Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตโขง! ชาวประมงหาปลาได้แต่ขายไม่ได้ วุฒิสภาชี้เร่งหาแม่งาน

เงาทมิฬใต้สายน้ำโขง เมื่อ ‘สร้อยมุกแห่งเอเชีย’ กลายเป็น ‘กับดักพิษ’ ข้ามแดน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – สะเทือนใจ! ชาวประมงโขงเดือดร้อน ‘หาปลาได้แต่ขายไม่ได้’ ส่องภัยเขื่อนปากแบงเสี่ยงกลายเป็นอ่างกักพิษยักษ์ วุฒิสภาชี้วิกฤตข้ามพรมแดนต้องมี ‘แม่งาน’ ชาติแก้ปัญหาเร่งด่วน

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้โลกเชื่อมต่อกันได้ในชั่วพริบตา แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกันโดยไม่ได้รับเชิญก็คือ “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่กำลังคุกคามวิถีชีวิตของประชาชนไทยอย่างเงียบเสียงแต่รุนแรง

เมื่อสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่พึ่งของมหาอำนาจในอดีตและแหล่งอาหารของล้านชีวิตในปัจจุบัน กลับกลายเป็นตัวนำพาความตายและโรคภัยไข้เจ็บ แม่น้ำโขงและลูกน้ำกกที่เคยเป็น “สร้อยมุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” วันนี้หน้าตาเหมือนหนังสยองขวัญมากกว่าเรื่องเล่าในตำนาน

ล่าสุด วันที่ 20 กันยายน 2568 คณะกรรมการวุฒิสภาได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตนี้ ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค

สุสานน้ำ” ที่เคยเป็นสวรรค์ชาวประมง

นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมการธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา พร้อมด้วย น.ส.มณีรัฐ เขมะวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา และคณะทำงาน ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 15.30 น. ในวันเดียวกัน

การพบปะในครั้งนี้มีชาวบ้านกว่า 20 คนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดเกี่ยวกับชุมชนที่เคยมีชีวิตติดแน่นกับแม่น้ำมาร่วมศตวรรษ

ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชนชาวประมงริมโขงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ชาวบ้านบอกกับคณะกรรมการว่า ทุกวันนี้พวกเขายังคงสามารถลงเรือออกไปหาปลาในแม่น้ำได้เหมือนเดิม ปลายืนยังคงมี แต่ “ขายไม่ได้” เพราะไม่มีใครในท้องถิ่นกล้าซื้อปลาจากแหล่งน้ำที่ทุกคนรู้ดีว่าปนเปื้อนสารพิษ

สถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้เรือประมงจำนวนมากต้องจอดเทียบท่าเป็นเวลานาน ชาวประมงหลายครอบครัวสูญเสียรายได้หลักที่พึ่งพาได้มาตลอดชีวิต ในขณะเดียวกัน ครอบครัวบางส่วนที่มีฐานะยากจนมากก็ต้องยอมเสี่ยงภัย โดยการนำปลาที่จับได้ไปขายให้กับพ่อค้าจากสปป.ลาวที่ยังคงเต็มใจซื้อ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูแปลกประหลาดและสับสนยิ่งขึ้น คือการประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานราชการจังหวัดที่เคยระบุว่า “ปลาในแม่น้ำสามารถนำไปประกอบอาหารได้ แต่ห้ามใช้น้ำในแม่น้ำ” ข้อความดังกล่าวสร้างความสับสนและลดความเชื่อมั่นของชาวบ้านต่อข้อมูลจากภาครัฐอย่างรุนแรง

การค้นหาต้นตอ เส้นทางสารพิษจากเมียนมา

ความจริงที่ชาวบ้านและหน่วยงานไทยต้องเผชิญคือ ต้นเหตุของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นในดินแดนไทย แต่มาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในเขตต้นน้ำของประเทศเมียนมา

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ได้ให้ข้อมูลสำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย-ลาวมีการปนเปื้อนของสารหนู (อาร์เซนิก) และตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมาพบความขุ่นผิดปกติและโลหะหนักที่มีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนของมลพิษจากการทำเหมืองแร่ต้นน้ำในรัฐฉานของเมียนมา

ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกิจกรรมการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา ซึ่งตัวอย่างที่เก็บได้ใกล้ชายแดนเมียนมามากที่สุดแสดงระดับโลหะหนักสูงสุดและยืนยันว่าแหล่งปนเปื้อนมาจากต้นน้ำในรัฐฉาน

ตั้งแต่การรัฐประหารทหารในเมียนมาปี 2564 เหมืองแร่จำนวนมากได้เปิดขึ้นเพื่อทำเหมืองโลหะหายากที่ใช้ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ของเสียเคมีไหลเข้าสู่ไทยโดยไม่ผ่านการกรอง ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังและอาการเจ็บป่วยต่างๆ

สถิติที่น่าตกใจคือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ประชาชนประมาณ 1,500 คนได้รวมตัวกันที่จังหวัดเชียงรายเพื่อเรียกร้องให้ปิดเหมืองผิดกฎหมายในเมียนมา ผู้ประท้วงได้ส่งจดหมายไปยังนายกรัฐมนตรีไทย ประธานาธิบดีจีน หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา และหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังกิจกรรมการทำเหมือง

เขื่อนปากแบง อ่างกักเก็บพิษแห่งอนาคต?

หากว่าปัญหามลพิษจากการทำเหมืองในเมียนมายังไม่เพียงพอ ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือ โครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สปป.ลาว ที่อาจจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคมนี้

เขื่อนปากแบงเป็นโครงการพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายหลักในดินแดนทางเหนือของลาว โครงการ run-of-river นี้มีกำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ และผลิตพลังงานเฉลี่ยปีละ 4,775 กิกะวัตต์ชั่วโมง ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 90 กิโลเมตร เขื่อนจะมีความสูงสูงสุด 64 เมตรและความยาวสันเขื่อน 896.70 เมตร

น.ส.เพียรพร ได้เตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการนี้ว่า หากมีการก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จ เขื่อนปากแบงอาจกลายเป็น “อ่างกักเก็บสารพิษขนาดใหญ่” เนื่องจากจะทำให้สารปนเปื้อนที่ไหลมาจากต้นน้ำตกตะกอนและสะสมอยู่ในอ่างเก็บน้ำ กลายเป็นกับดักสารพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้างกว่าเดิม

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เขื่อนปากแบงคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2572 ในขณะที่เขื่อนหลวงพระบางคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2570

ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เขื่อนปากแบงจะส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านทั้งหมด 26 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด โดย 17 หมู่บ้านอยู่ในจังหวัดบ่อแก้ว ครอบครัวทั้งหมด 923 ครอบครัว หรือประมาณ 4,700 คนจะต้องย้ายถิ่นฐาน

น.ส.เพียรพรได้ยื่นหนังสือคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอให้พิจารณาชะลอการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากโครงการนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่อาจประเมินค่าความเสียหายไม่ได้ในอนาคต

วิกฤตการจัดการ เมื่อปัญหาใหญ่ไร้ “แม่งาน”

นายภานุวัฒน์ ศรีสุข ตัวแทนภาคประชาชนจากเชียงแสนได้ให้มุมมองที่สำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เป็น “ปัญหาความมั่นคงชายแดน” ที่มีระดับความสำคัญไม่แพ้กับปัญหาความไม่สงบในภาคอีสานหรือภาคใต้

ปัญหาสำคัญที่นายภานุวัฒน์ชี้ให้เห็นคือ ความล้มเหลวในการจัดการระบบราชการที่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาเป็น “แม่งาน” ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คณะทำงานที่เคยตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอาจจะถูกยุบไปพร้อมกับรัฐบาลชุดเก่า ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ข้อเรียกร้องของนายภานุวัฒน์จึงมุ่งไปที่การขอให้ “รัฐบาลใหม่” ยกระดับปัญหานี้ให้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ โดยขอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนชายแดนเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง และแต่งตั้ง “แม่งาน” ที่มีอำนาจและศักยภาพในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและยั่งยืน

มิติระหว่างประเทศ เมื่อปัญหาใหญ่กว่าที่คิด

ปัญหามลพิษในแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับไทยเท่านั้น การตรวจพบสารหนูตามแนวชายแดนลาว-เมียนมา ยิ่งบ่งชี้ถึงแหล่งมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อระบบแม่น้ำทั้งหมด คณะกรรมการแม่น้ำโขง (MRC) กำลังประสานงานกับหน่วยงานชาติต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการติดตามตรวจสอบร่วมกันและการแบ่งปันข้อมูลในประเทศที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมูลจากการประมงมากเกินไป การขุดทรายอย่างหนัก และมลพิษจากพลาสติกได้เพิ่มความเครียดให้กับแม่น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นำมาซึ่งภัยแล้งที่ยาวนานและรุนแรงขึ้น รวมถึงน้ำท่วมที่คาดการณ์ไม่ได้ ระบบการประมงที่เคยพึ่งพาได้ เช่น อวนไดของกัมพูชา ปัจจุบันล้มเหลวในบางปี

บทบาทวุฒิสภา สู่การขับเคลื่อนระดับนโยบาย

การลงพื้นที่ของคณะกรรมการวุฒิสภาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาในระดับชุมชนกำลังถูกยกระดับขึ้นสู่การพิจารณาในระดับนโยบายชาติ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของวุฒิสภาในการเป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบและผลักดันการแก้ไขปัญหา

จากข้อมูลที่คณะกรรมการวุฒิสภาได้รับจากชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ และตัวแทนภาคประชาชน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนตามกลไกของคณะกรรมการเพื่อให้ปัญหาที่ซับซ้อนนี้ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

การดำเนินการจะต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตั้งแต่การปราบปรามการลักลอบนำเข้าสารเคมีและอุปกรณ์ทำเหมืองแร่หายากที่ชายแดน (ซึ่งมีรายงานว่ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ อ.เวียงแหง และ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่) ไปจนถึงการยกระดับการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ และการพิจารณาผลกระทบจากโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขง

ผลกระทับในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ปลาตัวเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงและลูกน้ำกกไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกับชาวประมงเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่หลายมิติ ได้แก่:

  • มิติเศรษฐกิจ: การสูญเสียรายได้จากการประมง การท่องเที่ยวลดลง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยรวม
  • มิติสุขภาพ: ความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน และการใช้น้ำที่ไม่ปลอดภัย
  • มิติสังคม: การสูญเสียวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างชุมชน
  • มิติสิ่งแวดล้อม: ความเสียหายต่อระบบนิเวศแม่น้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ
  • มิติความมั่นคง: ปัญหาความตึงเครียดระหว่างประเทศและความไม่มั่นคงของชุมชนชายแดน

สู่อนาคตที่ยั่งยืน

การต่อสู้กับวิกฤตมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงจึงไม่ใช่เพียงการหาทางออกให้กับชาวประมงในวันนี้ แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม อาชีพ และสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืนในอนาคต

คำถามสำคัญที่ต้องได้รับการตอบในไม่ช้าคือ รัฐบาลไทยจะสามารถกำหนด “แม่งาน” ที่มีประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่ และจะสามารถผลักดันให้เกิดการร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างไร

เสียงของชาวบ้านสบกกที่ได้รับการรับฟังโดยวุฒิสภาในวันที่ 20 กันยายนนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางยาวไกลที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การประสบความสำเร็จในภารกิจนี้จะไม่ใช่เพียงชัยชนะของคนไทยเท่านั้น แต่จะเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 21

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Al Jazeera – “Dangerous Mekong River pollution blamed on lawless mining in Myanmar”, August 2, 2025
  • Laotian Times – “Toxic Arsenic Contamination Spreads from Northern Thailand into the Mekong River”, June 12, 2025
  • Al Jazeera – “Satellite images show surge in rare earth mining in rebel-held Myanmar”, August 7,
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เปิดใช้ปี 2571

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เดินหน้าทะลุปมอุโมงค์–น้ำหลาก ลั่นเปิดใช้ปี 2571 หนุนเศรษฐกิจเหนือ–การค้าชายแดนสู่ลาว–จีน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – ในจังหวะที่ภาคเหนือกำลังมองหากลไกฟื้นเศรษฐกิจหลังเผชิญความท้าทายจากสภาพอากาศสุดขั้วและการแข่งขันระดับภูมิภาค “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ได้เดินหน้าแตะ ความก้าวหน้างานรวม 41.986% โดยเฉพาะงานโยธาคืบ 40.656% (เร็วกว่าแผนราว 1.3%) ขณะที่กรอบเวลาเปิดให้บริการ ภายในปี 2571 ยังยืนยันตามเดิม – นี่คือสัญญาณว่าระบบรางเส้นใหม่ที่ถูกวางบทบาทให้เป็น “เส้นเลือดเศรษฐกิจ” ของเหนือตอนบน กำลังใกล้วิ่งเข้าจังหวะสุดท้ายของงานติดตั้งระบบและทดสอบเดินรถ

ภาพรวมโครงการมูลค่า ประมาณ 85,345 ล้านบาท ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย รวม 17 อำเภอ 59 ตำบล มีสถานีและที่หยุดรถ 26 แห่ง พร้อม ลานกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า (CY) 4 แห่ง เพื่อรองรับสินค้าทางรางและการเชื่อมต่อพาณิชย์สมัยใหม่ตามเป้าหมายของกระทรวงคมนาคมในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของชาติ

แผนงาน 3 สัญญา เร่งเครื่อง–กระจายความเสี่ยง

เพื่อบริหารความซับซ้อนของพื้นที่และโครงสร้าง โครงการแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา โดยมีสถานะล่าสุดดังนี้

  • สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย–งาว (104 กม.): ภาพรวมสะสม 41.234% แต่ช้ากว่าแผนเล็กน้อยจากเงื่อนไขพื้นที่และการปรับแบบจุดตัดสำคัญ อย่างไรก็ดี ฝ่ายก่อสร้างรายงานว่ามาตรการเร่งรัดได้ถูกนำมาใช้เต็มที่เพื่อดึงงานให้กลับเข้าเป้า
  • สัญญาที่ 2 ช่วงงาว–เชียงราย (132 กม.): สะสม 44.64% เร็วกว่าแผน 3.415% ถือเป็นโซนที่ “ลากกราฟ” งานรวมให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะองค์ประกอบดินทาง–สะพาน–และโครงระบายน้ำในช่วงพื้นที่เนินสลับลุ่ม
  • สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย–เชียงของ (86 กม.): สะสม 34.325% เร็วกว่าแผน 3.42% แม้มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ชุมชนและงานทางข้ามลำน้ำ แต่กำลังเร่งเครื่องในหมวดสะพานและทางยกระดับ

การกระจายสัญญาเช่นนี้ ไม่เพียงช่วย “เฉลี่ยความเสี่ยง” เชิงพื้นที่ แต่ยังเอื้อให้ โหนดเศรษฐกิจหลัก ตลอดแนวเส้นทาง – ตั้งแต่เด่นชัย (จุดบรรจบโครงข่ายภาคเหนือ–ภาคกลาง) พะเยา–เชียงราย (เมืองท่องเที่ยว–การเกษตร–บริการ) ไปจนถึง เชียงของ (ประตูการค้าชายแดน) – ถูกเตรียมความพร้อมรับการขยายตัวของสินค้าและผู้โดยสารได้แบบ ไล่ระลอก ก่อนเปิดเต็มรูปแบบปี 2571

อุโมงค์ 4 แห่ง ผ่านดอย–ข้ามปม

งานอุโมงค์ นับเป็น “หัวใจทางวิศวกรรม” ของโครงการ เส้นทางนี้ต้องเจาะและก่อสร้างอุโมงค์ 4 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์สอง, อุโมงค์งาว, อุโมงค์แม่กา และอุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าระหว่าง 50–87% (แต่ละแห่งเผชิญเงื่อนไขธรณี–ชั้นดิน–น้ำใต้ดินต่างกัน) ทำให้กลยุทธ์การเจาะ–ค้ำยัน–ระบายน้ำ และการตรวจความมั่นคงเชิงธรณีวิทยาต้อง “ออกแบบเฉพาะพื้นที่” ขณะเดียวกัน ทีมงานโยธาได้ใช้บทเรียนจากช่วงฝนหนัก–น้ำหลาก ปีที่ผ่านมา ปรับปรุง ระบบระบายน้ำและปากอุโมงค์ ให้ทนทานขึ้น พร้อมเสริมแผน อพยพ–ซ้อมรับเหตุ ร่วมกับชุมชน

ด่วน–ปรับ–ตาม” สูตรรับมือภัยพิบัติของ รฟท.

เหตุการณ์ พายุ “วิภา” และฝนหลากที่กระทบภาคเหนือก่อนหน้านี้ ทำให้ รฟท.ต้องสั่ง ชะลอ/หยุดงานชั่วคราว บางจุดเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะงานสะพานและระบบระบายน้ำบนพื้นที่เสี่ยง แนวทางแก้ปัญหาที่ รฟท.นำมาใช้ถูกสรุปเป็น 3 ขั้นตอน ด่วน–ปรับ–ตาม” (React–Improve–Forecast) ได้แก่

  1. แก้เร่งด่วน (React & Monitor) – เฝ้าระวังน้ำหลาก ประกาศเตือนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเครื่องจักร–บุคลากรเข้าพื้นที่ทันทีเมื่อสัญญาณเตือนถึงเกณฑ์
  2. เรียนรู้–ปรับปรุง (Adapt & Improve) – ปรับแบบ/เพิ่มขนาดท่อและรางระบายน้ำ เสริมคันทาง–ชั้นทางและปกป้องคอสะพาน รวมถึงวางระบบกัก–ผันน้ำเฉพาะจุด
  3. ติดตาม–พยากรณ์ (Prevent & Forecast) – ประสานองค์กรปกครองท้องถิ่น/หน่วยน้ำ เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ใช้ระบบแจ้งเตือนฝน–น้ำ และจัดเวทีสื่อสารกับชุมชนเป็นระยะ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มหน่วยงานกำกับอย่าง กรมการขนส่งทางราง ที่ลงพื้นที่ตรวจงานและเน้นมาตรฐานโครงสร้างระบายน้ำของโครงการทางคู่สายนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติในระบบรางระยะยาว

เมื่อ “ราง” เปลี่ยนภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของเหนือ

ตัวเลขชวนคิดที่สะท้อนผลเชิงระบบหลังเปิดบริการคือ เวลาเดินทาง ที่คาดว่าจะ ร่นลงจากรถยนต์ราว 1–1.30 ชั่วโมง บนหลายคู่เมืองสำคัญ ขณะที่ในฝั่งโลจิสติกส์ การมี CY 4 แห่ง และสถานี 26 แห่ง ทำให้เกิด โหนดรวบ–กระจายสินค้า แบบใกล้แหล่งผลิต โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรแปรรูป กาแฟ ชา และอุตสาหกรรมท้องถิ่นของแพร่–พะเยา–เชียงราย ที่ต้องการความ ตรงเวลา–คาดการณ์ได้ ของการขนส่ง ซึ่งรางสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่ารถบรรทุกในหลายกรณี

ยิ่งไปกว่านั้น ปลายทางที่ เชียงของ เปิดประตู เชื่อม “สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–ห้วยทราย)” เข้าสู่ เส้นทาง R3A และต่อเชื่อม รถไฟลาว–จีน ซึ่งเป็นโครงข่ายระดับภูมิภาค – ภาพใหญ่จึงไม่ใช่แค่ “ขนส่งภายในประเทศ” แต่คือ ห่วงโซ่ราง” สู่จีนตอนใต้ สินค้าจากภาคเหนือสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่หรือย่นเวลาขนส่งด้วยโหมดผสมผสานราง–ถนน–รางข้ามแดนได้อย่างมีนัยสำคัญ (กรอบยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงดังที่ระบุในงานวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย/ข้อมูลทางการ)

ท่องเที่ยวเชิงรางจาก “วิวเหนือ” สู่ “ประสบการณ์เหนือระดับ”

เมื่อทางคู่เปิดใช้ “การเดินทางเชิงทัศนียภาพ” จะเป็นอีกสินทรัพย์ใหม่ให้ภาคเหนือ เส้นทางเลาะไหล่ดอย–ตัดทุ่งนา–ข้ามลำน้ำ จะถูก “แพ็คเกจ” เป็น สินค้า ของผู้ประกอบการท่องเที่ยว–โรงแรม–คาเฟ่–โฮมสเตย์บนชุมชนเส้นทางราง** การเข้าถึงสะดวก–คงที่–ปลอดภัย ช่วยเพิ่มโอกาสเก็บรายได้จากนักท่องเที่ยว แบบพำนักนานขึ้น” และกระจายรายได้ไปยังอำเภอที่ไม่ใช่เมืองหลัก

แรงส่งของท่องเที่ยวเชิงรางยังต่อยอดสู่ อีเวนต์ซับคัลเจอร์ เช่น ปั่นจักรยาน–วิ่งเทรล–วัฒนธรรมชนเผ่า ที่สามารถผูกกับจังหวะเวลาเดินรถ–จุดลง–เส้นทางเชื่อมได้ เช่นกัน ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ขนาดเล็ก–กลาง (SMEs) จะเห็นทางเลือกส่งสินค้าแบบ “กึ่งพาณิชย์–กึ่งท่องเที่ยว” (เช่น ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น) วิ่งเข้าตลาดใหม่ในกรุงเทพฯ/หัวเมือง ผ่าน โครงข่ายรางที่ตั้งเวลาได้ มากกว่า “ลุ้นเส้นทางถนน” ในฤดูฝน

