Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ลำไยเชียงรายล้นตลาด ราคาดิ่งหนัก! รองนายกฯ อบจ.ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร

อบจ.เชียงรายเร่งแก้ “ลำไยล้นตลาด”! รองนายกฯ ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร พร้อมประสาน “ผู้ว่าฯ-รมว.เกษตรฯ” ด่วน

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – ลำไยเชียงรายราคาดิ่ง-ผลผลิตล้นตลาดรองนายกฯ อบจ. ลงพื้นที่ดอยลาน ร่วมหาทางออก วิกฤตเกษตรกร

สถานการณ์ราคาลำไยตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดในจังหวัดเชียงรายปีนี้ สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกลำไยสำคัญของภาคเหนือ เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผลผลิตที่ล้นโรงอบจนไม่สามารถขายได้ กลายเป็นภาระสะสมในชีวิตและหนี้สิน

ในช่วงเช้าวันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้ นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และนางสาวอริญชยา กายาไชย สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 6 ลงพื้นที่ตำบลดอยลาน เพื่อพบปะพูดคุยและรับฟังปัญหาโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการโรงอบในพื้นที่ รวมถึงรับฟังข้อมูลจากบริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด ผู้ประกอบการโรงอบรายใหญ่ประจำตำบล เพื่อรวบรวมข้อมูลและหาแนวทางแก้ไขวิกฤตครั้งนี้

ภาพรวมปัญหา ผลผลิตล้น-ราคาตก-โรงอบรับไม่ไหว

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างประสบปัญหาลำไยสดล้นตลาด โรงอบไม่สามารถรับซื้อได้หมด เนื่องจากปริมาณผลผลิตปีนี้สูงเกินความต้องการของตลาด โดยราคาลำไยสดคุณภาพดี (เกรด AA) เฉลี่ยอยู่เพียง 8-10 บาท/กก. (ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ย 15-16 บาท/กก.) ขณะที่ลำไยเกรดรอง (A, B, C) ราคาตกต่ำเหลือ 2-5 บาท/กก. และบางโรงอบถึงกับหยุดรับซื้อลำไยเกรดต่ำ ทำให้เกษตรกรจำนวนมากจำใจต้องปล่อยให้ลำไยเน่าเสียหรือแจกจ่ายฟรีให้ชุมชนโดยไม่ได้รายได้

“ปีนี้ลำไยเต็มสวนแต่ไม่มีที่ขาย โรงอบก็เต็ม บางเจ้ารับซื้อแบบจำกัดปริมาณ โรงร่อนรับได้น้อยมาก เกษตรกรขาดทุนต่อเนื่อง บางคนถึงขั้นต้องกู้เงินนอกระบบมาจุนเจือครอบครัว” ตัวแทนเกษตรกรเผย

ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังกระทบเศรษฐกิจฐานรากทั้งระบบ เนื่องจากเชียงรายถือเป็นจังหวัดปลูกลำไยรายใหญ่ อันดับ 3 ของประเทศ รองจากเชียงใหม่และลำพูน ผลผลิตที่ล้นตลาดเกินศักยภาพของระบบแปรรูปและตลาดรับซื้อ นำไปสู่ราคาดิ่งลงต่ำต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายเดินหน้าประสานทุกภาคส่วน เร่งช่วยเหลือเฉพาะหน้าและวางแนวทางยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย เปิดเผยภายหลังการหารือว่า “อบจ.เชียงรายรับทราบความเดือดร้อนของเกษตรกรทุกคน จะไม่นิ่งนอนใจโดยเด็ดขาด เบื้องต้นได้ประสานโรงอบไทย หม่าน อี้ รับซื้อลำไยเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อช่วยระบายผลผลิตออกจากสวน ลดแรงกดดันในพื้นที่ พร้อมทั้งจะรวบรวมข้อเสนอแนะและปัญหาจากเกษตรกรทุกกลุ่ม นำไปรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยเร็วที่สุด”

วิกฤตลำไยเชียงราย บททดสอบใหญ่ “ระบบจัดการผลผลิตไทย”

ปัญหาลำไยล้นตลาดและราคาตกต่ำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงปีนี้ แต่เป็นปัญหาซ้ำซากที่สะสมมานาน ข้อมูลกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ปี 2568 ปริมาณผลผลิตลำไยสดในภาคเหนือพุ่งสูงกว่าปีที่แล้วถึง 12% ขณะที่ตลาดส่งออกหลักอย่างจีนและเวียดนามต่างมีข้อจำกัดเรื่องนำเข้าและมีผลผลิตในประเทศเองมากขึ้น ทำให้พึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก โรงอบในพื้นที่ไม่สามารถรับซื้อลำไยได้ทันกับผลผลิตที่หลั่งไหลออกมาพร้อมกัน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • การรับฟังปัญหาและประสานงานรวดเร็ว: การที่ อบจ.เชียงราย ส่งรองนายกฯ ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาจริงจัง ต่างจากการสื่อสารผ่านระบบราชการปกติที่อาจล่าช้าและห่างไกลข้อเท็จจริง
  • บทบาท “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ในวิกฤต: การประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงเกษตรฯ สะท้อนการขับเคลื่อนปัญหาขึ้นสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายได้ตรงจุด ไม่ใช่แค่ “ฟังแล้วจบ” ในระดับท้องถิ่น
  • แนวทางบรรเทาฉุกเฉิน: แม้การรับซื้อลำไยเพิ่มของโรงอบจะช่วยได้เพียงบางส่วนและชั่วคราว แต่หากรัฐเร่งสนับสนุนการกระจายตลาด ส่งเสริมการแปรรูป ผลักดันตลาดออนไลน์หรือส่งเสริมการส่งออกนอกฤดู น่าจะช่วยสร้างสมดุลให้กับอุปทานที่ล้นตลาดได้มากขึ้น

ข้อเสนอแนะสู่ความยั่งยืน:

  • ระบบข่าวกรองและบริหารจัดการผลผลิต: ควรวางระบบติดตามผลผลิตและคาดการณ์ปริมาณล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดซ้ำซาก และผลักดันการวางแผนการผลิตแบบยั่งยืน
  • การเสริมศักยภาพแปรรูปและเพิ่มมูลค่า: ควรเร่งรัดสนับสนุนโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในพื้นที่ กระตุ้นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากลำไย เพิ่มโอกาสส่งออก และลดการพึ่งพาตลาดสดเพียงอย่างเดียว
  • ส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน: ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกร-โรงอบ-ผู้ส่งออก เพิ่มความเข้มแข็งและยืดหยุ่นให้ระบบรับมือวิกฤตได้ดีขึ้นในอนาคต

สรุป:

สถานการณ์ลำไยล้นตลาดที่เชียงรายในปีนี้ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ระบบเกษตรกรรมไทยทุกระดับ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและเชิงโครงสร้าง เชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสสร้างความแข็งแกร่งให้เกษตรกรในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด
  • กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • รายงานข่าวสถานการณ์ผลผลิตลำไยภาคเหนือ (2568)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

บจ.เชียงรายเปิดสะพานข้ามลำน้ำเกี๋ยง เสริมโครงสร้าง ช่วยน้ำท่วมโรงเรียนแม่คำ

อบจ.เชียงรายลุยแก้ปัญหา! เปิดใช้สะพานใหม่ข้ามลำน้ำเกี๋ยง อ.เชียงแสน พร้อมเร่งช่วยน้ำท่วมโรงเรียนบ้านแม่คำ

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – อบจ.เชียงรายเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิต เปิดใช้สะพานใหม่ข้ามลำน้ำเกี๋ยง ลดต้นทุนขนส่ง หนุนเศรษฐกิจฐานราก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ยังคงสานต่อนโยบาย “สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อชุมชน” ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดใช้งานสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามลำน้ำเกี๋ยง บ้านห้วยเกี๋ยง หมู่ 8 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นจากการต้อนรับของชุมชน โดยมีผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

