Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ป่าไทยลด 0.03% สัญญาณเตือนถึงเชียงรายและเศรษฐกิจสีเขียวทั้งภาคเหนือ

เชียงรายเปิดหน้าต่างเศรษฐกิจสีเขียว เมื่อ “ป่าลดลงเพียง 0.03%” สะเทือนโซ่อุปทานทั้งภาคเหนือ และส่งสัญญาณถึงทั้งประเทศ

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — เช้าวันฝนโปรยบาง ๆ ที่ดอยตุง นักท่องเที่ยวหยุดยืนมองทะเลหมอกในมุมเดิม แต่เรื่องเล่าที่เปลี่ยนไปคือสถิติ “พื้นที่ป่าไม้ประเทศไทยปี 2567” ซึ่งชี้ว่าประเทศมีพื้นที่ป่า คิดเป็น 31.46% ของแผ่นดิน หรือ ราว 101.78 ล้านไร่ ลดลงจากปีก่อน –0.03% (หรือ ประมาณ 32,884 ไร่). ตัวเลขเพียงเศษเสี้ยวเปอร์เซ็นต์อาจดูเล็กน้อยในข่าวรายวัน หากมองด้วยสายตาของเศรษฐกิจฐานทรัพยากร โดยเฉพาะเมืองชายขอบอย่าง เชียงราย ที่รายได้ท่องเที่ยว เกษตรบนพื้นที่สูง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนคุณภาพน้ำต้นลำน้ำกก–อิง ล้วนผูกกับผืนป่า “ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ” นี้กำลังทดสอบภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดและภาคเหนือ

สถิติเชิงโครงสร้าง ทศวรรษที่ป่าเพิ่มไม่ทันป่าที่หายไป

ภาพรวม 10 ปี (พ.ศ. 2558–2567) ประเทศไทยมี “ป่าเพิ่ม” 331,951.68 ไร่ แต่ “ป่าลด” 832,080.72 ไร่ สะท้อนความจริงเชิงโครงสร้างว่า ความพยายามฟื้นฟูยังไล่ไม่ทันแรงกดดันจากการใช้ที่ดินและภัยเสี่ยงเดิม ๆ

เหตุผลของการ “เพิ่มขึ้น” มาจาก

  • การขยายตัวของป่าไม้ตามธรรมชาติ
  • การปลูกป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
  • การปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

เหตุผลของการ “ลดลง” ได้แก่

  • การเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินจากป่าไปเป็นกิจกรรมอื่น
  • ไฟป่า ซึ่งยังเป็นความเสี่ยงเดิมที่กำเริบซ้ำ
  • โครงการพัฒนาที่ใช้พื้นที่ป่า ซึ่งแม้มีวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจสังคม แต่กระทบ “ทุนธรรมชาติ” ต้นทาง

มุมมองเศรษฐกิจ กระดูกสันหลังรายได้

  1. ต้นทุน–ผลตอบแทนของผืนป่าต่อเศรษฐกิจเชียงราย
    เชียงรายเป็นหนึ่งในฐานเศรษฐกิจท่องเที่ยว–เกษตรคุณภาพของภาคเหนือ โครงข่ายแหล่งน้ำจากพื้นที่ป่าต้นน้ำหล่อเลี้ยงการปลูกชา–กาแฟ–ผลไม้เมืองหนาวและเกษตรอินทรีย์ที่กำลังโตในหุบเขา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ชุมชนชาติพันธุ์ และเส้นทาง “ซิตี้วอล์กธรรมชาติ” กลายเป็นรายได้กระจายสู่โฮมสเตย์ รถรับจ้าง ร้านอาหารท้องถิ่น และหัตถกรรม. เมื่อป่าหายไปทีละน้อย โซ่อุปทานนี้เผชิญ ต้นทุนแฝง ทั้งความเสี่ยงน้ำหลาก–แล้งยาว คุณภาพอากาศช่วงฤดูร้อน และค่าใช้จ่ายดูแลสุขภาพนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น ซึ่งล้วน “กัดกำไร” แบบไม่ส่งเสียง
  2. ความเสี่ยงไฟป่ากับต้นทุนควัน
    แม้สถิติปีล่าสุดชี้ว่าประเทศลดลงสุทธิเล็กน้อย แต่ ภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่สูงยังแบกรับความเสี่ยงไฟป่าและหมอกควันทุกปี ต้นทุนธุรกิจท่องเที่ยวฤดูแล้ง–ร้อนของเชียงราย (ตั้งแต่ยกเลิกทริป ไปจนถึงประกันสุขภาพนักเดินทาง) แปรผันตาม “จำนวนวันคุณภาพอากาศดี” ซึ่งขึ้นกับความสามารถในการควบคุมไฟป่าและการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่าและพื้นที่กันชน
  3. โอกาสทางเศรษฐกิจจากป่า
    ในอีกด้าน ป่าที่ “คงอยู่และเพิ่มขึ้น” กำลังกลายเป็นสินทรัพย์เศรษฐกิจใหม่ ทั้ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยั่งยืน (eco–experience), เกษตร–วนเกษตรมูลค่าสูง (ชา–กาแฟพืชพื้นถิ่น), แนวทาง การชำระค่าสบริการระบบนิเวศ (Payments for Ecosystem Services) และ ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ ที่เริ่มได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่น. สำหรับเชียงราย เมืองที่แบรนด์ “อากาศดี–ธรรมชาติสวย–วัฒนธรรมเข้ม” คือห่วงโซ่มูลค่าหลัก การรักษาผืนป่าจึงไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่คือ ยุทธศาสตร์สร้างรายได้.
  4. ความสามารถแข่งขันระดับจังหวัด
    ข้อมูลจังหวัดที่ “ป่าเพิ่มขึ้น” เช่น พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และหลายจังหวัดภาคกลาง–ตะวันออก สะท้อนบทเรียนว่าการจัดการป่าแบบมีส่วนร่วมและการวางแผนใช้ที่ดินเชิงพื้นที่ช่วย “อุดรอยรั่ว” ได้จริง จังหวัดที่ทำสำเร็จสามารถต่อยอดสู่ เศรษฐกิจสีเขียว ตั้งแต่สินค้า GI–เชิงวัฒนธรรม ไปถึงท่องเที่ยวโลว์คาร์บอน. เชียงรายซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโหนดท่องเที่ยวสำคัญ (ดอยตุง–แม่สาย–แม่ฟ้าหลวง–แม่จัน–แม่สาย) ยิ่งต้องเร่ง “เปลี่ยนความได้เปรียบด้านภูมิประเทศให้เป็นความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ” ผ่านการรักษาผืนป่า

เชียงรายในสมการภาคเหนือ ที่ต้องชัด

แม้รายชื่อจังหวัดที่ “ป่าเพิ่ม” ปีล่าสุดจะไม่ได้ระบุ เชียงราย แต่บริบทของจังหวัดก็นั่งอยู่ใจกลางโจทย์ของภาคเหนือซึ่งยัง สูญเสียพื้นที่ป่ามากที่สุด โดยสรุปภาคเหนือมีพื้นที่ป่าคิดเป็น 63.19% ของทั้งภูมิภาค (ประมาณ 37.95 ล้านไร่) แต่ ลดลงถึง 29,883.91 ไร่ ในปี 2567 — ตัวเลขนี้คือสัญญาณเตือนตรงถึงเชียงรายว่า “ภูมิภาคที่เราอยู่กำลังเสียแต้ม”

สามเหตุผลที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

  • แหล่งน้ำต้นทุนเศรษฐกิจ ลุ่มน้ำกก–อิง–โขงตอนบนรับน้ำจากป่าอนุรักษ์ในอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สาย แม่จัน ไกลไปถึงแนวชายแดน หากพื้นที่ป่ากันชนบางลง ความเสถียรของน้ำเพื่อเกษตร–ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มย่อมผันผวน
  • คุณภาพอากาศ = ความเชื่อมั่นท่องเที่ยว รีวิว–การตัดสินใจของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ผูกกับดัชนีอากาศดี (AQI). เมืองที่ควบคุมไฟป่าและควันได้ จะกลายเป็น “เดสติเนชันหน้าร้อน” ของครอบครัว–นักกีฬา–นักเดินป่า ซึ่งใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • การเงินสีเขียวกำลังไหลสู่ท้องถิ่น โครงการปลูกป่า/ดูแลเชื้อเพลิง–คาร์บอนเครดิต–ธุรกิจท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ เริ่มมีสถาบันการเงิน–บริษัทรายใหญ่สนับสนุน. เชียงรายที่มีเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งสามารถเป็น “พอร์ตโฟลิโอต้นแบบ” ดึงเงินลงทุนสีเขียวเข้าสู่หมู่บ้านหุบเขา

ทางปฏิบัติที่จับต้องได้สำหรับเชียงราย

  • จัด ผังใช้ที่ดินระดับตำบล–ลุ่มน้ำย่อย ที่กั้น “แนวกันชนชุมชน–ป่า” ชัดเจน และกำหนดโควตาเชื้อเพลิงเพลิงไฟ (fuel management) รายฤดูกาล
  • ยกระดับ วนเกษตรมูลค่าสูง (ชา–กาแฟ–แมคคาเดเมีย–ผลไม้เมืองหนาว) ควบคู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อวางตำแหน่งราคาพรีเมียม
  • สร้าง เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ (city walk–ปั่นจักรยาน–เดินป่าเบา ๆ) เชื่อมพิพิธภัณฑ์ ศิลปะร่วมสมัย และวิถีชาติพันธุ์ โดยตั้งเป้าการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มผ่านแพ็กเกจประสบการณ์
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลไฟป่า–เชื้อเพลิง แบบเรียลไทม์สำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว/เกษตร เพื่อวางแผนฤดูกาล–กิจกรรม ลดความเสี่ยงยกเลิกการเดินทา

ภาพใหญ่ที่เชียงรายต้องร่วมขับเคลื่อน

ภาคเหนือระดับภูมิภาคปี 2567 มีสัญญาณผสม — ป่ามากในสัดส่วนพื้นที่ แต่ยัง ลดลงสุทธิ มากที่สุด. เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น

  • ภาคตะวันตก มีป่า 58.82% ของพื้นที่ภูมิภาค และ ลดลง 12,448.71 ไร่
  • ภาคใต้ มีป่า 24.33%, ลดลง 5,224.55 ไร่
  • อีสาน มีป่า 14.89%, ลดลง 732.61 ไร่
  • ภาคตะวันออก มีป่า 21.84%, เพิ่มขึ้น 4,373.59 ไร่
  • ภาคกลาง มีป่า 21.57%, เพิ่มขึ้น 11,032.01 ไร่

บทเรียนของภาคกลาง–ตะวันออกคือ “การจัดการเชิงพื้นที่–สิทธิประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” ทำให้ป่ากลับมาได้จริง ทั้งจากการฟื้นตัวธรรมชาติและการปลูกป่าเศรษฐกิจ–อนุรักษ์. ภาคเหนือสามารถยืมเครื่องมือเดียวกัน แต่ต้องเสริมด้วย นวัตกรรมจัดการเชื้อเพลิง–ไฟป่า และทางเลือกทำกินช่วงหน้าแล้ง เพื่อตัดวงจรไฟซ้ำซาก

สัญญาณต่างจังหวัด–บททดสอบมหานคร

ในระดับประเทศ จังหวัดที่ป่าเพิ่มขึ้น ครอบคลุมทั้งเหนือ–กลาง–อีสาน–ตะวันออก เช่น พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครปฐม ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ชุมพร สตูล หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ — แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มพื้นที่ป่า “ทำได้ในหลายภูมิประเทศ” เมื่อมีเป้าหมายร่วมและเครื่องมือเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ประเทศยังมี สองจังหวัดที่ไม่พบพื้นที่ป่าเลย ได้แก่ นนทบุรี และ ปทุมธานี. นี่คือโจทย์ของมหานครที่ต้องสร้าง สมดุลระหว่างความหนาแน่นเมืองกับพื้นที่สีเขียวสาธารณะ–ป่าเมือง และเชื่อมโยงกับการลดความร้อนเกาะเมือง/คุณภาพอากาศ ซึ่งสุดท้ายสะท้อนกลับไปยังความสามารถดึงดูดนักลงทุน–แรงงานทักษะ

จากกราฟตัวเลขสู่เส้นทางออก

ตัวเลข –0.03% ในปีเดียว อาจไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มครืน แต่ “ทิศทาง 10 ปีที่ป่าลดยังมากกว่าเพิ่ม” คือสัญญาณว่าประเทศต้อง เปลี่ยนเกียร์. สำหรับเชียงราย ปมที่ต้องคลี่คือ “จะเปลี่ยนข้อได้เปรียบจากภูมิประเทศ ให้เป็น ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน แบบยั่งยืนได้อย่างไร”

แนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถเดินได้ทันที

  1. วางแผนเศรษฐกิจบนฐานลุ่มน้ำ กำหนดโซนนิ่งกิจกรรมเศรษฐกิจ (เกษตร–ท่องเที่ยว–บริการ) พิงความสามารถของป่าต้นน้ำและอุทกวิทยา แทนการวางแผนตามเส้นแบ่งเขตการปกครอง
  2. ทำข้อตกลง “บริการระบบนิเวศ” ระหว่างเมือง–ดอย ผู้ประกอบการในเมืองร่วมจ่ายค่าดูแลป่า–เชื้อเพลิงผ่านกลไกกองทุนหรือเครดิต เพื่อแลกกับน้ำสะอาด–อากาศดีและแบรนด์เมืองสีเขียว
  3. เร่งมาตรฐานท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ โรงแรม–ทัวร์–คาเฟ่วิวป่าตั้ง KPI ด้านการจัดการขยะ พลังงานหมุนเวียน และการชดเชยคาร์บอน เชื่อมสินค้า GI–วัฒนธรรมชาติพันธุ์
  4. ยกระดับวนเกษตรเป็นอุตสาหกรรมภูมิภาค เชื่อมโซ่อุปทานชา–กาแฟ–ผลไม้เมืองหนาวกับโรงคั่ว–โรงแปรรูป–โลจิสติกส์เย็น เพื่อดันมูลค่าเพิ่มและลดแรงกดดันบุกรุกป่า
  5. ข้อมูลเปิด–แจ้งเตือนไฟป่าแบบใกล้ชิดธุรกิจ ตั้ง “แดชบอร์ดจังหวัด” ให้ผู้ประกอบการวางแผนกิจกรรม–กำลังคน และสื่อสารนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์

เมื่อ “ป่ากลายเป็นทุน” เศรษฐกิจเชียงราย–ภาคเหนือ–ประเทศไทยจะปิดวงจรดีขึ้น ป่าสมบูรณ์→น้ำ–อากาศดี→ท่องเที่ยว–เกษตรคุณภาพ→รายได้ชุมชน–งบดูแลป่า→ป่ากลับมา. นี่คือสมการที่สร้าง ความมั่งคง–มั่งคั่ง–ยั่งยืน ได้พร้อมกัน

กล่องตัวเลขชวนคิด

  • พื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2567: 31.46% ของประเทศ หรือ ประมาณ 101,785,271.58 ไร่
  • การเปลี่ยนแปลงจากปี 2566: –0.03% (–32,884.18 ไร่)
  • สะสม 10 ปี (2558–2567): ป่า เพิ่ม 331,951.68 ไร่, ป่า ลด 832,080.72 ไร่
  • ภาคเหนือ: ป่า 63.19%, ลด 29,883.91 ไร่ (มากสุด)
  • ภาคกลาง: ป่า 21.57%, เพิ่ม 11,032.01 ไร่ (เพิ่มมากสุด)
  • จังหวัดไร้ป่า: นนทบุรี, ปทุมธานี

“ป่าลดลงเพียง –0.03%” อาจถูกเลื่อนผ่านสายตาในวันยุ่ง ๆ แต่สำหรับเชียงรายที่ยืนอยู่บนหัวใจของเศรษฐกิจสีเขียวภาคเหนือ มันคือคำถามใหญ่ของ รายได้และความน่าอยู่ ในอนาคตอันใกล้. ตัวเลขทศนิยมสองตำแหน่งกำลังบอกเราว่า ถึงเวลาต้องเลิกมองป่าเป็น “ฉากหลังท่องเที่ยว” แล้วเริ่มมองเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่ต้องบริหารแบบมืออาชีพ” — หากทำได้ เมืองปลายทางอย่างเชียงรายจะไม่เพียงรอดจากฤดูหมอกควัน แต่จะกลายเป็น ต้นแบบมหานครสีเขียวของภูมิภาค ที่ทำให้ “ธรรมชาติ” สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภูมิใจให้คนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: ข้อมูลสัดส่วนและพื้นที่ป่าไม้ปี 2567, การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ 10 ปี, สถิติรายภูมิภาคและรายจังหวัด
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร: รายงานสถานการณ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมไทยปี 2567 และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ด้านภัยคุกคาม–ไฟป่า
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช: ข้อมูลเขตป่าอนุรักษ์ ภัยไฟป่า และมาตรการจัดการเชื้อเพลิง
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.): กรอบนโยบายการพัฒนาคาร์บอนต่ำและบริการระบบนิเวศ
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): แนวทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–คาร์บอนต่ำที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายครองอันดับ 1 เมืองรอง GDP โต 2.1% ท่ามกลางวิกฤตเกษตร

เศรษฐกิจเชียงรายฟื้นตัวสวนกระแสชาติ ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว แต่ยังเผชิญปัญหาเกษตรกร-หนี้ครัวเรือนสูง

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 – ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนจากคลื่นความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและปัญหาความยากจนที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคนในปี 2567 จังหวัดเชียงรายกลับโดดเด่นด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.1% ในปี 2567 และเร่งตัวขึ้นเป็น 3.1% ในปี 2568 แต่ยังต้องเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ

ภาพรวมเศรษฐกิจไทย สัญญาณเตือนท่ามกลางการเติบโต

รายงานล่าสุดจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยให้เห็นภาพที่น่าเป็นห่วงของสถานการณ์ความยากจนในประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 3.41% ในปี 2566 โดยภาคเกษตรแบกรับภาระหนักที่สุด มีสัดส่วนคนจนถึง 45.49% ของคนจนทั้งหมด

“ลักษณะพลวัตของความยากจนทำให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง ‘จน’ และ ‘ไม่จน’ ได้ตามปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติ” รายงาน สศช. ระบุ

ทั้งนี้ เส้นความยากจนได้ปรับสูงขึ้นเป็น 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาท ขณะที่กลุ่ม “คนจนมาก” ที่มีรายได้เพียง 615 บาทต่อคนต่อเดือน มีจำนวน 879,000 คน

