Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายไม่กระทบ! บริษัทวิทยุการบินฯ ยันปรับเส้นทางบินเลี่ยงพื้นที่ปะทะไทย-กัมพูชา

เชียงรายไม่กระทบ! บริษัทวิทยุการบินฯ ยันปรับเส้นทางบินเลี่ยงพื้นที่ปะทะไทย-กัมพูชา ปลอดภัยต่ออากาศยานพลเรือน

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ชายแดนไม่สงบ กัมพูชาออกประกาศ NOTAM หลีกเลี่ยงห้วงอากาศอันตราย ไทยวางแผนรับมือรัดกุม จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 กัมพูชาได้ประกาศแจ้งเตือนพื้นที่ห้วงอากาศอันตราย (Danger Area) ตาม NOTAM (Notice to Air Mission) สำหรับพื้นที่บางส่วนใกล้ชายแดนตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคมเป็นต้นมา ด้านไทยเองก็ได้ออกประกาศ NOTAM สอดรับในพื้นที่ต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัยในการปฏิบัติการบินที่อาจได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (AEROTHAI) และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ยืนยันว่า การปรับแผนเส้นทางบินเป็นไปด้วยความรัดกุมและปลอดภัย 100% โดยเฉพาะในเที่ยวบินระหว่างประเทศหรือเส้นทางที่อาจเคยผ่านพื้นที่ดังกล่าว สายการบินสามารถเลือกใช้เส้นทางอื่นหลีกเลี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของประชาชน รวมถึงสนามบินในภูมิภาคเหนืออย่างท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

กพท.-AEROTHAI ย้ำชัด “เที่ยวบินปลอดภัยทุกเส้นทาง”

พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยว่า การประกาศ NOTAM ของกัมพูชาและไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีขอบเขตจำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดน การประสานงานระหว่างหน่วยงานของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างรัดกุม ไม่มีเที่ยวบินเข้า-ออกประเทศไทยต้องยกเลิกหรือเกิดความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ สนามบินทั่วประเทศยังคงให้บริการได้ตามปกติ

ในส่วนของสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานฯ ยืนยันกับสำนักข่าวนครเชียงรายว่า “ไม่กระทบเส้นทางบินของเชียงรายเลยครับ ทุกเที่ยวบินดำเนินการตามตารางปกติ การบินไทยหรือสายการบินอื่นๆ ที่จะเดินทางไปจีนหรือยุโรปอาจต้องบินอ้อมมากขึ้น แต่ไม่ได้กระทบกับผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เข้าหรือออกจากเชียงรายแต่อย่างใด”

รู้จัก NOTAM และพื้นที่อากาศอันตราย เรื่องสำคัญที่นักบินต้องรู้

NOTAM หรือ “Notice to Air Mission” คือเครื่องมือประกาศข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์ให้บุคลากรด้านการบินได้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นนักบิน เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ หรือผู้จัดตารางการบิน ซึ่งอาจเกี่ยวกับการปิด-เปิดพื้นที่ห้วงอากาศชั่วคราว หรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือขั้นตอนต่างๆ

โดยโครงสร้างของ NOTAM จะประกอบด้วยรหัสข้อมูลที่ครอบคลุมเรื่องสถานที่ เวลา เงื่อนไข และข้อควรระวังเฉพาะจุด เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการปฏิบัติการบิน นอกจากนี้ พื้นที่อากาศที่ถูกประกาศเป็น “Danger Area” หรือพื้นที่อันตราย จะถูกใช้ในการซ้อมรบ การทดสอบอาวุธ หรือเมื่อเกิดสถานการณ์พิเศษ เช่น ความไม่สงบชายแดน เครนก่อสร้าง เถ้าภูเขาไฟ หรือเหตุฉุกเฉินทางอากาศอื่นๆ

ประเทศไทยเองมีการจำแนกห้วงอากาศพิเศษตามมาตรฐาน ICAO ได้แก่ พื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด (Prohibited Area), พื้นที่หวงห้ามเฉพาะ (Restricted Area) และพื้นที่อันตราย (Danger Area) ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีระดับความเข้มงวดและข้อกำหนดในการใช้งานแตกต่างกัน

ช่องทางการเข้าถึงข้อมูล NOTAM ในไทย

การบริหารจัดการและออกประกาศ NOTAM ในไทยอยู่ในความดูแลของ CAAT และบริษัทวิทยุการบินฯ โดยร่วมกับกองทัพและศูนย์บริหารจัดการห้วงอากาศ (AMC) ผู้ปฏิบัติการและนักบินสามารถตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบ eIAIP Portal (ais.caat.or.th) หรือ AEROTHAI NOTAM List ได้โดยตรง นอกจากนี้ สำนักงานรายงานบริการจราจรทางอากาศ (ARO) ยังมีบทบาทในการแจ้งข้อมูลแบบเรียลไทม์กับผู้ปฏิบัติงาน

อย่างไรก็ตาม ในมุมประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการโดรน ยังมีความท้าทายด้านการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่ใช้งานง่าย ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์สูงสุดในยุคที่เทคโนโลยีการบินและโดรนขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ไม่มียกเลิกเที่ยวบิน แต่ต้นทุนสายการบินเพิ่มขึ้น

แม้จะไม่กระทบเที่ยวบินหรือทำให้ผู้โดยสารตกค้างหรือเกิดความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ แต่การปรับเปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ห้วงอากาศอันตราย อาจทำให้ใช้เวลาบินนานขึ้นและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น นำไปสู่ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สายการบินต้องแบกรับโดยอ้อม อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ถือเป็นมาตรฐานสากลที่จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยสูงสุดของการเดินทางทางอากาศ

ตัวอย่างความพร้อมรับมือวิกฤตในระบบการบินไทย

เหตุการณ์ NOTAM จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ สะท้อนถึงความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันของหน่วยงานการบินไทยที่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสารและประสานงานระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว โดยยังคงให้ความมั่นใจแก่ประชาชนว่าการเดินทางปลอดภัยและราบรื่น

ทั้งนี้ นอกจากการบริหารจัดการแบบมืออาชีพแล้ว การพัฒนาเครื่องมือและช่องทางการสื่อสารข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้ใช้ห้วงอากาศทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการโดรน ก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
  •  บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (AEROTHAI)
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • Notice to Air Missions (NOTAM) ICAO
  • ais.caat.or.th | aerothai.co.th/en/pilot/notam
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอ

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอได้รับผลกระทบ เร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย หลายพื้นที่กลับสู่ปกติ แต่ยังต้องเร่งฟื้นฟูและเฝ้าระวังต่อเนื่อง แม้สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” จะเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่การฟื้นฟูยังดำเนินต่อเนื่องโดยไม่ลดความระมัดระวัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็วที่สุด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เชียงของ มอบถุงยังชีพ 252 ชุด สร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอเชียงของ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 252 ชุด พร้อมกล่าวให้กำลังใจแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและกำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนสามารถก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน

ปภ.เชียงรายสรุป 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน ได้รับผลกระทบ สัตว์เศรษฐกิจเสียหายหนัก

รายงานสถานการณ์ล่าสุดจากกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 16-27 กรกฎาคม 2568 มีฝนตกสะสมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มใน 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 13,036 ครัวเรือน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินสำคัญ ได้แก่ โรงเรียน 8 แห่ง ถนน 19 สาย สะพาน 1 แห่ง คอสะพาน 4 แห่ง วัด 3 แห่ง สัตว์เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก เช่น โค 4,445 ตัว กระบือ 1,987 ตัว สุกร 3,387 ตัว แพะ-แกะ 43 ตัว สัตว์ปีก 230,879 ตัว แปลงหญ้า 699 ไร่ ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมยังอยู่ระหว่างการสำรวจและรวบรวมข้อมูล

โชคดีที่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

สถานการณ์รายอำเภอ หลายแห่งน้ำลด หลายจุดยังต้องเฝ้าระวัง

อำเภอเทิง พญาเม็งราย (ต.ตาดควัน ต.ไม้ยา) เมืองเชียงราย เชียงของ เวียงแก่น เวียงป่าเป้า (บ้านเรือนแห้งแล้ว) แม่สรวย แม่ลาว และยางฮอม (อ.ขุนตาล) ระดับน้ำลดลงและกลับสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม ยังมีอำเภอพญาเม็งราย (ต.แม่เปา ต.เม็งราย ต.แม่ต๋ำ) ป่าแดด ขุนตาล (ต.ต้า ต.ป่าตาล) เวียงเชียงรุ้ง เวียงชัย พาน ดอยหลวง และแม่จัน ที่น้ำยังคงท่วมขังบางส่วน หรือมีน้ำขังบนผิวจราจรและพื้นที่เกษตร ต้องเฝ้าระวังฝนที่อาจตกซ้ำและปริมาณน้ำที่อาจไหลสมทบจากภูเขาตลอด 24 ชั่วโมง

