Categories
FEATURED NEWS

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคเรียกร้องรัฐคุมค่ารักษาฯ แก้ปัญหาประกันภัยที่ไม่เป็นธรรม

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคจี้รัฐคุมค่ารักษาพยาบาล – สะสางกลโกงประกันภัย ชี้ Co-Payment แก้ไม่ตรงจุด

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางวิกฤตค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูง และความไม่เป็นธรรมจากเงื่อนไขกรมธรรม์ที่เปลี่ยนไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของบริษัทประกันสุขภาพที่ “เอาเปรียบผู้บริโภค” พร้อมเรียกร้องให้รัฐเร่งควบคุมโครงสร้างราคาของโรงพยาบาลเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อคืนความมั่นคงให้ระบบประกันภัย และสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคไทย

เรื่องเล่าจากสนามร้องเรียนจุดเริ่มต้นของปัญหา

จุดเริ่มต้นของข่าวนี้มาจากกรณีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ร้องเรียนไปยังสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ว่าบริษัทประกันสุขภาพหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกรมธรรม์ รวมถึงอัตราเบี้ยประกัน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หรือให้ข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีของบริษัท “กรุงไทย-แอกซ่า” ซึ่งกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่จุดชนวนความไม่พอใจจากผู้เอาประกันทั่วประเทศ

แม้ว่ากรณีดังกล่าวจะมีการเจรจาและยุติปัญหาไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่กรณีนี้ก็กลายเป็นเครื่องชี้วัดความเปราะบางของระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย ที่อาจเปิดช่องให้บริษัทประกันใช้กลไกภายในเพื่อปรับสิทธิประโยชน์แบบเงียบ ๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ

การแสดงจุดยืน สภาผู้บริโภคชี้ชัด – “ไม่ยุติธรรม!”

นายจิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร ของสภาผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกรมธรรม์หลังจากผู้บริโภคได้ทำสัญญาไปแล้ว เป็นพฤติกรรมที่ “ไม่ยุติธรรม” และละเมิดจริยธรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยโดยตรง เพราะบริษัทได้ผ่านการประเมินความเสี่ยงมาแล้วก่อนเสนอผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค หากพบว่ารายจ่ายสูงเกินควร บริษัทควรบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่โยนภาระให้ผู้บริโภคในภายหลัง

ปัญหาเชิงโครงสร้างการผลักภาระและ Co-payment ที่แก้ไม่ตรงจุด

หนึ่งในนโยบายที่หลายบริษัทประกันนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือระบบ “Co-Payment” หรือการให้ผู้เอาประกันจ่ายร่วมกับบริษัทประกันในแต่ละเคสการรักษา แต่สภาผู้บริโภคชี้ว่าแนวทางนี้เป็นเพียง “การแก้ที่ปลายเหตุ” เพราะไม่ได้แก้ปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างไม่มีเพดานในภาคเอกชน

ในบางกรณี โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าห้องพิเศษสูงกว่าระดับสากล หรือมียาและอุปกรณ์ที่กำหนดราคาสูงเกินจริง โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานรัฐที่ชัดเจน ส่งผลให้บริษัทประกันนำต้นทุนที่สูงผิดปกตินั้นมากำหนดเบี้ยเพิ่ม หรือปรับลดสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกัน แทนที่จะควบคุมต้นตอปัญหา

ทางรอดที่แท้จริง กลไกควบคุมค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน

สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามาควบคุมโครงสร้างราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ด้วยมาตรการชัดเจน เช่น

  • กำหนดเพดานราคายา
  • เปิดเผยต้นทุนค่ารักษาต่อสาธารณะ
  • สร้างระบบเปรียบเทียบราคาผ่านแพลตฟอร์มกลาง

เพื่อให้ทั้งบริษัทประกันและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นธรรม

ผลกระทบที่ประชาชนควรเข้าใจจากความไม่รู้ สู่ความรับผิดชอบ

การที่ผู้บริโภคไม่ทราบว่าเงื่อนไขประกันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรองหรือร้องเรียนได้ทันเวลา สภาผู้บริโภคจึงแนะนำให้ผู้เอาประกันทุกคนหมั่นตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ทุกปี และหากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติ สามารถยื่นร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของสภาผู้บริโภคโดยตรง https://complaint.tcc.or.th/complaint

สร้างภูมิคุ้มกันให้ตลาดประกันภัย

การออกมาเคลื่อนไหวของสภาผู้บริโภคในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ถือเป็นการ “วางหมาก” อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้บริโภคในระยะยาว ผ่านการเรียกร้องสิทธิอย่างมีข้อมูล และมีองค์กรที่คอยหนุนหลังทางกฎหมายและนโยบาย

เมื่อผู้บริโภคตื่นรู้มากขึ้น บริษัทประกันจะต้องกลับมาทบทวนบทบาท ไม่ใช่เพียงเป็น “ผู้ขายกรมธรรม์” แต่ต้องเป็น “ผู้บริหารความเสี่ยง” ที่อยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง

จากวิกฤตสู่โอกาสในการปฏิรูประบบ

ในระยะยาว การควบคุมค่ารักษาพยาบาลและการปรับบทบาทของบริษัทประกัน คือหัวใจของการปฏิรูประบบสุขภาพเชิงเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หากภาครัฐเข้ามาจัดการได้อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการเสริมสร้างความรู้ให้ผู้บริโภค ระบบประกันภัยไทยจะสามารถกลับมาเป็น “เครื่องมือแห่งความมั่นคง” แทนที่จะเป็นภาระของคนไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (https://www.tcc.or.th)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) (https://www.oic.or.th)
  • บทสัมภาษณ์นายจิณณะ แย้มอ่วม – สภาผู้บริโภค
  • สถิติเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันสุขภาพจากสภาผู้บริโภค (2567 – 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” เสริมแกร่งรับมืออุทกภัยเมือง

เทศบาลนครเชียงรายรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” จากภาคเอกชน เสริมแกร่งระบบรับมืออุทกภัยเมือง

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – จากบทเรียนอุทกภัย สู่แนวทางใหม่ในการสร้างเมืองปลอดภัย ท่ามกลางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความถี่ของภัยพิบัติที่เพิ่มสูงขึ้น จังหวัดเชียงรายซึ่งเผชิญปัญหาอุทกภัยซ้ำซากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ก้าวสู่การเตรียมความพร้อมเชิงรุกด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุด “ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้” ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายได้รับมอบจากภาคเอกชนเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา

การส่งมอบอุปกรณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นที่สำนักงานเทศบาลนครเชียงราย โดย พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล เป็นผู้แทนรับมอบจากนายแก่นฟ้า แสนเมือง นักวิจัยอิสระ และนายเกริกพล แสนเมือง กรรมการผู้จัดการบริษัท อีโวเทค จำกัด ผู้พัฒนาผนังกั้นน้ำรูปแบบใหม่ ที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับภูมิประเทศของเมืองไทย และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ฉุกเฉิน

อุปกรณ์ที่ได้รับมอบ ได้แก่ ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้จำนวน 4 ชุด และเครื่องสูบน้ำชนิดหอยโข่ง ซึ่งจะถูกนำไปติดตั้งและใช้งานในจุดเสี่ยงของพื้นที่เขตเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันในช่วงฤดูฝนนี้

นวัตกรรมฝีมือคนไทย ทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่ากระสอบทราย

ในอดีต การป้องกันน้ำท่วมในระดับชุมชนมักใช้วิธีแบบดั้งเดิม เช่น การวางแนวกระสอบทราย ซึ่งใช้แรงงานจำนวนมาก ติดตั้งช้า และไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ผนังกั้นน้ำยางพาราเคลื่อนที่ได้จึงเข้ามาเติมเต็มในจุดอ่อนดังกล่าว

