Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพ! เร่งสร้างแนวป้องกันแม่น้ำสาย เผยคืบหน้า 51%

กองทัพเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำริมแม่น้ำสาย คืบหน้ากว่า 51% – เจ้ากรมทหารช่างเสนอฝึกซ้อมแผนรับมือเหตุอุทกภัยอย่างเป็นระบบ

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาวะอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่ชายแดนเหนือของไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะบริเวณอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนสำคัญติดกับประเทศเมียนมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมร่วมวางแผนรับมือภัยพิบัติ โดยมีการรายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำริมแม่น้ำสาย พร้อมเสนอแนวทางฝึกซ้อมแผนรับมืออุทกภัยอย่างเป็นระบบ เพื่อลดผลกระทบทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

วาระเร่งด่วนของการป้องกันน้ำท่วม – ประชุมติดตามความคืบหน้าแบบรายวัน

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สาย” โดยเน้นการเร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน การขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร

ในที่ประชุม พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง ได้รายงานถึงความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันชั่วคราว-กึ่งถาวรริมแม่น้ำสาย ว่าขณะนี้มีความก้าวหน้าแล้ว ร้อยละ 51.39 (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2568) และในส่วนของการขุดลอกแม่น้ำรวก – ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมระหว่างกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง – มีความคืบหน้าโดยรวมอยู่ที่ ร้อยละ 41.94 จากระยะทางรวม 32 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็นภารกิจของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 14 กิโลเมตร และกรมการทหารช่าง 18 กิโลเมตร

แผนฝึกซ้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน – ต้องมีระบบ-มีคน-มีความพร้อม

เพื่อให้แผนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เจ้ากรมการทหารช่างได้เสนอแนวทางให้จังหวัดเชียงรายจัด การฝึกซ้อมรับแผนเผชิญเหตุ” อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

  1. แผนเข้าพื้นที่ซ่อมจุดรั่วแนวป้องกัน – เตรียมอุปกรณ์ ซักซ้อมการเข้าสกัดน้ำทะลุแบบเฉพาะจุด
  2. แผนระบายน้ำ-สูบน้ำ – สำรวจความพร้อมของระบบระบายน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดเสี่ยงน้ำท่วมขัง
  3. แผนบริหารจัดการอาสาสมัคร – วางโครงสร้างรับมือการระดมคนจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน หรือขาดประสิทธิภาพในภาวะวิกฤต

ลงพื้นที่สำรวจงานจริง – ตรวจสอบแนวป้องกันริมแม่น้ำสายด้วยเรือยาง

หลังการประชุม นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พลโท สิรภพ ศุภวานิช ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ด้วยเรือยาง เพื่อสำรวจสภาพการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรริมแม่น้ำสาย ตั้งแต่บริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ไปจนถึงฐานปฏิบัติการนเรศวร หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ณ กองบังคับการผาทมิฬ

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ “ตรวจสอบการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบแปลน มาตรฐาน และระยะเวลาที่กำหนด” ตลอดจนประเมินความพร้อมของจุดเชื่อมโยงกับระบบระบายน้ำของเทศบาล และชุมชนในเขตเมืองแม่สาย

น้ำคือภัยคุกคามซ้ำซาก แต่แผนรับมือที่ดีคือเกราะป้องกันสำคัญ

อำเภอแม่สายเคยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2560 และอีกหลายครั้งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน พื้นที่เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ การพัฒนาระบบป้องกันน้ำและการขุดลอกลำน้ำจึงถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการบูรณาการระหว่างฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานโยธา การปกครองท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่พร้อมให้ความร่วมมือโดยรู้บทบาทของตน

แนวป้องกันน้ำแบบชั่วคราว-กึ่งถาวร อาจไม่ใช่คำตอบถาวรในระยะยาว หากไม่มีการ “ฝึกซ้อมซ้ำจริง” และ “อัปเกรดระบบเตือนภัย” ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะในบริบทชายแดนที่มีปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และปริมาณน้ำไหลผ่านจากเมียนมาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามฤดูกาล

สรุป

การดำเนินการของกองทัพไทยในการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ และข้อเสนอให้มีแผนรับมืออุทกภัยอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแบบอย่างของการจัดการเชิงป้องกันที่รัฐบาลไทยควรส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง หากสามารถบูรณาการทุกภาคส่วนได้อย่างมีเอกภาพ จะสามารถป้องกันภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และลดความสูญเสียได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประชุมป้องกันอุทกภัย อ.แม่สาย จ.เชียงราย วันที่ 6 มิถุนายน 2568
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ข้อมูลน้ำ กรมชลประทาน
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ห่วง! รมช.มหาดไทยนำทีมแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง

แม่น้ำกก-แม่น้ำสายเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์อำนวยการส่วนหน้า เดินหน้าสร้างระบบแก้ปัญหาน้ำปนเปื้อนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งถือเป็นลำน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนูและตะกั่ว” ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องหลายเดือน กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)” เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน พร้อมวางระบบรับมือภัยคุกคามด้านสุขภาพจากแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตเชิงโครงสร้าง – น้ำที่ดื่มไม่ได้ คือความทุกข์ที่ไม่มีเสียง

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่เป็นสายน้ำหลักของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเกษตรกรรม การประมง และการบริโภคของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ทว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏจากการตรวจวัดน้ำที่แสดงค่า “สารหนู” และ “ตะกั่ว” สูงเกินมาตรฐาน กระทั่งเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายจุด

การเฝ้าระวังโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ พบว่า “ทุกครั้งที่มีการตรวจวัด ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2568 มีจุดที่พบสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง” ส่งผลให้เกิดความกังวลลึกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้แม่น้ำในการอุปโภคบริโภคโดยตรง

ศูนย์อำนวยการฯ ส่วนหน้า ตอบสนองเร็ว-สื่อสารชัด-แก้ปัญหาจริง

ในวันนี้ (6 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข และรองผู้ว่าฯ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “วางแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” โดยมีหัวข้อเร่งด่วน เช่น