ด้านเทคนิค มาตรฐานความเร็ว–ความปลอดภัย

กรอบออกแบบของสายนี้ถูกวางที่ ความเร็วออกแบบสูงสุด 160 กม./ชม. สำหรับรถโดยสาร (ความเร็วใช้งานขึ้นกับข้อกำกับการเดินรถ/ระบบอาณัติสัญญาณ) โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยทางคู่–สะพาน–อุโมงค์–ทางยกระดับ รวมถึงการยกระดับ จุดตัดทางรถไฟ–ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความต่อเนื่องของขบวน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของการรถไฟฯ และหน่วยงานกำกับ พร้อมระบบอาณัติสัญญาณ/สื่อสารที่จะติดตั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนทดสอบเดินรถ (ข้อมูลสเป็กและกรอบทางวิศวกรรมจากแหล่งข้อมูลทางการ/วิชาการ)

เสียงจากพื้นที่ “งานเดิน–เมืองเดิน”

ในแนวเส้นทาง หลายชุมชนได้เห็นโครงสร้างรูปเป็นร่าง—ตั้งแต่ ตอม่อสะพาน–คันทาง–ปากอุโมงค์ ไปจนถึงทางเบี่ยงเบนการจราจรชั่วคราว แม้ในบางจุดชาวบ้านต้อง “เรียนรู้” กับเสียงเครื่องจักรและการปิด–เปิดทางสลับ แต่การสื่อสาร เชิงรุก ที่ รฟท. ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “Prevent & Forecast” (การประชุม–เวทีชุมชน–แจ้งเตือนล่วงหน้า) ทำให้ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ค่อย ๆ เติบโต

ผู้ประกอบการท้องถิ่นสะท้อนมุมมองตรงกันว่า เส้นนี้คือโอกาส” – ตลาดสินค้าชุมชนจะ “เข้าเมือง” ได้ไวและแน่นอนขึ้น ขณะโรงแรม–ร้านอาหาร–คาเฟ่ แถบเมืองรองมีโอกาส “จับลูกค้าใหม่” ที่มาเยือนแบบไม่นอนค้างได้บ่อยขึ้น เพราะขึ้น–ลงรถสะดวก ตรงเวลา

“โครงสร้างใหญ่” ทำอย่างไรให้อยู่รอดในยุคภูมิอากาศสุดขั้ว

โครงการทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของสะท้อน บทเรียนรุ่นใหม่ ของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไทย – ไม่ใช่เพียง สร้างให้เสร็จ” แต่ต้อง สร้างให้สู้สภาพอากาศ” ด้วย มาตรการอย่างการเพิ่มหน้าตัดทางระบายน้ำ ปรับโครงสร้างคอสะพาน เสริมคันทาง และวางระบบตรวจวัดฝน–น้ำแบบเรียลไทม์ สามารถลดความเสี่ยงทั้ง ระหว่างก่อสร้าง และ หลังเปิดบริการ ขณะที่การประสานข้อมูลกับท้องถิ่นช่วยให้เห็น ภาพน้ำทั้งลุ่มน้ำ” ไม่ใช่แค่จุดก่อสร้าง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิอากาศ แนวทาง “ด่วน–ปรับ–ตาม” ของ รฟท. จึงเป็น โมเดลปฏิบัติ ที่โครงการรางอื่น ๆ ในประเทศสามารถหยิบไปใช้ได้

ไทม์ไลน์–ก้าวต่อไป จากโยธา สู่อาณัติสัญญาณ และทดสอบเดินรถ

ด้วย แกนโยธา ที่รุดหน้า (บางสัญญาเร็วกว่าแผน) ขั้นต่อไปคือการเร่ง งานโครงสร้างพิเศษ (สะพาน/อุโมงค์) ให้ผ่านจุดวิกฤต พร้อมเปิดทางให้เข้าสู่ งานระบบ (Signalling & Telecom), งานราง, และ ทดสอบวิ่ง (Trial Run) ตามลำดับ ภาพรวมจึงยังคงยึดกรอบ เปิดบริการภายในปี 2571 ตามที่ตั้งเป้า ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ตั๋วรถไฟใบใหม่ของภาคเหนือ จะไม่ใช่เพียงการเดินทาง แต่คือ บัตรผ่านเศรษฐกิจ ที่พาผู้คน–สินค้า–โอกาส เชื่อมจาก ใจกลางภาคเหนือ สู่ ชายแดนแม่น้ำโขง และต่อไปยัง ลาว–จีน อย่างเป็นรูปธรรม

กล่องข้อมูลโครงการ (สรุปย่อ)

  • ชื่อโครงการ: รถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
  • ระยะทาง: ~323.10 กม. / จังหวัด: แพร่–ลำปาง–พะเยา–เชียงราย / สถานี–ที่หยุดรถ: 26 แห่ง
  • มูลค่าโครงการ: ~85,345 ล้านบาท
  • สัญญาก่อสร้าง: 3 สัญญา (เด่นชัย–งาว / งาว–เชียงราย / เชียงราย–เชียงของ)
  • งานอุโมงค์หลัก: อุโมงค์สอง, งาว, แม่กา, ดอยหลวง
  • CY (ลานกองเก็บ/ขนถ่ายตู้สินค้า): 4 แห่ง
  • ความเร็วออกแบบสูงสุด (โดยสาร): 160 กม./ชม.
  • เป้าหมายเปิดบริการ: ภายในปี 2571

มุมมองเชิงนโยบาย ทำไม “ราง” ถูกเลือกในเวลานี้

  1. ลดต้นทุน–เพิ่มขีดความสามารถ: รางช่วยลดต้นทุนต่อตัน–กม. และลดการพึ่งพาน้ำมันในขนส่งถนน ซึ่งสำคัญต่อภาคเหนือที่มีสินค้าเกษตร–แปรรูปจำนวนมาก
  2. สิ่งแวดล้อม–ภูมิอากาศ: ระบบรางปล่อยคาร์บอนต่อผู้โดยสาร/ตันสินค้าน้อยกว่า โยงเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ระยะยาวของประเทศ
  3. การเชื่อมภูมิภาค: ปลายทางเชียงของเชื่อม R3A–รถไฟลาว–จีน ยกระดับไทยเป็น สะพานการค้า สู่จีนตอนใต้/อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  4. พัฒนาเมือง–ชุมชน: สถานีคือ ศูนย์กลางบริการ ใหม่ของเมืองรอง สร้างงาน–ธุรกิจต่อเนื่อง (ที่พัก–บริการ–โลจิสติกส์ชุมชน)

คำถามสุดท้ายก่อนขึ้นราง ประชาชนจะได้อะไร “ในมือ” ตั้งแต่วันแรก?

  • เวลา: การเดินทางเมืองหลักเร็วขึ้นราว 1–1.30 ชม. (ตามคู่เมือง)
  • เงินในกระเป๋า: ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการลดลง มีผลต่อราคาสินค้า/รายได้เกษตรกร
  • โอกาส: การท่องเที่ยวเชิงราง–สินค้า OTOP–เกษตรแปรรูปเข้าเมือง–ออกชายแดนสะดวกขึ้น
  • ความปลอดภัย: จุดตัดลดลง ระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสารสมัยใหม่เพิ่มความปลอดภัยการเดินรถ

ความคืบหน้า 41.986% ของ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่มันหมายถึง โครงร่างเศรษฐกิจใหม่ ของภาคเหนือที่กำลังก่อตัว – โครงร่างที่วางอยู่บนรางเหล็ก อุโมงค์ 4 แห่ง สะพานนับสิบ และโมเดลบริหารความเสี่ยงที่เรียนรู้จากฝนหลาก–น้ำท่วม เพื่อส่งมอบการเดินทางที่ ตรงเวลา–ปลอดภัย–คุ้มค่า ให้ประชาชน และเปิดพรมแดนเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการไทยก้าวไกลไปอีกขั้น

เมื่อรถไฟสายนี้ทดลองวิ่งและเปิดบริการในปี 2571 เสียงหวูดจะไม่ได้ดังเพียงเพื่อประกาศ “เปิดเดินรถ” เท่านั้น หากแต่เป็นสัญญาณว่า ภาคเหนือ ได้ก้าวขึ้นขบวนเศรษฐกิจใหม่ที่พร้อมเชื่อม บ้านเรา เข้ากับ ภูมิภาค อย่างมั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สายนโยบายภาคเหนือ)
  • ประชาชาติธุรกิจ
  • มติชนออนไลน์
  • กรมการขนส่งทางราง/สำนักข่าว MCOT (TNA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เปิดเกมเศรษฐกิจ 2,400 ล้าน! เชียงรายเจ้าภาพ Spartan World Championship

เชียงรายจารึกประวัติศาสตร์กีฬาโลก คว้าเจ้าภาพ “Spartan SUPER World Championship” 3 ปีซ้อน (2026–2028) ผลักดันเมืองรองสู่เวทีนานาชาติ วางหมาก “Longer Stay” ปลุกเศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาท

เชียงราย,20 กันยายน 2568 — ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจคึกคักตั้งแต่เช้า ผู้บริหารภาครัฐ–เอกชน นักวิ่งแนว OCR และสื่อมวลชนหลากสำนักจับจ้อง “จุดเปลี่ยน” ใหม่ของเมืองเหนือ เมื่อจังหวัดเชียงรายลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับพันธมิตร 4 องค์กร เพื่อเดินหน้าผลักดันสิทธิ์เจ้าภาพจัด Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2569–2571) ถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของเอเชีย หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการตามโรดแมปของผู้จัดสากล

เอกสารความร่วมมือครั้งนี้มีผู้แทนร่วมลงนามได้แก่

  1. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย,

  2. ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) – TCEB,

  3. Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc., และ

  4. นายบุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สารัตถะของ MOU ระบุกรอบความร่วมมือเพื่อผลักดันการจัดการแข่งขัน รอบชิงแชมป์โลกประเภท “Super 10K”สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี โดยตั้งเป้าให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็น “เมืองเทศกาลระดับโลก” ใช้งานกีฬามวลชนเสริมพลังเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างคน และสร้างแบรนด์เมืองระยะยาว จังหวัดเชียงรายกำลังกลายเป็น “หมุดหมาย” หน้าใหม่ของเมืองเหนือสุดในสยาม เมื่อ 4 ภาคี อย่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB, Spartan Race Inc. และบริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด—ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อผลักดันให้เชียงรายเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (ค.ศ. 2026–2028) ณ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

สำหรับโลกกีฬา OCR (Obstacle Course Racing) นี่ไม่ใช่แค่งานวิ่ง แต่นี่คือ “บทพิสูจน์” ทั้งร่างกายและจิตใจ—คลาน ลุยโคลน ปีนป่าย แบกหาม และข้ามไฟ—การผสานความแข็งแกร่ง กำลังใจ และวินัยเข้าด้วยกัน ภายใต้แบรนด์ Spartan ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกและกำหนดมาตรฐานชนิดกีฬานี้ในกว่า 40–45 ประเทศทั่วโลก มีทั้งรายการระดับสมัครเล่นไปจนถึงชิงแชมป์ทวีปและชิงแชมป์โลก โดยประเภท “Super” มีระยะ 10 กิโลเมตร พร้อมอุปสรรคเฉลี่ยราว 25 ด่าน—โครงสร้างการแข่งขันระดับสากลที่แฟน ๆ OCR ทั่วโลกคุ้นเคยดี

Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก และ บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

Spartan เป็นแบรนด์ระดับโลกที่สร้างชุมชนจาก ความยืดหยุ่น (resilience), ความมุ่งมั่น (grit), ความแข็งแกร่ง (strength) และเหนืออื่นใดคือ ความเป็นหนึ่งเดียว (togetherness). ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงเชียงราย ผมเห็นทุกองค์ประกอบที่เราตามหา” — Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc. กล่าวระหว่างพิธีลงนาม

จากห้องประชุม “ไลบรารี่ เล้าท์” สู่ปฏิทินโลก

พิธีลงนาม ณ ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 20 กันยายน 2568 เปรียบเสมือนการ “เลี้ยวเข้าสู่โค้งสุดท้าย” ของการเสนอสิทธิ์เมืองเจ้าภาพ โดยทั้ง 4 องค์กรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันชัดเจน—เชียงรายพร้อมใช้มหกรรมกีฬาระดับโลกเป็น แม่เหล็ก (Magnet) กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และยกระดับสมรรถนะการจัดงานนานาชาติของเมืองรองอย่างเป็นระบบ

ในเดือนตุลาคม 2568 ที่งาน Spartan SUPER World Championship 2025 ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จะมีพิธีประกาศชื่อ “เชียงราย” บนเวทีโลกอย่างเป็นทางการ พร้อมพิธีโบกธงชาติไทย ซึ่งหมายถึงชื่อ “Chiang Rai” จะถูกบรรจุอยู่ในปฏิทินนานาชาติของ Spartan ตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป—คือจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังสู่รอบไฟนอลประเภท Super บนผืนดินเอเชียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเครือการแข่งขันนี้

“Spartan” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเกมใหญ่ของเมือง

กีฬาประเภท OCR อยู่ภายใต้กรอบของ World Obstacle (FISO) องค์กรนานาชาติที่ทำงานด้านมาตรฐาน ความปลอดภัย และการยอมรับในระดับโลก โดย Spartan คือตัวแสดงหลักที่สร้างฐานแฟนจำนวนมากจาก “สนามมาตรฐาน + ประสบการณ์สนาม” ผ่านรายการหลากหลาย (Sprint/Super/Beast/Ultra ฯลฯ) และอีเวนต์เกือบตลอดทั้งปีในหลายทวีป

บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับ ประเภท “Super” ที่เชียงรายจะเป็นเจ้าภาพรอบชิงแชมป์โลกนั้น กติกาสากลากำหนด “วิ่ง 10K + อุปสรรค ~25 ด่าน” และเป็นขั้นกลางที่ท้าทายกว่าสาย Sprint อย่างมีนัยสำคัญ—นักกีฬาต้องมีความฟิตทั้ง upper body และ lower body รวมถึงทักษะการทรงตัว/สมดุล (body balance) เพื่อผ่านอุปสรรคบนเส้นทางธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะสนาม ซึ่งเป็นลายเซ็นของแบรนด์ Spartan ในทุกประเทศ

สปาร์ตันไม่ได้ต้องการ ‘การเอาชนะ’ แต่ต้องการ ‘การพิชิต’ (Conquer)—พิชิตสิ่งกีดขวางตรงหน้าไปทีละด่าน…” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปรัชญาของงาน

ในมุมเชิงการแข่งขัน “เวิลด์แชมเปียนชิพ” ไม่ได้เปิดกว้างแก่ทุกคน เพราะผู้เข้าชิงตำแหน่งต้องผ่านรอบคัดเลือกในระดับ National Series / Regional Series สะสมแต้ม ผ่านระบบจัดอันดับและ Token เพื่อได้สิทธิ์ลงไฟนอล “Super” ซึ่งเป็นเส้นทางที่เข้มข้นคล้ายสนามสอบระดับประเทศ—จึงไม่น่าแปลกใจว่าจากผู้เข้าร่วม Spartan ทั่วโลกนับ ล้านคน/ปี จะมีเพียง “หยิบมือ” ที่ได้ตั๋วสู่ไฟนอล ทว่า “เอฟเฟกต์มวลชน” ของแบรนด์ยังเกิดขึ้นควบคู่ผ่านรายการ open class และกิจกรรมคอมมูนิตี้ในสัปดาห์อีเวนต์ ที่เปิดให้คนทั่วไปสัมผัสประสบการณ์ Spartan ได้เช่นกัน (บริบทจำนวนประเทศ/กิจกรรมภายใต้ Spartan อ้างอิงหน้าองค์กร)

เมืองรองสู่ “World Sport Tourism Destination” ทำไมต้องเชียงราย

สิงห์ปาร์ค เชียงราย คือแลนด์สเคปโล่งกว้าง รายล้อมไร่ชา–เนินเขา มีพื้นที่เพียงพอสำหรับวางคอร์สอุปสรรคหลายเซกเมนต์ รวมถึงโซนรีคัฟเวอรี/เอ็กซ์โป/แฟนโซน ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงครอบครัวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด—จุดถ่ายรูป, ปั่นจักรยาน, ไร่ชา, ซิปไลน์ และเทศกาลระดับนานาชาติอย่างบอลลูน—ช่วยผสาน “สนามแข่ง” กับ “เดสติเนชัน” ได้ในจุดเดียว (ข้อมูลทางการจาก ททท.)

ด้านการเดินทาง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงราว 8–9 กิโลเมตร ใช้เวลารถยนต์ประมาณ 15–20 นาที (ขึ้นกับสภาพจราจรและจุดหมายปลายทาง) ซึ่งเป็นระยะที่เอื้อให้เกิด “ฮับรับ–ส่ง” สำหรับนักกีฬาต่างชาติและทีมงานได้สะดวกกว่าหลายเมืองแข่งขันในต่างประเทศ (อ้างอิงข้อมูลระยะทางสนามบิน/เมือง)

ปัจจัยเชิงระบบที่ช่วยหนุนอีกชั้นคือบทบาทของ TCEB ในฐานะหน่วยงานรัฐด้าน MICE—การประชุม, นิทรรศการ, อีเวนต์ระดับนานาชาติ—ซึ่งมี “เครื่องมือสนับสนุน” ทั้งด้านการประสานงาน, กลไกสนับสนุนเชิงงบประมาณตามหลักเกณฑ์, และการทำงานร่วมกับจังหวัด/เอกชนเพื่อให้การเป็นเจ้าภาพเกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุด (อ้างอิงเอกสารและรายงานผลการสนับสนุนของ TCEB)

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ TCEB

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 800 ล้านบาท/ปี กับ “ตัวคูณเวลาพำนัก”

ฝ่ายจัด–ภาครัฐคาดการณ์นักกีฬาและผู้ติดตามรวมกว่า 60,000 คน จาก กว่า 50 ประเทศ ตลอด 3 ปี และประเมินเม็ดเงินหมุนเวียน ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท) โดยมาจากค่าโดยสาร/โรงแรม/ร้านอาหาร/การท่องเที่ยวต่อเนื่อง–เชื่อมเมืองใกล้เคียง ตลอดจน มูลค่า PR ที่สะท้อนภาพลักษณ์จังหวัดสู่สายตาโลกผ่านคอนเทนต์ของแบรนด์และผู้ติดตามนับล้าน

แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ประมาณการ” จากเจ้าภาพ อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ก่อนหน้าในไทยสะท้อนให้เห็นว่า Spartan ดึง ผู้เข้าร่วมเป็นพัน–หลักหมื่น และ ผู้ติดตามหลักหมื่น สร้างผลคูณรายได้ระดับ หลายร้อยล้านบาท ในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ (รายงานจากสื่อกระแสหลัก) ซึ่งช่วยยืนยัน “ทิศทาง” ของตัวเลขที่เชียงรายตั้งความหวังไว้ได้ในระดับหนึ่ง

หัวใจสำคัญของผลคูณคือแผนยุทธศาสตร์ “Longer Stay Campaign”—ทำอย่างไรให้นักกีฬา/ทีมงาน/ผู้ติดตาม อยู่เชียงรายนานขึ้น ไม่ใช่แค่มา–แข่ง–กลับ หากยืดเวลาเป็น 7–14 วัน ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น เทศกาลอาหาร “Taste of Spartan”, งานดนตรี After Party แนว world/ethnic, เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม (ไร่ชา, ดอยตุง, คาเฟ่–กาแฟพิเศษ, วิถีชนเผ่ามลายู–ลาหู่–อาข่า ฯลฯ) และกิจกรรมอาสาสมัครชุมชน—ทั้งหมดนี้สอดรับภาพใหญ่ของ TCEB/MICE ที่ผลักดันเมืองรองไทยให้เป็น Sport Hub / Training Center ระดับเอเชีย

“ทำอย่างไรให้เขาอยู่เชียงราย สองอาทิตย์ ได้ไหม—นี่คือโจทย์” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ชี้ทิศทางยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อนทั้งจังหวัดร่วมกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

สนาม” กับ “เมือง” โจทย์ความพร้อมที่ต้องไปด้วยกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวย้ำว่า “โอกาสแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อย หลายจังหวัดอยากได้ แต่วันนี้เกิดขึ้นที่เชียงราย” พร้อมระบุว่าทุกภาคส่วน—หน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา—จะบูรณาการกำลังคน/อาสาสมัคร/ลอจิสติกส์ เพื่อรองรับมาตรฐานสากลของงาน

โจทย์หลักที่ต้องเร่งวางแผนเชิงปฏิบัติการ ได้แก่

  1. ที่พัก–การเดินทาง: กระจายตัวรองรับนักกีฬาหลายหมื่นคนในสัปดาห์อีเวนต์ โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันปลายปี (ธ.ค.) ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปหนาแน่นอยู่แล้ว
  2. การจราจร–ความปลอดภัย: วางแผนเส้นทางเข้า–ออกสิงห์ปาร์ค, จุดจอดรับ–ส่ง, หน่วยแพทย์สนาม, ระบบสื่อสารฉุกเฉินตามมาตรฐาน OCR/Spartan
  3. สิ่งแวดล้อม–ชุมชน: จัดการขยะ/น้ำเสียจากอีเวนต์, ใช้วัสดุรีไซเคิลในแฟนโซน/เอ็กซ์โป, เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นจำหน่ายสินค้า OTOP/Local และบริการทัวร์ชุมชน
  4. คน–ทักษะ (Upskill/Reskill): เตรียมอาสาสมัครสนาม/ล่าม/ช่างเทคนิคอุปสรรค, ฝึกอบรม first aid และความรู้ด้านมาตรฐานความปลอดภัยสากลของ OCR เพื่อสร้าง “ขีดความสามารถใหม่” ให้กับคนเชียงราย

นอกจากนั้น ภาคส่วนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ต้อง “จับคู่–ต่อยอด” กับ คอมมูนิตี้สปาร์ตัน ที่มีพฤติกรรมบริโภคเฉพาะ—อาหารสุขภาพ, กาแฟพิเศษ, เวิร์กชอปโยคะ/ฟื้นฟู, สปอร์ตกายภาพ—เพื่อยืดเวลาพำนัก ให้เงินหมุนเวียนอยู่ในจังหวัดนานขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนเวทีแถลง

