Categories
SPORT

AIS ยืนยัน ดูบอลไทยลีกฟรี 3 พันธมิตรทุ่ม 500 ล้านบาท

AIS-GULF-JAS ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก 4 ฤดูกาลเต็ม ดูฟรีทั่วประเทศ ยกระดับฟุตบอลไทยสู่มาตรฐานโลก

กรุงเทพฯ,10 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาวงการฟุตบอลอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อ 3 พันธมิตรยักษ์ใหญ่แห่งวงการดิจิทัล เทคโนโลยี และพลังงาน ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS, บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ร่วมกันประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ คว้าสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพของประเทศไทยอย่างครอบคลุมทุกระดับ

พิธีแถลงข่าวจัดขึ้นที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยมี “มาดามแป้ง” นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งสามบริษัท ได้แก่ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี (GULF), นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ (AIS) และ ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา (JAS) ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการผลักดันฟุตบอลไทยให้เข้าถึงผู้ชมทุกกลุ่ม ด้วยระบบการถ่ายทอดสดความคมชัดระดับ HD ผ่านช่องทางที่ครอบคลุมทั้งทีวีและดิจิทัลแพลตฟอร์ม

ประกาศชัด คนไทยดูบอลฟรีทั้งประเทศ

หนึ่งในไฮไลต์ของงาน คือคำยืนยันจากนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ AIS ว่า “วันนี้ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า คนไทยทุกคนจะสามารถรับชมการแข่งขันไทยลีกได้ฟรี” โดยการรับชมจะสามารถทำได้ผ่าน AIS PLAY บนมือถือหรือเน็ตบ้าน และผ่านสถานีโทรทัศน์ MONO29 รวมถึงแพลตฟอร์ม Monomax ซึ่ง JAS เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือเป็นการปักหมุดให้ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ประชาชนสามารถชมฟุตบอลลีกอาชีพได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

500 ล้านบาทต่อปี กับภารกิจยกระดับลีกฟุตบอลไทย

“มาดามแป้ง” เปิดเผยว่า การประมูลครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของฟุตบอลไทย โดยพันธมิตรทั้ง 3 รายยินดีจ่ายค่าลิขสิทธิ์รวม 350 ล้านบาทต่อปี และยังร่วมออกค่าโปรดักชั่นอีก 150 ล้านบาท รวมมูลค่าการสนับสนุนสูงถึง 500 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 4 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2025/26 – 2028/29 พร้อมออปชันต่ออายุอีก 2 ฤดูกาล

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการวางรากฐานให้กับระบบถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกทั้ง ไทยลีก 1, ไทยลีก 2, ไทยลีก 3, ฟุตบอลถ้วย (เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ), ฟุตบอลหญิงลีก, ฟุตบอลเยาวชน U-21 และอื่น ๆ ที่ไม่เคยได้รับการเผยแพร่เต็มรูปแบบเช่นนี้มาก่อน

จากสนามสู่ทุกครัวเรือน วิสัยทัศน์จากพันธมิตรหลัก

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอ GULF กล่าวถึงบทบาทของตนว่า “ฟุตบอลก็เหมือนโรงงานขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยผู้เล่น โค้ช เจ้าหน้าที่ และแฟนบอลรวมหลายหมื่นชีวิต GULF ต้องการเป็นแรงสนับสนุนเพื่อให้ทุกคนในระบบนี้เดินหน้าต่อไปได้” พร้อมระบุว่า ความตั้งใจของ GULF คือให้การถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยเข้าถึงทุกคนทั่วประเทศอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในไทยลีก 2 และ 3 ที่มักถูกละเลยในอดีต

ขณะที่ ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา จาก JAS เน้นย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะไม่เพียงเป็นเรื่องของการถ่ายทอดสดเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายร่วมกับ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ในการส่งเสริมศักยภาพของฟุตบอลไทยใน 3 ด้าน ได้แก่ นักกีฬา, ผู้ตัดสิน, และ ผู้ฝึกสอน เพื่อยกระดับมาตรฐานทั้งระบบ โดยเน้นความยั่งยืนและการพัฒนาในระยะยาว

เมื่อฟุตบอลไทยไม่ใช่แค่กีฬา แต่คือระบบนิเวศน์เศรษฐกิจและวัฒนธรรม

การประกาศครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวงการกีฬาไทย เพราะฟุตบอลไม่ใช่เพียงเกมกีฬา แต่ยังเป็นกลไกเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการรายย่อย ชุมชนท้องถิ่น แฟนบอล และภาคอุตสาหกรรมบันเทิงในวงกว้าง

การเปิดให้คนไทยรับชมฟรี อาจส่งผลต่อรูปแบบรายได้ของสมาคมฯ ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะช่วยเพิ่มฐานผู้ชม เกิดการกระจายรายได้จากสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน เช่น ตั๋วเข้าชม สนามกีฬา อีเวนต์เชิงกีฬา และการค้าปลีก

ในขณะเดียวกัน การที่พันธมิตรด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศ เช่น AIS และ JAS เข้ามาเป็นผู้ขับเคลื่อน ย่อมส่งผลให้คุณภาพของระบบการถ่ายทอดสด และช่องทางการเข้าถึงได้รับการยกระดับแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะผ่านเน็ตมือถือ, สมาร์ตทีวี หรือแอปพลิเคชัน OTT

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
  • บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
  • สถานีโทรทัศน์ MONO29 และแพลตฟอร์ม Monomax
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายตรวจศูนย์เฝ้าระวังน้ำพิษ เร่งแก้ปนเปื้อนแม่น้ำภาคเหนือ

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 4 จุด พร้อมเดินหน้าทำแผนแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมา

เชียงราย, 9 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ปนเปื้อนสารโลหะหนักในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กำลังกลายเป็นประเด็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งรับมืออย่างจริงจัง ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำการดำเนินงานเชิงรุกตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

จุดตรวจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน 4 จุดของศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดตั้งขึ้น ครอบคลุมแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการวัดคุณภาพน้ำ ตรวจสอบตะกอน และเผยแพร่ข้อมูลต่อประชาชนผ่านระบบป้ายประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ พร้อมรับเรื่องร้องเรียนและสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนในทุกพื้นที่

ศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในพื้นที่เสี่ยง ครอบคลุม 2 จังหวัด

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จัดตั้งขึ้นครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย และเชียงใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 จุดหลัก ได้แก่

  1. สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. ศูนย์ราชการเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  3. ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย (แม่น้ำสาย) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  4. สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (แม่น้ำโขง) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ศูนย์ทั้ง 4 แห่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจวัดสารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารหนู ปรอท และแคดเมียม ที่ถูกสันนิษฐานว่าไหลลงมาจากเหมืองแร่ในเขตชายแดนเมียนมา และอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติ

กรมควบคุมมลพิษเดินหน้าเจรจาระดับรัฐบาล ร่วมกับเมียนมาและจีน

ในระดับนโยบาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้สั่งการให้ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในลำน้ำกกและลำน้ำสาย พร้อมประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดเจรจาอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน กรณีผลกระทบจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ยังได้มอบหมายให้คณะทำงานเร่งหาข้อสรุปในการกำหนดกรอบการเจรจาระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้การทำเหมืองข้ามพรมแดนอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบร่วมกัน

ข้อเสนอเสริมระบบดักตะกอนสารพิษ ก่อนปล่อยน้ำสู่แม่น้ำสายหลัก

นอกจากการติดตามตรวจสอบข้อมูล คพ. ยังได้ร่วมวางแผนกับกรมทรัพยากรน้ำ ออกแบบระบบดักตะกอนบริเวณจุดที่ตรวจพบการปนเปื้อน เพื่อนำตะกอนที่มีโลหะหนักออกจากลำน้ำ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนออกแบบและจัดทำระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

จัดตั้ง “AIM” ศูนย์ข้อมูลกลางแห่งแรกของประเทศ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและลดความสับสนจากการเผยแพร่ข้อมูลหลายช่องทาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ได้มีข้อสั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์” หรือ Awareness Information Monitoring (AIM) โดยมอบหมายให้ คพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประปาส่วนภูมิภาค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำประปาหมู่บ้าน และผลิตผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ

แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาวิชาการ 9 ราย สนับสนุนศูนย์อำนวยการส่วนหน้า

ในการประชุมล่าสุดมีมติแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 9 ราย ประกอบด้วยนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาแวดล้อม ได้แก่ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง, นายวิชัย ไชยมงคล, ผศ.ดร.ชิตชล ผลารักษ์, ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ, ดร.ณัฐนนท์ จิรกิจนิมิตร, ดร.สืบสกุล กิจนุกร, อ.ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์, อ.ณิชภัทร์ กิจเจริญ และนายอาทิตย์ ภูบุญคง ซึ่งจะทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานเชิงวิชาการของศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย

จากการตรวจเยี่ยมสู่การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนในการยกระดับระบบเฝ้าระวังและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมาไม่อาจแก้ไขได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง ความร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นหัวใจสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง AIM และการสนับสนุนโดยทีมที่ปรึกษาวิชาการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลที่โปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

อังกฤษพิจารณาจำกัดเวลาโซเชียลเด็ก หวังลดภัยออนไลน์

อังกฤษจ่อบังคับใช้กฎหมายจำกัดเวลาเล่นโซเชียลมีเดียของเด็ก หลังเกิดกรณีสูญเสียจากเนื้อหาทำร้ายจิตใจออนไลน์

ลอนดอน – 8 มิถุนายน 2568 รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการออกกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการใช้งานโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพจิตและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทอย่างสูงต่อพฤติกรรมและการพัฒนาทางอารมณ์ของเด็ก

ตามรายงานของ BBC เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แนวนโยบายล่าสุดซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำร่างข้อเสนอ อาจรวมถึงการกำหนดขีดจำกัดเวลาใช้งานแอปโซเชียลมีเดียไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันต่อแอป และห้ามใช้งานหลังเวลา 22:00 น. ซึ่งถูกเสนอครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์ Sunday People และ The Mirror โดยรัฐบาลอังกฤษมองว่าโซเชียลมีเดียมีลักษณะ “เสพติด” และอาจก่อผลร้ายได้หากไม่มีการควบคุมอย่างเป็นระบบ

รัฐมนตรีเทคโนโลยีอังกฤษย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุม “แอปเสพติด”

นายปีเตอร์ ไคล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์ในรายการ Sunday with Laura Kuenssberg ของ BBC ว่ารัฐบาลอังกฤษกำลังตรวจสอบ “ธรรมชาติของความเสพติดจากแอปและสมาร์ตโฟน” พร้อมยืนยันว่ากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบว่ารัฐบาลควรมีบทบาทอย่างไรในการวางแนวทางสุขภาวะออนไลน์ที่ดีสำหรับเด็ก

แม้แนวนโยบายดังกล่าวจะสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการยกระดับมาตรการคุ้มครองเยาวชน แต่กลับได้รับเสียงวิพากษ์จากกลุ่มผู้รณรงค์ด้านความปลอดภัยออนไลน์ที่มองว่าการดำเนินการยังล่าช้าเกินไป

พ่อเด็กหญิงวัย 14 ผู้เสียชีวิตจากเนื้อหาออนไลน์เรียกร้อง “กฎหมายที่แข็งแรงกว่านี้”

เอียน รัสเซล พ่อของ “มอลลี รัสเซล” เด็กหญิงวัย 14 ปีซึ่งเสียชีวิตหลังรับชมเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนโซเชียลมีเดีย กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทุกวันที่รัฐบาลชะลอการออกกฎหมายด้านความปลอดภัยทางออนไลน์ คือวันที่เราเห็นเด็กเสียชีวิตและบอบช้ำทางจิตใจเพิ่มขึ้น” โดยเขาเน้นว่า มาตรการครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เพียงพอในการจัดการกับผลิตภัณฑ์หรือโมเดลธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับ “การมีส่วนร่วมมากกว่าความปลอดภัย”

นายรัสเซลเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนกฎหมาย Online Safety Act ฉบับก่อนหน้า และระบุว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี “กฎหมายที่เข้มแข็งและบังคับใช้ได้จริง” พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับ “คลื่นอันตราย” ทางออนไลน์ที่ถาโถมเข้าใส่เด็กทั่วประเทศ

รัฐบาลตอบโต้ กฎหมายเดิมยังไม่ประกาศใช้เต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน นายไคล์ยอมรับว่าตนยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของแผนใหม่ได้มากนัก เนื่องจากกฎหมาย Online Safety Act 2023 ที่ออกโดยรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เริ่มบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้แพลตฟอร์มจัดแสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับอายุ และการลบเนื้อหาผิดกฎหมาย

เขาย้ำว่า “ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป แพลตฟอร์มจะต้องจัดหาเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็ก หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางอาญา” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการบังคับใช้ที่ครอบคลุมทั้งผู้ให้บริการและเนื้อหาที่เผยแพร่

เมื่อเสรีภาพทางดิจิทัลต้องสมดุลกับความปลอดภัยของเยาวชน

ในโลกดิจิทัลที่การเชื่อมต่อและการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นอย่างไร้ขอบเขต เสรีภาพทางออนไลน์คือหนึ่งในหลักการพื้นฐานของยุคปัจจุบัน ทว่ากรณีของมอลลี รัสเซล และเด็กอีกหลายพันคนที่ได้รับผลกระทบจากเนื้อหาออนไลน์อันตราย กลับชี้ให้เห็นว่าการปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีดำเนินการโดยไม่มีกรอบควบคุมคือความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสังคมในอนาคต

มาตรการที่กำลังพิจารณาโดยรัฐบาลอังกฤษ แม้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็สะท้อนถึงทิศทางที่ชัดเจนว่ารัฐจะไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของครอบครัวและเด็กที่ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางความซับซ้อนของโลกออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตน้ำกก 7 ชุมชนรวมพลังสู้ภัยพิษ-น้ำท่วม ชี้รัฐไร้คำตอบ

เชียงรายผนึกพลังชุมชน สู้วิกฤต “น้ำกก-น้ำโขง” ปนเปื้อนสารพิษ ขยายเครือข่ายรับมือภัยพิบัติข้ามพรมแดน

ปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนข้ามพรมแดนกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของชุมชนริมฝั่งน้ำกกและแม่น้ำโขง

เชียงราย, 8 มิถุนายน 2568 – เมื่อเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.) และองค์กรภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายรวมตัวเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย หวังต่อยอดการเฝ้าระวังเชิงรุกจากปัญหาน้ำท่วมสู่การรับมือ “น้ำเป็นพิษ” ที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่วิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างเงียบงัน

การรวมตัวของผู้แทนจาก 7 หมู่บ้านสองฝั่งแม่น้ำกก ได้แก่ บ้านร่มไทย, บ้านใหม่หมอกจ๋าม, บ้านผาใต้, บ้านจะคือ, บ้านแคววัวดำ, บ้านผาขวาง และบ้านโป่งนาคำ นับเป็นการรวมพลังท้องถิ่นที่ไม่รอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงฝ่ายเดียว โดยในวงเสวนา มีการเปิดเผยถึงสถานการณ์จริงจากพื้นที่ที่ต้องเผชิญภัยน้ำหลากซ้ำซาก รวมถึงการพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากเหมืองแร่ต้นน้ำฝั่งเมียนมาที่มีมากกว่า 40 แห่งโดยไม่มีข้อมูลเปิดเผย

เสียงจากชุมชน เมื่อแม่น้ำไม่ปลอดภัย ชีวิตต้องสู้เพื่ออยู่กับความจริง

“ตอนนี้เราดื่มน้ำไม่ได้ จับปลามาก็ไม่แน่ใจว่าจะกินได้ไหม ปลูกผักก็ไม่มั่นใจเรื่องดิน” คือคำกล่าวจากชาวบ้านในเวทีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำ แต่กลับถูกบีบให้เผชิญกับสารพิษที่ไร้ชื่อ ผู้คนต้องกลายเป็นแนวหน้ารับผลกระทบโดยไม่มีระบบเตือนภัย ไม่มีข้อมูลจากรัฐที่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีกลไกใดที่สามารถชะลอความเสียหายได้ทันท่วงที

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ เปิดเผยว่า การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำโดยภาคประชาชนพบว่าปริมาณตะกอนและโลหะหนักในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากต้นน้ำในเมียนมาไปจนถึงเชียงของ การเฝ้าระวังจากรัฐยังล่าช้าและไม่มีช่องทางให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ทั้งที่ประชาชนคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน จากวัดท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอย่างมีพลังว่า “เราเป็นลูกแม่น้ำกก เราจะไม่ยอมให้สิ่งแวดล้อมของลูกหลานเราถูกทำลาย แม้เราจะไม่เห็นผลในรุ่นเรา แต่เราจะส่งต่อการต่อสู้ต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากล่างขึ้นบน สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังภัยพิบัติ

ในกิจกรรมครั้งนี้ยังมีการอบรมการวัดระดับน้ำ การตรวจค่าตะกอน และการใช้ไลน์กลุ่มแจ้งเตือนระดับน้ำเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ฉับพลัน โดยมีผู้แทนจากทั้งท้องถิ่น ภิกษุ ผู้นำชุมชน และภาคประชาสังคมเข้าร่วมอย่างเข้มแข็ง นายทาเคโอ โตโยต้า ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการเสริมศักยภาพฯ ได้ถ่ายทอดเทคนิคการเตือนภัยที่ใช้ได้จริงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เครือข่ายสามารถช่วยเหลือกันเองเมื่อเกิดภัยซ้ำ

ชาวบ้านแต่ละพื้นที่ยังได้แชร์ประสบการณ์น้ำท่วมหนักในปี 2567 ทั้งที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า น้ำขึ้นกว่า 20 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง และบางพื้นที่ถึงขั้นสูญเสียผู้คนจากความเศร้าหลังภัยพิบัติ ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการมีระบบเตือนภัยที่แม่นยำและทันท่วงที

รัฐเริ่มขยับ ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในเชียงราย-เชียงใหม่