คุณสมบัติเด่นของผนังกั้นน้ำยางพารา

  • ติดตั้งง่ายภายในไม่กี่นาที ด้วยโครงสร้างสำเร็จรูป ความยาวชุดละ 10 เมตร กั้นระดับน้ำได้สูงถึง 60 ซม.
  • น้ำหนักเบาและเคลื่อนย้ายสะดวก ทำให้สามารถนำไปวางใช้งานตามจุดเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว
  • วัสดุผลิตจากยางพาราไทย สนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยาง และเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตภาคเกษตรกรรม
  • สามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้ง ลดของเสีย และต้นทุนในการจัดการวัสดุป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว

นวัตกรรมนี้ยังสะท้อนถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน และสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลผลักดัน

แบบอย่างความร่วมมือเมื่อรัฐจับมือเอกชน สร้างระบบรับมือภัยพิบัติที่ยั่งยืน

นายเกริกพล แสนเมือง ได้กล่าวในการส่งมอบว่า “เราไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ผลิตอุปกรณ์ แต่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบความปลอดภัยให้กับเมือง โดยเฉพาะเชียงรายที่มีความเสี่ยงจากอุทกภัยเป็นประจำ”

ด้านเทศบาลนครเชียงรายยืนยันว่า การได้รับอุปกรณ์ในครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานมีความพร้อมมากขึ้นในการวางแนวป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจ ถนนสายหลัก และพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในพื้นที่ให้สามารถติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้สามารถใช้งานจริงได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

นวัตกรรมท้องถิ่นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

กรณีการรับมอบผนังกั้นน้ำในครั้งนี้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประการที่ควรจับตา:

  1. การบริหารจัดการภัยพิบัติเชิงรุกในระดับท้องถิ่น

เทศบาลนครเชียงรายได้แสดงให้เห็นว่าไม่รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจึงเตรียมการ แต่เริ่มจัดหาและเสริมอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

  1. ภาคเอกชนไทยมีศักยภาพในการสร้างนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง

ผลิตภัณฑ์อย่างผนังกั้นน้ำยางพารา ไม่ได้เป็นแค่ผลงานวิจัยในห้องทดลอง แต่ถูกนำไปใช้งานจริงในชุมชน เสริมศักยภาพของระบบป้องกันภัย และยังเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานราก

  1. ความร่วมมือข้ามภาคส่วน คือกุญแจสำคัญในการสร้างเมืองปลอดภัย

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า หากภาครัฐสามารถเปิดพื้นที่ให้ภาคเอกชนและนักวิจัยเข้ามามีบทบาทสนับสนุน เชียงรายก็สามารถพัฒนาระบบรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพสูงได้ แม้มีงบประมาณจำกัด

ประโยชน์สู่ประชาชนรับมือภัยพิบัติด้วยความมั่นใจ

ผลลัพธ์สำคัญที่สุดจากการรับมอบผนังกั้นน้ำในครั้งนี้ คือ ความมั่นใจของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่มีทั้งแหล่งเศรษฐกิจ โรงเรียน สถานพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนอยู่หนาแน่น

  • เมื่อเกิดน้ำหลากจากฝนตกหนักหรือแม่น้ำกกเอ่อล้น สามารถนำผนังกั้นน้ำไปติดตั้งได้ทันที ลดความเสียหายและป้องกันการตัดขาดเส้นทางคมนาคม
  • ลดภาระของเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ไม่ต้องใช้แรงงานบรรจุกระสอบทรายจำนวนมาก
  • ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่า เมืองมีเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

 “นวัตกรรมไทย” คือทางรอดของเมืองไทยในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

ในขณะที่ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การจัดการที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การเตรียมเจ้าหน้าที่ให้พร้อม แต่คือการมีเครื่องมือที่ทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทจริงของพื้นที่

กรณีการรับมอบ “ผนังกั้นน้ำยางพาราแบบเคลื่อนที่ได้” โดยเทศบาลนครเชียงราย จึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการผสานนโยบายของรัฐ นวัตกรรมจากเอกชน และความต้องการของประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างระบบรับมือภัยพิบัติที่ตอบโจทย์ ทันเวลา และยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • บริษัท อีโวเทค จำกัด
  • รายงานการรับมอบอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม ณ เทศบาลนครเชียงราย วันที่ 5 สิงหาคม 2568
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข้อมูลด้านวัสดุนวัตกรรมยางพารา จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมาคม อบจ. ส่งถุงยังชีพ 3 แสนบาท ช่วยชาวแม่ต๋ำใต้ พญาเม็งราย หลังน้ำท่วม

สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ส่งมอบน้ำใจสู่เชียงราย 300,000 บาท – ถุงยังชีพ บรรเทาวิกฤตอุทกภัย สะท้อนพลังท้องถิ่นเพื่อประชาชน

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – จากอุทกภัยสู่โอกาสในการรวมพลัง สร้างความเข้มแข็งระดับฐานราก จากเหตุการณ์อุทกภัยที่ถาโถมหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้ชุมชนหลายแห่งต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลแม่ต๋ำ อำเภอพญาเม็งราย ที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านสาธารณูปโภคและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ภายใต้สถานการณ์วิกฤตดังกล่าว สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย หรือ สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ได้แสดงบทบาทขององค์กรท้องถิ่นระดับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเข้าถึง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา

โดยมีการมอบถุงยังชีพและเงินสนับสนุนจำนวน 300,000 บาท ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย โดยมี นายชาตรี ศรีสันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคมฯ พร้อมผู้บริหารสมาคมฯ ลงพื้นที่ด้วยตนเอง ณ หมู่ 9 ตำบลแม่ต๋ำ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความซาบซึ้งใจและความหวังที่กลับคืนสู่ชุมชน

ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” คำมั่นของเครือข่ายท้องถิ่นเพื่อคนไทยทุกคน

การให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า “น้ำใจของคนไทยไม่เคยเหือดแห้ง” และเมื่อภัยมา ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นจากทั่วประเทศก็จะเคลื่อนไหวในทันที

นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย ได้ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารจากสมาคมฯ ด้วยความอบอุ่น พร้อมพาชมสภาพความเสียหายและจุดแจกจ่ายสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนในพื้นที่

ประชาชนที่เข้ารับถุงยังชีพบางรายกล่าวทั้งน้ำตาว่า “แค่มีคนมาเห็นว่าพวกเราลำบาก ก็รู้สึกมีกำลังใจแล้ว” ขณะที่คำกล่าวจากผู้แทนสมาคมฯ ก็สะท้อนชัดเจนถึงเจตนารมณ์ “เราจะอยู่เคียงข้างประชาชน ไม่ว่าอยู่ห่างไกลเพียงใด”

เจาะโครงสร้างการช่วยเหลือ ตรงจุด ยืดหยุ่น และยั่งยืน

  1. ถุงยังชีพถึงมือในเวลาอันรวดเร็ว

ถุงยังชีพประกอบด้วยของจำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ชุดสุขอนามัย และอุปกรณ์เบื้องต้นที่สามารถช่วยประคับประคองชีวิตในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความหิวโหย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความห่วงใยจากพี่น้องท้องถิ่นทั่วประเทศ

  1. เงินสนับสนุน 300,000 บาท ใช้ได้จริงในพื้นที่

เงินบริจาคจำนวน 300,000 บาท ไม่ได้ถูกโอนเข้ากลางหรือผ่านขั้นตอนราชการหลายชั้น แต่ส่งตรงถึง อบจ.เชียงราย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนและเข้าใจสภาพปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง ทำให้สามารถจัดสรรไปยังจุดที่เดือดร้อนที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้านเรือน เสริมกำลังอาสาสมัคร หรือจัดหาอุปกรณ์ฟื้นฟูในพื้นที่ที่ถุงยังชีพไม่ครอบคลุม