ในมิติการค้าระหว่างประเทศ ไทยเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันกับเวียดนามในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ตลาดอีคอมเมิร์ซกลับเป็นจุดสว่างเมื่อคนไทยครองแชมป์ช้อปออนไลน์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก

ภาคเหนือ ระหว่างโอกาสและความเปราะบาง

ภาคเหนือซึ่งยังคงพึ่งพาภาคเกษตรเป็นหลัก เผชิญกับความผันผวนรุนแรงจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง วิกฤตราคาลำไยในปี 2568 ที่ผลผลิตล้นตลาดควบคู่กับภาวะน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูก ได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อรายได้ของเกษตรกร

แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ภาครัฐได้เข้ามาแทรกแซงด้วยมาตรการเปิดจุดรับซื้อเพิ่มและการเชื่อมโยงการแปรรูป ขณะที่การค้าชายแดนของภาคเหนือยังคงแสดงศักยภาพด้วยมูลค่าดุลการค้าเฉลี่ยสูงถึง 90,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาส่งผลกระทบต่อการค้าผ่านด่านแม่สาย ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์การค้าไปยังเส้นทางอื่น เชียงราย ดาวเด่นแห่งการฟื้นตัว ท่ามกลางความท้าทายของภาพรวมประเทศ จังหวัดเชียงรายกลับโชว์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยการคาดการณ์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของจังหวัดจะขยายตัว 2.1% ในปี 2567 และเร่งตัวขึ้นเป็น 3.1% ในปี 2568

การท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักสู่ความสำเร็จ

ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดคือภาคการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2568 พร้อมได้รับตำแหน่ง “เมืองรองด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ” โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 55%

น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการจัดอันดับให้เชียงรายเป็น “เมืองที่ปลอดภัยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หญิง” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่นใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาเยือนซ้ำ

ภาคบริการและการท่องเที่ยวคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง 7.1% ในปี 2567 และ 6.7% ในปี 2568 ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจังหวัด

การลงทุนสาธารณะ มูลฐานแห่งอนาคต

ภาครัฐได้อนุมัติงบกลางกว่า 363.62 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัยปลายปี 2567 และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์

ในขณะเดียวกัน การบินไทย (ทอท.) ได้อนุมัติงบประมาณ 5.7 พันล้านบาทเพื่อยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย สู่การเป็น “ศูนย์กลาง MRO (Maintenance, Repair, and Overhaul) ของภูมิภาค” ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจการบิน

ภาคเอกชน ความเชื่อมั่นในศักยภาพ

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ได้แสดงความเชื่อมั่นด้วยการเปิดสาขาใหม่ในเชียงรายด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของตลาดในพื้นที่และการเติบโตของกำลังซื้อของผู้บริโภค ความท้าทายที่ยังคงอยู่ แม้จะมีสัญญาณบวกมากมาย แต่เชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะวิกฤตภาคเกษตรจากหัวใจเศรษฐกิจสู่จุดอ่อน ภาคการเกษตรซึ่งเคยเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ คาดว่าจะหดตัว -3.6% ในปี 2567 ก่อนจะฟื้นตัวเพียง 1.6% ในปี 2568 ปัญหาผลผลิตล้นตลาดของลำไยและราคาตกต่ำยังคงเป็นความเสี่ยงต่อรายได้ของเกษตกรจำนวนมาก

การพึ่งพาภาคการเกษตรที่มีความผันผวนสูงตามสภาพอากาศและราคาสินค้าโลก ทำให้ครัวเรือนเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์เปราะบาง

หนี้สินครัวเรือน กับดักที่บั่นทอนการเติบโต

ความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนที่มีหนี้สินสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจบั่นทอนการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน แม้ว่าจะคาดการณ์ว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 4.7% ในปี 2567 และ 5.7% ในปี 2568 แต่ภาระหนี้สินที่สูงอาจทำให้การตอบสนองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า การค้าชายแดน ระหว่างโอกาสและความไม่แน่นอนแม้การค้าชายแดนจะคาดว่าเติบโต 9.9% ในปี 2567 แต่การพึ่งพาการค้าผ่านแดนกับจีนเป็นหลัก ทำให้มีความผันผวนตามฤดูกาลผลิตของสินค้าเกษตรอย่างทุเรียน ขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมายังคงส่งผลกระทบต่อเส้นทางการค้าที่สำคัญ

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางและข้อเสนอแนะ

การวิเคราะห์จากหลายหน่วยงานชี้ให้เห็นว่า เชียงรายจำเป็นต้องมีการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อความยั่งยืน

สศช. เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ 3 ประการหลัก ได้แก่ การประเมินผลโครงการงบประมาณสูงอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางประชาชน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกษตรอย่างยั่งยืน

สำหรับเชียงราย ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้มุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

แสงสว่างท้ายอุโมงค์

ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP per capita) ของเชียงรายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 91,736 บาทในปี 2564 เป็น 93,660 บาทในปี 2567 และ 96,561 บาทในปี 2568

การเติบโตนี้สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับการที่ผลประโยชน์จากการเติบโตนี้จะกระจายไปถึงประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเกษตรกรและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

GPP per capita หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว

GPP per capita (ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว) คืออะไร GPP per capita หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว คือตัวเลขแสดงถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าการผลิตสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายของจังหวัดเฉลี่ยต่อประชากร 1 คน

 วิธีการคำนวณ

GPP per capita = GPP ของจังหวัด ÷ จำนวนประชากรในจังหวัด

ตัวเลขเชียงราย

  • ปี 2564: 91,736 บาทต่อคนต่อปี
  • ปี 2567: 93,660 บาทต่อคนต่อปี (คาดการณ์)
  • ปี 2568: 96,561 บาทต่อคนต่อปี (คาดการณ์)

ความหมายของตัวเลข เปรียบเทียบง่ายๆ

  • หากแปลงเป็นรายเดือน: 93,660 ÷ 12 = 7,805 บาทต่อคนต่อเดือน
  • หมายความว่าเฉลี่ยแล้วคนเชียงราย 1 คนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เดือนละ 7,805 บาท

ข้อสำคัญที่ต้องเข้าใจ

  1. ไม่ใช่รายได้จริงของคนเชียงราย – เป็นการวัดผลผลิตทางเศรษฐกิจเท่านั้น
  2. เป็นค่าเฉลี่ย – คนจริงอาจได้รับมากกว่าหรือน้อยกว่านี้มาก
  3. รวมทุกภาคส่วน – เกษตร, อุตสาหกรรม, บริการ, การท่องเที่ยว

ประโยชน์ของ GPP per capita

สำหรับนักลงทุน

  • วัดศักยภาพเศรษฐกิจของจังหวัด
  • เปรียบเทียบความแข็งแกร่งระหว่างจังหวัด

สำหรับรัฐบาล

  • วางแผนการพัฒนาและจัดสรรงบประมาณ
  • ติดตามความเจริญของจังหวัด

สำหรับประชาชน

  • เข้าใจศักยภาพเศรษฐกิจท้องถิน่
  • ประกอบการตัดสินใจลงทุนหรือทำธุรกิจ

ตำแหน่งเชียงรายในภาพรวม

ตัวเลข 96,561 บาท ในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศมาก (ประเทศไทยมี GDP per capita ประมาณ 262,633 บาทในปี 2566) สรุปโดยรวม GPP per capita เป็น “เครื่องมือวัด” ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจังหวัด ไม่ใช่เงินที่คนได้รับจริง แต่เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับการวางแผนและการลงทุน

เส้นทางสู่ความยั่งยืน

เชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่ดีของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายระดับชาติ ด้วยการขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและการลงทุนจากภาครัฐที่เป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของการเติบโตนี้ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ทั้งการลดการพึ่งพาภาคเกษตรที่มีความเสี่ยงสูง การจัดการหนี้สินครัวเรือน และการสร้างความมั่นคงให้กับการค้าชายแดน

การกระจายความเสี่ยง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เชียงรายสามารถเดินหน้าไปสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • การบินไทย (ทอท.)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มอบภาพ ถวัลย์ ดัชนี บนเวทีจีน จุดประกายมิตรภาพ 50 ปีไทย-จีน

กัญฐกะก้องโกญจนาท” ข้ามพรมแดนสู่กว่างโจว ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มอบผลงานอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีบนเวที Very Thai Dian Feng 2025 จุดประกาย 50 ปีมิตรภาพไทย–จีน และซอฟต์พาวเวอร์ท่องเที่ยว

กว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน, 16 กันยายน 2568 – แสงไฟจากเวทีกลางงาน Very Thai Dian Feng Music Festival 2025 ค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางผู้ชมชาวจีนจำนวนมาก ขณะเสียงปรบมือดังยาว เมื่อ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ศิลปินฮิปฮอปชื่อดังของไทย ขึ้นเวทีพร้อมภาพผลงาน กัญฐกะก้องโกญจนาท” ของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย เพื่อส่งมอบแด่ SKAI ISYOURGOD (หลานเหล่า) ศิลปินจีนที่กำลังมาแรงในแวดวงดนตรีร่วมสมัย ภาพชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงของขวัญ หากเป็น “สัญลักษณ์” ของมิตรภาพไทย–จีนในวาระ ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ที่ทั้งสองประเทศร่วมเฉลิมฉลองผ่านเสียงเพลง ศิลปะ และวัฒนธรรมร่วมสมัย

จุดหมายเดียวกันของศิลปะ ดนตรี และการท่องเที่ยว

เทศกาลดนตรี Very Thai Dian Feng จัดขึ้นต่อเนื่องปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 13–14 กันยายน 2568นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ความร่วมมือของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ TCP Group ผู้ผลิตแบรนด์ เรดบูล (Red Bull) แนวคิดงานปีนี้ชูคอนเซปต์ “5 Must Do in Thailand” เพื่อชวนผู้ชมชาวจีน “ลิ้มลองประสบการณ์ไทย” ตั้งแต่อาหาร วัฒนธรรม ไปจนถึงกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ก่อนขยายผลสู่การเดินทางจริงในประเทศไทย

รูปแบบงานเน้นการสื่อสารแบบ “สนุก เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้” ผ่าน 2 เวทีดนตรีหลัก ที่รวบรวม 19 ศิลปินไทย–จีน จากหลากหลายแนวทาง พร้อม โซนสร้างสรรค์ ครบวงจร ทั้งโซนวัฒนธรรม โซนอาหาร โซนจัดแสดงสินค้า และ โดรนโชว์ ปิดท้าย โดยผู้จัดคาดการณ์ผู้เข้าร่วมงาน ราว 60,000 คน ตลอดสองวัน นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่เปิดทางให้ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยส่งสัญญาณชัดเจนสู่แดนมังกร

พญาม้ากัณฐกะ ภาพแทนคำอวยพร “เดินหน้าอย่างกล้าหาญ”

ผลงาน กัญฐกะก้องโกญจนาท” ของถวัลย์ ดัชนี คือภาพ พญาม้ากัณฐกะ ที่ถูกยกให้เป็น “เจ้าแห่งม้าทั้งปวง” สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ ความสำเร็จ และความอุดมสมบูรณ์ ในพิธีส่งมอบบนเวที ฟักกลิ้ง ฮีโร่ระบุว่า ได้รับภาพนี้จาก “ดอยธิเบศร์ ดัชนี” ทายาทผู้สืบงานศิลป์ของถวัลย์ เพื่อส่งต่อให้กับศิลปินจีนอย่างสมเกียรติ เป็นดั่งคำอวยพรที่ศิลปินไทยมอบให้ศิลปินจีน พร้อมถ้อยคำที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันว่า 中泰一家亲” หรือ “ไทย–จีนคือครอบครัวเดียวกัน”

ในโพสต์ทางการ ฟักกลิ้ง ฮีโร่กล่าวขอบคุณ พี่เอก” ประธานเจ้าหน้าที่ครีเอทีฟ (CCO) แห่ง TCP Group ตลอดจนทีมผู้จัด และททท. ที่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ตัวแทนประเทศไทย” บนเวทีสากลครั้งนี้ ย้ำว่าศิลปะไม่เพียงเชื่อมใจ หากยังเชื่อม “โอกาส” ระหว่างผู้คน ธุรกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

เวทีจีนกับ “เสน่ห์ไทย” ที่จับต้องได้

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. ระบุว่า ททท. มุ่งเดินหน้าตลาดระยะใกล้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ตลาดจีน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย “การปรับภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่น ควบคู่การนำเสนอ ประสบการณ์ที่มีความหมาย คือหัวใจของยุทธศาสตร์” งาน Very Thai Dian Feng จึงออกแบบให้ผู้ร่วมงานได้ “ทำจริง” ตั้งแต่เวิร์กชอป ไปจนถึงกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรม เพื่อให้ เสน่ห์ไทย” ถูกจดจำในฐานะประสบการณ์ ไม่ใช่แค่ภาพในโซเชียล

ภายในงานยังมีกิจกรรมต่อยอด เช่น เวิร์กชอปทำกระเป๋ารีไซเคิล และ ทำยาดมคล้องคอ ที่หยิบจับ “ของดีไทย” มาขยายความหมายใหม่ให้สอดรับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ช่วยย้ำ แบรนด์ Amazing Thailand ในสายตาผู้ชมชาวจีนว่าทั้ง “มีสไตล์” และ “มีคุณค่า”

เมื่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยน ไทยต้อง “เล่าเรื่อง” ใหม่

ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนมิได้พอใจเพียง “เช็กอิน–ถ่ายรูป” อีกต่อไป หากหันสู่การแสวงหา ประสบการณ์ลึกซึ้ง เช่น สายลุย, City Walk, หรือกิจกรรมวัฒนธรรมและกีฬา นี่คือ “การบ้าน” ที่ไทยจำเป็นต้องตอบ โดยปีที่ผ่านมา ททท. ได้ทดลองหลายกิจกรรมในจีน เช่น Amazing Thai Fest ที่กรุงปักกิ่ง และ Red Bull Challenge ณ ทะเลทรายเหิงเก๋อหลี่ มองโกเลียใน เพื่อเชื่อมกีฬา ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์คือ “บทเรียน” สำหรับการออกแบบคอนเทนต์และกิจกรรมที่โดนใจคนรุ่นใหม่ของจีนมากขึ้น

Very Thai Dian Feng จึงไม่ใช่แค่งานคอนเสิร์ต แต่เป็น แพลตฟอร์ม” ที่ให้ไทยได้ทดสอบการเล่าเรื่องใหม่ ๆ ในพื้นที่จริง ต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก พร้อมกวาดข้อมูลเชิงพฤติกรรมกลับมาต่อยอดแคมเปญในไทยช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปี

จากแคนวาสของถวัลย์ สู่แคนวาสของมิตรภาพ

“กัญฐกะก้องโกญจนาท” ถูกอธิบายว่าเป็นภาพที่ ให้กำลังใจให้ก้าวต่อ” การที่ผลงานชิ้นสำคัญจากเชียงราย—บ้านเกิดของถวัลย์—ได้ข้ามพรมแดนสู่กว่างโจวในจังหวะที่ไทย–จีนฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักทางสัญลักษณ์ งานของถวัลย์ขึ้นชื่อว่าหนักแน่นในเส้นสายและพลังอารมณ์ ภาพม้าผงาดจึงเท่ากับ การส่งสารถึงอนาคต ว่าศิลปะคือภาษากลางที่คนต่างวัฒนธรรมเข้าใจร่วมกันได้

ช่วงเวลาส่งมอบบนเวที กลายเป็นฉากเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่—ศิลปะคือทูตวัฒนธรรม” และ ศิลปินคือผู้พาเรื่องเล่าของชาติ” ไปปรากฏต่อสายตาโลก การที่ SKAI ISYOURGOD รับมอบต่อหน้าผู้ชมหลายหมื่นคน คือภาพของการยอมรับนับถือกันอย่างเสมอภาค ต่างส่งต่อคำอวยพรให้กันและกันในภาษาที่เหนือคำพูด

เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการท่องเที่ยว วงจรที่หนุนกัน

โมเดลที่ ททท. และ TCP Group ใช้ คือการผสมผสาน ดนตรี–ศิลปะ–ท่องเที่ยว” ให้เป็น “แพ็กเกจเดียว” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเดินทาง ความคาดหวังผู้ร่วมงาน ประมาณ 60,000 คน หากต่อยอดสู่การเดินทางจริงเพียงส่วนหนึ่ง ก็สามารถสร้างเม็ดเงินท่องเที่ยวเข้าประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งหากเชื่อมกับยุทธศาสตร์ “5 Must Do in Thailand” ที่ชัดเจนในจุดขาย ทั้งอาหาร มู่วิถี วัฒนธรรมลึกซึ้ง ธรรมชาติ และกิจกรรมเชิงประสบการณ์ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ ค่าใช้จ่ายต่อหัว และ ระยะเวลาพำนัก สูงขึ้น

ด้านแบรนด์เอกชนอย่าง เรดบูล การสนับสนุนเทศกาลที่จับต้องได้ในต่างแดน ช่วยขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ของจีน เป็น ความร่วมมือรัฐ–เอกชน ที่ได้ทั้งภาพลักษณ์และฤทธิ์ทางเศรษฐกิจ

เสียงสะท้อนจากเวที คำพูดที่ทำให้ “เรื่อง” เดินต่อ

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เขียนไว้ชัดว่า การได้เป็นตัวแทนส่งต่อผลงานของถวัลย์ คือ “เกียรติ” ที่ได้รับจาก ดอยธิเบศร์ ดัชนี พร้อมขอบคุณผู้สนับสนุนในทุกภาคส่วน เขาเปรียบภาพพญาม้าเช่น คำอวยพร ที่ศิลปินไทยมอบให้ศิลปินจีน ขณะเดียวกัน นายนิธี สีแพร ย้ำ “การนำเสนอเสน่ห์ไทยผ่านประสบการณ์จริง” คือจุดชี้วัดความสำเร็จของตลาดจีนยุคใหม่

ถ้อยคำ 中泰一家亲” ที่ถูกเอ่ยหลายครั้งในงาน ไม่ใช่สโลแกนสวย ๆ หากเป็น กรอบคิด สำหรับสร้างกิจกรรมร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรม การศึกษา กีฬา และธุรกิจท่องเที่ยวในระยะยาว

เล่าเป็นฉาก นาทีที่ผู้ชม “ยืนขึ้น”