  • รายงานคุณภาพน้ำในพื้นที่
  • การวิเคราะห์ตะกอนดิน
  • ปรับปรุงระบบสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจง่าย
  • เตรียมรับมือกรณีประชาชนร้องเรียน หรือมีข่าวที่ก่อให้เกิดความตระหนก

ที่ประชุมได้เสนอให้ “รวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานในทิศทางเดียว” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งจากหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน พร้อมข้อเสนอให้หน่วยงานเฉพาะทาง เช่น กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเกษตรจังหวัด ตรวจผลแล็บซ้ำเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 4 จุดหลัก ปูโครงข่ายตรวจสอบในระดับพื้นที่

ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เปิดศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำจำนวน 4 จุดหลัก ได้แก่:

  1. จุดที่ 1 ศูนย์การแพทย์แผนไทย สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. จุดที่ 2 ศูนย์หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมควบคุมมลพิษ
  3. จุดที่ 3 ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย (แม่น้ำสาย) – ดูแลโดยสำนักงานควบคุมมลพิษ
  4. จุดที่ 4 สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำรวก-แม่น้ำโขง) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

แต่ละจุดจะติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ พร้อมป้ายแสดงผลต่อสาธารณะ และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง โดยมีหน่วยงานระดับจังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น เข้าร่วมปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ อย่างใกล้ชิด

การสื่อสารที่ชัด คือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ โดยเน้นการสื่อสารที่ “ตรงความจริง ชัดเจน สม่ำเสมอ และมีภาษาที่เข้าใจง่าย” เพื่อลดความวิตกกังวลจากข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ พร้อมแนะนำแนวทางการปฏิบัติเมื่อพบเห็นหรือได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อน

จากน้ำปนเปื้อน สู่คำถามเรื่องธรรมาภิบาลทรัพยากรน้ำ

กรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบสำคัญของกลไกรัฐไทยในการจัดการวิกฤติระดับภูมิภาค เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานเกินไปในการรับรู้ปัญหา เหตุใดข้อมูลที่เปิดเผยจึงแตกต่าง และเหตุใดแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกในทุกวัน

การจัดตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า และศูนย์เฝ้าระวังระดับพื้นที่ หากสามารถทำงานอย่างบูรณาการจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึง “เจตจำนงทางการเมือง” ที่จะไม่นิ่งเฉยเมื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกระทบความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนทั้งลุ่มน้ำ

สรุป

ปัญหาน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก คือสัญญาณชัดเจนว่า ไทยต้องเร่งยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบสื่อสารข้อมูลภาครัฐ การบูรณาการที่ดีเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาประชาชนข้ามพ้นวิกฤตนี้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รายงานการประชุมวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่น้ำสายเปลี่ยนสี! ส้มคล้ายชาเย็น ผวาปนเปื้อนเหมืองแร่ ไร้ฝนตก

แม่น้ำสีชาเย็น” กลางชายแดนไทย-เมียนมา สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ หรือเงามืดจากเหมืองแร่?

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – ความเปลี่ยนแปลงทางสีของแม่น้ำสายที่ปรากฏขึ้นราวกับฉากหนึ่งในสารคดีสิ่งแวดล้อม กำลังกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ทั้งไทยและเมียนมาต้องร่วมกันหาคำตอบให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความขุ่นมัวไม่ได้สะท้อนแค่สีของแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความคลุมเครือของแหล่งต้นตอและความโปร่งใสของนโยบายด้านเหมืองแร่ในพื้นที่เหนือแม่น้ำชายแดน

ภาพถ่ายที่ได้รับการแชร์อย่างกว้างขวางในวันที่ 6 มิถุนายน เผยให้เห็นแม่น้ำสายซึ่งไหลผ่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีลักษณะ “สีส้มเข้มคล้ายชาเย็น” แตกต่างจากสภาพน้ำขุ่นตามฤดูกาลที่ประชาชนคุ้นชิน ซึ่งเกิดขึ้นโดยไร้สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ เนื่องจากระบบโทรมาตรอัตโนมัติทั้งในฝั่งไทยและเมียนมาตรวจไม่พบฝนตกหรือปริมาณน้ำหลากในช่วงเวลาดังกล่าว

เมื่อฝนไม่ตก แต่น้ำกลับขุ่นจัด

สถานีตรวจวัดน้ำฝั่งเมียนมา 3 แห่งในจังหวัดท่าขี้เหล็ก และสถานีโทรมาตรของไทยบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 รายงานตรงกันว่า ไม่มีฝนตกในช่วงเวลาเกิดเหตุ โดยมีปริมาณเพียง 16.8 มิลลิเมตร ซึ่งไม่มากพอจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้

ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นในลำน้ำที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันกลับสะท้อนถึงผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์ที่อาจรุกล้ำเกินขอบเขต

ภูมิหลังที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดดเดี่ยว หากย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2567 แม่น้ำสายและแม่น้ำกกเคยเผชิญเหตุ “น้ำท่วมครั้งใหญ่” ส่งผลให้มีการตรวจพบสารหนูและตะกั่วเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเข้าสู่ปี 2568 การตรวจวัดซ้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ ก็พบสารหนูในทุกแม่น้ำหลักของภาคเหนือในระดับ “เกินมาตรฐาน” ติดต่อกันถึง 4 ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน

เครือข่ายภาคประชาชนจึงยื่นหนังสือผ่านรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อถึงนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐบาลจีน รัฐบาลเมียนมา และกลุ่มกองกำลังว้า เรียกร้องให้ “ยุติการทำเหมืองแร่เหนือแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย” โดยอ้างอิงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่ระบุว่ามีการเปิดหน้าดินทำเหมืองแร่กว่า 40 จุด ห่างจากลำน้ำบางแห่งเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแหล่งเหมืองแร่ทองคำ แมงกานีส และแรร์เอิร์ธ

