสาร และการบริหารความปลอดภัยในพื้นที่ห้องสุขา ซึ่งทชร.ระบุว่าผ่านเกณฑ์ประเมินครบถ้วน ทั้งมิติการบริหารจัดการ, ความเป็นต้นแบบ/แหล่งเรียนรู้ และการจัดสภาพแวดล้อม–นวัตกรรมบริการ ทำคะแนนรวม 91 คะแนน จากผู้เข้าร่วมประเมิน 7 สถานที่ ในเขตสุขภาพเดียวกัน

แม้ตัวเลขคะแนนจะเป็นเพียง “ผลลัพธ์ปลายทาง” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือกระบวนการ “หน้าบ้าน–หลังบ้าน” ที่เข้มงวด ตั้งแต่ความถี่การทำความสะอาดแบบเชิงรุก การจัดโครงสร้างพื้นฐานแบบแตะน้อย (touchless) ไปจนถึงระบบตรวจสอบคุณภาพและการตอบสนองต่อคำร้องเรียนอย่างทันท่วงที ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับคำแนะนำของภาคอุตสาหกรรมสนามบินระดับสากลที่เน้นความสะอาดพื้นที่สัมผัสร่วม โดยเฉพาะห้องสุขา อ่างล้างมือ และอุปกรณ์จ่ายสบู่/น้ำยาฆ่าเชื้อในรูปแบบไร้สัมผัส

ทำความเข้าใจ “HAS”มาตรฐานไทยที่ขับเคลื่อนด้วยสุขาภิบาลและความปลอดภัย

มาตรฐานส้วมสาธารณะไทย (HAS) เป็นกรอบประเมินที่กรมอนามัยใช้ผลักดันคุณภาพห้องน้ำสาธารณะในประเทศอย่างต่อเนื่อง เน้น 3 แกนหลัก ได้แก่

  • Healthy (สะอาด): เน้นความสะอาดพื้น–ผนัง–สุขภัณฑ์ การกำจัดของเสีย และระบบระบายอากาศ
  • Accessibility (เพียงพอ/เข้าถึงได้): จำนวนห้อง–การแยกเพศ–ความพร้อมใช้งาน รวมถึงการออกแบบเพื่อคนพิการ/ผู้สูงอายุ
  • Safety (ปลอดภัย): แสงสว่าง เพดาน–พื้นไม่ลื่น ป้ายสัญลักษณ์ชัดเจน รวมถึงความปลอดภัยด้านอาชญากรรม/การคุกคาม

กรอบดังกล่าวผ่านการรณรงค์และยืนยันโดยกรมอนามัยมายาวนาน พร้อมคู่มือ/เอกสารเผยแพร่มาตรฐาน และในหลายจังหวัดก็มีการจัดประกวด–ประเมิน “สุดยอดส้วมฯ” ต่อเนื่องเพื่อยกระดับพื้นที่สาธารณะให้เป็นต้นแบบ ขณะที่ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 (ภาคเหนือบน) ก็มีเอกสารกติกาการคัดเลือกฉบับทางการสำหรับปี 2568 ซึ่งทำให้กระบวนการคัดเลือกโปร่งใสและตรวจสอบได้

ทำไม “ห้องน้ำ” จึงกำหนดประสบการณ์สนามบิน

สำหรับสนามบินเชิงพาณิชย์ ห้องสุขาไม่ใช่ “พื้นที่ท้ายอาคาร” แต่เป็นจุดสัมผัสสำคัญที่ผู้โดยสารใช้ซ้ำหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนเช็กอิน ก่อนผ่านความปลอดภัย ไปจนถึงหน้าประตูขึ้นเครื่อง งานวิชาชีพด้านท่าอากาศยานยืนยันว่า การลงทุนในสุขาภิบาลและเทคโนโลยีไร้สัมผัสในห้องสุขา ช่วยยกระดับความรู้สึกปลอดภัยและประสบการณ์โดยรวม โดยเฉพาะยุคหลังโควิดที่ผู้โดยสารให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยอย่างยิ่ง แนวปฏิบัติของสมาพันธ์สนามบินนานาชาติ (ACI) จึงแนะนำให้ติดตั้งอุปกรณ์ไร้สัมผัสในห้องสุขา และเพิ่มจุดล้างมือ/เจลฆ่าเชื้อในจุดคอขวดต่าง ๆ ของกระบวนการผู้โดยสาร

ในต่างประเทศ สนามบินหลายแห่งยังติดตั้งระบบ “Smart Restroom” เพื่อรับฟังเสียงผู้ใช้แบบเรียลไทม์และปิดช่องว่างบริการอย่างฉับไว ซึ่งถูกยกเป็นกรณีศึกษาด้านประสบการณ์ผู้โดยสารในบทความวิชาชีพของ ACI สะท้อนทิศทางการจัดการเชิงข้อมูล (data-driven) ที่สนามบินไทยสามารถต่อยอดได้

“91 คะแนน” บอกอะไร ถอดบทเรียนจากเช็กลิสต์ถึงระบบงาน

คะแนนรวมที่ทชร.ได้รับ สะท้อนวัฒนธรรมความปลอดภัยและความสะอาดที่ฝังอยู่ในขั้นตอนปฏิบัติงาน ตั้งแต่

  1. การบริหารจัดการสิ่งปฏิกูล–ความสะอาดเชิงรุก
    กำหนดความถี่ทำความสะอาดตามปริมาณผู้ใช้จริง ปรับรอบให้ถี่ในช่วงพีกไฟลต์ ติดตามคุณภาพด้วยการสุ่มตรวจและบันทึกผลอย่างมีหลักฐาน
  2. โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเข้าถึง
    จำนวนห้องสุขาเพียงพอ การจัดทางสัญจร–ป้ายชัดเจน และห้องน้ำสำหรับผู้ใช้รถเข็น/ผู้สูงอายุ รวมถึงอุปกรณ์ช่วยพยุงและพื้นผิวกันลื่น
  3. ความปลอดภัยและการสื่อสาร
    ไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิดในโถงทางเดิน (ไม่นำเข้าพื้นที่ส่วนตัว) ป้ายแจ้งเหตุ–เบอร์ฉุกเฉิน รวมถึงการทำความเข้าใจข้อพึงปฏิบัติแก่ผู้โดยสารหลายภาษา

หลักคิดและรายการตรวจเหล่านี้สอดคล้องกับองค์ความรู้ของกรมอนามัยเรื่อง HAS ซึ่งใช้กันทั่วประเทศ และเชื่อมโยงกับแนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยของอุตสาหกรรมสนามบินระดับสากล

เสียงจากผู้บริหารสนามบิน “สะอาด–เข้าถึง–ปลอดภัย คือคำมั่นสัญญา”

น.ต.ดร.สมชนก ระบุในพิธีว่า “หนึ่งในความสำคัญของท่าอากาศยานคือความสะอาดของห้องสุขา” พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ส่วนหน้า–ส่วนหลัง และหน่วยงานคู่ภาคีที่ร่วมกันยกระดับมาตรฐานจนได้รับการยอมรับระดับเขตสุขภาพ นับเป็น “รางวัลรวมหมู่” ของบุคลากรที่อยู่ด่านหน้าทุกวัน ตั้งแต่แม่บ้าน วิศวกร ไปจนถึงทีมบริการผู้โดยสาร

จากแนวโน้มผู้โดยสารที่ฟื้นตัวและเส้นทางบินที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บทบาทของทชร.ในฐานะประตูเศรษฐกิจภาคเหนือฝั่งตะวันออกยิ่งเด่นชัด สนามบินดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT และเป็นหนึ่งในเครือข่ายสนามบินหลักของประเทศ ซึ่งมีภารกิจควบทั้ง “ความปลอดภัย–คุณภาพบริการ–ประสิทธิภาพการดำเนินงาน” เพื่อรองรับอุปสงค์การเดินทางและการท่องเที่ยวที่เติบโต.