นางนิตยา เกิดจันทึก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

เรื่องเล่าจากสนาม จาก “โคลน–เชือก–ไฟ” สู่ “ภาพจำเชียงราย”

หากมองผ่านเลนส์สื่อสังคมออนไลน์ โพสต์จากนักกีฬาสปาร์ตันทรงพลังเสมอ—รอยยิ้มตอนข้ามไฟ, มือที่ยื่นดึงเพื่อนข้ามกำแพง, หรือภาพพื้นโคลนที่ใคร ๆ ภูมิใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก—ทุกเฟรมคือ “PR ธรรมชาติ” ที่ยากประเมินมูลค่า เมื่อเชียงรายกลายเป็นฉากหลังของคอนเทนต์ระดับโลก ภาพไร่ชา–ภูเขา–ศิลปะวัดวา (เช่น วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น) จะค่อย ๆ กลายเป็น ภาพจำใหม่ ของเดสติเนชันกีฬาเอาท์ดอร์ในเอเชีย—นี่คือ เสถียรภาพทางภาพลักษณ์ (reputation capital) ที่ขยายเวลานานกว่าสัปดาห์แข่งขัน

ประสบการณ์ในไทยก่อนหน้านี้ สะท้อนว่าเมืองเจ้าภาพได้รับแสงสปอร์ตไลต์ชัดเจน: The Nation เคยรายงานว่าอีเวนต์ Spartan Thailand 2023 สองสนามใหญ่ (พัทยา–ภูเก็ต) “คาดต้อนรับนักกีฬากว่า 10,000 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 500 ล้านบาท” ขณะที่ Bangkok Post ระบุสนามเชียงใหม่ปี 2022 คาดผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คนจาก 30 ประเทศ และเม็ดเงินหมุนเวียนราว 300 ล้านบาท—กรณีศึกษาที่ส่งสัญญาณว่าหากเชียงรายวาง Longer Stay ได้ตรงใจและทำ “แพ็กเกจกีฬา + เที่ยว” ให้โดนตลาดสากล เม็ดเงิน 800 ล้านบาท/ปีอาจไม่ไกลเกินเอื้อม

เชียงรายในสมการ “MICE + Sport” จากสนามสู่ระบบนิเวศเศรษฐกิจ

บทบาทของ TCEB สำคัญยิ่งในเฟสหลังประกาศเมืองเจ้าภาพ—ไม่เพียงสนับสนุนอีเวนต์หลัก แต่ยังสามารถ “ต่อยอด” ด้วยการดึง การประชุม/ประชุมเชิงปฏิบัติการ ของเครือข่าย Spartan (เจ้าหน้าที่เทคนิค, ผู้ตัดสิน, ทีมจัดการความปลอดภัย, ผู้จัดซีรีส์ทวีป) มาจัดในไทยช่วงก่อน–หลังอีเวนต์ เพื่อให้การใช้จ่ายของคณะทำงานกระจายสู่ภาคบริการมากขึ้น และช่วยสร้าง “องค์ความรู้” ให้คนท้องถิ่น—จากการจัดสนาม, บริหารอุปสรรค, ไปจนถึงการทำ event operations ตามมาตรฐานโลก (ข้อมูลบทบาท/เครื่องมือสนับสนุน TCEB)

ในชั้นเชิงนโยบาย “Sport Tourism” กำลังกลายเป็น Soft Power ด้านสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ของไทย เมืองที่เคยเป็น MICE City อย่างพัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ต่างใช้กลยุทธ์ “เทศกาลกีฬา” ดึงเม็ดเงินคุณภาพ—และเชียงรายซึ่งมีทุนวัฒนธรรม–ธรรมชาติชัดเจน พร้อมเครือข่ายเอกชน–สถาบันการศึกษา เข้าสู่ “วงจรดี” เดียวกันได้ หากยกระดับมาตรฐานและเปลี่ยน “อีเวนต์หนึ่งสัปดาห์” เป็น ฤดูกาลกีฬา (Sporting Season) ที่ต่อเนื่องตลอดปี

คลี่ปม–จับมือ–เดินหน้า งานใหญ่ของ “ทั้งเมือง”

การเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship ไม่ใช่งานของคนกีฬาเพียงกลุ่มเดียว แต่เป็นงานของ “ทั้งเมือง”—ตั้งแต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ผลิตของที่ระลึก ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่นและเยาวชนที่จะเข้ามาเป็นอาสาสมัครสนาม ทุกวงจรล้วนอยู่ในสมการรายได้ของจังหวัดดังนี้

  • ก่อนงาน (T-12 ถึง T-1 เดือน): โฟกัสการก่อสร้าง/ทดสอบอุปสรรค, ฝึกกำลังคน, เปิดคอร์ส trial, เดินสายโปรโมต “แพ็กเกจ Longer Stay” และดีล early bird สำหรับทัวร์เนินเขา–ไร่ชา–คาเฟ่–งานคราฟต์ (ใช้หน้าที่วัด/ชุมชนเป็นเวทีย่อย)
  • สัปดาห์งาน (T-0): โฟกัสความปลอดภัย–โลจิสติกส์–การจราจร, จัดโซน Fan Village ที่เน้นสินค้าชุมชน/OTOP, ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวกีฬา” เชื่อมเส้นทางต่อยอดหลังจบแข่ง
  • หลังงาน (T+1 ถึง T+4 สัปดาห์): เก็บข้อมูล spend per capita และ length of stay, ทำแผนเยียวยาสิ่งแวดล้อม (เก็บขยะ, คืนสภาพสนาม), ทำคอนเทนต์ “Best Moments of Chiang Rai” ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์/ทีมถ่ายทอด เพื่อรีมาร์เก็ตติ้งสู่ฤดูกาลถัดไป

หากทุกฟันเฟืองเดินไปทิศเดียวกัน เป้าหมาย “เศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาทใน 3 ปี” ย่อมมีฐานรองรับจริง—ไม่ใช่เพียงตัวเลขในสไลด์งานแถลง

จาก “สนามโลก” สู่ “เมืองโลก”

การเลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship 2026–2028 คือ “สัญญาณ” ว่าเมืองรองของไทยพร้อมยืนบนเวทีกีฬาโลก—ไม่ใช่ด้วยสนามกีฬาอันทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย ภูมิทัศน์ธรรมชาติ, ทุนวัฒนธรรม, และ ระบบคน–บริการ ที่กำลังจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่

“วันนี้ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกัน เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมอย่างสง่างาม”—คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สอดรับกับวิสัยทัศน์ของ TCEB และพันธมิตร Spartan/รันริโอ

เส้นทางข้างหน้ามีทั้ง “โคลน–เชือก–กำแพง” ให้เชียงรายต้องพิชิตทีละด่าน—แต่หาก “ทีมเชียงราย” เดินไปพร้อมกัน เป้าหมาย เมืองกีฬา–ท่องเที่ยวระดับโลก ที่คนทั้งโลกอยากมา “วิ่ง–พัก–ใช้ชีวิต” ที่นี่อย่างน้อย สองสัปดาห์ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

ตัวเลข “ผู้เข้าร่วมรวม 60,000 คน” และ “เม็ดเงินสะพัด 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท/3 ปี)” เป็น ประมาณการจากผู้จัดและหน่วยงานคู่สัญญาในการลงนาม MOU วันที่ 20 กันยายน 2568 ซึ่งผู้เขียนข่าวระบุแหล่งที่มาไว้โดยชัดแจ้ง และนำไปเทียบเคียงกับผลลัพธ์งาน Spartan ในไทยที่มีรายงานอย่างเป็นทางการจากสื่อกระแสหลักก่อนหน้าเพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจแตกต่างตามภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพอากาศในช่วงจัดงาน กำลังซื้อ และปัจจัยหน้างานอื่น ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Obstacle (FISO)
  • Spartan Race (Global/Thailand)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)
  • The Nation Thailand และ Bangkok Post.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ท่องเที่ยวเชียงรายปี 67 เสถียรภาพสูง แต่สะดุดแรงในไตรมาส 3

เชียงราย–ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเหนือ ปี 2567 เสถียรภาพสูงทั้งปีแม้สะดุดในไตรมาส 3 — บทเรียนจากพฤติกรรมเดินทางของคนไทยและแรงดูดต่างประเทศ

เชียงราย, 19 กันยายน 2568 —  กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดนำข้อมูลสถิติปี 2567 (ที่ผ่านคณะกรรมการสถิติฯ) สรุปรายได้และค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ปี 2567 ในปีที่การแข่งขันด้านท่องเที่ยวเข้มข้นทั้งภายในประเทศและกับ “เอเชียใกล้บ้าน” เชียงรายยังคง “ยืนระยะ” ด้วยฐานผู้เดินทางรวมทั้งปี 6.28 ล้านคน-ครั้ง ใกล้เคียงปีก่อนแทบทุกมิติ ขณะที่โครงสร้างค้างคืนยังเป็นจุดแข็งสำคัญของจังหวัด แต่ “หุบเขาดีมานด์” ในไตรมาส 3 กลับฉายภาพชัดว่าจังหวัดจำเป็นต้องเร่งยุทธศาสตร์เฉพาะฤดูกาล เพื่ออุดรอยรั่วรายได้และยื้อการใช้เวลาของนักท่องเที่ยวให้อยู่กับพื้นที่นานขึ้น

นิยามศัพท์สำคัญ (อังกฤษ–ไทย) ที่ใช้ในข่าวนี้

  • Visitor (ผู้เดินทางทั้งหมด/คน-ครั้ง): จำนวน “คน-ครั้ง” ที่เดินทางเข้าพื้นที่ในช่วงเวลาหนึ่ง ครอบคลุมทั้งผู้ค้างคืนและไป–กลับในวันเดียว
  • Tourist (นักท่องเที่ยวค้างคืน): ผู้เดินทางที่ “พักค้างคืน” อย่างน้อย 1 คืนในพื้นที่ปลายทาง
  • Excursionist (นักทัศนาจร/ไป–กลับวันเดียว): ผู้เดินทางที่ “ไม่ค้างคืน” เข้า–ออกภายในวันเดียว

สิ่งที่ตัวเลขกำลังบอกเรา

  1. เชียงรายทั้งปี 2567 “ทรงตัวอย่างมีนัย”
    ผู้เดินทางรวม (Visitor) อยู่ที่ 6,282,437 คน-ครั้ง ลดลงเพียง -0.18% จากปี 2566 (6,293,758) โดยในนั้นเป็น นักท่องเที่ยวค้างคืน (Tourist) 4,541,553 คน-ครั้ง (-1.48%) และ นักทัศนาจรไป–กลับ (Excursionist) 1,740,884 คน-ครั้ง (+3.39%). ภาพรวมจึงสะท้อนว่า “ค้างคืนลดเล็กน้อย แต่ทริปสั้นขยายตัว” — สอดคล้องกับพฤติกรรมหลังโควิดที่ผู้คนเลือกทริปกระชับและยืดหยุ่น แต่ยังยอมค้างคืนหากมีประสบการณ์เฉพาะทางให้ทำจริง
  2. โครงสร้างดีมานด์ของเชียงรายยังชัดว่าเป็น “เมืองค้างคืน”
    ค้างคืน 72.29% ไป–กลับ 27.71% ของผู้เดินทางทั้งหมด นี่คือทุนสำคัญทางเศรษฐกิจ เพราะ “ค้างคืน” เชื่อมลูกโซ่รายได้ที่ยาวกว่า (ที่พัก–อาหาร–กิจกรรม–ขนส่งท้องถิ่น–สินค้าชุมชน) และพร้อมต่อยอดเป็น “คืนที่สอง–สาม” หากมีแพ็กเกจและโลจิสติกส์ที่ดีพอ
  3. ฤดูกาลคือของจริง Q1/Q4 พีก แต่ Q3 เป็นหุบเขา
  • Q1: Visitor +6.55%, Tourist +6.39%, Excursionist +6.91% — อานิสงส์ฤดูหนาวและเทศกาล
  • Q2: Visitor +3.20%, Tourist +1.38%, Excursionist +8.44% — ทริปครอบครัว/ทัศนศึกษา/งานชุมชนหนุนฐาน
  • Q3: Visitor -9.61%, Tourist -12.03%, Excursionist +0.52% — จุดอ่อนของปี ช่วงปลายฝน–เปิดเทอม–และวันหยุดที่ถูก “แย่ง” โดยทริปต่างประเทศ
  • Q4: Visitor -2.63%, Tourist -2.60%, Excursionist -2.73% — ดีแต่ยังไม่เท่าปีก่อน สะท้อนการแข่งขันภายในภาคเหนือและกับปลายทางต่างประเทศ
  1. น้ำหนักของเชียงรายต่อภาคเหนือ “โดดเด่นในตลาดค้างคืน”
    ทั้งปี เชียงรายคิดเป็น ~15.05% ของ Visitor ภาคเหนือ, ~16.67% ของ Tourist, และ ~12.00% ของ Excursionist. อีกนัยหนึ่ง: เชียงรายคือ “หัวรถจักรตลาดค้างคืน” ของภาคเหนือโดยธรรมชาติ
  2. แรงดูดจากต่างประเทศ: 11.72 ล้านเที่ยวออกเดินทาง/ปี, 4.31 แสนล้านบาท
    ปี 2567 คนไทยเดินทางออกต่างประเทศ 11,720,634 เที่ยว ใช้จ่ายรวม 431,483.16 ล้านบาท จุดหมายท็อป 5 ได้แก่ จีน, มาเลเซีย, ลาว, ญี่ปุ่น, กัมพูชา—ตัวเลขนี้บอกชัดว่าการแข่งขันของเชียงราย ไม่ได้สู้กันเฉพาะในประเทศ แต่ต้อง “ชิงกลับ” เม็ดเงินจากต่างประเทศด้วยประสบการณ์ที่ ทัดเทียม/ต่างอย่างมีคุณค่า และโลจิสติกส์ที่ ไร้รอยต่อพอๆ กัน

จากหน้าหนาวถึงปลายฝน—และสิ่งที่หายไปกลางปี

ต้นปี เชียงรายรับบท “เมืองโรแมนติกของฤดูหนาว” อย่างเต็มภาคภูมิ เส้นทางยอดฮิตจากเมือง–แม่จัน–แม่สาย–เชียงแสน ครึกครื้นด้วยคาเฟ่กาแฟพิเศษ ไร่ชา และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วมสมัย นักเดินทางจำนวนมากเลือกค้างคืนเพื่อ “ตื่นรับหมอกยามเช้า” และเวิร์กช็อปชุมชนช่วงบ่าย—สะท้อนจากอัตราขยายตัวของค้างคืนใน Q1

พอเข้าฤดูร้อนของ Q2 เม็ดเงินไม่ได้วูบ แต่ “สั้นลง” ทริปวันเดียว/หนึ่งคืนมาแรง—อาจเพราะตารางชีวิตคนเมืองกลับสู่โหมดทำงานและเรียน นักท่องเที่ยวเลือกกิจกรรมที่จบในครึ่งวัน–หนึ่งวันมากขึ้น ร้านอาหารท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และตลาดชุมชน จึงเป็น “ปลายทางระยะสั้น” ที่ยังคงคึกคัก

หากมองข้ามไตรมาส 3 ไม่ได้—นี่คือช่วงที่กราฟสั่นแรงที่สุด ค้างคืนลดลงสองหลัก อุปสงค์อ่อนตามฤดูกาลฝน บวกกับ “แรงดูดต่างประเทศ” ที่สะดวกและราคาพอๆ กัน ทำให้ปลายทางในประเทศ (รวมเชียงราย) เสียส่วนแบ่ง “เวลาและงบประมาณ” ของคนไทยไปให้ “เอเชียใกล้บ้าน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปลายปีใน Q4 เมืองกลับมามีชีวิตชีวา บรรยากาศเทศกาลและอากาศเย็นดึงคนกลับมาอีกครั้ง แต่ตัวเลขยัง “ต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย” สะท้อนสองเรื่องพร้อมกัน (1) จังหวัดเหนืออื่นๆ เปิดเกมหนัก และ (2) ผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง “ชิมรส” ต่างประเทศจนคุ้นกับความง่าย–ความครบ–บัตรรวมสิทธิ์ (Pass/Bundle) จึงคาดหวังมาตรฐานคล้ายกันเมื่อเที่ยวในไทย

เชียงรายในกระจก “ภาคเหนือ” โตทั้งภูมิภาค แต่สนามแข่งขันหนาแน่น

ภาคเหนือทั้งปี 2567 โตในทุกหมวด (Visitor +2.70%, Tourist +2.57%, Excursionist +2.94%). จังหวะไตรมาสของภูมิภาค “สอดคล้อง” กับเชียงราย: พีกที่ Q1/Q4 และชะลอใน Q3. นี่หมายความว่าปัญหาไม่ได้เป็น “เฉพาะจังหวัด” หากแต่เป็น “วัฏจักรทั้งภูมิภาค” ที่ต้องแก้ด้วย ปฏิทินเทศกาลเหนือที่ไม่ซ้อนกัน และ บัตรผ่านหลายจังหวัด (Cross-Northern Pass) ให้ผู้เดินทาง “อยู่นานขึ้น–ใช้จ่ายมากขึ้น–ไปหลายเมืองขึ้น”

สมการเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชียงรายจากตัวเลขจริง

  • Demand Composition (โครงสร้างดีมานด์): ค้างคืน 72.29% / ไป–กลับ 27.71% ⇒ สมเหตุสมผลที่จะเดินเกม “เพิ่มมูลค่าต่อทริป” ผ่านกิจกรรมเชิงลึก (workshop คราฟต์–กาแฟพิเศษ–เส้นทางสุขภาพ–ศิลปะร่วมสมัย–ประวัติศาสตร์ชายแดน) และออกแบบ Route 2–3 คืน เชื่อมหลายอำเภอ
  • Seasonality (ฤดูกาล): พีคชัดใน Q1/Q4 และ “ดิป” ใน Q3 ⇒ ต้องมี “สินค้าฤดูฝน” ที่แข็งแรงจริง ไม่ใช่แค่โปรฯ ส่วนลดห้องพัก
  • Regional Positioning (ภาพในภาคเหนือ): เชียงรายเด่นด้านค้างคืนเมื่อเทียบสัดส่วนทั้งภูมิภาค ⇒ ควรสื่อสารตัวเองชัดว่าเป็น เมืองค้างคืนคุณภาพสูง”
  • Outbound Pressure (แรงดึงต่างประเทศ): คนไทยเที่ยวนอก 11.72 ล้านเที่ยว ใช้จ่าย 4.31 แสนล้านบาท ⇒ เมืองต้อง “เทียบเคียงได้” ทั้ง ราคา–ความสะดวก–ความพิเศษของประสบการณ์

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (ทำได้จริงจากข้อมูลที่มี)

1) “อุโมงค์ฤดูฝน Q3” — ปิดรูรั่วรายไตรมาส

  • เทศกาลเฉพาะทาง ก.ค.–ก.ย.: กาแฟ/ชา single origin เชียงราย (cupping–roasting–ดริปไร่), งานศิลป์ร่วมสมัย–หัตถกรรม, กีฬาเส้นทาง (วิ่งเทรล/ปั่น), ดนตรี–หนังกลางไร่
  • แพ็กเกจ “ไป–กลับสู่ค้างคืน”: คูปองชุด “1 คืนที่คุ้มที่สุด” = ที่พัก + workshop ชุมชน + อาหารชาติพันธุ์ + พิพิธภัณฑ์/แกลเลอรี
  • โลจิสติกส์ไร้รอยต่อ: เที่ยวบิน/รถไฟ/รถทัวร์คุณภาพสูง–ต่อรถท้องถิ่น–บริการรับ–ส่งกิจกรรม กดจองครั้งเดียวจบ

2) “เปลี่ยน Excursionist เป็น Tourist” — จากทริปสั้นสู่ค้างคืน

  • โปรแกรม 24–48 ชั่วโมง มี “กิจกรรมเย็น–เช้าตรู่” เป็นตัวบังคับเชิงบวก
  • Bundle/Pass ที่รวมสิทธิ์หลายบริการ (ที่พัก + กิจกรรม + ขนส่งท้องถิ่น) ในราคาเดียว พร้อมการันตีคิว/ยืดหยุ่นการเปลี่ยนวัน

3) “Route 2–3 คืน เชื่อมอำเภอ” — สร้างเหตุผลให้อยู่ต่อ

  • เมือง–แม่จัน–แม่สาย–เชียงแสน–แม่ลาว ด้วยธีม ประวัติศาสตร์ชายแดน/วัฒนธรรมร่วมสมัย/กาแฟ–ชา/สุขภาพ
  • กำหนด ตราสัญลักษณ์คุณภาพโฮสต์ชุมชน สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค

4) “One Trip–Two Countries” — ใช้จุดแข็งเมืองชายแดน

  • แพ็กเกจเชื่อมประสบการณ์ข้ามพรมแดน (ภายใต้กรอบความร่วมมือที่มี) เช่น วัฒนธรรม–อาหารชาติพันธุ์–ตลาดชายแดน–พิพิธภัณฑ์ชายแดน–ล่องน้ำยามเย็น
  • เน้น participatory tourism ให้ผู้เดินทางได้ “ลงมือทำ” กับชุมชน

5) “Data-led Marketing” — ยิงแคมเปญจากพฤติกรรมจริง

  • รีทาร์เก็ตกลุ่มที่เคยมาช่วง Q1/Q4 ให้ กลับมา Q2/Q3 ด้วยข้อเสนอเฉพาะ (ส่วนลดเวิร์กช็อป, พาสกีฬา, พาสพิพิธภัณฑ์/หอศิลป์)
  • แยกคอนเทนต์ตามโครงสร้างดีมานด์ (ค้างคืน vs ไป–กลับ) เพื่อเพิ่ม conversion

KPI ที่ “ชี้การตัดสินใจ” ได้จริง (มากกว่านับจำนวนคน)

  1. ALOS (Average Length of Stay) — ระยะเวลาค้างคืนเฉลี่ย
  2. ADS (Average Daily Spend) — รายจ่ายเฉลี่ยต่อหัว–ต่อวัน (แยกหมวด)
  3. Experience Yield — รายได้เฉลี่ยต่อการจองกิจกรรม
  4. Weekday–Weekend Mix — สัดส่วนคืนค้างวันธรรมดา vs สุดสัปดาห์
  5. Repeat Visit Rate — อัตรากลับมาเที่ยวซ้ำ
  6. Community Income Share — สัดส่วนรายได้ที่ไหลสู่กิจการชุมชน/วิสาหกิจขนาดเล็ก

สาระสำคัญเชิงนโยบาย หากเป้าหมายระดับจังหวัดย้ายจาก “ยอดผู้มาเยือนรวม” ไปสู่ “ค้างคืน + ค่าใช้จ่ายต่อหัว–ต่อคืน + สัดส่วนรายได้ที่ลงชุมชน” เมืองจะเติบโตเชิงคุณภาพ ลดแรงกดดันทรัพยากร และมีภูมิคุ้มกันในฤดูกาลอ่อน

จุดหมายยอดนิยม (จัดอันดับตามจำนวนเที่ยวออกเดินทาง) — Top 10 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

  1. จีน: 2,092,699 เที่ยว (สัดส่วน 17.85% ของทั้งหมด), ค่าใช้จ่ายรวม 62,738.40 ลบ.
  2. มาเลเซีย: 1,638,506 เที่ยว (13.98%), 33,686.81 ลบ.
  3. ลาว: 1,214,090 เที่ยว (10.36%), 21,167.99 ลบ.
  4. ญี่ปุ่น: 1,060,914 เที่ยว (9.05%), 47,023.19 ลบ.
  5. กัมพูชา: 757,942 เที่ยว (6.47%), 13,482.36 ลบ.
  6. ฮ่องกง (จีน): 463,217 เที่ยว (3.95%), 14,303.81 ลบ.
  7. เวียดนาม: 417,702 เที่ยว (3.56%), 8,433.64 ลบ.
  8. สิงคโปร์: 393,933 เที่ยว (3.36%), 12,410.03 ลบ.
  9. เกาหลีใต้: 380,383 เที่ยว (3.25%), 15,910.83 ลบ.
  10. ไต้หวัน: 365,825 เที่ยว (3.12%), 12,963.89 ลบ.