ประชุมสองชาติ ถกด่วนขุดลอกแม่น้ำ ป้องกันวิกฤตล้ำลึก

วันที่ 5 มิถุนายน 2568 การประชุมหารือระหว่างคณะทำงานไทย-เมียนมา ณ โรงแรมวันจีวัน เมืองท่าขี้เหล็ก ได้รับมอบหมายจากนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายประสงค์ หล้าอ่อน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยร่วมเจรจา โดยมีผู้แทนฝ่ายเมียนมานำโดย นายตันส่วยวิน เลขาธิการสำนักงานใหญ่รัฐฉาน

การประชุมมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. แผนขุดลอกแม่น้ำสาย – เมียนมาจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 7 มิ.ย. ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 40 วัน
  2. รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน – ฝ่ายเมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จาก 33 จุด ฝ่ายไทยรื้อถอน 13 จาก 45 จุด ที่เหลือจะมีการตรวจสอบร่วมกันภาคสนาม
  3. การใช้น้ำร่วมกัน – มีการยืนยันไม่ให้มีการปิดกั้นแหล่งน้ำ และต้องไม่กระทบการอุปโภคบริโภคของทั้งสองฝั่ง
  4. การทิ้งขยะในแม่น้ำ – ฝ่ายเมียนมารับทราบข้อร้องเรียนและรับไปพิจารณา
  5. สารปนเปื้อนในแม่น้ำจากเหมืองแร่ – เป็นประเด็นใหม่ที่ฝ่ายไทยเสนอ ฝ่ายเมียนมายอมรับจะหารือกับผู้มีอำนาจต่อไป

สายน้ำไม่เคยโกหก แต่เราต่างหากที่ไม่ฟัง

แม่น้ำสายกลายเป็นเวทีแสดงภาพสะท้อนของความเปราะบางระหว่างสิ่งแวดล้อมกับผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสีแม่น้ำที่เกิดขึ้นแม้เพียงชั่วคราวอาจเป็น “เสียงเตือนสุดท้าย” จากธรรมชาติ ก่อนที่ปัญหามลพิษจะกลายเป็นวิกฤตถาวรในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

หากไม่มีการกำกับดูแลที่จริงจังในกิจกรรมเหมืองแร่ทั้งฝั่งเมียนมาและความร่วมมือจากภาครัฐไทยในการตรวจสอบ ติดตาม และแจ้งเตือนต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่แม่น้ำเปลี่ยนสี แต่คือ “ความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ” และ “สุขภาพของประชาชน” ที่อาจไม่อาจเรียกคืนได้อีก

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

  • เร่งขยายระบบตรวจวัดแบบเรียลไทม์ ให้ครอบคลุมทั้งแม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำรวก
  • จัดทำฐานข้อมูลดาวเทียมสาธารณะ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงได้
  • ดำเนินการด้านการทูตน้ำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือระดับลุ่มน้ำกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)
  • รายงานการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมา วันที่ 5 มิถุนายน 2568
  • ระบบโทรมาตรอัตโนมัติ กรมทรัพยากรน้ำ
  • รายงานการติดตามคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตผลไม้ไทย ทุเรียนราคาดิ่ง มะม่วงหลุดผู้นำ ผวาเวียดนามครองตลาดจีน

ไทยเสียแชมป์ผลไม้ส่งออก สัญญาณวิกฤตศักยภาพเกษตรไทยในตลาดโลก

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น “เจ้าตลาดผลไม้เมืองร้อน” โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านการส่งออกทุเรียน มังคุด และมะม่วง กลับต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2568 เมื่อเวียดนามก้าวขึ้นมาครองพื้นที่ทางการตลาดอย่างน่าเกรงขาม ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดปลายทาง

จากอดีตที่ผลไม้ไทยแทบไม่มีคู่แข่งในตลาดจีน วันนี้สถานการณ์กลับพลิกผันในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จุดเริ่มต้นของการเสียความเป็นผู้นำทุเรียนไทยถูกแทนที่

ต้นปีที่ผ่านมา ทุเรียนไทยซึ่งเคยเป็นผลไม้เรือธงในการส่งออก ถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตลาดจีน ด้วยสัดส่วนการนำเข้าทุเรียนเวียดนามกว่า 64% ขณะที่ทุเรียนไทยหดตัวเหลือเพียงราว 30% เท่านั้น

สาเหตุหลักเกิดจากความสามารถในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเวียดนามที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับรัฐบาลจีนในด้านการเปิดจุดผ่านแดนและการเร่งพิธีการศุลกากร ซึ่งช่วยให้ผลไม้เวียดนามเข้าเมืองจีนได้เร็วขึ้นและสดใหม่กว่า

ราคาตกต่ำ – ความเชื่อมั่นสั่นคลอน

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ราคาทุเรียนหน้าสวนไทยในปี 2568 ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี เหลือเพียงกิโลกรัมละ 80-95 บาท จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 120-150 บาท ส่วนหนึ่งมาจากภาวะล้นตลาด ขาดการวางแผนการผลิต และการกระจายสินค้าที่ไร้เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าขบวนการในเวียดนามบางกลุ่มพยายาม “สวมสิทธิ์” ทุเรียนไทยเพื่อหลอกตลาดจีน โดยอ้างว่าเป็นผลไม้ที่ผ่านการรับรองจากประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผลไม้ไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริง

มะม่วงไทยร่วงพ้น Top 5 – เวียดนามครองตลาด 97%

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ มะม่วงไทยที่เคยติด Top 3 ผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของจีน กลับมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 3% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่เวียดนามกลับขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 97% ด้วยคุณภาพที่คงเส้นคงวา ราคาสมเหตุสมผล และการส่งออกอย่างมีระบบ

นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่า จุดแข็งของเวียดนามอยู่ที่การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนามาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผลไม้เวียดนามผ่านด่านการตรวจสอบของจีนได้รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไทยกำลังสูญเสียข้อได้เปรียบดั้งเดิมในเวทีโลก

การเสียตำแหน่งในตลาดจีนของทุเรียนและมะม่วงไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขันด้านผลไม้เท่านั้น แต่เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยในความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยในภาพรวม ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน

หลายปัจจัยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการที่ล่าช้า การขาดความเป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงาน ความล่าช้าในการปรับตัวต่อมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศ และการพึ่งพาตลาดส่งออกแบบกระจุกตัว

หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการปรับยุทธศาสตร์ ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผลไม้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า 144,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลปี 2566 จากกรมศุลกากร) และจะกระทบตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจมหภาค

ทางออกไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ทั้งระบบ

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไทยควรปรับทิศทางนโยบายการเกษตรใหม่ใน 3 ด้าน ได้แก่:

  1. ยกระดับมาตรฐานการผลิต: พัฒนาคุณภาพตั้งแต่ต้นทางด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบ Smart Farming การจัดการดิน น้ำ และปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. พัฒนาการตลาดเชิงรุก: เร่งสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยผ่านการตลาดดิจิทัล และการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐที่มีเป้าหมายชัดเจน
  3. สร้างเครือข่ายความร่วมมือภูมิภาค: เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรปเพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงช่องทางเดียว

บทสรุป

สถานการณ์ในปี 2568 ไม่ได้สะท้อนแค่การเปลี่ยนแปลงในตลาดผลไม้ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมอันดับต้น ๆ ของโลก จำเป็นต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างจริงจัง หากไม่อยากถูกผลักให้กลายเป็นผู้เล่นรายรองในเวทีที่เคยเป็นเจ้าภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • Vietnam Trade Promotion Agency (VIETRADE)
  • สำนักข่าว Xinhua (China)
  • ข้อมูลรายงานการค้าผลไม้ไทย-จีน ประจำไตรมาส 1 ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

วิกฤตสารหนูแม่น้ำกก-สาย รัฐบาลสั่งเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังด่วน! ชี้แจงประชาชนทันที

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย

ปมปัญหาสารหนูสะสมในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือขยายวงกว้าง รัฐบาลสั่งตั้งหน่วยเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเร่งด่วน

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทวีความน่ากังวลมากขึ้น หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบล่าสุดว่าค่าความเข้มข้นของสารหนูในน้ำและตะกอนดินบางจุดเกินมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ประชุมด่วนระดับชาติเพื่อกำหนดแนวทางรับมือ

ภายใต้ข้อสั่งการดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เรียกประชุมด่วน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ พร้อมผู้แทนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เข้าร่วมหารือผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงฯ

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเน้นการตอบสนองต่อความวิตกของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 3 จุด สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนและสื่อสารเชิงรุก

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีข้อสรุปเบื้องต้นให้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” จำนวน 3 จุด คือที่จังหวัดเชียงราย 2 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 1 จุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ แจ้งผลผ่านป้ายแสดงผลในพื้นที่แบบ Real-time และเป็นจุดรับแจ้งปัญหาจากประชาชนในกรณีพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะประกอบด้วยผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยกำหนดให้ศูนย์ฯ ต้องสามารถดำเนินงานได้จริงภายในเวลาอันใกล้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของชุมชน

เร่งสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารแบบมืออาชีพ

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายคือ การจัดทำ “ชุดข้อมูลอธิบายผลตรวจ” โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อแจกแจงว่า ค่าสารหนูที่ตรวจพบในน้ำและตะกอนดินแต่ละระดับ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ การใช้น้ำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข้อมูลชุดนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแถลงข่าวกรณีที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น “หน่วยงานหลักในการสื่อสาร” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน

วางมาตรการดักตะกอนเร่งด่วนในแม่น้ำต้นน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านมาตรการเชิงเทคนิค กระทรวงฯ มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งออกแบบและติดตั้ง “ฝายดักตะกอน” ในจุดที่มีสารหนูปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะบริเวณต้นแม่น้ำกก ณ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำไหลเข้าจากฝั่งประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการประสานงานเบื้องต้นกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งเคยมีการศึกษารูปแบบฝายดักตะกอนเพื่อใช้ข้อมูลร่วมวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำข้ามแดนที่ไหลผ่านชายแดนไทย-เมียนมา ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การติดตั้งฝายดักตะกอนจะต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของจังหวัดเชียงราย และอาจต้องเจรจาในระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแม่น้ำที่มีอธิปไตยร่วมในบางช่วง

บทสรุปและบทวิเคราะห์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution) ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ

การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังในระดับพื้นที่ การสื่อสารเชิงรุก และการออกแบบระบบดักตะกอนแบบมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และเป็นบทเรียนสำคัญในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหามีความรวดเร็ว ตรงจุด และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งกำเนิดสารมลพิษอยู่ในพื้นที่นอกเขตอธิปไตยไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐมนตรีและความต่อเนื่องของนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน, 4 มิถุนายน 2568
  • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้แม่น้ำกก ปนเปื้อน สารหนูเกินมาตรฐาน!

เชียงรายเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ – จับมือทุกภาคส่วนสู้ภัยสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก วันสิ่งแวดล้อมโลกชาวบ้านแห่เรียกร้อง “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของสังคมต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือ “แม่น้ำกก” ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงชีวิตในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง กลายเป็นประเด็นร้อนบนเวทีสาธารณะอีกครั้ง หลังการตรวจพบสารหนูและสารพิษโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในน้ำอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชุมชนริมฝั่งน้ำ ทั้งยังเป็นชนวนจุดประกายให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดลุกขึ้นผนึกกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง

นายก อบจ.เชียงราย นำทีมร่วมขบวน “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” ย้ำจุดยืนปกป้องสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 2568

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมกิจกรรมขบวนแห่ “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยมีนายจิรวัฒน์ ณ เชียงใหม่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตอำเภอเมืองเชียงราย เขต 1 เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญในครั้งนี้ด้วย ท่ามกลางการรวมตัวของพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายจำนวนมากที่มาร่วมแสดงพลังและเจตนารมณ์ร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

กิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” จัดขึ้นโดยความร่วมมือของภาคประชาสังคมและเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเรียกร้องให้มีการพิจารณาและดำเนินการ “ปิดเหมือง” อันอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณภาพของลุ่มน้ำกก ลำน้ำสายรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในอดีตหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน “วันสิ่งแวดล้อมโลกในปีนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะได้ทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการปกป้องผืนดินและแหล่งน้ำของเรา สิ่งแวดล้อมที่ดีคือรากฐานของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคนในปัจจุบันและในอนาคต องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม”

