Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายชู Soft Power อาหาร! ดัน ‘แกงแค-ข้าวแรมฟืน’ สู่เวทีโลก

เชียงรายเดินหน้าคัดเลือกเมนูอาหารถิ่น สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เวที “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ต่อยอดสู่มรดกทางวัฒนธรรมไทย

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและค่านิยมการบริโภคอาหารมีแนวโน้มถูกกลืนไปกับกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่ จังหวัดเชียงรายจึงได้เดินหน้านโยบายสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมอาหารถิ่นดั้งเดิม ด้วยการจัดประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นประจำจังหวัด ณ ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดเมนูแห่งเอกลักษณ์เข้าสู่เวทีประกวด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2568

เวทีแห่งความร่วมมือขับเคลื่อนวัฒนธรรม

การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายชุมชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความตื่นตัวในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาอาหารท้องถิ่นให้อยู่คู่สังคมไทย

โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ภายใต้แนวคิด Thailand Best Local Food มุ่งเน้นการอนุรักษ์ ยกระดับ และสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของอาหารถิ่น พร้อมนำเสนอวิถีการกินแบบดั้งเดิมที่มีรากฐานจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่น

5 เมนูชูอัตลักษณ์ ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ที่ประชุมมีมติร่วมกันคัดเลือก 5 เมนูเด่นของเชียงราย แบ่งเป็นอาหารคาว อาหารว่าง และอาหารหวาน โดยทุกเมนูผ่านเกณฑ์ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกำหนดและสะท้อนเอกลักษณ์ของชาวเชียงราย ได้แก่

  • อาหารคาว: “แกงแคไก่เมือง” อาหารพื้นบ้านทรงคุณค่าทางสมุนไพร, “น้ำพริกถั่วเน่า” เมนูเด็ดแห่งแดนเหนือ และ “ผัดรากชูหมู” อาหารพื้นถิ่นที่หากินยาก
  • อาหารว่าง: “ข้าวแรมฟืน” เมนูสุดสร้างสรรค์จากถั่วลันเตา
  • อาหารหวาน: “ขนมปาด” ขนมโบราณที่กำลังจะเลือนหาย

การคัดเลือกเมนูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์สูตรอาหารดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยการเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ส่งเสริมสมุนไพรในชุมชน และสนับสนุนการพัฒนาสินค้าชุมชนในรูปแบบอาหารสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

“The Lost Taste” เวทีพลิกฟื้นมรดกอาหารถิ่นสู่สากล

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ปี 2568 นี้ ดำเนินการโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อคัดเลือกเมนูอาหารถิ่นจากแต่ละจังหวัด เหลือเพียง 3 เมนูเด่นระดับชาติ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมโหวตเมนูที่โดดเด่นที่สุดผ่านระบบออนไลน์ เพื่อปลุกกระแสตระหนักรู้และส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กับอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย

การสืบสานที่มีชีวิต – จากรุ่นสู่รุ่น

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่เพียงเน้นการประกวด หากยังเป็นการสืบทอดค่านิยมการบริโภคอาหารไทยที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม ปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของรากเหง้าท้องถิ่น โดยเฉพาะในยุคที่อิทธิพลจากต่างชาติเข้ามามีบทบาท การผลักดันให้เมนูอาหารถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จัก ถือเป็นทั้งภารกิจเชิงวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

ก้าวต่อไปสู่เวทีระดับประเทศ

สำหรับ 5 เมนูของเชียงรายที่ผ่านการคัดเลือกในวันนี้ จะถูกนำเสนอให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อคัดเลือกในระดับประเทศต่อไป ให้เหลือเพียง 3 เมนูเท่านั้น ซึ่งการโหวตจะเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมลงคะแนนเลือกเมนูที่ชื่นชอบผ่านระบบออนไลน์ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์อาหารถิ่นอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • ข่าวสารราชการ กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ รมช.คลัง มอบที่ดินทำกิน-ที่อยู่ ลดเหลื่อมล้ำแม่สาย

รมช.คลังมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” แก่ชาวแม่สาย หนุนความมั่นคงที่ดิน ลดเหลื่อมล้ำ สู่เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – นับเป็นอีกก้าวสำคัญของนโยบายด้านที่ดินเพื่อประชาชน เมื่อกระทรวงการคลัง โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชร.1154 ให้กับประชาชนตามโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน และขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนฐานราก

พิธีมอบสัญญาเช่า สู่ชีวิตใหม่ของ 200 ครอบครัวแม่สาย

บรรยากาศที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สายในวันนี้อบอวลด้วยรอยยิ้มและความปลื้มปีติของประชาชน 196 รายที่ได้รับสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุอย่างเป็นทางการ อีก 4 รายได้รับการอนุมัติเพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 200 ราย รวมพื้นที่ประมาณ 31 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา การส่งมอบสัญญาเช่าในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างหลักประกันด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้านแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของรัฐในการจัดการทรัพยากรเพื่อสาธารณะอย่างเป็นธรรม

โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นเกียรติ ร่วมแสดงความยินดีกับประชาชนผู้รับสัญญาเช่า

จากนโยบายสู่ความเปลี่ยนแปลงจริง

โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ปัญหาการถือครองที่ดินราชพัสดุในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่มาก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 โดยการให้สิทธิ์เช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในอัตราที่เหมาะสม ลดความกังวลเรื่องที่ดินไร้สถานะและปัญหาข้อพิพาท ช่วยสร้างความมั่นคงและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้ขับเคลื่อนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนฐานรากมีความมั่นใจในชีวิตและอนาคต สามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต

รมช.คลัง ชู “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สร้างสังคมแห่งความเสมอภาค