Roadmap 6 เดือน จากข้อมูล นโยบาย ผลลัพธ์

เดือน 1–2

  • ทำ data cleanup แยกตามอำเภอ–คลัสเตอร์กิจกรรม
  • จับคู่สินค้า/กิจกรรมปัจจุบันกับ โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่คนไทยคุ้นจากทริปต่างประเทศ (Bundle/Pass/ความยืดหยุ่น/จองง่าย)

เดือน 3–4

  • เปิดตัว Pass 48 ชั่วโมง ในเมืองฮับ ที่พัก 2 คืน + 2–3 กิจกรรมท้องถิ่น + คูปองขนส่ง (ซื้อ–ใช้บนมือถือ)
  • ทำ Weekday Campaign เจาะกลุ่มทำงานยืดหยุ่น/Workation ร่วมมือโรงแรม–คาเฟ่–โคเวิร์กกิงสเปซ

เดือน 5–6

  • วัดผล KPI รายไตรมาส + A/B Test แพ็กเกจ/ช่องทางขาย
  • ขยายโมเดลไป เมือง spoke รอบฮับ เพื่อดัน “คืนที่ 2” ด้วยกิจกรรมเฉพาะถิ่น

ทางรอดมี—ถ้า “ข้อมูลจริง” นำการตัดสินใจ

  • ทุนเดิมที่แข็งแรง ของเชียงรายคือโครงสร้างค้างคืน 72.29% — ต้องต่อยอดด้วยประสบการณ์ลึกและเส้นทางหลายอำเภอ
  • สัญญาณบวกจาก Excursionist (+3.39%) คือบันไดขั้นแรก หากมีชุดกิจกรรม–คูปอง–เวิร์กช็อปที่ “ดีพอจะค้าง”
  • ภาคเหนือทั้งภูมิภาคยังโต แปลว่าดีมานด์มี แต่ต้องจัดพอร์ตอีเวนต์–แพ็กเกจ–โลจิสติกส์ให้ตรงฤดูกาล
  • ยอมรับศึกกับต่างประเทศ แบบเปิดหน้า—เทียบเคียงทั้ง ราคา–ความสะดวก–ความพิเศษ และสื่อสาร “คุณค่าที่ต่างอย่างแท้จริง”

บรรทัดชวนคิด “ถ้าเมืองทำให้ หนึ่งชั่วโมง ของนักท่องเที่ยว มีคุณค่า มากพอ เมืองจะได้เพิ่มทั้ง คืนค้าง และ รายได้ที่กระจาย—นานกว่าฤดูกาล และยั่งยืนกว่าพีกชั่วคราว”

เศรษฐกิจจังหวัด จาก “ตัวเลขผู้มาเยือน” สู่ “รายได้กระจาย”

การวิเคราะห์ผลกระทบเศรษฐกิจท้องถิ่นควรขยับจาก “ยอดผู้มาเยือนรวม” ไปสู่ “ความหนาแน่นรายได้ในห่วงโซ่” (Value Density Along the Chain) โดยโฟกัสว่า “เงิน 1 บาทของนักท่องเที่ยว” กระจายไปยังใครบ้าง:

  • ที่พักขนาดกลาง–เล็ก (SMEs): ได้รับประโยชน์ทันทีเมื่อเพิ่มค้างคืน
  • ผู้ประกอบการขนส่งท้องถิ่น: รายได้เพิ่มเมื่อมีแพ็กเกจเชื่อมเส้นทาง
  • ร้านอาหาร/คาเฟ่ชุมชน: รายได้เพิ่มเมื่อออกแบบเส้นทางธีมอาหารท้องถิ่น
  • พิพิธภัณฑ์/คราฟต์/เวิร์กช็อป: กลายเป็น “ฮับคุณค่า” ที่ผลักดันให้ลูกค้าอยู่ต่อ
  • ชุมชนเกษตร/วิถีชีวิต: ได้ส่วนแบ่งรายได้ตรง (Homestay/Community Tour) และอ้อม (ขายผลิตภัณฑ์ OTOP)

สารหลักเชิงเศรษฐกิจ: ถ้าเมืองขยับ KPI จาก “ยอดคน” ไปสู่ “รายได้ต่อหัว–ต่อคืน และสัดส่วนรายได้ชุมชน” เมืองจะเติบโตเชิงคุณภาพ ลดแรงกดดันทรัพยากร และเพิ่มศักยภาพแข่งขันระยะยาว

เชิงสถิติ (สรุปย้ำตัวเลขสำคัญ)

  • เชียงราย 2567: Visitor 6,282,437 (-0.18%)Tourist 4,541,553 (-1.48%)Excursionist 1,740,884 (+3.39%)
  • สัดส่วนโครงสร้างดีมานด์: ค้างคืน 72.29% / ไป–กลับ 27.71%
  • รายไตรมาส (เชียงราย, 2567):
    • Q1: Visitor +6.55%, Tourist +6.39%, Excursionist +6.91%
    • Q2: Visitor +3.20%, Tourist +1.38%, Excursionist +8.44%
    • Q3: Visitor -9.61%, Tourist -12.03%, Excursionist +0.52%
    • Q4: Visitor -2.63%, Tourist -2.60%, Excursionist -2.73%
  • ส่วนแบ่งเชียงรายต่อภาคเหนือ (ทั้งปี 2567 โดยคำนวณจากผลรวมรายไตรมาส): Visitor ~15.05%Tourist ~16.67%Excursionist ~12.00%
  • ภาคเหนือ 2567 เทียบ 2566: Visitor +2.70%Tourist +2.57%Excursionist +2.94%
  • คนไทยเที่ยวนอก (ม.ค.–ธ.ค. 2567): 11,720,634 เที่ยวออกเดินทางค่าใช้จ่ายรวม 431,483.16 ล้านบาท; Top 5 จุดหมายตามจำนวนเที่ยว: จีน, มาเลเซีย, ลาว, ญี่ปุ่น, กัมพูชา

ปี 2567 ตอกย้ำบทบาทเชียงรายในฐานะ “หัวรถจักรค้างคืนของภาคเหนือ” ด้วยเอกลักษณ์ที่หลายเมืองเลียนแบบยาก—ชายแดน กาแฟ/ชา วัฒนธรรมร่วมสมัย ภูมิประเทศหลากหลาย และชุมชนที่พร้อมเป็นเจ้าบ้าน ตัวเลขบอกชัดว่า จังหวัดยังไปได้ แต่ หุบเขา Q3 คือจุดที่ “เม็ดเงินหล่นหาย” หากไม่เร่งสร้าง สินค้าฤดูฝนซิงค์ปฏิทินอีเวนต์เหนือ–และ ทำให้การตัดสินใจเที่ยวเหนือง่ายพอๆ กับไปต่างประเทศ, ปีหน้าความเสี่ยงอาจเพิ่ม และผู้ประกอบการรายย่อยจะรับแรงสั่นสะเทือนก่อนใคร

ทางรอดไม่ได้อยู่ที่ “ใครมีคนเยอะกว่า” แต่อยู่ที่ “ใครทำให้ หนึ่งชั่วโมง ของนักท่องเที่ยว มีคุณค่ามากกว่า” เมืองที่ทำได้ จะยืดฤดูกาล ลดคอขวดในพีก ดึง Excursionist ให้กลายเป็น Tourist และ เพิ่มรายได้ที่ลงสู่ชุมชนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

3 แข้งทวีเอสซีวิทยาติดธง U13 ลุยเวทีสเปน สร้างเส้นทางมืออาชีพ

เชียงรายปลุกพลังฟุตบอลเยาวชน! 3 แข้งทวีเอสซีวิทยาติดธง “23 คนสุดท้าย U13 – TJFC 2025” เตรียมลุยเวทีสเปน สร้างเส้นทางมืออาชีพบนมาตรฐานโลก

เชียงราย, 19 กันยายน 2568 — บ่ายวันธรรมดาที่อาจเหมือนทุกวันในสนามหญ้าหน้าโรงเรียนทวีเอสซีวิทยา กลับไม่ธรรมดาอีกต่อไป เมื่อเสียงเฮดังขึ้นพร้อมข่าวใหญ่ “น้องแชมเปญ–ธีรวัฒน์ ขันแก้ว, น้องเอเจ–วชิรพงศ์ กันทะธง, น้องเซเว่น–ธีรเดช เจริญบริพัตร” สามเยาวชนเชียงรายได้รับการประกาศชื่อให้ติด ตัวแทนประเทศไทย 23 คนสุดท้าย รุ่น U13 ของโครงการ TOYOTA Junior Football Clinic 2025 (TJFC 2025) หมุดหมายใหม่ที่ไม่ใช่แค่ความภูมิใจของโรงเรียนหรือจังหวัด แต่เป็น “บันไดขั้นจริง” สู่สนามฟุตบอลอาชีพภายใต้มาตรฐานยุโรป

การประกาศผลครั้งนี้ยืนยันว่า เชียงรายไม่ได้โดดเด่นเฉพาะเรื่องกาแฟหรือการท่องเที่ยว หากยัง “ส่งคนสู่สนาม” ได้อย่างมีคุณภาพในชนิดกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดของไทย นี่คือผลคูณจากการฝึกหนัก ความสม่ำเสมอของชุมชนฟุตบอลท้องถิ่น และ “แพลตฟอร์มคัดเลือกมืออาชีพ” ที่เอกชนและสมาคมกีฬาออกแบบร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

โครงการ TJFC 2025 จุดประกายความฝันสู่ชัยชนะ ปีที่ 13 – ยกระดับด้วย EKKONO Academy

ปีนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เดินหน้าโครงการ TJFC เข้าสู่ปีที่ 13 ภายใต้แนวคิด “IGNITE PRIDE TO WIN – จุดประกายความฝันสู่ชัยชนะ” พร้อมยกระดับความเข้มข้นโดยร่วมมือกับ EKKONO Academy สถาบันฝึกฟุตบอลเยาวชนจากสเปนที่ทำงานกับสโมสรชั้นนำทั่วโลก เป้าหมายชัดเจน “เฟ้นหา 23 นักเตะเยาวชนที่มีศักยภาพสูงสุด” ให้ได้สัมผัส Training Camp ในสเปนและเข้าร่วมสองทัวร์นาเมนต์นานาชาติ ได้แก่ Surf Cup International และ Johan Cruyff Tournament ช่วงวันที่ 25 พฤศจิกายน – 9 ธันวาคม 2568

เส้นทางการคัดเลือก เดินสายครอบคลุม 7 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ สุพรรณบุรี เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช นนทบุรี ขอนแก่น สงขลา และเชียงราย เปิดพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 8–13 ปี เข้าทดสอบทักษะโดยทีมโค้ชนานาชาติจาก EKKONO เพื่อคัดชั้นต่อชั้นจนได้ “23 คนสุดท้าย” รุ่น U13 ซึ่งสามเยาวชนจากทวีเอสซีวิทยาก็ “ฝ่าด่าน” มาจนถึงจุดนี้

คำกล่าวจากผู้บริหารโครงการ สะท้อนกรอบคิดชัดเจน


นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลอดเส้นทางตั้งแต่ปี 2013 โครงการมุ่งพัฒนาฟุตบอลเยาวชนไทยอย่างเป็นระบบ เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ฝึกฝนกับทีมโค้ชระดับนานาชาติ “ปีนี้เราร่วมมือกับ EKKONO Academy เพื่อยกระดับมาตรฐานการคัดเลือกและการฝึกซ้อมให้ทัดเทียมเวทีโลก เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจะเข้าสู่ Training Camp ที่สเปน และลงแข่งขันในรายการนานาชาติทั้ง Surf Cup และ Johan Cruyff Tournament เพื่อให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพในสภาพแวดล้อมที่มีมาตรฐานจริง”

เชื่อมท่อสู่ทีมชาติ FA Thailand หนุน Talent ID วางฐานข้อมูลนักเตะเยาวชน

สิ่งที่ทำให้ TJFC 2025 ไม่ใช่แค่การแข่งขันคัดตัวชั่วครั้งชั่วคราว คือการเชื่อมต่อกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (FA Thailand) ซึ่งจะนำรายชื่อนักเตะเยาวชนที่ผ่านการฝึกอบรมเข้าสู่ฐานข้อมูลพัฒนาการ เพื่อพิจารณาในกรอบ Talent Identification (Talent ID) ที่สมาคมดำเนินการร่วมกับ FIFA ครอบคลุมทั้ง 6 ภูมิภาค เป้าหมายชัด ค้นหาและจัดทำฐาน “ผู้เล่นศักยภาพสูง” เพื่อผลักดันสู่ทีมชาติรุ่น U15–U16 และต่อยอดเป็น ช้างศึก U17 ในอนาคต

เมื่อสามเยาวชนเชียงรายก้าวมาถึงจุดนี้ ความหมายจึงมากกว่าตั๋วเครื่องบินไปสเปน เพราะพวกเขาถูก “บันทึกไว้ในเรดาร์การพัฒนา” ของชาติแล้ว และจะถูกติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง—นั่นคือการเปลี่ยน “โอกาสครั้งเดียว” ให้กลายเป็น “เส้นทางอาชีพที่จับต้องได้”

จากสนามโรงเรียนสู่สนามโลก ทำไม “สเปน” จึงสำคัญกับเด็กไทย

สเปนคือหนึ่งในระบบฟุตบอลเยาวชนที่ดีที่สุดของโลก ทั้งปรัชญา “เข้าใจเกมก่อน–เทคนิคมา–แท็คติกตาม” และสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ดึงศักยภาพเด็กออกมาอย่างเป็นขั้นตอน การได้ไปซ้อมและแข่งขันกับคู่แข่งต่างวัฒนธรรมต่างสรีระ คือ “ห้องเรียนจริง” ที่ไม่มีในตำรา สำหรับเด็กอายุ 13 ปี นี่คือช่วงเวลาสำคัญของการวางพื้นฐาน การตัดสินใจในเกม (Game Intelligence), การรับ–ส่งและการยืนตำแหน่ง, การทำงานเป็นทีม, และ วินัยในชีวิตนักกีฬา—ทักษะเหล่านี้จะติดตัวกลับมาสู่สโมสร โรงเรียน และชุมชนของพวกเขา

3 เยาวชนเชียงราย ความภาคภูมิใจที่ “ต่อไฟ” ให้ทั้งจังหวัด

  • ธีรวัฒน์ ขันแก้ว (แชมเปญ) — สัญชาตญาณในพื้นที่สุดท้ายและความนิ่งยามตัดสินใจ
  • วชิรพงศ์ กันทะธง (เอเจ) — ความขยัน คู่สัญชาตญาณเพรสซิงและการอ่านช่อง
  • ธีรเดช เจริญบริพัตร (เซเว่น) — การรับ–ส่งบอลเท้าสั้นเท้ายาวแน่นและการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม

แม้รายละเอียดเชิงตำแหน่งในสนามของทั้งสามจะยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ “โปรไฟล์เชิงคุณลักษณะ” ที่โค้ชมักมองหาในระดับ U13 คือ ความเข้าใจเกม (อ่านสถานการณ์–หาพื้นที่), เทคนิคพื้นฐานที่นิ่ง, ความฟิตเหมาะสมกับวัย และทัศนคติการซ้อม—องค์ประกอบที่เด็กทั้งสามได้พิสูจน์จนผ่านทุกด่านของการคัดเลือก

โครงสร้างการคัดเลือก 7 จังหวัด โอกาสที่กระจาย ไม่กระจุก

การเดินสายคัดเลือกใน สุพรรณบุรี, เชียงใหม่, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, ขอนแก่น, สงขลา และเชียงราย มีความหมายมากในเชิงนโยบายกีฬา เพราะลดต้นทุนการเข้าถึงโอกาสสำหรับครอบครัวนอกเมืองใหญ่ เปิดทางให้ “ความสามารถจริง” โผล่ขึ้นจากทุกภูมิภาค และทำให้ฐานแฟน–ฐานผู้เล่นในอนาคตของฟุตบอลอาชีพ “กว้างและหนา” มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนากีฬาสมัยใหม่ที่เน้น Talent Pathway ต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็ก

จาก “ค่าย” สู่ “เวทีจริง” สองทัวร์นาเมนต์ที่บ่มเพาะความเป็นมืออาชีพ

การได้ลงแข่งใน Surf Cup International และ Johan Cruyff Tournament คือบททดสอบที่ต่างจากเกมอุ่นเครื่องในประเทศ เพราะทุก “จังหวะผิดพลาด” มักมีราคาที่ต้องจ่ายจริง เด็กจะสัมผัสแรงกดดัน เวลาในสนามที่จำกัด และคุณภาพคู่แข่งที่สูง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่รวดเร็ว—ผู้เล่นที่ “อ่านเกมได้–กล้าตัดสินใจ–กล้ารับผิดชอบ” จะพัฒนาแบบก้าวกระโดด

ก้าวต่อไปของชุมชนฟุตบอลเชียงราย ทำอย่างไรให้ “ตัวอย่างที่ดี” กลายเป็น “ระบบ”

ความสำเร็จของ 3 เยาวชนครั้งนี้ อาจเป็นประกายไฟ แต่การรักษาไฟให้ลุกโชนต้องมี “ออกซิเจน” จากชุมชน—สโมสรเยาวชน โรงเรียน ผู้ปกครอง และผู้ประกอบการท้องถิ่น
ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้

  1. ตั้งกองทุนสนับสนุนการเดินทาง–อุปกรณ์ สำหรับเด็กที่ผ่านระดับภูมิภาค (ลดภาระครอบครัว)
  2. ทำคลินิกถ่ายทอดความรู้หลังกลับจากสเปน ให้รุ่นน้องและโค้ชท้องถิ่น (หมุนความรู้กลับสู่ชุมชน)
  3. สร้างเครือข่ายสเกาต์ท้องถิ่น–โรงเรียน–อะคาเดมี เพื่อส่งเด็กที่ใช่เข้าสู่เวทีที่เหมาะสม
  4. บริหาร “เวลาเรียน–เวลาซ้อม” แบบยืดหยุ่น สำหรับนักเรียนที่มีศักยภาพสูง (พูดคุยกับโรงเรียน–ผู้ปกครอง)
  5. ติดตามพัฒนาการรายไตรมาส ด้วยแบบฟอร์มเดียวกับที่ใช้ในโครงการ/สมาคม เพื่อให้ข้อมูลพร้อมเชื่อมต่อ Talent ID

มิติความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่ “เกิดผลจริง”

โครงการนี้ชี้ว่า CSR ที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายมอบถ้วยหรือทำสนามชั่วคราว แต่คือ “การสร้างแพลตฟอร์มคัดเลือก–ฝึกซ้อม–แข่งขัน” ที่เป็นระบบ เชื่อมต่อกับเส้นทางอาชีพจริง และมีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (จำนวนเด็กเข้าฐานข้อมูล, อัตราคงอยู่ในระบบพัฒนา, จำนวนผู้เล่นเลื่อนระดับทีมชาติรุ่นเยาว์) ซึ่งกรณีของ TJFC 2025 ครบทั้งสามมิติ—ค้นหา (Identify) → พัฒนา (Develop) → เปิดเวที (Expose)

เปิดรับสมัครทั่วประเทศ เด็กไทย 8–13 ปี “มองเห็นเส้นทางได้ตั้งแต่วันนี้”