สะพานใหม่แห่งนี้มีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 12 เมตร สร้างขึ้นเพื่อทดแทนสะพานเดิมที่ถูกน้ำกัดเซาะจนชำรุดเสียหายอย่างหนักจากเหตุอุทกภัยในรอบหลายปีที่ผ่านมา สะพานเก่ากลายเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง การขนส่งผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงชีวิตประจำวันของประชาชนโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่เสี่ยงอันตรายจากกระแสน้ำเชี่ยว อบจ.เชียงรายจึงได้เร่งรัดจัดสรรงบประมาณกว่า 1,775,000 บาท ผ่านความเห็นชอบของประชาคมท้องถิ่น เพื่อดำเนินการก่อสร้างโดยเทศบาลตำบลเวียง

เปิดสะพานใหม่เพิ่มศักยภาพชุมชน ลดความเสี่ยงอุทกภัย

สะพานข้ามลำน้ำเกี๋ยงแห่งใหม่นี้ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนาและความมั่นคงในชีวิตประจำวันของประชาชน ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงปลอดภัย ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ทั้งในด้านการสัญจร การขนส่งสินค้าและผลผลิตการเกษตร ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

เป้าหมายของโครงการนี้ชัดเจน ได้แก่

  • อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการสัญจร สำหรับประชาชนในหมู่บ้านและผู้ใช้เส้นทาง
  • ลดภาระค่าใช้จ่าย ในการเดินทางของประชาชนและต้นทุนขนส่งผลผลิต
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน ด้วยเส้นทางคมนาคมที่สมบูรณ์
  • ป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยซ้ำซาก ลดความเสี่ยงจากน้ำกัดเซาะและน้ำท่วมขัง

เร่งช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำ สู้ภัยน้ำท่วม

ในวันเดียวกัน นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะ ยังได้ลงพื้นที่สำรวจโรงเรียนบ้านแม่คำ (ธรรมาประชาสรรค์) ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังจนส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนและความเป็นอยู่ของคณะครูและนักเรียน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น อบจ.เชียงรายได้นำน้ำดื่ม 50 แพ็คไปมอบให้โรงเรียน และสั่งการให้กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยติดตั้งเครื่องสูบน้ำเข้าพื้นที่โดยด่วน พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งสำรวจและดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

 “สะพานแห่งความหวัง” และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง – ต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่น

การเปิดใช้งานสะพานข้ามลำน้ำเกี๋ยงและการลงพื้นที่ช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำของ อบจ.เชียงรายในครั้งนี้ เป็นภาพสะท้อนของบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าใจและตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชาชนในทุกมิติ

จุดเด่นและผลลัพธ์สำคัญ:

  • แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: สะพานคอนกรีตเสริมเหล็กใหม่ เป็นการแก้ปัญหาถึงรากฐานและยั่งยืน ลดความเสียหายจากน้ำท่วมขังในระยะยาว และป้องกันการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในช่วงวิกฤต
  • เสริมศักยภาพเศรษฐกิจและการเกษตร: การคมนาคมสะดวกขึ้น เอื้อให้เกษตรกรส่งผลผลิตสู่ตลาดได้รวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของพื้นที่
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน: การจัดสรรงบประมาณและดำเนินการโดยผ่านความเห็นชอบของประชาคม สะท้อนให้เห็นว่าท้องถิ่นรับฟังและตอบสนองต่อความต้องการแท้จริงของชุมชน
  • บูรณาการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน: การลงพื้นที่ช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำอย่างทันท่วงที เป็นการดูแลและเยียวยาคุณภาพชีวิตของเยาวชนและครอบครัวในพื้นที่อย่างจริงจัง
  • พัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน: ความร่วมมือระหว่าง อบจ.เชียงราย เทศบาลตำบลเวียง และผู้นำชุมชน ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมสูงสุด

ข้อเสนอแนะและประเด็นท้าทาย:

  • ควรจัดทำแผนบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อยืดอายุการใช้งานของสะพาน
  • วางแผนป้องกันน้ำท่วมทั้งระบบเพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะจุด
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาสาธารณประโยชน์ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สรุป:

การเปิดใช้งานสะพานใหม่ข้ามลำน้ำเกี๋ยงและการช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำโดย อบจ.เชียงราย คือแบบอย่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มุ่งมั่นพัฒนาอย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ชีวิตประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ถือเป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในระดับชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
  • กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

“โฮงยาใกล้บ้าน Plus” สู่สุขภาพดี! อบจ.เชียงรายนำร่อง HPV DNA Test ทั่วจังหวัด

อบจ.เชียงราย Kick off! “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” รุกตรวจ HPV DNA Test คัดกรองมะเร็งปากมดลูกสตรีเชียงราย หวังลดอัตราการเสียชีวิต

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – อบจ.เชียงรายขับเคลื่อน “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ต้นแบบสุขภาพชุมชนสตรี ในโลกยุคใหม่ที่ความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการสุขภาพถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ประกาศก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้หญิง ด้วยการเดินหน้าโครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ภายใต้นโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” ผ่านการ Kick off กิจกรรมตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงที่สุดในปัจจุบัน

กิจกรรม Kick off ดังกล่าวจัดขึ้นที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ อบจ.เชียงราย และผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 211 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วทั้งจังหวัด โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมนายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขกล่าวรายงาน ขณะที่หัวหน้าส่วนราชการ อสม. และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. กว่า 10,000 คน เข้าร่วมพิธีอย่างคึกคัก

HPV DNA Test ทางรอดใหม่ของสตรีเชียงราย

มะเร็งปากมดลูกยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของหญิงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 30-59 ปี ที่ยังเข้าถึงการตรวจคัดกรองไม่ทั่วถึง โครงการนี้จึงมุ่งเป้าให้ผู้หญิงในกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองด้วย HPV DNA Test ซึ่งสามารถเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง ช่วยลดอุปสรรคทั้งเรื่องความเขินอาย การเดินทาง และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ นับเป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขชุมชนในเชียงราย

นอกจากนี้ยังมีการอบรมโดยนางอภิษฎา สุวรรณ ศิวเสน นักเทคนิคการแพทย์ชำนาญการ จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่และจิตอาสา อสม. ให้สามารถนำความรู้ไปขยายผลในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ

การเข้าถึง-การป้องกัน-การดูแลต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายตั้งเป้าให้สตรีกลุ่มเป้าหมายทั่วทั้งจังหวัดเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างครอบคลุม ภายใต้แนวคิด “ป้องกันก่อนเกิด ยิ่งเร็วยิ่งรอด” นอกจากตรวจแล้ว ยังเน้นการให้ข้อมูล การดูแลหลังการตรวจคัดกรอง ไปจนถึงการส่งต่อรักษาหากพบความผิดปกติ และที่สำคัญคือ การสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้หญิงไทยทุกคนเห็นความสำคัญของการตรวจและดูแลสุขภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง

โครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ไม่ได้หยุดอยู่แค่กิจกรรมตรวจ แต่ยังขับเคลื่อนสู่การสร้างเครือข่ายสุขภาพท้องถิ่นที่แข็งแรง มี อสม. และ รพ.สต. ทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่ ให้ความรู้ ชวนสตรีร่วมตรวจด้วยความเข้าใจ พร้อมกับสนับสนุนอุปกรณ์และการบริหารจัดการระบบข้อมูลที่แม่นยำและต่อเนื่อง