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เน้นย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลและกระทรวงการคลังในการสร้างความมั่นคงด้านที่ดิน พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ผลักดันและสนับสนุนโครงการจนเกิดผลสำเร็จ ยืนยันว่าจะบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านที่อยู่อาศัย โอกาสทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม

ตรวจติดตามแผนป้องกันอุทกภัย เสริมความปลอดภัยระยะยาว

ในโอกาสเดียวกัน คณะรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ยังได้ลงพื้นที่สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างคันกั้นน้ำในแผนป้องกันอุทกภัยของอำเภอแม่สาย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิตในพื้นที่ชายแดน

สู่สังคมที่มั่นคงและยั่งยืน

การมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุในวันนี้ จึงเป็นทั้งสัญลักษณ์และกลไกขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของประชาชนแม่สาย นำไปสู่ความมั่นคงด้านที่ดิน การอยู่อาศัยที่ปลอดภัย การทำกินที่ยั่งยืน และการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสมอภาคในสังคมไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

จับตา อบจ.-เทศบาล ACT ชี้ ‘งานผู้ใหญ่’ ช่องทางโกง ทำรัฐเสียหาย

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เตือนจับตา “อบจ.-เทศบาล” ทั่วประเทศ หวั่นซ้ำรอยโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ เผยช่องทางคอร์รัปชันดูดงบฯ สาธารณะ หลังเงินเลือกตั้งสะพัด 2-4 หมื่นล้าน

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศทั้งอบจ.และเทศบาล กว่า 2,500 แห่ง กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคผู้บริหารท้องถิ่นชุดใหม่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนและสังคมร่วมกันจับตาการใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หลังจากมีผลวิจัยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ว่า จะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 20,000–40,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินมหาศาลนี้มักจะกลายเป็นต้นทุนทางการเมืองที่กลุ่มอิทธิพลพยายามถอนทุนคืนผ่านกลไกของโครงการสาธารณะหลากหลายประเภท

จุดเสี่ยงโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ–เงินภาษีสูญเปล่า

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาโครงการรัฐที่ “ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” เป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมคอร์รัปชันและความไร้ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณในประเทศ ที่พบเห็นได้ตั้งแต่ศูนย์โอทอป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงน้ำดื่มประชารัฐ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงสนามกีฬา ฯลฯ เหล่านี้ต่างใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นทุนสร้าง หากแต่ท้ายที่สุดกลับต้องกลายเป็นอนุสรณ์ของความล้มเหลวหรือช่องทางทุจริตซ้ำซาก

ขณะที่ผลวิจัยชี้ว่า งบประมาณที่สูญเปล่าจากโครงการเหล่านี้รวมกันอาจสูงนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ภาครัฐก็ยังไม่สามารถระบุจำนวนโครงการที่ถูกทิ้งร้างได้อย่างชัดเจน เพราะขาดระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญอีกประการ คือ การเมืองท้องถิ่นที่ถูกอิทธิพลของกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ครอบงำ ทั้งจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้า และผู้รับเหมาที่ร่วมวางแผนจัดซื้อจัดจ้าง และจ่ายเงินทอนอย่างเป็นระบบ

รูปแบบทุจริต“โครงการเพื่อใคร–ใครได้ประโยชน์”

การสร้างโครงการรัฐในท้องถิ่นส่วนใหญ่ มักใช้วิธีการ copy-paste หรือ “ก๊อบโครงการ” จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีการศึกษาความต้องการที่แท้จริง เช่น ระบบประปา เตาเผาขยะ โรงไฟฟ้า สนามกีฬา หรือแม้แต่ศูนย์เรียนรู้ ฯลฯ หลายกรณีเป็นผลจากแรงกดดันจากส่วนกลาง หรือการวางแผนของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำหนดผู้รับเหมาและขบวนการเงินทอนเรียบร้อยตั้งแต่ต้นทาง ทำให้มักเกิดการลดสเปก ตัดเนื้องานหรือหากขบวนการผิดพลาด ผู้รับเหมาขาดทุนจนต้องทิ้งงานไว้กลางทาง

อีกส่วนหนึ่งของโครงการที่เป็น “งานของผู้ใหญ่” หรือโครงการขนาดใหญ่ในระดับจังหวัด มักถูกล็อกสเปกหรือเขียน TOR ให้เฉพาะเจาะจง เช่น กรณีอควาเรียมหอยสังข์ที่สงขลา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในป่าสงวน โครงการสนามฟุตซอล 37 แห่ง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ใช้งบประมาณมหาศาลและเมื่อเกิดปัญหาก็ยากจะหาผู้รับผิดชอบ

ความมักง่าย+ผลประโยชน์ทับซ้อน

นอกจากทุจริตโดยตรงแล้ว ความมักง่ายและขาดการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญ หลายโครงการเกิดขึ้นโดยไม่ถามความต้องการของชุมชน ไม่ศึกษาความเป็นไปได้ หรือเลือกที่ดินที่ห่างไกลชุมชน พอสร้างเสร็จก็กลายเป็นภาระในการบริหารจัดการต่อ หรือต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมเพิ่มเติม จนกลายเป็น “ภาระงบฯ บานปลาย” ไปในที่สุด ขณะที่โครงการบางประเภท เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการถูกยุบ เช่น สิ่งปลูกสร้างรองรับสถานการณ์โควิด ก็กลายเป็นอาคารร้างใช้ประโยชน์เพียงครั้งเดียว