โตโยต้าเชิญชวน เยาวชนไทยที่มีความฝันสู่เส้นทางฟุตบอลอาชีพร่วมสมัคร TJFC 2025 ผ่านผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าในจังหวัด ซึ่งเปิดรับสมัคร ไปตั้งแต่ 12 พฤษภาคม 2568 ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียด–การเคลื่อนไหว ผ่าน Facebook: Toyota Spirit of Football จุดแข็งของระบบคัดเลือกปีนี้คือ “โค้ชระดับโลกจาก EKKONO Academy” อยู่ในสนามทดสอบจริง—เด็กจึงได้ทั้งประสบการณ์และข้อเสนอแนะเชิงเทคนิคกลับบ้าน แม้ไม่ได้ผ่านเข้ารอบ ก็ยัง “ได้พัฒนา”

“เรามองว่าฟุตบอลเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวินัย ความรับผิดชอบ และการทำงานเป็นทีม โตโยต้าภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันวงการฟุตบอลเยาวชนไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หวังว่า TJFC 2025 จะช่วยให้เยาวชนที่มีความสามารถได้รับโอกาสที่ดีที่สุด และก้าวไปสู่ฟุตบอลอาชีพและทีมชาติไทยในอนาคต” — ถ้อยคำจากผู้บริหารโครงการ สะท้อนวิสัยทัศน์ “สร้างคนก่อนสร้างผลลัพธ์”

จากความฝันของสามเด็กเชียงราย สู่สมการการพัฒนาฟุตบอลไทย

 “หัวใจ” อยู่ที่การแปลงความฝันของเด็กให้กลายเป็น “เส้นทางเดินที่เป็นระบบ” พลังของพื้นที่—โรงเรียนทวีเอสซีวิทยา—ผสานกับแพลตฟอร์มระดับชาติ (TJFC), มาตรฐานการฝึกสากล (EKKONO), และระบบคัดคนสู่ทีมชาติ (FA Thailand–FIFA Talent ID) เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้ “คลิก” เข้าหากัน โอกาสเดินทางสู่สเปนของสามเยาวชนจึงไม่ใช่ “โชค” แต่เป็น “ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้”

และหากเราทำให้กรณีเชียงราย “เกิดซ้ำได้” ในทุกจังหวัด—ด้วยกติกาเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน และการติดตามพัฒนาการจริง—วงการฟุตบอลเยาวชนไทยจะไม่ต้องรอ “รุ่นทอง” แบบฟลุก ๆ แต่จะมี “ท่อส่งนักเตะที่ไหลสม่ำเสมอ” สู่สโมสรอาชีพและทีมชาติ

ข้อมูลสำคัญ (สรุปย่อ)

  • 3 เยาวชนโรงเรียนทวีเอสซีวิทยา (เชียงราย) ติด 23 คนสุดท้าย รุ่น U13 โครงการ TJFC 2025
    ธีรวัฒน์ ขันแก้ว (แชมเปญ), วชิรพงศ์ กันทะธง (เอเจ), ธีรเดช เจริญบริพัตร (เซเว่น)
  • เดินทางเข้า Training Camp และแข่งขัน Surf Cup International / Johan Cruyff Tournament ประเทศสเปน
    ช่วง 25 พ.ย. – 9 ธ.ค. 2568
  • โครงการ TJFC จัดต่อเนื่อง ปีที่ 13 แนวคิด IGNITE PRIDE TO WIN ร่วมมือ EKKONO Academy (สเปน)
  • คัดเลือก 7 จังหวัด ทั่วประเทศ เปิดรับเยาวชนอายุ 8–13 ปี
  • ได้รับการสนับสนุนจาก FA Thailand เชื่อมฐานข้อมูลสู่กรอบ Talent ID (ความร่วมมือกับ FIFA)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (FA Thailand) 
  • Surf Cup International และ Johan Cruyff Tournament 
  • โรงเรียนทวีเอสซีวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

การบินไทย-ดอยตุงเปิดตัว “Carbon Neutral Coffee” ยกระดับโมเดลธุรกิจยั่งยืน

การบินไทย–ดอยตุง จับมือเปิดตัว “Carbon Neutral Coffee” ที่ Puff & Pie ยกระดับ “From Farm to Cup” สู่โมเดลธุรกิจยั่งยืน เชื่อมเศรษฐกิจชุมชนเชียงรายกับเครือข่ายการบินระดับชาติ

กรุงเทพฯ, 16 กันยายน 2568 — เมื่อ “แก้วกาแฟ” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มยามเช้า แต่กลายเป็น “ภารกิจร่วม” ของรัฐวิสาหกิจการบินแห่งชาติและโครงการพัฒนาชุมชนบนดอยในภาคเหนือ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ควบคู่การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างวัดได้และตรวจสอบได้ ความร่วมมือระหว่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับ โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่เปิดตัว “Carbon Neutral Coffee” สำหรับจำหน่ายในร้าน Puff & Pie จึงเป็นมากกว่าเมนูใหม่—แต่คือการประกาศทิศทาง ESG ในเชิงปฏิบัติการขององค์กรกับชุมชนต้นน้ำ

ภายใต้แนวคิด “From Farm to Cup – ดื่มด่ำกาแฟจากผืนป่าสู่มือคุณ” ความร่วมมือครั้งนี้ต่อยอดจากฐานการทำงานเดิมที่เข้มแข็ง—การบินไทยเป็นผู้สั่งซื้อเมล็ดกาแฟรายหลักของดอยตุงราว 25% ของกำลังผลิตทั้งหมด เพื่อนำไปเสิร์ฟบนเครื่องแก่ผู้โดยสารรวม กว่า 20 ล้านคน ทั้งชั้นประหยัด ธุรกิจ และเฟิร์สคลาส ก่อนขยายผลสู่เครือข่ายหน้าร้าน Puff & Pie ทั่วประเทศ

เล่าเรื่องจากต้นน้ำ กาแฟอาราบิก้าจากเชียงราย สู่มาตรฐาน “เป็นกลางทางคาร์บอน”

จุดขายที่เป็น “สาระ” ของความร่วมมืออยู่ที่คำว่า Carbon Neutral Coffee ซึ่งหมายถึงกาแฟที่ผ่านการคำนวณ คาร์บอนฟุตพรินท์ (CFP) ครบถ้วนทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ปลูก–เก็บเกี่ยว–แปรรูป–ขนส่ง–ชงเสิร์ฟ และมีการ “ชดเชย” ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนเกินเพื่อให้สุทธิเป็นศูนย์ ด้านหนึ่ง นี่คือมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้ อีกด้านหนึ่ง ก็คือ “การตลาดเชิงคุณค่า” ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับที่มาและผลกระทบของสินค้า

เมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% จากดอยตุง—ปลูกบนที่สูงของเชียงราย—ถูกคัดสรรและแปรรูปในระบบที่มุ่ง “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ตั้งแต่ฟาร์มถึงถุงบรรจุ โครงการดอยตุงระบุว่ามีการจัดการของเสียจากการผลิต เพื่อลดให้เหลือศูนย์หรือใกล้ศูนย์ และส่งมอบเมล็ดกาแฟที่ผ่านการรับรองด้าน CFP ให้กับการบินไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิถีของดอยตุงที่เน้น การพัฒนาคน–ป่า–เศรษฐกิจท้องถิ่น ให้เติบโตเคียงกัน

คุณชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การบินไทย กล่าวว่า “กาแฟซิกเนเจอร์และเบเกอรี่เมนูพิเศษ ไม่ใช่แค่เมนูใหม่ แต่คือ สัญลักษณ์ความร่วมมือ ที่สร้างทั้งรสชาติและคุณค่าต่อสังคม–สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ขณะที่
คุณวรางคณา ลือโรจน์วงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่หน่วยธุรกิจการบิน เสริมว่า Puff & Pie จะเดินหน้าลดผลกระทบผ่านบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกและการลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic) ตั้งเป้า ใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก 100% ภายในปลายปีหน้า จากปัจจุบันที่ทำได้แล้วกว่า 50%

เชื่อมเศรษฐกิจชุมชนเชียงราย สู่หน้าร้านทั่วประเทศ “ถ้วยกาแฟ” ที่กระจายรายได้

น้ำหนักทางเศรษฐกิจ ของความร่วมมือครั้งนี้มีหลายชั้น

  1. ด้านอุปสงค์ที่แน่นอน (Demand Certainty) — การบินไทยสั่งซื้อเมล็ดจากดอยตุงในสัดส่วน ประมาณ 1 ใน 4 ของกำลังผลิตทั้งหมด ช่วยสร้างความแน่นอนในการวางแผนเพาะปลูกและบริหารสต็อกของเกษตรกรต้นน้ำในเชียงราย ลดความเสี่ยงจากราคาผันผวนของสินค้าเกษตร
  2. การขยายช่องทางจำหน่าย — จากที่เดิมเสิร์ฟบนเครื่องบิน สู่เครือข่าย Puff & Pie กว่า 40 สาขาทั่วประเทศ จับคู่กับฐานสมาชิกลูกค้า กว่า 2,000 ราย (และมีแผนเพิ่มเฉลี่ย ปีละ 1,000 ราย ตามที่ผู้บริหารตั้งเป้า) ทำให้ผลของ “กาแฟหนึ่งแก้ว” แผ่กว้างไปสู่ความต้องการที่ต่อเนื่องและหลากหลายพื้นที่
  3. Local Sourcing Beyond Coffee — แผนงานไม่ได้หยุดที่กาแฟ แต่จะ เพิ่มวัตถุดิบท้องถิ่น อื่นๆ เช่น น้ำผึ้ง–แมคคาเดเมีย จากเครือข่ายดอยตุง เข้าสู่วิถีการผลิตเบเกอรี่ของ Puff & Pie กระจายรายได้ไปยังเกษตรกรและผู้แปรรูปอย่างเป็นรูปธรรม
  4. ภาพลักษณ์–ความเชื่อมั่น (Brand Equity) — สำหรับการบินไทย Puff & Pie กลายเป็น Touchpoint สำคัญที่ถ่ายทอด “ตัวตน ESG” ขององค์กรสู่ผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน (ไม่เฉพาะบนเครื่อง) ส่วนดอยตุงได้เสริม คุณค่าตราสินค้าชุมชน ให้เข้าถึงตลาดกระแสหลักในเมืองใหญ่

ภายใต้ภาพรวมดังกล่าว เชียงราย—ฐานปลูกและแหล่งกำเนิดกาแฟ—คือ ศูนย์กลางต้นน้ำ ที่ได้รับ “ดีมานด์ยั่งยืน” จากเครือข่ายการบินระดับชาติ นี่คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการจับมือกันระหว่าง องค์กรใหญ่–ชุมชน ที่ทำให้ Soft Power เชิงสินค้า (กาแฟ–เบเกอรี่) เชื่อมเข้ากับ Hard Power ของระบบโลจิสติกส์ (ครัวการบิน–เครือข่ายสาขา) ได้อย่างลงตัว

ยั่งยืนให้ “ครบวงจร” จากบรรจุภัณฑ์ สู่เชื้อเพลิงการบิน SAF

แผนงานด้านความยั่งยืนของ Puff & Pie ไม่ได้มีแค่ต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำของกาแฟ แต่ยังครอบคลุม ขั้นตอนหลังการบริโภค ด้วย เช่น

  • บรรจุภัณฑ์ ปัจจุบันใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก มากกว่า 50% และตั้งธง 100% ภายในปลายปีหน้า พร้อมลดการใช้ Single-use plastic อย่างต่อเนื่อง
  • วงจรพลังงาน มีแนวปฏิบัติ รวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้ว จากครัว Puff & Pie ส่งต่อให้ ปตท. และ บางจาก เพื่อนำไปเป็น วัตถุดิบผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ซึ่งถือเป็น “ห่วงโซ่วงจรกลับ (circular loop)” ที่เชื่อม ธุรกิจอาหาร เข้ากับ อุตสาหกรรมการบิน—ทำให้แนวทาง ESG ของการบินไทยขยายผลจากครัว–ร้าน ไปจนถึง สะพานเทียบเครื่องบิน ได้จริง

การบูรณาการดังกล่าวชี้ชัดว่า คาร์บอนนิวทรัล” สำหรับการบินไทย ไม่ใช่เพียง ฉลาก บนสินค้า แต่คือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่พยายามเชื่อมทุกจุดสัมผัสขององค์กรเข้าด้วยกัน—ตั้งแต่ผู้ปลูกกาแฟบนเขาเชียงรายถึงผู้โดยสารในห้องโดยสาร ไปจนถึง “เชื้อเพลิงแห่งอนาคต” ของอุตสาหกรรมการบิน

สร้าง “ประสบการณ์–เรื่องเล่า” บนชั้นวาง 5 เมนูซิกเนเจอร์และคอลเลคชั่นขนมไทยร่วมสมัย

ความร่วมมือยังแปลงร่างเป็น ผลิตภัณฑ์ที่เล่าเรื่อง ได้แก่ Signature Menu 5 เมนู ที่จะทยอยเปิดตัวตั้งแต่ ตุลาคม 2568 ถึงกุมภาพันธ์ 2569 เปิดหัวด้วย “Coco Coff on Cloud”—เอสเปรสโซเข้มข้นผสานครีมมะพร้าวและฟองนมอัญชันสีฟ้า—และต่อยอดด้วยเครื่องดื่มกาแฟซิกเนเจอร์อื่นๆ ที่เน้นโพรไฟล์ นัตตี้–ช็อกโกแลต ของเมล็ดอาราบิก้าดอยตุง

ด้าน เบเกอรี่ Puff & Pie เปิดตัวคอลเลคชั่น “Siam’s Treasures” นำแรงบันดาลใจจากขนมไทยดั้งเดิมมาสร้างสรรค์ในภาษาขนมตะวันตก เช่น

  • Siam Honey Crown — ทาร์ตแมคคาเดเมียคาราเมลน้ำผึ้ง
  • Midnight Mocha Jewel — เค้กมอคค่าเข้มข้นเคลือบดาร์กช็อกโกแลต
  • Siam’s Molten Heart — คุกกี้บราวนี่ไส้ช็อกโกแลตกรานาช

นี่ไม่ใช่เพียง “ผลิตภัณฑ์” แต่คือ แพลตฟอร์มเล่าเรื่อง ของกาแฟเชียงราย–ของดีดอยตุง–และวัฒนธรรมขนมไทย ที่ถูกสื่อสารผ่านร้านกาแฟเบเกอรี่ในเมืองใหญ่ให้ผู้บริโภคได้ สัมผัส–ลิ้มลอง–จดจำ แล้วพากลับไปเป็น “คำบอกเล่า” ต่อ

ทำไมโมเดล “คาร์บอนนิวทรัล–ชุมชน–เครือข่ายการบิน” จึงน่าจับตา

  1. ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ของตลาด — ผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล–เจเนอเรชัน Z ให้ค่ากับที่มาและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของสินค้า การมี ฉลาก/คำรับรอง CFP–Carbon Neutral ที่ตรวจสอบได้ คือ ตัวเร่งการตัดสินใจ ที่มีน้ำหนักเกินรสชาติ
  2. สร้างความมั่นคงรายได้ให้ต้นน้ำ — คำสั่งซื้อ “ประจำ–ปริมาณสม่ำเสมอ” จากองค์กรขนาดใหญ่ ช่วยให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงวางแผนเพาะปลูก–ลงทุนคุณภาพ–พัฒนากระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งดีกว่าดีมานด์ฉาบฉวยตามแฟชั่นตลาด
  3. การหนุนเสริมเชิงระบบ — การรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วไปสู่ SAF เป็นตัวอย่างของการขยายผล ESG ข้ามธุรกิจ (Food → Aviation Fuel) ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มการลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมการบินในระยะยาว
  4. การสื่อสารเชิงหลักฐาน (Evidence-based Communication) — การสื่อสารว่า “คาร์บอนนิวทรัล” บนฐานข้อมูล CFP ที่มีการตรวจวัด–ชดเชยชัดเจน คือเครื่องมือสร้าง ความเชื่อมั่น แก่ผู้บริโภคและผู้ลงทุน มากกว่าการอ้างทั่วไป

ท้ายที่สุด โมเดลนี้ชี้ให้เห็นว่าการยกระดับ “หนึ่งแก้วกาแฟ” ให้เป็น นโยบายสาธารณะด้านความยั่งยืน ต้องมี สามขา เดินร่วมกัน—ขาเศรษฐกิจ (โซ่อุปทาน–หน้าร้าน–การเงิน), ขาสิ่งแวดล้อม (CFP–การชดเชย–SAF), และ ขาสังคม (เกษตรกร–วัฒนธรรมอาหาร–การจ้างงาน) เมื่อสามขานี้ยึดโยงกัน กลไก ESG จึง ขับเคลื่อนจริง ไม่ใช่เพียงถ้อยแถลง

มองไปข้างหน้า จากรายงาน One Report สู่การ “วัดผล–ขยายผล”

การบินไทยระบุว่าจะบันทึกผลสำเร็จของความร่วมมือครั้งนี้ไว้ใน รายงาน One Report ขององค์กร—นัยหนึ่ง คือการใส่ ตัวชี้วัด เพื่อให้เกิดการติดตามผลต่อเนื่อง ไม่ว่าจำนวนแก้วที่จำหน่าย, ปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง, หรือปริมาณน้ำมันพืชใช้แล้วที่คืนสู่ระบบผลิต SAF—นี่คือ “หลักฐานความคืบหน้า” ที่จะทำให้ ESG ไม่ใช่คำสวยหรู แต่เป็น สมุดคะแนนที่ตรวจได้

ในเชิงนโยบายสาธารณะ หากโมเดลนี้เดินหน้าสม่ำเสมอ เชียงรายจะเป็น กรณีแม่แบบ ของการใช้พลังของแบรนด์ชาติ–เครือข่ายการบิน หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจชุมชนบนที่สูง พร้อมยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมของสินค้าเกษตรไทยไปพร้อมกัน

 Key Facts

  • พันธมิตร การบินไทย (ฝ่ายครัวการบิน/THAI Catering) × โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
  • สินค้า Carbon Neutral Coffee (อาราบิก้า 100% จากดอยตุง) สำหรับร้าน Puff & Pie
  • มาตรฐาน คำนวณ–รับรอง คาร์บอนฟุตพรินท์ (CFP) ครบวงจร และชดเชยให้ เป็นกลางทางคาร์บอน
  • ความต่อเนื่องเดิม การบินไทยเป็นผู้สั่งเมล็ดกาแฟรายหลักจากดอยตุง ~25% ของกำลังผลิต เสิร์ฟบนเครื่องแก่ผู้โดยสาร >20 ล้านคน
  • การยั่งยืนเพิ่มเติม บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก >50% ตั้งเป้า 100% ภายในปลายปีหน้า; ลด Single-use plastic; รวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้ว ส่งต่อ ปตท.–บางจาก เพื่อผลิต SAF
  • เครือข่ายหน้าร้าน Puff & Pie >40 สาขา; ฐานสมาชิก >2,000 ราย ตั้งเป้าเพิ่ม +1,000 ราย/ปี
  • นวัตกรรมเมนู Signature 5 เมนู เริ่มตุลาคม 2568 ถึงกุมภาพันธ์ 2569; คอลเลคชั่นเบเกอรี่ Siam’s Treasures

ความร่วมมือ การบินไทย–ดอยตุง ที่ปล่อยของผ่าน Carbon Neutral Coffee คือ “บทพิสูจน์ ESG เวอร์ชันใช้งานจริง” ซึ่งวัดผลได้ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (CFP–การชดเชย–SAF), เศรษฐกิจ (ดีมานด์แน่นอน–ขยายช่องทาง–Local Sourcing) และสังคม (รายได้ชุมชนเชียงราย–การเล่าเรื่องวัฒนธรรมอาหาร) เมื่อเชื่อมเครือข่ายครัวการบินและหน้าร้าน Puff & Pie กับเกษตรกรดอยตุงอย่างเป็นระบบ “แก้วกาแฟหนึ่งแก้ว” จึงกลายเป็น เครื่องมือพัฒนา ที่เดินได้จริง—ตั้งแต่ ผืนป่าดอย ถึง ประตูขึ้นเครื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
  • โครงการพัฒนาดอยตุง, มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

แผนพัฒนาเวียงหนองหล่ม กรมชลฯ ยืนยันไม่กระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมรับฟังชุมชน

กรมชลประทานชี้แจง “เวียงหนองหล่ม” ย้ำไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม—วางแผนแก้ขาดแคลนน้ำด้วยพื้นที่ 2 โซน อนุรักษ์–พัฒนา พร้อมรับฟังความเห็นชุมชน

เชียงราย, 18 กันยายน 2568 — กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์กรณี “โครงการอนุรักษ์แบบกรมชลฯ คือการทำลายระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำ” จุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญต่อทิศทางการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ โดยเฉพาะโครงการ พัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการวางแผนพัฒนา ล่าสุด กรมชลประทาน (โครงการชลประทานเชียงราย) ออกแถลงชี้แจงย้ำเจตนารมณ์ว่า โครงการไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมในลักษณะรุนแรง และได้กำหนด พื้นที่อนุรักษ์ กับ พื้นที่พัฒนาแหล่งน้ำ อย่างชัดเจนควบคู่การรับฟังความเห็นประชาชน

การชี้แจงครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ตอบโต้กระแส” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาสำคัญว่าด้วย สมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ บนพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ราว 14,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งความหมายทางนิเวศและความจำเป็นด้านปากท้องของชุมชน