เวทีรัฐ-ประชาชนร่วมสื่อสารสถานการณ์

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมจอมกิตติ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนกลางนำทีมหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย และสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ร่วมชี้แจงสถานการณ์ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่า ต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต่างประเทศ จังหวัดจึงมีอำนาจและขีดความสามารถแก้ไขได้เพียงปลายเหตุ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก บ่อน้ำตื้น และแหล่งน้ำดิบของการประปา รวมถึงการเตรียมสำรองแหล่งน้ำจากที่อื่นไว้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน อย่างไรก็ดี ทางจังหวัดยังยืนยันว่าได้อยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด

ที่ผ่านมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ได้ตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ มาแล้วจำนวน 4 ครั้ง พบว่าคุณภาพน้ำใต้ฝายเชียงรายในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย มีแนวโน้มดีขึ้นจากการตกตะกอนของสารปนเปื้อน ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นฐานข้อมูลสำคัญเพื่อการวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาในอนาคต

ผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำ  ตัวเลขที่น่ากังวล

ผลการตรวจสอบโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ในเดือนพฤษภาคม 2568 พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 11 จุดสำรวจ ในพื้นที่เชียงรายและเชียงใหม่ อาทิ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย (0.030 มก./ลิตร), บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย (0.023 มก./ลิตร) และจุดสูงสุดอยู่บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ขณะที่การตรวจในแม่น้ำโขงพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานที่ต.เวียง อ.เชียงแสน (0.026 มก./ลิตร) และต.บ้านแซว อ.เชียงแสน (0.025 มก./ลิตร)

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบดังกล่าว หน่วยงานรัฐยังพบความคลาดเคลื่อนของผลตรวจน้ำระหว่างภาครัฐกับนักวิชาการอิสระในบางจุด จึงขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ประสานงานล่วงหน้ากับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการตรวจน้ำแต่ละครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน ลดความตื่นตระหนกและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องในชุมชน

แผนรับมือเชิงระบบ – การตั้งคณะทำงาน 4 ชุด

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงาน 4 ชุดเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่

  1. ชุดประสานงานระหว่างประเทศ
  2. ชุดด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
  3. ชุดติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า

โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในวันที่ 6 มิถุนายนนี้ ทางระบบออนไลน์ เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ชาวบ้านลุกขึ้นสู้ “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

ในวันเดียวกันนี้ บรรยากาศที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวงคึกคักไปด้วยประชาชน นักเรียน นักศึกษา ภาคประชาสังคม และผู้นำท้องถิ่นกว่า 1,000 คน รวมพลังแสดงจุดยืนร่วมในกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” เพื่อเรียกร้องปกป้องทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบของเหมืองแร่ พร้อมส่งสารถึงผู้นำประเทศและนานาชาติให้ร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

การรวมพลังครั้งนี้สะท้อนถึงความตื่นตัวและความห่วงใยต่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง ในฐานะสายชีวิตของผู้คนเชียงราย ซึ่งหากไม่มีมาตรการเชิงรุกที่ชัดเจน ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนจะลุกลามและกระทบวิถีชีวิตของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เสียงประชาชนสะท้อนถึงศูนย์กลางนโยบาย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ทางจังหวัดจะดำเนินการเต็มที่และพร้อมประสานงานกับทุกฝ่ายในทุกมิติ ขณะที่ภาคประชาชนยังคงจับตาและผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน

สุดท้ายนี้ ความหวังของชาวเชียงรายและเครือข่ายภาคประชาชน คือ การได้เห็นแม่น้ำกกและลุ่มน้ำสำคัญกลับมาสะอาด บริสุทธิ์ เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างแท้จริง ขณะที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน และสร้างการสื่อสารที่ถูกต้องต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรวมพลัง! ปิดเหมืองกอบกู้แม่น้ำ จี้รัฐบาลเร่งแก้พิษ

เชียงรายรวมพลัง “ปอยหลวงปิดเหมือง” วันสิ่งแวดล้อมโลก เรียกร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาสารพิษข้ามแดนในลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – บรรยากาศเช้าวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยเสียงกลอง พลังศรัทธา และความหวัง เมื่อชาวเชียงรายกว่า 1,000 คน ทั้งภาคประชาสังคม เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนหลากหลายกลุ่ม จัดกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” ภายใต้สัญลักษณ์แถลงการณ์ 5 ภาษา ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เร่งฟื้นฟูแม่น้ำสายหลักภาคเหนือที่กำลังเผชิญวิกฤตสารปนเปื้อนข้ามพรมแดนจากเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

จุดเริ่มต้นของ “ขบวนแห่” เพื่อสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 9 โมงเช้า ณ สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง ด้วยขบวนแห่ขนาดใหญ่ นำโดยสมาคมขัวศิลปะที่นำงาน “ศพปลาแค้” สะท้อนผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำ ตามด้วยนักเรียน ชาวบ้าน และกลุ่มเยาวชนซึ่งหลายคนเป็น “เสียงจริง” จากชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการจับปลาไม่ได้ การลงเล่นน้ำแล้วมีอาการผื่นคัน ไปจนถึงการดำรงชีพที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพราะวิกฤตสิ่งแวดล้อม

จุดไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเดินเท้าของประชาชนและนักเรียนจากสวนฯ ไปจนถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำกก พร้อมการอ่านแถลงการณ์ 5 ภาษา – ไทย อังกฤษ จีน เมียนมา และไทใหญ่ – เรียกร้องให้ผู้นำประเทศ รวมถึงรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า เร่งปิดเหมืองต้นเหตุปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

แถลงการณ์ถึงรัฐบาลไทยและประชาคมโลก

ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ได้นำรายชื่อผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องผ่านตัวแทนไปยังรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า

รองปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ส่งหนังสือถึงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือในการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ พร้อมกับนัดหมายหารือระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ วันที่ 6 มิถุนายนนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจะประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อเดินหน้ามาตรการอย่างเร่งด่วน