มิติท่องเที่ยว–เศรษฐกิจห้องน้ำดี สร้างประสบการณ์ดีกว่าเดิม

เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง การยกระดับคุณภาพห้องสุขาในสนามบินจึงมีนัยสำคัญต่อ “ภาพจำแรก–สุดท้าย” ของนักเดินทาง เพราะผู้โดยสารจำนวนมากเข้าห้องน้ำอย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อนหรือหลังเที่ยวบิน การพบห้องสุขาที่สะอาด ปลอดภัย และเข้าถึงได้ ช่วยลด “ความเครียดการเดินทาง” และสร้างความรู้สึกไว้วางใจต่อระบบบริการโดยรวม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่หนุนให้เกิดการกลับมาใช้บริการซ้ำ และการบอกต่อในเชิงบวก โดยแนวทางของอุตสาหกรรมท่าอากาศยานก็ชี้ให้เห็นว่า การจัดวางจุดล้างมือ–แอลกอฮอล์ที่เพียงพอและระบบไร้สัมผัสในห้องสุขามีผลต่อความรู้สึกปลอดภัยและคุณภาพประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญ

เชื่อมโลกมาตรฐานสากลกับมาตรฐานไทย ทางเดินต่อจากนี้

รางวัล “สุดยอดสุขาสาธารณะฯ” คือจุดเริ่มของการยกระดับรอบใหม่ มากกว่าคำว่าจบภารกิจ ทชร.สามารถต่อยอดได้ในหลายมิติ เช่น

  • ยกระดับระบบไร้สัมผัส: โถสุขภัณฑ์–ก๊อกน้ำ–สบู่–กระดาษเช็ดมือแบบอัตโนมัติ รวมถึงประตูเข้า–ออก เพื่อ “ลดสัมผัส ลดความเสี่ยง” ตามแนวปฏิบัติที่ ACI แนะนำไว้สำหรับอาคารผู้โดยสารสมัยใหม่
  • ข้อมูลหน้างานแบบเรียลไทม์: นำระบบแจ้งเตือนคุณภาพ/การทำความสะอาด–นับผู้ใช้–แบบประเมินสั้น ๆ ติดหน้าห้องน้ำ เพื่อปรับรอบงานอย่างยืดหยุ่น คล้ายกรณีศึกษาสนามบินต่างประเทศที่ ACI เคยเผยแพร่
  • การสื่อสารหลายภาษา–สัญลักษณ์สากล: ป้ายแนะนำการใช้และช่องทางร้องเรียน–แจ้งเหตุที่เข้าใจง่าย ครอบคลุมผู้โดยสารต่างชาติ ผู้สูงวัย และผู้พิการ

รางวัลที่มากกว่าถ้วยเชิดชู เป็น “ภูมิคุ้มกันองค์กร”

  1. มิติผู้โดยสาร: ห้องสุขาที่ดีลดจุดสะดุดในการเดินทาง ย่นเวลาแช่อยู่ในคิว เพิ่มความรู้สึกปลอดภัยและความมั่นใจ
  2. มิติการดำเนินงาน: เช็กลิสต์ HAS ทำหน้าที่เป็น “แบบตรวจซ้ำ” ให้ทีมงานหมุนวงล้อ PDCA อย่างเป็นระบบ ทำให้การดูแลห้องสุขาไม่ขึ้นกับคนใดคนหนึ่ง แต่ยึดมาตรฐานร่วม
  3. มิติเศรษฐกิจ–ภาพลักษณ์เมือง: สนามบินอยู่หน้า–ท้ายประสบการณ์ท่องเที่ยว ความประทับใจพื้นที่สาธารณะช่วยต่อเติมแบรนด์จุดหมายปลายทาง
  4. มิตินโยบายสาธารณะ: HAS ทำให้ “สุขาภิบาล” กลายเป็นวาระจับต้องได้ หน่วยงานท้องถิ่น–เอกชนสามารถสมัครเข้าร่วมประเมินและยกระดับสถานที่ตนเอง เกิดการแข่งขันเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ.

จากความสะอาดสู่ความเชื่อมั่น

การได้รางวัล “สุดยอดสุขาสาธารณะแห่งปี 2568” สะท้อนว่าท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กำลังเดินบนเส้นทาง สะอาด–เข้าถึง–ปลอดภัย” อย่างมีระบบและตรวจสอบได้ พร้อมต่อยอดสู่เทคโนโลยี–ข้อมูล–นวัตกรรมบริการที่ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้สนามบินทุกกลุ่ม ในวันที่การเดินทางแข่งขันกันด้วย “ประสบการณ์” รายละเอียดอย่างห้องสุขา คือสมรภูมิเล็กที่ชี้ชะตาความประทับใจใหญ่ของเมืองและประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • กพท. (CAAT) eAIP Thailand, แฟ้มข้อมูลสนามบิน (Operator: Airports of Thailand PLC).
  • Airports Council International (ACI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย–ลาวเปิดฉาก “ลาดตระเวนร่วม” สกัดภัยข้ามแดนจากสามเหลี่ยมทองคำ

สมรภูมิแม่น้ำโขง ไทย–ลาว “ลาดตระเวนร่วม” เชียงของ สกัดภัยข้ามแดน—เปิดฉากความร่วมมือสู้ปัญหาซับซ้อนจากสามเหลี่ยมทองคำ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 — เสียงเครื่องยนต์เรือตรวจการณ์แล่นฉีกผิวน้ำโขงยามเช้า หน้า สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–บ่อแก้ว) ขณะที่กำลังพลจากทั้งสองฝั่งแม่น้ำยืนประจำจุด ดูแลอุปกรณ์สื่อสารและแผนที่เดินเรือ ปฏิบัติการ ลาดตระเวนร่วมทางน้ำ” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี พ.อ.มีชัย นิลศาสตร์ รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง (กกล.ผาเมือง) และ พ.อ.แสงเพ็ด แสงมะนี หัวหน้าการทหาร บก.ทหาร แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ทำหน้าที่ประธานร่วม ณ จุดยุทธศาสตร์ริมโขงในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อสกัดกั้น ยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง และการลำเลียงสินค้าผิดกฎหมายที่คุกคามความมั่นคงสองประเทศอย่างต่อเนื่อง

การลาดตระเวนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะกิจ หากเป็น “ภาพสะท้อน” ของกรอบความร่วมมือความมั่นคงไทย–ลาวที่ยกระดับตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ระดับผู้นำรัฐบาลลงมาถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ตามเป้าหมายเดียวกันคือ ลดความรุนแรงของอาชญากรรมข้ามชาติในลุ่มน้ำโขง และ ทำให้พรมแดนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนและเศรษฐกิจชายแดน

โจทย์ใหญ่หน้าด่าน ยาเสพติดทะลัก–ภัยมั่วรูปแบบในลุ่มน้ำโขง

ตลอด 4–5 ปีที่ผ่านมา ลุ่มน้ำโขงเผชิญ “พายุสังเคราะห์” จากยาเสพติดชนิดเมทแอมเฟตามีนที่ ทำสถิติยึดจับสูงเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่อง องค์การสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า ปี 2567 (ค.ศ. 2024) เมทแอมเฟตามีนที่ถูกยึดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงถึง 236 ตัน เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน และยังพบการปรับตัวของเครือข่ายผลิต–ลำเลียงด้วยเส้นทางใหม่และเทคนิคพรางตัวซับซ้อนมากขึ้น นั่นทำให้ “แนวหน้า” อย่างเชียงรายและบ่อแก้วต้องรับภาระกดดันหนักหน่วงกว่าที่เคย

สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเชื่อมพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา ยังคงเป็น “ครัวโลก” ผลิตเมทแอมเฟตามีนและยาเสพติดสังเคราะห์รูปแบบต่างๆ หลายเครือข่ายมี ศักยภาพกึ่งกองกำลัง และถักทอสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์กับธุรกิจในพื้นที่ชายแดน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายต้องพึ่งทั้ง ข่าวกรอง การสกัดกั้นเชิงลึก และความร่วมมือทวิภาคีที่ต่อเนื่อง มากกว่าการตั้งด่านหรือออกเรือตรวจแบบเดี่ยว ๆ

ไทย–ลาว” ขยับพร้อมกัน จากโต๊ะผู้นำสู่เรือตรวจการณ์หน้าน้ำ

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้นำรัฐบาลไทยและลาวหารือที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เห็นพ้องยกระดับความร่วมมือ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์–ยาเสพติด ควบคู่การจัดการ หมอกควันข้ามแดน และการเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคี นับเป็นสัญญาณชัดเจนว่าความมั่นคงชายแดนถูกผูกเข้ากับวาระเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในแพ็กเกจความร่วมมือเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นองค์รวม

ระดับพื้นที่ก็ขยับจริงจังตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งการลงนาม MOU ด้านปราบปรามยาเสพติด ระหว่างหน่วยทหารชายแดนสองประเทศในแนวโขง และการปฏิบัติการ “No Drugs No Dealers” ที่ฝ่ายไทย–ลาวเปิดแถลงข่าวขับเคลื่อนร่วมกัน เน้นการเชื่อมโยงข้อมูล–ขยายผลถึงเครือข่ายการเงิน ของผู้ค้ายาเสพติด ไม่ใช่จับเฉพาะหน้าด่านแล้วจบ

กกล.ผาเมือง ในฐานะกำลังหลักแนวเหนือ มีภารกิจเฝ้าระวัง–ป้องกันชายแดนครอบคลุมหลายจังหวัด ตั้งแต่เชียงราย–เชียงใหม่–พะเยา–น่าน–อุตรดิตถ์–พิษณุโลก ทำงานทั้งมิติทหาร ความมั่นคงภายใน และกิจการพลเรือน เพื่อให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของการดูแลความปลอดภัยตลอดแนวป่าเขาและลำน้ำ

ภูมิทัศน์ภัยคุกคาม จาก “กองกำลังนอกภาครัฐ” ถึง “เศรษฐกิจเงา” ในเขตพัฒนา

รายงานของฝ่ายความมั่นคงนานาชาติหลายฉบับชี้ว่า เครือข่ายอาชญากรรมในสามเหลี่ยมทองคำมีความเชื่อมโยงกับ กองกำลังติดอาวุธนอกภาครัฐในเมียนมา ขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุ กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) เป็นหนึ่งในองค์กรค้ายาเสพติดที่มีขีดความสามารถสูง มีโครงสร้างกึ่งรัฐและกำลังพลพร้อมอาวุธครบมือ ทำให้แรงกดดันแนวชายแดนไทย–ลาว–เมียนมาไม่ใช่โจทย์ “ตำรวจ–ทหาร” แบบเดิมอีกต่อไป

ในอีกมิติหนึ่ง หน่วยงานกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (OFAC) เคยประกาศ คว่ำบาตรเครือข่าย “จ้าว เหว่ย” (Zhao Wei Network) ผู้บริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (GTSEZ) ฐานเกี่ยวข้อง ฟอกเงิน–ค้ายา–ค้ามนุษย์ และใช้นิติบุคคลบังหน้าเพื่อแทรกซึมระบบเศรษฐกิจชายแดนในลาว—ประเด็นนี้สะท้อนภาพ “เศรษฐกิจเงา” ที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานถูกกฎหมายเป็นช่องทางเคลื่อนย้ายทุนมืดและคนผิดกฎหมาย

แรงสั่นสะเทือนถึงฝั่งไทย กระสุน–แรงระเบิดลามข้ามพรมแดน

ความรุนแรงจากฝั่งบ่อแก้ว สปป.ลาว ลามผลกระทบถึงบ้านเรือนฝั่งเชียงราย หลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นภาษาอังกฤษรายงานกรณีกระสุนจากเหตุปะทะตกใส่หลังคาบ้านในไทย และยังมีข่าวเหตุระเบิดในบ่อแก้วที่สร้างแรงสั่นสะเทือนใกล้จุดผ่านแดน—ทั้งหมดนี้ยืนยันว่า ความไม่สงบชายแดนไม่ได้หยุดอยู่กลางน้ำ แต่ กระทบความปลอดภัยประชาชนไทยโดยตรง และบีบให้ต้องยกระดับกลไกเตือนภัย–สื่อสารสาธารณะในพื้นที่

สกัด–ขยายผล–ทำลายทุน” ยุทธศาสตร์กกล.ผาเมืองบนสมรภูมิแม่น้ำ

โครงงานลาดตระเวนร่วม 8 กันยายนนี้ จึงถูกวางบทบาทเป็น ฟันเฟืองเชื่อมยุทธศาสตร์ 3 ชั้น

  1. สกัดกั้นปลายน้ำ บนลำน้ำโขงด้วยเรือตรวจการณ์ผสมไทย–ลาว ควบคุมช่องทางเสี่ยง การขึ้น–ลงสินค้าเถื่อน และเส้นทางคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมมาตรการคัดกรอง–สืบสวนภาคสนามร่วมกัน
  2. ขยายผลกลางน้ำ ด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวกรองอย่างเป็นระบบกับหน่วยงานคู่ขนาน เช่น ป.ป.ส. ฝ่ายปกครอง ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยต่อต้านการฟอกเงิน เพื่อเชื่อมโยง “ของ–คน–ทุน” เข้าด้วยกัน ไม่ให้คดีหยุดที่ของกลาง
  3. ทำลายทุนต้นน้ำ ผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐบาล—อาศัยแรงส่งทางการทูต เศรษฐกิจ และกฎหมายระหว่างประเทศ บีบช่องทางระดมทุน–เคลื่อนย้ายเงินของเครือข่ายอาชญากรรมในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจชายแดน

หลักฐานเชิงประจักษ์ คดีสกัดจับ “หลายล้านเม็ด” ที่ทำให้ภาพชัด

เพียงดูสถิติการยึดยาเสพติดใน แนวเหนือ–ลุ่มน้ำโขง จะเห็นความเข้มข้นของปัญหา—ข่าวการจับยึดยาบ้าระดับ หลักล้านเม็ด เกิดขึ้นถี่ในเชียงราย–เชียงใหม่ตลอดปี อาทิ