ในวันเดียวกัน นายนิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” รวม 4 จุด ได้แก่

  • จุดที่ 1: ศูนย์การแพทย์แผนไทย อบต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 2: ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 3: ด่านพรมแดนแม่สาย (แม่น้ำสาย)
  • จุดที่ 4: สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำโขง)

โดยแต่ละจุดจะตรวจสอบคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน และสารปนเปื้อน พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลสาธารณะโปร่งใส พร้อมรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนอย่างเป็นระบบ

เส้นทางต่อสู้ของประชาชนเมื่อรัฐยังช้า

แม้การตั้งศูนย์เฝ้าระวังจะเป็นสัญญาณบวก แต่คำถามสำคัญคือ “ทันหรือไม่?” เพราะชาวบ้านยังต้องใช้น้ำ กินปลา และปลูกผักอยู่ทุกวัน ขณะที่สารพิษอาจแพร่กระจายโดยไร้การเตือน

เวทีในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ แต่คือการส่งสัญญาณเตือนรัฐและสังคมไทยว่า ภัยพิบัติในยุคใหม่ไม่ได้มีเพียงน้ำหลากหรือแผ่นดินไหว แต่รวมถึง “ภัยเงียบ” จากสารพิษที่ไหลมากับสายน้ำ และไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.)
  • กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • สัมภาษณ์ภาคสนามโดยสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
    (เผยแพร่วันที่ 8 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่งน้อยร้อยภาพ เชียงราย Sport Tourism ผสานวัฒนธรรม ดันเศรษฐกิจท้องถิ่น

เชียงรายเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านกิจกรรม “วิ่งน้อย ร้อยภาพ ซึมซาบวิถีชุมชน” สะท้อนพลังการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงราย,8 มิถุนายน 2568 –  จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมวิ่งสร้างสรรค์ “วิ่งน้อย ร้อยภาพ ซึมซาบวิถีชุมชน” ซีซั่น 2 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมควบคู่กับการออกกำลังกาย พร้อมปลุกพลังเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) ถนนสิงหไคล ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย

ภายในงานมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนกว่า 1,200 คนเข้าร่วม กิจกรรมเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่เวลา 05.00 น. และปล่อยตัวนักวิ่งในเวลา 06.30 น. ด้วยเส้นทางระยะทางรวม 7 กิโลเมตร ภายใต้แนวคิด “ชุมชนทัชใจ ตามรอยแลนด์มาร์ค”

เดินวิ่งท่องรอยวัฒนธรรม เชื่อมคนกับชุมชน

เส้นทางการวิ่งถูกออกแบบให้สะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงราย โดยนักวิ่งได้แวะจุดเช็กพอยต์สำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดหลังแรก, ลาน ร.5, วัดงำเมือง, วัดพระธาตุดอยจอมทอง และวัดเจ็ดยอด ก่อนเข้าสู่อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ที่เป็นปลายทางหลักของกิจกรรม

นอกจากจุดหลักทั้ง 5 แห่ง ยังมีสถานที่เช็กอินอื่นที่ถูกบรรจุไว้ในเส้นทาง เช่น วัดพระแก้ว, วัดมิ่งเมือง, หอนาฬิกาเชียงราย, สถานีขนส่งเชียงรายแห่งที่ 1, ตลาดศิริกรณ์, กำแพงเมืองประตูยางเลิ้ง และ Kyoto Shi Café จุดเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดถ่ายภาพสวยงาม แต่ยังเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงเรื่องราวของเมืองกับผู้คนอีกด้วย

การแข่งขันภาพถ่าย สะท้อนอัตลักษณ์ด้วยสายตานักวิ่ง

กิจกรรมไฮไลต์อีกส่วนคือการประกวดภาพถ่ายใน 2 ประเภท ได้แก่ ภาพถ่ายวิถีชุมชน และภาพถ่ายจากกิจกรรมวิ่ง ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 28,000 บาท ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ต่างใช้โอกาสนี้บันทึกภาพประทับใจผ่านเลนส์ กลายเป็นช่องทางใหม่ในการสื่อสารความงดงามของเชียงรายสู่สาธารณชน

วัฒนธรรมพื้นบ้านเติมชีวิตให้งาน

ในพื้นที่กิจกรรมยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงฟ้อนล้านนา ดนตรีสด และการจำลองตลาดชุมชน เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นเมืองอย่างใกล้ชิด และร่วมสนุกกับโซนถ่ายภาพกับชาวบ้านในเครื่องแต่งกายล้านนาแบบดั้งเดิม

มิติใหม่ของ Sport Tourism บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วม

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ที่เน้นความยั่งยืนและความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น โดยใช้กีฬาเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับชุมชน สร้างรายได้กระจายสู่ผู้ประกอบการรายย่อย และส่งเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์

เชียงรายยืนยันศักยภาพเมืองสร้างสรรค์ เดินหน้าสู่เศรษฐกิจฐานราก

“วิ่งน้อย ร้อยภาพ ซึมซาบวิถีชุมชน” ซีซั่น 2 นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่สามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมสุขภาวะประชาชนในเวลาเดียวกัน

จากพลังของการมีส่วนร่วมของชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และนักท่องเที่ยว นี่คือโมเดลของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง แต่สร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • งานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สัมภาษณ์โดยตรงจากผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2568
  • สำรวจภาคสนามโดยทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ช่องบกคลี่คลาย! ทหารกัมพูชากลบหลุม-ถอยกำลัง หวังเจรจา JBC

ทหารเขมรถอยทัพจากช่องบก ไทยเดินหน้ากลไก JBC ลดตึงเครียดชายแดน

สถานการณ์ชายแดนช่องบกคลี่คลาย ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องถอยกำลัง

อุบลราชธานี,8 มิถุนายน 2568 – ที่บริเวณ “ช่องบก” พื้นที่รอยต่อชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ที่ตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเริ่มคลี่คลาย หลังการเจรจาระดับสูงระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังแนวเดิมตามที่เคยตกลงกันไว้ในปี 2567