ศรัทธาประชาชนและทรัพยากรประเทศถูกทำลาย

แม้จะมีการร้องเรียนและตรวจสอบโดย สตง. หรือ ป.ป.ช. บ้าง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ หรือกระบวนการตรวจสอบที่ยาวนาน ขณะที่ผลวิจัยระบุว่าคนใน อปท. กว่า 21% ยอมรับว่าเคยพบเห็นการทุจริตในองค์กร แต่มีเพียง 4% ที่กล้าร้องเรียน ปัญหาเหล่านี้ตอกย้ำภาพว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนงบประมาณ แต่กลับสูญเสียโอกาสพัฒนาจากคอร์รัปชันและการบริหารจัดการที่ล้มเหลว

ทางออกร่วมตรวจสอบ–เพิ่มกลไกภาคประชาชน

ล่าสุด สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณและโครงการรัฐผ่าน Government Innovation Lab และกลไกคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสและกระตุ้นภาคประชาชนให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล ตั้งแต่การเริ่มโครงการจนสิ้นสุด

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็น “หูเป็นตา” ติดตาม ตรวจสอบ และรายงานข้อสงสัยในทุกขั้นตอนของโครงการท้องถิ่น เพื่อให้เงินภาษีของประชาชนถูกใช้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดการเกิด “โครงการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” ที่บั่นทอนศรัทธาและความมั่นคงของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดแผนแม่บ้าน ทบ. มทบ.37 เพิ่มช่องทางขาย เสริมรายได้ครอบครัว

สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ขับเคลื่อนพลังสตรี จัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2568 พร้อมส่งเสริมศักยภาพเศรษฐกิจครอบครัวกำลังพล

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 –  ห้องประชุมพญามังราย กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มิถุนายน 2568 พันโทหญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ได้เป็นประธานจัดการประชุมใหญ่สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ครั้งที่ 1/2568 โดยมีสมาชิกสมาคมแม่บ้าน ทบ. จากหลากหลายหน่วยเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เป้าหมายสำคัญของการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อแนะนำตัวสมาชิกใหม่และกระชับความสัมพันธ์ในกลุ่มเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเวทีสื่อสารแนวนโยบายและทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับพันธกิจของสมาคมแม่บ้านกองทัพบกส่วนกลาง สะท้อนบทบาทของสตรีในฐานะกำลังเสริมสำคัญของกองทัพและครอบครัว

ขับเคลื่อนงานแม่บ้านตามนโยบาย เสริมสร้างความสามัคคีในกลุ่ม

พันโทหญิง เยาวเรศ ชูก้าน ได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 จะดำเนินภารกิจโดยยึดหลักความร่วมมือและความสามัคคีระหว่างสมาชิก เน้นการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับนโยบายจากสมาคมแม่บ้าน ทบ. ส่วนกลาง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับกำลังพลและครอบครัว รวมถึงขยายผลไปสู่ชุมชนโดยรอบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับบทบาทของแม่บ้านในฐานะ “กำลังใจ” และ “ที่ปรึกษา” ในชีวิตครอบครัวทหาร

เสริมสร้างศักยภาพอาชีพ สร้างรายได้มั่นคง ลดรายจ่ายครัวเรือน

หลังการประชุม สมาชิกสมาคมแม่บ้านฯ ได้ร่วมกันเยี่ยมชมมุมกาแฟและโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และอาชีพเสริม “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ให้กับครอบครัวกำลังพล โดยมีการนำสินค้าหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานหัตถกรรม อาหารแปรรูป และสินค้าแฟชั่น ซึ่งเกิดจากฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของสมาชิกแม่บ้านมาจัดแสดง

พันโทหญิง เยาวเรศ ได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์กับสมาชิกในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดยุคใหม่ ด้วยการใช้ช่องทางออนไลน์และสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ออฟฟิเชียล หรือแม้แต่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น พร้อมสนับสนุนให้มีการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย ตอบโจทย์ตลาด เพื่อเพิ่มมูลค่าและยอดขายให้กับครอบครัวกำลังพล

สร้างเครือข่ายแม่บ้าน เข้มแข็งและยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้นอกจากจะเน้นด้านเศรษฐกิจครัวเรือนแล้ว ยังเป็นเวทีเสริมสร้างเครือข่ายระหว่างสมาชิกแม่บ้านจากหน่วยต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุนซึ่งกันและกัน และขับเคลื่อนกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ ช่วยเติมเต็มคุณภาพชีวิตของครอบครัวทหาร พร้อมเปิดกว้างในการรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อนำไปพัฒนาการดำเนินงานต่อไป

พลังสตรีกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 สะท้อนความสำคัญของสตรีในการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านกิจกรรมเสริมรายได้ และสร้างความแข็งแกร่งของครอบครัวกำลังพล การสนับสนุนให้สมาชิกก้าวสู่ตลาดออนไลน์จึงเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างโอกาสใหม่ให้กับสินค้าและบริการในชุมชนทหาร ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดเชียงรายในระยะยาว

พ.ท.หญิง เยาวเรศ ชูก้าน ปฏิบัติหน้าที่ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37
  • กองประชาสัมพันธ์ กองทัพบก
  • บก.มณฑลทหารบกที่ 37
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไขข้อข้องใจ ‘ปลาแค้ติดเชื้อ’ รมช.เกษตรฯ จี้กรมประมงแถลงข้อเท็จจริงด่วน

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) สั่งกรมประมงแจงด่วน! หลังมีรายงาน “ปลาแค้” ติดเชื้อตัวใหม่ในแม่น้ำกก ชี้แจงข้อเท็จจริง-ยันไม่ใช่สารเคมีหรือโลหะหนัก