  • คดี 2.8 ล้านเม็ด ที่อำเภอแม่สาย—ตอกย้ำว่าแนวชายแดนบนสุดยังเป็น เป้าหมายหลัก ของขบวนการ
  • คดี 4.2 ล้านเม็ด เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และ 600,000 เม็ด แถวเชียงดาว—สะท้อนเส้นทางเชื่อมต่อจากด่านหน้าสู่ “พื้นที่ชั้นใน”
  • อีกด้านหนึ่ง ในฝั่งลาวยังเร่ง กวาดล้างล็อตใหญ่ หลายคดีในแขวงภาคเหนือ สะท้อนแรงกดดันต่อเครือข่ายจากทั้งสองฝั่ง

ภาพรวมเหล่านี้สอดรับกับข้อมูล UNODC ที่ระบุแนวโน้ม การผลิต–ลักลอบเพิ่มขึ้น และ เส้นทางขนส่งปรับตัว อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ข้ามแม่น้ำ–ถนนเลียบโขง–วงแหวนรอบนอกเมืองชายแดน ก่อนเข้าสู่โครงข่ายขนส่งตอนใน

 “พรมแดนปลอดภัยคือเศรษฐกิจที่เดินหน้าได้”

ฝ่ายความมั่นคงย้ำมาตลอดว่า พรมแดนปลอดภัย = ชายแดนคึกคัก” ทั้งการท่องเที่ยว การค้า ตลาดริมโขง และโลจิสติกส์ข้ามแดน สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ซึ่งเป็นเสาหลักการค้าระหว่างเชียงของกับบ่อแก้ว—จะทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อความเสี่ยงอาชญากรรมลดลง การลาดตระเวนร่วมจึง ไม่ได้มีค่าเฉพาะด้านความมั่นคง แต่ยังเป็น การคุ้มครองปากท้อง ของคนชายแดน ทั้งพ่อค้า–แม่ค้า ผู้ขับเรือ นักท่องเที่ยว และแรงงาน

ทำไม “ลาดตระเวนร่วม” จึงจำเป็น แต่ยังไม่พอ

ปัญหายาเสพติด–อาชญากรรมข้ามชาติ “โตเร็วกว่าเครื่องมือรัฐ” เครือข่ายใช้เทคโนโลยีสื่อสารเข้ารหัส เส้นทางย่อยหลบเลี่ยงด่าน และ ทุนการเงินข้ามแดน ที่โยงกับธุรกิจพรางตัว การลาดตระเวนร่วมช่วย ลดแรงกดดันปลายน้ำ ได้จริง แต่จะยั่งยืนก็ต่อเมื่อ ข้อมูลข่าวกรอง–การสืบสวนทางการเงิน ทำงานคู่ขนานจนปิดวงจรทุนผิดกฎหมาย ซึ่งความไม่สงบในแขวงบ่อแก้ว และเหตุปะทะตามแนวชายแดน แสดงให้เห็นว่าโจทย์นี้ ทับซ้อนความมั่นคง–การเมือง–เศรษฐกิจ การเตรียมแผนอพยพ–แจ้งเตือนประชาชน–ซ้อมรับเหตุฉุกเฉิน ต้องเป็น มาตรฐานประจำ ของจังหวัดแนวโขง ไม่ใช่เฉพาะช่วงข่าวดัง โดยความร่วมมือระดับผู้นำไทย–ลาวที่ประกาศต่อสาธารณะ สร้าง “แรงหนุนเชิงนโยบาย” ดีแล้ว ขั้นต่อไปคือ คณะทำงานร่วมถาวร ที่จัดลำดับความสำคัญร่วมกัน ชุดปฏิบัติการผสมที่ ใช้ฐานข้อมูลเดียวกันแบบเรียลไทม์ และกลไกหมุนเวียนกำลัง–งบประมาณที่คงเส้นคงวา เพื่อไม่ให้ความร่วมมือสะดุดตามวาระ

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

  1. ยกระดับ “ข่าวกรองร่วม” ระหว่างหน่วยไทย–ลาว โดยตั้งศูนย์ข้อมูลผสมริมโขง เชื่อมระบบสืบสวนทางการเงิน ป.ป.ส.–AMLO เข้ากับข้อมูลพรมแดนลาว เพื่อ ปิดวงจรทุนและคน พร้อมกัน
  2. คุมความเสี่ยงเขตเศรษฐกิจ–โลจิสติกส์ โดยคัดกรองผู้ประกอบการ–การเงินในพื้นที่พัฒนา ร่วมกับสถาบันการเงิน และใช้อำนาจทางการทูต–คว่ำบาตรพุ่งเป้าเครือข่ายที่ถูกระบุจากต่างประเทศ
  3. ลงทุน “ความปลอดภัยของชุมชน” เพิ่มเครือข่ายข่าวสารหมู่บ้าน–ท่าเรือท้องถิ่น สนับสนุนค่าตอบแทนแหล่งข่าวและเทคโนโลยีแจ้งเหตุเร็ว เพื่อให้ประชาชนเป็น ตา–หู ที่ไว้ใจได้ของรัฐ
  4. ซ้อมแผนฉุกเฉินแนวโขง ครอบคลุมหัวข้อ “กระสุน–ระเบิดข้ามแดน” และการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก บนหลักฐานจากเหตุการณ์จริงในรอบปี

ปฏิบัติการลาดตระเวนร่วมทางน้ำ เชียงของ–บ่อแก้ว 8 กันยายน 2568 คือสัญญาณสำคัญว่าไทย–ลาว ยืนแถวเดียวกัน ต่อหน้าปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ความสำเร็จจะไม่วัดเพียงจำนวนเรือหรือเที่ยวลาดตระเวน แต่ต้องวัดที่ การลดความเสี่ยงจริง ต่อประชาชนชายแดน การทำลายวงจรทุนผิดกฎหมาย และความเชื่อมั่นของผู้ค้า–นักท่องเที่ยวที่กลับคืนมา แม่น้ำโขงคือเส้นเลือดใหญ่ของภูมิภาค ปลอดภัยเมื่อใด เศรษฐกิจก็สูบฉีดเมื่อนั้น—และความร่วมมือวันนี้คือก้าวที่จำเป็นเพื่อไปให้ถึงวันนั้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองกำลังผาเมือง
  • หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย
  • กองบัญชาการทหาร แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
  • ข้อมูลจากรายงานเชิงวิเคราะห์การลาดตระเวนร่วมตามลำแม่น้ำโขงและพลวัตความมั่นคงชายแดนไทย-ลาว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ความเชื่อปะทะกฎหมาย เชียงรายคลี่คลายปมสุสานลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. ชั่วคราว

ความเชื่อปะทะกฎหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ปมฝังศพลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. แม่จัน คลี่คลายชั่วคราวด้วยคำมั่นตั้งสุสานสาธารณะ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 –ที่ว่าการอำเภอแม่จันเต็มไปด้วยคนกว่า 300 คนที่ยืนแน่นในเช้าวันจันทร์อึมครึม ฝนพรำเบาๆ แต่ป้ายผ้ากลับชัดเจน พวกเขามาเรียกร้อง “หยุดขุดหลุมศพบรรพบุรุษ” และขอให้รัฐ “มองเห็นความเชื่อ” ของชุมชนชาติพันธุ์บนดอยบ้านเล่าชีก๋วย ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เหตุเริ่มจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายร่าง “พ่อเฒ่าจะแก จิตเอื้ออังกูร” ผู้อาวุโสชาวลาหู่ ที่ครอบครัวฝังไว้ในสวน 15 ไร่ซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก. และ ส.ท.ก. ตามคำสั่งเสียของผู้ตายเมื่อเมษายน 2567 ก่อนเกิดข้อพิพาทยืดเยื้อเกือบสองปี