ย้ำแนวทางสันติวิธี กลบคูเลตคืนสู่สภาพธรรมชาติ

จากการหารือระหว่าง พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลโท สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายกัมพูชาจะถอยกำลังจากบริเวณต้นพญาสัตบรรณกลับไปยังแนวศาลาตรีมุข และดำเนินการกลบ “คูเลต” ที่มีลักษณะเป็นร่องแนวการวางกำลังคืนให้สภาพพื้นที่เดิม

ใช้กลไก TBC สร้างความเข้าใจ ลดความเข้าใจผิด

ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เป็นช่องทางหลักในการพูดคุย เพื่อป้องกันเหตุการณ์เข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าในอนาคต โดยจะมีการพบปะกันของกำลังทหารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ลดการยั่วยุ และเปิดพื้นที่ให้กับแนวทางสันติ

28 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร
8 มิ.ย.68 ทหารฝ่ายกัมพูชา ปิดกลบคูเลต ปรับพื้นที่ อยู่ในสภาพเดิม ทำให้ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่าย ได้ถอยกำลัง กลับไปยังจุดเดิมแล้ว

รัฐบาลย้ำไทยรักสงบ แต่ไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีความพยายามลดความตึงเครียดและหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารไทยที่อดทน อดกลั้น และยึดหลักสันติภาพ โดยกองทัพบกไทยได้ออกลาดตระเวนร่วมกับกัมพูชา ตรวจสอบการถอยทัพและการกลบคูเลตตามที่ตกลงไว้

นายกรัฐมนตรีหญิงโพสต์ย้ำความคืบหน้า สันติภาพคือเป้าหมาย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านสื่อโซเชียลว่ารัฐบาลไทยได้หารือร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาและมีความคืบหน้าในการลดบรรยากาศการเผชิญหน้า โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย ซึ่งจะมีการหารือในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ย้ำมาตรการกดดันต่อในพื้นที่อื่นที่ยังตึงเครียด

แม้สถานการณ์ช่องบกจะคลี่คลายลง แต่ยังมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชายังคงวางกำลังในจุดอื่นตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะเดินหน้ากดดันต่อผ่านการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์และการทูต ทั้งนี้ กองทัพยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมรับมือหากเกิดเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

แนวโน้มการเจรจา JBC ความหวังใหม่ของสันติภาพ

การประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะสามารถยุติความขัดแย้งในจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ และวางแนวทางจัดการเขตแดนร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ความร่วมมือคือคำตอบของอนาคต

การถอยทัพของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เพียงลดความตึงเครียดในพื้นที่พิพาท แต่ยังเป็นสัญญาณบวกถึงการเปิดใจพูดคุยของทั้งสองประเทศ เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตยและสันติภาพระหว่างกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบกไทย (Army PR Department)
  • กระทรวงกลาโหม
  • สำนักงานคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC)
  • โพสต์ทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
  • รายงานข่าวจากกองกำลังสุรนารี วันที่ 8 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีนคุมแร่หายากเขย่าโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือด่วน

วิกฤตแร่หายากเขย่าอุตสาหกรรมโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือ หวั่นกระทบทั้งรถยนต์-พลังงานสะอาด

ประเทศไทย, 8 มิถุนายน 2568 –ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ขาดแคลนแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) กำลังทวีความรุนแรงในระดับโลก จากการที่ประเทศจีนในฐานะผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างเข้มข้นในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นมาตรการตอบโต้ต่อสงครามภาษีที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้กับสินค้าจีน

ส่งผลให้หลายภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแร่หายากอย่างสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด และอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

ยุโรปเผชิญปัญหาชะงักซัพพลายเชน

จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยุโรป (CLEPA) พบว่าหลายโรงงานในเยอรมนีและยุโรปต้องหยุดสายการผลิต เนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตส่งออกแร่จากจีนเพียงพอ แม้จะมีการยื่นคำขอมากกว่า 200 ฉบับ แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 25% เท่านั้น

ฮิลเดการ์ด มุลเลอร์ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (VDA) เตือนว่าข้อจำกัดของจีนอาจส่งผลให้การผลิตในยุโรปหยุดชะงัก และเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมันและสหภาพยุโรปเจรจากับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้รับมือด้วยยุทธศาสตร์เชิงรุก

นิสสันออกมายอมรับว่ากำลังหาทางลดผลกระทบจากจีนร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะซูซูกิระงับการผลิตรถรุ่น Swift ชั่วคราว ส่วนเกาหลีใต้เร่งลงทุนในการพัฒนาแหล่งแร่ภายในประเทศและพิจารณาจัดตั้งกลไกนำเข้าแบบร่วมมือกับชาติพันธมิตร

ไทยในฐานะฐานการผลิตโลกต้องเร่งปรับตัว

แม้ไทยมีปริมาณแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันเท่านั้น (จากข้อมูล USGS ปี 2024) ซึ่งน้อยกว่าจีนที่มีถึง 44 ล้านตัน แต่การที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ EV ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอย่างสูง โดยเฉพาะจากจีนซึ่งครองส่วนแบ่ง 60% ของการผลิตแร่หายากและ 85% ของการแปรรูปทั่วโลก

การจำกัดการส่งออกของจีนอาจทำให้ไทยเผชิญปัญหาชะงักของซัพพลายเชนในอนาคตอันใกล้

อาเซียนมีศักยภาพแต่อยู่ในวงจรต้นน้ำ

เวียดนามและมาเลเซียมีปริมาณแร่สำรองที่สูง แต่ยังขาดศักยภาพการแปรรูป แม้มาเลเซียจะมีโรงแยกแร่ของ Lynas ซึ่งรับวัตถุดิบจากออสเตรเลีย แต่ก็ผลิตได้เพียง 12-15% ของตลาดโลก ขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียนรวมถึงไทยยังไม่มีความสามารถด้านการแปรรูปขั้นกลางและปลายน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ไทยควรเดินหน้า