อบจ.เชียงราย – ผู้นำท้องถิ่นติดอาวุธสุขภาพสตรีไทยด้วยนวัตกรรมและเครือข่าย

การ Kick off ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย HPV DNA Test สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในการยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี ด้วยการวางนโยบายเชิงรุกที่เน้น “ป้องกันก่อนแก้ไข” ซึ่งตอบโจทย์การแก้ปัญหาสุขภาพเชิงระบบของผู้หญิงอย่างแท้จริง

ประเด็นเด่นที่สำคัญ:

  • ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรอง: HPV DNA Test คือมาตรฐานใหม่ของการคัดกรองโรค ช่วยตรวจพบไวรัสสายพันธุ์เสี่ยงก่อมะเร็งในระยะเริ่มต้น
  • สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของสุขภาพ: การให้สตรีสามารถเก็บตัวอย่างเอง ลดอุปสรรคด้านเวลา ความกลัว หรือข้อจำกัดด้านวัฒนธรรม ช่วยให้เข้าถึงมากขึ้น
  • ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายท้องถิ่น: การผนึกกำลังของ อสม. รพ.สต. และผู้เชี่ยวชาญคือรากฐานของความยั่งยืน ไม่ใช่โครงการระยะสั้น
  • เน้นต่อเนื่องทุกขั้นตอน: ไม่หยุดแค่ตรวจ แต่ครอบคลุมถึงการติดตาม ส่งต่อ รักษา และเยียวยาแบบเบ็ดเสร็จ

ความท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ความพร้อมของเชียงรายจะโดดเด่น แต่ความท้าทายคือการเข้าถึงกลุ่มหญิงเปราะบาง เช่น ผู้ด้อยโอกาสหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล การสื่อสารแบบเข้าใจง่ายและเหมาะสมกับแต่ละชุมชน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ-บุคลากร-ระบบสนับสนุน เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

สรุป:

โครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ของอบจ.เชียงราย คือแบบอย่างของการขับเคลื่อนงานสาธารณสุขที่ก้าวทันโลก ใช้เทคโนโลยี สร้างเครือข่าย และใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อลดการสูญเสียและยกระดับสุขภาพผู้หญิงไทยทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย
  • รายงานข่าวภาคสนามและข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด
  • ข้อมูลสถานการณ์และสถิติจากสถาบันวิจัยมะเร็งปากมดลูกแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายยังไม่พ้นวิกฤต ผู้ว่าฯ เร่งซ่อมพนัง มทบ.37 ช่วยปชช. เตือนพายุ 4-6 ส.ค.

แม่สายเริ่มคลี่คลาย ผู้ว่าฯ-ทัพภาค 3 เร่งซ่อมพนัง มทบ.37 ตั้งโรงครัวพระราชทาน! เตือนพายุลูกใหม่จ่อถล่ม 4-6 ส.ค.นี้

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – แม่สายคลี่คลาย แต่ “อย่าประมาท” พายุรอถล่มซ้ำ สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เริ่มคลี่คลายหลังฝนที่ตกต่อเนื่องหลายวันหยุดลง ระดับน้ำในแม่น้ำสายลดต่ำกว่าตลิ่ง ขณะที่ในบางจุดยังมีน้ำท่วมขัง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งระบาย ล่าสุดนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย เปิดเผยว่า จุดเสี่ยง เช่น โต๊ะสนุ๊ก บ้านเช่าริมแม่น้ำ ยังพบรูรั่ว-น้ำซึมเข้าชุมชน แต่ได้บูรณาการกับกรมการทหารช่าง เทศบาล และอำเภอเร่งอุดรอยรั่วและเสริมพนังชั่วคราวเต็มกำลัง

แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่เสียงเตือนภัยยังคงดังก้อง นายอำเภอแม่สายขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารราชการใกล้ชิด เพราะช่วงวันที่ 4-6 สิงหาคมนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์จะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุลูกใหม่ อาจเกิดน้ำหลากซ้ำ หากปริมาณน้ำมากเกินแนวป้องกันจุดเดิม จึงขอความร่วมมือชาวบ้านเร่งขนของขึ้นที่สูงและเตรียมพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิงทันทีที่มีประกาศ

ทัพภาค 3–มทบ.37 ลงพื้นที่ “ปิดรอยรั่ว–สร้างขวัญ”

เมื่อ 29 กรกฎาคม พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน กองทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่แม่สายโดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ (มทบ.37) ให้การต้อนรับ คณะฯ ได้รับฟังรายงานปัญหาจากนายอำเภอแม่สาย และพล.ท.สิรภพ ศุภวานิช (เจ้ากรมการทหารช่าง) ถึงปัจจัยหลักน้ำท่วมรอบล่าสุด เช่น การที่พนังบิ๊กแบ็กและผนังอาคารชั่วคราวโดนกระแสน้ำ-ท่อนซุงขนาดใหญ่ซัดจนเกิดโพรง รอยรั่วตามแนวคัน ส่งผลให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมชุมชนหลายจุด

แม่ทัพภาคที่ 3 สั่งการให้มทบ.37, กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์ฯ และหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก เสริมกำลังเข้าซ่อมแนวพนังเร่งด่วน ขณะเดียวกัน กรมการทหารช่างก็ระดมกำลังคน-เครื่องมือซ่อมแซมตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนเกาะทราย จุดที่ได้รับผลกระทบหนักมาก

โรงครัวพระราชทาน พลังใจยามวิกฤต

นอกจากภารกิจด้านวิศวกรรม-ซ่อมแซม มทบ.37 ได้จัดตั้งโรงครัวพระราชทานเคลื่อนที่ ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อประกอบอาหารสดแจกประชาชนที่เดือดร้อนและเจ้าหน้าที่ภาคสนาม โดยกลุ่มแม่บ้านกิ่งกาชาดอำเภอแม่สายร่วมช่วยเหลือ เมนูยอดนิยมคือข้าวกะเพราไก่ไข่ต้มและข้าวอกไก่ทอด ผลิตวันละ 1,000 กล่อง (3 มื้อ) นำไปแจกจ่ายตามจุดพักพิง สร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวแม่สายก้าวผ่านวิกฤติร่วมกัน

เร่งผลักดันน้ำอิงลงโขง กลยุทธ์บูรณาการ “ทุกสาย”

แม่น้ำอิงซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักรับน้ำจากจังหวัดพะเยา-เชียงราย ก็เป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่หน่วยงานรัฐกำลังเร่งระบายน้ำ โดยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เผยว่าขณะนี้กำลังติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ 10 เครื่อง ที่สะพานอิงอุดม บ้านเต๋น ต.สถาน อ.เชียงของ สามารถผลักดันน้ำกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ลดความเสี่ยงน้ำเอ่อท่วมพื้นที่เกษตร-ชุมชนท้ายน้ำลงโขง เป็นมาตรการเชิงรุกในการแก้ปัญหาอุทกภัยแบบองค์รวม

เชียงราย “ยังไม่พ้นวิกฤต” แต่พร้อมสู้ระลอกใหม่

สถานการณ์อุทกภัยแม่สายปี 2568 สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างในพื้นที่น้ำหลากชายแดนฝั่งเหนือ แม้สัญญาณคลี่คลายจะเริ่มชัดเจน แต่การเตรียมพร้อมรับมือพายุระลอกใหม่ยังจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็น “พนังชั่วคราว–ผนังอาคารเก่า” ที่ยังมีจุดอ่อนง่ายต่อการทะลุซ้ำ

ปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการในระยะสั้น–ยาว

  • ซ่อมแซม–เสริมแนวป้องกันถาวร: หลังน้ำลด การรื้อถอนพนังชั่วคราวและสร้างแนวป้องกันถาวรที่แข็งแรงยั่งยืน ควรเป็นวาระเร่งด่วนของทุกภาคส่วน
  • การเยียวยาฟื้นฟูหลังน้ำลด: การสำรวจ-ประเมินความเสียหาย การจัดสรรงบฯ เยียวยาชาวบ้านต้องดำเนินการรวดเร็ว-โปร่งใส สร้างความหวังให้ผู้ได้รับผลกระทบ
  • สื่อสารความเสี่ยง–แจ้งเตือนล่วงหน้า: ทุกฝ่ายต้องสื่อสารข้อมูลสภาพอากาศ การระบายน้ำ แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เข้าใจง่าย ไม่ปล่อยข่าวลือ
  • กลไกช่วยเหลือครบวงจร: การบูรณาการของหน่วยงานรัฐ ทหาร เทศบาล กลุ่มจิตอาสา และภาคประชาสังคม ยังคงเป็นหัวใจของการช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย

สู้ “น้ำ” ด้วยความร่วมมือ–ระวัง “ใจ” ให้มั่นคง

สถานการณ์แม่สายครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สังคมไทยได้เห็นพลังความร่วมมือของภาครัฐและประชาชน ในวันที่ธรรมชาติรุนแรงเกินคาดเดา ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีคือหัวใจ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการวางแผนเชิงระบบ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เพื่อไม่ให้แม่สาย–เชียงราย ต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37
  • กองทัพภาคที่ 3
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • รายงานสถานการณ์น้ำและอุทกภัย สำนักข่าวท้องถิ่น/ภาคสนาม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ลำไยล้นตลาด-น้ำท่วมหนัก เกษตรกรเชียงรายวิกฤตซ้ำซ้อน

วิกฤตลำไยเชียงรายน้ำท่วมซ้ำเติมราคาตกต่ำ เกษตรกรบ้านวังผา-ป่าแดดเดือดร้อนหนัก ร้องรัฐเร่งหาทางออก

เชียงราย, 29 กรกฎาคม 2568 – เมื่อดินแดนลำไยกลายเป็นพื้นที่ความทุกข์ชีวิตจริงหลังม่านสวนผลไม้ กลางฤดูเก็บเกี่ยวลำไยที่ควรจะคึกคัก บ้านวังผา ตำบลสันมะค่า อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย กลับปกคลุมด้วยบรรยากาศเงียบเหงาและวิตกกังวล ชาวสวนลำไยที่นี่ในปีนี้ต้องพายเรือเข้าไปเก็บผลผลิตกลางน้ำท่วม ขณะที่ราคาลำไยตกต่ำถึงขีดสุดจนเจ้าของสวนแทบไม่อยากพูดถึง ตัวเลข “ร่วงจนน่าตกใจ” กลายเป็นวลีที่สะท้อนหัวใจของเกษตรกร และถึงแม้จะเก็บผลผลิตมาได้ ก็ยังหาที่ขายได้ยากยิ่ง

สถานการณ์เลวร้ายนี้สะท้อนให้เห็นผ่านโพสต์ในโซเชียลของชาวบ้านและเพจท้องถิ่นที่ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยเหลือ ทั้งในเรื่องถนนที่ใช้ขนผลผลิต (ซึ่งถูกน้ำท่วมขังเสียหาย) และการเข้ามารับซื้อลำไยในราคายุติธรรม หลังโรงงานรับซื้อส่วนใหญ่ประกาศรับจำนวนจำกัด บางแห่งถึงขั้นปิดรับซื้อเพราะโกดังล้น แม้ชาวสวนบางรายถึงกับประกาศ “แจกฟรี” ลำไยทั้งสวนเพื่อให้มีพื้นที่ปลูกใหม่ในปีหน้า ก็ยังไม่มีใครมาเก็บ เพราะเก็บแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่มีที่ขาย” อยู่ดี

คลื่นน้ำและคลื่นราคาซัดซ้ำปัญหาตกค้างข้ามจังหวัด

วิกฤตราคาลำไยปี 2568 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเชียงรายเท่านั้น แต่ลุกลามไปยังจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และลี้ (ลำพูน) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญของประเทศเช่นกัน ลำไยคุณภาพดี ลูกโต รสหวาน ก็เริ่มมีสีดำ เน่าเสียในสวน และโรงรับซื้อจำนวนมากหยุดรับซื้อหรือไม่แสดงราคาซื้อขาย ข้อมูลล่าสุดจากแหล่งข่าวพื้นที่ต่างๆ ระบุว่า ราคาลำไยเกรด AA เหลือเพียง 9-14 บาท/กก., A 4-7 บาท/กก., B 2 บาท/กก. ส่วน C ไม่มีใครรับซื้อ ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่านั้นมาก

นอกจากราคาตลาดตกต่ำแล้ว ปัญหาน้ำท่วมหนักที่ซ้ำเติมหลายพื้นที่ ทำให้ชาวสวนไม่สามารถขนส่งผลผลิตได้ทันเวลา ผลผลิตตกค้าง เริ่มเน่าเสีย ต้นทุนแรงงานในการหักลำไยออกจากต้นก็สูงเกินคุ้ม แม้แต่ผู้รับซื้อเหมาสวนที่เคยคึกคักในอดีตอย่าง “นายแก้ว” ชาวไทใหญ่ ยังต้องยอมแพ้ เพราะรับซื้อไปก็ขาดทุนไม่มีที่ระบายผลผลิต

วัฏจักร “ราคาดิ่ง-น้ำท่วม” กับความเปราะบางโครงสร้างลำไยภาคเหนือ

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาลำไยดิ่งลงเหวในปีนี้ คือ “ผลผลิตล้นตลาด” สูงสุดในรอบหลายปี โดยผลผลิตรวมในภาคเหนือปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 10-17% (จากอิทธิพลสภาพอากาศและเทคนิคกระตุ้นการออกดอก) การเก็บเกี่ยวลำไยกระจุกตัวในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ก่อให้เกิด “คลื่นซัพพลาย” ถาโถมเข้าสู่ตลาดพร้อมกัน ขณะที่การส่งออกไปตลาดหลักอย่างจีนชะลอตัวลง เพราะจีนผลิตลำไยได้เองมากขึ้นและตั้งกฎระเบียบเข้มงวดเรื่องสารตกค้าง เวียดนามซึ่งเคยเป็นทางออกของลำไยเกรดรอง ก็ลดความต้องการลง ผลักให้ปริมาณลำไยเกรด B และ C กลับมาไหลบ่าลงสู่ตลาดในประเทศ

โรงงานแปรรูปในพื้นที่ต้อง “เลือกซื้อ” เฉพาะเกรดดี บางแห่งต้องหยุดรับเพราะปัญหาล้นคลัง ต้นทุนแรงงานและการแปรรูปสูง สินเชื่อจากธนาคารภาคเกษตรก็เข้มงวดขึ้น แรงงานรับจ้างขาดแคลน ผลผลิตที่เก็บแล้วขายไม่ออกจึง “ให้ฟรีก็ยังไม่มีใครเอา” สุดท้าย เกษตรกรต้องกลับไปวนเวียนกับหนี้สินรอฤดูใหม่

มาตรการรัฐ – ยุทธศาสตร์หรือแค่แก้เฉพาะหน้า?