ช่วงบ่าย วันเดียวกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ เข้าพบชาวบ้านและให้คำมั่น “ระงับการขุดย้ายศพ” พร้อมเร่งวางแผน “ตั้งสุสานสาธารณะ” เพื่อเป็นทางออกเฉพาะพื้นที่ ชาวบ้านจึงแยกย้ายด้วยความหวัง แต่รู้ว่าศึกหลักยังอยู่ในชั้นกฎหมายและศาลปกครองเชียงใหม่ที่เริ่มรับเรื่องร้องทุกข์ไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้มีรายงานโดยสื่อท้องถิ่นหลายสำนัก เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 เช่น สยามรัฐ และมติชนออนไลน์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันของสังคมต่อการจัดการศพในพื้นที่เกษตรกรรมปฏิรูปของรัฐอย่างชัดเจน

ปมขัดแย้ง 3 ชั้น ที่ดิน ส.ป.ก., กฎหมายสุสาน และความเชื่อชาติพันธุ์

แก่นเรื่องไม่ได้มีเพียง “หลุมศพหนึ่งหลุม” แต่คือการทับซ้อนกันของกฎหมายที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, กฎหมายสาธารณสุขด้านสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เป็นสิทธิทำกินเพื่อเกษตรกรรม ห้ามใช้ผิดวัตถุประสงค์ และห้ามโอนเว้นมรดก การใช้เพื่อกิจการอื่นต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ ส.ป.ก. และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงนี้ชี้ว่าการตั้งสุสานถาวรในที่ ส.ป.ก. ต้องผ่านการพิจารณาและอนุญาตตามขั้นตอน ไม่ใช่เพียงความยินยอมของชุมชนฝ่ายเดียว  การฝังศพนอกสุสานที่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องอ่อนไหวตาม พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528 ซึ่งกำหนดให้การเก็บ ฝัง หรือเผาศพ ต้องทำในสุสานสาธารณะหรือเอกชนที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีเฉพาะจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น (มาตรา 10) อำนาจอนุญาตอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพื้นที่ หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นหัวใจที่รัฐต้องรับฟัง ชาวลาหู่มีธรรมเนียมฝังศพในที่ทำกินของตนเอง โดยประกอบพิธี “เสี่ยงทายไข่” เพื่อขอความยินยอมจากวิญญาณผู้ตาย และมีพิธี “ส่งผี” เพื่อให้ดวงวิญญาณไม่กลับมารบกวนคนเป็น ขณะเดียวกัน ชาวเมี่ยน (อิ้วเมี่ยน) ให้ความสำคัญกับชัยภูมิแบบจีน หรือ “เขาหัว–หางมังกร” ตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อความสวัสดิมงคลของสายตระกูล ความเชื่อทั้งสองชุดล้วนจริงจัง และมีฐานทางมานุษยวิทยารองรับ

เสียงจากสองฟากความเชื่อ “วิญญาณต้องพัก” ปะทะ “พลังชี่ของหมู่บ้าน”

ฝั่งครอบครัวผู้ตายยืนยันว่าการฝังในสวนตามคำสั่งเสียและพิธีกรรมชุมชนคือ “การส่งคนกลับบ้าน” เป็นวิถีสืบทอดหลายชั่วอายุคน และไม่ได้กระทบสิ่งแวดล้อมหรือความสงบสุขของใคร ขณะที่ฝ่ายคัดค้านซึ่งเป็นชาวเมี่ยนในพื้นที่ใกล้เคียงมองว่า จุดฝังอยู่ในแนว “หัว–หางมังกร” และ “หมอนหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นตำแหน่งค้ำชูพลังของชุมชน การมีหลุมศพ ณ จุดนั้นเท่ากับรบกวนกระแส ชี่ ที่เกื้อหนุนลูกหลาน

ข้อมูลทางชาติพันธุ์แสดงว่า ชาวเมี่ยนรับอิทธิพลลัทธิเต๋าและศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างเข้มข้น การเลือกทำเลสุสานจึงเป็นการ “ลงทุนทางจิตวิญญาณ” ระยะยาว เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล ในบางพื้นที่ยังใช้การเสี่ยงทายประกอบการพิจารณาชัยภูมิด้วย ขณะเดียวกัน เอกสารภาคสนามเกี่ยวกับชาวลาหู่ระบุพิธีกรรมเสี่ยงทายไข่และชุดพิธี “กักกันวิญญาณ” หลังฝังศพไว้อย่างละเอียด ซึ่งทำให้เข้าใจแรงผลักดันของทั้งสองชุมชนได้ดีขึ้น

ทำไม “ย้ายศพ” จึงกลายเป็นชนวนใหญ่

ปัญหาขยายตัวเมื่อคำสั่งทางปกครองให้ “ขุดย้ายศพ” ถูกมองว่าเป็นการละเลยกระบวนการมีส่วนร่วมและความเชื่อท้องถิ่น อีกทั้งอาจกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ให้ใครก็ตามใช้กฎหมายกดดันกันในอนาคต หากฝ่ายหนึ่งถือข้อกฎหมายที่แข็ง อีกฝ่ายย่อมยึด “สิทธิทางวัฒนธรรม” ที่ยืนยาวกว่าในความทรงจำรวมหมู่

ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 คำสั่งทางปกครองต้องชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม มีเหตุผล สนองประโยชน์สาธารณะ และคู่กรณีมีสิทธิอุทธรณ์ได้ ขณะเดียวกัน ศาลปกครอง มีอำนาจออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาทุกข์ก่อนพิพากษา หากการบังคับตามคำสั่งจะก่อให้เกิดความเสียหายยากแก่การเยียวยาภายหลัง กลไกนี้มักถูกใช้ในคดีชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่มี “ความเสียหายถาวร” เป็นเดิมพัน ซึ่งเข้ากรอบคดีนี้อย่างชัดเจน

 “เบรกชั่วคราว” แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่

คำมั่นของรองผู้ว่าฯ ที่จะระงับการขุดย้าย และผลักดัน “สุสานสาธารณะ” เป็นทางออกระยะสั้นที่ลดแรงปะทะทันที แต่การตั้งสุสานต้องผ่านการอนุญาตและการจัดสรรพื้นที่ตามกฎหมายสุสาน อีกทั้งต้องดู ฐานสิทธิ ของที่ดิน หากอยู่ในเขต ส.ป.ก. การใช้เพื่อกิจการสาธารณะอาจทำได้ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบและจัดกระบวนการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์หลักด้านเกษตรกรรม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดจำเป็นต้องวางขั้นตอน 3 ช่วง คือ จัดพื้นที่, จัดสิทธิ, และ จัดการ

  1. จัดพื้นที่ คัดเลือกที่เหมาะสมโดยใช้เกณฑ์ด้านสาธารณสุข ภูมิประเทศ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรับฟังความเชื่อของชุมชนโดยตรงผ่านวงปรึกษาหารือหลายชาติพันธุ์
  2. จัดสิทธิ ตรวจฐานสิทธิที่ดิน หากใช้ที่ ส.ป.ก. ต้องขอความเห็นชอบตามระเบียบ และออกใบอนุญาตสุสานตาม พ.ร.บ.สุสานฯ ให้ครบถ้วน
  3. จัดการ กำหนดระเบียบการใช้สุสานร่วม วางแนวทางพิธีกรรมที่เคารพความหลากหลาย แต่ไม่กระทบสาธารณสุข