จุดตั้งต้นของปัญหา หนองน้ำตื้นเขิน–กักเก็บน้ำไม่ได้

เวียงหนองหล่มเป็นแอ่งรับน้ำธรรมชาติ เดิมอุดมไปด้วยพืชน้ำและสัตว์น้ำพื้นถิ่น แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกิด ตะกอนสะสมและวัชพืชปกคลุมหนาแน่น ทำให้ความสามารถในการเก็บกักน้ำถดถอย ส่งผลกระทบต่อ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ในพื้นที่รอบข้าง

สถานการณ์นี้ถูกสะท้อนผ่าน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า และ ผู้นำชุมชน ที่รวบรวมข้อเท็จจริงและความเดือดร้อนไปยังหน่วยงานรัฐ กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ กรอบแผนพัฒนา–อนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม และมอบหมายให้กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนาเชิงระบบเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้ประชาชน

ใจความสำคัญ “ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำกลับมาทำหน้าที่กักเก็บ–ชะลอน้ำ และเป็นแหล่งน้ำดิบให้ชุมชน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนดั้งเดิม”

กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบ–แบ่งโซน–รับฟังชุมชน

กรมชลประทานระบุว่า ก่อนกำหนดแนวทางพัฒนา ได้จัดทำ รายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study Report) เพื่อตรวจสอบสถานภาพพื้นที่และความเสี่ยงเชิงนิเวศ ผลเบื้องต้นชี้ว่า พื้นที่โครงการไม่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย และ “ไม่มีผลกระทบเชิงนิเวศในลักษณะรุนแรง” หากดำเนินการตามกรอบมาตรการที่กำหนด

เพื่อลดความกังวลและเพิ่มความโปร่งใส โครงการกำหนด 2 โซนหลัก ดังนี้

  1. โซนอนุรักษ์ – พื้นที่ที่ชุมชนร้องขอให้คงสภาพธรรมชาติ เช่น “ป่าโกงกางน้ำจืด” (Freshwater mangrove) ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำ–นกน้ำ และพืชเฉพาะถิ่น โซนนี้จะ ไม่นำเครื่องจักรเข้าไปรบกวน และจะมีมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ
  2. โซนพัฒนาแหล่งน้ำ – พื้นที่ที่จะดำเนินการ ขุดลอกตะกอน จัดเก็บพื้นที่รับน้ำ สร้าง อาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำให้เพียงพอครัวเรือนและเกษตรกรรม โดยคำนึงถึงทางน้ำเดิม แก้มลิงตามธรรมชาติ และการเชื่อมโยงลุ่มน้ำสาขา

นอกจากการแบ่งโซน โครงการยังยืนยันว่ามี เวทีรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อีกหลายรอบ เพื่อเก็บข้อมูลประกอบการออกแบบในรายละเอียด—ตั้งแต่ระดับระดับน้ำที่เหมาะสม พื้นที่หลบอาศัยสัตว์น้ำ แปลงพืชอาหารของชุมชน ไปจนถึงตำแหน่งพื้นที่สาธารณะ

เวียงหนองหล่ม” ในสายตาชุมชน ความหวังเรื่องน้ำ กับความกังวลเรื่องธรรมชาติ

เมื่อสืบคำบอกเล่าในพื้นที่ พบสองอารมณ์ที่ดำเนินควบคู่กัน—ความหวัง ว่าชุมชนและเกษตรกรจะมีน้ำเพียงพอมากขึ้น ลดต้นทุนขุดบ่อและซื้อน้ำในหน้าแล้ง และ ความกังวล ว่าการก่อสร้างจะกระทบพื้นที่อาหารของสัตว์น้ำและนกน้ำที่ชาวบ้านคุ้นชิน

การออกแบบเชิง “อยู่ร่วม” จึงเป็นโจทย์กลางของกรมชลประทาน นั่นคือ การยอมรับว่าพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่แค่อ่างเก็บน้ำ แต่เป็น ระบบนิเวศ ที่ต้องรักษาจังหวะน้ำขึ้น–ลง เส้นทางอพยพของปลา และพืชน้ำที่ทำหน้าที่ ดูดซับสารอาหาร เพื่อคุณภาพน้ำที่ดี

มาตรการเบื้องต้นที่ถูกหยิบยกในการชี้แจง ได้แก่

  • คงพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ เป็นเขตอนุรักษ์—งดงานก่อสร้าง–งดเรือเครื่อง–จำกัดการเข้าถึง
  • กำหนดระดับน้ำเชิงนิเวศ (Environmental Flow) ให้ใกล้เคียงสภาพธรรมชาติในฤดูกาลต่าง ๆ
  • ทำแนวกันชน (Buffer) รอบโซนอนุรักษ์ ลดการรบกวนของเสียง–ตะกอน–กิจกรรมท่องเที่ยว
  • ทำทางผ่านสัตว์น้ำ/ช่องเปิด ที่โครงสร้าง เพื่อรักษาการไหลเวียนและการขยายพันธุ์
  • เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ชีวภาพ ก่อน–ระหว่าง–หลังดำเนินงาน พร้อมเผยแพร่ผลอย่างสม่ำเสมอ

ก้าวย่างนโยบาย จาก “น้ำพอเพียง” สู่ “น้ำอย่างยั่งยืน”

ความสำคัญของเวียงหนองหล่มไม่ได้อยู่แค่พื้นที่ 14,000 ไร่ แต่คือการเป็น ต้นแบบ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำของท้องถิ่นที่มีบทบาท “สองหน้าที่”—แก้มลิงรับน้ำ และ ระบบนิเวศอาหาร สำหรับชุมชน

หากการพัฒนาเดินตามกรอบ สองโซน อย่างมีวินัย ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคมที่คาดหวังคือ

  • ความมั่นคงน้ำชุมชน ลดความเสี่ยงน้ำแล้ง น้ำท่วมเฉียบพลัน เพิ่มความเชื่อมั่นการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
  • ต้นทุนเกษตรลดลง เข้าถึงน้ำใกล้แปลง ลดค่าเครื่องสูบน้ำ–ค่าน้ำมัน และเพิ่มรอบปลูกที่เหมาะสม
  • ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–เรียนรู้ หากโซนอนุรักษ์รักษาคุณค่าไว้ได้ พื้นที่ศึกษาธรรมชาติ นกน้ำ และพืชน้ำจะกลายเป็นฐานกิจกรรมของโรงเรียน–ชุมชน (โดยไม่รบกวนระบบนิเวศ)
  • ทุนสังคม–สิ่งแวดล้อม เมื่อคนในพื้นที่เห็นประโยชน์จากการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำ ก็มีแรงจูงใจร่วมดูแลในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อ การกำกับติดตาม เข้มแข็ง—ทั้งจากรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน—และมี กลไกสื่อสารข้อมูล ที่ต่อเนื่อง โปร่งใส ตรวจสอบได้

วิเคราะห์เชิงนโยบาย คำตอบของ “สมดุล” อยู่ที่วินัยการปฏิบัติ

การชี้แจงของกรมชลประทานครั้งนี้ตอบโจทย์ หลักการ ได้พอสมควร—ยืนยันไม่อยู่ในเขตคุ้มครอง, ศึกษาผลกระทบเบื้องต้น, แบ่งโซนอนุรักษ์–พัฒนา, รับฟังชุมชน—แต่ ความท้าทาย ยังอยู่ที่ “การลงมือทำ” ที่ต้องรักษาวินัย 4 ประการ

  1. วินัยด้านนิเวศ – การยึดมั่นกรอบโซนอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด ไม่ขยายงานก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่เปราะบาง แม้ภายหลังจะเกิดแรงกดดันเรื่องประสิทธิภาพกักเก็บน้ำ
  2. วินัยด้านวิศวกรรม–ข้อมูล – ออกแบบระดับน้ำและทางไหลให้สอดคล้องฤดูกาล ขณะที่ เก็บข้อมูลชีวภาพ–คุณภาพน้ำ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนตามหลักฐาน (adaptive management)
  3. วินัยด้านการมีส่วนร่วม – ตั้งคณะกรรมการพื้นที่ที่มี ตัวแทนชุมชน–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–นักวิชาการ ร่วมกำกับติดตาม พร้อม แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เผยแพร่ข้อมูลรายไตรมาสให้สาธารณะเข้าถึง
  4. วินัยด้านกฎหมาย–ธรรมาภิบาล – ทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อม–ผังเมือง–แหล่งน้ำ และเปิดเผยสัญญา–วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ผลตรวจรับอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันข้อครหาในอนาคต

เมื่อทั้ง 4 วินัยถูกยึดถือจริง ความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายห่วงนิเวศกับฝ่ายห่วงน้ำกิน–น้ำใช้จะถูกคลี่คลายสู่ พื้นที่กลาง ที่จับต้องได้

เสียงสะท้อนที่ต้องฟัง คำถามเชิงสร้างสรรค์จากสังคม

กระแสในโลกออนไลน์ แม้บางส่วนจะตีความแรง แต่ก็สะท้อนความห่วงใยของสาธารณะต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการเวียงหนองหล่มจึงควรรับ “คำถามสร้างสรรค์” เหล่านี้ไว้ประกอบการดำเนินงาน

  • จะวัดความสำเร็จอย่างไร นอกจากปริมาณกักเก็บน้ำ? ตัวชี้วัดด้านนิเวศ เช่น ชนิดสัตว์น้ำ–นกน้ำที่พบ, พื้นที่พืชน้ำสำคัญ, คุณภาพน้ำเฉลี่ยรายฤดู ควรถูกรายงานคู่กัน
  • กิจกรรมเศรษฐกิจบนพื้นที่ชุ่มน้ำ จะจัดระเบียบอย่างไรไม่ให้รุกล้ำโซนอนุรักษ์? เช่น การเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง การท่องเที่ยวเรือถีบ
  • ภาวะน้ำแล้ง–ฝุ่นควัน ภาคเหนือจะถูกบูรณาการแผนอย่างไรกับโครงการนี้? เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งชะลอเถ้าฝุ่น/เพิ่มความชื้นในพื้นที่โดยรอบ
  • เยาวชน–โรงเรียน จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพได้อย่างไร เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วม

คำถามเหล่านี้หากได้รับคำตอบผ่าน เวทีสาธารณะ และ รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ จะช่วยยกระดับความไว้วางใจ และทำให้โครงการเดินหน้าอย่างมีฉันทามติ

พูดให้ชัด โครงการนี้ “ไม่ใช่การถม–ปิด–ตัดขาดธรรมชาติ”

สารที่กรมชลประทานต้องการสื่อมีอยู่ 3 ประเด็น

  1. ไม่ใช่การปิดพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่คือการ ปรับปรุงประสิทธิภาพกักเก็บ ในโซนที่เหมาะสม พร้อม คงพื้นที่อนุรักษ์ ตามที่ชุมชนร้องขอ
  2. ไม่ทับซ้อนป่าสงวน/พื้นที่คุ้มครอง และ ผ่านการศึกษาผลกระทบเบื้องต้น แล้ว
  3. มีกลไกรับฟังความคิดเห็น และจะเดินหน้าอย่างรอบคอบ หลักฐานตั้งต้นคือมติ ครม. ปี 2564 ที่กำหนดให้บูรณาการหน่วยงานหลายส่วน ทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนา

ถ้อยแถลงนี้หากแปรเป็น “ภาคปฏิบัติ” อย่างซื่อสัตย์ โครงการเวียงหนองหล่มย่อมเป็นได้ทั้ง แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงชุมชน และ ห้องเรียนธรรมชาติ ของเชียงราย

สมดุลที่ต้องทำให้เห็น—ไม่ใช่แค่พูดให้ฟัง

กรณีเวียงหนองหล่มสะท้อนโจทย์ร่วมของสังคมไทย—เราจะพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างไม่ทำลายธรรมชาติได้อย่างไร คำตอบจากเอกสารและเวทีชี้แจงวันนี้ คือ การจัดโซน–การศึกษาผลกระทบ–การมีส่วนร่วมของชุมชน แต่สิ่งที่จะชี้ชัดคือ การลงมือทำอย่างมีวินัยและโปร่งใส ในวันพรุ่งนี้

หากเชียงรายทำสำเร็จ เวียงหนองหล่มจะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบ “สองโซน–สองคุณค่า” ที่ทั้งดูแลปากท้องและรักษาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนว่าความไว้วางใจสาธารณะเกิดขึ้นได้จาก ข้อมูลที่เปิดเผย–กลไกตรวจสอบ–และผลสัมฤทธิ์จริง เท่านั้น

“น้ำพอเพียงกับธรรมชาติสมบูรณ์—ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน ที่ต้องขัดเกลาให้กลมกลืนด้วยข้อมูลและวินัย”

กล่องข้อมูลโครงการ (Key Facts)

  • ชื่อโครงกา โครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม พร้อมอาคารประกอบ
  • ที่ตั้ง ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • ขนาดพื้นที่ ประมาณ 14,000 ไร่ (พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติเดิม)
  • ปัญหาหลัก ตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น ทำให้กักเก็บน้ำไม่ได้เพียงพอ
  • มติ ครม. 18 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบกรอบแผนพัฒนาอนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม
  • กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study), แบ่ง โซนอนุรักษ์ และ โซนพัฒนาแหล่งน้ำ, รับฟังความคิดเห็นประชาชน
  • มาตรการหลัก ขุดลอกในโซนพัฒนา, ก่อสร้างอาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ, จัดทำแนวกันชนและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน – โครงการชลประทานเชียงราย
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 พฤษภาคม 2564
  • เทศบาลตำบลจันจว้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเปิดเกมรุกท่องเที่ยว: อบจ.-ททท.จัด 2 อีเวนต์ยักษ์ใหญ่สู่สากล

เชียงรายผนึกกำลัง “อบจ.–ททท.” เปิดเกมรุกการท่องเที่ยว จัด 2 อีเวนต์ยักษ์ใหญ่—ยกเครื่องแบรนด์เมือง สู่จุดหมายระดับโลก

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — ห้องประชุมขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เช้าวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย นำทีมผู้บริหารและกองการท่องเที่ยวฯ เปิดโต๊ะหารือเชิงยุทธศาสตร์กับ นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และคณะ เพื่อ “ล็อกเป้า” สองเทศกาลใหญ่ในปีหน้า มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 และ เชียงรายมหาสงกรานต์ 2569 ที่ถูกออกแบบให้เป็นหัวรถจักรดึงนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี พร้อมกระจายรายได้สู่ทุกชั้นของเศรษฐกิจท้องถิ่น

ภาพการประชุมที่ทุกฝ่ายเปิดแผนที่–ไทม์ไลน์–โมเดลรายได้บนโต๊ะเดียวกัน สะท้อน “ทิศทางใหม่” ของเชียงราย จากเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล สู่ เมืองอีเวนต์ (Event City) ที่ใช้ศิลปวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–ไลฟ์สไตล์เป็น ซอฟต์พาวเวอร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบ

มหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025 โยงความงามสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ

หัวหอกแรกคือการยกระดับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ให้ “ใหญ่และยาวขึ้น” ทั้งด้านพื้นที่และฤดูกาลจัดงาน โดยคอนเซ็ปต์หลักยังคงใช้ความโดดเด่นของเมืองเหนือสุดของไทย อากาศเย็น ดอกไม้เมืองหนาว และงานภูมิปัญญาแต่เติม “ชั้นเชิงเศรษฐกิจ” ลงไปให้ลึกกว่าเดิม

โครงสร้างพื้นที่ใหม่ 2 โหนดหลัก

  1. สวนไม้งามริมน้ำกก (อ.เมืองเชียงราย) โหนดหลักสำหรับงานโชว์ระดับนานาชาติ การประกวดไม้ดอก–ไม้ประดับ โดมเรือนกระจก และโซนกิจกรรมสำหรับครอบครัว
  2. หนองหลวง (อ.เวียงชัย)  โหนดขยายเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงชุมชน ตลาดดอกไม้–เกษตรสร้างสรรค์ เวิร์กช็อปปลูกเลี้ยงไม้ดอก และ “เส้นทางท่องเที่ยวสีเขียว” เชื่อมชุมชนโดยรอบ

นัยยะทางเศรษฐกิจ ของการ “แตกพื้นที่” ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาแออัด แต่คือการกระจายศูนย์รายได้และโอกาสลงสู่ตำบล–หมู่บ้าน ตั้งแต่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงไม้ดอก ร้านอุปกรณ์ตกแต่ง–จัดสวน ผู้ให้บริการรถรับส่ง โฮมสเตย์ คาเฟ่ ไปจนถึงงานบริการช่าง–สื่อสร้างสรรค์ในท้องถิ่น

แนวทางบริหารจัดการสมัยใหม่ ถูกวางไว้ครบวงจร

  • ระบบ จองรอบเวลา (Time-slot) และตั๋วดิจิทัล ลดแออัด–เพิ่มประสบการณ์
  • Green Event บริหารขยะ แยกพลาสติก–อินทรีย์ สถานีเติมน้ำ รีฟิลคัพ พร้อมรณรงค์เดิน–ปั่น–ใช้รถไฟชุมชน/ชัทเทิลบัสเชื่อมโหนด
  • Universal Design ทางลาด–รถบริการผู้สูงอายุ–สื่อเสียงบรรยาย เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้เท่าเทียม
  • Storytelling เชิงวัฒนธรรม ยกระดับนิทรรศการ “เส้นทางดอกไม้ในล้านนา–อาเซียน” และงานหัตถศิลป์ร่วมสมัยให้เป็นซีกเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์

เป้าหมายไม่ใช่เพียง “คนมาเยอะ” แต่คือ ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพ ผ่านกิจกรรมมีคุณค่า เวิร์กช็อป–ทัวร์ชุมชน–สินค้าที่มีเรื่องเล่า—ซึ่งช่วยให้ SMEs ท้องถิ่น ขายได้แพงขึ้นอย่างยุติธรรม จากการเพิ่มคุณค่า มากกว่าพึ่งพาการตัดราคา

เชียงรายมหาสงกรานต์ 2569 สงกรานต์ทั้งเมืองปลอดภัย สนุก มีวัฒนธรรม

อีกฟากของปีปฏิทินคือ เชียงรายมหาสงกรานต์ 2569” ที่ตั้งใจขยายจาก “งานจุดเดียว” ไปสู่ สงกรานต์ทั้งเมือง” ภายใต้ 3 เสาหลัก—ปลอดภัย–มีวัฒนธรรม–เชื่อมทั้งเมือง

  • ปลอดภัย โซนนิ่งเล่นน้ำ–โฟม–ดนตรี พร้อมกฎ “แอลกอฮอล์–ความเร็ว–อุปกรณ์แรงดันน้ำ” ที่ชัดเจน จุดปฐมพยาบาล–จุดคืนสติ และเครือข่ายอาสาสมัครริมถนน
  • มีวัฒนธรรม ย้อนรอย “ปี๋ใหม่เมือง” ขบวนแห่–สรงน้ำพระ–ก่อเจดีย์ทราย–ฮีตฮอยล้านนา เพื่อย้ำเอกลักษณ์ที่ต่างจากสงกรานต์เมืองใหญ่
  • เชื่อมทั้งเมือง ชุดกิจกรรมกระจาย 5 โซน—ย่านศิลป์–ริมกก–เวียงชัย–แม่ลาว–แม่จัน—เชื่อมคาเฟ่–พิพิธภัณฑ์–วัด–ตลาดให้กลายเป็น “หนึ่งเส้นทาง–หลายประสบการณ์”

สงกรานต์ที่ “มีดีมากกว่าน้ำ” ยังช่วย ถ่างฤดูกาลท่องเที่ยว ให้ยาวขึ้น เชื่อมต่อไปถึงฤดูร้อนต้นปี 2569 ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรม–ร้านอาหาร–รถนำเที่ยว มีรายได้ประจำมากขึ้น ลดความผันผวนหลังไฮซีซันปลายปี

เศรษฐกิจท้องถิ่นได้อะไร โซ่คุณค่า (Value Chain) ที่หมุนได้จริง

การวางอีเวนต์เป็น “เครื่องยนต์” ไม่ได้หยุดที่การนับหัวผู้เข้าร่วม แต่ต้องมองทั้ง ห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

  1. ต้นน้ำ–เกษตรและผู้ผลิตท้องถิ่น
    • มหกรรมไม้ดอกกระตุ้นความต้องการไม้ประดับ–อุปกรณ์จัดสวน–ต้นไม้ตามฤดูกาล เพิ่มช่องทางขายตรงสู่ผู้บริโภค
    • เวิร์กช็อปถ่ายทอดเทคนิคเพาะเลี้ยง/ออกแบบสวน สร้างทักษะใหม่ให้เกษตรกรรุ่นใหม่กลับมาทำสวนด้วยโมเดลธุรกิจทันสมัย
  2. กลางน้ำ–บริการท่องเที่ยว
    • โรงแรม–เกสต์เฮาส์–โฮมสเตย์ทยอยยกระดับมาตรฐานบริการภาษา–ความสะอาด–ความยั่งยืน (เช่น ลดพลาสติก) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ
    • ผู้ให้บริการเดินทางในพื้นที่รถสองแถว รถตู้–แท็กซี่—ได้รับงานต่อเนื่องจากระบบชัทเทิลและทัวร์ชุมชน
  3. ปลายน้ำ–เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์
    • สตูดิโอถ่ายภาพ–นักออกแบบ–พิธีกร–ดนตรีสด–ร้านคราฟต์ ได้ช่องทางจำหน่าย–ว่าจ้างจากพื้นที่อีเวนต์
    • คอนเทนต์–อินฟลูเอนเซอร์ท้องถิ่นร่วมเล่าเรื่องเมือง สร้างการรับรู้เชิงบวกระลอกต่อระลอก

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จึงไม่ใช่เพียงตัวเลขการจองโรงแรมช่วงงาน แต่คือการเกิด “เครือข่ายรายได้” ที่ไหลผ่านหลายมือในจังหวัด และทิ้ง มรดกโครงสร้างพื้นฐานด้านอีเวนต์ ให้ใช้ต่อได้ (อุปกรณ์ มาตรฐานความปลอดภัย ระบบอาสาสมัคร)