คืนที่สอง เวทีหลักเล่นเอ็นดิ้งด้วยเพลย์ลิสต์ฮิต ศิลปินไทย–จีนสลับขึ้นร่วมแจม เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อทีมงานเชิญฟักกลิ้ง ฮีโร่ ขึ้นถือกรอบภาพพญาม้า แสงไฟสปอตไลต์จับลงบนลายเส้นเข้มของถวัลย์ เสี้ยววินาทีที่ภาพถูกส่งต่อ SKAI ก้มศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนชูภาพให้คนดูด้านหลังเห็นชัด ผู้ชมบางส่วน “ยืนขึ้น” พร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพ เสียงปรบมือกลายเป็นจังหวะร่วมที่ไม่ต้องซ้อม มิตรภาพจึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูด แต่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า

สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เสี้ยววินาทีแบบนี้ ขายความทรงจำ” ได้ดีที่สุด เพราะผู้ชมพกกลับไปได้มากกว่าคลิป—พวกเขาพก เรื่องเล่า ที่พร้อมจะต่อยอดเป็นการเดินทางครั้งใหม่

หมายเหตุเชิงนโยบาย จะยกระดับให้ “ยั่งยืน” ต้องทำอย่างไร

  1. เก็บข้อมูลเชิงลึกหน้างาน – พฤติกรรมผู้ชม แฮชแท็กที่ใช้ เวลาที่อยู่ในแต่ละโซน เพื่อนำไปออกแบบคอนเทนต์และแพ็กเกจท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม
  2. ทำแคมเปญต่อเนื่อง (Always-on) – เชื่อมกิจกรรมในจีนกับกิจกรรมในไทย เช่น คูปองส่วนลดพิพิธภัณฑ์/โชว์ดนตรีในเชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพฯ เพื่อให้ “ความตั้งใจเดินทาง” ไม่หายไป
  3. เล่าเรื่อง “เมืองรอง–ชุมชน” – ใช้ศิลปะและดนตรีเป็นประตูพาไปพบวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างรายได้กระจายสู่ฐานราก
  4. สร้างเครือข่ายศิลปิน–ครีเอเตอร์ไทย–จีน – เวิร์กชอปร่วม, ศิลปินพำนัก (Artist Residency), โปรเจกต์ดนตรีข้ามชาติ เพื่อให้ความร่วมมือไม่จบแค่เวทีเดียว

ม้ากัณฐกะวิ่งต่อ และเรื่องเล่าก็วิ่งตาม

การมอบภาพ กัญฐกะก้องโกญจนาท” บนเวที Very Thai Dian Feng 2025 คือฉากสำคัญที่จับต้องได้ของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในปีที่ไทย–จีนฉลอง 50 ปีมิตรภาพ เหตุการณ์นี้ผสานพลัง ศิลปะ–ดนตรี–การท่องเที่ยว เข้าด้วยกันในจังหวะที่พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนสู่ “ประสบการณ์มีความหมาย” อย่างชัดเจน หากไทยเดินหน้าสื่อสารที่เชื่อม ใจ–สถานที่–กิจกรรม ได้ต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐ เอกชน ศิลปิน และชุมชนย่อมเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ได้ยั่งยืน

ท้ายที่สุด ม้ากัณฐกะในงานของถวัลย์ไม่ได้วิ่งอยู่บนผืนผ้าใบเท่านั้น แต่กำลัง วิ่งนำ เรื่องเล่าของไทยให้ข้ามพรมแดนอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • TCP Group
  • ดอยธิเบศร์ ดัชนี
  • Very Thai Dian Feng Music Festival 2025
  • ฟักกลิ้ง ฮีโร่ 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายมีศักยภาพ “ดอยลังกาหลวง-ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นภูเขาสูงสุดของไทย

เชียงรายชูศักยภาพภูเขา “ดอยลังกาหลวง–ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นสูงสุดของไทย (เมื่อจัดจำแนกอย่างรอบด้าน) — เปิดความจริง-คลี่คลายความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ พร้อมข้อเสนอให้อัปเดตฐานข้อมูลทางการ

เชียงราย, 16 กันยายน 2568 — เมื่อพูดถึง “ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย” หลายคนตอบได้ทันทีว่า ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร แต่พอไล่ลำดับถัดไป หลายสำนักกลับให้ตัวเลขและชื่อยอดเขาไม่ตรงกัน—ดอยผ้าห่มปก บางที่ 2,285 เมตร บางที่ 2,296 เมตร, ยอดภูสอยดาว บางที่ 2,102 บางที่ 2,120 เมตร ขณะที่ชื่อ “ดอยช้าง” ก็ยิ่งชวนสับสน เพราะบางแหล่งหมายถึง “ยอดเขา” แต่บางแหล่งหมายถึง “ชุมชนและแหล่งปลูกกาแฟ” ที่ระดับสูงเฉลี่ย 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตรตามลิสต์บางแห่ง

รายงานชิ้นนี้ได้ข้อมูลสารตั้งต้นมาจากเพจ “สุดยอดแห่งสยาม” ทางสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์อยากชวนผู้อ่านสำรวจอย่างเป็นระบบว่า “อะไรจริง อะไรคลาดเคลื่อน” โดยยึดหลักฐานจากหน่วยงานรัฐและเอกสารอ้างอิงที่เชื่อถือได้เป็นแกนหลัก ให้เห็นภาพตั้งแต่นักท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และชุมชนท้องถิ่น ใช้ข้อมูลเดียวกันในการวางแผน—ทั้งด้านความปลอดภัย การอนุรักษ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยว

ปมสับสน ตัวเลขสูง–ต่ำต่างกันได้อย่างไร

ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้แน่น

  • ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร — เป็นความสูง “ทางการ” ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันไว้ในเอกสารของกรมอุทยานฯ ว่าดอยอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของประเทศ (เอกสารสำนักอุทยานแห่งชาติ ระบุช่วงความสูงพื้นที่อุทยาน 400–2,565 เมตร และระบุชัดเจนว่าอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของไทย)
  • ดอยผ้าห่มปก ยอดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก ระดับ 2,285 เมตร (ข้อมูลหน้าอย่างเป็นทางการของอุทยาน)
  • ดอยหลวงเชียงดาว มีสองค่าที่ถูกใช้งานคู่ขนาน 2,225 เมตร (ใช้กว้างขวางในเอกสารและป้ายสื่อสารของไทย เช่น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร) และค่าจากสารานุกรมสากลบางแหล่งที่ลง 2,175 เมตร — สะท้อนปัญหา “ค่ามาตรฐาน” คนละชุดที่ยังไม่ถูกเทียบมาตรฐานร่วมกัน
  • โมโกจู (อุทยานแห่งชาติแม่วงก์) ยืนยันสูงสุดของอุทยานที่ 1,964 เมตร บนหน้าอย่างเป็นทางการของกรมอุทยานฯ (ระบุชัดที่หัวข้อสภาพภูมิประเทศ)
  • ดอยภูคา (จ.น่าน) ระดับสูงสุด 1,980 เมตร อ้างอิงจากหน้าจองที่พัก/แนะนำอุทยานของกรมอุทยานฯ (NPS)

ยอดที่ยืนยันโดยฐานข้อมูลมาตรฐานและสารานุกรม

  • ดอยลังกาหลวง — ยอดสูงสุดของเชียงราย อยู่แนวเทือกลังกา–ขุนแจ ค่าความสูงที่ปรากฏซ้ำมากที่สุดคือ 2,031 เมตร (พบในสารานุกรมภูมิประเทศที่สรุปยอดเด่นของไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสื่อรัฐ/ท้องถิ่น)

ข้อสังเกตสำคัญ ตัวเลขความสูงที่ “ทางการ” รับรองกับตัวเลขจากฐานข้อมูลแผนที่/ชุมชน (เช่นสารานุกรมออนไลน์หรือฐานข้อมูลภูมิประเทศสากล) อาจต่างกันเพราะ (1) ระบบอ้างอิงระดับทะเล (datums) ต่างชุด, (2) ความละเอียดแบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) ต่างความละเอียด และ (3) บางแหล่งนับ “ปุ่มยอด/สันเขาย่อย” เป็นยอดแยก ขณะที่รัฐนับเฉพาะยอดหลัก

ดอยลังกาหลวง, เชียงราย สูง 2,031 เมตร

เคสศึกษาเชียงราย “ดอยลังกาหลวง” ชัดเจน — “ดอยช้าง” ต้องระบุให้ตรง

ดอยลังกาหลวง — เสาหลักเหนือสุด

เชียงรายมีภูมิประเทศซับซ้อนเชื่อมเทือกเขาถนนธงชัยกับสันปันน้ำชายแดน ดอยลังกาหลวงจึงเป็น “เสาหลัก” ที่ยืนเด่นด้วยระดับกว่า 2 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ค่าที่พบซ้ำในแหล่งข้อมูลวิชาการ/สารานุกรมคือ 2,031 เมตร (และสอดคล้องกับสื่อราชการพื้นที่) ทำให้ดอยลังกาหลวงติดหนึ่งใน “คลับ 2,000+ เมตร” ของไทยร่วมกับอินทนนท์ ผ้าห่มปก และภูสอยดาว

แม้หน้าเว็บไซต์กลางของกรมอุทยานฯ จะไม่ได้ลงรายละเอียดความสูงยอดนี้ไว้ชัดเจนเท่าดอยยอดอื่น แต่ข้อมูลเชิงพื้นที่จากสื่อรัฐและชุมชนผู้เดินป่าระบุสอดคล้องกันมาอย่างยาวนาน จุดนี้สะท้อนโจทย์นโยบายสำคัญ—เราควรมีฐานข้อมูลยอดเขาทางการที่อัปเดตและค้นหาได้ง่าย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของตัวเลขในสื่อสาธารณะ

ดอยช้าง, เชียงราย สูง 1,962 เมตร

ดอยช้าง — ชื่อเดียว หลาย “ที่”

ชื่อ “ดอยช้าง” เป็นปมใหญ่ของความสับสน เพราะในเชียงรายมี อย่างน้อย 2–3 จุด ที่ถูกเรียกว่า “ดอยช้าง” ในชีวิตประจำวัน

  1. ดอยช้าง” ในลิสต์ยอดเขาสูง (1,962 เมตร) — บางฐานข้อมูลภูมิประเทศของชุมชนผู้ปีนเขาระบุยอดชื่อ Doi Chang สูง 1,962 เมตร (มีพิกัดชัดเจน) แม้จะไม่ใช่เอกสารราชการ แต่เป็นหลักฐานแผนที่จากชุมชนที่ใช้กันกว้างขวางในแวดวงเดินเขา จึงมีคุณค่าทางข้อมูลเชิงสำรวจ (ควรใช้คู่กับข้อมูลราชการเพื่อความรัดกุม)
  2. ดอยช้าง” แหล่งปลูกกาแฟ–ท่องเที่ยววาวี (1,000–1,700 เมตร) — พื้นที่ บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย เป็น “โลเคชันดังระดับโลก” สำหรับกาแฟอาราบิก้า ไม่ใช่ยอดเขา 1,962 เมตร โดยหน่วยงานรัฐด้านเกษตรระดับจังหวัดระบุชัดว่าเขตปลูกอยู่ที่ระดับ 1,000–1,700 เมตร ซึ่งอธิบายความต่างของตัวเลขกับ “ยอดดอยช้าง” ที่โผล่ในลิสต์ภูเขาสูงได้เป็นอย่างดี 
  3. ดอยช้างมูบ” (1,504 เมตร) — จุดชมวิวชายแดนไทย–เมียนมา ทางแม่ฟ้าหลวง/แม่สาย เป็นอีกชื่อที่ใกล้เคียงและทำให้คนทั่วไปเข้าใจปะปนกับ “ดอยช้าง” ในวาวีอยู่บ่อยครั้ง (แม้ความสูงจะต่างกันมาก)

บทเรียนจากดอยช้าง การสื่อสารชื่อภูมิประเทศในสื่อสาธารณะควร “ระบุพิกัด/อำเภอ–ตำบล” ควบคู่เสมอ โดยเฉพาะชื่อสามัญอย่าง “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ผาหัวช้าง” ที่มีหลายแห่งทั่วยอดดอยของภาคเหนือ

รายชื่อยอดเด่น 

เมื่อ “จัดจำแนก” ด้วยหลักฐานภาครัฐควบคู่กับสารานุกรม/แหล่งข้อมูลมาตรฐาน จะได้ภาพรวมของยอดเด่นดังนี้

  • ดอยอินทนนท์ 2,565 ม. — สูงสุดของไทย (อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ยืนยันในเอกสารกรมอุทยานฯ)
  • ดอยผ้าห่มปก 2,285 ม. — ยอดสูงสุดของอช. ผ้าห่มปกและสูงอันดับ 2 ของประเทศตามสื่อราชการของอุทยานเอง
  • ดอยหลวงเชียงดาว 2,225/2,175 ม. — มีสองค่าที่ใช้จริง (มูลนิธิสืบฯ ระบุ 2,225 ม. ขณะที่สารานุกรมสากลลง 2,175 ม.) จึงควรระบุแหล่งอ้างอิงควบคู่ทุกครั้งที่เผยแพร่
  • ยอดภูสอยดาว 2,120/2,102 ม. — สื่อวิชาการ–สารานุกรมไทยนิยม 2,120 ม. ในขณะที่สื่อไทยบางแห่งใช้ 2,102 ม. (แนะนำให้อ้างแหล่งที่ใช้ตัวเลขอย่างชัดเจนทุกครั้ง)
  • ดอยลังกาหลวง 2,031 ม. — ยอดสูงสุดของเชียงรายตามสารานุกรมภูมิประเทศ (ภาครัฐยังไม่มีหน้าเว็บกลางระบุค่าความสูงนี้อย่างเป็นทางการ)
  • ดอยภูคา 1,980 ม. — อ้างอิงหน้า NPS ของกรมอุทยานฯ
  • โมโกจู 1,964 ม. — ยอดสูงของอช. แม่วงก์ (ข้อมูลทางการ)

หมายเหตุ ชื่ออย่าง “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งบางลิสต์นำไปจัดรวมเป็น “ยอด 2,000 เมตร” แท้จริงคือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติ” ใกล้ยอดอินทนนท์ (ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ) จึงไม่ควรนับเป็นยอดแยกตามธรรมเนียมภูมิประเทศสากล

ทำไม “จัดอันดับ 1–10” ถึงยาก?

เพราะวิธี “นับยอด” ต่างกัน หลายสำนักนับเฉพาะ “ยอดหลัก” (prominence สูง) ขณะที่บางสำนักนับ “สัน/ปุ่ม” ที่สูงเกินเกณฑ์ด้วย จึงทำให้ลำดับ 5–10 ขยับขึ้นลงได้ นี่ยังไม่นับความต่างของฐานข้อมูล DEM/การยึด datum คนละชุด และความคลาดเคลื่อนจากการอ่านค่าสูงสุดของ cell พิกเซล DEM ที่หยาบ–ละเอียดต่างกัน

จังหวัดเชียงราย เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

ดอยลังกาหลวง และ ดอยช้าง ซึ่งเป็นยอดเขาสำคัญของจังหวัดเชียงราย ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดย ดอยลังกาหลวง ติดอันดับที่ 5 และ ดอยช้าง ติดอันดับที่ 8

จากข้อมูลล่าสุด ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

1 ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ 2,565 เมตร

2 ดอยผ้าห่มปก, เชียงใหม่ 2,285 เมตร

3 ดอยหลวงเชียงดาว, เชียงใหม่ 2,225 เมตร

4 ยอดภูสอยดาว, อุตรดิตถ์ 2,102 เมตร

5 ดอยลังกาหลวง, เชียงราย 2,031 เมตร

6 กิ่วแม่ปาน, เชียงใหม่ 2,000 เมตร

7 ดอยภูคา, น่าน 1,980 เมตร

8 ดอยช้าง, เชียงราย 1,962 เมตร

9 โมโกจู, กำแพงเพชร 1,950 เมตร

10 ดอยม่อนจอง, เชียงใหม่ 1,925 เมตร

ความโดดเด่นของดอยทั้งสองในจังหวัดเชียงรายนี้ นอกจากจะมีความสูงที่ติดอันดับแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปสัมผัสความงามของธรรมชาติอยู่เสมอ

จากภูมิประเทศสู่การท่องเที่ยว ข้อมูลที่แม่นยำ = ความปลอดภัย + มูลค่าเศรษฐกิจ

ตัวเลขความสูงไม่ใช่เรื่อง “เอาไว้เถียงกันเท่านั้น” แต่มีผลต่อการสื่อสารความปลอดภัยและการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยตรง—ทั้งการประเมินสภาพอากาศ (ลม–ฝน–อุณหภูมิ), เวลาเดิน, ระดับความยากของเส้นทาง, การเตรียมอุปกรณ์ และการจำกัดจำนวนผู้เข้าพื้นที่อนุรักษ์ต่อวัน

  • กรณีโมโกจู (1,964 ม.) อช.แม่วงก์ระบุชัดเจนบนหน้าเว็บว่าเป็นยอดสูงสุดและบอกลักษณะภูมิประเทศ—ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้จัดการท่องเที่ยว/ไกด์กำหนดฤดูกาลเปิด–ปิดเส้นทาง และกำหนดมาตรการความปลอดภัยได้เหมาะสม
  • กิ่วแม่ปาน การสื่อสารให้ถูกต้องว่าเป็น “เส้นทางเรียนรู้” ใกล้ยอดอินทนนท์ ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ ช่วยตั้งความคาดหวังนักท่องเที่ยวให้เหมาะสม และกระจายคนออกจากจุดเปราะบางทางนิเวศของยอดหลักได้ดีขึ้น
  • ดอยช้าง (วาวี) การยืนยันว่าพื้นที่ปลูกกาแฟอยู่ช่วง 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร ช่วย “จัดวางผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” ให้ถูกที่ถูกทาง (เน้นวัฒนธรรมกาแฟ วิถีชุมชน วิวไร่บนไหล่เขาสูง) แทนการนำเสนอเป็น “จุดพิชิตยอด” ที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและกระทบพื้นที่ป่าโดยไม่จำเป็น 

 ทำ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” กลางประเทศ

บทเรียนจากความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ชี้ไปที่โจทย์ร่วม 3 ประการ