เรื่องเล่าจากชายแดน เมื่อ “สุสาน” คือแผนที่ของชุมชน

ผู้เฒ่าชาวลาหู่เคยสรุปสั้นๆ ว่า “ฝังศพไว้ที่ดินกิน ที่ดินจะจำเรา” ประโยคเดียวบอกความหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ว่าไม่ใช่แค่หลุมฝังศพ แต่เป็นหมุดหมายของสายตระกูล เป็นบันทึกเชิงพื้นที่ของความเป็นเจ้าของและการสืบสาน การย้ายศพจึงถูกมองว่าเป็นการตัดราก “ตัวตน” ของครอบครัว ขณะที่ชาวเมี่ยนมองภูเขาเป็น “สรีระของมังกร” สุสานที่วางถูกตำราไม่เพียงคุ้มครองผู้จากไป แต่ส่งพลังเกื้อหนุนลูกหลาน นี่จึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเรื่องตำแหน่งทางกายภาพ หากคือ “ภูมิทัศน์จิตวิญญาณ” ที่สองวัฒนธรรมอ่านต่างกัน

เอกสารชาติพันธุ์ยืนยันความซับซ้อนนี้ เช่น ฐานข้อมูลชาติพันธุ์ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ที่แสดงรากวัฒนธรรมเมี่ยนและบทบาทพิธีกรรมตามคติเต๋า รวมถึงงานวิชาการและบันทึกภาคสนามที่อธิบายพิธีศพลาหู่ตั้งแต่การเสี่ยงไข่จนถึงพิธี “ส่งผี” หลังการฝัง ซึ่งทำให้การออกแบบทางออกจำเป็นต้องให้ “ความรู้วัฒนธรรม” เป็นข้อมูลตั้งต้น ไม่ใช่เพียงภาคผนวก

นโยบาย “สามวงแหวน” เพื่อคลี่คลายอย่างยั่งยืน

วงแหวนที่ 1: กฎหมายต้องชัด
จังหวัดควรตั้งคณะทำงานกฎหมายแบบบูรณาการ ระหว่าง ส.ป.ก., อปท., สาธารณสุข, ที่ดิน และฝ่ายปกครอง เพื่อถอดบทเรียนคดีนี้เป็น “แนวปฏิบัติ” สำหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีสุสานชุมชนดั้งเดิมอยู่ก่อน พร้อมจัดทำคู่มืออนุญาตกรณีสุสานในหรือใกล้เขต ส.ป.ก. ให้สอดคล้องทั้ง พ.ร.บ.สุสานฯ และระเบียบ ส.ป.ก. ลดดุลพินิจที่เสี่ยงต่อความขัดแย้ง

วงแหวนที่ 2: วัฒนธรรมต้องนำ

ให้มี “เวทีพิธีกรรมร่วม” ระหว่างผู้นำลาหู่และเมี่ยน เพื่อออกแบบวิธีปฏิบัติที่เคารพกัน เช่น แนวกันชนทางพิธีกรรม, พื้นที่เซ่นไหว้ร่วม, หรือการย้ายหลุมในกรณีจำเป็นตามคติแต่ละฝ่าย โดยรัฐรับรองพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุญาต ไม่ใช่ขั้นตอนนอกแบบ

วงแหวนที่ 3: การสื่อสารต้องจริงใจ
สื่อสารข้อกฎหมายและผลกระทบอย่างตรงไปตรงมา ตั้งศูนย์ข้อมูลชุมชนภาคสนามที่แปลภาษากฎหมายเป็นภาษาเข้าใจง่าย พร้อมสายด่วนประสานศูนย์ดำรงธรรม สนับสนุนการไกล่เกลี่ยเชิงวัฒนธรรมเพื่อลดการปะทุในอนาคต

ทางออกเฉพาะหน้า “พักคำสั่ง – ตั้งสุสานร่วม – ทำข้อตกลงชุมชน”

ระยะสั้น ควร “พักการบังคับคำสั่งย้ายศพ” จนกว่าศาลจะมีคำสั่งชั่วคราวหรือมีผลคำพิพากษา และเดินหน้ากระบวนการตั้ง “สุสานสาธารณะ” ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายพร้อมแผนบริหารจัดการ หมุดหมายนี้ต้องเกิดจากข้อตกลงที่รับรองพิธีกรรมของทั้งสองกลุ่ม มีแผนบำรุงรักษา และระบบอนุญาตรายกรณีในอนาคต เพื่อไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งกลับมาซ้ำเดิม

ภาพรวมในเชิงสังคม คดีเล็กที่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของประเทศ

ปมแม่จันสะท้อนโจทย์ใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ นั่นคือการจัดการความหลากหลายทางวัฒนธรรมบนฐานสิทธิและกฎหมายสมัยใหม่ กฎหมายที่ออกแบบเพื่อความเป็นระเบียบ เช่น พ.ร.บ.สุสานฯ และระบบที่ดิน ส.ป.ก. มีเหตุผลเชิงสาธารณสุขและยุทธศาสตร์เกษตร แต่เมื่อปะทะกับความทรงจำยาวนานของชุมชน ชุดกฎหมายเดียวกันอาจกลายเป็น “ความไม่ยุติธรรมที่มองไม่เห็น” หากไม่มีเวทีรับฟังและกระบวนการปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบท

ดังนั้น ทางออกจึงไม่ใช่ “ชนะ–แพ้” หากคือการยอมรับว่าพื้นที่เกษตรก็เป็นพื้นที่จิตวิญญาณของผู้คน และสุสานก็เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง ที่ต้องวางแผนเชิงระบบไม่ต่างจากถนนหรือโรงเรียน

วันนี้ คำมั่น “ระงับการขุดหลุมศพ” และแนวคิด “ตั้งสุสานสาธารณะ” ทำให้ความตึงเครียดคลี่ตัวลง แต่โจทย์ใหญ่ยังคงอยู่ ระหว่างกฎหมายที่ดิน, กฎหมายสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรม การขับเคลื่อนแบบ “สามวงแหวน” ที่ชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายสร้างแบบอย่างการอยู่ร่วมต่างวัฒนธรรมที่เป็นธรรม และส่งสัญญาณไปยังพื้นที่อื่นที่มีชุมชนหลากหลายว่า ประเทศไทยสามารถจัดการ “แผนที่จิตวิญญาณ” ของผู้คนได้ด้วยกฎหมายที่เข้าใจมนุษย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528
  • แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.
  • กฎหมายปกครองและศาลปกครอง
  • ฐานข้อมูลชาติพันธุ์และพิธีกรรมงานศพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (อิ้วเมี่ยน/เมี่ยน) และเอกสารภาคสนามเกี่ยวกับพิธีศพลาหู่และการเสี่ยงทายไข่
  • Jatenipat JKboy Ketpradit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“แบนมือถือในห้องเรียน” กฎหมายใหม่ของเกาหลีใต้ที่ไทยต้องคิดตาม

เกาหลีใต้ขึ้นแท่นผู้นำโลกด้านกฎหมายแบนมือถือในห้องเรียน สมดุล “เสรีภาพนักเรียน” กับ “อนาคตชาติ” และบทเรียนที่ไทยต้องคิด