เร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เน้นซ่อมแซมจุดเสี่ยงคอสะพานและถนน

พื้นที่อำเภอเชียงของยังมีจุดเสี่ยงสำคัญคือ คอสะพานถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.4027 ที่เกิดน้ำท่วมขังและมีการเซาะใต้ฐานสะพานบางส่วน แม้ยังสามารถสัญจรได้แต่ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนซ่อมแซมทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย ทั้งนี้ หากมีการปิดเส้นทางหรือซ่อมแซมจะมีการแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง

 เชียงรายผ่านวิกฤตแต่ยังต้องไม่ประมาท

สถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน สัตว์เศรษฐกิจ และภาคเกษตรกรรมยังคงต้องใช้เวลาและงบประมาณในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป

  • การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน: คอสะพานและถนนหลายสายที่ถูกเซาะหรือพังเสียหาย ต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนเพื่อคืนความปลอดภัยและความสะดวกในการสัญจร
  • การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์: ด้วยจำนวนสัตว์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบสูง จำเป็นต้องเร่งเยียวยา จัดหาพันธุ์สัตว์ทดแทน และสนับสนุนสินเชื่อหรือเงินช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรกลับมาดำรงชีพได้อย่างมั่นคง
  • การเยียวยาและประเมินความเสียหายอย่างทั่วถึง: ต้องมีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างละเอียด เพื่อจัดสรรการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเป็นธรรมและครอบคลุม
  • การป้องกันระยะยาว: จำเป็นต้องทบทวนและเสริมสร้างมาตรการป้องกันอุทกภัยระยะยาว อาทิ การบริหารจัดการน้ำต้นน้ำ การวางแผนที่ดินและพื้นที่เกษตรกรรมให้สอดคล้องกับความเสี่ยง การเสริมสร้างชุมชนให้มีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติ และการใช้เทคโนโลยีสื่อสารแจ้งเตือนภัย

ก้าวผ่านวิกฤตด้วยความร่วมมือ เดินหน้าฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

ภาพรวมสถานการณ์และการตอบสนองของทุกหน่วยงานสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เชียงรายก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ด้วยความร่วมมือและกำลังใจ พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย, วันที่ 27 กรกฎาคม 2568
  • ศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เชียงราย: อบจ.ระดมพลช่วยประชาชน หลังแม่น้ำอิงล้นตลิ่ง ย้ำหลัก PDOSS เบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง ลุยน้ำท่วม แม่น้ำอิงล้นตลิ่ง มอบความช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ประชาชน สะท้อนการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – ในยามที่สถานการณ์อุทกภัยจากน้ำในแม่น้ำอิงล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตรในหลายอำเภอของจังหวัดเชียงรายยังคงน่าเป็นห่วง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ หรือ “นายกฯ นก” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ประสบภัยอย่างเร่งด่วนเมื่อเช้าวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 เพื่อเยี่ยมเยียน มอบความช่วยเหลือ และรับฟังปัญหาจากประชาชนผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบริหารจัดการสาธารณภัยเชิงรุกที่ยึดหลักการช่วยเหลือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้กรอบแนวคิดการบริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) ของประเทศไทย

ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของการลงพื้นที่ นางอทิตาธร พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย, เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย, สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขตอำเภอเทิง, หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ.เชียงราย ได้เข้าตรวจเยี่ยมและประเมินสถานการณ์ใน 3 อำเภอที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่ อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาล และอำเภอเทิง ซึ่งเป็นจุดที่เผชิญกับวิกฤตความเดือดร้อนมากที่สุด

ลงพื้นที่จริง มอบยา-สิ่งของจำเป็น พร้อมรับฟังปัญหาและวางแผนแก้ไขตรงจุด

การลงพื้นที่ของนายกฯ นก และคณะในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านโดยตรงในหลากหลายมิติ ทั้งปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากน้ำท่วมขัง การขาดแคลนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค การเข้าถึงอาหารและยารักษาโรค รวมถึงความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นรายได้หลักของหลายครัวเรือนในพื้นที่ ข้อมูลที่ได้รับจากประชาชนโดยตรงนี้จะถูกนำกลับไปประมวลผลเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ในระหว่างการเยี่ยมเยียน นายกฯ นก ได้มอบยาสามัญประจำบ้านและสิ่งของจำเป็นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อสุขภาวะและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาวะวิกฤต “ขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านเข้มแข็ง อบจ.เชียงรายจะอยู่เคียงข้างและไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามยากลำบากที่สุด” นายกฯ นก กล่าวให้กำลังใจชาวบ้าน ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเป็นที่พึ่งของประชาชน

เบื้องหลัง “PDOSS” การบริหารจัดการสาธารณภัยแบบบูรณาการของไทย

สถานการณ์อุทกภัยในเชียงรายครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและกลไกการทำงานของระบบการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศไทยที่เน้นการทำงานแบบเบ็ดเสร็จและบูรณาการ หรือที่รู้จักกันในกรอบแนวคิด “PDOSS” (Public Disaster Operation Single System) ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นชื่อหน่วยงานราชการโดยตรง แต่เป็นแนวทางเชิงระบบที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของวงจรภัยพิบัติ ตั้งแต่การป้องกัน การเตรียมความพร้อม การเผชิญเหตุ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ

โดยมี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ภายใต้กระทรวงมหาดไทย เป็นศูนย์กลางประสานงานหลักในระดับชาติ ทำงานร่วมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการปฏิบัติการสาธารณภัยในระดับจังหวัด และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่างเช่น อบจ.เชียงราย ที่เป็นแนวหน้าในการป้องกัน เฝ้าระวัง และให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบโดยตรง

สาระสำคัญของ “PDOSS” คือการวางรากฐานทางกฎหมายและนโยบายที่แข็งแกร่ง โดยมี พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายแม่บท และมี แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และ 2564-2570 เป็นเข็มทิศแนวทางในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ยังมีการประยุกต์ใช้หลักปฏิบัติสากลที่สำคัญ เช่น หลักปฏิบัติ 10 ประการเพื่อสร้างเมืองที่ยืดหยุ่น” และ กรอบเซนไดว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติของสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลกมาปรับใช้ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติในทุกระดับ

โครงสร้างการทำงานแบบบูรณาการนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นให้กับชุมชน

ผลลัพธ์และบทเรียนจากวิกฤต มุ่งสู่การฟื้นฟูที่ยั่งยืน

การทำงานของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การนำของนายกฯ นก ในครั้งนี้ เป็นภาพสะท้อนของการ บริหารจัดการเชิงรุก” ในภาวะวิกฤต ที่ไม่ใช่เพียงแค่การแจกจ่ายถุงยังชีพหรือให้กำลังใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการสำคัญในการเก็บข้อมูลปัญหา การวิเคราะห์ และการวางแผนฟื้นฟูอย่างรอบด้าน ซึ่งครอบคลุมถึง:

  • การฟื้นฟูสาธารณูปโภค: ซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • การฟื้นฟูสุขภาพจิต: ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตแก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งหลังเผชิญเหตุการณ์วิกฤต
  • การเร่งเยียวยาเกษตรกร: วางแผนมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตร
  • การลงทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า: รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบ Cell Broadcast และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนภัยได้อย่างแม่นยำและทันเวลา เพื่อลดความสูญเสียในอนาคต

แม้ระบบ PDOSS และแผนรับมือภัยพิบัติของไทยจะได้รับคำชื่นชมในเวทีสากล โดยมีตัวอย่างที่โดดเด่นจากการรับมือเหตุการณ์สึนามิปี 2547 และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสื่อสารและประเมินความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • ประสิทธิภาพของการฟื้นฟูในระยะยาว: การฟื้นฟูที่ซับซ้อนและใช้ระยะเวลานานยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการสนับสนุนทรัพยากรและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  • การเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่น: การลงทุนในการสร้างความรู้และทักษะให้กับชุมชนในการเฝ้าระวังและรับมือภัยพิบัติด้วยตนเอง
  • การสร้างฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน: การจัดเก็บข้อมูลภัยพิบัติและการประเมินความเสียหายอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน เพื่อเป็นข้อมูลที่แม่นยำในการวางแผนเยียวยาและฟื้นฟู รวมถึงรองรับภัยพิบัติรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ข้อเสนอแนะและทิศทางในอนาคตสร้าง “ชุมชนเข้มแข็ง เมืองปลอดภัย”

เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสาธารณภัยในระยะยาว ควรพิจารณาข้อเสนอแนะและกำหนดทิศทางในอนาคตดังนี้:

