Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สภากาชาดเยี่ยมแม่สาย หนุนสร้างพนังกั้นน้ำ

สภากาชาดไทย-กาชาดเชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โครงการแนวป้องกันน้ำและขุดลอกแม่น้ำสายแม่สาย

เชียงราย, 18 พฤษภาคม 2568 – สภากาชาดไทยร่วมกับเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ปฏิบัติงานก่อสร้างแนวป้องกันน้ำและขุดลอกแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในฤดูฝนปีนี้ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

จุดเริ่มต้นของภารกิจ: การระดมพลังข้ามหน่วยงานเพื่อปกป้องชีวิตประชาชน

โครงการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และการขุดลอกแม่น้ำสาย เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยน้ำหลากและตลิ่งพัง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อำเภอแม่สายต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน การค้า และการคมนาคมในพื้นที่

พื้นที่ปฏิบัติงานครอบคลุมตั้งแต่บ้านหัวฝาย หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงพางคำ ไปจนถึงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร โดยได้รับการสนับสนุนด้านกำลังพลและเครื่องจักรจากกรมการทหารช่าง กองทัพบก ร่วมกับกองกำลังผาเมือง และมณฑลทหารบกที่ 37

กำลังใจถึงแนวหน้า ผู้นำลงพื้นที่ด้วยตนเอง

ในวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2568 คณะจากสภากาชาดไทย นำโดย นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด พร้อมด้วย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และที่ปรึกษาคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะกรรมการเหล่ากาชาดอำเภอแม่สาย ร่วมกับที่ทำการปกครองอำเภอแม่สายและแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

บรรยากาศของการลงพื้นที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความหวัง โดยมีการจัดเตรียมน้ำดื่ม อาหารว่าง และอุปกรณ์ป้องกันแดดเพื่อแจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณในความเสียสละและความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทุกนาย

รายละเอียดโครงการ ระบบป้องกันน้ำที่ออกแบบอย่างหลากหลาย

เพื่อให้การป้องกันน้ำมีประสิทธิภาพในทุกสภาพพื้นที่ โครงการดังกล่าวได้ออกแบบแนวป้องกันน้ำใน 5 รูปแบบ ดังนี้:

  • แบบที่ 1: ใช้เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็ก แผ่น Precast panel และคานทับหลัง พร้อมถมดินและเสริมแนว Big bag ด้านบน
  • แบบที่ 2: มีแนวกำแพงพร้อมเสาเหล็กค้ำยัน ใช้แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป
  • แบบที่ 3: เป็นเสาและกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด
  • แบบที่ 4: กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กมีช่องเปิดสำหรับอาคารริมน้ำ ใช้เหล็กหนา 2 มิลลิเมตร
  • แบบที่ 5: ใช้ Big bag เป็นหลักในการกันน้ำบริเวณแนวอ่อนแรง

นอกจากการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำแล้ว ยังมีการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักของพื้นที่ โดยเริ่มตั้งแต่ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงพื้นที่ในอำเภอเชียงแสน เพื่อเพิ่มความจุของแม่น้ำ ลดแรงดันน้ำและป้องกันตลิ่งทรุด

การขุดลอกแม่น้ำ ขั้นตอนที่ต้องอาศัยความแม่นยำและระมัดระวัง

การดำเนินการขุดลอกแม่น้ำดำเนินด้วยความรอบคอบ โดยเริ่มจากการสำรวจสภาพพื้นที่ สภาพดิน ความกว้าง-ลึกของลำน้ำ และระยะห่างจากสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง ก่อนจะเริ่มขุดในช่วงละ 50–100 เมตร

จุดที่มีความเสี่ยงต่อการทรุดตัวของตลิ่งจะมีการตอกเสาเข็มไม้ขนาด 6–8 นิ้ว เรียงชิดเป็นแนว เพื่อป้องกันการไหลทลายของดินลงสู่แม่น้ำ อันจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านเรือนริมฝั่งในอนาคต

ความร่วมมือเพื่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชน

โครงการดังกล่าวสะท้อนถึงแนวทางการจัดการภัยพิบัติอย่างมีระบบที่อาศัยความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งพลเรือน ทหาร และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงพื้นที่ของสภากาชาดไทยและเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ไม่ได้เพียงเป็นการให้กำลังใจเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังเป็นการส่งเสริมขวัญกำลังใจและสร้างแรงสนับสนุนจากระดับนโยบายไปถึงระดับปฏิบัติการ

การป้องกันน้ำท่วมไม่อาจพึ่งพาเฉพาะโครงสร้างทางวิศวกรรม หากต้องเสริมด้วยความเข้าใจในระบบนิเวศ ความร่วมมือของชุมชน และการบำรุงรักษาระบบที่ก่อสร้างไปแล้วอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถลดผลกระทบในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2566 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายประสบภัยพิบัติน้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวมกว่า 22,000 ครัวเรือน
  • แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก เป็นสองลำน้ำหลักที่มีน้ำหลากบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
  • กรมทรัพยากรน้ำรายงานว่า ในปี 2567 มีปริมาณฝนสะสมในเขตภาคเหนือสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 13.7% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านน้ำท่วมเฉียบพลัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภากาชาดไทย
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก
  • กองกำลังผาเมือง
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • ที่ทำการปกครองอำเภอแม่สาย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สัมผัสพหุวัฒนธรรมล้านนา ดันวัดห้วยปลากั้งสู่แหล่งท่องเที่ยว

วธ. เปิด “ชุมชนยลวิถีวัดห้วยปลากั้ง” เชียงราย ต้นแบบพหุวัฒนธรรมล้านนา สู่แหล่งท่องเที่ยวสร้างสรรค์ระดับประเทศ

เชียงราย, 17 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงวัฒนธรรมเดินหน้ายกระดับชุมชนท้องถิ่นสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ผ่านโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” โดยในวันนี้ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง” จังหวัดเชียงราย หนึ่งใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบของประเทศที่ได้รับการคัดเลือกจากทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีไทยและพหุวัฒนธรรมล้านนา

พิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ สะท้อนเอกลักษณ์ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์

บรรยากาศที่ลานอเนกประสงค์บริเวณองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย ในช่วงเช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 เต็มไปด้วยความคึกคักจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมในพิธีเปิด “ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง” อย่างเป็นทางการ โดยมี นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี

ภายในงานมีบุคคลสำคัญในระดับท้องถิ่นและประเทศเข้าร่วม อาทิ

  • พระไพศาลประชาทร วิ. (พบโชค ติสฺสวํโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง
  • นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย
  • นางรพีพร ทองดี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนสุดยอดชุมชนต้นแบบ
  • นายโชติ ศิริดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
    พร้อมด้วยผู้นำชุมชน ชาวบ้าน และสื่อมวลชนทั้งในและนอกพื้นที่ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมหลากหลาย แสดงอัตลักษณ์พหุวัฒนธรรมล้านนา

กิจกรรมในงานสะท้อนถึงความหลากหลายของวัฒนธรรมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าลายประจำเผ่าของชาวลาหู่ การเต้นจะคึของชาวปอยเตเว การละเล่นสะบ้า การจักสานไม้ไผ่ ไปจนถึงการทำไม้กวาดของชาวไทลื้อ นอกจากนี้ยังมีการแสดงดนตรีพื้นเมือง และจำหน่ายอาหารท้องถิ่นจากกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่ อาข่า ไทลื้อ ให้ได้ลิ้มลองอย่างใกล้ชิด

นักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งรถรางเที่ยวชมชุมชน เยี่ยมชมพบโชคธรรมเจดีย์ (เจดีย์ 9 ชั้น) และโบสถ์สีขาวอันวิจิตรตระการตา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

ชุมชนต้นแบบที่สร้างรายได้จากทุนวัฒนธรรม

นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เป็นหนึ่งในชุมชนต้นแบบที่นำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านงานหัตถกรรม อาหารพื้นถิ่น และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกองค์ความรู้ สะท้อนถึงความสามารถของคนในพื้นที่ในการพัฒนาโดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์

“โครงการนี้เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2564 และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน” นายสถาพรกล่าว

ศูนย์กลางของพหุวัฒนธรรมล้านนา

ชุมชนวัดห้วยปลากั้งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ อาข่า ไทลื้อ ลั้วะ และชาวไทยพื้นเมือง ซึ่งสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและพึ่งพาอาศัยกันได้เป็นอย่างดี

ความหลากหลายดังกล่าวสะท้อนผ่านการจัดกิจกรรมที่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม เช่น การแสดงพื้นเมือง การสาธิตงานฝีมือ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งสร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้แก่สมาชิกในชุมชน

เปิดพื้นที่เพื่อโอกาสของผู้ด้อยโอกาส

อีกหนึ่งจุดแข็งของชุมชนวัดห้วยปลากั้ง คือการเปิดพื้นที่รองรับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถเข้ามาใช้ชีวิตร่วมในชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี โดยเฉพาะในบริเวณวัดห้วยปลากั้ง ซึ่งมีการดูแลทั้งผู้สูงอายุ เด็กยากไร้ และผู้ไร้บ้าน ทำให้พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ยังเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันบนฐานของความเข้าใจและเมตตา

เที่ยวชุมชน ยลวิถี” จุดประกายท้องถิ่นไทย

โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ที่ริเริ่มโดยกระทรวงวัฒนธรรม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่งในปีนี้ได้คัดเลือกชุมชนต้นแบบจากทั่วประเทศจำนวน 76 แห่ง และคัดเลือกเหลือเพียง 10 ชุมชนที่มีศักยภาพรอบด้าน

ชุมชนวัดห้วยปลากั้งถือเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดในการนำพลังของวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้พัฒนาพื้นที่และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน โดยไม่ต้องพึ่งพาทุนจากภายนอกมากนัก

ผลลัพธ์จากการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่

การประสบความสำเร็จของชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ชุมชนวัด กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ และเยาวชนในพื้นที่ โดยมีการประชุม วางแผน และทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จนสามารถสร้างโมเดลการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนขึ้นมาได้

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

ตามข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ระบุว่า โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีชุมชนเข้าร่วมแล้วกว่า 450 แห่งทั่วประเทศ และมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนมากกว่า 5 ล้านคน/ปี

จากการประเมินผลของ สำนักวิจัยพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 38.2 ต่อปี โดยรายได้มาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน, การจัดกิจกรรมท่องเที่ยว, และบริการโฮมสเตย์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สำนักวิจัยพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย
  • วัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งลุย ทลายบ่อนพนันกลางเมือง

เชียงรายฟ้าใส” ปฏิบัติการจัดระเบียบสังคม ทลายบ่อนพนันกลางเมือง จับ 13 นักพนัน พร้อมของกลางเงินสดและยาเสพติด

เชียงราย, 16 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาทางสังคมหลายด้าน หนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อน คือการจัดระเบียบสังคม ปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน ล่าสุด จังหวัดเชียงราย โดยการนำของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ดำเนินการเปิดปฏิบัติการพิเศษภายใต้ชื่อ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งเป็นแผนเชิงรุกที่มุ่งจัดการกับปัญหาการลักลอบเล่นการพนันที่แพร่หลายอยู่ในพื้นที่

จุดเริ่มต้นจากเสียงของประชาชน

การปฏิบัติการครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการร้องเรียนของชาวบ้านในพื้นที่ซอย 23 บ้านเหล่าพัฒนา หมู่ที่ 14 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย ที่ทนไม่ไหวกับเสียงรบกวนจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งถูกใช้เป็นบ่อนการพนันลับ ชาวบ้านให้ข้อมูลว่า มีนักพนันเข้าออกตลอดทั้งคืน สร้างความไม่สงบต่อวิถีชีวิตและความปลอดภัยในชุมชน

ภายใต้การอำนวยการของ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด, พล.ต.ต. มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย, และเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอและตำรวจท้องที่ ได้วางแผนร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มงานความมั่นคงจังหวัดเชียงราย เพื่อดำเนินการเข้าตรวจสอบพื้นที่ตามที่ประชาชนร้องเรียน

ยุทธการเข้าตรวจค้นกลางเมือง

ในช่วงค่ำของวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่จากหลากหลายหน่วยงาน ได้ร่วมกันปฏิบัติการจู่โจมเข้าตรวจสอบบ้านเป้าหมาย ซึ่งแม้ไม่มีเลขที่บ้านระบุ แต่จากข้อมูลเชิงลึกและการสืบสวน สามารถระบุได้ว่าเป็นสถานที่ลักลอบเปิดเป็นบ่อนพนันจริง