กรุงโซล, เกาหลีใต้ – 8 กันยายน 2568 ท่ามกลางความกังวลเรื่อง “โรคติดจอ” ที่กำลังกัดกร่อนสมาธิ การนอนหลับ และพัฒนาการของเยาวชนทั่วโลก เกาหลีใต้เพิ่งผ่านกฎหมายระดับชาติ “ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือและสมาร์ทดีไวซ์ในห้องเรียนระหว่างเวลาเรียน” ด้วยเสียงสนับสนุน 115 เสียง จาก 163 เสียง ในสภา มีผลบังคับใช้ เดือนมีนาคม 2569 นับเป็นหนึ่งในมาตรการเข้มที่สุดของโลก และสะท้อนการคุมเข้มพฤติกรรมดิจิทัลในห้องเรียนแบบ “กฎหมายกลาง” แทนที่จะปล่อยให้โรงเรียนกำหนดเองเหมือนหลายประเทศที่ผ่านมา โดยฝ่ายนิติบัญญัติย้ำเป้าหมายเพื่อลดภาวะพึ่งพาโซเชียลและยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนทุกระดับชั้น

แต่เมื่อกฎหมายพุ่งตรงเข้าสู่ “ชีวิตประจำวัน” ของเด็ก คำถามใหญ่อยู่ที่ว่า: การแบนในห้องเรียนแก้ปัญหาได้จริง หรือเพียงกดให้ปัญหาไหลไปนอกโรงเรียน? ฝ่ายคัดค้านเตือนถึงสิทธิของเด็ก การบังคับใช้ที่ซับซ้อน และความจำเป็นต้องแก้ต้นเหตุ ตั้งแต่ความเครียดทางการเรียน ไปถึงระบบยืนยันตัวตน–คัดกรองอายุบนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งยังเป็น “ช่องโหว่” ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน

เส้นเวลาและสาระของกฎหมาย “ปิดจอในชั้นเรียน” พร้อมข้อยกเว้น

ร่างแก้ไขกฎหมายการศึกษาระดับประถม–มัธยมของเกาหลีใต้ ผ่านสภาด้วยเสียงเห็นชอบอย่างชัดเจน กำหนดให้ ห้ามใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะในระหว่างเวลาเรียน (ทั้งในโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน) โดยมอบอำนาจให้ครูและโรงเรียนกำหนดระเบียบกำกับ พร้อม ข้อยกเว้น เพื่อการเรียนรู้เฉพาะกิจ กรณีฉุกเฉิน หรือสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งหมดจะเริ่มบังคับใช้ ภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ 2569

กฎหมายฉบับนี้ยังมีมิติทางการเมืองที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นความร่วมมือข้ามฝ่ายในสภา โดยผู้เสนอหลักชี้เหตุผลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ระดับนานาชาติเรื่องผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อสมาธิและสุขภาวะจิตใจเด็ก ขณะที่ หลายโรงเรียนในเกาหลีใต้ เดิมก็มีข้อจำกัดอยู่แล้ว กฎหมายครั้งนี้จึงเป็นการ “ยกระดับ” ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

 ครู–ผู้ปกครองเห็นผลคาบเรียน “สงบขึ้น–ตั้งใจมากขึ้น”

องค์กรครูและผู้ปกครองจำนวนมากชี้ว่า สมาร์ทโฟนคือ “ตัวรบกวนอันดับหนึ่ง” ของห้องเรียน การแบนในเวลาเรียนทำให้ บทเรียนต่อเนื่องขึ้น การมีส่วนร่วมสูงขึ้น และการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ระหว่างคาบลดลง ในหลายประเทศที่ทดลองใช้มาก่อน เช่น ฝรั่งเศส–ฟินแลนด์ ก็รายงานผลเชิงบวกในมิติความสนใจเรียน การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และบรรยากาศห้องเรียน

ฝั่งงานวิจัย เริ่มมีการทบทวนหลักฐานอย่างเป็นระบบมากขึ้นในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา โดยสรุปว่าแม้ยังขาดงานทดลองแบบสุ่มควบคุม (RCT) จำนวนมาก แต่ แนวโน้มหลักฐาน ชี้ว่าการจำกัดสมาร์ทโฟนในโรงเรียนสอดคล้องกับการเพิ่มคุณภาพบรรยากาศการเรียน ลดสิ่งรบกวน และลดพฤติกรรมเสี่ยงบางประเภท อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ขึ้นกับ รูปแบบการห้าม (บางส่วน/ทั้งหมด) และ การบังคับใช้จริง ในระดับโรงเรียน

 “กฎหมาย” ไม่ใช่ยาวิเศษ—ต้องแก้แรงกดดันเชิงโครงสร้างด้วย

กลุ่มนักเรียนและนักวิชาการบางส่วนตั้งคำถามว่า การแบนในชั้นเรียนอาจ ผลักปัญหาไปช่วงนอกเวลา โดยเฉพาะตอนกลางคืน ซึ่งคือหน้าต่างเวลาหลักของการเสพสื่อและโซเชียล ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ยังเผชิญแรงกดดันจากระบบสอบแข่งขันระดับชาติที่เข้มข้น (เช่น Suneung) ทำให้โลกออนไลน์เป็นพื้นที่ระบาย เคลื่อนไหวสังคม และพบปะเพื่อน การ “ตัดขาด” ในโรงเรียนจึงอาจต้องเดินคู่กับ บริการสนับสนุนสุขภาพจิต–โค้ชทักษะดิจิทัล ไม่เช่นนั้น การเสพติดและพฤติกรรมเสี่ยงอาจย้ายไปเกิดที่อื่นแทน

เทรนด์โลก 79 ระบบการศึกษามีนโยบายห้าม–จำกัดสมาร์ทโฟนในโรงเรียน

รายงานของ UNESCO/GEM Report ระบุว่า สิ้นปี 2567 มี 79 ระบบการศึกษา หรือราว 40% ของโลก ที่มีกฎหมาย/นโยบายห้ามใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 60 ระบบในปี 2566 สะท้อน “แนวปฏิบัติใหม่” ด้านความปลอดภัยดิจิทัลในสถานศึกษา ขณะที่ยุโรปมีหลายประเทศออกแนวทางระดับชาติ และโรงเรียนจำนวนมากใน เนเธอร์แลนด์–เบลเยียม–ฮังการี รายงานผลบวกต่อบรรยากาศการเรียนหลังจำกัดมือถือในคาบ

ที่ฝั่งสหรัฐฯ ข้อมูลจาก ศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติ (NCES) ระบุว่า โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่มี นโยบายจำกัดการใช้มือถือระหว่างเรียน แม้ไม่ใช่กฎหมายระดับชาติ สะท้อนสำนึกความจำเป็นในระดับสถานศึกษาเช่นกัน.