  • การมีส่วนร่วมของชุมชนที่เข้มแข็ง: เนื่องจากภัยพิบัติมีความซับซ้อนมากขึ้น การใช้พลังของชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครจะเข้ามาช่วยลดช่องว่างของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย การให้ความรู้ และการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
  • การสร้างมาตรฐานฐานข้อมูลที่เป็นระบบ: การลงทุนในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประเมินความเสียหายและความต้องการของประชาชนหลังภัยพิบัติอย่างเป็นระบบและสามารถบูรณาการข้อมูลได้ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนเยียวยาและฟื้นฟูได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
  • การพัฒนาและขยายการใช้เทคโนโลยีเตือนภัย: ควรมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องและขยายการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบเตือนภัย Cell Broadcast และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนภัยได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  • การเสริมสร้างศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: การจัดสรรงบประมาณและการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน และเป็นแกนหลักในการสร้างความยืดหยุ่นในระดับชุมชน

การลงพื้นที่ของนายกฯ นกและทีม อบจ.เชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการสาธารณภัยที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของท้องถิ่นไทยในการสร้าง ชุมชนเข้มแข็ง เมืองปลอดภัย” ที่ไม่ว่าจะเผชิญวิกฤตครั้งใด ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ด้วยหัวใจแห่งการแบ่งปันและความร่วมมือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย: ข้อมูลการลงพื้นที่และแนวทางการปฏิบัติงานของ อบจ.เชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย: ข้อมูลเกี่ยวกับกรอบ PDOSS, บทบาทหน้าที่, และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
  • แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564-2570: เอกสารนโยบายหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย
  • รายงานสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย: ข้อมูลสถานการณ์ล่าสุดในพื้นที่
  • กรอบเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สหประชาชาติ (Sendai Framework for Disaster Risk Reduction): กรอบแนวคิดและหลักปฏิบัติสากลที่ประเทศไทยนำมาประยุกต์ใช้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำรับมือภัยฝน

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำเร่งด่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตลอดแนวแม่น้ำสำคัญ

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้า “บริหารจัดการน้ำเชิงรุก” รักษาความปลอดภัยเมืองท่ามกลางฤดูฝน ในช่วงฤดูฝนที่ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ามีความผันผวนสูงเช่นนี้ เทศบาลนครเชียงรายอยู่ในสภาวะตื่นตัวสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อนและฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ลาว และกรณ์ ซึ่งมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในเขตเมือง ล่าสุด นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเสี่ยง สำรวจและบริหารจัดการประตูระบายน้ำทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมในเขตเมือง โดยให้ความสำคัญกับแนวตลิ่งแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำลาว และแม่น้ำกรณ์

เดินแผนบริหาร “ประตูน้ำ” ปิดจุดเสี่ยง-เปิดระบายต่อเนื่อง

ผลจากการสำรวจพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำกรณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะบริเวณสะพานขัวพญาเม็งราย วัดระดับน้ำที่ 3.11 เมตร ซึ่งยังต่ำกว่าตลิ่งที่ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ตามเทศบาลยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น โดยประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองทั้งหมด 9 บาน ได้รับคำสั่งปิดไว้ตลอด เพื่อป้องกันน้ำจากแม่น้ำสายหลักไม่ให้ไหลเข้าสู่เขตเมือง ในขณะที่ประตูน้ำฝั่งหนองด่าน 4 บาน และประตูน้ำดอยสะเก็น 5 บาน ได้รับคำสั่งเปิดยกขึ้นเต็มที่ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำกกและลดความเสี่ยงน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่ำ

สำรวจจุดเสี่ยง-เสริมกำลัง “กระสอบทราย” เตรียมรับมือชุมชนริมแม่น้ำ

นอกจากการตรวจสอบระดับน้ำและประตูน้ำแล้ว เทศบาลนครเชียงรายยังได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำลาว โดยเฉพาะที่จุดประตูน้ำพื้นที่ท่าสาย ซึ่งพบว่าระดับน้ำลดลงจากวันก่อนถึง 60 เซนติเมตร พร้อมทั้งเสริมกำลังนำกระสอบทรายไปวางเพิ่มเติมในจุดบิ๊กแบ็ค และทางเชื่อมต่อลำน้ำสาขาที่เสี่ยงน้ำไหลเข้า เช่น พื้นที่บ้านทุ่งพญาหมี ชุมชนสันหนอง และชุมชนข้างเคียง เพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุก

เทศบาลฯ ยังประสานการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กองช่าง สำนักการโยธา และฝ่ายปกครอง รวมถึงกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เพื่อบูรณาการแผนเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์อุทกภัยให้ครอบคลุมที่สุด โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสลับเวรตลอด 24 ชั่วโมง

วิเคราะห์สถานการณ์ความตื่นตัวของเทศบาลนครเชียงรายกับโจทย์ “เมืองปลอดภัย”

การสั่งการของนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำและการบริหารจัดการประตูน้ำทุกจุดเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารภัยพิบัติในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง ประเด็นที่น่าสังเกตได้แก่

  • การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง: เทศบาลฯ ใช้ระบบการติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ มีการจัดเวรยามสำรวจทุกช่วงเวลาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • กลยุทธ์ปิด-เปิดประตูน้ำ: การวางแผนปิดประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองและเปิดฝั่งระบายออก เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงน้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง
  • การสำรวจจุดเสี่ยงและเสริมกำลังล่วงหน้า: การนำกระสอบทรายไปวางในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงล่วงหน้า เป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุการณ์จริงและสามารถลดผลกระทบในกรณีฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ: การทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องระดมสรรพกำลังอย่างเร่งด่วน

ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ว่าสถานการณ์น้ำในวันนี้จะยังไม่ถึงระดับวิกฤต แต่หากเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำหรือจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ต้องเตรียมพร้อมแผนสำรองในการอพยพและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชนโดยตรง ผ่านช่องทางออนไลน์ของเทศบาลหรือกลุ่มชุมชน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

การดำเนินงานของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในเชิงบริหารจัดการวิกฤตแบบ “เชิงรุก” ซึ่งสมควรเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ในการสร้างเมืองปลอดภัยและรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักการโยธา เทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำ กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ประจำวัน, กลุ่มชุมชนเขตเทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

มหากาพย์ 24 ชม.! ‘อาร์ม วิญญู’ ระดมพลช่วยหมู 1,150 ตัว พ้นวิกฤตน้ำท่วมเทิง

ภารกิจ 24 ชั่วโมงไม่หยุด: ทีมกู้ภัยเชียงรายช่วยหมู 1,150 ตัว หนีน้ำท่วมฉับพลัน

เชียงราย,ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อธรรมชาติทดสอบความมุ่งมั่นของมนุษย์ เสียงเรือยนต์ดังก้องไปทั่วพื้นที่น้ำท่วมบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เสียงของการขนส่งสินค้าตามปกติ แต่เป็นเสียงของภารกิจกู้ภัยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องใช้เวลานานถึง 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเหลือหมูกว่า 1,150 ตัวให้รอดพ้นจากน้ำท่วมฉับพลันครั้งรุนแรง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการช่วยเหลือสัตว์ แต่เป็นบทพิสูจน์ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่รัฐและอาสาสมัครที่ไม่ยอมถอย แม้เมื่อความเหนื่อยล้าจะถึงขีดสุด และความมืดจะปกคลุมพื้นที่

เมื่อพายุ “วิภา” นำมาซึ่งวิกฤต

สถานการณ์เริ่มต้นจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย น้ำป่าล้นไหลหลากเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหมูและไก่สำคัญของจังหวัด

นายกนก หรือ อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึก ไม่ว่าจะทางโซเชียลหรือคนแจ้งมาโดยตรงพบว่ามีฟาร์มหมูและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน

“เมื่อวานตอนช่วงเช้าเลย ที่มีโพสต์กันในเฟซบุ๊ก จากของท่านนายกฯ ด้วย และหลายคนได้แชร์มา แล้วก็ขอให้ทางหน่วยงานที่มีอุปกรณ์ เครื่องมือ พวกเรือต่างๆ เข้าไปช่วย” เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของภารกิจ

การระดมกำลังและความท้าทายแรก

เมื่อทีมจาก อบจ.เชียงราย นำโดยนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก พร้อมด้วยพันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบุคลากรกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เดินทางถึงพื้นที่ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม

สิ่งที่พบคือภาพที่น่าตกใจ ฟาร์มหมูที่ให้เกษตรกรในพื้นที่เลี้ยงหมู กลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมสูงถึงเอวและอก หมูกว่า 1,150 ตัวติดอยู่ในสภาวะวิกฤต ต้องใช้เรือเข้าไปช่วยเหลือ

“พอไปถึงประมาณสัก 10 โมง 11 โมง ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีเรือของชาวบ้านเป็นเรือลำเล็กประมาณสัก 2 ถึงสามลำ ที่ขนได้ครั้งละ 2 ถึง 3 ตัวไม่เกิน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมีหนึ่งลำที่ขนได้ประมาณ 10 ตัวอีกหนึ่งลำ” นายวิญญู อธิบายถึงสถานการณ์ในช่วงแรก