การตลาด–ภาพลักษณ์ จาก “สวย เงียบ” สู่ “งาม คึกคัก แต่ไม่ล้น”

เชียงรายเคยถูกนิยามว่า “สวย เงียบ สโลว์ไลฟ์” ซึ่งดึงดูดนักเดินทางสายชิล แต่ในยุคที่การแข่งขันด้านปลายทางท่องเที่ยวรุนแรง เมืองจำเป็นต้องมี “ภาพจำใหม่” ที่ คึกคักแต่ไม่ล้นมือ และยังคงความสุภาพ–ปลอดภัย–ยั่งยืน

แผนการสื่อสารร่วม อบจ.–ททท. ที่หารือกันในวันนี้ วางแกนไว้ 4 ประเด็น

  • Event-first  เล่าเรื่องผ่านกิจกรรมและคนทำงาน—เกษตรกรไม้ดอก ศิลปินท้องถิ่น อาสาสมัครสงกรานต์—เพื่อให้ภาพเมืองมีชีวิต
  • Market Mix ตลาดใกล้ (เหนือ–อีสาน–กรุงเทพฯ), ตลาดอาเซียน และนักท่องเที่ยวต่างชาติสายคุณภาพ โดยใช้เครือข่าย ททท. และพันธมิตรสายการบิน/OTA
  • คอนเทนต์สองภาษา (TH/EN–CN) สำหรับสื่อดิจิทัล ป้ายหน้างาน และสื่อในเมือง
  • Data-driven Marketing ใช้ข้อมูลจองที่พัก–เที่ยวบิน–โซเชียลฟังเสียง (social listening) ปรับกิจกรรม–ราคา–โปรโมชันแบบเรียลไทม์

เมื่อภาพลักษณ์เปลี่ยนจาก “แวะแล้วผ่าน” เป็น “ต้องตั้งใจมา” เมืองจะมีอำนาจต่อรองทางราคาเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการขายบริการ–สินค้าที่มีคุณค่าได้ โดยไม่ต้องลดคุณภาพเพื่อแย่งลูกค้า

บริหารความเสี่ยง PM2.5–ฝน–แออัด–ความปลอดภัย

อีเวนต์ขนาดใหญ่ต้องมาพร้อม “ระบบกันสั่น” ที่ดีพอ

  • สิ่งแวดล้อม/PM2.5 เตรียมแผนเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ ชุดสื่อสารความเสี่ยงสองภาษา และกิจกรรมในอาคารรองรับ หากคุณภาพอากาศไม่เอื้อ
  • ฝน/อากาศ โครงสร้างชั่วคราวกันฝน–พื้นยก–รองเท้า/ร่มงาน—พร้อมประกันภัยอีเวนต์ และเงื่อนไขคืนเงินที่ชัดเจน
  • ฝูงชน ระบบทางเข้า–ออกหลายจุด, ทางเบี่ยงชัดเจน, การจำกัดความจุตามรอบเวลา, จุดรวมพลและซ้อมแผน
  • ความปลอดภัยทางถนนและน้ำ จุดบริการ “เมาไม่ขับ–ขับไม่โทร”, เส้นทางจักรยาน/เดินเชื่อมระหว่างโหนด, โซนนิ่งเล่นน้ำ–ห้ามอุปกรณ์แรงดันสูง, ศูนย์ปฐมพยาบาลและสายด่วนตลอดงาน

KPI ที่วัดผลได้ จากจำนวน “หัว” สู่คุณภาพ “เม็ดเงินและประสบการณ์”

เพื่อให้เงินภาษีท้องถิ่นและทรัพยากรรัฐ คุ้มค่าและโปร่งใส อบจ.–ททท. วางกรอบตัวชี้วัดหลายชั้น

  1. เศรษฐกิจ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยช่วงงาน, ระยะเวลาพำนัก, รายได้ต่อทริป, สัดส่วนการใช้บริการท้องถิ่น (Local Spend)
  2. สังคม การมีส่วนร่วมของชุมชน–อาสาสมัคร, ความพึงพอใจประชาชนในพื้นที่, โอกาสทางอาชีพชั่วคราว/ถาวร
  3. สิ่งแวดล้อม ปริมาณขยะรีไซเคิล–อินทรีย์, การลดพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง, การใช้ขนส่งสาธารณะ/ชัทเทิล
  4. ประสบการณ์นักท่องเที่ยว คะแนนรีวิว, Net Promoter Score (NPS), ความตั้งใจกลับมา/บอกต่อ
  5. ธรรมาภิบาล เปิดเผยงบประมาณ–ผู้รับจ้าง–ผลการตรวจรับ–บันทึกความปลอดภัยต่อสาธารณะ

การวัดผลที่ “ชัด–แชร์ได้” จะสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและเอกชนให้ร่วมมือในระยะยาว และเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่นใช้เรียนรู้ต่อยอด

เสียงจากโต๊ะหารือ ความพร้อมของ “เมือง–คน–งาน”

แม้การประชุมวันนี้จะเป็นการหารือภายใน แต่สาระสำคัญที่ทุกฝ่ายยืนยันตรงกันคือ ความพร้อมของเมือง—ทั้งศักยภาพพื้นที่จัดงาน ระบบโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และ ความพร้อมของคน—ชุมชน–ภาคธุรกิจ–อาสาสมัคร ที่เคยผ่านการจัดงานขนาดใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เชียงรายสามารถ “ก้าวสู่สปีดใหม่” ได้ทันทีเมื่อมีเป้าหมายและแผนร่วมที่ชัดเจน

นอกจากนี้ การทำงานแบบ หนึ่งทีม เชียงราย” ระหว่าง อบจ. (อำนาจจัดการพื้นที่–งบประมาณท้องถิ่น–เครื่องจักร) กับ ททท. (เครือข่ายตลาด–สื่อสารการตลาดระดับชาติ–ความเชี่ยวชาญด้าน Event Marketing) ช่วยลดความซ้ำซ้อนของภารกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบ และย่นเวลาการตัดสินใจ

มองไกลกว่างาน แพลตฟอร์มอีเวนต์ถาวร และหลักสูตรทักษะใหม่

แผนสองเทศกาลไม่ได้จบหลังปิดไฟเวที อบจ.–ททท. เห็นพ้องต่อยอดสู่งานโครงสร้างที่ “อยู่กับเมือง”

  • แพลตฟอร์มอีเวนต์ถาวร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกลาง—ระบบเช่าพื้นที่–ไฟ–เสียง–ห้องน้ำ–จุดรีฟิลน้ำ—ให้ผู้จัดงานเอกชน/ชุมชนใช้ได้ทั้งปี ลดต้นทุนและยกระดับมาตรฐานงานเทศกาลอื่น ๆ
  • หลักสูตรอาชีพอีเวนต์ ฝึกอบรมเยาวชน–แรงงานท้องถิ่นด้านงานอีเวนต์ โลจิสติกส์ สื่อดิจิทัล ภาษาต่างประเทศ เพื่อสร้าง “คนทำงาน” ให้พร้อมรองรับฤดูกิจกรรมทั้งปี

ในทางเศรษฐศาสตร์เมือง การมี “โครงสร้างกลาง” และ “ทุนมนุษย์” ที่พร้อม จะทำให้เชียงรายเป็น ฮับงานเทศกาลของลุ่มน้ำกก–สามเหลี่ยมทองคำ มีงานกระจายรายเดือน ไม่ต้องพึ่งไฮซีซันเพียงระยะสั้น

จากโต๊ะประชุมสู่เวทีโลก – เชียงรายพร้อมขยับ “จังหวะ”

การจับมือของ อบจ.เชียงราย และ ททท.สำนักงานเชียงราย เพื่อผลักดัน มหกรรมไม้ดอกอาเซียน 2025 และ เชียงรายมหาสงกรานต์ 2569 คือ “สัญญาณ” ว่าเมืองกำลังเปลี่ยนจังหวะจากการรอฤดูกาล มาเป็นการ กำหนดฤดูกาลเอง ผ่านอีเวนต์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เข้าถึงได้ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

หากแผนงานถูกเดินอย่างมีวินัยเปิดเผยข้อมูล–ฟังเสียงชุมชน–วัดผลได้จริง—เชียงรายจะไม่เพียงต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่จะได้ เศรษฐกิจท้องถิ่นที่แข็งแรงขึ้น อาชีพใหม่ ทักษะใหม่ และความภาคภูมิใจใหม่ของคนเมืองเหนือสุด ที่พร้อมเปิดบ้านสู่สายตาโลกอย่างสง่างาม

สารของวันนี้จึงเรียบง่าย เชียงรายไม่ได้มีดีแค่ภูเขา–หมอก–ดอกไม้ แต่มี “คน–ระบบ–แผน” ที่พร้อมทำให้อีเวนต์ระดับสากลเกิดขึ้นได้จริง และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมทั้งเมือง

Key Facts

  • วัน–สถานที่หารือ 17 กันยายน 2568, ห้องประชุม อบจ.เชียงราย
  • หน่วยงานร่วมหลัก อบจ.เชียงราย (ผู้จัดการพื้นที่–งบประมาณท้องถิ่น) และ ททท.สำนักงานเชียงราย (การตลาด–ประชาสัมพันธ์–เครือข่ายตลาด)
  • เทศกาลเป้าหมาย
    1. มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 – ขยายพื้นที่จากสวนไม้งามริมน้ำกก ไปยัง หนองหลวง อ.เวียงชัย
    2. เชียงรายมหาสงกรานต์ 2569 – เมืองทั้งเมืองร่วมจัดกิจกรรม สงกรานต์ปลอดภัย–มีวัฒนธรรม
  • แนวทางหลัก Event-first Storytelling, Green/Universal Design, Data-driven Marketing, KPI โปร่งใสหลายมิติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย 
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“นายกนก” อบจ.เชียงราย คืนคุณภาพชีวิตให้ชาวแม่สรวยใน 24 ชั่วโมง

อบจ.เชียงรายลุยงานด่วน! “นายกนก” ลงพื้นที่แม่สรวย ตรวจสะพานชำรุด 2 แห่ง–เร่งซ่อมเชิงรุก พร้อมติดตั้งปั๊มน้ำใหม่ คืนน้ำสะอาดให้ 200 ครัวเรือนภายใน 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — เช้าวันอังคารที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา ในยามที่ชุมชนกำลังเผชิญ “วิกฤตคู่” ทั้งคอสะพานชำรุดและน้ำอุปโภคบริโภคขาดแคลน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย หรือ “นายกนก” นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่อำเภอแม่สรวยแบบเร่งด่วน สำรวจสะพานที่เสียหาย 2 แห่ง พร้อมสั่งการหน่วยงานวิศวกรรมเข้าประเมินโครงสร้างและจัดแผนซ่อมทันที ขณะเดียวกันได้ติดตามการแก้ไขปัญหาปั๊มน้ำบาดาลชำรุดที่ บ้านสันกลาง หมู่ 13 ตำบลป่าแดด จนสามารถ คืนน้ำสะอาดให้ชาวบ้านกว่า 200 ครัวเรือนได้ภายใน 24 ชั่วโมง สะท้อนท่าทีบริหารแบบ “ลงมือ–เห็นผล” และการบูรณาการเครื่องจักร–บุคลากรของ อบจ. สู่พื้นที่จริง

ภาพรวมสถานการณ์ โครงสร้างพื้นฐานเสียหาย–น้ำขาดแคลน กระทบวิถีชีวิตประจำวัน

อำเภอแม่สรวยเป็นพื้นที่เชื่อมต่อหมู่บ้าน–ตำบลหลายแห่ง สะพานท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นเส้นเลือดฝอยของเศรษฐกิจฐานราก ทั้งการเดินทางของประชาชน การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการภาครัฐ เมื่อ คอสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 แห่งเกิดความเสียหายจน ต้องงดสัญจรชั่วคราว ผลกระทบเกิดขึ้นทันที ทั้งเส้นทางอ้อมที่ยาวขึ้น ต้นทุนขนส่งเพิ่ม และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ชุมชน บ้านสันกลาง หมู่ 13 ตำบลป่าแดด เผชิญปัญหาปั๊มน้ำบาดาล (ชนิดซับเมอร์ส) ชำรุด ทำให้ ขาดน้ำอุปโภคบริโภคนานกว่า 5 วัน ส่งผลต่อสุขอนามัย การทำอาหาร และการใช้ชีวิตพื้นฐานของประชาชนกว่า 200 ครัวเรือน สถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องอาศัยมาตรการฉุกเฉินที่ เร็ว–ตรงจุด–ตรวจสอบได้ เพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิตอย่างทันท่วงที

สำรวจ–สั่งการ–ลงมือ”  แผนปฏิบัติการเฉพาะหน้าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

จุดเสี่ยงที่หนึ่ง คอสะพานเชื่อม หมู่ 6 เทศบาลตำบลเจดีย์หลวง–เขต อบต.เจดีย์หลวง

  • สะพานเป็นเส้นทางหลักสัญจรระหว่างชุมชน–หน่วยบริการภาครัฐ
  • คอสะพานเกิดความเสียหายจนเสี่ยงต่อการทรุดตัว จึง ประกาศงดการสัญจรชั่วคราว และติดตั้งสัญลักษณ์เตือนภัย
  • สำนักช่าง อบจ.เชียงราย ได้รับมอบหมายให้ประเมินโครงสร้างอย่างละเอียด (ตรวจรอยร้าว ระดับตอม่อ สภาพคานคอดิน) และจัดทำ แบบ–แผนซ่อมเร่งด่วน ตามมาตรฐานงานทาง

จุดเสี่ยงที่สอง คอสะพาน หมู่ 7 บ้านดอนสลี เชื่อม ตำบลป่าแดด–ตำบลศรีถ้อย

  • เส้นทางเชื่อมตำบล 2 ฝั่ง ใช้รับ–ส่งนักเรียนและขนส่งผลผลิตชุมชน
  • ความเสียหายระดับคอสะพานและไหล่ทางจำเป็นต้อง ปิดการจราจรชั่วคราว ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ
  • สำนักช่าง อบจ. เดินหน้าสำรวจธรณี–ฐานราก คำนวณแรงน้ำและกัดเซาะเพื่อกำหนด วิธีซ่อมให้ทนฝน–ทนน้ำ ในฤดูกาลต่อไป

มาตรการเฉพาะหน้าในทั้งสองจุดประกอบด้วย

  1. การทำทางเบี่ยงชั่วคราว–ติดตั้งป้ายเตือนและไฟกระพริบ,
  2. ประสานตำรวจทางหลวง/เทศบาล/อบต.ดูแลจุดปิดกั้น,
  3. แจ้งเส้นทางสัญจรทางเลือกแก่ประชาชนผ่านเสียงตามสาย–สื่อท้องถิ่น–เพจจังหวัด,
  4. เร่งรัด กรอบงบซ่อมฉุกเฉิน ภายใต้ระเบียบว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและงานทางท้องถิ่น เพื่อ ลดเวลาจัดซื้อจัดจ้าง โดยยังคงยึดความโปร่งใส

น้ำสะอาด “กลับมาคืนบ้าน”  ติดตั้งปั๊มใหม่–คืนแรงดันน้ำใน 24 ชั่วโมง

หลังรับแจ้งเหตุปั๊มน้ำบาดาลชำรุดที่ บ้านสันกลาง หมู่ 13 “นายกนก” มอบหมาย กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย บูรณาการกับผู้นำชุมชนและช่างท้องถิ่น ทำงานต่อเนื่องตั้งแต่ตรวจอาการเครื่องจนถึง ติดตั้งปั๊มซับเมอร์สตัวใหม่ พร้อมเดินระบบไฟ–ทดสอบแรงดัน–ล้างตะกอนในท่อจ่าย

ผลลัพธ์คือ คืนน้ำประปาชุมชนได้ภายในคืนนี้ (นับจากวันลงพื้นที่) ช่วยยุติภาวะขาดน้ำที่ยืดเยื้อนานกว่า 5 วัน ลดความเสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหารและปัญหาสุขอนามัย โดยทีมงานยังวางแผน บำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) รายเดือน เช่น ตรวจกรองทราย–เช็กกระแสไฟ–บันทึกชั่วโมงการทำงาน เพื่อยืดอายุปั๊มและป้องกันเหตุซ้ำ

เมื่อสะพานและน้ำคือ “ต้นทุนชีวิต” ของชุมชน

สะพาน ไม่ใช่แค่โครงเหล็ก–คอนกรีต แต่เป็น “ต้นทุนโลจิสติกส์” ของครัวเรือนชนบท การปิดสะพานแม้ไม่กี่วัน ทำให้

  • ระยะทางอ้อมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ค่าขนส่งและค่าเดินทาง ของผู้ประกอบการรายย่อย–พ่อค้าแม่ค้าเพิ่มสูง
  • เวลาเข้าถึงบริการของรัฐ (โรงพยาบาล–โรงเรียน–ที่ว่าการ) ยืดเยื้อ กระทบผลผลิตและรายได้ประจำวัน
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย หากประชาชนฝืนใช้ทางชำรุด

น้ำสะอาด คือโครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น แต่เมื่อตัดขาด ค่าใช้จ่ายครัวเรือน กลับพุ่ง (ต้องซื้อน้ำแพ็ก–เดินทางไปตักน้ำไกล), สุขภาพ เสี่ยงโรคระบบทางเดินอาหาร–ผิวหนัง, และ กิจกรรมเศรษฐกิจครัวเรือน ต้องหยุดชะงัก การแก้ปัญหาได้ภายใน 24 ชั่วโมง จึงเทียบเท่ากับการ ลดค่าใช้จ่าย–คืนเวลาทำกิน ให้ประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

ในมุมการเงินสาธารณะ การเลือกใช้ งบฉุกเฉิน–เครื่องจักรของ อบจ. และเครือข่ายท้องถิ่น เข้าซ่อมแซม/ติดตั้งรวดเร็ว ช่วยหลีกเลี่ยงต้นทุนแฝงจากความล่าช้า (ค่าเช่ารถบรรทุกน้ำ, ค่าเสียโอกาสของผู้ประกอบการ, ค่าเดินทางอ้อมของนักเรียนและผู้ป่วย) ซึ่งหากประเมินแบบอนุรักษ์นิยม การฟื้นบริการภายใน 1 วัน คุ้มค่า กว่าปล่อยให้ยืดเยื้อหลายวันอย่างแน่นอน

จาก “เหตุฉุกเฉิน” สู่ “มาตรฐานป้องกันซ้ำ”

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นความสำคัญของ 3 ประเด็นเชิงระบบที่ อบจ.เชียงรายเริ่มขับเคลื่อนและควรยกระดับให้เป็น มาตรฐานถาวร

  1. ข้อมูลสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัล (Asset Registry)
    • จัดทำทะเบียนสะพาน–ถนน–ท่อส่งน้ำ พร้อมคะแนนสภาพ (Condition Index) และแผน PM รายปี
    • เมื่อเกิดเหตุ สามารถ เรียกดูประวัติการซ่อม–แบบโครงสร้าง–สเปกวัสดุ ได้ทันที ลดเวลาประเมินและจัดซื้อ
  2. งบสำรองฉุกเฉินที่คล่องตัว–โปร่งใส
    • ใช้กรอบระเบียบพ.ร.บ./กฎกระทรวงที่เปิดทางให้ซ่อมด่วนในภาวะสาธารณภัย แต่ต้อง เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ เช่น วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ระยะเวลาซ่อม–ผลการตรวจรับ เพื่อคงความเชื่อมั่น
  3. การมีส่วนร่วมของชุมชน–ท้องถิ่น
    • แต่งตั้ง “อาสาสะพาน–อาสาน้ำ” ระดับหมู่บ้าน แจ้งเตือนสภาพผิดปกติผ่านไลน์/ศูนย์ดำรงธรรม
    • จัดเวิร์กชอปการดูแลระบบสูบน้ำชุมชนขั้นพื้นฐาน เพื่อลดการชำรุดจากการใช้งานผิดวิธี

เสียงจากพื้นที่ การบริหารแบบ “อยู่หน้างาน”

แม้การลงพื้นที่ของ “นายกนก” จะเป็นภารกิจปกติของผู้บริหารท้องถิ่น แต่ จังหวะเวลา และ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เห็น 3 ความชัดเจน

  • เข้าถึงปัญหาได้เร็ว เมื่อลงพื้นที่เอง การตัดสินใจเรื่องปิด–เปิดเส้นทาง การตั้งทางเบี่ยง และการเร่งรัดสำรวจโครงสร้าง เกิดขึ้นทันที
  • ใช้ทรัพยากรในสังกัดเต็มประสิทธิภาพ สำนักช่าง–กองป้องกันฯ–ยานพาหนะหนักของ อบจ. ถูก “ลาก” ออกจากลานจอดไปอยู่หน้างาน โดยไม่ต้องรอคำสั่งซับซ้อน
  • วัดผลจากชีวิตคนจริง นิยาม “สำเร็จ” ไม่ใช่จำนวนหนังสือราชการ แต่คือ น้ำประปาไหล–สะพานกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย และชาวบ้านเดินทาง–ทำกินได้ตามปกติ

ไทม์ไลน์ซ่อมสะพาน–แผนดูแลระบบน้ำชุมชน

สะพานทั้งสองแห่ง

  • สัปดาห์ที่ 1–2 แล้วเสร็จการสำรวจโครงสร้างและคำนวณแบบซ่อม (คอสะพาน–คันทาง–ระบบระบายน้ำ)
  • สัปดาห์ที่ 3 เปิดเผยแบบ–กรอบวงเงิน–แผนงานให้ชุมชนรับรู้ พร้อมตั้งจุดร้องเรียน/เสนอแนะ
  • เดือนที่ 1–2 ดำเนินการซ่อมภายใต้กรอบมาตรฐานทางท้องถิ่น เน้นความปลอดภัย–รองรับน้ำหลาก
  • ระยะยาว บรรจุในแผน PM หลังซ่อม พร้อมติดตั้งป้ายจำกัดน้ำหนัก/ความเร็ว ลดความเสี่ยงการชำรุดซ้ำ