รัฐบาลไทยรับรู้ปัญหานี้มานาน มีมาตรการช่วยเหลือหลายระดับ ทั้งเงินอุดหนุน (1,400 บาท/ไร่), โครงการสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย, รับประกันราคาขั้นต่ำในอดีต, การผลักดันตลาดส่งออกใหม่ (อินเดีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ฮ่องกง ฯลฯ), ส่งเสริมการแปรรูป และสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้แม้มีส่วนบรรเทาแต่ “เกษตรกรยังคงขาดความเชื่อมั่น” ว่าจะเพียงพอ และมองว่าเป็นการ “ดับไฟเฉพาะหน้า” มากกว่าการแก้ไขเชิงโครงสร้าง

วิกฤตซ้ำซากกับความจำเป็นในการปฏิรูป

ปัญหาลำไยล้นตลาด วนเวียนมาทุก 3-5 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะ “ผลิตมาก-ส่งออกน้อย” แต่เกิดจากความเปราะบางเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป การขาดแผนการผลิตที่สอดคล้องกับอุปสงค์จริง ระบบสหกรณ์ที่ยังไม่เข้มแข็ง และเทคโนโลยีแปรรูปที่ยังจำกัด ข้อเสนอจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจึงชี้ไปที่

  • การวางแผนการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลตลาด: รัฐต้องสร้างระบบข่าวกรองตลาดทันสมัย ชี้นำการปลูกและบริหารผลผลิตอย่างแม่นยำ
  • การลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูปและนวัตกรรม: สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดความเสี่ยงจากตลาดล้น
  • กระจายตลาดและส่งเสริมอีคอมเมิร์ซ: เพิ่มช่องทางขาย-ลดการพึ่งพาจีน
  • แก้ปัญหาแรงงานและโลจิสติกส์: ปรับนโยบายแรงงานและสนับสนุนขนส่ง
  • พัฒนาสหกรณ์และการขายตรง: ลดอำนาจต่อรองของพ่อค้าคนกลาง

ท้ายที่สุด วิกฤตราคาลำไย 2568 ที่เชียงราย-เหนือ-ลำพูน กำลังเป็น “สัญญาณเตือน” ให้สังคมไทยตระหนักว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเกษตรไทยอย่างจริงจัง มิใช่แค่การแจกเงินหรือรับประกันราคาเฉพาะปีต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • สมาคมเกษตรกรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงราย
  • เพจหมู่บ้านโป่งศรีนคร เชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ราคาผลไม้ปี 2568 (Thai Fruit Board)
  • ข้อมูลและรายงานสื่อท้องถิ่นภาคเหนือ (เชียงราย, ลำพูน, เชียงใหม่)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายไม่ประมาท! เสริมแนวป้องกันน้ำกก พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

เชียงรายระทึก! น้ำแม่น้ำกกจ่อล้นตลิ่งกลางดึก เทศบาลนครเร่งอุดช่องน้ำ-เตรียมรถสูบน้ำ วอนประชาชนเฝ้าระวังสูงสุด

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกของจังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เมื่อมีการคาดการณ์ว่ามวลน้ำจำนวนมากจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำของเขตเมืองได้

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระดมทรัพยากรทุกชนิดเข้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างเร่งด่วน หลังจากได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ประสานเฝ้าระวังรายงานสถานการณ์วิกฤต

เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองจังหวัดเชียงราย และส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ ได้รายงานสถานการณ์ร่วมกันว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะจากสถานีแม่นาวาง-ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นน้ำของระบบ

การประเมินจากทีมวิจัยระบุว่า มวลน้ำจะเดินทางถึงสะพานพ่อขุนเม็งราย ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ภายในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยคาดการณ์ว่าจะมีระดับน้ำประมาณ 6.00 เมตร และอัตราการไหลราว 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

หากแนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันต่อไป อาจส่งผลให้แม่น้ำกกล้นตลิ่งในพื้นที่เมือง โดยเฉพาะบริเวณลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกน้ำท่วม

คาดการณ์วิกฤตสูงสุดในช่วงกลางดึก

การคาดการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. ระบุว่า แม้ระดับน้ำที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอนจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงมาเป็นชั่วโมงละ 5 เซนติเมตร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ในเวลา 21.00 น. คืนนี้ ระดับน้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งที่ 6.50 เมตร มีปริมาณน้ำ 619 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ผลกระทบจะส่งไปยังสถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ซึ่งระดับน้ำจะเพิ่มสูงถึงระดับตลิ่ง 6.00 เมตร มีปริมาณน้ำ 655 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในช่วงเวลา 06.00 น. ของวันพรุ่งนี้ (29 กรกฎาคม 2568)

ทีมผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ระดับน้ำจะสูงสุดที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งรายในช่วงระดับประมาณ 6.10-6.30 เมตร ในตอนสายของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งระดับน้ำดังกล่าวจะล้นตลิ่งในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งอย่างแน่นอน

เทศบาลนครเชียงรายเร่งมาตรการป้องกันด่วน

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึง เทศบาลนครเชียงรายได้ดำเนินการป้องกันอย่างเร่งด่วนในหลายมาตรการ

เจ้าหน้าที่ได้นำทรายจำนวนมากเข้ามาอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านป่าแดง ซอยหลังโรงเรียนเทศบาล 6 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศูนย์ราชการจังหวัดเชียงราย ที่ว่าการอำเภอเมือง และองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อป้องกันการไหลย้อนของน้ำจากแม่น้ำกกเข้ามาสู่ชุมชน

นอกจากนี้ ทางเทศบาลยังได้เตรียมรถสูบน้ำจำนวน 2 คัน เพื่อพร้อมปฏิบัติงานหากสถานการณ์แนวโน้มระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน และมีการจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

การบริหารจัดการประตูน้ำอย่างเป็นระบบ

เทศบาลนครเชียงรายยังคงเฝ้าระวังระดับน้ำและประตูน้ำในจุดสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยที่ประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองได้ถูกปิดทั้งหมดแล้ว เพื่อป้องกันน้ำท่วมเข้าสู่เขตเมือง

ส่วนประตูน้ำฝั่งหนองด่าน ซึ่งเป็นทางระบายน้ำจากแม่น้ำกรณ์ลงสู่แม่น้ำกก ได้เปิดทั้ง 4 บาน เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประตูน้ำดอยสะเก็น ซึ่งอยู่บนแม่น้ำกรณ์ ก็เปิดระบายน้ำ 5 บาน ทำให้น้ำไหลได้ตามปกติ

สถานการณ์ปัจจุบันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ณ เวลา 17.00 น. วันนี้ ระดับน้ำในแม่น้ำกกที่สะพานพ่อขุนเม็งราย วัดได้ 5.24 เมตร แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเริ่มเข้าใกล้ระดับเฝ้าระวังที่ 5.50 เมตร

ในขณะที่สถานีสะพานขัวพญามังราย ในชุมชนบ้านใหม่ ระดับน้ำอยู่ที่ 3.90 เมตร แม้จะยังอยู่ในระดับปลอดภัย แต่ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทศบาลนครเชียงรายขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์และติดตามข้อมูลอัปเดตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน

การบูรณาการวิทยาศาสตร์กับการบริหารจัดการท้องถิ่น

สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกที่กำลังเพิ่มระดับอย่างน่าเป็นห่วงในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและคาดเดาได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการของเทศบาลนครเชียงราย ร่วมกับทีมวิจัยและหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และกลไกการบริหารจัดการท้องถิ่นมาใช้ในการรับมือเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ

การคาดการณ์ที่แม่นยำและการแจ้งเตือนเชิงรุกเป็นจุดเด่นสำคัญ การที่ทีมวิจัยสามารถคาดการณ์ระดับน้ำและเวลาที่มวลน้ำจะถึงจุดสำคัญได้อย่างละเอียด เช่น เวลา 02.00 น. ที่สะพานพ่อขุนเม็งราย และเวลา 06.00 น. ที่ระดับตลิ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการภัยพิบัติยุคใหม่ การแจ้งเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ทำให้เทศบาลและประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับมือ

การบูรณาการข้อมูลและกลไกการทำงานระหว่างเทศบาลนครเชียงรายกับทีมวิจัยระบบเตือนภัยและส่วนอุทกวิทยาของกรมทรัพยากรน้ำ แสดงให้เห็นถึงการนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการปฏิบัติการในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่แม่นยำและทันท่วงที

มาตรการป้องกันเฉพาะจุด เช่น การนำทรายไปอุดตามช่องระบายน้ำในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ และการเตรียมรถสูบน้ำ บ่งชี้ถึงการวางแผนป้องกันที่ละเอียดอ่อนและตรงจุด โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำไหลย้อน

การบริหารจัดการประตูระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำในแต่ละจุดอย่างเหมาะสม เป็นการควบคุมการไหลของน้ำเพื่อลดผลกระทบในเขตเมือง แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำของเทศบาล

ความท้าทายที่ยังคงอยู่

ความรุนแรงของสถานการณ์ในคืนนี้และเช้าพรุ่งนี้จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด การที่น้ำจะขึ้นถึงระดับตลิ่งและอาจล้นในพื้นที่ต่ำริมตลิ่งในช่วงกลางดึกถึงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

ผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสำคัญผันผวนและรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณที่เชียงรายอาจต้องพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำระยะยาวที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

การประสานงานกับพื้นที่ต้นน้ำ แม้จะมีการติดตามข้อมูลจากต้นน้ำ แต่การประสานงานเชิงลึกกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ เพื่อให้มีการควบคุมการระบายน้ำอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความรุนแรงของมวลน้ำที่จะไหลเข้าสู่พื้นที่ปลายน้ำ

การเตรียมพร้อมและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องประชาชน และเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำวิทยาศาสตร์มาผนวกกับการบริหารจัดการท้องถิ่นเพื่อเผชิญกับภัยธรรมชาติในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • โครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง จังหวัดเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา: “ภูมิธรรม” นำทีมเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ผู้นำโลกจับตา

ภูมิธรรม” บินมาเลเซีย! เจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชา ผู้นำโลกเข้าร่วม ด้านไทยยังไม่มั่นใจความจริงใจกัมพูชา

ประเทศไทย, 28 กรกฎาคม 2568 – การประชุมหยุดยิงชายแดนผู้นำเอเชีย-มหาอำนาจโลกร่วมเจรจา เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นวันที่ 5 และส่อเค้าจะลุกลามจนไม่อาจควบคุมได้ รัฐบาลไทยจึงได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางด่วนถึงมาเลเซียในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อร่วมประชุมเจรจาหาทางยุติข้อพิพาทกับรัฐบาลกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

การประชุมครั้งสำคัญนี้จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐมนตรีมาเลเซีย เมืองปุตราจายา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนประจำปี เป็นผู้ชูธงความพยายามหยุดยิง และยังได้รับความร่วมมือจากนานาชาติ โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนที่เดินทางเข้าร่วม พร้อมแรงสนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แถลงจุดยืนต้องการให้ไทย-กัมพูชาหยุดยิงทันที และขู่งดข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับทั้งสองประเทศหากยังสู้รบต่อ

แนวรบชายแดนเดือด – สองฝ่ายกล่าวหา ยกระดับใช้ปืนใหญ่

ความขัดแย้งปะทุขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก่อนเมื่อเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังทหารชายแดน จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต หลังเหตุการณ์นั้นทั้งสองฝ่ายต่างระดมเสริมกำลังและกล่าวหาอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มสู้รบ จุดปะทะสำคัญครอบคลุมแนวชายแดนยาว 817 กิโลเมตร ก่อนจะยกระดับถึงขั้นยิงปืนใหญ่หนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนเกิดความหวาดกลัวและต้องอพยพหนีภัย

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้โพสต์ผ่าน X (Twitter เดิม) ระบุเป้าหมายการประชุมครั้งนี้ว่า “ต้องหยุดยิงทันที” ตามข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ และตกลงระหว่างสองฝ่าย ขณะที่กัมพูชายังคงเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามไทยและกล่าวหาว่าไทยโจมตีพลเรือน

ในด้านไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เปิดเผยต่อสื่อมวลชนก่อนออกเดินทางว่า “เราไม่มั่นใจในกัมพูชา การกระทำที่ผ่านมาไม่แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา กัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราทุกคนต้องการสันติภาพ” ท่าทีนี้สะท้อนความไม่ไว้วางใจและข้อกังขาต่อความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย

วิกฤตการทูตโยงถึงความมั่นคงภายใน – รัฐบาลผสมไทยเกือบล่มสลาย

สถานการณ์ที่ร้อนแรงบนแนวชายแดนในรอบ 10 ปีนี้ ไม่เพียงสั่นคลอนเสถียรภาพระหว่างประเทศ หากแต่ยังสั่นสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลผสมของไทยที่เปราะบางจากแรงกดดันการเมืองภายใน วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นทั้งโจทย์ทางทูตและความมั่นคงที่มีผลต่อเนื่องถึงอนาคตการเมืองไทย

แถลงการณ์ 3 องค์กรสื่อ ยกระดับจรรยาบรรณ-ห่วงสงครามข่าวสารยุคดิจิทัล

ในภาวะที่ข่าวสารไหลหลากอย่างรวดเร็ว สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP), สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ “ขอความร่วมมือการรายงานข่าวความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา” โดยมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดสำหรับสื่อมวลชน เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาด สร้างความเกลียดชัง หรือกระทบต่อขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ เช่น ห้ามเปิดเผยพิกัดทหาร งดการรายงานสดขณะยังมีปฏิบัติการ งดหัวข่าวเกินจริง และตรวจสอบข่าวที่แชร์ในโซเชียลก่อนเผยแพร่

นอกจากนี้ ยังเน้นให้สื่อไทยระวังการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หลังเกิดปฏิบัติการ DDoS กับสื่อที่ใช้ชื่อไทย, Thai, Thailand จากฝั่งกัมพูชา โดยแนะนำประสานสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และขอความช่วยเหลือจาก กสทช. และกระทรวงดิจิทัลฯ

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์(SONP) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ร่วมหารือกันเป็นวาระพิเศษในประเด็นแนวทางการรายงานข่าวท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอแสวงหาความร่วมมือกับสื่อมวลชนในการรายงานข่าวและเพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารในภาวะวิกฤตตามที่ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบดังนี้

  1. ห้ามเปิดเผยที่ตั้งทางทหาร ชื่อ ผบ.หน่วย อาวุธหรือยุทโธปกรณ์ที่ใช้
  2. งดการรายงานสดในพื้นที่ขณะที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารอยู่
  3. ระมัดระวังการให้ข่าวที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ปฏิบัติหน้าที่
  4. หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว-ภาพข่าว ที่บ่งบอกหรือสร้างความเข้าใจผิดถึงความรุนแรงของฝ่ายไทย ที่เกินสัดส่วนของการตอบโต้
  5. ตรวจสอบข่าวที่ถูกแชร์ต่อๆ มา ทางโซเชียลมีเดียกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงก่อนนำมาเผยแพร่
  6. ไม่ควรนำเสนอข่าวที่มีลักษณะเป็นการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
  7. หลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ข่าวโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน เพราะอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด หรือเกิดความตื่นตระหนก
  8. ระมัดระวังการพาดหัวข่าวที่ใช้ถ้อยคำเกินจริงเพื่อดึงความสนใจ
  9. ไม่สัมภาษณ์ ถ่ายภาพ หรือเปิดเผยภาพเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงภัย โดยไม่ได้รับอนุญาต
  10. เคารพสิทธิส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่และครอบครัวผู้ที่สูญเสีย
  11. คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