ความยากลำบากในการดำเนินภารกิจ

ความท้าทายหลักของภารกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนหมูเท่านั้น แต่รวมถึงสภาพพื้นที่ที่ต้องใช้เรือเดินทางระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร จากฟาร์มมาถึงถนนลาดยางของหมู่บ้าน ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 10-15 นาที ในช่วงกลางวัน

“ช่วงแรกหมูยังมีแรงอยู่ มันดิ้น เราต้องจับใส่กรงก่อน ใช้เวลาเป็นหลายนาที เป็นเกือบชั่วโมงบางครั้ง การลำเลียงแต่ละรอบใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เที่ยงมาจนถึง 5-6 โมงเย็น ขนได้แค่ 200-300 ตัวเอง ในช่วงแรก” วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เผยถึงอุปสรรคในช่วงต้น

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อมีทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ รวมเกือบ 20 ทีม จำนวนคนรวมกว่า 100 คน แต่พื้นที่ที่จำกัดและการขาดการประสานงานที่ลงตัว ทำให้การทำงานในช่วงแรกค่อนข้างช้า

เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย

จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อความมืดเข้าปกคลุม

เมื่อเวลาผ่านไปถึงหลัง 18.00 น. ความมืดเริ่มปกคลุมพื้นที่ การทำงานกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ต้องมีการวางระบบไฟส่องสว่างและให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย หลายทีมเริ่มถอนตัวออกไป

“หลังจาก 4 ทุ่ม ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเหลือแค่ 5 ทีม ตอนนั้นจะมีอบจ. ตำรวจ และกู้ภัยอีกสัก 2-3 ทีมที่ยังเหลืออยู่” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

แต่นี่กลับเป็นจุดที่การทำงานเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะหมูเริ่มอ่อนแรง ไม่ดิ้นมากเหมือนเดิม ทำให้สามารถจับโยนลงเรือได้เลย โดยไม่ต้องใส่กรง การวางแผนและการประสานงานดีขึ้น

ช่วงวิกฤตสุดท้ายการตัดสินใจที่ยากลำบาก

เมื่อเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืน หมูที่เหลืออยู่ในพื้นที่ประมาณ 200-300 ตัว ทีมกู้ภัยส่วนใหญ่ขอถอนตัวเนื่องจากความเหนื่อยล้า เหลือเพียง 2 ทีมคือ อบจ.เชียงราย และตำรวจ

“เราคุยกันว่า ตอนแรกก็อยากถอนแต่เห็นหมูแล้วมันไม่ไหว ตอนนั้นหมูเหลือประมาณ 200 กว่าตัว มันเหมือนจะไม่เยอะ เราช่วยมาแบบทั้งวัน แล้วเหลือแค่สองร้อยกว่าตัวเอง ถ้าปล่อยไว้ โอกาสตายมีสูงมาก เพราะน้ำมันขึ้นเรื่อยเรื่อย แล้วหมูมันอ่อนแรงแล้ว” นายวิญญู เล่าถึงการตัดสินใจสำคัญ

วีรกรรมในยามคืนการยืนหยัดจนท้ายที่สุด

หลังจากเที่ยงคืน การทำงานดำเนินต่อไปด้วยเรือเพียง 3 ลำ คือ อบจ.เชียงราย 2 ลำ และตำรวจ 1 ลำ จำนวนคนลดลงเหลือเพียง 20 กว่าคน แต่ความมุ่งมั่นไม่ลดลง

เมื่อถึงตี 3 ทีมตำรวจแจ้งขอถอนตัวเนื่องจากไม่ไหว เหลือเพียงทีมจาก อบจ.เชียงราย 5 คน กับเรือ 2 ลำ รวมกับเจ้าหน้าที่ของฟาร์มที่ยังคงช่วยเหลืออยู่ประมาณ 15-20 คน

“เราก็เลยบอกว่า งั้นเราขอสู้ต่อไปจนจบ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้น่าจะตายทั้งหมด ตอนนั้นจำนวนหมูหลังตี 3 น่าจะเหลือประมาณ 150 ตัวบวกลบ” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่ท้าทายที่สุด

การเคลียร์ครั้งสุดท้ายเมื่อแสงอรุณส่องทาง

จากตี 3 กว่าจนถึงเกือบ 7 โมงเช้า ทีมที่หลงเหลือทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน หมูในฟาร์มถูกเคลียร์ออกไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภารกิจยังไม่จบ

“ประมาณ 7-8 โมงเช้า เราขับเรือวนดูรอบตัวอีกรอบ ก็เห็นหมูลอยคออยู่ตามกอไผ่ มีบางตัวอยู่นอกฟาร์ม เราต้องลงไปจับในน้ำเลย ลึกประมาณไม่ถึง 2 เมตร อันนั้นยากกว่าอยู่ในฟาร์มอีก เพราะต้องดึงขึ้นเรือเอง” นายวิญญู อธิบายถึงช่วงสุดท้าย

ภารกิจสิ้นสุดลงในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 25 กรกฎาคม หลังจากดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ผลลัพธ์และบทเรียน

จากหมูทั้งหมด 1,150 กว่าตัว อัตราการสูญเสียอยู่ที่ไม่เกิน 5% หรือประมาณ 4-5% ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่น่าประทับใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้

นายวิญญู มองว่า บทเรียนสำคัญคือ การเตรียมความพร้อมที่ธรรมชาติไม่มีกำหนดการตายตัว อยากจะก่อตัวขึ้นเมื่อไร มีรูปแบบอย่างไรเราไม่สามารถรับรู้นอกจากต้องพร้อมรับเท่านั้น”

สำหรับด้านการปฏิบัติงาน ปัญหาหลักอยู่ที่การจำกัดของพื้นที่ การสัญจรที่ยาก และการขาดศูนย์ปฏิบัติการที่ชัดเจน แต่ทุกหน่วยงานสามารถประสานงานและช่วยเหลือกันได้เป็นอย่างดี “สิ่งสำคัญคือการที่ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ ไม่ถอดใจยังทำภารกิจต่อเนื่องจนกว่าจะช่วยเสร็จทั้งหมด มันทำให้ทีมที่อยู่ก็พร้อมที่จะทำต่อ มันเหมือนมีคนไม่ทิ้งแล้วเราจะทิ้งไปได้ยังไง” นายวิญญูพูดทิ้งท้าย

หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ

ความหมายเชิงลึกของภารกิจ

ภารกิจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหลายมิติที่สำคัญ:

ด้านการจัดการภัยพิบัติ: แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการจัดการวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งต้องการการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายฝ่าย และการตัดสินใจที่รวดเร็ว

ด้านจิตวิญญาณมนุษย์: การที่เจ้าหน้าที่ยินดีทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุดหย่อน แม้ในสภาวะที่เหนื่อยล้าและท่ามกลางความมืด แสดงถึงจิตสำนึกในการรับใช้สังคมที่แท้จริง

ด้านเศรษฐกิจ: การช่วยเหลือสัตว์เศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงการดูแลสัตว์ แต่เป็นการปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานอาหาร

ด้านการสื่อสาร: การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการขอความช่วยเหลือและประสานงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

ความต่อเนื่องและการเตรียมรับมือในอนาคต

อบจ.เชียงราย ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการอพยพ การจัดหาสิ่งของยังชีพ และการฟื้นฟูในระยะต่อไป

ภารกิจครั้งนี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจในอนาคต และเป็นบทพิสูจน์ว่า เมื่อความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมมาบรรจบกัน ไม่มีภารกิจใดที่เป็นไปไม่ได้

การดำเนินการในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤต ที่ทุกความช่วยเหลือจำเป็นต้องดำเนินอย่างรวดเร็วและทั่วถึง นี่คือเรื่องราวของวีรกรรมเงียบๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดและน้ำท่วม เพื่อความหวังที่จะเห็น 1,150 ชีวิตได้กลับไปสู่ความปลอดภัย

หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย,กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย,สถานีตำรวจในพื้นที่อำเภอเทิง,หน่วยกู้ภัยจากหลายองค์กร,อาสาสมัครและชาวบ้านในพื้นที่,สมาคมกู้ชีพกู้ภัยเทิงการกุศล-หน่วยกู้ภัยเทิง,กู้ภัยบุญช่วย,กู้ภัยเทิง,กู้ภัยศิริกรณ์,กู้ภัยปิยะมิตรแม่สาย,กู้ภัยสิงห์,ตำรวจน้ำ,ตำรวจตระเวนชายแดน,กู้ภัยแสงธรรมเทิง,กู้ภัยแสงธรรมขุนตาล,กู้ภัยเจริญเมือง,กู้ภัยแสงแก้ว,กองร้อยทหารพราน,อส.เทิง,ศ.เขต 15

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การสัมภาษณ์พิเศษ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย
  • รายงานการปฏิบัติงาน กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในพื้นที่
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

กลิ่นกาแฟชาหอมฟุ้ง! เชียงรายจัดใหญ่ Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025