  1. จัดทำฐานข้อมูล “ยอดเขาทางการ” กลางประเทศ — โดยหน่วยงานแกนกลาง เช่น กรมอุทยานฯ ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี/กรมแผนที่ทหาร เผยแพร่ชุดข้อมูลมาตรฐาน (ชื่อ–พิกัด–ระดับความสูง–prominence) พร้อมอธิบายที่มาของตัวเลขและระบบอ้างอิง (datum/DEM) อย่างโปร่งใส
  2. ระบุ “พิกัด + อำเภอ/ตำบล” ทุกครั้งในสื่อสาธารณะ — โดยเฉพาะชื่อสามัญที่ซ้ำกันในหลายจังหวัด เพื่อลดความเข้าใจผิด (กรณี “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ดอยผ้าห่มปก–ดอยฝาง” เป็นต้น)
  3. ปรับคู่มือสื่อสารการท่องเที่ยว — แยก “ยอดเขา” ออกจาก “เส้นทาง/จุดชมวิว” ให้ชัดเจน (เช่นกิ่วแม่ปาน) และเน้นความพร้อมด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานของแต่ละพื้นที่ (ฤดู–อุปกรณ์–การขออนุญาต–โควตา)

เชียงรายได้อะไรจาก “ข้อมูลที่ตรงกัน”

ในมหากาพย์ “จัดอันดับความสูง” ที่ต่างสำนักลงตัวเลขไม่ตรงกัน เชียงราย ได้รับบทเรียนสำคัญสองชั้น

  • ชั้นแรก—ภาพจำเชิงพื้นที่ ดอยลังกาหลวง 2,031 เมตร คือเสาหลักบนแผนที่ภาคเหนือที่ยืนยันทักษะผจญภัยขั้นสูงของจังหวัด ส่วน ดอยช้าง (วาวี) คือภูมิทัศน์วัฒนธรรมกาแฟระดับโลกที่ต้องเล่าให้ชัดว่าคือ “พื้นที่ไหล่เขา 1,000–1,700 เมตร” ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวให้ตรงประเด็น—ชุมชนได้ประโยชน์ นักท่องเที่ยวปลอดภัย
  • ชั้นที่สอง—โครงสร้างข้อมูลสาธารณะ ความต่างของตัวเลข ดอยหลวงเชียงดาว (2,225 กับ 2,175) หรือ ภูสอยดาว (2,120 กับ 2,102) สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” ที่ค้นหาได้ง่ายและอ้างอิงได้เหมือนกันทั่วประเทศ เพื่อยุติความสับสนและยกระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลท่องเที่ยว–ความปลอดภัยของไทยในสายตาโลก

ท้ายที่สุด—ตัวเลขคือ “ภาษาเดียวกัน” ระหว่างเจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ นักเดินป่า และนักท่องเที่ยว หากเราพูดภาษาเดียวกันได้ ความเสี่ยงก็ลดลง โอกาสทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพก็เพิ่มขึ้น และธรรมชาติบนสันเขาไทยจะถูกดูแลได้ดีขึ้นด้วยข้อมูลที่เที่ยงตรง

ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ สูง 2,565 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช — เอกสารอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ระบุความสูงสูงสุดประเทศ 2,565 เมตร (สำนักอุทยานแห่งชาติ)
  • อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก (กรมอุทยานฯ) — ระบุยอดสูงสุด 2,285 เมตร และสถานะเป็นยอดสูงอันดับสองของไทย
  • อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ (กรมอุทยานฯ) — หน้าอย่างเป็นทางการ ระบุ “โมโกจู” สูง 1,964 เมตร เป็นยอดสูงสุดของอุทยาน (หัวข้อ Topographical features)
  • อุทยานแห่งชาติดอยภูคา (หน้า NPS ของกรมอุทยานฯ) — ระบุความสูงพื้นที่อุทยานและข้อมูลประกอบ (ยอด 1,980 เมตร)
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร — บทความความรู้ ดอยเชียงดาว (ใช้ค่าความสูง 2,225 เมตรตามสื่อไทย)
  • สารานุกรม/รายการภูเขาไทย (วิกิพีเดียภาษาอังกฤษ “List of mountains in Thailand”) — ใช้ประกอบเทียบค่าที่ต่างกันของยอดเด่น (เช่น ดอยลังกาหลวง 2,031 ม., ดอยหลวงเชียงดาว 2,175 ม., ภูสอยดาว 2,120 ม.) ควรใช้อ้างอิงคู่กับแหล่งราชการทุกครั้ง
  • DNP 1362 (กรมอุทยานฯ)
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (กระทรวงเกษตรฯ) — บทความแนะนำ ดอยช้าง–ดอยวาวี ยืนยัน “ระดับความสูงพื้นที่ปลูกกาแฟ 1,000–1,700 เมตร” ใช้แยกจาก “ยอดดอยช้าง 1,962 ม.” ในฐานข้อมูลนักปีนเขาได้ชัดเจน
  • ฐานข้อมูลภูมิประเทศชุมชนผู้ปีนเขา (Peakery) — ระบุยอด Doi Chang 1,962 เมตร 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตรียมตัวให้พร้อม กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังร้านปิด” มีผลบังคับใช้ 8 พ.ย. 68

กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังเวลาขาย” เริ่มใช้ 8 พ.ย. 2568 ปรับเป็นพินัยสูงสุด 10,000 บาท—ธุรกิจ-ผู้บริโภคปรับตัวอย่างไร

ประเทศไทย, 16 กันยายน 2568 – หลังถกเถียงยืดเยื้อเรื่องการ “ปลดล็อกเวลา” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทยก้าวสู่หมุดหมายกฎหมายครั้งสำคัญเมื่อ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้เมื่อครบ 60 วัน นับแต่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 โดยสาระใหม่ที่จับตาคือ ห้ามผู้บริโภคดื่มในสถานที่เชิงพาณิชย์ระหว่างเวลาห้ามขาย” ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สะท้อนทิศทางการคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มขึ้นและไปกระทบพฤติกรรม “นั่งแช่” โดยตรง.

เส้นเวลาและภาพรวมกฎหมาย “รีเซ็ต” โครงสร้างกำกับ แต่ยังคงช่วงเวลาห้ามขาย

กฎหมายฉบับใหม่ปรับโครงสร้างอำนาจกำกับหลายส่วน ยืนยันกรอบเวลาห้ามขายตามกฎหมายแม่ปี 2551 และกฎรองที่ออกตามอำนาจเดิม ขณะเดียวกันยัง ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 (พ.ศ. 2515) ที่เคยเป็นฐานเวลาห้ามขายยุคแรก เพื่อทำให้กฎหมายเป็นเอกภาพและทันสมัยขึ้น แต่ “แกนเวลา” ไม่ได้คลายอัตโนมัติ เพราะภาครัฐยืนยันว่า ยังคงใช้ข้อกำหนดเวลาห้ามขายเดิม ตามประกาศนายกรัฐมนตรีและคำสั่งกฎหมายลูกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน.

ประเด็น “ปลดล็อกขายเวลา 14.00–17.00 น.” ที่แพร่ในสื่อสังคม ได้รับการยืนยันว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ชี้ชัดว่าไทยยังห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว (ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย) ภายใต้อำนาจตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. ปี 2551 และประกาศนายกรัฐมนตรีฉบับล่าสุด.

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวของรัฐบาลสรุปสาระสำคัญของประกาศนายกรัฐมนตรีเรื่องเวลาห้ามขายและ กลุ่มกิจการ/พื้นที่ที่ “ได้รับยกเว้น” รวม 18 ประเภท เช่น เขตปลอดอากร ร้านปลอดภาษีในสนามบิน หรือพื้นที่ที่กฎหมายเฉพาะอนุญาต—ข้อมูลนี้ยังคงมีผลหลัง 8 พ.ย. 2568 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง.

หัวใจฉบับใหม่ “ห้ามดื่มในเวลาห้ามขาย” โฟกัสที่ผู้บริโภค

มาตรา 32 (ใหม่) กำหนดชัดว่า “ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย/จัดบริการเพื่อประโยชน์ทางการค้า ในเวลาห้ามขาย” จากเดิมที่กฎหมายเน้นควบคุม “ผู้ขาย” เป็นหลัก จึงอุดช่องว่างสถานการณ์ “ร้านปิด แต่ลูกค้ายังนั่งดื่มต่อ” ให้กลายเป็นความผิดโดยตรงในฝั่งผู้บริโภค.

ในแง่บทลงโทษ มาตรา 37/1 (ชุดบทบัญญัติใหม่) ระบุให้ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัย” ไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการทางปกครอง ไม่ใช่คดีอาญา จุดมุ่งหมายคือสร้างวินัยและยับยั้งพฤติกรรมรวดเร็ว ลดภาระกระบวนการยุติธรรม แต่ยังคงน้ำหนักทางกฎหมายเพียงพอให้เกิดการปฏิบัติตาม

สรุปให้ชัด: หลังร้านหยุด “ขาย” ตามเวลาห้ามขายแล้ว ลูกค้า ก็ห้าม “ดื่ม” ในพื้นที่ร้านด้วย การ “นั่งแช่” จึงเสี่ยงถูกเปรียบเทียบปรับทันทีเมื่อกฎหมายมีผลใช้.

ทำไมต้องเข้มขึ้น บทเรียนจากโซเชียลคอสต์และความเสี่ยงสาธารณสุข

หลายงานวิชาการชี้ว่า การจำกัดเวลาขายและลดการบริโภคในช่วงดึกสัมพันธ์กับการลดอุบัติเหตุ อาชญากรรม และภาระสาธารณสุข ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากแอลกอฮอล์ โดยแนวโน้มการปฏิรูปในต่างประเทศก็เดินในทิศทางเดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุผลเชิงนโยบายที่ไทยเลือก “ย้ายแรงกดดัน” มาฝั่งพฤติกรรมผู้ดื่มในช่วงเวลาเสี่ยง แทนที่จะรับภาระไว้กับผู้ประกอบการเพียงด้านเดียว.

บทสะท้อนจากพื้นที่ท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซันต้องจัดระเบียบใหม่

ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ที่พึ่งพายอดขายช่วงหัวค่ำถึงดึก ต้องปรับกระบวนการ ตั้งแต่กำหนด “Last order” ให้ชัด, ปิดบิลก่อนเวลาห้ามขาย, และ ยุติการดื่มในพื้นที่ร้าน ให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเผลอทำผิดโดยไม่เจตนา การชี้แจงหน้าร้าน/ในเมนู รวมถึงการฝึกพนักงานจึงเป็น “เส้นเลือดฝอย” สำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่.

ภาคธุรกิจบางส่วนมองว่า รายได้จากลูกค้ากลุ่ม “นั่งยาว” อาจหายไปบ้าง แต่หากสื่อสารและออกแบบประสบการณ์การรับประทานอาหาร เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ หรือกิจกรรมทางเลือกในชั่วโมงท้าย ๆ ก็อาจ แปลงความเสี่ยงเป็นโอกาส โดยเฉพาะร้านที่มีจุดขายเรื่องอาหาร บริการ และดนตรีสดคุณภาพ

กลไกการบังคับใช้ “พนักงานเจ้าหน้าที่” เดินคู่สื่อสารสาธารณะ

การบังคับใช้หลักยังอยู่กับ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกฎหมายใหม่ เพิ่มเครื่องมือทางปกครอง (เช่น การสั่งปรับเป็นพินัย) ควบคู่กับมาตรการด้านโฆษณา/การสื่อสารการตลาดที่เข้มขึ้น ทั้งหมดนี้อาศัยการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน เพื่อลดความสับสนจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อสังคม—กรณี “ปลดล็อก 14.00–17.00 น.” คือบทเรียนล่าสุดที่รัฐต้องชี้แจงอย่างเป็นระบบ.

ผลกระทบเป็นวงกว้าง ผู้บริโภครับภาระ “ความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มากขึ้น

สำหรับผู้ดื่ม กฎหมายใหม่ เลื่อนจุดรับผิดชอบ มาอยู่กับพฤติกรรมบุคคลอย่างชัดเจน ต่อไปนี้การ “นั่งดื่มต่อ” หลังร้านหยุดขาย ไม่ใช่เพียงเรื่องมารยาทหรือระเบียบภายใน แต่เป็น ความผิดตามกฎหมาย ที่มีค่าปรับชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรู้เวลาและ หยุดดื่มให้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย ขณะที่สำหรับผู้ค้าปลีก การวางระบบหน้าร้าน และการประชาสัมพันธ์ คือกุญแจ ให้ลูกค้าเข้าใจและร่วมมือ

“10 คำถามยอดฮิต” ที่ควรรู้ก่อนกฎหมายมีผล

  1. เริ่มบังคับใช้เมื่อใด8 พ.ย. 2568 (ครบ 60 วันจาก 9 ก.ย. 2568).
  2. ห้ามอะไรเพิ่ม – ห้าม “ดื่มในเวลาห้ามขาย” ในสถานที่เชิงพาณิชย์ เช่น ร้านอาหาร บาร์ ผับ คาราโอเกะ ฯลฯ.
  3. ถ้าฝ่าฝืนปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้บริโภคตามมาตรา 37/1. Multi DOPA
  4. ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ขายได้หรือไม่ – โดยหลัก ยังห้ามขาย ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายและประกาศนายกรัฐมนตรี.
  5. ร้านปิดบิลทันเวลา แต่ลูกค้ายังจิบ – เมื่อเข้า “เวลาห้ามขาย” แล้ว ห้ามดื่มต่อในพื้นที่ร้าน เพื่อไม่ให้เข้าข่ายความผิดของผู้บริโภค.
  6. สนามบิน/ดิวตี้ฟรี/เขตปลอดอากร – อยู่ในกลุ่ม “ได้รับยกเว้น” ตามเงื่อนไขประกาศที่ยังมีผล.
  7. มีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ 253 จริงหรือไม่ – จริง แต่โครงสร้างเวลาห้ามขายยังอยู่ผ่านกฎหมาย/ประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบัน.
  8. โฆษณา/การตลาดเข้มขึ้นอย่างไร – ฉบับใหม่เพิ่มข้อห้ามและอำนาจกำกับด้านสื่อสารการตลาดมากขึ้น รายละเอียดจะตามกฎหมายลูก.
  9. ใครบังคับใช้ – พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ปี 2551–2568 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานตำรวจในทางปฏิบัติเมื่อจำเป็น.
  10. ธุรกิจควรทำอะไรทันที – ปรับ SOP เวลา “Last order/เคลียร์โต๊ะ”, ป้ายแจ้งลูกค้า, อบรมพนักงาน,

คืนสุดท้ายก่อนยุคใหม่

ลองนึกภาพเย็นศุกร์ย่านท่องเที่ยวเหนือสุด—เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ก่อนพนักงานเดินมาบอกรอบสุดท้าย “อีกสิบนาทีเข้าช่วงห้ามขายนะคะ” ลูกค้าบางโต๊ะยกมือขอเช็กบิล ขณะอีกโต๊ะเปลี่ยนเป็นม็อกเทลและของหวาน ร้านเปิดเพลงช้าลง แต่บรรยากาศยังคลอด้วยบทสนทนา กฎหมายไม่ได้ปิดไฟเมือง แต่ชวนทุกฝ่าย ขยับจังหวะ ให้พอดีกับกรอบกติกาใหม่ เมืองยังสนุกได้—อย่างรับผิดชอบ

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์

  • ผู้ประกอบการ: ทำ “คู่มือ 1 หน้า” ติดหน้าร้าน อธิบายเวลาห้ามขาย/ห้ามดื่ม และขั้นตอนเคลียร์โต๊ะ ฝึกทีมงานให้สื่อสารสุภาพแต่ชัดเจน
  • ผู้บริโภค: วางแผนการดื่มตามเวลา แปลง “ชั่วโมงท้าย” เป็นของหวาน/เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
  • ภาครัฐ: สื่อสารสม่ำเสมอ ลดความสับสน และจัดทำ FAQ กลางหลายภาษาในพื้นที่ท่องเที่ยว พร้อมประเมินผลหลังบังคับใช้ 3–6 เดือน

 

นี่ไม่ใช่เพียงการขยับถ้อยคำในกฎหมาย แต่คือการ ย้ายสมดุลความรับผิดชอบ จากผู้ขายมาสู่ผู้บริโภคในชั่วโมงเสี่ยง เป็นการ “รีเซ็ตมารยาทสังคม” เชื่อมเศรษฐกิจท่องเที่ยวกับสาธารณสุขให้เดินไปด้วยกัน เมื่อ 8 พ.ย. 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ราชกิจจานุเบกษา: พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 – ประกาศ 9 ก.ย. 2568, มีผลหลัง 60 วัน.
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (สำนักนายกรัฐมนตรี/กระทรวงดิจิทัลฯ)
  • iLaw
  • สำนักงานกฎหมาย/ราชการที่เผยแพร่สรุปกฎหมาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เวียดนามคว้าแชมป์! นักท่องเที่ยวจีนพุ่ง 3.5 ล้านคน แซงหน้าไทย

วิกฤตท่องเที่ยวไทย-จีน เวียดนามพุ่งแตะเกือบ 14 ล้านคนใน 8 เดือน ขณะที่ไทยสะดุด เหตุความเชื่อมั่น-ต้นทุน และที่นั่งบินจากจีนหด

กรุงเทพฯ, 16 กันยายน 2568 – ภาพรวม 8 เดือนแรกปี 2568 เวียดนามรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ “เกือบ 14 ล้านคน” ทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยจีนเป็นตลาดใหญ่อันดับหนึ่ง และมีนักท่องเที่ยวจีนสะสมมากกว่า 3.5 ล้านคน ขยายตัวแรงเมื่อเทียบปีก่อน ขณะเดียวกัน กระแสเดินทางของชาวจีนเบนเข็มจากไทยไปยังเวียดนามและเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ตั้งแต่ อุปทานเที่ยวบินจากจีนลดลงกว่า 11% ในช่วง 8 เดือนแรก ไปจนถึงประเด็นความปลอดภัยที่ถูกพูดถึงในสื่อจีน ภายใต้แรงกดดันนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายประเมินว่า ไทยอาจสูญรายได้ท่องเที่ยวราว 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่กำลังไหลไปเวียดนามและประเทศรอบข้าง ข้อมูลเชิงประจักษ์จากเวียดนามและมาเลเซียยังสะท้อนการ “ชิงส่วนแบ่ง” ตลาดจีนอย่างเป็นระบบ ทั้งนโยบายวีซ่า ป้ายภาษา การตลาดเชิงประสบการณ์ และที่พัก-บริการระดับกลางถึงบนที่ขยายตัวรวดเร็ว (ดูแหล่งอ้างอิงท้ายข่าว)