แล้วประเทศไทยควรทำหรือไม่ “กฎหมายกลาง” vs “แนวทางโรงเรียน”

สถานะปัจจุบันของไทย: กระทรวงศึกษาธิการไทยประกาศ “แนวคิด–แผนจำกัดอุปกรณ์ดิจิทัลในโรงเรียนสำหรับนักเรียนอายุน้อย” ตั้งแต่ สิงหาคม 2567 โดยอ้างอิงพัฒนาการและสมาธิเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไป แนวคิดดังกล่าวมุ่งเพิ่มกิจกรรมกลางแจ้ง/อ่านหนังสือคู่ขนานกับการจำกัดอุปกรณ์ แต่ยัง ไม่ใช่กฎหมายระดับชาติ ขณะที่โรงเรียนจำนวนมากมี ระเบียบโทรศัพท์ ของตนเองอยู่แล้ว (เช่น ฝาก–ปิดเสียง–ใช้ได้เฉพาะกิจ)

ในเวลาเดียวกัน ไทยกำลังเดินหน้าการลงทุน EdTech ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์สำหรับนักเรียน–ครู (เช่น โครงการจัดหาแท็บเล็ต/แล็ปท็อปเป็นแสนเครื่องในปีงบประมาณล่าสุด) เพื่อยกระดับการเรียนรู้ดิจิทัล นโยบายจึงต้อง จับคู่ ระหว่าง “ควบคุมการใช้ส่วนตัวที่รบกวนคาบเรียน” กับ “ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ที่จำเป็น” อย่างแยกแยะบริบท ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสนระหว่าง “มือถือส่วนตัว” กับ “อุปกรณ์เพื่อการเรียนรู้”

สำหรับไทย จากบทเรียนเกาหลีใต้และหลักฐานสากล

  1. เริ่มแบบขั้นบันได:
    • ระดับ อนุบาล–ประถม: จำกัดการพก/การใช้โดยหลักการ “ไม่ใช้ในคาบ” ยกเว้นการเรียน–เหตุจำเป็น
    • ระดับ มัธยม: “งดใช้ขณะเรียน” แต่เปิดช่องใช้เพื่อการเรียนรู้ตามแผนการสอนภายใต้การกำกับของครู
  2. นิยามชัด ระหว่าง “มือถือส่วนตัว” กับ “อุปกรณ์เรียนของโรงเรียน” และกำหนดโหมด/ซอฟต์แวร์ที่อนุญาต (เช่น โหมดสอบ โหมดเรียนรู้ปลอดการแจ้งเตือน)
  3. ข้อยกเว้น–ทางหนีไฟ: นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ภาวะสุขภาพ หรือกรณีฉุกเฉิน ต้องมีช่องทางสื่อสารที่ปลอดภัยภายใต้การดูแล
  4. หลักฐาน–ประเมินผล: ผูกการบังคับใช้กับ ตัวชี้วัด เช่น ระดับสมาธิ/ความร่วมมือในชั้น คะแนนงาน/สอบ คุณภาพการนอนหลับ และเหตุการณ์กลั่นแกล้งออนไลน์ภายในโรงเรียน เพื่อปรับกติกาอย่างยืดหยุ่นตามข้อมูลจริง
  5. ความร่วมมือผู้ปกครอง: ทำ “สัญญาใช้อุปกรณ์” ครอบครัว–โรงเรียน ร่วมกำหนดเวลาหน้าจอหลังเลิกเรียนและก่อนนอน สื่อสารธงแดงของพฤติกรรมเสี่ยง
  6. สุขภาพจิต–ดิจิทัล: คู่มือทักษะชีวิตดิจิทัล (Digital Wellbeing) และบริการให้คำปรึกษาในโรงเรียน เพื่อไม่ให้มาตรการกลายเป็นการ “ปิดกั้น” โดยไร้เครื่องมือดูแลใจ
  7. ขั้นกฎหมาย (หากจำเป็น): หากจะยกระดับเป็นกฎหมายกลาง ควรรับฟังความเห็นนักเรียน–ครู–ผู้ปกครองอย่างกว้างขวาง พร้อม ช่วงเปลี่ยนผ่าน และงบสนับสนุนเครื่องมือควบคุมระดับห้องเรียน (เช่น ตู้ฝาก–โหมดเรียน–ระบบเครือข่ายภายใน)

จากหลักฐานสากล แนวโน้มผลเชิงบวกมีอยู่จริง แต่ความสำเร็จผูกอยู่กับ “การออกแบบและบังคับใช้ที่ดี” มากกว่าคำว่า “แบน” เพียงคำเดียว นั่นหมายถึง ไทย ควรทำ ในระดับนโยบายโรงเรียนให้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ และพิจารณายกระดับเป็น “กรอบกฎหมาย” เฉพาะเป้าหมาย งดใช้ระหว่างคาบเรียน” พร้อมข้อยกเว้น–การประเมินผล หากข้อมูลยืนยันประโยชน์ชัดเจนจึงขยายผล

ความเสี่ยง–โอกาส สมดุล “ปลอดภัยตามค่าเริ่มต้น” กับ “การเรียนรู้ดิจิทัล”

โลกการศึกษาหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีไม่ได้ แต่ สมาร์ทโฟนส่วนตัว ที่แจ้งเตือนตลอดเวลาคืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อดึงความสนใจ จึงขัดแย้งโดยธรรมชาติกับ “การจดจ่อในคาบเรียน” หลายงานศึกษาชี้ว่า แค่มีมือถือวางอยู่ใกล้ตัวก็ลดสมาธิลงได้ และต้องใช้เวลานับสิบนาทีเพื่อดึงกลับมาสู่บทเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า การสร้างห้องเรียน ปลอดสิ่งรบกวนตามค่าเริ่มต้น (safety/attention by default) จึงเป็นกลยุทธ์ที่สมเหตุสมผล ขณะเดียวกัน โรงเรียนยังต้องส่งเสริม ทักษะดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ (เช่น การค้นคว้าอย่างมีวิจารณญาณ ความปลอดภัยไซเบอร์ การรู้เท่าทันสื่อ) ผ่านอุปกรณ์ที่ควบคุมได้และปลอดการรบกวน

กฎหมายเกาหลีใต้คือ “แรงเร่ง” ให้โลกทบทวนกติกาในห้องเรียน—ไทยควรเดินแบบ “ชัด–ยืดหยุ่น–วัดผลได้”

กฎหมายของเกาหลีใต้ที่เริ่มใช้ มีนาคม 2569 เป็นสัญญาณชัดเจนว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ สิทธิในการเรียนรู้โดยปราศจากสิ่งรบกวน ถูกยกระดับเป็น สิทธิพื้นฐานในห้องเรียน พอๆ กับสิทธิการเข้าถึงเทคโนโลยี สำหรับไทย ทางเลือกที่รอบคอบคือ มาตรฐานกลาง “งดใช้ในคาบ” ที่ช่วยครู–นักเรียนจริง พร้อมข้อยกเว้น–งบสนับสนุน–การประเมินผลอย่างต่อเนื่อง หากข้อมูลยืนยันผลดี จึงค่อยพิจารณายกระดับเป็นกฎหมาย เพื่อไม่ให้ “อำนาจบังคับใช้” ไปไกลกว่าความพร้อมของระบบ และเพื่อให้การคุ้มครองเด็ก เกิดขึ้นจริง ในทุกโรงเรียน ไม่ใช่เพียงบนกระดาษนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The Straits Times: “South Korea to ban phones in class starting March 2026”
  • Reuters: “South Korea to ban mobile phones in school classrooms”
  • TRT World
  • Korea JoongAng Daily
  • UNESCO / GEM Report: สถิติระบบการศึกษาที่มีกฎหมาย/นโยบายห้ามสมาร์ทโฟนในโรงเรียน 79 ระบบ (สิ้นปี 2567) และข้อเสนอ “ใช้สมาร์ทโฟนในโรงเรียนเฉพาะเมื่อจำเป็นต่อการเรียนรู้”
  • NCES (สหรัฐฯ)
  • SAGE Open (2024)
  • Bangkok Post
  • Education Profiles (Thailand)
  • The Nation Thailand
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News