 “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2025” เปิดฉากยิ่งใหญ่! เชียงรายนำทัพ 4 จังหวัดล้านนาตะวันออก ชูศักยภาพชา-กาแฟ สู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – ลานกาสะลองแน่นขนัด “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” ชูเสน่ห์กาแฟ-ชาล้านนา สร้างโอกาสใหม่สู่ตลาดโลก กลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดและชาชั้นดีล่องลอยคลอเสียงเพลงสดจากศิลปินชื่อดัง ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย สะท้อนความคึกคักและสีสันของ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2025” (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025) ที่เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ ท่ามกลางผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย-ต่างชาติที่เข้าร่วมแน่นขนัด

งานนี้ถือเป็นความร่วมมือบูรณาการของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน เพื่อนำศักยภาพกาแฟและชาคุณภาพระดับโลกของภูมิภาคล้านนาตะวันออก ก้าวสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเรื่องราววัฒนธรรม-วิถีชีวิตกับประสบการณ์ท่องเที่ยว

ล้านนาตะวันออก แหล่งปลูกชา-กาแฟระดับโลก

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้จัดงาน เปิดเผยว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพด้านการผลิตชาและกาแฟสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศ เชียงรายเป็นแหล่งปลูกกาแฟอาราบิก้าคุณภาพดี มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 30% ของประเทศ และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปี ขณะที่อุตสาหกรรมชาก็เติบโตโดดเด่น โดยชาและกาแฟเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังมีบทบาทในการอนุรักษ์ป่าไม้ รักษาดุลยภาพระบบนิเวศและสร้างเสถียรภาพให้เกษตรกรในพื้นที่

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาคเหนือตอนบน 2 มีภูมิประเทศและสภาพอากาศที่เหมาะสม ชาและกาแฟของแต่ละพื้นที่จึงมีรสชาติ กลิ่น และเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ ต่อยอดเป็นอัตลักษณ์การท่องเที่ยวได้ดี” งานนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญผลักดันเศรษฐกิจฐานราก ขยายตลาดใหม่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยบนเวทีโลก ภายใต้นโยบายชาติว่าด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์และยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก พ.ศ.2561-2580

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างสุขภาพ สานวัฒนธรรม-การท่องเที่ยว

งาน “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงสินค้ากาแฟและชา แต่ยังสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับแบรนด์กาแฟท้องถิ่น-ระดับโลกในภูมิภาคล้านนา เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยกิจกรรมหลากหลาย เช่น การสาธิตชงชา-กาแฟโดยบาริสต้าระดับประเทศ เวิร์กช็อปปลูกและดูแลต้นกาแฟ/ชา การประกวดชงกาแฟ การจับคู่เมล็ดกาแฟกับขนมพื้นเมือง ไปจนถึงเวทีสัมมนาเรื่อง “โอกาสชา-กาแฟไทยสู่ตลาดโลก” โดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันต่างประเทศ

การจัดงานครั้งนี้ ยังช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SME อย่างเป็นรูปธรรม โดยประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อกาแฟ ชา ผลิตภัณฑ์แปรรูปหลากหลาย พร้อมรับคำแนะนำจากผู้ปลูกโดยตรง สัมผัสเสน่ห์ความเป็นล้านนาแท้จริงผ่าน “กาแฟถ้วยโปรด ชาจอกสุขภาพ”

อนาคตเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของล้านนา

“Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” เป็นโมเดลสำคัญของการสร้างเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ด้านการท่องเที่ยว และบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ธุรกิจ SME สู่ตลาดสากล กิจกรรมตลอด 4 วัน เปิดให้ชมฟรี พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่แห่งวัฒนธรรมเครื่องดื่มและสุขภาพแก่ผู้ร่วมงาน ทั้งยังเป็นเวทีสร้างความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม ภาครัฐ เอกชน และกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่

เทศกาลนี้ สะท้อนความพร้อม “เชียงราย-ล้านนาตะวันออก” สู่ศูนย์กลางกาแฟ-ชาเอเชีย

ความสำเร็จของ “Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025” เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพและความพร้อมของเชียงรายและกลุ่มจังหวัดล้านนาตะวันออก ไม่เพียงแต่ในฐานะ “แหล่งปลูกกาแฟ-ชา” ที่ใหญ่ที่สุดของไทย แต่ยังพร้อมก้าวเป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สุขภาพ และวัฒนธรรม” ระดับภูมิภาค สร้างรายได้ เสริมความยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้เกษตรกร-ผู้ประกอบการท้องถิ่น

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • ส่งเสริมการสร้างแบรนด์ “กาแฟ-ชาล้านนา” และสนับสนุนการตลาดออนไลน์เชิงรุก
  • สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนให้เข้าถึงองค์ความรู้-เทคโนโลยี และตลาดต่างประเทศ
  • พัฒนาเทศกาลนี้ให้เป็นอีเวนต์ประจำปีระดับนานาชาติ ดึงดูดนักท่องเที่ยว-นักลงทุน
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผสานวัฒนธรรม-อาหาร-ภูมิปัญญาล้านนา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • ข้อมูลการปลูกกาแฟ-ชาของกระทรวงเกษตรฯ
  • งานสัมมนา Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2025
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

คลายกังวล! กปภ. เปิดพิสูจน์น้ำประปาเชียงราย “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” เกินมาตรฐาน WHO

กปภ. ย้ำความเชื่อมั่น: น้ำประปาเชียงราย “ปลอดภัย ไร้สารหนู” หลังปรับกระบวนการผลิตและตรวจสอบเข้มงวด

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – คลายกังวลน้ำประปาเชียงราย กปภ.เปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์มาตรฐาน “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” ย้ำมาตรการเหนือ WHO ภายหลังจากที่มีรายงานตรวจพบความขุ่นผิดปกติและสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความกังวลต่อความปลอดภัยในการใช้น้ำอย่างกว้างขวาง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จึงรีบเร่งขับเคลื่อนมาตรการสร้างความเชื่อมั่น โดยจัดกิจกรรม “สื่อมวลชนสัญจร” นำผู้สื่อข่าวในพื้นที่ลงพื้นที่จริงเยี่ยมชมกระบวนการผลิต ตรวจสอบห้องควบคุมและห้องปฏิบัติการคุณภาพน้ำประปา ณ กปภ.สาขาเชียงราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลและแผนการจัดการเชิงรุกอย่างโปร่งใส

ผู้ว่าการ กปภ. ลงนามการันตี “น้ำดื่มได้จริง” มาตรการผลิตเข้มข้นเกิน WHO

นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า กปภ.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกตลอด 24 ชั่วโมง และเพิ่มมาตรการควบคุมการผลิตน้ำประปาให้เข้มข้นกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) เช่น ค่าความขุ่น WHO อนุโลม 5 NTU แต่ กปภ.กำหนดสูงสุดเพียง 4 NTU เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

กระบวนการผลิตน้ำดื่มของ กปภ.เชียงรายมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย

  • การปรับสัดส่วนเคมีเพื่อเร่งการตกตะกอน ดึงโลหะหนักออกจากน้ำดิบ
  • เติมคลอรีน ทั้ง Pre-Chlorine และ Post-Chlorine เพื่อฆ่าเชื้อโรคและคุมคุณภาพ
  • เสริมการเติมโพลิเมอร์และสารแทร็ก เพื่อให้โลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ฯลฯ) ตกตะกอนออกก่อนจ่ายเข้าสู่กระบวนการกรองขั้นสูง
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยนักวิทยาศาสตร์ กำกับทุกขั้นตอนจนถึงปลายทาง
  • สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำทั้งระบบ ส่งตรวจบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทุก 2 สัปดาห์

“น้ำประปา กปภ. สะอาด ปลอดภัย และดื่มได้จริงตามมาตรฐานสากล ผมกล้าการันตี” ผู้ว่าการ กปภ. กล่าว

รายงานผลตรวจล่าสุด ยืนยันไร้สารหนู-ประชาชนใช้น้ำได้ตามปกติ

ผลการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำประปาล่าสุดจาก กปภ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ยืนยันว่า น้ำประปาทุกจุดปลอดภัย ไร้สารหนู และผ่านค่ามาตรฐานทุกด้าน โดยมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ผ่านแฟนเพจของ กปภ.สาขาเชียงรายและแม่สายทุก 3 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และเน้นย้ำว่า หากพบค่าความขุ่นหรือสารปนเปื้อนเกินค่าควบคุมแม้แต่น้อย กปภ.จะดำเนินการหยุดจ่ายน้ำและหาแหล่งน้ำใหม่ทันที

นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการ กปภ. (ปฏิบัติการ 1) กล่าวย้ำกับประชาชนชาวเชียงรายว่า “มั่นใจได้น้ำประปาที่ผ่านการผลิตของ กปภ. ใช้อุปโภคบริโภคได้แน่นอน แต่ขอให้หลีกเลี่ยงการนำน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปใช้โดยตรง”