เสียงจากคนท้องถิ่น “หยุดเหมืองพิษ คืนชีวิตให้สายน้ำกก”

ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ “ครูตี๋” นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว เผยว่า ผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง โดยในปีนี้พบปลาจำนวนมากมีตุ่มพองและตายผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากชาวบ้านที่ลงเล่นน้ำแล้วเกิดผื่นคัน ต้องใส่ชุดป้องกันเต็มที่

“วันนี้รัฐบาลคงเห็นแล้วว่าประชาชนคนเชียงรายมองว่าปัญหานี้มีความสำคัญกับชีวิต ถ้ารัฐบาลยังช้า หรือไม่ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง จะเกิดปัญหาสุขภาพและอาชีพประชาชนในระยะยาว สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดคือ หยุดเหมือง และฟื้นฟูลำน้ำให้กลับมาเป็นปกติ” ครูตี๋กล่าว

ข้อเสนอและความคาดหวัง

กิจกรรมครั้งนี้ นอกจากเป็นสัญลักษณ์การรวมพลังของคนเชียงรายแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสียงเตือนที่ดังไปถึงส่วนกลางและนานาชาติว่าการจัดการกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมขอให้รัฐใช้มาตรการทางการทูตและความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับเมียนมาและจีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของไทยไม่ให้ถูกทำลายเพราะปัญหาจากภายนอก

ประชาชนยังเสนอให้รัฐเร่งรัดระบบเตือนภัยคุณภาพน้ำ ตรวจสอบคุณภาพปลาน้ำจืดในท้องถิ่น และมีมาตรการฟื้นฟูทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงเร่งส่งเสริมให้มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านระบบนิเวศในลุ่มน้ำข้ามแดน

บทสรุปและผลลัพธ์

“ปอยหลวงปิดเหมือง” ในปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือเสียงสะท้อนของผู้คนที่ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ชาวเชียงรายและประชาชนที่เกี่ยวข้องยังรอคอยความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

“งบกลาง” 1.2 แสนล้าน โปร่งใสไร้คอร์รัปชัน?

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เตือนรัฐ! “งบกลาง” เสี่ยงทุจริตสูง จี้ออกมาตรการสร้างโปร่งใสด่วน

ประเทศไทย, 4 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยมีการจัดสรร “งบกลาง” วงเงินมหาศาลกว่า 6.32 แสนล้านบาท องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกโรงเตือนภัยสังคมผ่านบทความและสื่อโซเชียล ถึงความเสี่ยง “สูงมาก” ต่อการทุจริต การใช้จ่ายไม่คุ้มค่า และความไม่โปร่งใส โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลควรเร่งปฏิรูปมาตรการกำกับดูแลงบกลางให้เกิดความโปร่งใส พร้อมเสนอแนะแนวทางที่ควรเร่งดำเนินการ ก่อนที่ปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณโดยไร้ประสิทธิภาพจะกลายเป็นวิกฤตซ้ำรอยอดีต

งบกลาง” กับกับดักคอร์รัปชัน จุดเปราะบางของงบประมาณแผ่นดิน

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่บทความเตือนภัยสังคมผ่านเพจทางการ โดยเน้นย้ำถึงความอ่อนไหวของ “งบกลาง” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.23 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 และยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก

งบกลาง” กลายเป็นแหล่งงบประมาณที่ง่ายต่อการอนุมัติ ใช้จ่ายโดยไม่ต้องมีแผนล่วงหน้า โครงการส่วนใหญ่มักข้ามขั้นตอนตรวจสอบของรัฐสภา และให้อำนาจดุลพินิจกับฝ่ายบริหารโดยตรง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การใช้จ่ายที่ขาดความโปร่งใส มีโอกาสสูงที่จะเกิดการบิดเบือนและทุจริต” นายมานะระบุ

3 ปัจจัยเสี่ยง งบกลางไทยทำไม “โกงง่าย”

  1. ความยืดหยุ่นสูง ขาดแผนล่วงหน้า
    งบกลางไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดโครงการล่วงหน้า อนุมัติได้ง่ายและรวดเร็ว โครงการที่ผ่านมักไม่ได้เข้าสู่การกลั่นกรองหรือตรวจสอบโดยรัฐสภาเหมือนงบประมาณปกติ
  2. ดุลพินิจสูง อยู่ในมือผู้มีอำนาจ
    แม้กฎหมายจะกำหนดให้เสนอผ่าน ครม. แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจส่วนใหญ่อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองหลัก เปิดช่องให้เกิดการจัดสรรงบประมาณตามผลประโยชน์กลุ่มหรือพวกพ้อง
  3. ข้ออ้างฉุกเฉิน เปิดช่องจัดซื้อพิเศษ
    การอ้าง “ภาวะฉุกเฉิน” หรือ “เร่งด่วน” ทำให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้ง่ายขึ้น ลดระยะเวลาตรวจสอบ เพิ่มโอกาสหลบเลี่ยงมาตรฐานความโปร่งใส

ตัวอย่างเช่น งบกลางฉุกเฉินในอดีตเคยถูกนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบป้องกันไฟป่า ตลอดจนงบราชการลับหรือโครงการเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ติดตาม เช่น ขุดลอกคูคลอง หรือปลูกต้นไม้ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงในการถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์

บทเรียนอดีต งบกลางกับคดีทุจริต

ในอดีตเคยมีโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรมวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งอนุมัติจากงบกลางและกระจายไปให้มหาวิทยาลัย 4 แห่งในภาคอีสาน ปัจจุบันกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกำลังถูกดำเนินคดีโดยดีเอสไอ หลังพบพฤติกรรมทุจริตและใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

ไม่เพียงเท่านี้ การใช้งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ยังตกอยู่ภายใต้ข้อสังเกตว่าอาจถูกเร่งรัดโดยขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบ หลายโครงการถูกนำเสนอเพราะถูกตัดทิ้งจากการพิจารณางบประมาณปกติหรือเป็น “โครงการแฟ้มเก่า” ที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ จึงมีแนวโน้มสูงว่าจะเป็นโครงการที่ฟุ่มเฟือย ไม่ตรงกับภารกิจหน่วยงาน หรือไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