เวียดนามผงาด “สดใหม่-ชัดเจน-เชื่อมตรง” ดึงจีนทะลุ 3.5 ล้านใน 8 เดือน

สำนักข่าวเวียดนาม (VNA) และหน่วยงานท่องเที่ยวเวียดนามรายงานตรงกันว่า ระหว่างมกราคม–สิงหาคม 2568 เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เกือบ 14 ล้านคน เพิ่มขึ้นปีต่อปี 21.7% โดย จีนยังครองแชมป์ตลาดอันดับ 1 และภาครัฐระบุชัดว่าเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.68 ล้านคน สูงกว่าทั้งเดือนก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยตอกย้ำโมเมนตัมฟื้นตัวในฤดูกาลโลว์ซีซันด้วยซ้ำ

หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในเวียดนามยังระบุรายละเอียดว่า จีนมีนักท่องเที่ยวสะสมมากกว่า 3.5 ล้านคน คิดเป็นราว 25% ของผู้มาเยือนทั้งหมดใน 8 เดือนแรก ขณะที่เกาหลีใต้ตามมาเป็นอันดับสองกว่า 2.9 ล้านคน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าตลาดระยะสั้นใกล้บ้านกำลังหนุนเวียดนามอย่างจริงจัง

ย้อนไปครึ่งปีแรก 2568 เวียดนามรับชาวจีนราว 2.72 ล้านคน เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบปีก่อน จุดนี้ช่วยอธิบายแรงส่งที่ทำให้เวียดนาม “ทะยาน” เข้าสู่ครึ่งปีหลังด้วยฐานที่แข็งแรง

แหล่งข่าวธุรกิจต่างประเทศชี้ด้วยว่า ความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากมองเวียดนามว่า “ยังสดใหม่” จึงพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์ท้องถิ่นที่แตกต่าง ซึ่งคือปัจจัยเชิงคุณภาพที่ช่วยเร่งการตัดสินใจเดินทาง

ไทยสะดุด ความเชื่อมั่น-ต้นทุน-ที่นั่งบิน ทำให้ “หลุดมือ” ตลาดจีน

ฝั่งไทย กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเผยตัวเลขสะสมล่าสุดถึง 14 กันยายน 2568 ว่า ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 23 ล้านคน ลดลง 7.08% จากปีก่อน โดย จีนอยู่อันดับ 2 ที่ 3.23 ล้านคน ตามหลังมาเลเซียเล็กน้อย ภายใต้ภาพรวมที่รัฐบาลต้องปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีจาก 37 ล้าน เหลือ 33 ล้านคน

แรงกดดันสำคัญคือฝั่งอุปทาน จำนวนที่นั่งเที่ยวบินทางเดียวจากจีนเข้าไทยช่วง 8 เดือนแรก ลดลง “มากกว่า 11%” เหลือราว 5.1 ล้านที่นั่ง เมื่อเทียบปีก่อน สวนทางคู่แข่งที่เร่งเพิ่มความถี่และเปิดรูทใหม่

ด้านความเชื่อมั่น “ความปลอดภัย” ยังเป็นปัจจัยอ่อนไหว โดยกรณี การลักพาตัวนักแสดงจีน “หวัง ซิง” ซึ่งถูกหลอกข้ามแดนไปยังเมียนมาเมื่อต้นปี กลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจสูงในสื่อจีนและสากล แม้ทางการไทยจะเร่งกู้ภาพลักษณ์และประกาศ มาตรการรักษาความปลอดภัยเสริม ก่อนเทศกาลท่องเที่ยวใหญ่ แต่ผลกระทบเชิงความรู้สึกยังต้องใช้เวลาเยียวยา

ในเชิงธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและข้อมูลตลาดจีนอย่าง China Trading Desk (CTD) ประเมินว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนของไทยในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ “หดตัวราว 35% YoY” เหลือประมาณ 2.68 ล้านคน และคาดว่าเป้าหมายเดิมที่ไทยเคยหวังไว้ 8–10 ล้านคนอาจต้องทบทวนลงมาใกล้เคียงปีก่อนที่ราว 6.7 ล้านคน

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อเศรษฐกิจนานาชาติรายงานว่า กระแส “หักศอก” ของชาวจีนจากไทยไปยังเวียดนามและประเทศเพื่อนบ้าน อาจทำให้ไทยสูญรายได้ท่องเที่ยวราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ ในปีนี้ ซึ่งเป็นการ “ไหลออก” ของเม็ดเงินที่เคยตกในระบบเศรษฐกิจไทย

มาเลเซีย “ติดเทอร์โบ” วีซ่าฟรี-เงินบาทแข็งเทียบริงกิต ทำจีนพุ่ง 35% ช่วงครึ่งปี

ขณะไทยชะลอ มาเลเซีย เดินหน้าเชิงรุก ทั้งการทำ วีซ่าฟรีแบบต่างฝ่ายต่างยกเว้น กับจีนมีผลบังคับใช้ทางการตั้งแต่ 17 กรกฎาคม 2568 และการเพิ่มความถี่เที่ยวบิน–ที่นั่งเข้าจีน ส่งผลให้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นราว 35% พร้อมกับที่นั่งจากจีนที่ “เกือบ +50%”

สื่อภูมิภาคและสื่อมาเลเซียระบุอีกว่า ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 มาเลเซียรับชาวจีน เกือบ 1.8 ล้านคน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าครึ่งปีหลังอาจเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องตามแรงหนุนวีซ่าและค่าใช้จ่ายภายในประเทศที่ยัง “คุ้มค่า” เมื่อเทียบเพื่อนบ้าน

ทำไมเวียดนาม “เข้าเส้นชัย” ก่อน นโยบาย-คอนเทนต์ภาษาจีน-ประสบการณ์เฉพาะถิ่น

เบื้องหลังความสำเร็จของเวียดนามมีองค์ประกอบหลายชั้น ตั้งแต่นโยบายวีซ่าที่ชัดเจน การสื่อสาร ภาษาจีนกลาง ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวหลัก ไปจนถึงการจัดเทศกาลเฉพาะทางและประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่จับใจกลุ่มวัยทำงานชาวจีน ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 เดือนเกือบ 14 ล้านคนและ ส่วนแบ่งจีนกว่า 3.5 ล้าน จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของการ “ดีไซน์เส้นทางผู้เยือน” อย่างเป็นระบบ

ผู้เชี่ยวชาญตลาดจีนยังอธิบายว่า “ความสดใหม่” ของปลายทาง บวกกับ การเล่าเรื่อง (storytelling) ที่เน้นประสบการณ์จริง กำลังชนะการตลาดแบบเดิมที่เน้นปริมาณทัวร์ราคาถูก นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่จำนวนมาก วางแผนเอง-จ่ายแพงขึ้น-อยากได้ของแท้ มากกว่าช้อปปิ้งอย่างเดียว นี่คือโอกาสของสินค้าและบริการท้องถิ่นที่มี “ตัวตน” ชัดเจน

ไทยควรอ่านสัญญาณอะไร 4 ปมที่ต้องเร่งคลี่คลาย

  1. ความปลอดภัยที่ “จับต้องได้”
    ไม่ใช่เพียงการประกาศมาตรการ แต่ต้องสื่อสาร “หลักฐานความปลอดภัย” เป็นภาษาเป้าหมาย เช่น ภาษาจีนกลาง ผ่านสื่อและ KOL ที่ชาวจีนเชื่อถือ พร้อม อัปเดตคดีสำคัญ อย่างต่อเนื่อง จนชาวจีน “รู้สึก” ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
  2. โครงสร้างราคาและความคุ้มค่า
    กระแสในสังคมออนไลน์จีนสะท้อนความกังวลเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” ในไทย ตั้งแต่โรงแรม อาหาร ไปถึงแท็กซี่ ไทยจึงควรจัดแพ็กเกจ “ราคาโปร่งใส” และ มาตรฐานบริการ ที่สอดคล้องราคาจริง ปิดช่องว่างความคาดหวัง
  3. ที่นั่งบินต้องมาก่อนการตลาด
    การสื่อสารการตลาดยากจะสำเร็จ หาก จำนวนที่นั่งจากจีนลดลง และการต่อเครื่องไม่สะดวก ภาครัฐและสนามบินควรร่วมมือสายการบิน วางอินเซนทีฟรายเส้นทาง เน้นเมืองรองในจีนที่กำลังเติบโต เพื่อนำ capacity กลับสู่สมดุล
  4. คอนเทนต์ภาษาจีนและบริการแบบ “ไร้รอยต่อ”
    ป้าย ระบบชำระเงินยอดนิยมของจีน ช่องทางบริการหลังการขาย และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ต้องพร้อม เพื่อแปลง “ความสนใจ” ให้เป็น “การเดินทางจริง”

การชิงจังหวะไฮซีซัน โอกาสสุดท้ายของปี

แม้ภาพรวมปีนี้ท้าทาย แต่ยังมี “หน้าต่างโอกาส” ในช่วงไฮซีซัน หากไทย รีแพ็กเกจ จุดหมายหลัก–รอง ด้วยธีม “คุ้มค่า–ปลอดภัย–สะดวก” และ เชื่อมการบินตรง ที่เพียงพอ โอกาสพลิกไตรมาส 4 ยังพอเป็นไปได้ ข้อมูลสะสมของไทยชี้ว่าตลาดจีนยัง ไม่หายไป เพียงแต่ “ไม่รีบกลับมา” เหมือนเดิม ไทยจึงต้อง แสดงให้เห็น ว่าเที่ยวไทยตอนนี้ปลอดภัยกว่าเดิมและคุ้มค่ากว่าเดิม พร้อมทางเลือกใหม่ที่ “สด” ไม่จำเจ.

เล่าเรื่องผ่านตัวเลข ภูมิภาคกำลัง “ปรับสมดุล”

  • เวียดนาม 8 เดือนแรกรับต่างชาติ เกือบ 14 ล้านคน (+21.7%) จีนมากกว่า 3.5 ล้านคน อันดับหนึ่งทั้งจำนวนและสัดส่วน ชี้ชัดถึงความสำเร็จเชิงนโยบายและอากาศยาน
  • ไทย ถึง 14 ก.ย. มีต่างชาติ 23 ล้านคน (-7.08% YoY) จีน 3.23 ล้าน รองจากมาเลเซีย พร้อมการปรับลดคาดการณ์ทั้งปีเหลือ 33 ล้านคน
  • อุปทานการบินจีน–ไทย ที่นั่งทางเดียว ลดลง >11% ช่วง 8 เดือนแรก เหลือ ~5.1 ล้านที่นั่ง กระทบ “ความพร้อมเดินทาง” อย่างมีนัยสำคัญ
  • มาเลเซีย จีนครึ่งปีแรก พุ่ง ~35% โดยที่นั่งจากจีน “เกือบ +50%” หนุนผลของ วีซ่าฟรีสองทาง ที่มีผลอย่างเป็นทางการกลาง ก.ค.
  • ความเสียโอกาสของไทย ผู้เชี่ยวชาญประเมิน สูญรายได้ ~US$3.5 พันล้าน จากการเบนเข็มของนักท่องเที่ยวจีนไปเวียดนามและเพื่อนบ้าน

มุมมองผู้ประกอบการ–ภาครัฐ ต้อง “เดินพร้อมกัน”

ฝั่งเอกชนโรงแรมไทยสะท้อนว่า ดีมานด์จีน “ไม่ฟื้นตามคาด” จึงเริ่มปรับเป้ารายได้และวางกลยุทธ์เน้นตลาดสลับฤดูกาล ขณะที่รัฐบาลประกาศคงมาตรการดึงนักท่องเที่ยว และ นายกรัฐมนตรีไทย ย้ำการ สื่อสารความปลอดภัยเป็นภาษาจีน เพื่อกู้ความเชื่อมั่นตลาดหลัก โดยยอมรับว่าต้อง “ทำต่อเนื่อง” ไม่ใช่แค่แคมเปญช่วงสั้น

ในทางกลับกัน แหล่งท่องเที่ยวคู่แข่ง เช่น เวียดนามและมาเลเซีย ยึดสูตร “คอนเทนต์+คอนเนคทิวิตี้+คุ้มค่า” เป็นแกนหลัก ซึ่งกำลังพิสูจน์ผลลัพธ์ผ่านตัวเลขจริง

 ถ้าไทยอยาก “ทวงบัลลังก์” จีน ต้องเปลี่ยนเกมให้เร็ว

ตลาดจีนไม่ได้ “ปิด” สำหรับไทย แต่กำลัง “ปรับสมดุล” ตามคุณภาพประสบการณ์และความสบายใจของนักเดินทาง ไทยยังมีจุดแข็งมหาศาล ทั้งทรัพยากรท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถการบริการ หาก เร่งคืนความรู้สึกปลอดภัยที่จับต้องได้, ทำแพ็กเกจคุ้มค่าและโปร่งใส, และ ดึงที่นั่งบินกลับมาอย่างมีเป้าหมาย โอกาส “รีบาวด์” ช่วงไฮซีซันยังมีให้เห็น และปี 2569 อาจกลับมาเป็นปีแห่งการ “ทวงคืนส่วนแบ่ง” ได้อีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Vietnam News Agency (VNA) / Vietnam National Authority of Tourism
  • Saigon Giải Phóng (SGGP)
  • Reuters
  • Bloomberg / The Straits Times / The Business Times
  • China Trading Desk (CTD)
  • The Star (Malaysia) / Travel and Tour World
  • CGTN
  • AP / Reuters
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

สวนนงนุชยกระดับ! เปิดอาณาจักรพุทธศิลป์รวมองค์แทนพระพุทธเจ้าจากทั่วโลก

สวนนงนุชพัทยาเปิด “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้พุทธศิลป์นานาชาติ” รวมองค์แทนพระพุทธเจ้า หวังปลูกฝังความรู้และศรัทธาให้เยาวชน

พัทยา, 15 กันยายน 2568 — สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าวิสัยทัศน์ “อาณาจักรแห่งแหล่งเรียนรู้ครบวงจร” เปิดพื้นที่การเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสร้างและรวบรวม “องค์แทนพระพุทธเจ้า” จากหลากหลายประเทศ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความเข้าใจความงดงามของพุทธศิลป์ในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทสวนนงนุชในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาเคียงข้างสวนพฤกษศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และสวนสัตว์ปูนปั้น ซึ่งเป็น 5 เสาหลักของแผนพัฒนาเชิงเนื้อหาที่วางไว้

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ยกเหตุผลสำคัญว่า โครงการนี้ตั้งใจ “ทำให้เด็กๆ เข้าถึงพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และเห็นความงามของพุทธศิลป์จากนานาชาติ” ด้วยความเชื่อว่าการเห็นของจริงในบริบทย่อส่วน จะช่วย “ปลูกฝังความรัก ความศรัทธา และความเข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วัยเยาว์ และติดตัวไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต (อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่สอดคล้องกับข่าวเผยแพร่ล่าสุดของสวนนงนุชพัทยาและสื่อท้องถิ่น)

จาก “สวนสวย” สู่ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” โครงเรื่องที่สวนนงนุชอยากเล่า

เรื่องราวเริ่มที่คำถามง่ายๆ ว่า “เราจะทำให้พระพุทธศาสนาน่าสนใจสำหรับเด็กและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” คำตอบของสวนนงนุชคือการยก “โลกของพุทธศิลป์” มาไว้ในพื้นที่เดียว ให้ผู้ชมเดินผ่านเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ รูปทรง และสุนทรียะ จากหลากหลายภูมิภาค แล้วเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างด้วยสายตาตนเอง

แนวคิดนี้สอดรับกับทิศทางการเป็น “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ครบวงจร” ของสวนนงนุช ซึ่งมี 5 ด้านหลัก ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ปูนปั้น ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และพระพุทธศาสนา โดยด้านสุดท้ายถูกต่อยอดให้ชัดเจนขึ้นผ่าน “องค์แทนพระพุทธเจ้า” ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องเรียนภาคสนามกลางแจ้ง ผู้ชมจึงไม่ได้เพียง “ดู” หากแต่ “เชื่อมโยง” ข้อมูลศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน (ข้อมูลทิศทางจากเว็บไซต์สวนนงนุชและบทความแนะนำพิพิธภัณฑ์พุทธคุโณปการ)

ความคืบหน้าโครงการ 5 องค์แล้วเสร็จ และ 11 องค์อยู่ระหว่างดำเนินการ

สวนนงนุชระบุว่า ขณะนี้ได้จัดสร้างองค์แทนพระพุทธเจ้าจากนานาชาติแล้ว 5 องค์ ได้แก่

  • พระโพธิสัตว์กวนอิม
  • พระศรีอริยเมตไตรย (อ้างอิงแรงบันดาลใจจากวัดในเกาหลีใต้)
  • พระสังกัจจายน์
  • พระพุทธรูป “เลจุน เซจาร์” จากเมียนมา
  • พระพุทธรูป “ไดบุตสึ” จากญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมี 11 องค์ อยู่ระหว่างทำงาน ซึ่ง 3 องค์ แรกที่แล้วเสร็จและทยอยเปิดให้ชม ได้แก่ พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน), พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) และ พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน—ในฐานะองค์แทน/การระลึกถึง) รายละเอียดดังกล่าวยืนยันในข่าวเผยแพร่ของสื่อไทยท้องถิ่นและเว็บไซต์ข่าวเชิงสาธารณะ ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชน และนักท่องเที่ยวเข้าถึงความหลากหลายของพุทธศิลป์โลกในพื้นที่เดียว

“เมื่อได้เห็นความงดงามของพุทธศิลป์จากหลายประเทศ เด็กๆ จะเกิดความรู้สึกชอบ เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเกิดความรักและความศรัทธาในหลักคำสอนที่ถูกต้อง” — นายกัมพล ตันสัจจา (อ้างอิงตามเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์)

ทำไมต้อง “องค์แทน” บทเรียนเชิงบริบทและการเทียบเคียง

การจัดสร้าง “องค์แทน” มิได้เป็นเพียงการจำลองรูปเคารพ หากคือการ “ย่อโลก” ของคติ ความเชื่อ และรูปแบบศิลป์ที่สะท้อนรากวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคให้มาอยู่ในระยะสายตาเดียวกัน เด็กและผู้ชมจึงสามารถเทียบเคียง “ภาษาศิลป์” ได้โดยตรง ว่าทำไมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่นจึงหนักแน่นเรียบง่าย เหตุใดพระโพธิสัตว์ในจีนจึงอ่อนช้อย และเหตุใดรูปเคารพจากหิมาลัยจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ “องค์แทน” กลายเป็นตำราเรียนที่เดินเข้าไปอ่านได้