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าถึงพื้นที่ พบว่าภายในบ้านมีการตั้งวงพนันหลายประเภท โดยเฉพาะไพ่นกกระจอกและไฮโล อุปกรณ์ที่ตรวจพบประกอบด้วย

  • โต๊ะไพ่นกกระจอก พร้อมไพ่ 3 สำรับ
  • โต๊ะและอุปกรณ์เล่นไฮโล 1 ชุด
  • เงินสดหมุนเวียนภายในบ่อนประมาณ 150,000 บาท

ขณะเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ มีนักพนันจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คนอยู่ในวงพนัน โดยสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 13 คน แบ่งเป็นชาย 11 คน และหญิง 2 คน

ตรวจพบยาเสพติดในสถานที่เกิดเหตุ

นอกจากกิจกรรมการพนัน เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบว่า มีบุคคลครอบครองยาเสพติดประเภทที่ 1 ได้แก่

  • ยาบ้า 21 เม็ด
  • เฮโรอีน ประมาณ 8 กรัม

โดยบุคคลที่ครอบครองของกลางดังกล่าว ยังตรวจพบว่าเสพสารเสพติดด้วย ส่งผลให้ต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมตามกฎหมาย

ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้พบ นายไมตรี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี สัญชาติไทย แสดงตนเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ในการลักลอบเล่นการพนัน

ข้อกล่าวหาและการดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายไมตรี ถูกแจ้งข้อหา “จัดให้มีขึ้นซึ่งการเล่นการพนันอันระบุไว้ในบัญชี ข. ลำดับที่ 21 โดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478

ส่วนผู้ต้องหาอีก 12 ราย ถูกแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นอันระบุไว้ในบัญชี ข. ลำดับที่ 21 โดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีโทษเช่นเดียวกัน

ผู้ต้องหาที่มีและเสพยาเสพติด ถูกแจ้งข้อหาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ทั้งข้อหาครอบครองโดยผิดกฎหมายและเสพสารเสพติดในร่างกาย

ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปยังสถานีตำรวจภูธรแม่ยาว เพื่อดำเนินการสอบสวนและนำตัวส่งฟ้องตามกระบวนการยุติธรรม

นโยบาย “เชียงรายฟ้าใส” มุ่งสู่เมืองปลอดภัย

ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง

นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากปัจจัยทางสังคมที่นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคท้องถิ่น

การมีส่วนร่วมของชุมชนคือกุญแจสำคัญ

กรณีนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ ในการตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหาใกล้ตัว โดยการแจ้งเบาะแสและร้องเรียนจากประชาชนกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่นำไปสู่การดำเนินการเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ

บทวิเคราะห์และแนวโน้ม

การบุกทลายบ่อนการพนันกลางเมืองในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ในยุคที่มีกฎหมายควบคุมและเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แต่พฤติกรรมฝ่าฝืนยังคงมีอยู่ หากไม่ได้รับการแก้ไขที่รากฐาน เช่น การให้ความรู้เรื่องโทษของการพนันและยาเสพติด การสร้างทางเลือกในด้านสันทนาการและรายได้ รวมถึงการเสริมสร้างวินัยชุมชน

แนวโน้มในอนาคต หากนโยบาย “เชียงรายฟ้าใส” ดำเนินต่อเนื่องและมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง เชียงรายมีโอกาสเป็นต้นแบบของการพัฒนาสังคมเมืองที่สะอาด ปลอดภัย และมีความยั่งยืนได้ในระดับประเทศ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2566 ระบุว่า มีการจับกุมคดีการพนันทั่วประเทศกว่า 38,000 คดี โดยในเขตภาคเหนือมีมากกว่า 4,000 คดี
  • คดีเกี่ยวกับยาเสพติด พบการจับกุม ผู้ต้องหามีสารเสพติดในร่างกายเฉลี่ย 400 รายต่อเดือน ในเขตภาคเหนือ
  • คดีการเปิดบ่อนพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตในเชียงราย มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 17 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • กลุ่มงานความมั่นคง จังหวัดเชียงราย
  • สถานีตำรวจภูธรแม่ยาว จังหวัดเชียงราย
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

นักเรียน ร.ร.ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ คว้า 2 รางวัลโลก 2025

นักเรียนเชียงรายคว้า 2 รางวัลใหญ่จากเวทีวิทยาศาสตร์โลก ISEF 2025

เยาวชนไทยโชว์ศักยภาพระดับโลก

เชียงราย, 16 พฤษภาคม 2568 – โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอีกครั้ง หลังจากทีมนักเรียนของโรงเรียนคว้ารางวัลระดับโลกจากงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์นานาชาติ REGENERON ISEF 2025 ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–16 พฤษภาคม 2568

การประกวดครั้งนี้จัดโดย Society for Science โดยมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจากกว่า 80 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน แสดงผลงานกว่า 1,500 โครงการ ในหลากหลายสาขาวิชา โดยปีนี้ทีมนักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จ.เชียงราย ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วม 2 โครงการในสาขาสัตวศาสตร์ (Animal Sciences) และสามารถคว้ารางวัลกลับมาได้ทั้งสองโครงการ

BeeShield นวัตกรรมอุโมงค์ป้องกันไรผึ้ง คว้ารางวัลอันดับ 3 ของโลก

โครงการ BeeShield: การพัฒนาอุโมงค์ทางเข้าป้องกันไรผึ้งโดยใช้พฤติกรรมการเข้ารังของผึ้ง ได้รับรางวัล 3rd Place Grand Award พร้อมเงินรางวัล 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีผู้พัฒนาโครงการคือ

  • นายปัณณวิชญ์ ธีรนันท์พัฒธน
  • นางสาววิภารัศมิ์ ธะนะวงศ์
  • นายกฤตนน เมืองแก้ว
    โดยมี นายเกียรติศักดิ์ อินราษฎร เป็นครูที่ปรึกษา