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์น้ำในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนหลังจากสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข่าวกรณีพบ “ปลาแค้” ติดเชื้อชนิดใหม่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 จนนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยต่อประชาชนในพื้นที่ และผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงความกังวลเรื่องสารปนเปื้อนจากโลหะหนักหรือสารเคมีในแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจชุมชน

มท.4 สั่งการกรมประมงชี้แจง – ยึดข้อเท็จจริงจากผลแลป

นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.4) มีคำสั่งด่วนให้กรมประมงตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดต่อสาธารณชนทันทีที่ทราบผลการตรวจพิสูจน์ พร้อมย้ำว่า ต้องแจ้งข้อมูลโดยอ้างอิงผลตรวจวิทยาศาสตร์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนหรือวิตกเกินความเป็นจริง

ผลตรวจโรคปลาแค้ล่าสุดสาเหตุจากพยาธิไดจีน ไม่ใช่สารพิษโลหะหนัก

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 พฤษภาคม 2568 กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์โรคในตัวอย่างปลาแค้ (Bagarius sp.) ที่ชาวประมงจับได้บริเวณบ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยส่งต่อเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ 4 สาขาหลัก พบว่า

  • ปลาแค้มีก้อนเนื้ออักเสบบริเวณครีบหลัง ครีบอก ครีบไขมัน ครีบหาง และใต้คาง ลักษณะอาการเป็นตุ่มเนื้อสีแดง
  • ผลตรวจทางพยาธิวิทยาและปรสิตวิทยา พบการติดเชื้อพยาธิในกลุ่มไดจีน (Digenea) ซึ่งเป็นพยาธิใบไม้ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและเกิดพังผืดล้อมรอบตัวอ่อนของพยาธิ
  • ผลตรวจทางแบคทีเรียวิทยาพบเชื้อ Aeromonas hydrophila ซึ่งเป็นแบคทีเรียฉวยโอกาส พบได้ในตุ่มเนื้องอก แต่ไม่พบในอวัยวะภายใน
  • ไม่พบการติดเชื้อไวรัสรุนแรงในปลาตัวดังกล่าว
  • ผลตรวจยืนยันอาการผิดปกติไม่ได้มีสาเหตุมาจากสารปนเปื้อนประเภทโลหะหนัก หรือสารเคมีตกค้างในแม่น้ำโขง

กรมประมงเดินหน้าตรวจต่อเนื่อง – เฝ้าระวังสารปนเปื้อนทุก 2 สัปดาห์

กรมประมงได้ดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแม่น้ำสายสำคัญ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง อย่างเข้มข้นทุก 2 สัปดาห์ โดยกำหนด 4 จุดหลักสำรวจทั้งในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยเน้นประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ รวมถึงความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชน

ข้อมูลจากหนังสือราชการ กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ระบุชัดว่า ตัวอย่างปลาแค้น้ำหนัก 85 กรัม ความยาว 20 ซม. พบตุ่มเนื้อแดงกระจายตามครีบและบริเวณใต้คาง รวมถึงบาดแผลบริเวณรอบปาก ผลตรวจปรสิตวิทยา พบกลุ่มไดจีนจำนวนมากในตุ่มเนื้องอก ผลแบคทีเรียวิทยาพบ Aeromonas hydrophila ในบริเวณตุ่มดังกล่าว ส่วนไวรัสวิทยาไม่พบเชื้อไวรัสรุนแรง

การตรวจพยาธิวิทยาพบความผิดปกติในเหงือก อวัยวะภายในมีบางส่วนเสื่อมสภาพ และพบการก่อตัวของแกรนูโลมาซึ่งเป็นการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและตุ่มเนื้องอกปลามีการตอบสนองโดยเซลล์เส้นใยห่อหุ้มพยาธิ เกิดเป็นซีสต์ขึ้นในชั้นกล้ามเนื้อ

ชี้ชัด “ไม่ใช่ผลจากสารพิษ” – ข้อมูลสู่ประชาชนต้องรอบด้าน

กรมประมงเน้นย้ำว่า อาการผิดปกติของปลาแค้มาจากการติดเชื้อปรสิต ไม่เกี่ยวข้องกับสารพิษตกค้างจากโลหะหนักหรือเคมีในแม่น้ำโขงหรือแม่น้ำกกแต่อย่างใด และไม่ใช่โรคติดต่อรุนแรงที่เกิดจากไวรัส จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล พร้อมติดตามข้อมูลข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการโดยตรง

ในขณะเดียวกัน กรมประมงยังเดินหน้าตรวจสอบต่อเนื่อง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย เพื่อเฝ้าระวังโรคและประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสุขภาพสัตว์น้ำและความปลอดภัยในการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่องทุก 2 สัปดาห์

การสื่อสารที่ถูกต้องคือหัวใจการสร้างความเชื่อมั่น

กรณีปลาแค้ติดเชื้อในแม่น้ำกกเป็นตัวอย่างสำคัญของการจัดการข่าวสารในยุคข้อมูลข่าวสารไหลเร็ว หน่วยงานรัฐและสื่อมวลชนต้องยึดผลตรวจทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักและชี้แจงข้อมูลอย่างต่อเนื่องต่อประชาชน ไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือตื่นตระหนกเกินจริง ขณะที่การเฝ้าระวังโรคในสัตว์น้ำและสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำก็ยังเป็นภารกิจหลักของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ กรมประมง
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันชัด! แม่น้ำกกใช้เกษตรได้ แนะจัดการดิน-สุขอนามัย

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่เวียงชัย สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร – ย้ำ “น้ำกกยังใช้ทำเกษตรได้” ภายใต้เงื่อนไขการจัดการดินและสุขอนามัย