มาตรการและแนวทางเตรียมพร้อม กรณีวิกฤตสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบ

หากสถานการณ์น้ำดิบจากแม่น้ำกกในอนาคตมีสารปนเปื้อนเกินศักยภาพการบำบัด กปภ. มีแผนรองรับทันที ได้แก่

  • เปลี่ยนแหล่งน้ำดิบใหม่ ค้นหาน้ำดิบจากแหล่งที่มีปริมาณและคุณภาพเหมาะสม
  • เพิ่มการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจอย่างเข้มข้น
  • สื่อสารแจ้งเตือนประชาชนอย่างโปร่งใส

บทพิสูจน์ “กอบกู้ศรัทธา” ด้วยมาตรการโปร่งใส-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การดำเนินการของ กปภ.เชียงรายในวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของหน่วยงานรัฐที่กล้าเปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นการ “สร้างศรัทธาเชิงรุก” ต่อประชาชน และสร้างความมั่นใจด้วยข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์

  • การลงทุนเครื่องจ่ายสารเคมีและเทคโนโลยีทันสมัย มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ยืนยันถึงความจริงจังในคุณภาพน้ำ
  • โปร่งใส เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการสื่อสารความเสี่ยงภาครัฐ
  • วางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ สะท้อนความพร้อมต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของแม่น้ำกก

ขณะเดียวกัน กปภ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่า ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือระยะยาวจากทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่การประปา แต่ต้องร่วมแก้ไขที่ต้นน้ำและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • จัดทำแผนประชาสัมพันธ์วิทยาศาสตร์น้ำ ให้ประชาชนเข้าใจการบำบัดน้ำ
  • สนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำดิบโดยตรง
  • ยกระดับการดูแลแหล่งน้ำต้นน้ำ ร่วมกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข
  • เตรียมงบฉุกเฉินและแผนปฏิบัติการกรณีพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

บทสรุป

การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายกำลังยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการสื่อสารเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ในวิกฤตที่หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม “ความจริงใจและมาตรฐานสูงสุด” คือหัวใจที่ต้องยึดมั่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
  • รายงานคุณภาพน้ำประปา กปภ.สาขาเชียงราย
  • สัมภาษณ์ผู้ว่าการ กปภ.
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ กปภ.
  • WHO Guidelines for Drinking-water Quality
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อบจ.เชียงรายระดมพลช่วยชีวิตสัตว์! เร่งขนย้ายหมู-ไก่กว่า 1,000 ตัวหนีน้ำท่วมเทิง

อบจ.เชียงรายระดมพลช่วยชีวิตสัตว์! เร่งขนย้ายหมู-ไก่กว่า 1,000 ตัว หนีน้ำท่วมเทิง หลังพายุ “วิภา” ถล่มหนัก

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – ภัยพิบัติซ้อนภัย วิกฤตน้ำท่วมเทิง-สัตว์เศรษฐกิจตกอยู่ในอันตราย อบจ.เชียงรายลุยช่วยทุกชีวิต สถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายช่วงนี้ รุนแรงและซับซ้อนกว่าทุกปีจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พัดผ่าน ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนปริมาณน้ำป่าล้นไหลหลากท่วมเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ หมู่ที่ 6 อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสุกรและไก่สำคัญของจังหวัด สร้างความเดือดร้อนต่อเกษตรกรและชาวบ้านอย่างหนัก

น้ำป่าทะลัก-สัตว์เศรษฐกิจตกค้างในเขตอันตราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เผยว่า ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พบว่ามีฟาร์มสุกรและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ ที่เกษตรกรต้องเร่งอพยพเพื่อป้องกันการสูญเสีย

ซึ่งได้สั่งการให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สนธิกำลังกับหน่วยงานท้องถิ่น อาสาสมัคร และชาวบ้าน เร่งเข้าช่วยเหลือทั้งชีวิตคนและสัตว์อย่างแข็งขัน ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงค่ำ ด้วยความหวังว่าจะลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด

ภารกิจช่วยเหลือสุดระทึก “เรือยนต์-เรือท้องแบน” ขาดแคลน ชาวเน็ตระดมเครือข่ายช่วยด่วน

สถานการณ์ล่าสุด ข้อมูลจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Chaiwat Yawirad ระบุว่า มีการช่วยขนย้ายหมูออกไปแล้ว 100 ตัว แต่ยังเหลือหมูอีกกว่า 1,000 ตัวในพื้นที่อันตราย ต้องการเรือยนต์และเรือท้องแบนเป็นจำนวนมากเพื่อการอพยพอย่างเร่งด่วน สร้างปรากฏการณ์ “ระดมทรัพยากร” ผ่านโซเชียลฯ ซึ่งเปิดสายตรงให้ผู้ที่พร้อมช่วยเหลือติดต่อมายังบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้ที่เบอร์ 081-002-9110

ไม่เพียงแค่ปศุสัตว์ที่ถูกคุกคาม ชาวบ้านจำนวนหนึ่งยังต้องการความช่วยเหลือในการอพยพคนชรา เด็ก และผู้ป่วยออกจากพื้นที่เสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง อบจ.เชียงรายจึงจัดทีมลงพื้นที่แบบต่อเนื่อง ประสานหน่วยงานในและนอกพื้นที่ ขอกำลังเสริม เรือยนต์ เรือท้องแบน อุปกรณ์ยกย้าย และถุงยังชีพเพิ่ม

มุมวิเคราะห์ “น้ำท่วมสัตว์” บทพิสูจน์ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติและ “ความใส่ใจในทุกชีวิต”

  1. เจตนารมณ์ใหม่ของการช่วยเหลือ:
    การที่ อบจ.เชียงราย ขยายภารกิจจากการอพยพคน สู่การช่วยชีวิตสัตว์เศรษฐกิจสะท้อนถึงแนวคิด “One Health – สุขภาพเดียวกันของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม” เพราะการสูญเสียปศุสัตว์นอกจากกระทบจิตใจ ยังเป็นภัยต่อเศรษฐกิจและปากท้องของเกษตรกรโดยตรง
  2. ประสิทธิภาพการตอบสนองฉุกเฉิน:
    การมอบหมายเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่และประสานอาสาสมัครทันทีหลังเกิดเหตุ แสดงให้เห็นความพร้อมและว่องไวของกลไกช่วยเหลือในภาวะวิกฤต แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคด้านทรัพยากรและการเข้าถึงจุดอพยพ
  3. บทบาทสื่อโซเชียล:
    การใช้โซเชียลมีเดียโพสต์ขอความช่วยเหลือถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การระดมทรัพยากรทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยเติมเต็มการช่วยเหลือของภาครัฐในจุดที่ขาดแคลน
  4. ความท้าทายด้านทรัพยากร:
    กรณีนี้สะท้อนว่าการบริหารภัยพิบัติในพื้นที่ห่างไกลยังต้องอาศัยอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น เรือยนต์ เรือท้องแบน รวมถึงทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านการอพยพสัตว์จำนวนมาก ซึ่งควรจัดเตรียมและบูรณาการไว้ล่วงหน้าก่อนฤดูน้ำหลาก
  5. แนวทางฟื้นฟูหลังน้ำลด:
    เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย หน่วยงานควรมีมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูทั้งทุนทรัพย์ อุปกรณ์ฟาร์ม พันธุ์สัตว์ทดแทน และองค์ความรู้ด้านสุขภาพสัตว์ เพื่อลดความเสียหายทางเศรษฐกิจและช่วยเกษตรกรฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ภัยพิบัติครั้งนี้กลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินของไทยพัฒนาขึ้นทั้งในเชิงระบบและจิตวิญญาณ “ทุกชีวิตมีค่า” ไม่ใช่เพียงสโลแกน หากแต่เป็นพันธกิจที่ อบจ.เชียงรายและเครือข่ายอาสาสมัครในพื้นที่กำลังปฏิบัติจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • ข้อมูลจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย Chaiwat Yawirad

  • ข่าวและข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่จังหวัดเชียงราย (เช่น กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 ศิลปะบุกตลาดเก่าแก่ เชื่อมโยงชุมชน-เศรษฐกิจยั่งยืน

ป๊ะกาด” 2025 ศิลปะบุกตลาดเก่าแก่ เชื่อมโยงชุมชน-เศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ศิลปะร่วมสมัยกำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทั่วโลก จังหวัดเชียงรายกำลังก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางศิลปะสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการจัดงานเทศกาลศิลปะ “ป๊ะกาด” ครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนตลาดสดเทศบาล 1 หรือ “กาดหลวง” ให้กลายเป็นพื้นที่แสดงศิลปะกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ

เทศกาลศิลปะ Everywhere Gallery “ป๊ะกาด” 2025 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2568 มิใช่เพียงการจัดแสดงผลงานศิลปะธรรมดา แต่เป็นการทดลองสังคมที่ยิ่งใหญ่ในการนำศิลปะร่วมสมัยไปผสานกับวิถีชีวิตประจำวันของชุมชนเมือง นำโดยกีรติ วุฒิสกุลชัย ศิลปิน-ภัณฑารักษ์วัย 37 ปี ผู้มีประสบการณ์การทำงานด้านสารคดีและศิลปะมากกว่า 13 ปี