โครงการนี้พัฒนาระบบ BeeShield เพื่อป้องกันไรผึ้ง (Varroa Mite) ซึ่งเป็นปรสิตที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประชากรผึ้งทั่วโลก ด้วยการใช้ อัลกอริทึมเรียนรู้เชิงลึก เพื่อแยกแยะพฤติกรรมผึ้งที่ติดไร และใช้ กรดฟอร์มิกเข้มข้น 75% เป็นกลไกกำจัดแบบเฉพาะจุด

ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำผึ้ง

จากผลการทดลองพบว่า BeeShield สามารถลดอัตราการตายของผึ้งได้ ถึง 4 เท่า และเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้งได้ ถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำผึ้ง ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืน

ColliNest ทางรอดของผึ้งจิ๋วใต้ดิน คว้ารางวัลอันดับ 4 ระดับโลก

อีกหนึ่งโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามคือ ColliNest: นวัตกรรมการขยายพันธุ์และอนุรักษ์ผึ้งจิ๋วใต้ดิน Tetragonula collina ซึ่งได้รับรางวัล 4th Place Grand Award พร้อมเงินรางวัล 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ผู้ทำโครงงานประกอบด้วย

  • นายธนวัฒน์ สมญาพรเจริญชัย
  • นายธนกร สาคุณ
  • นายณัฐชพน วงศาโรจน์
    มี นายสุธิพงษ์ ใจแก้ว เป็นครูที่ปรึกษา

ColliNest เป็นนวัตกรรมรังผึ้งจำลองที่ออกแบบโดยใช้ท่อ PVC ขนาดเฉพาะ เพื่อกระตุ้นให้ผึ้งจิ๋วย้ายถิ่นฐานและสร้างรังใหม่ โดยมีการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อวางแผนการย้ายถิ่นอย่างแม่นยำ

ผลการศึกษาพบว่า โครงการนี้สามารถขยายประชากรผึ้งได้ถึง 93% และเพิ่มผลผลิตสูงสุดถึง 3.91 เท่า เป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นความหวังในการอนุรักษ์ผึ้งจิ๋วที่เสี่ยงสูญพันธุ์ในอนาคต

จากเวทีภูมิภาคสู่ระดับโลก

ทั้งสองโครงงานเริ่มต้นจากการได้รับคัดเลือกในเวทีระดับภาคเหนือ ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และต่อมาได้รับคัดเลือกผ่านเข้าร่วม ค่ายนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งชาติ ครั้งที่ 20 (TYSF20) จัดโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงศึกษาธิการ, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ความภาคภูมิใจของประเทศไทย

ผลงานของนักเรียนโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการส่งเสริมเยาวชนไทยสู่เวทีโลก ด้วยการบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาจริงของโลก ทั้งด้านเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน

ประเทศไทยควรภาคภูมิใจกับความสำเร็จของเยาวชนเหล่านี้ และมุ่งมั่นสนับสนุนโครงการแบบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดนักคิด นักพัฒนารุ่นใหม่ ที่พร้อมจะยกระดับประเทศไปสู่เวทีนานาชาติอย่างมั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ISEF 2025 มีผู้เข้าร่วมจาก 80 ประเทศ
  • มีผลงานเข้าประกวดกว่า 1,500 โครงการ
  • โครงการ BeeShield ลดอัตราตายของผึ้ง 4 เท่า และเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้ง 3 เท่า
  • โครงการ ColliNest ขยายประชากรผึ้งได้ถึง 93% และเพิ่มผลผลิต 3.91 เท่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
  • REGENERON ISEF 2025 Official Website
  • โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

ชาติพันธุ์ล้านนา Soft Power ดันเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จุดประกาย Soft Power เชื่อมชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 16 พฤษภาคม 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนอย่างจริงจัง ผ่านกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งเปิดเวทีให้ชุมชนชาติพันธุ์ในภาคเหนือได้นำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สร้างรายได้และความยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมใช้พลัง Soft Power เป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ได้รับมอบหมายจากนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” ซึ่งจัดโดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน

ภายในงานมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ นักพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆ การสาธิตงานหัตถกรรม และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

Soft Power พื้นถิ่น สู่นโยบายระดับชาติ

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลปัจจุบันให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวโดยชุมชนและชาติพันธุ์ ซึ่งถือเป็นรูปแบบ Soft Power ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ของไทยที่หาไม่ได้ในประเทศอื่นๆ นอกจากสร้างรายได้ให้ชุมชน ยังช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก

กิจกรรม “ชาติพันธุ์ สีสันแห่งล้านนา” จึงเป็นมากกว่างานแสดงวัฒนธรรม เพราะเป็นการต่อยอดต้นทุนวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มที่สนใจวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม และประสบการณ์เฉพาะถิ่น

ล้านนาแหล่งวัฒนธรรมที่ยังไม่สิ้นแสง

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และแม่ฮ่องสอน ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยววัฒนธรรม ทั้งจากมรดกทางประวัติศาสตร์ ประเพณี ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และอาหารท้องถิ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปี 2568 เป็น ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year)

กิจกรรมในครั้งนี้ จึงเน้นการยกย่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในรูปแบบร่วมสมัย สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตจริงของชุมชน ผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้

สร้างเวทีให้ชุมชนมีบทบาทในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นายจักรพล ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานในรูปแบบนี้ จะช่วยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้เข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หากได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเป็นจุดหมายใหม่ของการท่องเที่ยวในอนาคต

ในโอกาสนี้ ท่านผู้ช่วยรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเชื่อมโยงชุมชน เครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างงดงามและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง

วิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและลบ

ด้านบวก

  • ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ชุมชนสามารถนำสินค้าหัตถกรรมมาจำหน่าย เพิ่มรายได้
  • สร้างการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาติพันธุ์ล้านนา สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
  • ยกระดับ Soft Power ด้านวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยว

ด้านลบ (ข้อควรระวัง)

  • หากขาดการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน
  • ความเสี่ยงในการทำลายอัตลักษณ์แท้ของชาติพันธุ์จากการดัดแปลงเพื่อตอบโจทย์ตลาด
  • ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนจริง ไม่เน้นเพียงภาพลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเพื่อการตลาดเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ควรได้รับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การตีความวัฒนธรรม และการสื่อสารภาพลักษณ์ให้น่าสนใจภายใต้บริบทความเป็นไทยอย่างแท้จริง