เชียงราย,11 มิถุนายน 2568 –  นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเกษตรกรผู้ทำนา ณ หมู่ที่ 8 บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารหนูในบางจุด จนเกิดกระแสข่าวและความวิตกกังวลในวงกว้าง

ผลตรวจชี้ “สารหนูในน้ำกก” มีผลต่างกันแต่ควบคุมได้ – ย้ำรัฐโปร่งใส

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า ในน้ำแม่น้ำกกมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในบางจุดจริง โดยระดับการปนเปื้อนมีความแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดไม่ได้ปิดบังข้อมูล มีการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งทางการโดยตรง

ผู้ว่าฯ ยังย้ำว่า ประชาชนควรรับข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่มีผลแล็บมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลคุณภาพน้ำและผลตรวจต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

น้ำประปา “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน” ใช้อุปโภคบริโภคได้ปลอดภัย

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือคุณภาพน้ำประปาทั้งระดับการประปาภูมิภาคสาขาเชียงรายและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ ซึ่งใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นต้นทุน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและผลการวิเคราะห์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย และการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย พบว่า น้ำประปาผ่านกระบวนการตกตะกอน กรอง และบำบัดตามหลักวิชาการ ได้คุณภาพปลอดภัยตามมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ

เกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ กล่าวเสริมว่า ในประเด็นความปลอดภัยของน้ำเพื่อการเกษตร ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการสะสมของโลหะหนักในพืช คือ “การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสม” หากค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป จะช่วยจำกัดการดูดซึมของสารหนูและโลหะหนักเข้าสู่พืชผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลแล็บ “พืช-สัตว์น้ำ” ในพื้นที่แม่น้ำกกยังไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก รวมถึงชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโดยตรงส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พบว่าปริมาณสารหนูในตัวอย่าง “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” สะท้อนว่ายังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อการเกษตรในพื้นที่ได้ตามปกติ

สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล – เน้นรับข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีผลแล็บและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ขอให้ระวังข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

เน้นสุขอนามัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกร

นอกจากประเด็นเรื่องคุณภาพน้ำแล้ว เกษตรจังหวัดเชียงรายยังแนะนำเกษตรกรควรป้องกันตัวเองในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำธรรมชาติ เช่น สวมรองเท้าบูทและเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดระหว่างลงแปลงนา เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือสะสมสารเคมีหรือโลหะหนักบนผิวหนังในระยะยาว

เสียงสะท้อนจากชาวนาเวียงชัย – รัฐต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง

เกษตรกรในเวียงชัยยังคงติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต้นน้ำ และวางแนวทางบรรเทาผลกระทบอย่างยั่งยืน

สร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจและมาตรการเชิงรุก

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสื่อสารข้อมูลวิชาการอย่างต่อเนื่อง และการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจในการประกอบอาชีพของเกษตรกรกับมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รัฐจำเป็นต้องเร่งมือแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในหมู่ประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ความหลากหลายเบ่งบาน เชียงรายเตรียมจัด Pride Month ยิ่งใหญ่ 22 มิ.ย.

เชียงรายพร้อมจัดงาน Chiang Rai Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียม สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกกลุ่มหลากหลายทางเพศ

เชียงราย, 11 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมแห่งความเท่าเทียมและเปิดกว้างสู่ความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเตรียมจัดงาน “Chiang Rai Pride Month 2025” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมุ่งสร้างบรรยากาศของการยอมรับและความเข้าใจในความแตกต่างของทุกกลุ่มคน สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองเหนือในฐานะพื้นที่ที่เคารพและให้เกียรติทุกอัตลักษณ์ พร้อมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เวทีประชุมระดมความคิด รัฐ-เอกชน-ภาคีเครือข่ายร่วมมือ

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายหลากหลาย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะทำให้กิจกรรมครั้งนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและแรงบันดาลใจสำหรับคนเชียงรายและผู้มาเยือนจากทั่วทุกภูมิภาค

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเปิดการประชุมว่า
“วันนี้เราได้เปิดเวทีหารือร่วมกัน เพื่อต่อยอดแนวทางจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความเป็นเอกภาพ สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดทั้งในมิติการท่องเที่ยว สังคม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เราต้องการให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในด้านนี้อย่างแท้จริง”

งานไฮไลท์กลางเดือนมิถุนายน จุดประกายสีสันแห่งความภาคภูมิใจ

เดือนมิถุนายนของทุกปีทั่วโลกถูกยกให้เป็น “Pride Month” หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยจังหวัดเชียงรายร่วมกับมูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย เตรียมจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกิจกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า และลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เฉลิมฉลองอัตลักษณ์อย่างเท่าเทียม” (Celebrate Identity with Equality) โดยตั้งเป้าสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมขับเคลื่อนพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมีโอกาสแสดงออกอย่างเสรี ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

ไฮไลท์กิจกรรมพาเหรด เสวนา การแสดงวัฒนธรรม ประกวด Pride Ambassador

กิจกรรมสำคัญจะประกอบด้วย

  • ขบวนพาเหรด Pride Parade: เริ่มต้นจากลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า เคลื่อนผ่านอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผ่านหอนาฬิกา และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย สร้างสีสันและพลังแห่งการรวมตัวของผู้คนทุกวัย ทุกกลุ่ม
  • เวทีเสวนา: หัวข้อเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
  • การประกวด Pride Ambassador: เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถในกลุ่มหลากหลายทางเพศได้แสดงออกถึงศักยภาพ สร้างแรงบันดาลใจ
  • การแสดงทางวัฒนธรรม: นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นกับสากลอย่างกลมกลืน