ตัวอย่างที่ถูกตั้งคำถาม เช่น งบ 50 ล้านบาทในจังหวัดระยอง สำหรับสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว หรือการติดตั้งเสาไฟในถนนสายรองที่ขาดความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์

มาตรการกำกับดูแลที่ควรเร่งดำเนินการ

นายมานะ นิมิตรมงคล เสนอแนะแนวทางแก้ไขไว้ว่า

  • รัฐบาลต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน กำกับทุกโครงการที่ใช้งบกลางว่าเป็นไปตาม “ความจำเป็นจริง”
  • เปิดเผยทุกขั้นตอนต่อสาธารณะ ให้สื่อและประชาชนเข้าตรวจสอบได้เสรีและทันที
  • ต้องมีระบบประเมินผลหลังการใช้จ่าย ให้ชัดเจนว่าตรงวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
  • หากเกิดทุจริตต้องมีการเอาผิดอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสังคม

ความโปร่งใสคือคำตอบ

ปัญหางบกลางมิใช่เพียงเรื่องทุจริตเชิงระบบ หากแต่เกี่ยวพันกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล การใช้งบกลางที่ขาดโปร่งใสไม่เพียงทำลายระบบราชการ ยังบั่นทอนศรัทธาต่อรัฐไทยทั้งระบบ การปฏิรูประบบงบประมาณกลางให้โปร่งใส ตรวจสอบได้จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ACT: www.anticorruption.or.th
  • กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว. หนุนวิจัย “เชียงราย” นำร่องวิจัยโครงสร้างรับมือ ‘น้ำท่วม’

สกสว.หนุนนักวิจัยลงพื้นที่เชียงราย สำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม มุ่งปั้นจังหวัดต้นแบบจัดการสาธารณภัย

เชียงราย, 4 มิถุนายน 2568 – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศเดินหน้า “โครงการสำรวจความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมในภาคเหนือ” โดยเลือก จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่นำร่อง ดึงนักวิจัยวิศวกรรมโครงสร้างและทีมวิศวกรอาสาหลายร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายอย่างเป็นระบบ หวังยกระดับการจัดการสาธารณภัยด้วยองค์ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ผนึกกำลังภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชนเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากในเชียงราย จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

พื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซาก ทั้งอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม รวมถึงแผ่นดินไหวและฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตชุมชน และความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ สกสว. ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย นำทีมสำรวจบ้านเรือน สะพาน ถนน และโครงสร้างสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของน้ำหลาก

ศ. ดร.อมร พิมานมาศ หัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า “เราใช้โอกาสจากเหตุการณ์ฟื้นฟูน้ำท่วมครั้งล่าสุด ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิต สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโครงสร้างสำคัญอย่างเป็นระบบ นำเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ รองรับการวางแผนฟื้นฟูและออกแบบมาตรการป้องกันในอนาคต”

เชียงรายสู่เมืองต้นแบบ “จัดการสาธารณภัย” บูรณาการวิจัย-นโยบาย

จุดเด่นของโครงการคือการนำองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมโครงสร้างมาผสานกับ “ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล” จัดทำ “แผนที่ความเสียหาย” และ “แผนที่เสี่ยงภัย” เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำของรัฐ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องซ่อมแซมหรือป้องกันเป็นการเร่งด่วน

ศ.ดร.อมร ระบุอีกว่า “เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว”

ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน-ภาครัฐ เพิ่มภูมิคุ้มกันสังคมไทย

นอกจากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ระบบป้องกันน้ำท่วมและวิธีลดความเสียหายของโครงสร้างต่อประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาเชิงวิชาการ และคู่มือความรู้สำหรับชุมชน

ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า “ข้อมูลจากงานวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือและฟื้นฟูภัยพิบัติทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสร้างกำแพงกั้นน้ำ ระบบเตือนภัย การออกแบบบ้านเรือนที่ทนทานต่อน้ำหลาก และการวางแผนจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรขยายการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ทั่วประเทศ”

วางรากฐาน “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่” สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม สกสว. เผยว่า “สกสว.มีแผนประสานงานกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อขยายผลโครงการนี้ ทั้งด้านการสร้างฐานข้อมูลเสี่ยงภัยดิจิทัล และการผลักดันนวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ในรูปแบบของสตาร์ทอัพ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดกฎ/เทศบัญญัติเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงสร้างในพื้นที่เสี่ยง”

การทำงานแบบบูรณาการเช่นนี้จะนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำ “แผนที่เสี่ยงภัยแบบซ้อนทับ” (Overlay Risk Map) เพื่อดูจุดเสี่ยงแต่ละประเภทภัยพิบัติในพื้นที่เดียวกัน ต่อยอดสู่การวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเตือนภัยล่วงหน้า และการฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังให้เข้มแข็งขึ้น

ผลลัพธ์และข้อเสนอแนะ

  • เชียงรายเป็นต้นแบบการประสานความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาครัฐ และชุมชนในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก
  • องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สามารถถ่ายทอดสู่พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในประเทศได้จริง
  • ควรผลักดันข้อมูลวิจัยสู่นโยบายและกฎ/เทศบัญญัติในระดับท้องถิ่น
  • สกสว. วางแผนขยายผลสู่การสร้างมาตรฐานวิศวกรรมภัยพิบัติสำหรับประเทศไทย
“การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (โครงการต้นแบบ จังหวัดเชียงราย)” ซึ่งมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) www.tsri.or.th
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) www.disaster.go.th
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • รายงานประชุมและข้อมูลโครงการ “การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (เชียงราย)”
  • ข่าวที่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวไทย, ThaiPBS, สยามรัฐ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

รับน้องรถทัวร์ ม.พะเยา สร้างความประทับใจแรก

มหาวิทยาลัยพะเยาเปิดบ้านต้อนรับนิสิตใหม่ กิจกรรม “รับน้องรถทัวร์” และ “รุ่นพี่จิตอาสา พาน้องเข้าหอ” เสริมสร้างบรรยากาศอบอุ่น สานสายสัมพันธ์ในรั้วมหาวิทยาลัย