การสนับสนุนควรมุ่งสู่การสร้างโมเดลธุรกิจที่ชุมชนสามารถจัดการตนเองได้ในระยะยาว ลดการพึ่งพางบประมาณจากรัฐ และส่งเสริมการเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงตลาดนักท่องเที่ยวได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทยกว่า 12.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 27 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปีเดียวกัน
  • จากรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ว่าการท่องเที่ยวโดยชุมชนสร้างรายได้รวมกว่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2567
  • พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน มีจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากกว่า 320 ชุมชน ที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว (ข้อมูลปี 2566 จากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • งานวิจัยเรื่อง “Soft Power ไทยกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เริ่มแล้ว “ลิ้นจี่เมืองเชียงราย” งานดีที่เซ็นทรัล ถึง 20 พ.ค. นี้

ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” เปิดพื้นที่กลางเมืองช่วยเหลือเกษตรกร สู้ราคาตกช่วงผลผลิตล้นตลาด

เชียงรายระดมทุกภาคส่วน เปิดพื้นที่จำหน่ายลิ้นจี่คุณภาพจากสวนโดยตรง

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาผลไม้ฤดูร้อนชนิดนี้ตกต่ำลงกว่าทุกปี หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เร่งหามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เกษตรกรสามารถส่งตรงลิ้นจี่คุณภาพดีถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

ล่าสุด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลผลิตลิ้นจี่ ภายใต้ชื่องาน ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมกาดจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตคุณภาพสู่ผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม และสร้างการรับรู้ให้กับลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายในฐานะผลไม้คุณภาพของประเทศ

ผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในปี 2568 จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตลิ้นจี่รวมกว่า 2,145 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 89.9% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและพื้นที่ปลูกขยายตัว ผลผลิตจำนวนมากจึงออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 25 – 40 บาท/กิโลกรัม ในบางพื้นที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับเกษตรกรในหลายอำเภอ เช่น แม่จัน แม่สาย พาน เวียงแก่น และเวียงป่าเป้า ที่ถือเป็นพื้นที่ปลูกหลักของจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในด้านการตลาดอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายจากผลผลิตล้นตลาด

กิจกรรมส่งเสริมการขาย เพิ่มช่องทางกระจายผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” จึงเป็นความร่วมมือเชิงบูรณาการที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยเปิดพื้นที่จำหน่ายผลผลิตสดจากสวนโดยตรงจำนวน 2 จุดหลัก ได้แก่

  1. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 10 ราย แบ่งพื้นที่ออกเป็นบูทขายผลผลิตแบบคละเกรด ราคาเริ่มต้น 35 – 80 บาท/กิโลกรัม ตามคุณภาพ
  2. บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภายใต้ตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน คนเชียงราย เน้นจำหน่ายผลผลิตแบบคัดคุณภาพ AA และ A ในราคาคงที่ 50 บาท/กิโลกรัม

ภายในงานยังมีกิจกรรมเสริม เช่น ลิ้นจี่ชิมฟรี โปรโมชั่นลดราคา และการจำหน่ายลิ้นจี่ของฝาก ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเดินจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง

การรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า เสริมรายได้เกษตรกรแบบไม่ต้องตั้งร้าน

อีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรคือระบบรับคำสั่งซื้อแบบ Pre Order ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจัดทำขึ้น โดยมีการรวบรวมคำสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่

ในรอบแรกของการจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ลิ้นจี่คุณภาพ AA+A ถูกบรรจุในตะกร้าน้ำหนัก 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาตะกร้าละ 250 บาท และมีการส่งมอบที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยสามารถระบายผลผลิตได้กว่า 1.6 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 80,000 บาท

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ สนับสนุนพื้นที่ฟรี ดึงกลุ่มผู้บริโภคเข้าถึงผลผลิต

การดำเนินงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ที่เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ปลูกลิ้นจี่ และเพิ่มโอกาสการขายในทำเลศูนย์กลางเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ยังร่วมกันประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อผลผลิตผ่านกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกษตรกรฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้

ความร่วมมือที่เป็นต้นแบบการจัดการผลผลิตเกษตรกรรม

สถานการณ์ราคาผลไม้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน เป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปี หากไม่มีมาตรการรองรับเชิงระบบ อาจทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้และขาดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” สะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่การตลาดตรงถึงผู้บริโภค ช่วยลดความเสี่ยงจากการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง และยังเสริมสร้างแบรนด์ผลไม้ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่จดจำ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายปี 2568: 2,145 ตัน (เพิ่มจากปี 2567 เกือบ 90%)
  • ราคาเฉลี่ยลิ้นจี่ตกต่ำบางพื้นที่ต่ำกว่า 30 บาท/กิโลกรัม
  • ยอดจำหน่ายวันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 1.6 ตัน มูลค่า 80,000 บาท
  • จุดจำหน่ายหลัก: 2 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลเชียงราย และศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • ราคา Pre Order แบบคัดคุณภาพ: 50 บาท/กิโลกรัม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

  • รายงานผลผลิตและราคาตลาดลิ้นจี่: กรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2568

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รุกล้ำชายแดน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เร่งแก้สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำชายแดนไทย-เมียนมา พร้อมสั่งเดินหน้าขุดลอกแม่น้ำสาย-รวก ป้องกันภัยพิบัติน้ำหลาก

การประชุมหารือเพื่อจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมอาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานการประชุมร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเร่งหาทางออกสำหรับปัญหาการรุกล้ำพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

ในที่ประชุมมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม ได้แก่ พลโทสิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง, นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย, และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยมีประเด็นสำคัญคือการตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเขตแดน และความคืบหน้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

ความคืบหน้าโครงการป้องกันภัยพิบัติในแม่สาย

พลโทสิรภพ ศุภวานิช รายงานต่อที่ประชุมว่า กรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้เริ่มดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติในเขตอำเภอแม่สายตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมี 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่

  • การขุดลอกแม่น้ำรวกระยะทางรวม 32 กิโลเมตร
  • การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราวถึงกึ่งถาวร ระยะทางรวม 3,600 เมตร