เป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความเท่าเทียม

คณะผู้จัดงานมีเป้าหมายชัดเจนว่า Chiang Rai Pride Month 2025 จะเป็นทั้งเวทีสื่อสารเชิงบวกในระดับจังหวัดและภูมิภาค ช่วยสร้างบรรยากาศของการยอมรับ ความกลมเกลียวในสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งความเท่าเทียมและความหวัง

เชียงรายกับบทบาทผู้นำเมืองปลอดภัยและเท่าเทียม

การจัดกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตลอดจนตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองแห่งโอกาสและความหวังสำหรับทุกคน หากความสำเร็จของงานปีนี้เดินหน้าต่อเนื่อง จะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศนำไปขยายผล สร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นมิตรกับทุกกลุ่มประชากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐาน 15 จุด แม่น้ำกก-สาย-โขง ชาวประมงหวั่นผลกระทบ

กรมควบคุมมลพิษเผยสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง 15 จุด เสี่ยงกระทบสุขภาพ-เศรษฐกิจ ชาวประมงเดือดร้อน จี้รัฐเร่งมาตรการจัดการ”

เชียงราย, 10 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 (26-30 พฤษภาคม 2568) พบสารหนู (Arsenic: As) เกินค่ามาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ในทุกจุดตรวจวัด 15 จุดทั่วทั้ง 3 ลำน้ำ รวมถึง 3 จุดในแม่น้ำสาย และ 2 จุดในแม่น้ำโขง โดยจุดที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ บ้านป่าซางงาม อ.แม่สาย (0.038 มก./ล.) และบ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง (0.023 มก./ล.) ข้อมูลชี้ชัดต้นตอหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า ส่งผลให้คุณภาพน้ำบริเวณชายแดนไทย-พม่ามีความขุ่นสูงผิดปกติและปริมาณสารหนูพุ่งสูงกว่ามาตรฐาน

ผลกระทบขยายวงกว้าง—เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจชุมชน

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) ระบุว่า การปนเปื้อนสารหนูแพร่กระจายจากต้นน้ำสู่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีการเปิดฝายเชียงราย ทำให้ตะกอนที่มีสารหนูถูกปล่อยลงแม่น้ำมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร ผู้ใช้น้ำบาดาลใกล้แม่น้ำ และประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการบริโภค สมพรเสนอให้รัฐและประปาท้องถิ่นเร่งแจกชุดตรวจน้ำเบื้องต้น (test kit) ให้ชุมชน พร้อมทั้งคัดกรองจุดเสี่ยงและรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การสะสมของสารหนูในแม่น้ำกก สาย และโขง มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ผ่านการใช้น้ำและการบริโภคสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมในห่วงโซ่อาหารและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปลาป่วย-ชาวประมงเดือดร้อนหนัก—ขาดความเชื่อมั่น กระทบรายได้

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานผ่านเฟซบุ๊กและสำรวจพื้นที่ พบจำนวนปลาที่ติดเชื้อและมีอาการผิดปกติในแม่น้ำกกและโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลากดและปลาแข้ที่มีตุ่มรุนแรง คาดว่าเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ไหลมาจากเหมืองในเมียนมา แม้ผลตรวจสอบโลหะหนักในตัวปลาล่าสุดจากกรมประมง (เม.ย.-พ.ค. 2568) จะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ปลาจากแม่น้ำเหล่านี้ขายไม่ออก ชาวประมงประสบวิกฤติรายได้ลดลงอย่างรุนแรง

บุญสุข สุวรรณดี ชาวประมงบ้านสบคำ อ.เชียงแสน เปิดเผยว่า “ไม่มีใครซื้อปลาเลย แม่ค้าปิดโทรศัพท์หนี อยากให้รัฐช่วยเหลือ อาจนำปลามาปล่อยในแหล่งน้ำสำรองให้ชาวบ้านมีอาหาร” ขณะที่สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างปลาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และใช้ผลผลักดันรัฐในการเจรจาปิดเหมืองต้นตอปัญหา

แรงกดดันจากภาคประชาชน—รัฐต้องตอบสนองอย่างโปร่งใสและยั่งยืน

ภาคประชาชนในเชียงรายและเชียงใหม่ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเร่งด่วน 1) แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยง 2) แจกชุดตรวจน้ำและสนับสนุนระบบบำบัดน้ำ 3) ตรวจสอบและเจรจาปิดเหมืองในเมียนมา 4) ฟื้นฟูแหล่งน้ำและดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจน้ำครั้งที่ 5 (9-13 มิ.ย. 2568) โดยจะรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบต่อไป พร้อมทั้งมีแผนติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การพบสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขงในระดับที่เกินมาตรฐานติดต่อกันหลายครั้งสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งปฏิบัติการทั้งในเชิงนโยบายและมาตรการระยะเร่งด่วน เช่น การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนสาธารณชน การแจก test kit ระบบบำบัดน้ำเฉพาะพื้นที่ และการเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาเพื่อตัดวงจรปัญหา
ขณะเดียวกัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

สรุป

ปัญหามลพิษสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุดแต่เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • สำนักข่าวชายขอบ
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

อ.เฉลิมชัยแนะทิศทางเบียนนาเล่ภูเก็ต Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ไทยแลนด์เบียนนาเล่ ภูเก็ต 2025″ เดินหน้าศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ยกระดับ Soft Power ไทยสู่สายตาโลก บทเรียนจากเชียงรายสู่ความหวังใหม่ของเมืองท่องเที่ยว