กีรติ วุฒิสกุลชัย สู่การเป็นผู้ก่อตั้ง Everywhere Gallery

จากสารคดีสู่ศิลปะเพื่อชุมชน

การเดินทางของกีรติ วุฒิสกุลชัย สู่การเป็นผู้ก่อตั้ง Everywhere Gallery เริ่มต้นจากการตัดสินใจกลับมายังบ้านเกิดเชียงรายเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากสั่งสมประสบการณ์การทำงานในกรุงเทพฯ ในฐานะโปรดิวเซอร์สารคดี ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้าง “เชียงรายแบบที่อยากอยู่” เมืองที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยอาชีพสร้างสรรค์และมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์

“การทำงานสารคดีทำให้ผมเรียนรู้ว่าการเล่าเรื่องที่ดีต้องเกิดจากการเข้าใจบริบทและการมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างแท้จริง เมื่อผมนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับงานศิลปะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือศิลปะที่มีชีวิตและสามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง” กีรติกล่าว

การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2566 เมื่อเขาได้รับโอกาสทำงานในตำแหน่งประสานงานท้องถิ่น (Local Co-ordinator) ในมหกรรมศิลปะร่วมสมัย Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ประสบการณ์นี้ไม่เพียงขยายเครือข่ายการทำงาน แต่ยังเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับศักยภาพของศิลปะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

ความสำเร็จที่พิสูจน์แล้ว

ตัวเลขจากผลงานที่ผ่านมาของ Everywhere Gallery สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกที่ศิลปะสามารถสร้างให้กับเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น ในงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ที่จัดเป็นกิจกรรมคู่ขนาน Everywhere Gallery สามารถร่วมมือกับสถานประกอบการ 12 แห่ง จัดแสดงนิทรรศการ 20 แห่ง เวิร์คช็อป 5 กิจกรรม และการฉายภาพยนตร์ 3 เรื่อง โดยมีศิลปินกว่า 40 ท่านเข้าร่วมโครงการ

ผลลัพธ์ที่ได้คือการมีผู้เข้าชมและใช้บริการที่พัก ร้านอาหารกว่า 200,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 75 ล้านบาทให้กับสถานประกอบการในพื้นที่ ความสำเร็จนี้ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องในเทศกาล Everywhere Gallery 2024 ภายใต้ธีม “Chiang Rai, Who are you?” ที่ร่วมมือกับ 10 สถานประกอบการและ 10 ศิลปินเชียงราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้หมุนเวียนในจังหวัดกว่า 11.95 ล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว

กาดหลวง” พื้นที่แห่งความทรงจำ

การเลือกตลาดสดเทศบาล 1 หรือ “กาดหลวง” เป็นพื้นที่หลักของเทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตลาดแห่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของชุมชนเชียงรายมาอย่างยาวนานกว่าศตวรรษ เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงผู้คนจากทุกชนชั้น มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงของเมืองฝังรากลึกอยู่ในทุกซอกมุม

นายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย อธิบายความสำคัญของพื้นที่แห่งนี้ว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรามานานกว่าศตวรรษ การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

คำว่า “ป๊ะกาด” ในภาษาเหนือที่หมายถึง “พบปะกันที่ตลาด” สะท้อนถึงเจตนารมณ์หลักของเทศกาลที่ต้องการให้ตลาดแห่งนี้กลับมาเป็นจุดรวมพลังของชุมชนและเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนรุ่นต่างๆ ผ่านสื่อกลางของศิลปะ

54 ศิลปิน 16 พื้นที่ การผสานระหว่างท้องถิ่นและสากล

เทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 นำเสนอผลงานจากศิลปินกว่า 54 ท่าน ทั้งศิลปินชื่อดังระดับสากลและศิลปินท้องถิน ใน 16 พื้นที่จัดแสดงที่กระจายทั่วทั้งตลาด โดยแต่ละผลงานได้รับการคิวเรตให้เชื่อมโยงกับบริบทของพื้นที่และชุมชนอย่างมีความหมาย

สกัณห์ อายุรพงศ์ และอังกฤษ อัจฉริยโสภณ นำเสนอกิจกรรม Performing Art “A Perfect Day Every Day” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ของผู้กำกับ Wim Wenders โดยการแสดงจะเกิดขึ้นท่ามกลางความคึกคักของตลาด เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับความงามในชีวิตประจำวัน

สมลักษณ์ ปันติบุญ ร่วมมือกับร้านกาแฟลุงอี๊ด ผู้ดำเนินกิจการในตลาดมากว่า 60 ปี ในผลงาน “ถ้วยกาแฟและถ้วยไข่ลวก” โครงการที่ไม่เพียงสร้างผลงานศิลปะ แต่ยังสร้างกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชน โดยรายได้จากการขายผลงานทั้งหมดจะกลับไปยังทั้งตลาดสดเทศบาล 1 และชุมชนศิลปะ

ทรงเดช ทิพย์ทอง นำเสนอผลงาน “ยินดีต้อนรับ” ที่นำอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่าง ‘ตุง’ มาสร้างสรรค์จากวัสดุที่หาซื้อได้ในตลาด สะท้อนแนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นในการสร้างสรรค์งานศิลปะ

ภุชคฤน ตั้งตรงเจตนา ศิลปินที่เติบโตมากับชุมชนตลาดแห่งนี้ นำเสนอผลงานศิลปะจัดวางและศิลปะการแสดง “หอนาฬิกา กาลเวลา กังสดาล และความทรงจำร่วมของเมือง” ที่เน้นการทำงานร่วมกับชุมชนและการสืบทอดความทรงจำของพื้นที่

กลุ่มไส้ติ่ง (SIDE:THINK) นำเสนอกิจกรรม “แม่ซ่อนหา” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการละเล่นในวัยเยาว์ เพื่อสร้างการรับรู้เชิงพื้นที่อย่างลึกซึ้งและเชิญชวนให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมในการสำรวจตลาดในมิติใหม่

นอกจากนี้ ยังมีการมีส่วนร่วมของศิลปินตัวน้อยจากโรงเรียนอนุบาลเชียงราย ที่ร่วมขับเคลื่อนระบบนิเวศศิลปะของเทศกาลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการส่งต่อความรู้และความรักในศิลปะสู่คนรุ่นใหม่

การมีส่วนร่วมของชุมชนเมื่อพ่อค้าแม่ค้ากลายเป็น Docent

หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจของเทศกาล “ป๊ะกาด” คือการฝึกอบรมพ่อค้าแม่ค้าในตลาดให้เป็น Docent หรือผู้นำชมนิทรรศการ โดยเขาเหล่านี้จะเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของผลงานศิลปะในแต่ละพื้นที่ผ่านมุมมองและประสบการณ์ของตนเอง

แนวคิดนี้ไม่เพียงสร้างรายได้เสริมให้กับพ่อค้าแม่ค้า แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงความรู้ดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถพบได้ที่อื่น การได้ฟังเรื่องราวของผลงานศิลปะจากผู้ที่อาศัยและทำงานในพื้นที่มาอย่างยาวนาน ย่อมให้ความรู้สึกและความเข้าใจที่แตกต่างจากการฟังจากผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะทั่วไป

เวิร์คช็อปและกิจกรรมสร้างสรรค์

เทศกาลจัดเวิร์คช็อปสร้างสรรค์ 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ “การออกแบบทางม้าลายในจินตนาการของฉัน” โดยความร่วมมือระหว่าง Art Bridge Young Artists จากสมาคมขัวศิลปะ และนักเรียนอนุบาล 3 โรงเรียนอนุบาลเชียงราย เพื่อสร้างทางม้าลายที่ใช้งานได้จริงในพื้นที่ตลาด แสดงให้เห็นว่าศิลปะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้อย่างชัดเจน

“เพ้นท์หินทองคำ” โดยปัทมาภรณ์ อุณหะนันทน์ เป็นกิจกรรมที่เชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น และ “Photo Walk” โดยเฉลิมชัย คำแสน แห่งห้องภาพฟองเสรี ที่จะนำผู้เข้าร่วมสำรวจมุมมองใหม่ของตลาดผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูป

Artist Art Fair ตอบคำถามเรื่องตลาดศิลปะ

หนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจคือ Artist Art Fair ที่จัดขึ้นเป็นพื้นที่แสดงผลงานและจำหน่ายสินค้าโดยศิลปิน 12 ท่านจากเชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง กิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อตอบคำถามสำคัญสองข้อ คือ “งานศิลปะแบบไหนที่จะขายในตลาดได้” และ “ตลาดแบบไหนที่จะขายงานศิลปะได้”

การทดลองนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบนิเวศศิลปะในท้องถิ่น โดยการสร้างตลาดที่ยั่งยืนสำหรับผลงานศิลปะท้องถิ่น ไม่ใช่เพียงการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวหรือนักสะสมศิลปะชั้นสูงเท่านั้น แต่เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะกับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป

ผลกระทบและวิสัยทัศน์ระยะยาว

กีรติ วุฒิสกุลชัย แสดงทรรศนะเกี่ยวกับเป้าหมายระยะยาวของโครงการว่า “ศิลปะไม่ใช่สิ่งที่ห่างไกลจากชีวิตประจำวัน แต่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าไปสัมผัสและเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้มีชีวิตได้ กาดหลวงแห่งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของสมมติฐานที่ว่าเมื่อศิลปะเข้าไปผสานกับวิถีชีวิตจริงของผู้คน สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นมากกว่าการจัดแสดงผลงานศิลปะ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทุกคนจะจดจำไปตลอดชีวิต”

ผู้จัดงานคาดหวังว่าเทศกาล “ป๊ะกาด” จะเป็นการลงทุนในอนาคตของชุมชนและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายหลายประการ ได้แก่ การสร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาด การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว การเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับประวัติศาสตร์ชุมชน และการเปิดโอกาสให้ศิลปินท้องถิ่นได้แสดงผลงาน

การสร้างแบรนด์เมืองศิลปะ

เทศกาล “ป๊ะกาด” 2025 เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองศิลปะของภูมิภาค โดยการสร้างกิจกรรมที่ต่อเนื่องและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน ไม่ใช่เพียงการจัดงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะสั้น

ความสำเร็จของโครงการนี้จะเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาเมืองอื่นๆ ในการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูพื้นที่เมือง สร้างรายได้ให้กับชุมชน และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมกัน

เทศกาลศิลปะ Everywhere Gallery “ป๊ะกาด” 2025 จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น. ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม 2568 ณ ตลาดสดเทศบาล 1 (กาดหลวง) จ.เชียงราย การเข้าชมฟรี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • Everywhere Gallery เชียงราย
  • Thailand Biennale Foundation
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

PEA เทิงระดมทีม! ฟื้นฟูระบบไฟฟ้าหลัง “วิภา” ถล่ม คาดจ่ายไฟครบหลังน้ำลด

พายุ “วิภา” ถล่มเทิง! PEA เร่งกู้คืนระบบไฟฟ้ากระทบกว่า 3,700 ครัวเรือน คาดจ่ายไฟครบหลังน้ำลด 432 ราย

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – อิทธิพล “วิภา” กระหน่ำอำเภอเทิง กฟภ.ระดมทีมฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ชูบทเรียนจัดการภัยพิบัติอย่างมืออาชีพ

ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติที่เกิดจากพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งได้เคลื่อนตัวพัดผ่านภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเทิง กลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยส่งผลให้ระบบสาธารณูปโภคหลักอย่าง “ไฟฟ้า” ในหลายชุมชนเกิดความเสียหายและต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว สร้างความลำบากให้กับประชาชนกว่า 3,700 ครัวเรือน ในช่วงเวลาที่พายุถาโถมเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา

สรุปสถานการณ์ความเสียหายและแผนกู้คืนระบบไฟฟ้า

ข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง (กฟส.เทิง) ระบุถึงเหตุการณ์และแผนปฏิบัติการดังนี้

  1. เสาไฟฟ้าแรงสูงเอียง (บ้านห้วยไคร้ ต.เวียง)
    • น้ำกัดเซาะดินริมถนนบริเวณเสาไฟฟ้าแรงสูงวงจร F9 และ F10 ทำให้เสาไฟฟ้าเอียง 2 ต้น
    • ดำเนินการแก้ไขให้จ่ายไฟฟ้าชั่วคราวได้แล้ว
  2. ดินสไลด์ ต้นไม้โค่นล้ม (บ้านเลาอู ต.ตับเต่า)
    • ส่งผลผู้ใช้ไฟ 1,001 ราย
    • กู้คืนระบบและจ่ายไฟคืนครบถ้วน
  3. ดินสไลด์ ต้นไม้โค่นล้ม (บ้านไร่สอง ต.ตับเต่า)
    • กระทบผู้ใช้ไฟ 1,129 ราย
    • ดำเนินการแก้ไขและจ่ายไฟคืนครบ
  4. อุปกรณ์ชำรุด (บ้านใหม่ ต.เวียง)
    • คาดว่าอุปกรณ์ TNG01VR-103 T/L ชำรุด
    • ใช้วิธี Bypass จ่ายไฟคืนผู้ใช้ไฟแล้ว
  5. น้ำท่วม (บ้านห้วยหลวง ต.เวียง)
    • ปลดอุปกรณ์ 01VF-102
    • ระดับน้ำลดแล้ว จ่ายไฟคืน 103 รายครบ
  6. พื้นที่น้ำท่วม ปลดระบบเพื่อความปลอดภัย
    • ดับไฟ 5 หม้อแปลง ตัดไลน์ 1 จุด รวม 5 พื้นที่ (บ้านใหม่ บ้านร่องขามป้อม หมู่บ้านบริเวณหลังที่ว่าการอำเภอเทิง สถานีสูบน้ำบ้านทุ่งขันไชย และบ้านตับเต่า หมู่ 2)
    • กระทบผู้ใช้ไฟ 432 ราย
    • จะจ่ายไฟคืนเมื่อระดับน้ำลดลง

ยอดรวมล่าสุด (ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2568)

  • ผู้ใช้ไฟได้รับผลกระทบ: 3,704 ราย
  • จ่ายไฟคืนแล้ว: 3,272 ราย
  • เหลือค้างรอจ่ายไฟหลังน้ำลด: 432 ราย

PEA รับมือฉับไว ย้ำ “ชีวิตต้องมาก่อนทุกระบบ”

ในภาวะวิกฤติ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง ดำเนินการฟื้นฟูระบบอย่างมืออาชีพ โดยทันทีที่มีรายงานความเสียหายจากน้ำท่วม ดินสไลด์ ต้นไม้โค่น และอุปกรณ์ชำรุด เจ้าหน้าที่ PEA ได้ระดมทีมเข้าแก้ไขในแต่ละจุดอย่างรวดเร็วและรัดกุม พร้อมทั้งประสานกับท้องถิ่นและชุมชน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

ที่สำคัญคือ “การตัดสินใจปลดระบบไฟฟ้า” ในพื้นที่น้ำท่วมขัง เป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตประชาชน แม้จะต้องแลกมากับความไม่สะดวก แต่ก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องในภาวะฉุกเฉิน

นอกจากนี้ การแก้ไขอุปกรณ์เสียหายด้วยเทคนิค “Bypass” และการปรับปรุงเสาไฟที่เอียงให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ชั่วคราว เป็นตัวอย่างของการ “บริหารจัดการปัญหาเฉพาะหน้า” ที่มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการขาดไฟฟ้าลงอย่างมาก

บทเรียนและข้อเสนอแนะเพื่อระบบไฟฟ้ายั่งยืนในพื้นที่เสี่ยงภัย

เหตุการณ์ที่อำเภอเทิงครั้งนี้สะท้อน 3 ประเด็นหลักที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบไฟฟ้าและการบริหารจัดการภัยพิบัติในอนาคต

  1. การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก:
    PEA เทิง สามารถจัดลำดับความสำคัญ ระบุจุดเสี่ยง ปรับแผนการจ่ายไฟและซ่อมแซมได้ตรงจุด ตอบสนองภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  2. มาตรการความปลอดภัยที่รัดกุม:
    การยอม “ตัดไฟ” ในพื้นที่น้ำท่วมแม้จะกระทบความสะดวกของประชาชน แต่ก็ป้องกันเหตุร้ายแรงซึ่งอาจถึงชีวิต ถือเป็นมาตรฐานสำคัญที่ควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
  3. การสื่อสารกับประชาชน:
    การแจ้งข้อมูลความคืบหน้า แผนคืนระบบไฟ และข้อควรระวังเรื่องไฟฟ้ารั่วแก่ชุมชนตลอดเหตุการณ์ สร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐ

ความท้าทายที่ยังรอการแก้ไข

ผู้ใช้ไฟ 432 รายที่ยังไม่ได้รับการจ่ายไฟฟ้าจนกว่าระดับน้ำจะลด ถือเป็นกลุ่มที่ยังเปราะบาง ต้องอาศัยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมเข้าดำเนินการโดยทันทีเมื่อปลอดภัย

สรุป

การจัดการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง ในเหตุการณ์พายุ “วิภา” เป็นตัวอย่างของการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและใส่ใจต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยยึดหลัก “ชีวิตต้องมาก่อน” เป็นอันดับแรก ทั้งยังสะท้อนบทเรียนสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เสี่ยงภัยของไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเทิง (PEA เทิง)
  • รายงานสถานการณ์อุทกภัย จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News