จนถึงปัจจุบัน การขุดลอกแม่น้ำรวกมีความคืบหน้าแล้วร้อยละ 15 ขณะที่การก่อสร้างแนวป้องกันมีความคืบหน้าร้อยละ 34 โดยกองทัพบกตั้งเป้าให้โครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อรับมือกับฤดูน้ำหลาก

การจัดการสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่

นางสาวจันทร์สม เป็นตาธรรม ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย รายงานว่าพบผู้เช่าที่ราชพัสดุริมแม่น้ำสายในแนวโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันน้ำจำนวน 15 ราย ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาเช่าแล้วทั้งหมด พร้อมกำหนดระยะเวลาให้นำทรัพย์สินออกจากพื้นที่ หากฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาด

ขณะเดียวกัน นายธนชัย จิตนาวณิชย์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 สาขาเชียงราย เปิดเผยว่ามีผู้บุกรุกพื้นที่ป่าจำนวน 4 ราย ได้มีหนังสือแจ้งให้ออกจากพื้นที่แล้ว และหากยังฝ่าฝืน จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

การลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วย พลโทสิรภพ และนายอำเภอแม่สาย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าการดำเนินโครงการด้วยตนเอง โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผน เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้ฝากความห่วงใยถึงประชาชนในพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในแนวก่อสร้างให้ความร่วมมือโดยเร่งย้ายออก เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในพื้นที่

วิเคราะห์ความสำคัญของโครงการในบริบทความมั่นคง

จากสถานการณ์ที่พบสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน รวมถึงการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้และที่ราชพัสดุ ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงชายแดน อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน โครงการนี้จึงถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของจังหวัดเชียงรายในการรักษาอธิปไตย ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ข้อมูลทางสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 15% จากทั้งหมด 32 กม.
  • ความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ: 34% จากระยะรวม 3,600 เมตร
  • จำนวนผู้เช่าที่ถูกยกเลิกสัญญาริมแม่น้ำสาย: 15 ราย
  • ผู้บุกรุกพื้นที่ป่าที่ได้รับคำสั่งให้ออกนอกพื้นที่: 4 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก

  • สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย

  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 สาขาเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ทอท.โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก รายได้ทะลุเป้า หนุนสนามบินไทย

AOT เผยรายได้ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 พุ่งแตะ 36,235 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยาน 6 แห่งทั่วประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทย, 15 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) โดยมีรายได้รวม 36,235.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.98 สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการเดินทางภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบริการของท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้จากกิจการการบินเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ปริมาณเที่ยวบินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 414,377 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 237,511 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารรวมทั้งหมด 68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.76 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 42.34 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกิจการการบินอยู่ที่ 18,188.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง ร้อยละ 17.82

เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-บริการ-เทคโนโลยี มุ่งสู่ “Smart Airport – Smart Immigration”

เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว AOT ได้ดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องในท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่:

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ: กำลังดำเนินโครงการขยายศักยภาพรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง: เตรียมขยายขีดความสามารถจาก 30 ล้านคนเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2576
  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และภูเก็ต: อยู่ระหว่างพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 2 ในทั้งสองจังหวัด

ในด้านเทคโนโลยี AOT ได้นำระบบอัจฉริยะมาใช้บริการภายในสนามบินเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร อาทิ:

  • ระบบบริหารจัดการเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติ
  • ระบบโหลดสัมภาระอัตโนมัติ
  • ระบบสแกนใบหน้า (Biometric)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC)
  • การใช้ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) แทน ตม.6 แบบเดิม

ระบบเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลารอคอย เพิ่มความปลอดภัย และลดความแออัด โดยเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา

เดินหน้าพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์และร่วมลงทุน PPP สร้างรายได้ยั่งยืน

AOT ไม่เพียงมุ่งพัฒนาบริการสนามบิน แต่ยังได้ขับเคลื่อนโครงการพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • โครงการ AOT Property Showcase
  • โครงการ ลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
  • โครงการ คลังสินค้า
  • การก่อสร้างอาคาร Junction Building อาคารจอดรถ และศูนย์เชื่อมต่อระบบราง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง

โดยทั้งหมดนี้เปิดรับการลงทุนในรูปแบบ ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริการและสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจรอบสนามบินให้เข้มแข็ง

การพัฒนาที่ยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero Emissions

ด้านสิ่งแวดล้อม AOT ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยติดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ทั้งในระดับโลกและตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง 6 และ 10 ปี ตามลำดับ และยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings ระดับ A

AOT ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2587 ผ่านการดำเนินงาน เช่น:

  • การติดตั้งระบบ โซลาร์เซลล์
  • การใช้ พลังงานสะอาด
  • การเปลี่ยน ยานพาหนะในสนามบินเป็นระบบไฟฟ้า (EV)

ความสำเร็จระดับโลกสะท้อนภาพลักษณ์องค์กร

ปี 2025 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการจัดอันดับจาก Skytrax ให้เป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดอันดับที่ 39 ของโลก เพิ่มขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน และติดอันดับ 3 ท่าอากาศยานที่พัฒนาดีที่สุดในโลก ขณะเดียวกันอาคาร SAT-1 ยังคว้ารางวัล Prix Versailles 2024 ในฐานะท่าอากาศยานที่สวยที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับบทบาทในระบบการบินภาคเหนือ

แม้จะเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค แต่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูมิภาคเหนือกับศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มประเทศ และยังได้รับการรับรอง ระดับ 2 (Level 2) ด้านคุณภาพบริการภายใต้โครงการ Customer Experience จากสภาท่าอากาศยานนานาชาติ (ACI) ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของสนามบินในพื้นที่ระดับจังหวัด

บทบาท AOT ต่อเศรษฐกิจไทยและเชียงราย

จากภาพรวมการดำเนินงานของ AOT จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน โดยมีการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สนามบินไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ในขณะที่สนามบินระดับภูมิภาคอย่าง แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอิงกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวภาคเหนือที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์แบบองค์รวมของ AOT ที่ไม่เน้นเพียงสนามบินหลักในเมืองใหญ่ แต่ยังพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