พลังของการรวมตัวในระดับท้องถิ่น

กรณีนี้ถือเป็นแบบอย่างของความเข้มแข็งของเครือข่ายท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะใน 3 มิติสำคัญ:

  1. ความคล่องตัวในการบริหารจัดการ

หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเข้าถึงประชาชนได้รวดเร็ว รู้จักภูมิประเทศ และเข้าใจปัญหาเชิงลึก ซึ่งต่างจากการช่วยเหลือจากส่วนกลางที่อาจต้องใช้เวลานาน

  1. การบูรณาการความร่วมมือข้ามจังหวัด

การที่สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ส่งความช่วยเหลือถึงพื้นที่โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากภาครัฐกลาง เป็นภาพสะท้อนของความพร้อมในการจัดการภายใต้ระบบท้องถิ่นแบบมีประสิทธิภาพ

  1. เสริมความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ในยามที่ผู้คนต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง คือพลังใจที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศก็มั่นคง

โครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศที่ผ่านมา มักถูกวิจารณ์ว่าเน้นส่วนกลางมากเกินไป ขาดความยืดหยุ่นและไม่เข้าใจสภาพท้องถิ่นอย่างแท้จริง แต่เหตุการณ์ที่ตำบลแม่ต๋ำครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าให้พลังกับท้องถิ่น พวกเขาสามารถจัดการวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แพ้หน่วยงานระดับชาติ

 “น้ำใจ” คือพลังฟื้นฟูที่ดีที่สุด

ในสถานการณ์ที่การฟื้นตัวจากภัยพิบัติต้องใช้เวลานาน การเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือการได้รับการเยียวยาจากใจคนไทยด้วยกันเอง และครั้งนี้ สมาคม อบจ. แห่งประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นว่า “องค์กรท้องถิ่น” คือกลไกที่ทรงพลังในการสนับสนุนชีวิตของประชาชน

การลงพื้นที่ของคณะผู้บริหาร อบจ.จากทั่วประเทศ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูชีวิตชาวแม่ต๋ำ แต่ยังช่วยฟื้นศรัทธาในระบบท้องถิ่น สร้างภาพลักษณ์ใหม่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า “พวกเขาไม่ใช่แค่หน่วยงาน…แต่คือเพื่อนร่วมชะตากรรมของประชาชนในทุกเหตุการณ์”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตำบลแม่ต๋ำ อ.พญาเม็งราย
  • บันทึกคำกล่าวผู้แทนประชาชนและผู้นำท้องถิ่น
  • ข้อมูลสนับสนุนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายจัดซ้อมใหญ่! เสริมแกร่งชุมชนแม่ฟ้าหลวง รับมืออัคคีภัย-แผ่นดินไหว

อบจ.เชียงราย เสริมแกร่งชุมชนแม่ฟ้าหลวง จัดฝึกซ้อมรับมือภัยพิบัติ สู่เป้าหมาย ‘PDOSS’ ปลอดภัยยั่งยืน

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – แม่ฟ้าหลวงต้นแบบความพร้อมรับมือภัยพิบัติ สู่การพึ่งพาตนเองอย่างเป็นระบบ ท่ามกลางภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งแผ่นดินไหว ไฟป่า และอัคคีภัย การเตรียมความพร้อมของชุมชนจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป หากแต่เป็นภารกิจจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ล่าสุด องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้เดินหน้ายกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ด้วยการจัดโครงการฝึกซ้อมระงับอัคคีภัยและอพยพหนีแผ่นดินไหว ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชายแดน และเป็นแหล่งชุมชนบนพื้นที่ภูเขาที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ

โดยโครงการครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างทักษะการเอาตัวรอดแก่ประชาชน สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย PDOSS หรือ “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ” ของ อบจ.เชียงราย สู่การปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่

ฝึกจริง เข้าใจจริง รับมือได้จริงภารกิจที่เริ่มจากคนในชุมชน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ หอประชุมบ้านเทอดไทย หมู่ 1 ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.จากเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง และผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครภาคประชาชน รวมถึงตัวแทนจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป

การฝึกซ้อมครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะทฤษฎี แต่เน้นการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริง ตั้งแต่การฝึกใช้เครื่องดับเพลิงชนิดต่าง ๆ การจำลองสถานการณ์แผ่นดินไหว การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ และการประสานงานข้ามหน่วยงาน ทั้งหมดล้วนสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในการตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

PDOSS แนวคิดแห่งอนาคตที่เริ่มต้นแล้ววันนี้

PDOSS (Public Disasters One Stop Service) เป็นนโยบายที่ อบจ.เชียงราย ริเริ่มขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัย การตอบสนองทันทีเมื่อเกิดเหตุ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายให้ทุกตำบลมี “ศูนย์ปฏิบัติการท้องถิ่น” ที่สามารถตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันเวลาและมีประสิทธิภาพ

การนำ PDOSS ลงพื้นที่แม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมฝึกอบรม แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ภูมิคุ้มกันภายใน” ให้กับชุมชน เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองก่อนที่ความช่วยเหลือจากภายนอกจะเดินทางมาถึง

ความร่วมมือคือหัวใจของความสำเร็จ

ความโดดเด่นของกิจกรรมครั้งนี้คือการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานด้านสาธารณสุข และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่

ความร่วมมือเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความแข็งแกร่งในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน และเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการสาธารณะในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ

ทำไมแม่ฟ้าหลวงถึงเป็นพื้นที่เป้าหมาย

อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากทั้งอัคคีภัยในชุมชนบ้านไม้ และดินถล่ม/แผ่นดินไหวเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน และบ้านเรือนจำนวนมากอยู่ใกล้แนวป่าหรือแนวลาดชัน

การวางระบบ PDOSS จึงเป็นการสร้างเครือข่ายการแจ้งเตือนและรับมือภัยพิบัติที่สอดคล้องกับลักษณะของพื้นที่ ช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือได้ทันเวลา ลดโอกาสการบาดเจ็บ สูญเสียทรัพย์สิน และแม้กระทั่งชีวิต

ผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน สร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน

จากการลงพื้นที่ติดตามของผู้สื่อข่าว พบว่าผู้เข้าร่วมอบรมมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือดับเพลิงเพิ่มขึ้นกว่า 80% และสามารถดำเนินการอพยพจำลองได้อย่างมีระเบียบภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีการจัดทำคู่มือ “เอาตัวรอดเมื่อเกิดแผ่นดินไหวและอัคคีภัย” แจกจ่ายให้กับทุกครัวเรือนในพื้นที่

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากโครงการนี้ ได้แก่:

  • เสริมทักษะชีวิตในภาวะฉุกเฉิน
  • เพิ่มความมั่นใจและลดความตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง
  • สร้างวัฒนธรรมการเตรียมพร้อมและการเอื้อเฟื้อกันในชุมชน
  • เสริมศักยภาพหน่วยงานท้องถิ่นให้สามารถรับมือภัยพิบัติได้เอง

เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นวาระแห่งท้องถิ่น

การดำเนินโครงการฝึกซ้อมอัคคีภัยและแผ่นดินไหวของ อบจ.เชียงราย ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างของการพัฒนาท้องถิ่นที่เข้าใจบริบทอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงการทำตามระเบียบ แต่เป็นการ “สร้างความปลอดภัยเชิงรุก” เพื่อให้คนในพื้นที่มีเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงเมื่อเกิดภัย