พะเยา, 4 มิถุนายน 2568 – ในช่วงเวลาที่รั้วมหาวิทยาลัยกลับมาคึกคักอีกครั้งต้อนรับการเปิดภาคเรียนใหม่ “มหาวิทยาลัยพะเยา” ได้จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ไม่เพียงเติมเต็มความประทับใจแรกให้กับนิสิตใหม่เท่านั้น แต่ยังสร้างบรรยากาศของความอบอุ่นและความร่วมมือระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องและครอบครัว ภายใต้สองกิจกรรมหลัก ได้แก่ “รับน้องรถทัวร์” และ “รุ่นพี่จิตอาสา พาน้องเข้าหอพัก” ระหว่างวันที่ 4-6 มิถุนายน 2568

กิจกรรม “รับน้องรถทัวร์” ความทรงจำแรกในชีวิตนิสิต

เช้าวันที่ 4 มิถุนายน 2568 บริเวณหน้าหอพักนิสิต มหาวิทยาลัยพะเยา เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เมื่อขบวนรถทัวร์จากทุกภูมิภาคทยอยเดินทางมาถึงเพื่อส่งนิสิตใหม่และครอบครัว กิจกรรม “รับน้องรถทัวร์” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องตลอด 3 วันนี้ เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างสภานิสิต องค์การนิสิต หน่วยกิจกรรมเวียง สารวัตรนิสิต และกองกิจการนิสิต ภายใต้โครงการ “ต้อนรับนิสิตใหม่และผู้ปกครอง”

เมื่อก้าวลงจากรถทัวร์ น้อง ๆ จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากรุ่นพี่อาสา และทีมงานด้วยเสียงเชียร์ ของที่ระลึก และมุมถ่ายภาพสุดน่ารัก สร้างรอยยิ้มและช่วยคลายความตื่นเต้นของนิสิตใหม่ หลายครอบครัวต่างรู้สึกประทับใจที่บรรยากาศในวันแรกของชีวิตมหาวิทยาลัยกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น

รุ่นพี่จิตอาสา พาน้องเข้าหอ” สานสายใยระหว่างรุ่น

ในเวลาเดียวกัน กิจกรรม “รุ่นพี่จิตอาสา พาน้องเข้าหอพัก” ก็เริ่มต้นขึ้น ณ หอพักนิสิต UP Dorm ตลอด 3 วันนี้ ศูนย์ปฏิบัติการมหาวิทยาลัยพะเยาจิตอาสาได้ระดมกำลังรุ่นพี่และสมาชิกสโมสรนิสิตจากคณะต่าง ๆ มาคอยช่วยเหลือนิสิตใหม่และผู้ปกครองในการขนย้ายสัมภาระ แนะนำเส้นทาง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการรายงานตัว การใช้ชีวิตในหอพัก และการปรับตัวในรั้วมหาวิทยาลัย

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อ น้ำใจ และการแบ่งปัน ผู้ปกครองจำนวนมากต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารู้สึกเบาใจและมั่นใจในคุณภาพของ “บ้านหลังใหม่” แห่งนี้ ด้วยความร่วมมือของนิสิตและบุคลากรที่ใส่ใจและดูแลกันเสมือนครอบครัวเดียวกัน

วันที่ 4 - 6 มิถุนายน 2568 โดยมี สภานิสิต องค์การนิสิต หน่วยกิจกรรมเวียง สารวัตรนิสิต ร่วมกับ กองกิจการนิสิต เป็นแม่งานหลัก ภายใต้โครงการ “ต้อนรับนิสิตใหม่และผู้ปกครอง”

จุดเริ่มต้นของมิตรภาพในรั้วพะเยา

กิจกรรมทั้งสองนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “พิธีต้อนรับ” แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้เกิดสายสัมพันธ์และเครือข่ายมิตรภาพในหมู่นิสิต ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยพะเยา การมีรุ่นพี่คอยให้คำแนะนำ และรุ่นน้องที่กล้าเปิดใจรับสังคมใหม่ จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านจากชีวิตนักเรียนสู่การเป็นนิสิตเป็นไปอย่างราบรื่นและมั่นใจ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ของกิจกรรม วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง

เมื่อวิเคราะห์ในเชิงผลลัพธ์ กิจกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมองค์กรของมหาวิทยาลัยพะเยาที่มุ่งสร้าง “สังคมแห่งมิตรภาพและความร่วมมือ” ที่เป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลใจของนิสิตและครอบครัว กิจกรรมต้อนรับที่อบอุ่นเป็นกันเองนี้ จึงช่วยลดช่องว่างและความกังวลในใจ เปลี่ยนเป็นความมั่นใจและความอบอุ่นที่พร้อมจะส่งต่อไปยังรุ่นต่อ ๆ ไป

นอกจากนี้ ยังเป็นการฝึกทักษะชีวิตของรุ่นพี่นิสิตให้รู้จักการทำงานเป็นทีม การเสียสละ การให้บริการ และการดูแลผู้อื่น ถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ออกแบบมานอกห้องเรียนอย่างแท้จริง

จุดเริ่มต้นของการเดินทางใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังบวก

“รับน้องรถทัวร์” และ “รุ่นพี่จิตอาสา พาน้องเข้าหอ” คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางบทใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังบวกในรั้วมหาวิทยาลัยพะเยา พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีสำหรับการเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านวิชาการ ทักษะชีวิต และสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น กิจกรรมต้อนรับเช่นนี้จึงไม่เพียงช่วยเติมเต็มความทรงจำดี ๆ ให้กับนิสิตใหม่และครอบครัว หากยังตอกย้ำภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยพะเยาในฐานะ “บ้านหลังใหม่ที่อบอุ่นและพร้อมจะดูแลทุกชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย”

ศูนย์ปฏิบัติการมหาวิทยาลัยพะเยาจิตอาสา ได้จัดกิจกรรมจิตอาสา “รุ่นพี่จิตอาสา พาน้องเข้าหอพัก” ณ หอพักนิสิต UP Dorm

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News