เปิดเลนส์ดู 3 สัญลักษณ์สำคัญ ภูฐาน–ทิเบต–อัฟกานิสถาน

1) พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน) — ความศรัทธาที่โอบล้อมเมืองหลวง

Great Buddha Dordenma ตั้งอยู่บนเนินเขาในทิมพู สร้างด้วย สำริดปิดทอง สูงราว 54 เมตร ก่อสร้างระหว่างปี 2006–2015 ภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า หนึ่งแสนองค์ ตามคติศรัทธา การมีอยู่ขององค์พระซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดราวคุ้มครองเมืองทั้งเมือง จึงมีนัยทั้งเชิงสัญลักษณ์และทัศนภูมิประเทศที่น่าสนใจต่อการเรียนรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรมศาสนา

2) พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) — ศูนย์กลางศรัทธาที่โยกย้ายมิได้

Jowo Shakyamuni ประดิษฐานในวัดโจกัง เมืองลาซา และถูกยกย่องว่าเป็น “พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต” ความสำคัญอยู่ที่บทบาททางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของทิเบต มากกว่าขนาดหรือวัสดุ การศึกษาองค์นี้ช่วยเปิดมุมมองว่า “คุณค่าทางศาสนา” อาจวัดจากความทรงจำร่วมของสังคม และบทบาททางพิธีกรรม มิใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก

3) พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน) — อนุสรณ์แห่งการคุ้มครองมรดกโลก

พระพุทธรูปยักษ์สององค์ที่หน้าผาหุบเขาบามิยันถูกทำลายเมื่อปี 2001 จนเหลือเพียง “โพรงว่าง” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจโลกให้ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก ในชื่อ Cultural Landscape and Archaeological Remains of the Bamiyan Valley การสร้าง “องค์แทนเพื่อระลึกถึง” จึงมีนัยเชิงการศึกษา ว่าความสูญเสียทางวัฒนธรรมส่งผลอย่างไร และโลกเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้

สวนนงนุชในฐานะ “สะพาน” เชื่อมศิลป์–ศรัทธา–สังคม

เมื่อองค์แทนจากภูมิภาคต่างๆ มาวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้ชมจะเห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งแช่แข็ง หากสัมพันธ์กับภูมิอากาศ วัสดุท้องถิ่น ประวัติศาสตร์การเมือง ศาสนาท้องถิ่น และการตีความคำสอน ทั้งหมดนี้ทำให้ “ศิลป์” กลายเป็น “กระจก” สะท้อนสังคม และทำให้ “ศรัทธา” กลายเป็น “บทสนทนา” ระหว่างคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสง่างาม

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา โครงการนี้เพิ่ม “ชั้นความหมาย” ให้การมาเยือนพัทยาและชลบุรี ซึ่งเดิมเป็นจุดหมายพักผ่อนตามธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้ครู นักเรียน มหาวิทยาลัย และชมรมศิลปะ เข้ามาใช้พื้นที่เรียนรู้แบบ hands-on โดยผูกเรื่องกับรายวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ สังคมศึกษา และพลเมืองโลก

มาตรฐานการเล่าเรื่องและความอ่อนน้อมต่อศาสนา

สวนนงนุชตระหนักถึง “ความอ่อนไหวทางศาสนา” จึงวางกรอบการสื่อสารเชิงความรู้ควบคู่มารยาทการเยี่ยมชม เช่น การแต่งกายสุภาพ การเว้นระยะเหมาะสม การไม่ปีนป่ายหรือสัมผัสองค์แทนโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจัดป้ายความรู้สองภาษา เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจที่มา ความหมาย และบริบทของแต่ละองค์อย่างเคารพ ซึ่งแนวปฏิบัติทำนองนี้ปรากฏในเอกสารแนะนำเชิงนิทรรศการของสวนนงนุชที่เน้นบทบาท “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” และ “ห้องเรียนกลางแจ้ง”

ความต่อเนื่องของภารกิจ “ปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์”

ใจกลางของโครงการคือคำว่า “เข้าถึงง่าย” เด็กจำนวนมากรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญทางศาสนา แต่ยังไม่รู้ว่า “พุทธศิลป์” ในแต่ละประเทศต่างกันอย่างไร การได้เห็นองค์แทนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนมา ภูฐาน ทิเบต ไปจนถึงอนุสรณ์แห่งบามิยันในอัฟกานิสถาน จะช่วยกระตุ้นให้ตั้งคำถามและค้นคว้า เช่น ทำไมกวนอิมจึงมีบุคลิกอ่อนโยน ทำไมไดบุตสึจึงเน้นความสุขุมมั่นคง หรือทำไมโจโวจึงเป็น “หัวใจของทิเบต” คำถามเหล่านี้คือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ระยะยาว

“เราต้องการให้เด็กรู้สึกชอบก่อน แล้วความรักและความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจจะตามมาเอง” — นายกัมพล ตันสัจจา กล่าวในทิศทางเดียวกับข่าวเผยแพร่

อนาคตข้างหน้า จากองค์แทน สู่เครือข่ายการเรียนรู้ระดับภูมิภาค

เมื่อองค์แทนชุดแรกทยอยเปิดครบ สวนนงนุชมีแนวโน้มจะขยายกิจกรรมประกอบผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปนำชมเชิงลึก การบรรยายสั้นสำหรับครอบครัว เสวนาเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัย และการพัฒนา guidebook ขนาดพกพา เพื่อช่วยครูและนักเรียนเตรียมตัวก่อนมาเยือน หากเกิดขึ้นจริง พื้นที่นี้จะค่อยๆ กลายเป็น “โหนดความรู้” เชื่อมโยงโรงเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าหากัน

ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์แทนยังเปิดโอกาสต่อยอดสู่งานออกแบบของที่ระลึกเชิงความรู้ คอนเทนต์ดิจิทัลแบบสั้น และสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟที่เล่าความหมายของรูปทรงและสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ “เรียนรู้ซ้ำ” ได้แม้กลับถึงบ้านแล้ว โดยไม่ลดทอนความเคารพต่อศาสนา

มองผ่านเลนส์เมืองท่องเที่ยว พัทยาที่ซับซ้อนกว่าเดิม

พัทยาในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอาจถูกมองด้วยภาพจำจำกัด โครงการแบบนี้ช่วย “ปรับโทน” เมืองให้ลุ่มลึกขึ้น เพิ่มมิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสอดรับพฤติกรรมผู้เดินทางรุ่นใหม่ที่แสวงประสบการณ์มีความหมาย การมีแลนด์มาร์กเชิงการศึกษาในพื้นที่สวนระดับโลกอย่างสวนนงนุช ซึ่งเดิมโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตยกรรมและคอลเลกชันพืช ก็ยิ่งทำให้พัทยาเป็นปลายทางที่ครบเครื่องขึ้น (ข้อมูลภาพรวมแหล่งท่องเที่ยวจากบทความแนะนำการท่องเที่ยวพัทยาที่กล่าวถึงบทบาทสวนนงนุช)

องค์แทนที่ “แทน” ได้มากกว่ารูปเคารพ

โครงการ “องค์แทนพระพุทธเจ้านานาชาติ” ของสวนนงนุชพัทยาไม่ใช่แค่การจัดวางรูปเคารพให้คนมาถ่ายรูป หากเป็น “บทเรียนมีชีวิต” ที่วางอยู่กลางเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้มาเยือนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเคารพ เข้าใจ และเท่าทันโลก

ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการใช้ “พุทธศิลป์” เป็นภาษากลางเชื่อมประวัติศาสตร์ ศรัทธา และสังคม จากภูฐานและทิเบตถึงอัฟกานิสถาน จากจีนและญี่ปุ่นถึงเกาหลีและเมียนมา แล้วนำทั้งหมดมาบอกเล่าที่พัทยา เมืองที่กำลังสร้างบทใหม่ของการท่องเที่ยวคุณภาพ เมื่อโครงการเดินหน้าครบถ้วน พื้นที่แห่งนี้จะยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ ความอ่อนน้อม และบทสนทนา ซึ่งคือหัวใจของคำว่า “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.ทุ่ม 5.7 พันล้านบาท ดันเชียงรายสู่ “มหานครการบิน” เพิ่มขีดรองรับ 6 ล้านคน

เชียงรายเร่งเครื่องสู่ “มหานครการบิน” ทอท.เดินหน้าแม่ฟ้าหลวงเฟส 1 เพิ่มขีดรองรับเป็น 6 ล้านคนภายใน 7 ปี

เชียงราย, 15 กันยายน 2568 — แผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจภาคเหนือตอนบน ทั้งในมิติการคมนาคม การท่องเที่ยว การค้า และการจ้างงาน ด้วยงบลงทุนประมาณ 5,700 ล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถจาก 3 ล้านคน/ปี เป็น 6 ล้านคน/ปี ภายใน 7 ปี พร้อม “พิมพ์เขียว” โครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ครอบคลุมงานเขตการบิน อาคารผู้โดยสาร และระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน โดยยังยึดหลักการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) และสื่อสารอัตลักษณ์เชียงรายผ่านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย

บริบทและสัญญาณการเติบโต จาก “เกตเวย์” สู่ “กลไกหลัก”

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ทำหน้าที่ “ประตูสู่ภาคเหนือ” และเชื่อมภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง—จีนตอนใต้มายาวนาน กระนั้น เพดานความจุ 3 ล้านคน/ปี เริ่มตึงตัวตามการฟื้นตัวของการบินหลังโควิดและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวของรัฐ ปีที่ผ่านมา สนามบินรองรับผู้โดยสารประมาณ 1.9 ล้านคน แม้ยังไม่ชนขีดจำกัด แต่แนวโน้ม “กลับมาและเติบโตต่อ” ชี้ชัดว่า หากไม่ขยายขีดความสามารถ โอกาสทางเศรษฐกิจจะ “ติดคอขวด” ในระยะสั้นถึงกลาง

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระบุว่า สนามบินมีศักยภาพพร้อมต่อยอด ทั้งจากรางวัลด้านบริการ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และสุขาภิบาลระดับประเทศหลายปีซ้อน แต่สิ่งสำคัญคือการ “อัปเกรดให้สอดรับบทบาทใหม่” ในฐานะ กลไกหลัก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดและภูมิภาค ไม่ใช่เป็นเพียงจุดผ่าน (gateway) อีกต่อไป

ความจุ 6 ล้านคน/ปี และเสถียรภาพระบบสนามบิน

หัวใจของโครงการคือการยกระดับความจุเป็น 6 ล้านคน/ปี แบ่งเป็น ผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ล้านคน และ ระหว่างประเทศ 1 ล้านคน พร้อมเพิ่มความเสถียรของระบบสนามบิน ตั้งแต่ทางขับ ลานจอด ระบบเชื้อเพลิง ไปจนถึงการไหลเวียนคน รถ และสัมภาระอย่างเป็นระบบ ทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ดินสนามบิน กว่า 3,000 ไร่ ซึ่งเปิดช่องให้จัดสรรพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมการบินในอนาคต

เป้าหมาย 7 ปี จึงไม่ใช่เพียง “สร้างเทอร์มินัลใหม่” หากแต่เป็นการ “บูรณาการเมืองทั้งเมือง” ให้พร้อมรองรับอุปสงค์การเดินทาง การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวตามความจุสนามบิน

พิมพ์เขียว 3 กลุ่มงาน โครงสร้างพื้นฐานที่คิดแบบองค์รวม

1.งานเขตการบิน (Airside)

  • สำรวจและออกแบบ ทางขับขนานด้านทิศใต้
  • ปรับปรุง–ขยาย ลานจอดอากาศยานด้านทิศใต้
  • ติดตั้ง ระบบเติมน้ำมันทางท่อ เพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนเครื่อง
  • ออกแบบ ลานจอดอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้น (GSE) รองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น

2.งานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน (Landside & Terminal)

  • ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ และ ปรับปรุงอาคารเดิม ให้ไหลลื่นเป็นหนึ่งเดียว
  • เพิ่ม หลุมจอดแบบประชิดอาคาร 9 หลุม ลดเวลารอคอยต่ออากาศยาน
  • ปรับปรุง อาคารจอดรถ ลานจอด และศูนย์ขนส่ง รองรับการเข้าถึงที่สะดวกขึ้น

3.งานระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน (Airport Support Systems)

  • ปรับปรุง ถนนภายใน ระบบระบายน้ำ–บำบัดน้ำเสีย ระบบประปา และระบบไฟฟ้า
  • สำรวจ–ออกแบบ คลังสินค้าทดแทน และ อาคารซ่อมอุปกรณ์ภาคพื้น เพื่อความพร้อมเชิงปฏิบัติการ

สถาปัตยกรรม ผสานอัตลักษณ์เชียงรายผ่านแรงบันดาลใจ “ผ้าทอลายเชียงแสนหงส์ดำ—พระธาตุดอยตุง—เส้นโค้งไร่ชา” พร้อมแนวคิด Universal Design ตั้งแต่ลิฟต์ ทางลาด บันไดเลื่อน ห้องน้ำผู้สูงอายุ–ผู้พิการ เพื่อให้ “สนามบินสำหรับทุกคน” เกิดขึ้นจริง

ศูนย์ซ่อมอากาศยานแบบ Common Use ฟันเฟืองใหม่ของห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ด้านเหนือของสนามบินคือพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ ศูนย์ซ่อมอากาศยานแบบ Common Use ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ผ่านการประเมิน EIA แล้ว และสามารถรองรับเครื่องบิน รหัส C ได้ 8 ลำ พร้อมกัน โครงการนี้คาดว่าจะ จ้างงานตั้งแต่ 400 คนขึ้นไป ในระยะเริ่มต้น และต่อยอดสู่ทักษะขั้นสูงด้านวิศวกรรมการบิน โลจิสติกส์ และซัพพลายเชน—องค์ประกอบที่ไทยยังต้องการเพิ่มกำลังคนและมาตรฐาน

น.ต.ดร.สมชนก เน้นย้ำว่า เม็ดเงินลงทุนสนามบิน “ไม่ใช่ต้นทุนจม” แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานที่กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” ที่กระจายไปยังซับเซกเตอร์มากมาย ทั้งการท่องเที่ยว บริการขนส่ง โรงแรม–ที่พัก อาหาร–สินค้า OTOP ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่จะพัฒนาหลักสูตรรองรับสายงานใหม่

มมอง “ROI เพื่อสังคม” กำไรที่เกินกว่าตัวเลขงบประมาณ

คำถามเรื่อง ROI ถูกหยิบยกในเวทีสาธารณะบ่อยครั้ง ผู้บริหารสนามบินตอบชัดว่า
“ROI เป็นเรื่องรอง เป้าหมายหลักคือการพัฒนาจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน”
การลงทุน 5,700 ล้านบาท จึงวัดผลได้มากกว่ารายได้สนามบิน ได้แก่

  • การเพิ่ม ผลิตภาพการเดินทาง และลดต้นทุนโลจิสติกส์ของพื้นที่
  • การขยาย โอกาสการค้า–การลงทุน และการเชื่อมต่อห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาค
  • การสร้าง โอกาสการจ้างงาน ทั้งระหว่างก่อสร้างและหลังเปิดใช้เต็มรูปแบบ
  • การยกระดับ คุณภาพชีวิต และ ความสามารถในการรองรับวิกฤต ของเมือง

เสียงจาก “เมือง” ถ้าคน 6 ล้านมา เมืองต้องพร้อมไปด้วย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ชี้เป้าท้าทายสำคัญว่า
ถ้าคน 6 ล้านมาแล้ว เมืองไม่พร้อม สนามบินอาจพร้อม แต่เมืองไม่พร้อม ก็ไม่มีประโยชน์”
ดังนั้น 7 ปีจากนี้คือหน้าต่างเวลาในการ บูรณาการ รัฐ–เอกชน–ชุมชน–การศึกษา ให้เดินหน้าไปพร้อมสนามบิน

ตัวอย่าง ดีมานด์มหภาค ที่รออยู่ ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพ Spartan World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี คาดผู้เข้าร่วมหลักหมื่น ต้องการห้องพัก 20,000–30,000 ห้อง และเม็ดเงินหมุนเวียน ระดับพันล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าตลาด “นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง” มีความเป็นไปได้สูง หากเมืองยกระดับความพร้อมทั้งที่พัก ระบบขนส่งในเมือง บริการท่องเที่ยว และมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

ผู้ว่าฯ ยังชี้ให้ “สร้างภาพจำใหม่” ให้เชียงรายด้วยข้อมูลจริง เช่น การลดจุดความร้อน 84% ในปีที่ผ่านมา เพื่อให้การสื่อสารเมืองสะท้อนความจริงเชิงบวก และหนุนการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว–นักลงทุน

จากสนามบินดีเด่น สู่ศูนย์กลางโอกาส

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ สนามบินจะ

  • รองรับผู้โดยสารรวม 6 ล้านคน/ปี (ในประเทศ 5 ล้าน ระหว่างประเทศ 1 ล้าน)
  • มี 9 หลุมจอดประชิดอาคาร และลานจอด–ทางขับที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
  • ยกระดับ มาตรฐานความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม ตามกรอบสากล
  • เสริมพลังการแข่งขันของเชียงรายและไทยใน การบิน–ท่องเที่ยว–การค้า–การลงทุน

เหนือสิ่งอื่นใด คือการก่อรูป “ศูนย์กลางโอกาส” ที่คนท้องถิ่นเข้าถึงได้จริง ผ่านอาชีพและธุรกิจใหม่ ตั้งแต่ซัพพลายเชนการบิน โลจิสติกส์เย็น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ธรรมชาติ ไปจนถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมอัตลักษณ์ล้านนากับตลาดโลก

โครงสร้างการมีส่วนร่วมการออกแบบที่เริ่มต้นจากประชาชน

ทอท. เปิดเวที สัมมนาประชาสัมพันธ์ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท วันที่ 15 กันยายน 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน จากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ อปท. ภาคธุรกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ซี.อาร์.เอ. ทำหน้าที่สำรวจ–ออกแบบ และรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อปรับแบบให้ “เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด” กับประชาชนและประเทศ

กลไกนี้สำคัญ เพราะทำให้โครงการสนามบิน “ไม่ใช่ของสนามบินฝ่ายเดียว” แต่เป็น ของจังหวัด ที่ทุกฝ่ายร่วมรับรู้–ร่วมกำหนด–ร่วมขับเคลื่อน