รายการ

ข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

รายได้รวม AOT

36,235.82 ล้านบาท

รายงาน AOT, พ.ค. 2568

กำไรสุทธิ

10,397.57 ล้านบาท

AOT

จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด

414,377 เที่ยวบิน

AOT

จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด

68.42 ล้านคน

AOT

เที่ยวบินระหว่างประเทศ

237,511 เที่ยวบิน

AOT

เที่ยวบินภายในประเทศ

176,866 เที่ยวบิน

AOT

รายได้จากกิจการการบิน

18,188.15 ล้านบาท

AOT

เป้าหมาย Net Zero Emissions

ภายในปี 2587

รายงานความยั่งยืน AOT

ระดับการรับรองบริการ ACI (เชียงราย)

Customer Experience Level 2

Airport Council International

AOT ยืนยันศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาค ด้วยการพัฒนาเชิงรุก ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การให้บริการ และความยั่งยืน สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชาติควบคู่กับการยกระดับท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนารักษ์เลิกสัญญาเช่าริมน้ำสาย 3 รายไม่ยอม รื้อถอนคืบหน้า 20%

แม่สายเร่งเจรจารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาย เปิดทางสร้างพนังกั้นน้ำก่อนฤดูฝน ด้านกรมธนารักษ์ยกเลิกสัญญาเช่า เหลืออีก 3 รายยังไม่ยินยอม

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยอำเภอแม่สาย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อเร่งผลักดันโครงการป้องกันอุทกภัยบริเวณแนวลำน้ำสาย ซึ่งเป็นแนวเขตชายแดนไทย-เมียนมา หลังเข้าสู่ช่วงฤดูฝนที่อาจก่อให้เกิดน้ำหลากและกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง

แม้ว่าเจ้าของสิ่งปลูกสร้างริมฝั่งแม่น้ำหลายรายได้ยินยอมให้ดำเนินการรื้อถอนเพื่อเปิดทางให้หน่วยงานทหารและวิศวกรเข้าปรับพื้นที่แล้วกว่า 11 จุด แต่ยังคงมีอีก 3 รายที่ยังไม่ยินยอมให้รื้อถอนอาคาร ส่งผลให้การดำเนินงานพนังกั้นน้ำอาจล่าช้าและไม่ทันฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

นายอำเภอแม่สายรุดหน้าเจรจา หวั่นชุมชนถูกน้ำท่วมซ้ำ

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ได้นำทีมเจ้าหน้าที่จากหลากหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรมการทหารช่าง กองทัพบก กรมธนารักษ์ กรมที่ดิน เทศบาลตำบลแม่สาย และเทศบาลตำบลเวียงพางคำ ลงพื้นที่เจรจากับเจ้าของอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสาย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่จุดผ่อนปรนบริเวณสายลมจอยไปจนถึงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2

เป้าหมายหลักของการเจรจาคือการขอความร่วมมือให้เจ้าของอาคารยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ราชพัสดุ เพื่อให้กรมการทหารช่างสามารถเข้าพื้นที่และก่อสร้างพนังกั้นน้ำกึ่งถาวร-ชั่วคราวได้ทันก่อนถึงช่วงน้ำหลาก

ความคืบหน้ารื้อถอน 11 รายยินยอม เหลืออีก 3 รายยังขัดข้อง

จนถึงขณะนี้ การเจรจาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้รับความร่วมมือจากเจ้าของอาคารหลายราย โดยเฉพาะรายใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการรื้อถอนแล้วมากกว่า 11 จุด

อย่างไรก็ตาม ยังคงมี 3 รายที่ยังไม่ยินยอม ได้แก่

  • 2 รายในชุมชนหัวฝาย ซึ่งเป็นบ้านของผู้สูงอายุที่ครอบครองพื้นที่มานาน
  • 1 รายในชุมชนสายลมจอย ที่ยังคงพักอาศัยอยู่ในอาคาร แม้จะได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์แล้วก็ตาม

แม้ทางกรมธนารักษ์จะดำเนินการบอกเลิกสัญญาเช่า และแจ้งให้ผู้เช่าย้ายออกพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่เจ้าของอาคารรายหนึ่ง ซึ่งเป็นชายสูงอายุ ยังคงอาศัยอยู่ในอาคาร และเฝ้าดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จากภายนอก

ดำเนินการตามกรอบข้อตกลงไทย-เมียนมา หวังป้องกันน้ำหลากซ้ำ

แนวทางการก่อสร้างพนังกั้นน้ำครั้งนี้ สืบเนื่องจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมา ในการบริหารจัดการลำน้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 20 มิถุนายน 2568

เจ้าหน้าที่จึงต้องเร่งรื้อถอนอาคารที่ได้รับความยินยอมไปก่อน เพื่อให้สามารถดำเนินงานตามกรอบเวลาได้ และหากการเจรจากับอีก 3 รายสำเร็จ จะดำเนินการรื้อถอนในลำดับถัดไป

ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังและขุดลอกลำน้ำ

ฝั่งไทย

  • ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำสายฝั่งไทย ปัจจุบันเสร็จไปแล้ว ประมาณ 20%
  • ดำเนินการโดย กรมการทหารช่าง กองทัพบก ด้วยการฝังเสาเข็มห่างกัน 1 เมตร ลึกลงดิน 4 เมตร สูงเหนือดิน 3 เมตร ครอบคลุมระยะทางราว 3 กิโลเมตร

แม่น้ำรวก (ใต้แม่น้ำสายลงไป)

  • ทหารกองทัพภาคที่ 3 ขุดลอกระยะทาง 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่าง ขุดลอกระยะทาง 18 กิโลเมตร
  • รวมระยะทางการขุดลอก 32 กิโลเมตร
  • ความคืบหน้าในส่วนนี้อยู่ที่ ประมาณ 9%

ฝั่งเมียนมา

  • ยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา

นายอำเภอย้ำต้องเร่งสร้างให้ทันฤดูฝน

นายวรายุทธระบุว่า “ขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูฝน หากไม่สามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่รุกล้ำได้ทัน อาจส่งผลให้การก่อสร้างพนังกั้นน้ำล่าช้าและเกิดความเสี่ยงน้ำท่วมในเขตชุมชนซ้ำอีกในปีนี้” พร้อมยืนยันว่าจะยังคงใช้แนวทางเจรจาอย่างสันติ และหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการทางกฎหมายเว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น