ระบบน้ำชุมชนบ้านสันกลาง

  • บันทึกข้อมูล ปั๊มใหม่–แรงดัน–ชั่วโมงการทำงาน ลงทะเบียนสินทรัพย์ของ อบจ./เทศบาล
  • จัดทำ คู่มือดูแลประจำเดือน และมอบหมาย “เวรอาสาน้ำ” หมุนเวียน
  • ประเมินความต้องการ สำรองปั๊ม/อะไหล่เร่งด่วน และงบฝึกอบรมช่างชุมชน เพื่อซ่อมเบื้องต้นได้เอง

เชื่อมโยงภาพใหญ่ของจังหวัด “เครื่องจักร–คน–ข้อมูล” ต้องเดินไปด้วยกัน

ภารกิจที่แม่สรวยครั้งนี้สอดคล้องกับแนวทางใหญ่ที่จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนตลอดปี 2568—2569 คือการ ยกระดับการรับมือสาธารณภัยและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ให้เร็วขึ้น–ดีขึ้น–ถูกลง โดยใช้ 3 คานงัด

  1. เครื่องจักรพร้อมรบ รถขุด–รถเครน–รถบรรทุกน้ำของ อบจ./ท้องถิ่น ต้องพร้อมใช้งานและเคลื่อนย้ายข้ามอำเภอได้
  2. คนพร้อมงาน วิศวกรชำนาญงานและทีมช่างประจำ พร้อมกำลังเสริมจากเครือข่ายช่างชุมชน
  3. ข้อมูลพร้อมตัดสินใจ ฐานข้อมูลจุดเสี่ยง–แบบโครงสร้าง–ทะเบียนระบบน้ำ และช่องทางสื่อสารแบบสองทางกับประชาชน

เมื่อทั้งสามส่วนขยับพร้อมกัน จะเกิด ความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ แม้ในยามวิกฤต ลด “เวลานิ่ง” ที่มักสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและความรู้สึกไม่มั่นคงของประชาชน

คืนคุณภาพชีวิตวันนี้ เพื่อภูมิคุ้มกันของวันพรุ่งนี้

ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและภูมิประเทศที่ท้าทาย “แม่สรวยโมเดล” ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้จากการ ปิดจุดเสี่ยงสะพาน–เร่งสำรวจซ่อม–ติดตั้งปั๊มใหม่คืนน้ำใน 24 ชั่วโมง  แสดงให้เห็นว่างานท้องถิ่นที่ เร็ว–โปร่งใส–จับต้องได้ คือความเชื่อมั่นที่ชาวบ้านต้องการมากที่สุด

สำหรับ อบจ.เชียงราย ความสำเร็จไม่ได้จบที่การเบิกจ่ายหรือภาพลงพื้นที่ หากแต่จะวัดผลจาก “ชีวิตคน” ที่กลับมาเดินหน้าต่อได้อย่างปลอดภัย และมีระบบป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การทำงานที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ คือคำตอบของการบริหารท้องถิ่นยุคใหม่ที่ต้อง บรรเทาทุกข์วันนี้ พร้อมกับ สร้างภูมิคุ้มกันวันพรุ่งนี้ ไปพร้อมกัน

สรุปข้อมูล

  • พื้นที่ปฏิบัติการ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
  • จุดโครงสร้างพื้นฐานเสี่ยง คอสะพานชำรุด 2 แห่ง
    1. เชื่อม หมู่ 6 เทศบาลตำบลเจดีย์หลวง–เขต อบต.เจดีย์หลวง
    2. หมู่ 7 บ้านดอนสลี เชื่อม ตำบลป่าแดด–ตำบลศรีถ้อย
  • มาตรการทันที งดสัญจรชั่วคราว, จัด ทางเบี่ยง–ป้ายเตือน, สำนักช่าง อบจ. สำรวจ–จัดทำแบบซ่อมเร่งด่วน
  • วิกฤตน้ำชุมชน บ้านสันกลาง หมู่ 13 ต.ป่าแดด ปั๊มน้ำบาดาลชำรุด ชาวบ้านได้รับผลกระทบ กว่า 200 ครัวเรือน > 5 วัน
  • ผลการแก้ไข ติดตั้งปั๊มซับเมอร์สใหม่, ทดสอบระบบ และ คืนน้ำภายใน 24 ชั่วโมง
  • หน่วยงานภาคสนาม สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สรวย

  • ผู้นำท้องที่ท้องถิ่นและชาวบ้านในพื้นที่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

งบช่วยเหลือกว่า 600 ล้านบาท! เชียงรายสรุปผลฟื้นฟูหลังน้ำท่วมระยะที่ 2

เชียงรายติดตามฟื้นฟูหลังอุทกภัยระยะที่ 2 สรุปงบช่วยเหลือกว่า “600 ล้านบาท” เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางจากเยียวยาเร่งด่วนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — ห้องประชุม “จอมกิตติ” ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงรายตัวแทนจากหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกสายตาจับจ้องไปยังวาระเดียวกัน—การติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยระยะที่ 2 ควบคู่กับ แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ที่มุ่งยกระดับโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กลุ่มเปราะบาง หลังจังหวัดเผชิญวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2567

การประชุมที่มี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน มิใช่เพียงพิธีการสรุปตัวเลข หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยน” จากงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน สู่การวางรากฐานพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชนพื้นที่เสี่ยงทั้งลุ่มน้ำกก—อิง—โขง โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพด้านสังคม เศรษฐกิจ สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐาน เข้าร่วมรายงานความคืบหน้าอย่างพร้อมเพรียง

“ผมย้ำกับทุกหน่วยงานว่า ความช่วยเหลือต้อง เร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และเดินหน้าไปด้วยกันถึงเส้นชัยของการพัฒนา ไม่ใช่หยุดที่ปลอบประโลมระยะสั้น” ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวในที่ประชุม สะท้อนทิศทางการทำงานแบบ “เยียวยาเชื่อมพัฒนา” ที่จังหวัดต้องการเห็นผลเป็นรูปธรรม

บาดแผลจากน้ำ และพลังความร่วมมือที่ล้นหลาม

กันยายน–ตุลาคม 2567 น้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และวาตภัย สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในเชียงราย ครัวเรือนกว่า 35,124 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บ้านพังเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง เหตุการณ์ครั้งนั้นผลักให้ทุกภาคส่วนขยับอย่างพร้อมเพรียง—ตั้งแต่ มติคณะรัฐมนตรี, กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี, เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด, ไปจนถึง งบ อปท. และ กองทุนรับบริจาคจังหวัดเชียงราย เพื่อระดมทรัพยากรให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด

หนึ่งปีผ่านไป จังหวัดสรุปผลการดำเนินงาน “ระยะที่ 2” ได้อย่างชัดเจน ดังนี้

1) เงินช่วยเหลือตามมติ ครม. (17 ก.ย. และ 8 ต.ค. 2567)

  • ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครบ 35,124 ครัวเรือน
  • วงเงินรวม 316,116,000 บาท
  • จ่ายครบทุกครัวเรือนแล้ว

2) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567 (เงินบริจาค)

  • ยอดบริจาครวม 9,839,079.03 บาท
  • จ่ายค่าวัสดุก่อสร้างบ้าน 174 หลัง รวม 8,370,000 บาท
  • สมทบค่าดำรงชีพเพิ่มเติม ผู้ประสบภัยบ้านพังทั้งหลัง 160 ราย รวม 1,398,000 บาท
  • เบิกรวม 9,768,000 บาท

3) เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 (ในอำนาจผู้ว่าฯ)

  • วงเงินขยาย 100 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว 98,056,678.50 บาท
  • วงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว 295,240,930 บาท

4) ค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน (หลังน้ำลด)

  • ขอรับความช่วยเหลือ 17,384 ครัวเรือน และ ให้ความช่วยเหลือครบ 17,384 ครัวเรือน
  • วงเงินรวม 173,840,000 บาทเสร็จสิ้นแล้ว

5) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

  • ผู้เสียชีวิต 12 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือรวม 1,080,000 บาท
  • บ้านเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง ได้รับรวม 12,490,006 บาท
  • อนุมัติและจ่ายแล้วรวม 13,570,006 บาท

6) งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย

  • รวมการช่วยเหลือ 120,084,535 บาท
    • อบจ.เชียงราย จ่าย 48,937,375 บาท
    • เทศบาลนครเชียงราย จ่าย 26,707,500 บาท
    • อปท.อื่น ๆ จ่าย 44,439,660 บาท
  • ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อนำรายการสำคัญมาร้อยเรียง เรามองเห็น “โครงข่ายนิตย–การเงิน” ที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับคณะรัฐมนตรีจนถึงอบต.ปลายน้ำ เงินบางส่วนมุ่งเยียวยาเร่งด่วน (เช่น ค่าดำรงชีพและค่าล้างโคลน) เงินบางส่วนวางรากฐานระยะยาว (เช่น วัสดุก่อสร้างบ้านและโครงสร้างพื้นฐานจำเป็น) ภาพรวมนี้สะท้อนความสามารถในการ “ซ่อมเมือง—ซ่อมคน” ของจังหวัดภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่

งบฯ ถึงมือครบแต่โจทย์ใหม่คือ “ความยั่งยืน”

ในเชิงปริมาณ ตัวเลขข้างต้นตอบคำถามสำคัญสามประการ

  1. ถึงมือใคร—เมื่อไหร่: จังหวัดยืนยันว่า ช่วยเหลือครบทุกครัวเรือน 35,124 ครัวเรือน ทั้งตามมติ ครม. และมาตรการเสริมจากแหล่งอื่น ๆ
  2. ช่วยเรื่องอะไร—มิติไหน: เงินถูกจัดสรรเพื่อ ยังชีพ—ที่อยู่อาศัย—ทำความสะอาด—ชดเชยความสูญเสีย ครบทั้ง 4 ช่วงวงจรภัยพิบัติ (ก่อน—ระหว่าง—หลัง—ฟื้นฟู)
  3. โปร่งใสแค่ไหน: ตัวเลขแยกรายโครงการ/แหล่งที่มา พร้อมสถานะ “เสร็จแล้ว” หลายส่วน ชี้ถึงการบริหารงานที่มี เอกสารอ้างอิงและหลักฐานการจ่าย ตรวจสอบย้อนกลับได้

แต่ในเชิงคุณภาพ โจทย์ระยะถัดไป คือการทำให้ครัวเรือนที่พึ่งพาน้ำ—ดิน—พื้นที่ทำกิน กลับมายืนได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กและสตรี ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรรายย่อย และแรงงานนอกระบบ ซึ่งสูญเสียทรัพย์สินและเครื่องมือประกอบอาชีพจากน้ำหลากครั้งก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดทิ้งท้ายในที่ประชุมว่า “ฟื้นบ้าน–ฟื้นถนนแล้ว ต้องฟื้น รายได้ และ โอกาส ให้เขา เราจะวัดผลการทำงานจากคุณภาพชีวิต ไม่ใช่จากยอดเบิกจ่ายเท่านั้น”

จากเยียวยาเร่งด่วน สู่แผน “พัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ” ของกลุ่มเปราะบาง

วาระสำคัญในห้องประชุมคือ รายงานผลการปฏิบัติตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ซึ่งจังหวัดทำคู่ขนานกับภารกิจซ่อมแซมระยะสั้น เป้าหมายคือ “สร้างเสริมความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ” ผ่าน 4 แนวทางหลักที่หน่วยงานรับผิดชอบได้เสนอความคืบหน้า ดังนี้

  1. ฟื้นอาชีพ—เข้าถึงทุน
  • จัดแพ็กเกจเครื่องมือทำกินให้ครัวเรือนเปราะบางในพื้นที่ลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบ
  • เชื่อมกองทุนหมู่บ้าน/ธนาคารเพื่อการเกษตร/สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องอย่างถูกกฎหมาย
  • ฝึกอบรมทักษะอาชีพทางเลือกในช่วงฤดูฝน/น้ำหลาก เช่น แปรรูปอาหารท้องถิ่น การตลาดออนไลน์ของชุมชน
  1. ที่อยู่อาศัย—มาตรฐานปลอดภัย
  • บูรณาการวัสดุก่อสร้างจากกองทุน/เงินบริจาคกับแบบบ้านปลอดภัยราคาประหยัด
  • ยกระดับระบบเตือนภัยและจุดอพยพชั่วคราวในชุมชนเสี่ยง เพื่อปกป้องผู้สูงอายุและผู้พิการ
  1. สุขภาพ—สังคม—การคุ้มครอง
  • ทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่ติดตามโรคเรื้อรัง สุขภาพจิตหลังภัยพิบัติ และสิทธิประโยชน์ประกันสุขภาพ
  • ตั้ง “อาสาสมัครดูแลกลุ่มเปราะบาง” เครือข่ายหมู่บ้าน/วัด/โรงเรียน เพื่อประสานความช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดเหตุ
  1. โครงสร้างพื้นฐาน—ข้อมูลเสี่ยงภัย
  • เร่งซ่อมเส้นทางหลัก–รอง พร้อมจุดคอขวดที่ซ้ำซาก
  • พัฒนาแผนที่เสี่ยงดินถล่ม–น้ำท่วมระดับตำบล เชื่อมฐานข้อมูลหน่วยงานและแอปพลิเคชันแจ้งเตือนชุมชน

แม้รายละเอียดเชิงนโยบายของแต่ละโครงการยังอยู่ระหว่างเร่งรัดงบประมาณและกำหนดตัวชี้วัด แต่ทิศทางโดยรวมทำให้เห็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างงบเยียวยาในปีแรก กับงบพัฒนาคุณภาพชีวิตที่จะเริ่มเห็นผลใน 12–24 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะเป้าหมาย “รายได้คืนถิ่น—หนี้ลด—ความสามารถรับมือภัยพิบัติสูงขึ้น”

บทเรียนจากงบ 600 ล้านบาท สิ่งที่ทำได้ และสิ่งที่ต้องทำต่อ

หนึ่งปีหลังวิกฤต เชียงรายได้พิสูจน์แล้วว่ากลไกงบประมาณหลายชั้นสามารถขับเคลื่อนพร้อมกันได้ หากมีระบบติดตามและผู้รับผิดชอบชัดเจน สิ่งที่เห็นชัดจากการสรุปผลครั้งนี้ ได้แก่

  • ความครอบคลุม: เงินช่วยเหลือแตะทุกมิติ ตั้งแต่ค่าครองชีพ—ที่อยู่อาศัย—ทำความสะอาด—ชดเชยความสูญเสีย
  • ความรวดเร็ว: หลายโครงการ “เสร็จสิ้น” พร้อมหลักฐานการจ่ายและรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ
  • ความโปร่งใส: ตัวเลขละเอียด แยกแหล่งที่มา—ประเภทช่วยเหลือ—จำนวนครัวเรือน

อย่างไรก็ดี บททดสอบรอบถัดไป อยู่ที่

  1. การติดตามผลระดับครัวเรือน—ครัวเรือนเปราะบางมีรายได้กลับมาที่ระดับก่อนเกิดภัยหรือไม่? เครื่องมือทำกินที่ได้รับยังใช้งานได้ดีและเหมาะกับบริบทหรือไม่?
  2. การจัดการความเสี่ยงซ้ำซาก—จุดที่น้ำหลาก/ดินถล่มซ้ำ ๆ ได้รับการแก้ไขเชิงโครงสร้างแล้วหรือยัง (เช่น การระบายน้ำ จุดอุดตัน แนวป้องกันดินไหล)
  3. การบูรณาการข้อมูล—แผนที่เสี่ยงภัยระดับหมู่บ้าน–ตำบล และข้อมูลสิทธิประโยชน์ของประชาชน ต้องเข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และปรับปรุงสม่ำเสมอ
  4. ความพร้อมของท้องถิ่น—อปท.จำเป็นต้องมี “งบเผื่อฉุกเฉิน” และแบบแผนปฏิบัติการที่ซ้อมจริง เพื่อให้ระยะเวลาจาก “เกิดเหตุ” ถึง “รับเงิน/รับของช่วยเหลือ” สั้นที่สุด

เสียงจากห้องประชุม นโยบายที่ต้องไปต่อ

ในช่วงท้ายของการประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการ 3 ประเด็นสำคัญ

  • เร่งปิดบัญชีคงค้าง ของโครงการที่ยังอยู่ระหว่างเบิกจ่าย พร้อมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อรักษาความเชื่อมั่น
  • ขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ให้เห็นผลเร็ว โดยกำหนดตัวชี้วัดที่วัดได้จริง เช่น รายได้เฉลี่ยครัวเรือนเปราะบาง จำนวนผู้ได้งานทำหลังฝึกอาชีพ อัตราการเข้าถึงบริการสุขภาพ และเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
  • ซ้อมแผนภัยพิบัติประจำปี ร่วมกันทุกภาคส่วน—ตั้งแต่โรงเรียน วัด ชุมชน จนถึงผู้ประกอบการ—เพื่อย่นเวลาและลดความสูญเสียเมื่อเกิดเหตุ

“ประชาชนต้องเห็นว่า รัฐ ‘อยู่ตรงนั้น’ และ ‘อยู่ต่อไป’ จนชีวิตกลับมาดีกว่าเดิม นี่คือมาตรวัดความสำเร็จที่แท้จริงของเรา” ผู้ว่าฯ กล่าวย้ำ

คลี่คลายปมจากน้ำท่วมสู่ความเท่าเทียมทางโอกาส

สาระสำคัญของวันนั้นไม่ได้จบลงที่ยอดงบประมาณ หากแต่เริ่มต้นด้วย แนวคิดใหม่ ว่า “ภัยพิบัติ” ไม่ใช่เพียงเหตุไม่คาดฝันที่ต้องเยียวยา แต่เป็น หน้าต่างโอกาส ให้ปรับระบบเศรษฐกิจ—สังคมให้รองรับคนตัวเล็กได้ดีขึ้น แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพที่เชียงรายกำลังผลักดัน จึงตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ชุมชนที่เข้มแข็ง คือวัคซีนต้านภัยรอบต่อไป

ในเชิงปฏิบัติ นั่นหมายถึงการทำงานที่ ข้ามกำแพงหน่วยงาน (สาธารณสุข—พม.—แรงงาน—เกษตร—การศึกษา—ปกครอง) ให้มุ่งไปที่ “ผลลัพธ์ครัวเรือน” มากกว่า “ผลผลิตโครงการ” และยึด “เสียงของพื้นที่” เป็นเข็มทิศ เพื่อให้การลงทุนสาธารณะทุกบาทตอบโจทย์ชีวิตจริง

เชียงรายได้ก้าวพ้น “จุดพีคของน้ำ” มาแล้ว แต่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด่านใหม่—การทำให้ครัวเรือนเปราะบางยืนได้ด้วยตัวเอง ตัวเลขงบกว่า 600 ล้านบาท ที่ผ่านมือหน่วยงานต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าระบบราชการไทยสามารถขับเคลื่อนเพื่อประชาชนได้จริงเมื่อมีเป้าหมายร่วมและระบบติดตามที่เข้มแข็ง

สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือผลลัพธ์เชิงคุณภาพว่า รายได้กลับมาไหม? หนี้ครัวเรือนลดหรือไม่? สุขภาพกายใจดีขึ้นเพียงใด? และเมื่อฝนใหญ่ครั้งต่อไปมาเยือน ชุมชนเชียงรายจะ “พร้อมกว่าเดิม” แค่ไหน หากจังหวัดรักษาจังหวะการทำงานแบบที่เห็นในห้องประชุมวันนั้นไว้ได้—จากเยียวยา สู่การพัฒนา และสู่ ความเท่าเทียมทางโอกาส—เชียงรายก็อาจไม่เพียง “ผ่านพ้นน้ำ” แต่จะ “ผ่านพ้นความเปราะบาง” ไปด้วยพร้อมกัน

ข้อมูลตัวเลขสำคัญ

  • ผู้ได้รับผลกระทบ: 35,124 ครัวเรือน / ผู้เสียชีวิต 12 ราย / บ้านเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง
  • มติ ครม. ช่วยเหลือรวม: 316,116,000 บาท (ครบทุกครัวเรือน)
  • กองทุนจังหวัด (บริจาค): ยอด 9,839,079.03 บาท | จ่ายแล้ว 9,768,000 บาท
  • เงินทดรองราชการ (พ.ศ. 2562): 98,056,678.50 บาท และ 295,240,930 บาท (สองวงเงินขยาย)
  • ค่าล้างดินโคลน 17,384 ครัวเรือน: รวม 173,840,000 บาท (เสร็จสิ้น)
  • กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี: รวม 13,570,006 บาท
  • งบ อปท. รวม 120,084,535 บาท (อบจ. 48,937,375 | เทศบาลนครเชียงราย 26,707,500 | อปท.อื่น 44,439,660)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย – ศาลากลางจังหวัดเชียงราย: รายงานการประชุม “สรุปรายงานผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการ และระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ระยะที่ 2” ณ ห้องประชุมจอมกิตติ วันที่ 15 กันยายน 2568
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 เรื่องแนวทางและกรอบวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี: หลักเกณฑ์และผลการจ่ายช่วยเหลือกรณีผู้เสียชีวิตและบ้านเสียหายทั้งหลัง จังหวัดเชียงราย ปีงบประมาณ 2567–2568
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ รายงานผลการจ่าย ของ อบจ.เชียงราย เทศบาลนครเชียงราย และ อปท. ในจังหวัด
  • ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเอกสารสรุปการเบิกจ่ายจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News