วิสัยทัศน์ของ PDOSS จึงไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงนโยบาย แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ เมื่อทุกคนในพื้นที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง

ในยุคที่ภัยพิบัติไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า หนทางเดียวที่เราจะสามารถลดความสูญเสีย คือการ “เตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุ” อย่างมีแบบแผน ยั่งยืน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการฝึกซ้อมโครงการ PDOSS ประจำปี 2568
  • สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมอบรม และเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
  • กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตพุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

วงการ K-Pop สะเทือน! “เว็บ Bot” ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต BLACKPINK พุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2567 – วงการ K-Pop ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จากปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตโดยใช้ เว็บ Bot” เพื่อกว้านซื้อบัตรจำนวนมากและนำไปขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งแฟนเพลงและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการประกาศเวิลด์ทัวร์ของวง BLACKPINK WORLD TOUR < DEADLINE > IN BANGKOK ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการบัตรที่สูงลิ่ว แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลว่าปัญหา “บัตรผี” จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง

ข่าวล่าสุดจาก YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดของ BLACKPINK ที่ประกาศความสำเร็จของเพลง “PINK VENOM” ซึ่งทำยอดชมทะลุ 1 พันล้านวิวบน YouTube ตอกย้ำถึงความนิยมที่แข็งแกร่งของวงและอุตสาหกรรม K-Pop ที่ยั่งยืนมาอย่างยาวนาน แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับกลายเป็นดาบสองคมที่เปิดช่องให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

บัตรผี” ราคาพุ่ง 3 เท่ากรณีศึกษา GOT7

แม้จะมีการประกาศเวิลด์ทัวร์ของ BLACKPINK ที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มีความกังวลถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตอื่นๆ เช่น “2025 GOT7 CONCERT in BANGKOK” ซึ่งจัดแสดง 2 รอบที่สนามราชมังคลากีฬาสถานและบัตรเข้าชมได้ถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลพบว่า ราคาบัตรคอนเสิร์ตของ GOT7 ที่มีราคาหน้าบัตรสูงสุด 9,900 บาท ถูกนำไปขายต่อในเว็บไซต์ของจีนในราคาสูงถึง 40,000 – 50,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหน้าบัตรถึง 3 เท่าตัว!

เงินจำนวนมหาศาลจากการขายบัตรผีเหล่านี้ไหลออกนอกประเทศอย่างไร้หลักฐานการรับรองกำไรที่ชัดเจน และยังส่งผลให้เกิดการโกงบัตรเพิ่มมากขึ้น โดยผู้เสียหายหลายรายถูกหลอกให้ซื้อบัตรราคาแพงโดยอ้างว่าสามารถเลือกที่นั่งได้ก่อนใคร แต่ไม่กล้าออกมาแจ้งความเพราะกลัวความผิดในฐานะผู้ซื้อบัตรผี

โดยเฉลี่ยแล้ว ความเสียหายจากกรณีการโกงบัตรคอนเสิร์ตอยู่ที่หลักหมื่นต่อคน หากมีคอนเสิร์ตใหญ่ 20 งานต่อปี และแต่ละงานมีผู้เสียหายหลักสิบราย มูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง 20 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว แต่ทั้งภาครัฐและเอกชนกลับยังคงนิ่งเฉยกับปัญหานี้ และไม่มีระบบหรือกฎหมายที่เอาจริงเอาจังในการจัดการกับการโกงที่เกิดขึ้น

กลไกการทำงานของ “เว็บ Bot” เหนือมนุษย์และหลบเลี่ยงกฎ

เว็บ Bot” คือซอฟต์แวร์อัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อซื้อบัตรจำนวนจำกัดด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์อย่างมาก โดยบอทเหล่านี้จะเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์แต่ทำงานได้เร็วกว่าและในปริมาณที่มากกว่า ทำให้สามารถกว้านซื้อบัตรได้หลายร้อยใบในทันทีที่การขายเริ่มต้นขึ้น

นอกจากนี้ บอทยังถูกใช้เพื่อ “Denial of Inventory” โดยการจองบัตรเข้าตะกร้าสินค้าไว้ ทำให้บัตรเหล่านั้นไม่สามารถซื้อได้สำหรับแฟนเพลงตัวจริง ผู้ดำเนินการบอททราบดีว่าความต้องการที่สูงจะทำให้แฟนเพลงยอมจ่ายในราคาที่สูงเกินจริงเพื่อหาบัตรมาครอบครอง

ผลกระทบที่รุนแรง จากความฝันสู่การฉ้อโกง

การแพร่หลายของบอทส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง:

  • การปั่นราคาที่สูงเกินจริง: ความต้องการที่สูงและอุปทานที่ถูกจำกัดโดยบอท ทำให้ราคาบัตรในตลาดรองพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เปลี่ยนงานอีเวนต์ทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร
  • การหลอกลวงที่แพร่หลาย: การกว้านซื้อบัตรโดยบอทนำไปสู่การหลอกลวงที่เพิ่มขึ้น ทั้งการขายบัตรปลอมคุณภาพสูง และการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ซื้อก่อนจะหายตัวไปในที่สุด
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: เงินจากการขายบัตรราคาแพงจำนวนมหาศาลไหลออกจากประเทศไปสู่กลุ่มสเกลเปอร์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย
  • ทำลายความเชื่อมั่น: แฟนเพลงรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังที่ความรักต่อศิลปินถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม

กฎหมายไทยยังเป็นช่องโหว่ ขาดมาตรการเอาผิดการปั่นราคา

ในขณะที่หลายประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ได้ออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปั่นราคาบัตรและกำหนดให้มีการจำหน่ายบัตรระบุชื่อจริง ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายเฉพาะที่มุ่งเป้าไปที่การปั่นราคาบัตรโดยตรง ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดรอง

แม้ว่าแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรอย่าง Thaiticketmajor จะมีแนวปฏิบัติที่เข้มงวด เช่น การใช้บัตรแข็งที่พิมพ์ชื่อผู้ซื้อและห้ามการโอน แต่มาตรการเหล่านี้ก็อาจผลักดันให้แฟนเพลงตัวจริงต้องหันไปพึ่งพาช่องทางที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์แก้ปัญหาวิกฤตอย่างยั่งยืน

เพื่อแก้ไขปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต K-Pop ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และปกป้องแฟนเพลงจากความเสียหายที่รุนแรง ควรมีการดำเนินกลยุทธ์แบบหลายชั้นดังนี้:

  1. เร่งออกกฎหมายต่อต้านการปั่นราคา: ภาครัฐควรพิจารณาออกกฎหมายที่ชัดเจนและมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ใช้บอทในการกว้านซื้อบัตรและขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง
  2. พัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านบอท: ผู้จัดงานและแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรควรลงทุนในระบบต่อต้านบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีการวิเคราะห์พฤติกรรมขั้นสูง เพื่อตรวจจับและบล็อกกิจกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. บังคับใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริง: พิจารณาการใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริงอย่างเข้มงวด พร้อมกับพัฒนากลไกการโอนบัตรที่ปลอดภัยและเป็นทางการในราคาหน้าบัตร เพื่อให้แฟนเพลงตัวจริงยังคงได้รับความยืดหยุ่นในการเดินทาง
  4. เพิ่มความโปร่งใส: ผู้จัดงานควรมีการกำกับดูแลการจัดสรรบัตรอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดกับสเกลเปอร์ และควรมีช่องทางการสื่อสารที่ชัดเจนกับแฟนเพลง
  5. ให้ความรู้และช่องทางร้องเรียน: แฟนเพลงควรได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยของการหลอกลวงบัตร และควรมีช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง หากมีปัญหาเกิดขึ้น

ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมบันเทิงกำลังเติบโตและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปัญหาการปั่นราคาบัตรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป หากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของแฟนเพลงจะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้
Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th

และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการซื้อบัตรคอนเสิร์ต สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี 
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจาก YG Entertainment, BLACKPINKOFFICIAL

  • รายงาน GOT7 Concert in Bangkok 2025

  • Thaiticketmajor

  • บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี Ticketing Systems

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC Thailand): โทร. 1502 / Line: @tccthailand / Facebook และ Tiktok: tccthailand

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

  • รายงานตลาด Ticket Resale จาก Deloitte Asia 2023

  • รายงานโดยกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

โลจิสติกส์บูม! คลังสินค้าไทยผงาดเป็นศูนย์กลางโลก พร้อมปลดล็อกเชียงแสน

ไทยผงาดเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าโลก รับแรงส่งการลงทุนต่างชาติ EEC-โลจิสติกส์บูม ขณะเชียงแสนเร่งปลดล็อกศักยภาพประตูการค้าจีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยกำลังย่างก้าวขึ้นสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญในฐานะ “ศูนย์กลางคลังสินค้าโลก” โดยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสการย้ายฐานการผลิตและการจัดจำหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่มองหาจุดยุทธศาสตร์ที่มั่นคงสำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้า

การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของ 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของประเทศ ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมาตรฐานคลังสินค้าที่เทียบเท่าระดับสากล ซึ่งสะท้อนผ่านการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าของภาคเอกชนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประตูสู่ท่าเรือและเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ภาคเอกชนเร่งขยายลงทุน รับดีมานด์พุ่งทะยาน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าไทยปรากฏชัดเจนจากผลการดำเนินงานของผู้เล่นรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ

SCX Corporation บริษัทลูกในเครือ SC Asset ที่มุ่งเน้นธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ได้ประกาศแผนการลงทุน 20,000 ล้านบาทระหว่างปี 2568-2572 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้สูงถึง 110,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 260% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทะลุ 150,000 ตารางเมตร

ความสำเร็จของ SCX ปรากฏชัดจากโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ซึ่งพื้นที่อาคารทั้งหมดถูกเช่าเต็ม 100% ทันทีที่เปิดตัว จุดแข็งของ SCX อยู่ที่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งสัญชาติ (ญี่ปุ่น 25%, จีน 23%) และประเภทธุรกิจ (โลจิสติกส์ 45%, การผลิต 25%, ดาต้าเซ็นเตอร์ 16%) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัวคลังสินค้า “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 คลังสินค้าแห่งใหม่นี้มีพื้นที่กว่า 34,200 ตร.ม. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยได้รับการออกแบบตามมาตรฐานสากลและมุ่งสู่การเป็น “Green Warehouse” เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยยึดหลัก ESG พร้อมแผนก่อสร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เร่งขยายพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอีกเกือบ 6,000 ตารางเมตร นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า-ส่งออกที่ต้องการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เมื่อรวมพื้นที่เดิม คลังสินค้าปลอดอากรของ SINO จะเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ตารางเมตร จากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร และมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ภายในปี 2569

ข้อมูลจากตลาดโลจิสติกส์ไทยชี้ว่า ในปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่ 150,686 ตร.ม. เข้าสู่ตลาด โดย EEC จะคิดเป็น 72% ของอุปทานในอนาคต ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว

เชียงแสน-เชียงของ ประตูการค้าเหนือที่กำลังปลดล็อกศักยภาพ

ขณะที่ภาคกลางและตะวันออกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภาคเหนือก็กำลังเขียนบทใหม่ด้วยการยกระดับท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าและโลจิสติกส์สำคัญ การพัฒนาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา แต่คือการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่ารวม 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกผ่านท่าเรือมีมูลค่า 5,650 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 312 ล้านบาท

ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของการขนส่งสินค้าทางน้ำกับจีน ด้วยขีดความสามารถที่สูงถึง 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่าตัว แต่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันมহาศาลนี้ยังคงไม่เต็มที่ สาเหตุหลักมาจาก “ความท้าทายในการเดินเรือ” ในแม่น้ำโขง ทั้งในเรื่องกระแสน้ำเชี่ยวในฤดูน้ำหลากและระดับน้ำที่ตื้นเขินในฤดูแล้ง

อย่างไรก็ตาม ความหวังใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากการประกาศของสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ที่อนุมัติให้ “ท่าเรือกวนเหล่ย” ในมณฑลยูนนานของจีน มีสถานะเป็น “ด่านเฉพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” อย่างเป็นทางการ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของภาคการส่งออกไทย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป “ผลไม้ไทย” จะสามารถเดินทางจากท่าเรือเชียงแสนตรงไปยังจีนทางแม่น้ำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีการหลายขั้นตอนเหมือนในอดีต

การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาคอขวดที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญ และคาดการณ์ว่าปริมาณการนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะพุ่งสูงถึง 150,000 ตัน ในปี 2568 และแตะ 300,000 ตัน ภายในปี 2573 โดยผลไม้สด เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปยังจีนผ่านเส้นทาง R3A

ควบคู่ไปกับการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน อำเภอเชียงของ กำลังถูกวางตำแหน่งให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบ” (Multimodal Logistics Hub) และ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” (SEZ) ที่สำคัญ โดยมีจุดเด่นจากการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งทางถนน (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4), ทางน้ำ และในอนาคตอันใกล้นี้คือทางรถไฟ

การแข่งขันจากรถไฟจีน-ลาว บทท้าทายที่เป็นโอกาส

การเปิดให้บริการ “รถไฟจีน-ลาว” เมื่อปลายปี 2564 ได้สร้างคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ในแวดวงโลจิสติกส์ภาคเหนือ เส้นทางใหม่นี้ไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่คือ “ตัวเร่ง” ให้ท่าเรือเชียงแสนและเชียงของต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรถไฟจีน-ลาวมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในหลายด้าน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนน R3A และ 42% เมื่อเทียบกับเส้นทางแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังลดเวลาการขนส่งผลไม้สดจากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ ให้เหลือเพียง 55 ชั่วโมง เร็วกว่าการขนส่งแบบเดิมถึง 1 วัน

ข้อมูลปี 2566 แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรไทย โดยดูดซับผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยมากกว่า 40% นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าการเกิดขึ้นของรถไฟจีน-ลาว คือการเปลี่ยนเกมครั้งสำคัญที่จะผลักดันให้การค้าและการลงทุนมุ่งไปสู่ระบบรางมากขึ้น และจะทำให้เส้นทางการค้าทางน้ำต้องหันมาเน้นการขนส่งสินค้าเฉพาะทางหรือสินค้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นหลัก

ประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทย

การขยายตัวครั้งใหญ่ในธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในหลายมิติ

การลงทุนขนาดใหญ่ในคลังสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ สร้างความต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในส่วนของการก่อสร้าง การบริหารจัดการคลังสินค้า และบริการสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง การที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้น ไม่เฉพาะในธุรกิจคลังสินค้า แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิต การค้า และอีคอมเมิร์ซ

ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าหรือผลิตในประเทศลดลง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ในราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น การมุ่งเน้นการสร้าง “Green Warehouse” การใช้พลังงานสะอาด และรถขุดไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เพื่อปลดล็อกศักยภาพของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าสำคัญของประเทศอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ที่ท่าเรือกวนเหล่ย รวมถึงประสานงานกับลาวเพื่อปรับปรุงเวลาทำการของด่านให้สอดคล้องกัน

การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ และโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อบูรณาการระบบขนส่งให้ครบทุกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญ

การแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำอย่างรอบด้าน รวมถึงการใช้โอกาสจากการที่ท่าเรือกวนเหล่ยเปิดเป็นด่านผลไม้ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลไม้ไทยให้สูงสุด และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน cold chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงแต่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ครบวงจรและยั่งยืน สร้างประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนทุกคนในทุกมิติ การปรับตัวและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ของประเทศไทย จะช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสทองจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกได้อย่างเต็มที่ และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • SC Asset Corporation (SCX Corporation) – รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปี 2568
  • Bangkok Post – รายงานการค้าชายแดน 10 เดือนแรก 2567
  • Knight Frank Thailand – รายงานตลาดโลจิสติกส์ไทย ครึ่งปีหลัง 2567
  • China Briefing – ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน 2568
  • บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด – ข่าวประชาสัมพันธ์การเปิดคลังสินค้าแหลมฉบัง
  • บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น – แผนขยายคลังสินค้าปลอดอากร
  • สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) – ประกาศอนุมัติท่าเรือกวนเหล่ย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ยกระดับสื่อไทย! SONP-Google จัดอบรม AI เข้มข้น หวังสร้างข่าวคุณภาพ

SONP จับมือ Google พลิกโฉมกองบรรณาธิการไทย สู่ยุค AI ขับเคลื่อนสื่อคุณภาพ

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – การอบรมเชิงลึก เสริมพลังบรรณาธิการทั่วประเทศ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ร่วมกับ Google News AI Lab จัดอบรมเข้มภายใต้โครงการ “News AI Lab Train-the-Trainer รุ่นที่ 1” เมื่อวันที่ 2–3 สิงหาคม 2568 ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารจากสำนักข่าวทั่วประเทศ รวมถึงผู้บริหารสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ นำโดยคุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร และคุณกันณพงศ์ ก.บัวเกษร เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

การอบรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับทักษะของกองบรรณาธิการข่าวในการใช้เครื่องมือ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการสืบค้นข้อมูล การตรวจสอบข่าวปลอม และการปรับกระบวนการผลิตเนื้อหาให้ทันต่อยุคสื่อดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญ ถ่ายทอดความรู้ด้าน AI เพื่อข่าวคุณภาพ

การอบรมประกอบด้วยการบรรยายเชิงลึกโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากวงการสื่อ ได้แก่

  • คุณธนภณ เรามานะชัย – Media Consultant
  • คุณณัฐกร ปลอดดี – Southeast Asia Digital Verification Editor จาก AFP
  • คุณระวี ตะวันธรงค์ – ที่ปรึกษา SONP และกรรมการด้านจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  • คุณชุตินธรา วัฒนกุล – บรรณาธิการบริหารด้านข่าวออนไลน์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

วิทยากรได้ถ่ายทอดวิธีการใช้เครื่องมือ AI จาก Google ได้แก่ Gemini, NotebookLM, Google Trends, Google Lens และเทคนิคการตรวจสอบข่าวปลอม (Fake News Verification) ทั้งในรูปแบบข่าว บทความ ภาพ และวิดีโอปลอม

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังได้ฝึกภาคปฏิบัติเพื่อเรียนรู้การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในบริบทของงานข่าวจริง พร้อมแนะแนววิธีนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในกองบรรณาธิการ ทั้งด้านความเร็ว ความแม่นยำ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

สร้างระบบนิเวศข่าวด้วย AI จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

หลังการอบรม ผู้เข้าอบรมจะต้องนำความรู้ไปทดลองใช้จริงในกองบรรณาธิการของตน โดย SONP และทีมจาก Google จะให้คำปรึกษารายหน่วยงาน เพื่อให้การปรับใช้ AI มีความเหมาะสมและเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ กองบรรณาธิการที่เข้าร่วมจะได้รับการรับรองผ่านใบประกาศนียบัตรจาก SONP หากสามารถส่ง Case Study ที่แสดงการประยุกต์ใช้เครื่องมือ AI ในการทำข่าว พร้อมข้อเสนอในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและสร้างสรรค์

การใช้ AI กับกองบรรณาธิการไทย

การจัดอบรมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการสื่อไทย ในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลากหลายอุตสาหกรรม สำหรับสื่อมวลชน AI ไม่เพียงช่วยย่นระยะเวลาการผลิตเนื้อหา แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการ “ตรวจสอบความจริง” และ “เพิ่มความลึกของข้อมูลข่าวสาร”

ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อประชาชนทั่วไป:

  • ข้อมูลเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น: ผู้บริโภคสื่อจะได้รับข่าวที่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด ช่วยลดการรับข่าวปลอม
  • เนื้อหาที่ตรงความสนใจและตอบโจทย์: ด้วยระบบ AI อย่าง Google Trends และ Gemini กองบรรณาธิการสามารถออกแบบเนื้อหาตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางข้อมูล: สื่อที่ใช้ AI อย่างถูกวิธีสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างความตระหนักเรื่องข่าวปลอมแก่สังคม

ในภาพรวม AI จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้มาแทนที่นักข่าว หากแต่ยกระดับการทำงานให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

เดินหน้าสู่รุ่นที่ 2 ขยายผลสู่วงกว้าง

จากผลตอบรับที่ดีในรุ่นแรก สมาคมฯ ได้ประกาศเตรียมจัด “News AI Lab Train-the-Trainer รุ่นที่ 2” ในวันที่ 6–7 กันยายน 2568 โดยจะเปิดรับผู้บริหารและบรรณาธิการจากหน่วยงานข่าวทั่วประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อขยายผลการเรียนรู้ และสร้างเครือข่ายสื่อที่เข้าใจและใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์

AI คือเครื่องมือ ไม่ใช่ศัตรูของนักข่าว

ความร่วมมือระหว่าง SONP และ Google ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าในยุคสื่อเปลี่ยนผ่าน การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “ความจำเป็น” สำหรับนักข่าวและองค์กรสื่อที่ต้องการอยู่รอดและเติบโต

ด้วยทิศทางนี้ ผู้บริโภคสื่อจะได้รับข่าวที่มีคุณภาพ ตรวจสอบได้ และนำไปสู่สังคมแห่งการรู้เท่าทันข้อมูลอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
  • Google News AI Lab
  • สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • AFP Southeast Asia Fact-Check Editor
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มรภ.เชียงรายเปิดศักราชใหม่! ทุ่ม 78 ล้าน สร้างอาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ พร้อมให้บริการปี 69

มรภ.เชียงราย เปิดศักราชใหม่! อาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ หลังใหม่ มูลค่ากว่า 78 ล้าน พร้อมให้บริการปี 2569

เชียงราย, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.ชร.) กำลังเขียนบทใหม่แห่งความก้าวหน้า ด้วยโครงการก่อสร้าง “อาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่” สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 78.39 ล้านบาท

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาคารหมายเลข 1 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นสักขีพยานแห่งการเรียนรู้ของนักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เวลาที่ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเก่าแก่ไว้บนผนังและโครงสร้างของอาคารแห่งนี้ จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับภารกิจทางการศึกษาในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม

วันนี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.ชร. ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตการเรียนรู้ของผู้คนมากกว่า 2,400 คน ประกอบด้วยนักศึกษาไทยมากกว่า 2,100 คน นักศึกษาต่างชาติมากกว่า 200 คน คณาจารย์มากกว่า 78 คน และบุคลากรสนับสนุนมากกว่า 11 คน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยฯ โดยเฉพาะในด้านการรับนักศึกษาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“อาคารเดิมที่มีอายุการใช้งาน 50 ปี มีสภาพทรุดโทรมอย่างมีนัยสำคัญ และมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ใช้งานจริง” ดังที่ปรากฏในรายงานการประเมินสภาพอาคาร สถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน แต่ยังเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของคณะฯ

ปัจจุบันคณะฯ เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีถึงมากกว่า 11 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษามากกว่า 3 หลักสูตร การขยายตัวของหลักสูตรเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและทันสมัย เพื่อให้สามารถส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

วิสัยทัศน์สู่ “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ”

โครงการก่อสร้างอาคารใหม่นี้ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยฯ สู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ในกรอบนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยฯ มองเห็นโอกาสสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม และเสริมสร้างศักยภาพในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคใต้ของประเทศจีน อาคารใหม่นี้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์

ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ซึ่งหมายถึงการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงและวิธีการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมภายในสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งใหม่

กระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ความน่าเชื่อถือของโครงการนี้สะท้อนได้จากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยแบ่งออกเป็นสองระยะที่ชัดเจน ได้แก่ การจ้างบริการออกแบบ และการจ้างก่อสร้าง

การจัดซื้อจัดจ้างทั้งสองระยะดำเนินการผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement: e-GP) ซึ่งเป็นการรับรองความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

สำหรับงบประมาณค่าจ้างบริการออกแบบ มีมูลค่าประมาณ 2,283,167.77 บาท โดยใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัยฯ ในปีงบประมาณ 2566 ส่วนงบประมาณค่าก่อสร้างมีมูลค่าประมาณ 76,105,592.39 บาท ซึ่งจะมีการลงนามสัญญาเมื่อได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567

มหาวิทยาลัยฯ ได้ยึดหลักเกณฑ์คุณสมบัติและการประเมินที่เข้มงวด ทั้งผู้ให้บริการออกแบบและก่อสร้างจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย มีความมั่นคงทางการเงิน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการออกแบบ จะต้องมีประสบการณ์ในการออกแบบอาคารสาธารณะมูลค่าไม่น้อยกว่า 38 ล้านบาท

ผลกระทบที่คาดหวังต่อชุมชนและสังคม

เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2569 ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม

ในด้านการศึกษา อาคารใหม่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิตที่จบออกไป ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ในด้านเศรษฐกิจ การดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมากขึ้นจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ที่พัก และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ในด้านสังคม มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทำให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้าถึงการศึกษาที่มีมาตรฐานสากลโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษายังเมืองใหญ่

การคลี่คลายปมปัญหาและการก้าวไปข้างหน้า

ปมปัญหาหลักที่โครงการนี้มาแก้ไขคือการขาดแคลนพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารใหม่ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ที่ครบครัน

อาคารใหม่จะไม่เพียงแต่ทดแทนพื้นที่เดิมที่ไม่เพียงพอ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเติบโตในอนาคต สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การศึกษาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ

การเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ “ประเทศไทย 4.0” ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มองเห็นความสำคัญของการศึกษาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างบัณฑิตที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาคอาเซียน

มิติการพัฒนาที่ยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นในการใช้งาน จะช่วยให้อาคารนี้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังสอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรม สิ่งนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและเสริมสร้างอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ

โครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จึงเป็นมากกว่าการสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับการศึกษาไทย การลงทุนกว่า 78 ล้านบาทนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาภูมิภาคและความก้าวหน้าทางปัญญาอย่างยั่งยืนต่อไป

เมื่อปี 2569 อาคารแห่งใหม่นี้จะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษารุ่นใหม่ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของการศึกษาไทย สร้างความหวังใหม่ให้กับเยาวชนที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประเมินสภาพอาคาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระบบ e-Government Procurement (e-GP)
  • รายละเอียดโครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์ มรภ.เชียงราย
  • แผนยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีงบประมาณ 2566-2570
  • นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สดุดีวีรชนผู้กล้า! เชียงราย-พะเยาร่วมกิจกรรมรวมพลังทหารผ่านศึกปกป้องแผ่นดินไทย

เชียงราย-พะเยา รวมพลังทหารผ่านศึก โบกธงสดุดีวีรชนผู้กล้า สะท้อนพลังปกป้องแผ่นดิน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – สดุดีวีรชน สะท้อนจิตวิญญาณรักชาติท่ามกลางความไม่สงบ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่ยังคงเปราะบาง ทั้งทางภาคใต้และชายแดนด้านตะวันออกของประเทศ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้จัดกิจกรรม “รวมพลังทหารผ่านศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย” ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ โดยจังหวัดเชียงรายและพะเยาเป็นจุดหลักของกิจกรรม เพื่อรำลึกและสดุดีวีรชนผู้เสียสละ สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณรักชาติที่ยังคงลุกโชนในใจประชาชนและเหล่าทหารผ่านศึก

สองจังหวัดร่วมแสดงพลัง ณ สถานที่ประวัติศาสตร์

กิจกรรมหลักในพื้นที่จัดขึ้น ณ อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และอนุสรณ์สถานสามผู้กล้า อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีนางมณธิยา กำจาย รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย เป็นผู้นำกิจกรรม พร้อมด้วยกำลังพลจาก ร.17 พัน 4, ทหารกองหนุน และทหารผ่านศึกเข้าร่วมอย่างคึกคัก

ผู้ร่วมกิจกรรมได้พร้อมใจกันร้องเพลงชาติและโบกธงไตรรงค์อย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบนิ่งปนพลังใจอันแน่วแน่ สะท้อนความพร้อมของประชาชนในการยืนหยัดร่วมกับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย

จากเลือดเนื้อสู่จิตวิญญาณทหารไทย

กิจกรรมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความเสียสละในอดีต แต่ยังส่งต่อคุณค่าทางจิตใจและประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศยังคงเผชิญแรงกดดันจากเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดน การแสดงพลังผ่านสัญลักษณ์อย่างธงชาติและบทเพลงรักชาติ ได้กลายเป็นเสาหลักทางจิตใจที่ปลุกความภาคภูมิใจในหัวใจคนไทย

นางมณธิยา กล่าวว่า “การรวมพลังของทหารผ่านศึกทุกนายคือคำตอบว่าความรักชาติไม่มีวันหมดอายุ แม้หมดภารกิจในสมรภูมิ แต่หน้าที่ในการปกป้องจิตวิญญาณชาติยังคงดำรงอยู่”

ความหมายทางสังคมและนัยต่อความมั่นคง

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และสังคมวิเคราะห์ว่า กิจกรรมเช่นนี้มีความสำคัญลึกซึ้งหลายด้าน ได้แก่:

  • การส่งต่อคุณค่าและความภาคภูมิใจ: การมีส่วนร่วมของทหารกองหนุนและทหารประจำการ เป็นการเชื่อมโยงคุณค่าแห่งการเสียสละจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความหมายของคำว่า “ปกป้องแผ่นดิน” ยังคงชัดเจนในสำนึกของคนไทย
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ: ท่ามกลางข่าวความรุนแรงชายแดน การจัดกิจกรรมที่มีสัญลักษณ์ร่วมแห่งชาติ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมพลังใจแก่ทั้งทหาร ครอบครัว และประชาชนในพื้นที่
  • ตอกย้ำความชอบธรรมของรัฐ: พลังร่วมจากภาคประชาชนในการแสดงออกถึงการปกป้องอธิปไตย ย่อมเป็นหลักฐานชัดเจนว่าประชาชนให้การสนับสนุนนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐอย่างแท้จริง

สามัคคีคือรากฐานของความมั่นคง

การรวมพลังครั้งนี้ ยังมีนัยทางการเมืองที่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นการยืนยันต่อสังคมและนานาชาติว่า คนไทยไม่เพิกเฉยต่อภัยคุกคามอธิปไตย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ความสามัคคีและพลังประชาชนคือเกราะสำคัญในการปกป้องเส้นแบ่งแผ่นดินให้ปลอดภัยจากอิทธิพลภายนอก

สถานที่จัดกิจกรรมอย่างอนุสรณ์สถานชายแดน เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจคนรุ่นหลังว่า “สันติภาพมีราคา” และราคานั้นคือชีวิตของวีรชนที่ไม่อาจลืมเลือน

พลังทหารผ่านศึกพลังเงียบที่ยังคงเคลื่อนไหว

แม้หลายคนจะคิดว่าทหารผ่านศึกคือคนที่พ้นภารกิจแล้ว แต่กิจกรรมในครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่า พวกเขายังมีบทบาทสำคัญในสังคม การเคลื่อนไหวอย่างสงบแต่มั่นคงของกลุ่มนี้ คือกำลังเสริมทางจิตใจของชาติ และอาจกลายเป็นพลังสนับสนุนทางนโยบายในยามจำเป็น

ผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 นายทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าทหารผ่านศึกคือเครือข่ายพลังใจที่ยังคงเข้มแข็ง ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางสังคมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน

จากกิจกรรมรำลึก สู่พลังที่เปลี่ยนสังคม

กิจกรรม “รวมพลังทหารผ่านศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย” เป็นมากกว่าพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออกเชิงรูปธรรมว่าความรักชาติยังคงอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกช่วงวัย และเป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง

ความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ทหาร และประชาชนในกิจกรรมนี้ เป็นการแสดงพลังแบบสันติวิธีที่ทรงพลังยิ่ง การปกป้องอธิปไตยไม่จำเป็นต้องใช้เพียงกำลังอาวุธ แต่ใช้พลังใจ ความเข้าใจ และความร่วมมืออย่างแนบแน่นได้เช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย
  • กองทัพบก ร.17 พัน 4
  • สำนักข่าวท้องถิ่นเชียงรายและพะเยา
  • การวิเคราะห์จากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานกิจกรรมจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ลำไยบินได้” เชียงรายจับมือเวียตเจ็ท แก้ปัญหาราคาตก-ผลผลิตล้นตลาด

ลำไยบินได้” เชียงรายผนึกกำลังเวียตเจ็ท แก้ราคาตก-ล้นตลาด ด้วยพลังขนส่งทางอากาศ

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – เชียงรายคิกออฟ “ลำไยบินได้” ปั้นโมเดลเชื่อมตลาดใต้ จังหวัดเชียงรายเปิดฉากโครงการ “ลำไยบินได้” อย่างเป็นทางการ โดยร่วมมือกับสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ ส่งตรงลำไยเกรดพรีเมียมจากภาคเหนือสู่ภูเก็ต หวังเพิ่มมูลค่าผลผลิต สร้างทางเลือกใหม่ให้เกษตรกร พร้อมแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ

การแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เผยว่า ความร่วมมือนี้เป็นกลไกเฉพาะหน้าเพื่อระบายผลผลิตลำไยคุณภาพ คัดเกรด AA+A บรรจุขนาด 5 กก./ตะกร้า ผ่านใต้ท้องเครื่องบินผู้โดยสาร มีกำหนดขนส่งระหว่างวันที่ 4-29 สิงหาคม 2568 คาดเป้าหมายรวมกว่า 24 ตัน หรือประมาณสัปดาห์ละ 6 ตัน

สนามบินแม่ฟ้าหลวงหนุนเต็มกำลัง เสริมโลจิสติกส์ผลไม้เชียงราย

น.ต.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ยืนยันว่า สนามบินมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าเกษตรได้ถึง 5,000 ตันต่อปี พร้อมจัดพื้นที่ ปรับระบบโลจิสติกส์ และเพิ่มความปลอดภัย เพื่อให้ลำไยถึงจุดหมายด้วยความสดใหม่และรวดเร็ว

ในขณะที่นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย มองว่า การกระจายสินค้าด้วยระบบขนส่งทางอากาศนี้ ช่วยเปิดตลาดใหม่และลดแรงกดดันจากตลาดเดิม พร้อมระบุว่าการส่งออกภายในประเทศแบบ point-to-point ถือเป็นทางเลือกสำคัญของเกษตรกรยุคใหม่

ลำไยล้นตลาด 1.69 ล้านตัน วิกฤตราคาต่ำสุดในรอบ 11 ปี

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและศูนย์วิจัยกสิกรไทย สอดคล้องกันว่า ปี 2568 ลำไยในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิตรวมสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเชียงรายที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 64,419 ตัน เป็น 106,929 ตัน หรือพุ่งขึ้นกว่า 66% ทำให้ราคาตลาดเฉลี่ยตกต่ำเหลือเพียง 14 บาท/กิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวเสริมว่า ความท้าทายนี้เกิดจากผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันในปริมาณมาก แต่ยังขาดระบบกระจายที่รวดเร็วและเชื่อมโยงตลาดได้ทันที

รัฐบาลอัดมาตรการด่วน เสริมทัพโครงการเชียงราย

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร รัฐบาลโดยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผย 3 มาตรการคู่ขนานที่กำลังดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม ได้แก่:

  • มาตรการช่วยเหลือด้านการตลาด: กำหนดราคาขั้นต่ำลำไยรูดร่วง (เกรด AA 13 บาท/กก., A 6 บาท/กก.) โดยสมาคมโรงอบลำไยภาคเหนือและกรมการค้าภายใน
  • เตรียมเสนอ ครม. พัฒนาสวนลำไยคุณภาพ: สนับสนุนค่าตัดแต่งและปัจจัยการผลิต รวมสูงสุด 14,000 บาท/ครัวเรือน
  • ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 0% แปรรูปผลผลิต: ร่วมมือกับ อ.ต.ก. และหน่วยงานต่างๆ กระจายผลผลิตลำไยผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ยุติธรรม และไปรษณีย์ไทย

โมเดล “ลำไยบินได้” สร้างผลประโยชน์ให้ใคร?

การเปิดตัวโมเดลการขนส่งลำไยทางอากาศครั้งนี้ แม้เป็นมาตรการเฉพาะหน้า แต่สร้างผลกระทบในเชิงบวกอย่างชัดเจนต่อประชาชนหลายกลุ่ม ได้แก่:

  • เกษตรกร: ได้ราคาที่สูงขึ้น และไม่จำเป็นต้องเร่งเก็บเกี่ยวลำไยก่อนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม
  • ผู้บริโภคในพื้นที่ปลายทาง: ได้รับลำไยสดคุณภาพดีในราคาที่เป็นธรรม
  • ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และสนามบิน: มีโอกาสพัฒนาเส้นทางขนส่งเชิงพาณิชย์
  • เศรษฐกิจท้องถิ่น: เกิดการหมุนเวียนรายได้ กระตุ้นการจ้างงานและบริการที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสายการบิน ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยที่สามารถต่อยอดไปสู่ผลไม้ชนิดอื่นในอนาคต

เชียงรายลุยโมเดลต้นแบบ ผลักดันผลไม้ไทยให้บินไกล

“ลำไยบินได้” คือการผสมผสานระหว่างการบริหารจัดการเชิงนโยบาย การสร้างระบบขนส่งที่คล่องตัว และการพัฒนาตลาดปลายทางอย่างยั่งยืน แม้จะเป็นโครงการทดลองในช่วงวิกฤต แต่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการวางแผนและบูรณาการระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม

หากสามารถต่อยอดให้ครอบคลุมทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่เพียงแค่ลำไย แต่รวมถึงผลผลิตอื่นของไทย โมเดลนี้อาจกลายเป็นโครงสร้างหลักของการขนส่งสินค้าเกษตรแห่งอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News