ภูเก็ต, 10 มิถุนายน 2568 กระทรวงวัฒนธรรมเปิดตัวการขับเคลื่อนมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Phuket 2025 อย่างเป็นทางการ โดยจะจัดขึ้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงเมษายน 2569 ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ 3 อำเภอของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ เมือง กระทู้ และถลาง ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวที่โด่งดังไปทั่วโลก

การจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน นำโดย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับศิลปินระดับประเทศและนานาชาติกว่า 60 คน พร้อมบูรณาการเครือข่ายจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับศิลปะร่วมสมัยไทยสู่เวทีนานาชาติ และสร้างการเปลี่ยนผ่านของภูเก็ตสู่เมืองศิลปะเชิงสร้างสรรค์

จากเชียงรายถึงภูเก็ตถอดบทเรียนแห่งความสำเร็จ

งาน Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ได้รับการยกย่องว่าเป็นโมเดลความสำเร็จของศิลปะเชิงพื้นที่ โดยมีผู้เข้าชมเกือบ 3 ล้านคน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหมุนเวียนกว่า 24,000 ล้านบาทในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน นับเป็นการยืนยันพลังของศิลปะในฐานะ Soft Power ที่สามารถสร้างความเคลื่อนไหวได้ทั้งระดับจิตวิญญาณ สังคม และเศรษฐกิจ

ในการประชุมขับเคลื่อนงานที่โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ จังหวัดภูเก็ต เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์จากหลากหลายภาคส่วน อาทิ นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการ สศร., นายสมาวิษฎ์ สุพรรณไพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และ นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติจากเชียงราย ผู้เคยขับเคลื่อนงาน Biennale เชียงรายจนประสบความสำเร็จ

อ.เฉลิมชัย” ชี้งานศิลปะร่วมสมัยคือรากฐานของการพัฒนา ต้องให้เกียรติศิลปิน และสร้างการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน

นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ กล่าวถ่ายทอดประสบการณ์การจัดงาน Biennale ที่เชียงราย พร้อมเสนอแนะแนวทางให้ภูเก็ตว่า “การจัดมหกรรมศิลปะไม่ใช่แค่อีเวนต์ ต้องมีระบบ ต้องมีความรู้เรื่องศิลปะ ต้องให้เกียรติศิลปิน และต้องใช้พลังของการประชุมที่มีภาวะผู้นำ”

“ทุกฝ่ายต้องเปิดใจคุยกัน นักการเมือง ผู้ว่าฯ ปลัดกระทรวง ศิลปิน ภัณฑารักษ์ ภาคประชาชน และนักลงทุน ต้องมีพื้นที่ร่วมกันระดมสมอง แม้คิดต่างก็ต้องถกกันอย่างสร้างสรรค์ มีมติร่วม และต้องตัดสินใจให้จบในห้องประชุม”

เขายังย้ำว่าการจัดงานต้องมี “งบสำรอง” อย่างน้อย 20 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการผลิตผลงานศิลปินอย่างทันท่วงที ไม่ให้เกิดความล่าช้า หรือข้อจำกัดทางการคลังที่บั่นทอนคุณภาพของผลงานและแรงบันดาลใจ

สร้าง Soft Power ผ่านศิลปะความท้าทายใหม่ของเมืองท่องเที่ยว

นายประสพ เรียงเงิน กล่าวยืนยันว่าการจัด Thailand Biennale, Phuket 2025 จะไม่ใช่งานอีเวนต์ทั่วไป แต่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยศิลปะเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยเชื่อมั่นว่าเมืองภูเก็ตที่เป็น “เมืองท่องเที่ยวระดับโลก” และ “เมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของยูเนสโก” จะก้าวไปสู่ “เมืองศิลปะ” ได้อย่างมั่นคง หากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างการจัดสรรพื้นที่จัดแสดงงานในจุดสำคัญของจังหวัด อาทิ หอศิลป์ร่วมสมัยภูเก็ต, อาคารธนาคารชาร์เตอร์ด, พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว, และแหลมพรหมเทพ รวมถึงกิจกรรม “เปิดบ้านศิลปิน” เพื่อเปิดประสบการณ์ตรงให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว

การยกระดับภูเก็ตด้วยศิลปะ ต้องไม่ทิ้ง “รากท้องถิ่น” และ “การจัดการเชิงระบบ”

Thailand Biennale ไม่ใช่เพียงเทศกาลศิลปะ แต่คือโอกาสในการสร้างความรู้ใหม่ สร้างความภาคภูมิใจ และดึงศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของชุมชนออกมาใช้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างภูเก็ต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่ “การจัดการเชิงระบบ” และ “การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” หากไม่มีการเตรียมการที่รอบด้าน ทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร การสื่อสาร และความเข้าใจของประชาชน อาจทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนในพื้นที่

สิ่งที่เชียงรายเคยทำได้สำเร็จ จึงไม่สามารถลอกแบบได้ทันที แต่ต้องนำมาปรับใช้กับบริบทของภูเก็ต ที่มีทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดเฉพาะตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.), กระทรวงวัฒนธรรม
  • สมาคมศิลป์ภูเก็ต
  • แถลงข่าว Thailand Biennale, Phuket 2025 ณ โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้
  • สัมภาษณ์ผู้มีส่วนร่วมในงาน: นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, นายประสพ เรียงเงิน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชาวเมียนมาริมชายแดนแม่สาย เก็บเศษเหล็กสร้างรายได้ ยามทหารช่างทำงาน

ทหารช่างเร่งสร้างพนังกั้นน้ำลำน้ำสาย รับมืออุทกภัยซ้ำซาก แม่สายหวังเห็นผลก่อนฤดูฝนมาเยือน