  1. ผลักดันการลงทุนใน upstream-midstream เช่น การสกัดและแปรรูปเบื้องต้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
  2. พัฒนา REE recycling technology เพื่อให้สามารถหมุนเวียนแร่หายากจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน+3 หรือกรอบความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อร่วมกันจัดหาและสำรองแร่หายากอย่างยั่งยืน
  4. เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทดแทน เช่น วัสดุแม่เหล็กชนิดใหม่ที่ไม่ต้องใช้ REE ซึ่ง Mercedes-Benz และ Toyota เริ่มดำเนินการแล้ว

ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคง

ด้วยแร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อระบบพลังงานสะอาด อาวุธยุทโธปกรณ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล การผูกขาดของจีนจึงกลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลก การที่ประเทศผู้ผลิตอย่างไทยยังไม่พร้อมในห่วงโซ่ REE ทั้งระบบ อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้

สรุป

ประเทศไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค จำเป็นต้องเร่งวางแผนรองรับวิกฤตแร่หายากอย่างเป็นระบบ โดยไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณการสำรอง แต่ต้องยกระดับขีดความสามารถตลอดสายโซ่คุณค่า (value chain) เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • US Geological Survey, Mineral Commodity Summaries 2024
  • CLEPA (European Association of Automotive Suppliers)
  • VDA (German Association of the Automotive Industry)
  • ISEAS – Yusof Ishak Institute
  • Reuters, CNBC, Asia Financial
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

งบ 29 ล้าน! สร้างที่ว่าการอำเภอเชียงของ ชาวบ้านจี้เปลี่ยนจุดก่อสร้าง

ประชาชนเชียงของลุกคัดค้านสร้างที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่กลาง “ข่วงเมือง” – ชี้ละเมิดภูมิทัศน์วัฒนธรรม เสี่ยงเสียสมดุลเชิงพื้นที่ระยะยาว

เชียงราย, 7 มิถุนายน 2568 – การก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอเชียงของแห่งใหม่ มูลค่างบประมาณกว่า 29 ล้านบาท กลายเป็นประเด็นร้อนในพื้นที่อำเภอชายแดนริมโขงอย่างเชียงของ เมื่อภาคประชาชนลุกขึ้นคัดค้าน “จุดที่ตั้ง” ที่หน่วยงานภาครัฐเลือกใช้พื้นที่ “ข่วงวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นพื้นที่จัดพิธีกรรมราชพิธีสำคัญในอดีต พร้อมเตรียมยื่นหนังสือและรายชื่อประชาชนเสนอขอย้ายจุดก่อสร้างโดยชี้ว่า “ยังไม่สายเกินแก้”

จุดเริ่มต้นของโครงการ – งบก่อสร้าง 29 ล้านบาท และความตั้งใจสร้างศูนย์กลางราชการ

โครงการก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอเชียงของหลังใหม่ ได้รับงบประมาณจากภาครัฐ จำนวน 29,087,000 บาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารสูง 3 ชั้น ตามแบบแปลนของกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เป็นศูนย์กลางงานบริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการขยายตัวของเมืองและเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงของประชาชน

ที่ตั้งที่ได้รับการอนุมัติให้ก่อสร้างคือ จุดที่ 5” บริเวณ “ข่วงวัฒนธรรม” ซึ่งตั้งอยู่หลังป้ายที่ว่าการอำเภอ ติดกับถนนสายหลัก โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เข้าออกสะดวก และสามารถรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ได้ในอนาคต

เสียงสะท้อนจากประชาชน – “ทำลายข่วงเมือง คือทำลายสมดุลวัฒนธรรม”

อย่างไรก็ตาม การเลือกจุดที่ 5 เป็นสถานที่ก่อสร้าง กลับจุดกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชาวเชียงของทันที โดยมีการจัดเวทีภาคประชาสังคม เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ ภายใต้หัวข้อ “คัดค้านตำแหน่งการจัดวางจุดก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอเชียงของ” โดยมีผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิ และองค์กรท้องถิ่นเข้าร่วม

ที่ประชุมมีมติไม่เห็นด้วยกับการเลือกใช้พื้นที่ข่วงวัฒนธรรม โดยให้เหตุผลหลัก 3 ประการ ได้แก่

  1. ข่วงวัฒนธรรมเป็นพื้นที่ประกอบราชพิธี รัฐพิธี และกิจกรรมชุมชนระดับสำคัญ ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงของมาตลอดหลายทศวรรษ
  2. การก่อสร้างอาคารราชการในพื้นที่ดังกล่าวเสี่ยงบดบังภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม ทำลายสมดุลเชิงกายภาพ และกระทบต่อการจัดกิจกรรมสาธารณะของชุมชนในอนาคต
  3. มีพื้นที่อื่นที่เหมาะสมกว่า ได้แก่ “จุด B” ซึ่งเป็นเวทีเดิมของข่วงวัฒนธรรม สามารถปรับใช้โดยไม่กระทบแกนวัฒนธรรมเดิม

นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทำแบบฟอร์มลงชื่อคัดค้าน ทั้งแบบออนไลน์ผ่าน Google Form และเอกสารลงชื่อที่รวบรวม ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ พร้อมเปิดให้ประชาชนส่งรายชื่อภายในวันที่ 8 มิถุนายน ก่อนเวลา 15.00 น.

ความเร่งรีบที่ประชาชนมองว่า “สวนทางการมีส่วนร่วม”

ประชาชนจำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า การเร่งรัดปิดพื้นที่ข่วงวัฒนธรรมเพื่อเตรียมก่อสร้างอาคาร โดยไม่รอผลการรับฟังความคิดเห็นหรือจัดประชุมสาธารณะอย่างเปิดเผยนั้น เป็นการละเมิดหลักธรรมาภิบาลด้านการมีส่วนร่วมของชุมชน ทั้งที่ “ข่วงเมือง” เป็นสมบัติร่วมทางสังคม ไม่ใช่เพียงพื้นที่ราชการ

การตัดสินใจที่ไม่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม อาจไม่เพียงสร้างความขัดแย้งในระยะสั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การตั้งคำถามในระยะยาวว่า เมืองชายแดนที่กำลังเติบโตเชิงเศรษฐกิจควรเติบโต “บนฐานวัฒนธรรมที่มั่นคง” หรือ “บนผลประโยชน์เชิงโครงสร้างที่เร่งด่วน”