เวลา–ความพร้อมเมือง–ประสิทธิภาพการบูรณาการ

แม้มีแนวโน้มบวกชัดเจน แต่ความท้าทายเชิงนโยบายยังมี 3 มิติหลัก

  1. เวลาโครงการ 7 ปี
    ต้องมีวินัยด้านงบประมาณ–การจัดซื้อจัดจ้าง–การควบคุมงาน เพื่อปิดความเสี่ยง “ดีเลย์” ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นและต้นทุนแฝงของเอกชน
  2. ความพร้อมของเมืองและห่วงโซ่บริการ
    ที่พัก ระบบขนส่งสาธารณะ–เชื่อมต่อสนามบิน ความเป็นระเบียบของโครงข่ายถนน–จุดรับส่ง รวมถึงมาตรฐานบริการภาคท่องเที่ยว ต้องยกระดับให้สอดรับดีมานด์ใหม่
  3. ประสิทธิภาพการบูรณาการข้อมูล–การสื่อสารสาธารณะ
    เมืองต้อง “เล่าเรื่องด้วยข้อมูลจริง” ต่อเนื่อง เช่น สถิติคุณภาพอากาศ ความคืบหน้าสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยการเดินทาง เพื่อเปลี่ยนภาพจำเดิมเป็นความเชื่อมั่นใหม่

การจัดการ 3 ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ จะทำให้ “สนามบินที่พร้อม” แปรเป็น “เมืองที่พร้อม” และทำให้เม็ดเงิน 5,700 ล้านบาท ส่งผลทวีคูณในเศรษฐกิจฐานราก

เมือง–สนามบิน ต้องโตไปด้วยกัน

น.ต.ดร.สมชนก สรุปทิศทางว่า “เราไม่ได้มอง ROI เป็นตัวตั้ง แต่ตั้งเข็มทิศที่คุณภาพชีวิตคนเชียงรายและภาคเหนือตอนบน” ขณะที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า “ถ้าคน 6 ล้านมา เมืองต้องพร้อม” นี่คือสารเดียวกันในสองมุม—ฝั่งสนามบินและฝั่งเมือง—ที่ชี้ว่าความสำเร็จของโครงการนี้วัดจาก การเติบโตเชิงคุณภาพของจังหวัด มากกว่าตัวเลขก่อสร้าง

ในภาพกว้าง โครงการแม่ฟ้าหลวงเฟส 1 จึงเป็น จิ๊กซอว์โครงสร้างพื้นฐาน ที่เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ให้เชียงราย ตั้งแต่การเป็นฐานกิจกรรมกีฬานานาชาติ การยกระดับท่องเที่ยวคุณภาพ การก่อรูปคลัสเตอร์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ไปจนถึงการปั้นคนรุ่นใหม่ในสายอาชีพการบิน–บริการ—ทั้งหมดนี้คือ “กำไรส่วนรวม” ที่จะกลับมาหาประชาชน

บทสรุปเชิงนโยบาย

  • สนามบิน คือกลไกหลัก มิใช่เพียงเกตเวย์
  • โครงสร้างพื้นฐาน ต้องเดินคู่กับ ความพร้อมของเมือง
  • การมีส่วนร่วมสาธารณะ เป็นตัวประกันคุณภาพแบบและความยั่งยืน
  • การสื่อสารด้วยข้อมูลจริง จะสร้างภาพจำใหม่และแรงส่งการลงทุน
  • หาก “สนามบินที่พร้อม” พบกับ “เมืองที่พร้อม” เป้าหมาย 6 ล้านคน/ปี จะไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็น มหานครแห่งโอกาส ที่คนเชียงรายสัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เดินหน้าลงทุน MRO และ FBO ดันเชียงรายสู่ “ศูนย์การบินแห่งภาคเหนือ”

เชียงรายเตรียมยกระดับสู่ “ศูนย์การบินแห่งเหนือ” ทอท.เดินหน้า MRO–อาคารผู้โดยสารใหม่ พร้อมเปิดพื้นที่ทิศเหนือเชิญเอกชนลงทุน FBO ดึงเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–ธุรกิจการบินโตยกเขต

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) กำลังเปลี่ยนผ่านสู่บทใหม่ของอุตสาหกรรมการบินภาคเหนือ เมื่อ ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เดินหน้าแผนลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งการสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และการตั้ง “ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)” บนพื้นที่เฉพาะ ขณะเดียวกัน สนามบินเริ่มเปิดพื้นที่ฝั่งทิศเหนือเพื่อดึงเอกชนลงทุน “FBO”—ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว—เพื่อรองรับดีมานด์ระดับพรีเมียมที่เติบโต

“FBO (Fixed-Base Operator) เป็นผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว ตอนนี้สนามบินกำลังประชาสัมพันธ์หาผู้ลงทุน โดยพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของสนามบิน” นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย กล่าวยืนยันกับผู้สื่อข่าวนครเชียงรายนิวส์ สะท้อนทิศทางที่ CEI กำลังเปิด “ประตูที่สอง” ให้กับผู้โดยสารกลุ่มเฉพาะ (niche premium) ควบคู่ไปกับผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ปกติ

จากสนามบินประตูท่องเที่ยว สู่ “ฐานอุตสาหกรรมการบิน”

ในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แผนของ ทอท. ที่เชียงรายแบ่งเป็น 2 แกนสำคัญ

  1. อาคารผู้โดยสารใหม่ – มุ่งเพิ่มขีดความสามารถรองรับจากระดับราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อรับมือพฤติกรรมท่องเที่ยวภาคเหนือและการเชื่อมต่อจีนตอนใต้–ลุ่มโขงที่ขยายตัวต่อเนื่อง (มีรายงานต่างประเทศระบุเป้าหมาย 7 ล้านคน/ปี)
  2. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) บนพื้นที่ราว 50 ไร่ – ปัจจุบัน รายงาน EIA ของโครงการ MRO ที่เชียงรายอยู่บนระบบ Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งสะท้อนการเดินหน้าในเชิงขั้นตอนตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทย

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ CEI ไม่ได้เป็นเพียง “สนามบินปลายทางท่องเที่ยว” อีกต่อไป แต่ยกระดับไปเป็น “ศูนย์บริการด้านการบิน” ครบวงจร ซึ่งการมี MRO จะสร้างฐานการจ้างงานทักษะสูง กระตุ้นเศรษฐกิจห่วงโซ่อุตสาหกรรมอากาศยาน และเพิ่มเสถียรภาพรายได้ให้สนามบินในระยะยาว—ต่างจากรายได้ที่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยว

FBO vs MRO คนละบท คนละคุณค่า แต่เสริมกัน

คำว่า FBO และ MRO มักถูกเอ่ยคู่กัน แต่มี “หน้าที่” คนละแบบ

  • FBO คือบริการภาคพื้นและอำนวยความสะดวกสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว เช่น เติมเชื้อเพลิง การจอด–ลากจูง การผ่านพิธีการ CIQ แบบเป็นส่วนตัว ห้องรับรอง VIP การขนส่งภาคพื้น และบริการลูกเรือ ฯลฯ มูลค่าเพิ่มของ FBO จึงอยู่ที่ “ความเร็ว–ความเป็นส่วนตัว–ความต่อเนื่อง” ของการเดินทางสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/บุคคลสำคัญ
  • MRO คือการซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค ตั้งแต่ตรวจระยะ/ซ่อมโครงสร้าง/เครื่องยนต์ จนถึงการยกเครื่องใหญ่ (overhaul) ซึ่งต้องใช้มาตรฐานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยเข้มงวดและบุคลากรทักษะสูง—สร้าง ฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ดังนั้น “เชียงราย” ที่ เปิดหาเอกชนลงทุน FBO และในเวลาเดียวกัน เดินหน้า MRO จึงเป็นยุทธศาสตร์สองขาที่ “ตอบสองตลาด” ทั้ง ตลาดพรีเมียมรายคน (FBO) และ ตลาดสายการบินรายฝูงบิน (MRO)

MJets Private Jet Terminal Bangkok Thailand

ภูมิทัศน์การแข่งขัน ไทยมี “ฐาน FBO แข็งแรง” อยู่แล้ว

ประเทศไทยมี FBO/ผู้ให้บริการภาคพื้นที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับระดับภูมิภาค หนึ่งในนั้นคือ MJets ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่ง รายงาน AIN FBO Survey 2025 จัดให้ MJets อยู่ใน Top 20% ของเอเชีย–แปซิฟิก ด้วยคะแนน 4.46 ยืนยันทักษะและมาตรฐานการบริการของผู้เล่นไทยในเวทีนานาชาติ

ด้านผู้ให้บริการเครือข่ายระดับโลกอย่าง Universal Aviation มีจุดให้บริการ/ซัปพอร์ตการปฏิบัติการในไทยหลายสนามบิน (เครือข่ายประเทศไทย) ซึ่งสะท้อนว่าตลาดบริการภาคพื้นสำหรับลูกค้าธุรกิจและเครื่องบินส่วนตัวในไทยมีฐานโครงสร้างรองรับรองรับอยู่แล้ว หากเชียงรายเปิด FBO เพิ่ม จะยิ่งเสริมเครือข่ายให้สมบูรณ์ในฝั่งเหนือของประเทศ

ขณะเดียวกัน สนามบินเชียงรายยังมีบริษัทภาคพื้นเชิงพาณิชย์ให้บริการอยู่ก่อน เช่น Thai Ground Solutions (TGGS) ซึ่งตอกย้ำว่าพื้นฐานการให้บริการภาคพื้นของ CEI มีอยู่จริง และพร้อมต่อยอดไปสู่บริการพรีเมียมเฉพาะทางของ FBO ได้ในขั้นถัดไป

ดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร “Solo Travel” มาแรง – สายการบินจับตาเชียงราย

ด้านอุปสงค์ผู้โดยสาร รายงาน Scoot–YouGov (สิงคโปร์) เดือนสิงหาคม 2568 จากการสำรวจผู้เดินทาง 5,000 คนใน 6 ตลาดเอเชีย–แปซิฟิก (รวมไทย) ชี้ว่า การเดินทางคนเดียว (Solo Travel) กำลังมาแรง” ด้วยเหตุผลด้านอิสระ–ยืดหยุ่น–เวลาเพื่อดูแลตนเอง (time for me) และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สายการบินใช้วางแผนเส้นทางและผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่—สอดรับกับการโฟกัสจุดหมายปลายทางเมืองหลักของภูมิภาค

สำหรับ Scoot ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ในเครือ Singapore Airlines Group มีการขยายเครือข่ายครอบคลุมจุดหมายปลายทางกว่า 70 เส้นทางใน 18 ประเทศ และเพิ่งได้รับรางวัล “Value Airline of the Year 2025” จาก Air Transport World (ATW) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สะท้อนกลยุทธ์ “ความคุ้มค่า” ที่ตอบโจทย์ผู้โดยสารหลังโควิด (สื่ออุตสาหกรรมยืนยันรางวัล) ขณะที่ฐานข้อมูลรางวัลอุตสาหกรรมการบินของ Skytrax ก็แสดงความเชื่อมโยงของ Scoot กับ Singapore Airlines อย่างเป็นทางการในฐานะแขนงโลว์คอสต์ของเครือ—ยืนยันบทบาทในกลุ่ม SIA ที่แข็งแกร่งในเอเชีย

เมื่อโยงบริบทนี้กับ เชียงราย—จุดหมายปลายทางที่มีทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ธุรกิจเชื่อมจีนตอนใต้—จึงไม่น่าแปลกที่สายการบินภูมิภาคจับตาเปิด/ขยายเส้นทางมายัง CEI มากขึ้น ซึ่งหากขีดความสามารถผู้โดยสารและบริการภาคพื้นระดับพรีเมียม (FBO) ขยายตัวพร้อมกัน จะทำให้ “ระบบนิเวศการบิน” ของเชียงรายครบวงจรขึ้นทันที

กรอบเวลา–ศักยภาพ–ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • เป้าหมายความจุผู้โดยสาร จาก ราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ตามขนาดอาคารผู้โดยสารใหม่ เพื่อให้สอดรับกับตลาดท่องเที่ยวภาคเหนือและเชื่อมต่อระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีนตอนใต้/อาเซียนตอนบน
  • MRO 50 ไร่ + EIA เดินหน้า สถานะอยู่ในระบบ Smart EIA ของ สผ. และมีรายงานสื่อเศรษฐกิจไทยติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง—เป็นสัญญาณว่ากระบวนการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเดินตามขั้นตอนก่อนการลงทุนจริง
  • FBO ฝั่งทิศเหนือของสนามบิน ฝั่งบริหารสนามบินยืนยันกำลัง เชิญเอกชนร่วมลงทุน” เพื่อดึงบริการภาคพื้น/เลานจ์/CIQ ส่วนตัวเข้ามาเสริมพอร์ตบริการ CEI ตอบโจทย์ลูกค้าอากาศยานธุรกิจ–พิเศษ (แหล่งข่าว ผอ.สนามบิน ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวท้องถิ่น)

เมื่อรวมกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดหมายคือ การจ้างงานทักษะสูง (ช่างอากาศยาน–วิศวกร–โลจิสติกส์), รายได้มั่นคงจากธุรกิจ MRO, การใช้จ่ายท่องเที่ยว–บริการต่อเชื่อม (retail/อาหาร/ที่พัก/รถเช่า), และ ภาพลักษณ์จังหวัด ที่ขยับจาก “ปลายทางท่องเที่ยว” ไปสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ”

เสียงจากสนาม ทำไม “เชียงราย” จึงน่าลงทุน FBO ตอนนี้

  1. ตำแหน่งยุทธศาสตร์ เชียงรายเป็นประตูสู่ จีนตอนใต้–ล้านช้าง–ลุ่มโขง การมี FBO ช่วยย่นเวลาและลดความยุ่งยากให้กับผู้บริหาร/นักลงทุนข้ามแดนที่ใช้เครื่องบินธุรกิจ
  2. ซัพพลายโครงสร้างพร้อมต่อยอด CEI มีผู้ให้บริการภาคพื้นเชิงพาณิชย์เดิมอยู่แล้ว (เช่น TGGS) การต่อยอดบริการสู่ระดับ FBO จึงไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
  3. สัญญาณดีมานด์จากฝั่งผู้โดยสาร/สายการบิน กระแส Solo Travel และการกระจายเส้นทางของสายการบินโลว์คอสต์–ฟูลเซอร์วิสกำลังดัน “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น node ใหม่ในการบินภูมิภาค
  4. อุตสาหกรรมสนับสนุนขยายตัวพร้อมกัน เมื่อ MRO เกิด จะดึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–ซ่อม–เทคนิค–ฝึกอบรมเข้าพื้นที่ ทำให้บริการ FBO ได้อานิสงส์จาก “ระบบนิเวศการบิน” ที่หนาแน่นขึ้น
Jetex with Royce Royce Ghost Limo Service

ความท้าทาย ทุน–เวลา–มาตรฐาน–พันธมิตร

  • ทุนและกรอบเวลา โครงการขนาดใหญ่ต้องการงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการหลายปี—ตั้งแต่ออกแบบ/จัดซื้อ/ก่อสร้าง/ทดสอบระบบ ไปจนถึงการออกใบรับรองต่าง ๆ
  • มาตรฐานกำกับดูแล ฝั่ง MRO ต้องผ่านมาตรฐานการบินพลเรือนระดับสากล (airworthiness/maintenance) ส่วน FBO ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัย–พิธีการ CIQ–การจัดการข้อมูลผู้โดยสารพิเศษ
  • การแข่งขันระดับภูมิภาค สิงคโปร์และประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาอุตสาหกรรม MRO มายาวนาน ไทยจึงต้องสร้างจุดแข็งด้านต้นทุน–โลจิสติกส์–ความเร็ว–คุณภาพบริการ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างชาติ
  • บุคลากร ต้องผลิต/ดึงดูดแรงงานทักษะสูงในสาขาอากาศยาน–โลจิสติกส์–บริการพรีเมียม—ซึ่งเป็น “คอขวด” ของอุตสาหกรรมทั่วโลก

ภาพรวมเชิงนโยบาย “Next Wing” ในความหมายของการยกระดับทั้งองค์กร

แม้คำว่า “AOT Next Wing” จะถูกใช้เป็นชื่อโครงการฝึกอบรม/พัฒนาศักยภาพบุคลากรรุ่นใหม่ของ ทอท. ในช่วงปี 2568 มากกว่าจะเป็นชื่อโครงการก่อสร้างสนามบินโดยตรง แต่สาระสำคัญคือ การเติม “ปีกใหม่” ให้บุคลากร–กระบวนการ–มาตรฐาน เพื่อรองรับแผนขยายตัวขององค์กรในระยะยาว—รวมถึงงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร/ระบบภาคพื้น/บริการใหม่ที่สนามบินต่าง ๆ ของ ทอท. ทั่วประเทศ (มีหลักฐานการใช้งานคำดังกล่าวในสื่อองค์กร/พันธมิตรประกันภัย)

บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์

ฝั่งอุปทาน ทอท. กำลัง ปักเสาเข็มใหม่” ให้สนามบินเชียงรายด้วย อาคารผู้โดยสารใหม่ + MRO ซึ่งจะพลิก CEI ให้เป็น “ฐานเศรษฐกิจการบิน” ที่มีรายได้และงานคุณภาพสูง ขณะที่ฝั่งอุปสงค์ สนามบินเปิดหาเอกชนลงทุน FBO เพื่อรองรับการเดินทางพรีเมียม/เครื่องบินธุรกิจ—เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนกับทุนข้ามพรมแดนอย่างคล่องตัว

ในภาพใหญ่ เชียงราย จึงไม่ได้รอเพียงฤดูกาลท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ” ที่มีทั้ง ผู้โดยสารเชิงพาณิชย์–ลูกค้า FBO–สายการบิน–ฐาน MRO อยู่ร่วม ecosystem เดียวกัน หากการลงทุนสำเร็จตามโรดแมป และดึงพันธมิตรนานาชาติเข้าร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ—สนามบินแห่งนี้จะเป็น “ทางออก” ของคำถามใหญ่เรื่องการกระจายศูนย์กลางเศรษฐกิจการบินในไทย และเป็น “จุดหมาย” ของธุรกิจที่ต้องการความเร็ว ความเป็นส่วนตัว และคุณภาพมาตรฐานโลกในภาคเหนืออย่างแท้จริง