ที่ประชุมยังมีการหารือและมีข้อเสนอแนะต่อการสื่อสารของหน่วยงานรัฐ ดังนี้

  1. ขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่สร้างด้วย AI
  2. ต้องกำชับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในทุกช่องทาง ต้องไม่สร้างความสับสนและข้อมูลขัดแย้งกันเอง เพื่อลดความสับสนของประชาชน
  3. ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เผยแพร่ข่าวสาร เพื่อลดการใช้ภาษายั่วยุ รุนแรงและใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการนำเสนอข้อมูลในภาวะที่ประชาชนต้องการข้อเท็จจริง
  4. เสนอให้จัดทำแนวปฏิบัติให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติที่ตรงกันทุกหน่วยงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ปัจจุบัน

วิกฤตทูต-สื่อ-ไซเบอร์และโจทย์ความไว้วางใจในภูมิภาค

การเดินทางของผู้นำไทยไปมาเลเซียครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจตัดสินอนาคตของข้อพิพาท ซึ่งอยู่บนความเปราะบางของความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ขณะที่บทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และการมีส่วนร่วมของมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน สะท้อนถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเสถียรภาพระหว่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา

  • ความจริงใจของคู่เจรจา: ท่าทีไม่มั่นใจในความจริงใจของกัมพูชาและความไม่ไว้วางใจที่สั่งสมมา ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการหยุดยิงที่ยั่งยืน
  • วิกฤตการทูตกับเสถียรภาพการเมือง: วิกฤตชายแดนโยงถึงความเปราะบางของรัฐบาลไทย กระทบทั้งการเมืองภายในและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • ภัยไซเบอร์-สงครามข้อมูล: สงครามข่าวสารและการโจมตีระบบสื่อด้วยเทคนิค DDoS ยกระดับความซับซ้อนของความขัดแย้งในยุคดิจิทัล
  • บทบาทของสื่อกับจรรยาบรรณ: ข้อเสนอของ 3 องค์กรสื่อ ช่วยลดความสับสน รักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล และป้องกันการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน

ข้อเสนอแนะต่อทุกภาคส่วน

การเจรจาหยุดยิงนี้จึงต้องอาศัยทั้งความจริงใจของคู่ขัดแย้ง การเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ย และความรับผิดชอบของสื่อและรัฐในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง รอบคอบ และลดการยั่วยุ เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์บานปลายจนกระทบต่อชีวิตประชาชนและเสถียรภาพของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวต่างประเทศ (AP, Reuters, Nikkei Asia, CNA)
  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
  • สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • กระทรวงการต่างประเทศไทย
  • รายงานข่าวจากสนามชายแดน/ศูนย์ข่าวมาเลเซีย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัยเร่งอพยพผู้เปราะบาง

แม่สายวิกฤตหนักน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัย เร่งอพยพผู้เปราะบาง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – แม่สายอ่วม! น้ำหลากทะลักท่วมกลางดึก ประชาชนรีบอพยพ สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ยังคงวิกฤตหนักอีกครั้งหลังจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งรัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วและไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนริมฝั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งห้าแยกตลาดพลอย (ห้าแยกไข่ดาว) บ้านไม้ลุงขน ตลาดสายลมจอย รวมถึงพื้นที่ชั้นใต้ดินของตลาดและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น ถูกมวลน้ำบ่าไหลผ่านจนไร้ผล ประชาชนจำนวนมากต้องขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูงและเร่งอพยพกันท่ามกลางความโกลาหลตั้งแต่กลางดึก

ทหาร-กู้ภัยระดมกำลังฉุกเฉิน ปกป้องชีวิตกลุ่มเปราะบาง

เมื่อเวลา 09.00 น. พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งการด่วนให้ พันเอก สิงหนาท โลสุยะ เสนาธิการ มทบ.37 นำกำลังทหาร ชุดยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่ประสบภัยทันที โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 ชุดปฏิบัติการรวม 32 นาย พร้อมชุดแพทย์เดินเท้า เข้าช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในตำบลเกาะทรายซึ่งถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรง

พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจาก สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล และ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ก็ได้สนธิกำลังวางแผนรับมือร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในที่พักอาศัย ขนย้ายของขึ้นที่สูงและอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง ไปยังศูนย์อพยพที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด

ภาคสนามปฏิบัติการต่อเนื่อง – รายงานสถานการณ์ล่าสุด

ณ เวลา 10.54 น. ระดับน้ำยังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงสะพานข้ามตลาดสายลมจอย พร้อมไหลทะลักเข้าพื้นที่ชั้นใต้ดินและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวของชาวบ้านถูกเจาะทะลุเสียหาย ปฏิบัติการของทหารและกู้ภัยจึงเร่งมืออย่างเต็มที่ ทั้งการกรอกกระสอบทรายเสริมแนวป้องกัน การขนย้ายสิ่งของในชุมชนเกาะทราย ซอย 7, 11, 12 และการเร่งระบายน้ำตามจุดที่น้ำไหลบ่าเข้าสู่บ้านเรือน

ในขณะที่สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกก บริเวณสะพานท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แม้จะยังมีฝนตกและท้องฟ้าครึ้ม แต่ระดับน้ำยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถระบายออกได้ ไม่ส่งผลกระทบถึงพื้นที่เมืองเชียงรายในขณะนี้

การบูรณาการช่วยเหลือ – ติดตามต่อเนื่อง

มณฑลทหารบกที่ 37, ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน และหน่วยงานกู้ภัยต่างๆ ร่วมบูรณาการทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่หยุดยั้ง มีการจัดตั้งกองบัญชาการควบคุมภาคสนาม เร่งอพยพและดูแลกลุ่มเปราะบางตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงประสานศูนย์แพทย์ทหารและหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่ช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่เสี่ยง

วิกฤตซ้ำซากกับโจทย์ใหญ่ของแม่สาย

สถานการณ์น้ำท่วมแม่สายปีนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ต้องเผชิญมวลน้ำหลากข้ามพรมแดนจากเมียนมา แม้จะมีการวางแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้

ประเด็นสำคัญที่ชัดเจน:

  • การระดมฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ: การปฏิบัติการของ มทบ.37 และภาคีเครือข่ายทั้งทหาร กู้ภัย และภาคประชาชน เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทรัพยากรเพื่อลดการสูญเสียและช่วยเหลือชีวิตประชาชนในห้วงวิกฤต
  • ปกป้องกลุ่มเปราะบาง: การอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียงออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที เป็นมาตรการสำคัญยิ่งที่แสดงถึงความพร้อมและความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตประชาชน
  • การป้องกันแบบเฉพาะหน้า: การกรอกกระสอบทราย ขนของขึ้นที่สูง เร่งระบายน้ำ คือการรับมือเฉพาะหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงการยื้อสถานการณ์ให้ชุมชนมีเวลาตั้งตัวมากขึ้น
  • บทเรียนจากภัยซ้ำซาก: การเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยทุกปี ยืนยันถึงความจำเป็นในการวางระบบป้องกันถาวรและพัฒนาโครงสร้างระบายน้ำให้สอดคล้องกับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสภาพอากาศและต้นน้ำข้ามแดน

ประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป:

  • ความสมบูรณ์ของแนวป้องกันถาวร: หากไม่มีการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ แม่สายอาจต้องเผชิญภัยน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคตอันใกล้
  • ระบบแจ้งเตือนและความรู้ชุมชน: แม้จะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว แต่หากการสื่อสารไม่ทั่วถึงหรือชาวบ้านยัง “คาดไม่ถึง” ว่ามวลน้ำจะเข้าท่วม ต้องปรับปรุงช่องทางแจ้งเตือนและเสริมสร้างความรู้ด้านการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง

สรุป: สถานการณ์แม่สายในวันนี้เป็นบททดสอบย้ำเตือนถึงโจทย์ใหญ่ของการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดน ทั้งความจำเป็นของแนวป้องกันถาวร การพัฒนาระบบรับมือฉุกเฉิน และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อรับมือกับธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นในทุกปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37

  • สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล

  • สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย

  • รายงานสถานการณ์จากภาคสนาม (เวลา 10.54 น. วันที่ 28 กรกฎาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดติดตามด่วน หลังแม่สายท่วมซ้ำ นักวิชาการย้ำขาดแผนรับมือ “น้ำพิษ”

วิกฤตแม่สาย “แม่น้ำสาย” ทะลักซ้ำปี 67 แนวป้องกันชั่วคราวรับไม่ไหว ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดบัญชาการด่วน นักวิชาการเตือนขาดแผน “น้ำพิษ” ข้ามพรมแดน

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ซ้ำรอยวิกฤติเมื่อปลายปี 2567 สร้างความเสียหายและความวิตกกังวลให้แก่ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายทั้งฝั่งไทยและเมียนมา การระบายน้ำที่ล้นตลิ่งจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือของไทยและรัฐฉานตะวันออกของเมียนมา กลายเป็นบททดสอบสำคัญของทุกหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อแนวป้องกันชั่วคราวที่ตั้งขึ้นโดยกรมการทหารช่างไม่สามารถรับมือมวลน้ำได้ ทำให้หลายชุมชนใน อ.แม่สาย และ จ.ท่าขี้เหล็ก ต้องรับเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง

ผู้ว่าฯ เชียงราย บัญชาการเหตุการณ์ ย้ำเร่งอพยพ-จัดการอุปสรรคทางน้ำ

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ จุดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกับนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หลังมวลน้ำเหนือหลากทะลักเข้าท่วมหลายจุดของชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย ตลาดสายลมจอย ตลาดไม้ลุงขน ตลอดจนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ฝ่ายไทยและเมียนมาระดมกำลังเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายสิ่งของอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังจุดปลอดภัยตั้งแต่เช้ามืด

ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้บูรณาการระหว่างกรมการทหารช่าง เทศบาลแม่สาย และหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ออกปฏิบัติการนำเครื่องจักรกลหนัก เช่น รถแบ็คโฮ เข้าเคลียร์เศษขยะและท่อนซุงที่ไหลมาติดสะพาน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางทางน้ำให้ระบายไม่สะดวกจนเอ่อท่วมถนนและพื้นที่ชุมชน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้นายอำเภอแม่สายเร่งประสานเจ้าของอาคารริมน้ำที่ยังไม่ได้รื้อถอน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีช่องว่างใต้อาคารซึ่งกลายเป็นทางให้น้ำทะลุเข้าพื้นที่ชุมชน แม้จะวางแนวพนังบิ๊กแบ็คไว้แล้วก็ตาม พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เร่งอพยพประชาชนจากจุดเสี่ยงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และย้ำถึงความจำเป็นในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ฝนเหนือ-น้ำเมียนมา ทำระดับน้ำพุ่งเกิน 100 มม. สะพานมิตรภาพฯ ทะลัก 115%

ข้อมูลสถานการณ์น้ำเช้าวันที่ 28 ก.ค. 68 ระบุว่าฝนที่ตกในบ้านโจตาดา จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา สูงถึง 118.8 มิลลิเมตร ในเวลา 08.00 น. ส่งผลให้มวลน้ำล้นเข้าสู่ชายแดนไทยในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ระดับน้ำที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 วัดได้ 115.15% ของระดับตลิ่ง สร้างความวิตกให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านว่าระลอกใหม่ของน้ำจะเข้าท่วมอีกในช่วงบ่าย

ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำและรายงานพื้นที่เสี่ยงในฝั่งไทย อาทิ ซอย 7 เกาะทราย ถ.หน้าหมู่บ้านปิยะพร และคลองชลประทาน เริ่มเกิดน้ำล้นตลิ่งและเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างต่อเนื่อง

ขยะ-ท่อนซุงปิดสะพาน อุปสรรคซ้ำเติมสถานการณ์

ปัญหาขยะ เศษไม้ ท่อนซุงที่ไหลตามกระแสน้ำมาจากต้นน้ำเมียนมาและพื้นที่รอยต่อ ติดค้างใต้สะพานและแนวป้องกันน้ำชั่วคราว กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำ โดยนายอำเภอแม่สายสั่งปิดด่านชั่วคราว เปิดทางให้แบ็คโฮจัดการสิ่งกีดขวาง ลดความเสี่ยงสะพานเสียหายและเร่งการระบายน้ำออกนอกพื้นที่

เสียงสะท้อนนักวิชาการ – วิกฤตซ้ำซ้อน “น้ำพิษ” ขาดแผนรับมือจริงจัง

วิกฤตในแม่สายรอบนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายเริ่มตระหนักมากขึ้น คือ “น้ำพิษข้ามพรมแดน” ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ตั้งคำถามและข้อเสนอแนะเร่งด่วนถึงหน่วยงานภาครัฐให้จัดทำแผนรับมือและเฝ้าระวังสารโลหะหนักและมลพิษที่มากับน้ำท่วมข้ามพรมแดน หลังจากปัญหาเหมืองแร่ในรัฐฉานส่งผลต่อต้นน้ำของแม่น้ำสายในเขตแม่สายมาอย่างต่อเนื่อง

คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ชัด ได้แก่

  1. หน่วยงานใดจะตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำท่วม?
  2. ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะรู้ผล?
  3. เจ้าหน้าที่และประชาชนควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสัมผัสน้ำท่วมที่อาจปนเปื้อนสารพิษ?
  4. ประชาชนจะล้างบ้านและโคลนที่มีสารพิษได้อย่างไร?

ทั้งนี้ ดร.สืบสกุล ยังย้ำให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ทำหน้าที่ตรวจสอบสารโลหะหนักให้เร็วที่สุด เนื่องจากเป็นห้องแล็บที่มีมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่

วิกฤต “น้ำท่วม-น้ำพิษ” บททดสอบการบริหารจัดการข้ามพรมแดน

แม่สายในวันนี้ คือภาพสะท้อนความซับซ้อนของภัยพิบัติยุคใหม่ที่เกินขีดจำกัดของแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉินเฉพาะหน้า หลายประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่นับเป็นบทเรียนสำคัญ:

  • แนวป้องกันน้ำต้องยกระดับ: เหตุการณ์ซ้ำซ้อนแสดงว่าจำเป็นต้องพัฒนาแนวป้องกันน้ำถาวร ลดจุดอ่อนที่ทำให้น้ำล้นผ่านได้ง่าย
  • การจัดการขยะ-ท่อนซุงในแม่น้ำต้นน้ำ: ต้องวางระบบและแผนร่วมมือข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา เพื่อลดขยะจากต้นน้ำมิให้ซ้ำเติมวิกฤติในเขตเมือง
  • แผนรับมือ “น้ำพิษ” ต้องมีจริง: ควรจัดทำคู่มือ แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด สื่อสารกับประชาชนอย่างรัดกุม และจัดตั้งระบบแจ้งเตือนเชิงรุก
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: ปัญหาต้นน้ำที่เมียนมาต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยอาศัยกลไกทางการทูตและข้อตกลงร่วม

บทสรุป

น้ำท่วมแม่สายปีนี้ไม่ได้เป็นแค่วิกฤตธรรมชาติซ้ำรอย แต่เป็นการสะท้อนโจทย์ใหญ่ด้านนโยบายและการบริหารภัยพิบัติข้ามพรมแดน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งมือออกมาตรการเชิงรุกทั้งด้านโครงสร้างและระบบเฝ้าระวังสารพิษ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

  • อำเภอแม่สาย

  • กรมการทหารช่าง

  • เทศบาล ต.แม่สาย

  • เทศบาล ต.เวียงพางคำ

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1

  • อ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, ม.แม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News