ข่วงวัฒนธรรมไม่ใช่แค่พื้นที่ว่าง แต่คือหัวใจของเมือง

เชียงของไม่ใช่แค่ “เมืองผ่าน” ระหว่างการค้าไทย-ลาว แต่คือ “เมืองชุมชนวัฒนธรรม” ที่ยังคงมีรากของการใช้พื้นที่ร่วมอย่างข่วงเมืองในพิธีผูกแขน ส่งเคราะห์ ไปจนถึงพิธีงานหลวง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ความเป็นอัตลักษณ์ของเชียงของที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยโครงสร้างคอนกรีต

ข้อถกเถียงครั้งนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในระดับการวางผังอาคาร แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า การพัฒนาเมืองที่ละเลยมิติทางวัฒนธรรม อาจย้อนกลับมากระทบต่อจิตวิญญาณของชุมชนในอนาคตอย่างยากเกินประเมิน

เมื่ออาคารราชการอาจขัดแย้งกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน

แม้การสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอหลังใหม่จะเป็นภารกิจที่มีเหตุผลรองรับทั้งด้านบริหารจัดการราชการและความสะดวกของประชาชน แต่ตำแหน่งที่ตั้งอาจมีความสำคัญมากกว่าตัวอาคารเสียอีก หากละเลยบริบทเดิมของพื้นที่นั้น

เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนเชียงของจึงไม่ใช่แค่คำว่า “ไม่เอา” แต่คือคำถามว่า “ทำไมไม่คิดให้รอบด้าน” และเมื่อโครงการยังไม่เริ่มก่อสร้าง จึงยังมีโอกาสในการปรับแก้ให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างภาครัฐและประชาชนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประชุมภาคประชาสังคม “คัดค้านตำแหน่งก่อสร้างอาคารที่ว่าการอำเภอเชียงของ” วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ
  • เพจ Chiang Khong TV (https://www.facebook.com/chiangkhongtv)
  • แบบแปลนและแผนผังการก่อสร้างของกรมโยธาธิการและผังเมือง
  • ข้อมูลชุมชนท้องถิ่นจากสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ
  • สัมภาษณ์ผู้นำชุมชนและผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่อำเภอเชียงของ
  • ประกาศเปิดลงชื่อคัดค้านออนไลน์: https://forms.gle/hiTiFYSAH8y3mPXp7
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เรือนจำเชียงรายเร่งแก้น้ำปนเปื้อนโลหะหนัก ยันนักโทษปลอดภัย

เรือนจำกลางเชียงรายเร่งจัดการน้ำปนเปื้อนโลหะหนัก – ย้ำ “ไม่มีผู้ต้องขังป่วย” พร้อมขอขยายเขตประปาเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ

เชียงราย, 7 มิถุนายน 2568 – กรณีที่สื่อมวลชนรายงานว่า “นักโทษ 4,000 คนเสี่ยงมะเร็ง เหตุน้ำกกปนเปื้อนโลหะหนัก” พร้อมกล่าวถึงการที่เรือนจำนำแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกมาใช้ผลิตน้ำดื่มภายในนั้น ล่าสุดผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงรายยืนยันว่า ได้เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบตั้งแต่ได้รับรายงานการตรวจสอบน้ำเมื่อเดือนเมษายน และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่รายใดมีอาการป่วยจากเหตุดังกล่าว

จุดเริ่มต้นของความเข้าใจคลาดเคลื่อน

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวท้องถิ่นกับนายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับการใช้น้ำจากแม่น้ำกกซึ่งอาจมีสารปนเปื้อน โดยเรือนจำได้เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย ที่พบว่าตัวอย่างน้ำจากระบบประปาผิวดิน และน้ำบาดาล มีสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐานของกรมอนามัย (0.01 มก./ล.) เล็กน้อย แต่ยังไม่เกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข (0.05 มก./ล.)

นอกจากนี้ ไม่พบสารหนูหรือแคดเมียมในระดับอันตราย ซึ่งสะท้อนว่าปัญหาดังกล่าวอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ หากมีมาตรการจัดการที่เหมาะสม

แผน 3 ระยะในการจัดการ – ป้องกันซ้ำซ้อนด้วยระบบกรอง RO

เรือนจำกลางเชียงรายได้วางแผนจัดการใน 3 ระยะดังนี้:

  1. ระยะสั้น – ปรับปรุงระบบกรองน้ำทันที เช่น การเปลี่ยนสารกรองแมงกานีสแซนด์ คาร์บอน และเรซิ่น รวมถึงเติมสารตกตะกอนก่อนผลิตน้ำประปาจากแม่น้ำกก
  2. ระยะกลาง – แยกระบบน้ำบาดาลและผิวน้ำออกจากกัน พร้อมเปลี่ยนฝาปิดบ่อพักน้ำบาดาลจากเหล็กเป็นไม้เพื่อลดการปนเปื้อน และขอคำแนะนำจาก 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาคเขต 9, ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  3. ระยะยาว – ขอขยายเขตบริการน้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคให้ครอบคลุมพื้นที่เรือนจำ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่นอกเขตบริการ โดยหากสามารถดำเนินการได้ จะเป็นประโยชน์กับชุมชนโดยรอบในตำบลดอยฮางอีกด้วย

ดำเนินการเร่งด่วน ติดตั้งแท็งก์น้ำ ขอซื้อน้ำสะอาด

เพื่อรองรับการบริโภคน้ำในช่วงรอระบบกรอง RO เรือนจำฯ ได้ติดตั้งแท้งค์น้ำขนาดต่าง ๆ ครอบคลุมทุกแดน เช่น

  • แท้งค์ 2,000 ลิตร – แดน 2, 3, 10
  • แท้งค์ 1,000 ลิตร – แดน 1, 2, 4, 5
  • แท้งค์ 500 ลิตร – แดน 6

พร้อมประสานการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย ซื้อน้ำสะอาดประมาณ 6,000-8,000 ลิตรต่อวันสำหรับดื่ม และอีก 2,000 ลิตรต่อวันสำหรับประกอบอาหาร โดยขอการสนับสนุนรถขนน้ำจากหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อขนส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่เรือนจำ

ยืนยันไม่มีผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่มีอาการเจ็บป่วย