FBO คืออะไร

  • FBO = ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับอากาศยานธุรกิจ/ส่วนตัว ให้บริการเติมเชื้อเพลิง–จอด–ลากจูง–CIQ ส่วนตัว–เลานจ์ VIP–รถรับส่ง–จัดการลูกเรือ ฯลฯ
  •  คุณค่า เร็ว เป็นส่วนตัว และไร้รอยต่อ เหมาะผู้บริหาร/นักลงทุน/วีไอพี
  •  แตกต่างจาก MRO FBO เน้น “บริการและอำนวยความสะดวก” ส่วน MRO เน้น “ซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค/มาตรฐานความปลอดภัย”
  •  ตลาดไทย มีผู้เล่นแข็งแรง (เช่น MJets ได้คะแนนเด่นใน AIN 2025) และเครือข่ายผู้ให้บริการต่างชาติ (Universal Aviation) สนับสนุนการปฏิบัติการในสนามบินหลัก/เมืองท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงาน Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ระบุโครงการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) เชียงราย อยู่ในระบบติดตาม EIA ของรัฐไทย
  • AIN FBO Survey 2025
  • Universal Aviation – Thailand
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผลไม่เป็นทางการชี้ “เพื่อไทย” นำขาดในการเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7

วิเคราะห์ข้อเท็จจริงและประเด็นชี้ขาด

  • เหตุแห่งการเลือกตั้งซ่อม: เก้าอี้ ส.ส.เชียงราย เขต 7 ว่างลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นสมาชิกภาพ และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญจากกรณีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ ส่งผลให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 14 กันยายน 2568
  • เขตเลือกตั้งและจำนวนผู้มีสิทธิ: เขต 7 ครอบคลุม 5 อำเภอ 21 ตำบล รวม 285 หน่วยเลือกตั้ง โดยมีข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกอ้างถึง 2 ชุด (125,283 คน และ 133,960 คน) ซึ่งมาจากรายงานต่างช่วงเวลาและต่างสำนักข่าว ชุดที่ 133,960 คนปรากฏในสื่อสาธารณะเช้าวันเลือกตั้ง ขณะที่ชุด 125,283 คนปรากฏในรายงานภาคค่ำที่แนบสถิติการนับคะแนนร้อยละ 94.74%—ในข่าวนี้จึงระบุทั้งสองชุดพร้อมที่มาเพื่อความโปร่งใส
  • ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ (เมื่อเวลา ~19.45 น. วันที่ 14 ก.ย. 2568): ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสง่า พรมเมือง พรรคเพื่อไทย ได้ 43,229 คะแนน นำผู้สมัครหมายเลข 2 นายสุทัศน์ ยาละ พรรคประชาชน ที่ได้ 18,252 คะแนน ข้อมูลดังกล่าวปรากฏในหลายสำนักข่าว โดยบางสำนักระบุเป็นผลหลังนับแล้ว 270 จาก 285 หน่วย (คิดเป็น 94.74%) และมีสถิติประกอบทั้งจำนวนบัตรดี บัตรเสีย และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน.
  • บรรยากาศและการกำกับดูแล: เลขาธิการ กกต. นายแสวง บุญมี ลงพื้นที่ตรวจการเลือกตั้ง ตั้งแต่ช่วงเช้าและให้สัมภาษณ์ว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คาดรู้ผลอย่างไม่เป็นทางการราว 21.00 น. ซึ่งสอดคล้องกับรายงานข่าวเชิงพื้นที่หลายสำนัก

เชียงรายชี้ขาด “ซ่อมเขต 7” — เพื่อไทยนำขาดในผลไม่เป็นทางการ สะท้อนสมรภูมิภาคเหนือก่อนศึกใหญ่

สรุปวันลงคะแนน-ไทม์ไลน์การนับคะแนน-สัญญาณทางการเมืองที่ต้องจับตา

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — เข็มนาฬิกาแตะ 19.45 น. บนกระดานรายงานผลนับคะแนนที่ศูนย์รวมคะแนนอำเภอแม่จัน ตัวเลข “43,229” ปรากฏเคียงชื่อ นายสง่า พรมเมือง ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ขณะที่ชื่อ นายสุทัศน์ ยาละ พรรคประชาชน หมายเลข 2 ปรากฏตัวเลข “18,252” ช่องว่างที่กว้างขึ้นตามจังหวะการส่งรายงานจาก 270 หน่วยเลือกตั้งแรก (ในจำนวนทั้งหมด 285 หน่วย) ทำให้ค่ำคืนนี้ภาพรวมผลคะแนน อย่างไม่เป็นทางการ ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน: เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเชียงราย เขต 7 มีแนวโน้มจะกลับไปอยู่ในมือเพื่อไทยอีกครั้ง หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากการตรวจทานอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา

จุดเริ่ม—เหตุแห่ง “ซ่อม” และเส้นทางสู่วันลงคะแนน

สมรภูมิซ่อมครั้งนี้เกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำวินิจฉัยเกี่ยวกับการมีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้งบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวกลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่สังคมการเมืองไทยต้องจดจำ และเป็นเหตุให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมในวันนี้

เขตเลือกตั้งที่ 7 ของเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ 21 ตำบล ได้แก่ อำเภอเชียงแสน (6 ตำบล), อำเภอเวียงแก่น (4 ตำบล), อำเภอดอยหลวง (3 ตำบล), อำเภอเชียงของ (6 ตำบล เฉพาะบางตำบล) และอำเภอแม่จัน (2 ตำบล คือ จันจว้าและจันจว้าใต้) มี 285 หน่วยเลือกตั้ง ขณะที่จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีการอ้างถึง สองชุดข้อมูล ในช่วงวันเลือกตั้ง—เช้าและบ่ายแก่ ๆ มีรายงาน 133,960 คน; ส่วนรายงานภาคค่ำของบางสำนักข่าวอ้าง 125,283 คน ซึ่งเป็นฐานคำนวณอัตราการมาใช้สิทธิที่ 59.24% (74,221 คน) ในรอบ 94.74% ของหน่วยที่รายงานผลเข้ามาแล้ว ทั้งนี้ความแตกต่างของฐานข้อมูลเกิดจาก “ช่วงเวลา” และ “แหล่งข้อมูล” ที่ใช้รายงาน ซึ่งต้องรอ กกต.ประกาศรับรองอีกครั้งเพื่อยืนยันตัวเลขสุดท้าย

นายสง่า พรมเมือง (หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย)
นายสุทัศน์ ยาละ (หมายเลข 2 พรรคประชาชน)

วันจริง—ผู้มีสิทธิ์ทยอยใช้สิทธิ์ บรรยากาศเรียบร้อย

ตั้งแต่เช้าตรู่บรรยากาศหน้าหน่วยเลือกตั้งหลายจุดในอำเภอเชียงแสน–เชียงของ–เวียงแก่น–ดอยหลวง–แม่จันเป็นไปอย่างคึกคัก เลขาธิการ กกต. นายแสวง บุญมี พร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้ง ย้ำภาพรวม “เรียบร้อย” และประเมินว่า จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.00 น. สะท้อนความพร้อมของกลไกนับคะแนน ณ พื้นที่จริง

คำยืนยันเรื่องความเรียบร้อยสอดคล้องกับรายงานจากหลายสำนักข่าวในช่วงบ่าย–ค่ำ ทั้งในเชิงบรรยากาศและการคาดการณ์อัตราการมาใช้สิทธิ์ที่เดิมประเมินกันไว้ “ราว 65%” ก่อนปิดหีบเวลา 17.00 น. แม้ท้ายที่สุดตัวเลขที่ปรากฏบนกระดานรายงานผลช่วงรอบค่ำ (เมื่อนับได้ 94.74%) จะสะท้อนการมาใช้สิทธิ์ 59.24% ตามฐานข้อมูลที่รายงาน ณ เวลานั้น

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง—คะแนนนำ, บัตรดี–เสีย, และ “ไม่ประสงค์ลงคะแนน”

เมื่อนาฬิกาเคลื่อนไปถึง 19.45 น. รายงานผลไม่เป็นทางการชี้ว่า นายสง่า พรมเมือง (หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย) ได้ 43,229 คะแนน ขณะที่ นายสุทัศน์ ยาละ (หมายเลข 2 พรรคประชาชน) ได้ 18,252 คะแนน ส่วนองค์รวมการลงคะแนนในรอบเดียวกันสะท้อนว่า

  • ผู้มาใช้สิทธิ: 74,221 คน (ฐานคำนวณ 59.24% ของผู้มีสิทธิ 125,283 คนตามรายงานชุดค่ำ)
  • บัตรดี: 61,481 ใบ (คิดเป็นร้อยละ 82.84 ของผู้มาใช้สิทธิในรอบรายงาน)
  • บัตรเสีย: 2,854 ใบ (ร้อยละ 3.85)
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน: 9,886 ใบ (ร้อยละ 13.32)

ภาพรวมนี้สะท้อนพฤติกรรมผู้ใช้สิทธิ์ใน “สนามซ่อม” ที่อัตรา ไม่ประสงค์ลงคะแนน ยังคงเป็นตัวแปรที่ไม่ควรมองข้าม เกือบ “หนึ่งในเจ็ด” ของผู้มาใช้สิทธิ์ และสะท้อนท่าทีของประชาชนส่วนหนึ่งที่ต้องการส่งสัญญาณทางการเมืองด้วยการมาใช้สิทธิ์แต่ “ไม่เลือกรายชื่อผู้สมัคร” ใด ๆ

จากหีบถึงกระดาน—ไทม์ไลน์การนับคะแนน

หลังปิดหีบเวลา 17.00 น. การนับคะแนนเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานเป็นระยะจากสื่อหลายสำนักว่า เพื่อไทยนำ ทิ้งห่าง “พรรคประชาชน” ตั้งแต่ช่วงนับผ่าน 40–60% และคงระยะห่างเรื่อยมา ก่อนกระทั่ง เวลา 19.45 น. หลายสำนักพร้อมใจกันรายงานตัวเลข “นำห่าง” ในรอบ 270 หน่วยจาก 285 หน่วย (94.74%). ไทม์ไลน์นี้ช่วยให้เห็นภาพว่า “แนวโน้ม” เริ่มนิ่งตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

สัญญะทางการเมือง—อะไรสะท้อนผ่าน “เชียงราย เขต 7”

  1. พลังฐานเสียงเดิมของเพื่อไทยในภาคเหนือ: แม้ภูมิทัศน์การเมืองระดับชาติผันผวน แต่สนามซ่อมที่เชียงรายยังสะท้อนฐานสนับสนุนเดิมของเพื่อไทยค่อนข้างชัดเจน เมื่อนำตัวเลขคะแนน 43,229 ต่อ 18,252 มาพิจารณา—ส่วนต่างระดับ “หลายหมื่นเสียง” คือสัญญะว่าการแข่งขันในพื้นที่เหนือยังไม่เปลี่ยนขั้วง่าย ๆ อย่างน้อยในเขตนี้
  2. บทเรียน “จำนวนกับคุณภาพ” ของการมีส่วนร่วม: ตัวเลข ไม่ประสงค์ลงคะแนน 9,886 ใบ และ บัตรเสีย 2,854 ใบ ในสนามที่ผู้สมัครมีเพียงสองคน ชี้ให้เห็นความสำคัญของ “การสื่อสารนโยบายที่จับต้องได้” และ “ความคาดหวังต่อการทำงานระยะสั้น” ของผู้แทนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากนี้ เนื่องจากวาระสภาปัจจุบันอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในระดับชาติ ขณะที่พื้นที่ยังต้องการการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  3. ความพร้อมของระบบเลือกตั้งและความน่าเชื่อถือของกระบวนการ: ภาพรวม “เรียบร้อย–โปร่งใส” จากการลงพื้นที่ของเลขาธิการ กกต. และผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงเป้าหมายการรายงานผลตั้งแต่เวลา 21.00 น. ตอกย้ำความพยายามของหน่วยงานจัดการเลือกตั้งในการบริหารความคาดหวังของสาธารณะ—ปัจจัยนี้มีผลต่อ “ทุนความเชื่อมั่น” ของระบบการเมืองโดยรวม

เสียงจากหน่วยงานกำกับยืนยันความเรียบร้อยและไทม์ไลน์ประกาศ

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้ข้อมูลต่อสื่อในวันเดียวกันว่า “โดยภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” และคาดว่าจะทราบผล “อย่างไม่เป็นทางการ” ได้ในเวลาค่ำของวันเดียวกัน พร้อมกล่าวขอบคุณคณะทำงานและประชาชนที่ให้ความร่วมมือ ส่งผลให้การลงคะแนนและนับคะแนนดำเนินไปตามกรอบเวลา ทั้งนี้ยังเปิดช่องทางรับร้องเรียนหากพบความผิดปกติ เพื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนก่อนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ

มุมเศรษฐกิจสังคมของ “สนามซ่อม”

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมในหนึ่งเขตเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมามีนัยสำคัญต่อการจัดสรรทรัพยากรในระดับพื้นที่ช่วงที่เหลือของวาระสภา ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องสานต่อโจทย์เร่งด่วนของเขตพรมแดนที่พึ่งพิงการค้าชายแดน การเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์–วัฒนธรรม (เชียงแสน–เชียงของ–เวียงแก่น) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงเศรษฐกิจล้านนา–ลุ่มน้ำโขง นี่คือเหตุผลที่ “เสียงในสภา” แม้เพียงหนึ่งเก้าอี้ก็มีผลต่อการชงโครงการและการติดตามงบประมาณให้ถึงพื้นที่จริง

ตัวเลข “ผู้มาใช้สิทธิ” ที่ชวนคิด

การคาดการณ์ช่วงเช้าโดยผู้เกี่ยวข้องบางส่วนประเมินการมาใช้สิทธิไว้ที่ “ราว 65%” แต่รายงานภาคค่ำในรอบการนับ 94.74% สะท้อนการมาใช้สิทธิที่ 59.24% (ฐาน 125,283 คน) หากเทียบกับจำนวนผู้มีสิทธิอีกรายงานหนึ่งซึ่งระบุ 133,960 คน ใน 285 หน่วยเลือกตั้ง จะเห็นว่า “ฐานข้อมูล” ที่ใช้คำนวณมีผลต่อการตีความคึกคักของบรรยากาศ อย่างไรก็ดี ตัวเลขสุดท้ายที่จะยุติข้อถกเถียงคือประกาศรับรองของ กกต. ซึ่งโดยกระบวนการต้องตรวจสอบเอกสารจากทุกหน่วยเลือกตั้งให้ครบถ้วนก่อนประกาศผลอย่างเป็นทางการ

ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายเดิมพันของสองพรรค

แม้จะเป็นสนามที่ผู้สมัครเพียงสองคน แต่ความหมายนอกเหนือจากคะแนนคือ “แบรนด์การเมือง” ที่ทั้งสองพรรคพยายามสื่อสาร—ฝ่ายหนึ่งเน้น “ความต่อเนื่องของงานพื้นที่” ฝ่ายหนึ่งชู “ความหวังทางเลือกใหม่” และทั้งสองฝ่ายต่างระดมทีมลงพื้นที่เข้าถึงตลาดชุมชน–ถนนสายหลักเพื่อเร่งการรับรู้ในช่วงสุดท้ายก่อนปิดหีบ ภาพการลงพื้นที่ของแกนนำและผู้สมัครถูกบันทึกในหลายสื่อท้องถิ่น–สื่อกระแสหลักตลอดทั้งวัน (รายละเอียดกิจกรรมรายจุดอาจแตกต่างตามพื้นที่และช่วงเวลา) ก่อนที่ค่ำวันเดียวกันผลไม่เป็นทางการจะฉายภาพชัดถึงทิศทางของคะแนน.

ก้าวต่อไปเส้นทางสู่ “ประกาศรับรอง”

ตามกระบวนการหลังปิดการนับคะแนน ศูนย์รวมคะแนนจะรวบรวมเอกสาร–หลักฐานจากทุกหน่วยเพื่อส่งต่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตและจังหวัด ทำการตรวจสอบความถูกต้องก่อนเคลื่อนสู่ขั้นตอนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการของ กกต. ระหว่างนี้หากมีผู้สมัครหรือผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องเรียน กกต.จะพิจารณาไต่สวนตามพยานหลักฐาน ซึ่งอาจกระทบต่อระยะเวลาการประกาศรับรอง ทั้งนี้จากคำให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการ กกต. ในช่วงค่ำยืนยันว่าบรรยากาศ “ไม่มีเรื่องร้องเรียนสำคัญ” และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในภาพรวม.

 Key Takeaways

  • ผลคะแนนไม่เป็นทางการ ณ ประมาณ 19.45 น. ระบุว่า นายสง่า พรมเมือง (เพื่อไทย) นำชัดเจนที่ 43,229 คะแนน เหนือ นายสุทัศน์ ยาละ (พรรคประชาชน) ที่ 18,252 คะแนน หลังนับ 270/285 หน่วย (94.74%)
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน สูงเกือบ หนึ่งในเจ็ด ของผู้มาใช้สิทธิ (9,886 ใบ) สะท้อน “สัญญาณเฉพาะ” ของผู้ใช้สิทธิในสนามซ่อม
  • การบริหารความคาดหวัง ของหน่วยงานกำกับ: กกต.ลงพื้นที่ตั้งแต่เช้า ระบุภาพรวมเรียบร้อย และคาดรู้ผลไม่เป็นทางการช่วง 21.00 น. ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
  • ข้อพึงระวังด้านข้อมูล: ฐานข้อมูล “จำนวนผู้มีสิทธิ” มี 2 ชุดจากต่างช่วงเวลา (125,283 และ 133,960) จึงควรรอประกาศรับรองอย่างเป็นทางการเพื่อยุติความคลาดเคลื่อน.

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมช่วงปลายวาระ แต่ผู้แทนที่ได้คะแนนมากสุดในคืนนี้จะต้องทำงานต่อทันทีในประเด็น “เร่งด่วน–จับต้องได้” ของพื้นที่ชายแดน เช่น สภาพคล่องเกษตรกรฤดูกาลใหม่, โลจิสติกส์ชายแดน–ด่านพรมแดนเชียงของ–สามเหลี่ยมทองคำ, การท่องเที่ยวประวัติศาสตร์–วัฒนธรรม และการบริหารจัดการภัยพิบัติช่วงฝนปลายฤดู ประชาชนควรติดตาม คำมั่น–ข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะพื้นที่ ที่ผู้ชนะหาเสียงไว้ พร้อมภาคประชาสังคม–ท้องถิ่นร่วมตรวจสอบการผลักดันในสภาให้เกิดผลจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News