เชียงราย,10 มิถุนายน 2568 – ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณลำน้ำสาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะนี้เข้าสู่ช่วงสำคัญของโครงการก่อสร้าง “แนวป้องกันน้ำท่วมถาวร” โดย หน่วยทหารช่างจากจังหวัดราชบุรี ได้ระดมเครื่องจักรและกำลังพลลงพื้นที่ก่อสร้างกำแพงกันน้ำแบบเสาเหล็กเสียบแผ่นคอนกรีต และกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งให้ทันฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

พื้นที่ดังกล่าวถือเป็นจุดเสี่ยงอุทกภัยซ้ำซาก โดยเฉพาะตลาดสายลมจอย แหล่งค้าขายหลักของแม่สาย ที่เคยได้รับความเสียหายรุนแรงจากน้ำหลากในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ และโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ทำให้ภารกิจครั้งนี้เป็นมากกว่างานช่างทั่วไป แต่คือความหวังในการรักษาความมั่นคงของชีวิตชาวบ้าน

ชาวบ้านเฝ้าติดตามใกล้ชิด วางใจใน “แนวเหล็ก-คอนกรีต” ว่าเอาอยู่

ตลอดแนวลำน้ำสาย บรรยากาศการทำงานของทหารช่างเต็มไปด้วยความคึกคัก มีประชาชนจากพื้นที่ใกล้เคียงเดินทางมาดูความคืบหน้าของโครงการด้วยความหวังและกำลังใจ โดยเฉพาะในช่วงวางเสาเข็ม วางคาน และติดตั้งแผ่นคอนกรีต ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมความมั่นคงของโครงสร้าง

“ทุกปีเราต้องยกของหนีน้ำ จนเหนื่อยใจ ปีนี้ขอให้กำแพงนี้เสร็จก่อนฝนมาเถอะ” เสียงจากแม่ค้าในตลาดสายลมจอยที่สะท้อนความรู้สึกของชุมชนได้อย่างชัดเจน

โครงสร้างแนวกั้นน้ำในครั้งนี้ เป็นแบบผสมผสานระหว่าง เสาเหล็กเสียบแผ่นคอนกรีต กับ กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก มีจุดเด่นคือรับแรงดันน้ำได้สูง และลดแรงกระแทกของตะกอนและวัสดุที่ไหลตามกระแสน้ำ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนเชื่อมต่อโครงสร้างกับถนนและพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าพื้นที่ด้านหลัง

แรงงานเมียนมาร่วมเก็บเศษเหล็กหารายได้ ท่ามกลางเครื่องจักรที่ทำงานต่อเนื่อง

อีกด้านของโครงการก่อสร้าง คือภาพของแรงงานชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ฝั่งไทย ซึ่งเข้ามามีบทบาทแบบไม่เป็นทางการในพื้นที่ก่อสร้าง โดยอาศัยช่วงเวลาที่รถแม็คโครของทหารขุดเปิดหน้าดินบริเวณริมตลิ่ง ร่วมกันเก็บเศษเหล็กจากโครงสร้างเก่าใต้ดิน โดยบางคนใช้ค้อนทุบแผ่นคอนกรีตเดิมเพื่อดึงเหล็กเส้นออกไปขายในตลาดท้องถิ่น

แม้กิจกรรมนี้จะไม่ได้อยู่ในแผนงานของภาครัฐ แต่สะท้อนให้เห็นถึงอีกมิติหนึ่งของ “การอยู่รอด” ในพื้นที่ชายแดนที่ยังขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ แรงงานเหล่านี้ไม่รบกวนงานหลักของทหารช่าง และได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ที่มองเห็นว่า “ความยากจนไม่ใช่อาชญากรรม” หากอยู่ภายใต้ขอบเขตของความปลอดภัย

ทหารช่างเดินหน้าภารกิจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ท่ามกลางฝุ่น โคลน และความหวัง

จากการลงพื้นที่ของทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ พบว่าหน่วยทหารช่างได้จัดแบ่งกำลังเป็น 2 ผลัด ปฏิบัติงานทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่หยุดพัก โดยมีเป้าหมายเร่งรัดโครงการให้เสร็จในระยะเวลาที่กำหนด ก่อนพยากรณ์อากาศจะยืนยันแนวโน้มฝนตกหนักในช่วงปลายเดือนมิถุนายน

เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เผยว่า ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมชลประทาน สำนักงานโยธาธิการฯ และองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อเร่งเบิกงบประมาณในส่วนของวัสดุและการขนส่ง รวมถึงร่วมกันวางแผนสำรองรับมือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจากฝนตกก่อนเสร็จสิ้นโครงการ

พนังกั้นน้ำ…มากกว่าการป้องกัน แต่คือการฟื้นความมั่นใจของคนชายแดน

สิ่งที่กำลังก่อสร้างขึ้นริมลำน้ำสาย ไม่ใช่เพียงแค่ “พนังกั้นน้ำ” หากแต่เป็น “เส้นแบ่ง” ระหว่างความสูญเสียซ้ำซากกับโอกาสในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของชุมชน ความร่วมมือระหว่างทหาร วิศวกร และชาวบ้าน สะท้อนให้เห็นว่าภารกิจเชิงวิศวกรรมอาจกลายเป็นเครื่องมือของการฟื้นฟูสังคม

อีกด้านหนึ่ง ปฏิกิริยาของแรงงานเมียนมาที่เข้าเก็บเศษเหล็ก ยังชี้ให้เห็นว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนควรพิจารณาเรื่อง “เศรษฐกิจรายย่อย” ควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้ความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ยิ่งทวีความรุนแรง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หน่วยทหารช่างราชบุรี
  • กองทัพภาคที่ 3
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
  • รายงานสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News