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงรายย้ำว่า “ยังไม่พบผู้ต้องขังหรือเจ้าหน้าที่คนใดมีอาการผิดปกติจากสารปนเปื้อน” พร้อมระบุว่าได้มีการสุ่มตรวจเลือดและเฝ้าระวังอาการเป็นระยะโดยร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด

ทั้งนี้ ยังประสานการจัดซื้อระบบ RO ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งได้ภายในเดือนนี้ ขณะเดียวกันยังคงติดตามแผนขยายเขตบริการประปาจาก กปภ. ซึ่งอยู่ระหว่างรอรอบปีงบประมาณ หากมีงบประมาณพร้อม เรือนจำสามารถเร่งรัดการประกวดราคาและดำเนินการได้ภายใน 6 เดือน

มุมมองจากรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย – ต้องบูรณาการสื่อสารเพื่อคลี่คลายความสับสน

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีข่าวสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกว่า หน่วยงานหลายแห่งยังขาดเอกภาพในการสื่อสาร ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน โดยเฉพาะเกษตรกรริมแม่น้ำที่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถใช้น้ำได้หรือไม่

รัฐมนตรีช่วยฯ ย้ำว่า วันที่ 9 มิถุนายนนี้จะมีการประชุมติดตามร่วมกับคณะกรรมการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ที่มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อรวมข้อมูลทั้งหมดอย่างเป็นระบบ พร้อมวางแนวทางสื่อสารให้ประชาชนรับรู้ตามข้อเท็จจริงในแต่ละพื้นที่

เรือนจำกลางเชียงรายคือตัวแทนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างของรัฐไทย

เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ตั้งแต่การเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น น้ำประปา ไปจนถึงการบริหารจัดการภายใต้ภาวะวิกฤตในสถานที่ปิดล้อมอย่างเรือนจำ ซึ่งมีผู้ต้องขังนับพันคนที่ไม่มีสิทธิเลือกแหล่งน้ำเอง

แม้สารตะกั่วที่พบจะยังไม่เกินค่ามาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็เกินค่าที่กรมอนามัยแนะนำ และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เร่งจัดการ ก็อาจสะสมในร่างกายและส่งผลในระยะยาวได้

เรือนจำกลางเชียงรายจึงเปรียบเสมือนภาพย่อส่วนของสังคมที่ยังต้องการความเท่าเทียมด้านสุขภาพ น้ำสะอาด และการสื่อสารที่โปร่งใส และหากปัญหาได้รับการแก้ไขสำเร็จ ไม่เพียงแต่ผู้ต้องขังเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ แต่ยังรวมถึงประชาชนรอบพื้นที่เรือนจำอีกจำนวนมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย
  • กรมราชทัณฑ์
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • การประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) วันที่ 6-7 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยจำใจคุมชายแดน กัมพูชาเสริมกำลัง หลังเหตุปะทะช่องบก

กระทรวงการต่างประเทศแถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะช่องบก ยืนยันใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมเปิดกลไกเจรจาทวิภาคี

ประเทศไทย, 7 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณชน โดยย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาอธิปไตย ควบคู่กับการแสวงหาทางออกอย่างสันติ และยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีเจรจาแบบทวิภาคี

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนภาคตะวันออก

เหตุปะทะชายแดนและจุดยืนไทยในการป้องกันประเทศ

นายนิกรเดช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เป็นผลจากการที่ฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวทางปฏิบัติสากล ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างอดทนอดกลั้น และพยายามหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยการสื่อสารและเจรจาทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดสถานการณ์ให้อยู่เฉพาะบริเวณจุดปะทะเท่านั้น โดยมีกระบวนการหารือผ่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองฝ่าย

“แม้ฝ่ายไทยจะใช้ความอดทนและเน้นการเจรจาเป็นหลัก แต่การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา กลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์สันติภาพ” นายนิกรเดช กล่าว

กัมพูชาปฏิเสธแนวทางลดความตึงเครียด ขัดข้อตกลง MOU 2543

ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการประชุมหารือระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการปรับลดกำลังทหารกลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าทางทหาร และลดผลกระทบต่อประชาชนบริเวณชายแดน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยทันที และยังคงเสริมกำลังทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปฏิเสธการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่วางแนวทางไว้สำหรับการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมองว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดเจตจำนงร่วมในการยุติความขัดแย้ง

ไทยตอบสนองด้วยมาตรการควบคุมชายแดนแบบขั้นตอน

ภายใต้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะขยายตัว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง โดยมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรีและตราด กำหนดแนวทางควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตามความเหมาะสมและสภาพการณ์

พล.ต.วินธัย สุวารี ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา จากนั้นจะมีการควบคุมช่วงเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และอาจดำเนินมาตรการ “Selective Closure” หรือการปิดบางจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับวิกฤต อาจมีการปิดแนวชายแดนทั้งหมดในระยะสั้น

“แม้จะมีคำสั่งให้ควบคุมชายแดน แต่กองทัพยังคงประสานงานกับทุกหน่วยเพื่อไม่ให้กระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนโดยไม่จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

กระทรวงกลาโหมยืนยันยังยึดสันติวิธี รัฐบาลไทยพร้อมเปิดเวทีเจรจา

พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และยืนยันว่าฝ่ายไทยยังไม่ปิดโอกาสการเจรจา โดยยังคงยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าการดำเนินการของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน โดยจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้มาตรการควบคุมกระทบต่อการค้า วิถีชีวิต หรือความสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดน

สรุปสถานการณ์

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนตะวันออก แม้จะมีร่องรอยความรุนแรงจากเหตุปะทะ แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางที่รอบคอบบนพื้นฐานของสันติวิธี มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย ควบคู่ไปกับความพยายามลดผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน อนาคตของเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา และประสิทธิภาพของกลไกเจรจาทางการทูตที่ทั้งสองประเทศได้วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย, แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 7 มิถุนายน 2568
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
  • กองทัพบกไทย
  • สำนักข่าวความมั่นคงชายแดนภาคตะวันออก
  • บันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 ไทย-กัมพูชา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News