วิเคราะห์สถานการณ์ การบริหารพื้นที่ชายแดนกับความจำเป็นด้านความปลอดภัย

กรณีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำสายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีความซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับทั้งสิทธิในการเช่าที่ราชพัสดุ การดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ

แม้การรื้อถอนจะกระทบต่อผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยตรง แต่ในภาพรวมแล้ว การสร้างพนังกั้นน้ำถือเป็นภารกิจเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่แนวแม่น้ำสายที่อยู่ในแผนดำเนินการสร้างพนังกั้นน้ำ: มากกว่า 3 กิโลเมตร (ข้อมูลจากกรมการทหารช่าง)
  • ระยะเวลาที่กำหนดในข้อตกลงไทย-เมียนมา: 15 เม.ย. – 20 มิ.ย. 2568 (แหล่งที่มา: สำนักงานความร่วมมือชายแดนไทย-เมียนมา)
  • ความคืบหน้าในการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทย: 20% ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2568
  • ความคืบหน้าในการขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย: 9% จากเป้าหมายรวม 32 กิโลเมตร
  • จำนวนสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำสายที่ยินยอมรื้อถอนแล้ว: 11 จุด
  • จำนวนอาคารที่ยังไม่ยินยอมรื้อถอน: 3 จุด

สรุป ความพยายามของจังหวัดเชียงรายในการจัดระเบียบพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการจัดการเชิงยุทธศาสตร์ที่คำนึงถึงทั้งความปลอดภัยและผลกระทบต่อชุมชน หากสามารถเจรจากับผู้ที่ยังไม่ยินยอมได้อย่างราบรื่น จะช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้ทันฤดูฝน และลดความเสี่ยงของอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย
  • กรมธนารักษ์
  • กรมการทหารช่าง
  • อำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

วิกฤตค่าครองชีพ! คนไทยเงินฝืด รัฐบาลแก้ศก.สหรัฐฯ ไม่มั่นใจ

ดุสิตโพลชี้คนไทยกังวลปัญหาเศรษฐกิจหนัก เงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 1 เดือน กว่า 76% ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐ

ประเทศไทย, 11 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเป็นที่กังวลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากผลสำรวจความคิดเห็นของ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรื่อง “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,229 ราย ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์และภาคสนาม พบข้อมูลที่น่าตกใจและสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชนในวงกว้าง

ความกังวลด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพยังครองอันดับต้น

จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 48.32 ยอมรับว่าหากไม่มีรายได้เลย จะมีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าคนไทยจำนวนมากยังขาดความมั่นคงทางการเงิน และเผชิญกับภาวะ “ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ” อย่างเด่นชัด

แม้ในทางทฤษฎีประชาชนควรมีเงินสำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนสำหรับเหตุฉุกเฉิน แต่จากผลสำรวจกลับสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นต่างออกไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการค้า ภัยพิบัติ และปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงเรื้อรัง

วิธีรับมือเศรษฐกิจของประชาชนลดรายจ่ายคือทางรอดเบื้องต้น

จากคำถามเกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 77.37 ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะ “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นกลยุทธ์หลัก ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการปรับตัวของครัวเรือนไทยที่กำลังรับมือกับต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ร้อยละ 58.99 ระบุว่าตนเอง “มีการวางแผนทางการเงินแต่ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง” ซึ่งปัญหานี้อาจมีรากมาจากรายได้ที่ไม่แน่นอน หรือค่าใช้จ่ายประจำที่สูงกว่าค่าครองชีพเฉลี่ย ทำให้ไม่สามารถออมเงินหรือวางแผนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลตัวเลขที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชน

หนึ่งในประเด็นที่สวนดุสิตโพลให้ความสนใจคือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเด็นระดับโลกที่ส่งผลโดยตรงต่อไทย โดยผลสำรวจพบว่า

  • ร้อยละ 76.06 ไม่เชื่อมั่น ว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ร้อยละ 23.94 เชื่อมั่น ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงภาวะที่ประชาชนเริ่มขาดศรัทธาในประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการต่างประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย หรือการสื่อสารที่ไม่สร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน

นักวิชาการเตือนหากไม่เร่งแก้ อาจเผชิญเศรษฐกิจถดถอย

ว่าที่ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ประจำโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ได้แก่

  1. ปัญหาการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ของไทย
  2. การท่องเที่ยว ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบของแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติอื่น ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง และรายได้เข้าประเทศหดตัว

ทั้งสองปัจจัยนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของ GDP ประเทศไทย และการที่ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ยังอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการบริโภคภายในประเทศ และนำไปสู่ความเสี่ยงของ “เศรษฐกิจถดถอย” (Economic Recession) ได้

ทางออกและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจในประเทศ นักวิชาการเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้

  • เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน โดยต้องแสดงให้เห็นว่าไทยมีศักยภาพทางการค้า ไม่ใช่ประเทศที่สร้างภาระดุลการค้า
  • กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการลงทุนภาครัฐ การสร้างงาน และการสนับสนุน SMEs ให้มีบทบาทมากขึ้น
  • ส่งเสริมการออมและวางแผนการเงิน ด้วยการให้ความรู้ทางการเงิน (financial literacy) แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องผ่านภาคการศึกษาและสื่อสารมวลชน
  • ควบคุมราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน

ภาพสะท้อนสังคมไทยในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน

ข้อมูลจากสวนดุสิตโพลในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าประชาชนไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ความเปราะบางทางการเงินในระดับครัวเรือน การขาดเงินสำรองฉุกเฉิน และความเชื่อมั่นต่อรัฐที่ลดลง เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้าม

หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ไทยอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สัดส่วนผู้มีเงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 1 เดือน: 48.32% (สวนดุสิตโพล, พ.ค. 2568)
  • ผู้ที่เลือก “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นวิธีรับมือเศรษฐกิจ: 77.37%
  • ผู้ที่มีแผนการเงินแต่ไม่ต่อเนื่อง: 58.99%
  • ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ:
    • ไม่เชื่อมั่น: 76.06%
    • เชื่อมั่น: 23.94%
  • สัดส่วนครัวเรือนที่ไม่มีเงินออมในประเทศไทย: 32.3% (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานปี 2566)
  • หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไทย: 90.6% (ธนาคารแห่งประเทศไทย, Q4 ปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE